หลังจากอุบัติเหตุที่ท่าน้ำกลางตลาดวันนั้น อาการเหมือนคนเสียสติของคนึงก็เป็นโจทก์ฟ้องตัวเอง ให้คนทั้งหลายเห็นว่าข่าวเลื่องลือที่ตนได้ยินมานั้นถูกต้องทุกประการ คนทั้งตลาดเป็นพยานรู้เห็นกันหมด
และเป็นธรรมดาของคนกลุ่มเล็กที่มีชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างใกล้ชิด เมื่อคนใดวิปลาสผิดปกติ คนหมู่มากในกลุ่มนั้นก็จะเริ่มตีตัวออกห่างเหมือนกับว่าจะคัดผู้ที่แตกต่างนั้นออกจากสังคม ยิ่งฝ่ายหนึ่งเป็นครูผู้ชาวบ้านทั้งบางเคารพนับถือ และอีกฝ่ายเป็นถึงหม่อมราชวงศ์ ผลลัพธ์จึงรุนแรงกว่าที่เคยเป็น
คนึงพาเลอมานกลับบ้านพักท้ายโรงเรียนทันทีในวันนั้น เพราะอย่างน้อยในห้องน้อยก็ไม่มีเสียงก่นด่าสาปแช่งให้ได้ยิน ไม่มีสายตาดูแคลนให้เห็น โดยมีสิงห์กับจ้อยทยอยขนข้าวของที่กระท่อมยายช้อยกลับคืนมาให้
ราชนิกูลหนุ่มน้อยจับไข้นอนซมอยู่หลายวัน อาจารย์ปรีชาอนุญาตให้ไม่ต้องไปสอนสักระยะจนกว่าจะแข็งแรงดี คนึงเฝ้าดูแลไม่ห่าง ราวจะกางกั้นคนรักจากความวุ่นวายทั้งปวง
ความวุ่นวายที่มาเยือนถึงหน้าประตูโรงเรียน..
ถึงดวงตะวันจะเลยหัวไป ๓ วา แต่เปลวแดดยังแผดเปรี้ยงๆ ปานจะแผดเผาสรรพสิ่งให้วอดวายไปจากโลกา เสียงอึงอลเกี่ยวกับข่าวคาวสองครูศิษย์ลักลอบได้เสียกันก็กระโจนไปไม่หยุดหย่อน
กลุ่มชาวบ้านทั้งหัวหงอกหัวดำร่วมสิบดาหน้ามาตามถนนโรยกรวด อุกอาจเหิมเกริมผ่านประตูโรงเรียนเข้ามาถึงหน้าเสาธง ส่งเสียงกึกก้องราวจะขับไล่เสนียดจัญไรให้พ้นไปจากสถานศึกษาอันศักดิ์สิทธิ์
อาจารย์ปรีชาเห็นท่าไม่ดี รีบสั่งให้อาจารย์ประพนธ์กวาดต้อนเหล่านักเรียนครูที่อยากรู้อยากเห็นออกนอกหน้าขึ้นตึกไปให้หมดเพื่อความปลอดภัย
“พวกเราไม่ยอม! เรื่องแบบนี้ยอมไม่ได้โว้ย!” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งโวยวาย ชูกำปั้นขึ้นไปในอากาศ
คนึง วนาสัยกัดริมฝีปากแน่น คนพวกนี้แห่กันมาเพราะเขาเป็นเหตุแน่แท้ จึงมิได้คิดหลบหนี อาจารย์หนุ่มประจันหน้าดั่งจำเลยผู้ยอมจำนน
“มีอะไรกันพ่อแม่พี่น้อง” อาจารย์ปรีชาปรี่มาห้ามทัพ “แห่กันมาส่งเสียงดังในสถานศึกษาแบบนี้ทำไม”
“ผอ.คิดดูนะ” ป้าเจ้าของห้องแถวท้ายตลาดถลกผ้านุ่งจังก้า “โรงเรียนลูกหลานเราเราต้องรักษา ปล่อยให้มีครูบาอาจารย์ผิดศีลธรรมแบบนี้อยู่ได้ยังไง”
“ครูกับลูกศิษย์กอดกันกลมกลางตลาด แบบนี้มันผิดไหม!” ลุงคนหนึ่งโพล่งขึ้นบ้าง
“ผิด!” พวกที่เหลือเฮรับกันเป็นลูกคู่
แล้วนานาสรรพเสียงก็อึงอล เรียกเหล่านักเรียนครูโผล่หัวมาดูทางหน้าต่างแทบไม่เหลือที่ว่าง
“ถ้าครูดี ลูกศิษย์คงไม่เข้าหาแน่นอน!”
