ไปกินเนื้อย่างเกาหลีมาค่ะ เอามาอัพก่อน เดี๋ยวผู้อ่านรอกันนานนนนน ถ้าอยากให้เห็นภาพชัดขึ้น ลองย้อนกลับไปอ่านตอนเก่าๆ ดูนะคะ
-------------------------------------------------------
หลังจากเกิดเรื่องในวันนั้น
ผมพยายามที่จะลืมเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้น แต่มันกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
นี่ผมกำลังถูกโชคชะตา หรือเวรกรรมเล่นตลกกันแน่
ภาพนังครูตุ๊ดคนนั้น วนเวียนในหัวผมตลอด
ยิ่งคิด ยิ่งหงุดหงิด ยิ่งคิด ก็ยิ่งเหมือนสร้างรอยร้าวให้ตัวเอง
(ทำไมนะ ทำไม มึงต้องมาวนเวียนในสมองกูด้วยนะ)
ผมไม่เคยลงไม้ลงมือกับใครขนาดนี้มาก่อน ผมไม่เคยโหดร้ายทารุณอะไรแบบนี้มาก่อนเช่นกัน
ผมไม่เคยรังเกียจคนแบบมันเลย ผมสามารถเป็นเพื่อนกับคนแบบนั้นได้
แต่ผมโกรธมัน ผมเกลียดมัน ที่มันมาล่วงเกินผมแบบนี้ ผมเกลียดมัน..............
(เกลียดเหรอ??????? แกกล้าพูดได้เต็มปากไหมป๊อปว่าแกเกลียดมันจริงๆ???) เสียงอีกหนึ่งความคิดในใจผมมันแทรกถามเข้ามาตลอดที่ผมมีความรู้สึกแบบนี้
ผมไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย ผมเคยได้ยินเสียงสะท้อนจากคนรอบข้างว่า ผมเป็นคนที่รักพวกพ้อง มีน้ำใจ สนุกสนาน เป็นที่ปรึกษาที่ได้ (ครูอุ้ยโผล่เป็นภาพป๊อปอัพขึ้นมา : มีน้ำใจ สนุกสนาน บ้านแป๊ะแกสิบักป๊อป สนุกตบกรูล่ะไม่ว่า

)
ผมเด็กนายร้อย ตอนนี้ก็พันตำรวจแล้ว มีลูกน้องบริวาร หลากหลายคนนับหน้าถือตาผม เพื่อนพ้องก็หลากหลาย แต่เกียรติผม ต้องมาแปดเปื้อนเพราะมันนี่เหรอ หากใครๆ เขารู้ว่าผมไปเอามันล่ะก้อ ผมจะเอาหน้าไปมุดไว้ที่ไหน (ครูอุ้ยโผล่เป็นภาพป๊อปอัพขึ้นมา : ศักดิ์ศรีมากจนฝีขึ้นจั๊กแร้น่ะสิ บักป๊อป เก็บศักดิ์ศรีมรึงให้ชายสี่ไปทำบะหมี่เกี๊ยวเถอะ ไอ้บ้า........

แล้วก็เอายาหม่องตราฤาษีใส่ที่คาดผม มาทาแผลที่ฟกช้ำต่อ

)
(มึงนะมึง ยิ่งคิด กูก็ยิ่งสับสน กูไม่ยอมรับหรอก ว่ากูสนใจคนอย่างมึง คอยดูนะกูจะทรมานมึงให้ถึงที่สุด)
ผมได้รับจดหมายเชิญจากสมาคมครูประจำตำบล เนื่องในโอกาสแสดงมุฑิตาจิต ผอ. ร.ร. ในตำบลเกษียณ 2 ท่าน
(งานมุฑิตาจิตเหรอ เฮ้อ กินเลี้ยงตามเคย โต๊ะจีน ร้องคาราโอเกะ มอบดอกไม้ น่าเบื่อจริ๊ง)
ผมจำเป็นต้องไปงานนี้ เนื่องจาก ผกก.สภ.ให้ผมไปเป็นเพื่อนแก พร้อมกับ รอง ผกก. อีก 2 คน
ในงานเลี้ยง เต็มไปด้วยครูจาก ร.ร.ในตำบลทั้งนั้นเลย (แล้วจะเชิญตำรวจมาทำไมเนี่ย)
ครูในตำบลนี้ มันก็ต้องมีนังอุ้ยด้วยแน่นอน มันจะมางานนี้หรือเปล่านะ เฮ้อ ผมไม่อยากจะเจอมันจริงๆ
(เหรอ?? ไม่อยากเจอเหรอ??? แต่ทำไม เราถึงต้องสอดส่ายสายตามองหาเค้าด้วยล่ะ