“มันก็ไม่แน่ ของอย่างนี้ตบมือข้างเดียวไม่ดังร้อก”
“รู้เห็นเป็นใจกันน่ะซี้”
“แต่ไหนแต่ไรมา โรงเรียนนี้ไม่เคยเสื่อมเสีย พวกเรายอมไม่ได้!”
“การศึกษาจะฉิบหาย ก็เพราะครูเหี้ยๆ นี่แหละ!”
คนึงเคยบอกแก่ใจตน เขาจะต้องหนักแน่น ต้องอดทน เพื่อปกป้องดวงแก้วบริสุทธิ์ที่ถูกทำให้มัวหมองเพราะเขาทั้งสิ้น เขาจะต้องหนักแน่น ดั่งหินผาที่พร้อมเผชิญทุกความแปรปรวนวิปโยค พร้อมปกป้องคนที่ตนรัก
“มีครูเลวๆ อยู่ได้ ก็เพราะชาวบ้านอย่างพวกเราไม่สนใจ แต่มันถึงเวลาแล้ว เราต้องช่วยกัน!”
“ใช่ๆ ออกไปๆๆ” กลุ่มคนคลั่งโทสะกรูกันเข้ามา ใครคนหนึ่งผลักเขาจนเซ เขาไม่ตอบโต้ ไม่แม้แต่จะปริปากแก้ต่างให้ตน
หินผาแตกระแหงลงทุกที ถ้อยผรุสวาทเหล่านั้นดั่งสายฟ้าลั่นเปรี้ยงระลอกแล้วระลอกเล่า ราวจะแผดเผาให้วายวอด ให้แตกดับลงเดี๋ยวนั้น
อาจารย์ปรีชาร้องห้ามลั่น พวกประพนธ์กับวิรัชก็ปราดเข้ามากันผู้คนออกไป ทุกสิ่งชุลมุนวุ่นวายเหมือนขุมนรก หินก้อนหนึ่งลอยหวือกระทบเข้าหน้าผากอย่างจังจนอาจารย์หนุ่มทรุดลงกับพื้น เครื่องแบบข้าราชการสีกากีเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดินและหยดเลือดแดงฉานที่ไหลอาบหน้าย้อยหยดลงปลายคาง
เสียงตะโกนห้ามของเหล่าอาจารย์ไม่เข้าหัวสักนิด สิ่งเดียวที่ทะลุทะลวงโสตประสาทเข้ามามีแต่เสียงก่นด่า สาปแช่ง ขับไล่
“ถ้าครูดี ก็มีคนนับถือ เสียแรงพวกกูยกมือไหว้อยู่ตั้งนาน เสียมือจริงๆ ถุ้ย!” น้ำลายถ่มถุยเฉียดหัวไปนิดเดียว
“ไล่ออกไปซะ ครูแบบนี้อยู่ไม่ได้แล้ว ถ้ามันอยู่เราจะเอาลูกหลานเราออก ออกไปซะ!”
“ครูแบบนี้มันไม่ใช่ครู ออกไป!”
“ออกไปๆๆๆ!”
ภูผาแทบด่าวดิ้นเป็นผุยผง..