)
ผมมองไปรอบๆ งาน ก็เหลือบไปเป็นชายคนหนึ่งที่ดูเด่นกว่าคนอื่น (ไม่เด่นได้ไงวะ ทำหน้าซะขาวเลย)
ดูท่าทางมันกำลังเอร็ดอร่อยกับอาหารที่อยู่ตรงหน้ามัน โดยที่ไม่สนใจเลยว่า ในงานนี้ เขาไปถึงไหนกันแล้ว
ผมจ้องดูมันกำลังสวาปามอาหารนานา (แต่ผมก็แอบยิ้มอยู่ในใจ)
สักพักมันก็เงยหน้าหันซ้ายหันขวาเหมือนกำลังมองหาอะไร แล้วมันก็มาสะดุดกับสายตาของผม มันทำตาเบิกกว้างเหมือนกับมันตกใจเจอผี (กูเป็นคนนะอีตุ๊ด) แล้วมันก็รีบก้มหน้าลงไป ท่าทางลุกลี้ลุกลน
ดูท่าทีมันเปลี่ยนไป ไม่ระริกระรี้เหมือนก่อนหน้าที่จะเจอผมเลย
(หึๆ กลัวหรือยังไง คอยดูเถอะ กูต้องหาเรื่องแกล้งมึงให้ได้)
ผมตัดสินใจเดินไปที่โต๊ะนั้น กะจะไปตอกย้ำความหวาดกลัวให้มันเพิ่มทวีคูณ
“มาๆ เธอๆ มานั่งด้วยกันนี้ ว่างพอดีเลย” เสียงครูติ๋ว เมียเพื่อนผม เรียกผมให้ไปนั่งข้างๆ
แล้วมันก็โผล่หน้าขึ้นมา ทันใดที่มันเห็นผม มันยิ่งทำท่าตกใจมากขึ้นไปอีก สะใจผมชะมัด คอยดูเถอะ ผมจะทำให้มันกลัวมากกว่านี้
(ป๊อป มึงบอกมาเถอะ ว่ามึงอยากเห็นเขา มึงอยากรู้ว่าแผลเขาหายดีแล้วหรือยังไม่ใช่เหรอ มาทำท่าจะไปแกล้งเขา มึงจะทำไปทำไม แก้เขินเหรอมึง

) (หนึ่งความคิดในตัวผมมันแทรกมาตลอดเวลา)
ครูติ๋วแนะนำผมให้ทุกคนในโต๊ะนั้นรู้จัก พอไปถึงมัน
“ไม่เป็นไรติ๋ว เรารู้จักกันดี” ผมพูด แล้วมองหน้ามัน พร้อมกับนึกในใจ (มึงไม่รอดแน่)

(เหรอ ไม่รอด หรือว่า รู้สึกโล่งใจที่เห็นเขาหายดีแล้ว)
สักพัก ผมเห็นมันเดินไปเข้าห้องน้ำ นี่ล่ะ โอกาสดีของผม ผมนึกอะไรบางอย่างออกได้แล้วล่ะ
ผมรีบเดินไปดักหน้าทางเข้าห้องน้ำ เพราะยังไงมันก็ต้องออกมาแน่ๆ (อ้าว จะให้มันตกส้วมตายเหรอไงฮะ คิดแปลกๆ ว่ะ)
แล้วมันก็ก้มหน้า เดินดุ่ยๆ ออกมาแบบไม่มองทาง ไม่มองคนรอบข้าง ผมไปขวางมันไว้
“จะไปไหนงั้นเหรอ หึๆ ไม่สนุกแล้วใช่ไหมล่ะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูทำให้มึงสนุกเอง” ผมบอกมันแล้วลากแขนมันออกมานอกงาน
“นี่ แกปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ปล่อย ไอ้บ้า ไอ้ควาย แกจะดึงฉันไปไหน” เสียงอีตุ๊ดมันแผดๆ ออกมา เดี๋ยวคนแถวนี้จะสงสัยเอา ผมต้องออกแรงดึงให้มาก เพื่อดึงมันออกมาจากงานเร็วๆ
“มึงมากับใคร” ผมถามมัน แต่มันทำท่าหยิ่งยโส ไม่ยอมตอบผม
“กูถามว่า มึงมากับใคร” ผมเน้นมันถามย้ำอีก (บ๊ะ ไม่ตอบ อ๋อ ได้ อยากเจอของแข็งใช่ไหม) (ของแข็ง???)
“โอ๊ย ชั้นเจ็บนะ ปล่อยย” ผมบิดแขนมันพลิกอย่างแรง เสียงมันหวีดร้องออกมา ทำตัวยังกะมันได้แสดงละครช่องหลายสี
“ก็กูถามว่ามึงมากับใคร” ผมตะคอกใส่มัน เพราะรู้สึกหงุดหงิดกับท่าทีมันซะเหลือเกิน
(หงุดหงิด หรืออยากทำอะไรกันแน่ ไอ้ป๊อป กลัวอดใจไม่ไหวใช่ไหมล่ะ เลยทำท่าโหดไปแบบนั้น

)
“มากับครูดอน” เสียงมันตอบอ่อยๆ ดีล่ะ ผมวางแผนจะไปส่งมันเอง เข้าทางอิ๊บอ๋าย
“ขากลับ กูจะไปส่งมึง” พูดบอกมันเบาๆ เหมือนจะกระซิบ ทำเสียงให้ออกแนวโรคจิต หึๆ แล้วผมก็เดินออกมาจากตัวมัน ได้ยินเสียงมันร้องเจี้ยวจ้าวลับหลัง ไม่รู้มันร้องอะไร ไม่ได้สนใจหรอก เพราะในสมองผมตอนนี้ คิดแต่ว่า จะทำยังไงกับมันต่อดี
(คิดแบบนั้น หรือว่าดีใจ ที่จะได้พามันเข้าบ้านอีกกันแน่ ป๊อปเอ๋ย อย่าโกหกตัวเองเลย

)
ผมเดินกลับไปที่งานต่อ แล้วก็เลยติดสินใจนั่งที่โต๊ะเดียวกันกับมันเลย กะจะกดดันมันให้เต็มที่
ผมพูดคุยกับครูคนอื่นๆ ในโต๊ะ แต่ว่าดูท่าทางมันสิ มานั่งทำหน้าบูดเบี้ยวแถวๆ นี้ จนครูหลายๆ คนเขาทักถาม เห็นแล้วหงุดหงิดชะมัด น่าตบกระบาลจริงๆ
พองานเลิก ผมเห็นมันรีบเดินไปที่โต๊ะอื่น สงสัยจะไปหาครูที่มันมาด้วยแน่ๆ แต่มันคงไม่เจอ เห็นยืนเอ๋อ ท่าทางตกใจน่าดู ผมรีบไปดึงแขนมันออกมาโดยที่ไม่มันตั้งตัว แต่มันพยายามขัดขืน มันคงขัดอะไรมากไม่ได้หรอก เพราะคนกำลังหลั่งไหลออกจากงาน หลายๆ คนรู้จักมัน มันคงกลัวเค้าสงสัยกัน
(มึงตามกูมาดีๆ แบบนี้ล่ะดีแล้ว เดี๋ยวมึงก็รู้เองล่ะ ว่ากูจะพามึงไปไหน)
ผมรีบพามันขับรถออกจากงาน พอถึงทางแยก ผมเลี้ยวออกไปทางเข้าเมือง เพื่อที่จะไปบ้านพักของผม มันร้องเอะอะเสียงดังขึ้นมาทันที
“เฮ้ย! นี่แกจะไปไหนน่ะ โรงเรียนชั้นไม่ได้ไปทางนี้ ไอ้บ้า แกเลี้ยวไปทางนั้นเดี๋ยวนี้นะ”
“ก็ไม่ได้บอกหนิว่าจะไปส่งที่ไหน” ผมตอบมัน
“เฮ้ย! กลับ เลี้ยวกลับเดี๋ยวนี้ แกจะพาฉันไปไหน ไม่นะป๊อป ทำแบบนี้ทำไม ไหนแกบอกแล้วไงว่าจบ ทำไมแกจะมาทำอะไรแบบนี้ แกทำแบบนี้ทำไม ทำไมๆๆๆ แกๆๆๆๆๆ”
มันร้องบ่นเสียงแหลมเป็นโทรโข่งพัง น่าหงุดหงิดชะมัด ผมเริ่มจะรำคาญซะแล้ว
“หุบปากซะ ไม่งั้นเจอตบ” ผมตะคอกใส่มันอย่างแรง มันเหมือนลูกไก่ในกำมือจริงๆ แล้วมันก็นั่งนิ่งเงียบไม่ยอมพูดจาอะไรออกมาอีกเลย
ผมแวะซื้อของที่เซเว่น แอบมองดูหน้ามัน เห็นมันจ้องผมทำหน้าเอ๋อๆ เนื่องจากในรถมันมทด จึงเห็นแต่แสงไฟสาดนิดหน่อย กับนัยน์ตาสีขาวๆ ของมัน
(หึๆ ผมแอบขำในใจ ดูมันทำหน้าซิ ตลกชะมัด เหมือนผมเอาคนเอ๋อจากสวนปรุงออกมาเลย)