*******************************
หลังเหตุการณ์วุ่นวายผ่านพ้นไป อาจารย์ปรีชาเรียกคนึงไปพบเพื่อสอบสวนในเย็นวันนั้น
อาจารย์หนุ่มไปตามเวลานัดหมาย ไปทั้งผ้าสำลียังแปะหน้าผากที่โดนปาหินใส่เมื่อเช้า ณ เรือนพักข้าราชการอันสมถะของผู้อำนวยการ ภรรยาท่านกำลังปูเสื่อจัดสำรับมือเย็นกับพื้นนอกชาน
“มาๆๆ กินข้าวกินปลากันก่อน” อาจารย์ใหญ่ชักชวนพร้อมรอยยิ้ม “ขืนคุยก่อนเดี๋ยวคุณกินข้าวไม่ลง” ว่าติดตลกแล้วก็หัวเราะเฮ่อฮ่า หมายจะให้เขาผ่อนคลาย
ผ่านมื้ออาหารอันเรียบง่ายแล้วก็ถึงเวลา ‘สอบสวน’
ห้องสอบสวนของคนึง คือนอกชานที่เพิ่งนั่งล้อมวงกินข้าวกันไปนั่นแหละ นอกชานที่อาจารย์ปรีชาชอบมานั่งผ่อนคลายหลังเลิกงาน มองดูนักเรียนอาจารย์เดินไปมา ร้องทักอย่างกันเอง บางวันก็ชวนเหล่าครูน้อยมานั่งล้อมวงสังสรรค์พร้อมเหล้าฝรั่งสักแบน บางวันก็กวักมือเรียกเขาไปแบ่งกับข้าวหรือขนมที่ภรรยาท่านทำเอาไปฝากเลอมาน
ใต้แสงไฟโคมพอสว่างเรื่อเรือง คนึงได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกมะลิที่ลอยอยู่ในขันสาคร
อาจารย์สูบบุหรี่กลีบบัวพันเอง หยิบมวนหนึ่งส่งให้เขา พร้อมจุดไม้ขีดให้เสร็จสรรพ
“ความจริงแล้ว..” คนึงเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ คลึงมวนสีชมพูหม่นในมือไปมา “พวกเรารักกันครับ”
คนอาบน้ำร้อนมาก่อนอัดควันนุ่มนวลเข้าปอด ก่อนพ่นออกมาเป็นสายคลุ้ง “รู้ตั้งนานแล้วล่ะ”
อาจารย์หนุ่มค้นพบว่าตัวเองไม่ได้ตกใจสักนิด ผู้บังคับบัญชาไม่ทำให้เขารู้สึกเหมือนเด็กทำความผิดแล้วถูกจับได้ ทุกอย่างสงบ.. เยือกเย็น.. เรียบง่าย.. เหมือนกำลังเปิดใจพูดกับคนในครอบครัวสักคน
“เล็กเขาบอกว่า..” ชื่อเรียกนั้นบอกความสนิทสนมเป็นที่ยิ่ง หากคล้ายคนพูดจะฉุกใจได้ “คุณชายเขาบอกว่าเขาจะไม่กลับอังกฤษ จะอยู่เป็นครูที่นี่”
“อืม..” ผู้มากวัยกว่าลูบปลายคาง ตีสีหน้าหนักใจ “เห็นทีจะยาก”
“ผมทราบครับ”
“ไอ้เจ้า.. เอ่อ.. ท่านชายอาทิตย์” ผู้อำนวยการหลุดปากเอ่ยคำแทนตัวที่บ่งบอกความสนิทสนมอย่างยิ่งเช่นกัน “รายนั้นไม่เท่าไร ที่น่าหนักใจคือหม่อมดารา หวังว่าเรื่องนี้คงไม่ไปถึงพระเนตรพระกรรณ”
ทุกอย่างตกอยู่ในความสงัด ยินเพียงเสียงลมหนาวและแมลงกลางคืนกรีดปีก
อาจารย์วัยกลางคนพ่นลมหายใจพรู “เฮ้อ.. เจอรุ่นลูกมาแล้วยังต้องมาเจอรุ่นหลานอีกหนอ..”
“ครับ?”