ผมไปเลือกซื้อน้ำยาปรับผ้านุ่ม เพราะของที่บ้านมันหมด ปกติผมส่งผ้าซักนะ แต่ครั้งนี้ ผมอยากจะแกล้งอะไรมันสักหน่อย
ในที่สุดก็ถึงบ้านผม ดูมันสิ ยังนั่งทำหน้าเอ๋อ เห็นแต่ตาขาวอยู่ในรถ
(อีบ้าเอ๊ย มึงจะเอ๋อไปถึงไหนหนิ)

ผมต้องรีบตัดตัวเองจากอารมณ์ที่แทบจะอดหัวเราะไม่ได้
“มึงจะต้องให้กูเปิดประตูรถให้หรือไงนะ ถึงจะยอมลง”
มันลงออกจากรถมา แต่แม่เจ้า มันลงออกมาแล้ว ยังจะมายืนเอ๋อ ยืนบื้ออยู่หน้าบ้านอีก
(โถ่เว้ย มึงอย่ามาทำแผนกูพังได้ไหมวะ ยืนเซ่อตลอดเลยมึง กูอดขำไม่ได้แล้ว อีตุ๊ด)

“มึงมานี่” ผมแผดเสียงดุ พร้อมกับลากมันเข้าบ้าน
(ไม่ไหวๆ ขืนกูปล่อยฮาลงตรงนี้ มันต้องหัวเราะกูแน่ๆ)
“เฮ้ย ป๊อป นี่แกปล่อยชั้นเดี๋ยวนี้นะ แกจะลากชั้นมาทำไม โถ่เว้ย ไหนบอกว่าจบแล้วไง ทำไมแกลากฉันมาที่นี่ นี่แกต้องการอะไรห๊ะ”
เสียงมันร้องเหมือนจะเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ หรือสัญญาสงบศึก ผมผลักมันไปที่ผนัง
(ดูมันทำหน้าสิ ยังกับมันกำลังฟินตัวเองว่ามันกำลังจะถูกข่มขืน ตุ๊ย!!)
“เดี๋ยวมึงก็รู้ว่ากูจะทำอะไรมึง หรือมึงคิดว่ากูจะปล้ำมึงเหรอ”
ผมลากมันขึ้นชั้นบน แล้วโยนมันเข้าไปในห้องที่ผมเอาไว้เก็บเสื้อผ้า และแต่งตัว จากนั้นผมก็รีบล็อกห้องนั้น โดยที่ไม่สนใจเสียงบ่นด่าที่อยู่ในห้องนั้นเลย
ผมรีบกลับเข้าห้องของผม ทิ้งตัวเองลงไปบนเตียงนอน เอาหน้าไปซุกหมอน และผ้าห่ม พร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างอัดอั้นไม่ได้ เพราะขำ ฮา ตลก กับหน้าของมัน ท่าทางของมัน
(มึงนะมึง มาทำแผนกูพังหมด กูแกล้งมึงไม่ลงเลย คืนนี้มึงนอนนี่แล้วกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยว่ากันต่อ 555+)
(ป๊อป แกพอใจใช่ไหมล่ะ หึๆ เห็นหน้าเค้าแล้วอดยิ้มไม่ได้แบบนี้น่ะ)
แล้วผมก็ไปเปิดเอาผ้าห่มที่เก็บไว้ กับหมอนอีกใบ แล้วเอาไปให้มัน
“เอาไป มึงนอนที่นี่ซะ กูขี้เกียจขึ้นดอยตอนกลางคืน พรุ่งนี้มึงค่อยกลับบ้าน”
ผมแก้ตัวเขินๆ ออกไป และไม่ค่อยอยากจะมองหน้ามันเท่าไร เด่ยวมันทำหน้าเอ๋อมาใส่ผมอีก
แล้วผมก็กลับเข้าห้องนอน
ทำไมผมถึงรู้สึกว่าวันนี้ผมไม่เหงานะ
ทำไมถึงรู้สึกอมยิ้มก่อนนอนได้แบบนี้นะ
(เพราะแกกำลังโดนสิ่งที่แกก่อไว้กัดกินหัวใจแกไปทีละนิดๆ ไงล่ะป๊อป ถ้าแกแน่ แกเอาชนะความคิดนี้ของแกที่มันคอยผุดออกมาเยาะเย้ยแกให้ได้สิ)