“เปล่าๆ ไม่มีอะไร” ท่านโบกไม้โบกมือ ดับบุหรี่ในมือกับที่เขี่ย ก่อนลุกขึ้นบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยขบ “รอให้ชายเล็กพ้นสภาพอาสาสมัครจากโครงการเสียก่อน พ้นสถานะครูศิษย์เมื่อไรแล้วค่อยว่ากัน แต่ด้วยเหตุผลทางวินัย ผมจำเป็นต้องทำทัณฑ์บนอาจารย์ไว้ก่อนนะ”
คนึงรับคำอย่างผู้ไม่ระย่อต่อชะตากรรมใดๆ อีกแล้ว
อาจารย์ปรีชามายืนส่งที่หัวบันได ดวงตาอย่างผู้กรำโลกมามากมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินลับหายไปในความมืดจนลับตา
“เฮ่อ ความรัก..” ข้าราชการวัยใกล้เกษียรเปรยไปกับลมฟ้า กับดวงดาวและหมู่เมฆที่เคลื่อนเข้าบดบังจันทร์ “มันเข้าใครออกใครที่ไหน”
*******************************
เสียงสวดมนต์แว่วมาจากหอพักนักเรียนแล้วตอนที่คนึงกลับถึงห้อง อาจารย์หนุ่มอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อย ชะล้างคราบฝุ่นดินที่ถูกผลักลงไปนอนวัดพื้นจนสะอาดเอี่ยม กระทั่งชุดข้าราชการเปื้อนเลือดก็แอบเอาไปฝากประพนธ์ไว้ก่อน
เขาแค่ไม่อยากให้เลอมานเห็น
แต่ผ้าพันแผลที่คาหัวมันฟ้องอยู่ทนโท่
ทันทีที่เปิดประตู กลิ่นหอมอ่อนๆ รวยริน กลิ่นดอกมหาหงส์ปักหล่อน้ำไว้ในแก้วใส
“อาจารย์!” เลอมานยังรอเขาอยู่ เสียงใสบอกความประหลาดใจ “หน้าอาจารย์ไปโดนอะไรมา” ร่างบอบบางโผเผลงจากเตียงมาหา ชายหนุ่มปราดไปประคองไว้ในอ้อมแขน พิษไข้ตั้งแต่คืนวิปโยคนั้นยังไม่สร่างดีแท้ๆ
“ครูหกล้ม”
คนฟังทำหน้าเหมือนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “ตอนสายๆ เล็กได้ยินเสียงดังมาจากหน้าโรงเรียน เกิดอะไรขึ้นหรือครับ” ปากเล็กๆ ยิงคำถามเข้าใส่เป็นชุด “ตอนกลางวันจ้อยมากินข้าวเป็นเพื่อน เล็กถามก็ไม่ยอมตอบ”
คนึงไม่ตอบคำ ได้แต่ยิ้มอ่อนบาง
“ต้องมีอะไรแน่ๆ” หนุ่มน้อยยังไม่คลายกังขา “เล็กได้ยินอาจารย์วิรัชบ่น ว่าวันนี้มีผู้ปกครองมาพานักเรียนลาออกไปสองคน”
“เด็กดื้อ..” อาจารย์ทิ้งตัวลงเตียงศิษย์ ตบที่นอนข้างตัวปุๆ “มานอนได้แล้ว”
ไฟโคมดับลง หลงเหลือแสงที่ส่องจากภายนอกเลือนราง หน้าต่างเปิดแง้มไว้เพียงเล็กน้อย ปล่อยลมกลางคืนแผ่วผ่านเข้ามา หอม..หอมกลิ่นดอกมหาหงส์ กับความหอมนวลๆ ของคนในอ้อมอก
“อาจารย์..” เสียงเล็กกระซิบขึ้นกลางความเงียบงัน
“หือ”
“เราหนีไปด้วยกันไหม” ศิษย์ขยับขึ้นมาเกยคางบนอกกว้าง แก้มนวลซับสีระเรื่อนั้นคล้ายแก้วเนื้อดี ดวงตาบริสุทธิ์ สดใสดุจเด็กน้อย
อาจารย์หัวเราะในคอ “หนีไปไหนดีล่ะ”
“บ้านอาจารย์ที่สิงห์บุรี” ดวงตาสีอำพันเป็นประกายวาววาม “เล็กยังไม่เคยไปเลย”
ทุกค่ำคืน.. พวกเขานอนคุยกันอย่างนี้ คุยกันสัพเพเหระ ดินฟ้าอากาศก็คุย พระจันทร์ดวงดาวก็คุย คุยกันราวจะชดเชยช่วงเวลาที่เหินห่างกันไป ตระกองกอดกันไว้ในอ้อมแขนราวกับจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสกันอีก
“ไปอยู่กับครูต้องทำนานะ” มือใหญ่คว้ามือน้อยขึ้นมา กดจูบลงกลางฝ่ามือ บอบบางนุ่มนิ่มเหลือเกิน “เล็กทำไหวหรือ”
“ถ้าอาจารย์สอนเดี๋ยวเล็กก็ทำได้”
“แล้วจากนั้นล่ะ.. อืม..” ชายหนุ่มนิ่วหน้าใช้ความคิด ลูบผมสีสวยเพลินมือ “พอเล็กท้อง ครูก็อุ้มลูกพาเล็กไปขอขมาท่านพ่อกับหม่อมย่า” พูดไปแล้วก็ขำตัวเอง เขาคงอ่านนิยายมากเกินไป
“อาจารย์ก็พูดเรื่อยเปื่อย” เลอมานซบลงกับอกกว้าง ซ่อนใบหน้าแดงจัดเป็นลูกตำลึงสุก “เล็กเป็นผู้ชายจะท้องได้ยังไง”
สักอึดใจ.. เจ้าตัวแสบคว้ามือเขาวางลงบนท้องน้อยตน รำพึงแผ่วหวิว “เฮ้อ.. อยากมีลูกกับอาจารย์จัง..” อยู่ดีๆ อกใจคนึงก็ป่วนปั่น ป่วนปั่นจนต้องรัดร่างเล็กแทบจมหายลงไปกับอก
“ลูกเราถ้าเป็นผู้ชายต้องหล่อแน่ๆ เพราะเราหล่อทั้งคู่” เสียงทุ้มกลั้วหัวเราะ
..คนหลงตัวเอง.. ปากเล็กขมุบขมิบ
“ถ้าหม่อมย่าเห็นหลาน ขี้คร้านจะเอ็นดู”
“ไม่ๆๆ เล็กน่ะเป็นหลาน” อาจารย์แก้ให้ “ลูกของเล็กก็ต้องเป็นเหลนหม่อมย่า”
“อ้อ..” เลอมานพยักหน้าหงึก “แล้วหม่อมย่าก็จะยอมให้เราแต่งงานกัน”
“สินสอดจะแพงไหมน้อ” อาจารย์หนุ่มจูบคนรักเบาๆ ที่ขมับ “ครูขายที่ขายนาขายควายหมดแล้วไม่รู้จะพอค่าสินสอดเมียไหม”
เขารู้ตัวดี ต่ำต้อย ต่ำศักดิ์ ไร้สง่าราศี เป็นดั่งหมาวัด ดั่งควายไถนา จนมีดอกฟ้าเข้ามาในชีวิต มีแก่ใจโน้มกิ่งลงมาหา สักน้อยหนึ่งก็ไม่เคยรังเกียจ มีแต่เคารพเทิดทูน
อะไรสักอย่างเอ่อท้นขึ้นมาในอก คนึงรับรู้ว่าตัวเองเป็นที่รักมากมายเพียงใด แต่ไม่เคย..จะรู้สึกสั่นสะเทือนฉับพลันทันใดเท่าในครั้งนี้
ป่านนี้.. ทุกคนจะสาปแช่งอีกสักปานไหน
คนอย่างครูจะฝันจะหวังอะไรอีก
หัวใจรักที่ใสบริสุทธิ์ของเลอมาน หัวใจดวงนั้นถูกวางลงในมือเขา เป็นวาสนารักเท่าไรแล้ว การได้พบคนคนนี้ คือสิ่งสวยงามที่สุดในชีวิตแล้ว
จากนี้.. แม้ชีวิตจะพังภินท์ จะย่อยยับก็ปล่อยมันไป ขอแค่เพียงเลอมานยังผ่องแผ้วเฉกเช่นวันแรกที่ยังไม่ถูกเขาทำให้แปดเปื้อน
คนึงวางหัวใจต่ำต้อยลงฝ่ามือเล็กบางนั้น สาบานจะปกป้องจนกว่าชีวีจะหาไม่
*******************************
ติดตามต่อครึ่งหลังค่ะ ไม่ค่อยมีอารมณ์เขียนนิยายเลยค่ะ หนึ่งเดือนที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาแห่งการสูญเสียจริงๆ เฮ้อออ
ยังไงก็จะพยายามเขียนเรื่อยๆ ถึงจะสปีดหอยทากนะคะ
ขอบคุณทุกคอมเม้นมากๆ เราอ่านและเซฟเก็บหมด ถึงจะไม่มีเวลาตอบ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ
ดอกไม้
๑๔ พ.ย. ๕๙