Chapter:34 ความคิดถึง ผมขับรถออกจากสนามบินหลังจากที่ส่งนายนิคขึ้นเครื่องไปแล้ว บอกไม่ถูกเลยว่าความรู้สึกของผมหลังจากที่แยกจากกันมันเป็นอย่างไร รู้อย่างเดียวว่ามันไม่ดีเอาเสียเลย... ผมไม่ชอบการจากลา แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานแล้ว จำได้ว่าครั้งสุดท้ายคือตอนที่แม่จากผมไปหลังจากหย่ากับพ่อ...
หลังจากนั้นผมก็รู้สึกเกลียดการจากลาพอๆกับการรอคอย...
แต่นั่นมันก็นานมากแล้ว... นานจนผมลืมแม้กระทั่งความรู้สึกในตอนนั้นแล้วด้วยซ้ำ ไม่สิ... ผมไม่อยากจะเอามันมานึกถึงอีกมากกว่า
อันที่จริงจะบอกว่านี่เป็นความรู้สึกเหมือนครั้งอดีตก็ไม่เชิง เพราะมันต่างบุคคลต่างความหมายออกไป ครั้งนี้ผมไม่ได้จากลาแบบถูกทอดทิ้ง แต่เราจากกันด้วยรอยยิ้มและความห่วงหาอาทรต่อกัน
ส่วนการต้องรอคอยก็ต่างกันออกไป ครั้งนี้ผมไม่ต้องรอคอยด้วยความหวังอันริบหรี่เหมือนครั้งนั้นอีกต่อไป แต่ครั้งนี้ผมสามารถที่จะหวังได้อย่างเต็มเปี่ยม และเชื่อมั่นว่าความหวังของผมจะไม่มีวันถูกปฏิเสธ
คิดแล้วก็แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน ที่ผ่านมานอกจากตัวเองแล้วผมไม่เคยเชื่อใจใครได้มากขนาดนี้มาก่อน ไม่คิดเลยว่าคนอย่างผมจะยอมเชื่อใจใครคนหนึ่งได้มากถึงเพียงนี้ ถึงกับยอมไว้วางใจทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเขา แถมคนๆนั้นยังเป็นผู้ชายด้วยกันซะอีก ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยจริงๆ...
หนึ่งเดือนแล้วเหรอ...? กับการมีนายนิคคอยป้วนเปี้ยนอยู่ข้างกาย เวลาหนึ่งเดือนจะว่ายาวก็ไม่ยาวจะว่าสั้นก็ไม่สั้น แต่จากการที่เป็นคนแปลกหน้าจนถึงกับเป็นศัตรูสำหรับผมจนกระทั่งกลายเป็นคนรักกันในที่สุด ทำให้ผมเกิดคำถามกับตัวเองว่า เวลาแค่หนึ่งเดือนมันเปลี่ยนแปลงความรู้สึกของผมได้มากขนาดนี้เลยเหรอ?
ถึงกับเปลี่ยนสถานะจากคนที่เกลียดกลายเป็นคนที่รักได้อย่างง่ายดาย...
ถ้าผมในอดีตสามารถรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตได้ล่ะก็ ผมก็คงค้านหัวชนฝาว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน! แต่ในความเป็นจริงเรื่องที่เคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้ มันกลับเป็นไปแล้วนี่สิ...
เฮ้อ... เชื่อสิว่า กับเรื่องของหัวใจไม่มีใครสามารถควบคุมมันได้หรอก แม้ว่าบุคคลนั้นจะใหญ่มาจากไหนก็ตาม...
...ความรู้สึกที่อยู่ในใจคนเรา ไม่ใช่รูปธรรมที่เราจะสามารถกำหนดรูปแบบที่ต้องการได้อย่างใจนึกหรอกนะ...
แต่มีสิ่งที่เราสามารถตัดสินใจเลือกได้สองอย่างคือ ‘ใจเรากับความทุกข์ กับ ใจเรากับความสุข’
ซึ่งมันเป็นอะไรที่ยากมากเกินกว่าจะตัดสินใจเลือกได้อย่างชัดแจ้ง ถึงผมจะรักตัวเองมากแค่ไหน ก็เป็นไปไม่ได้ที่ผมจะสามารถมีความสุขกับการต้องห่างกันในครั้งนี้ และเป็นไปไม่ได้เลยที่ผมจะสามารถรอคอยอย่างมีความสุขได้ เพราะผมเป็นคนที่คิดถึงความเป็นจริงและไม่ได้เป็นคนคิดบวกถึงขนาดทำใจให้เป็นสุขได้
ผมถอนหายใจยาวเมื่อขับรถมาจอดในลานจอดรถของคอนโดที่พัก ก่อนจะเดินขึ้นลิฟท์ไปด้วยจิตใจที่ไม่ค่อยจะอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่
เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้อง สิ่งแรกที่คิดคือ...
ทำไมห้องที่อยู่จนเคยชินมานาน มันกว้างจัง... กว้างจนคิดว่าห้องชุดขนาดใหญ่แบบนี้ ทำไมผมถึงอยู่คนเดียวมาได้ตั้งนาน...
ความคิดนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จนกระทั่งตอนนี้... ตอนที่ไม่มีเงาร่างของใครอีกคนให้เห็นอีกเหมือนกับเมื่อวันวานที่ผ่านมา...
นึกแล้วก็ให้รู้สึกสะทกสะท้อนในใจ เคยอยู่กับความเหงาแบบนี้มาได้ตั้งนาน แต่ทำไมไม่เคยมีคราวไหนเลยที่รู้สึกรุนแรงได้เท่าตอนนี้
ท่าจะแย่แล้วสิผม... นี่ขนาดเพิ่งจะส่งเขาขึ้นเครื่องไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้เองนะ แล้วแบบนี้วันต่อๆไปผมไม่ยิ่งแย่ไปกว่านี้อีกเหรอ?
ไม่ได้การแล้ว... ยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่านไปเปล่าๆ ผมคงต้องหาอะไรทำเพื่อที่จะให้ตัวเองไม่มีเวลาว่างมาวุ่นวายใจอีก
.
.
.
เช้าวันต่อมา ผมตื่นนอนด้วยเสียงนาฬิกาปลุกแทนที่จะเป็นเสียงนายนิคปลุกเรียกเหมือนวันก่อนๆ รู้สึกหัวมึนอื้อไปหมดด้วยอาการความดันต่ำ แต่ก็จำต้องลุกจากเตียงอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน ก่อนไปทำงานก็ไม่ลืมหยิบคลับแซนวิชจากตู้เย็นที่หนุ่มฝรั่งทำทิ้งไว้เมื่อวานออกมากินเป็นมื้อเช้าระหว่างรอรถติด
มองแซนวิชแล้วก็นึกถึงใบหน้าคนทำลอยขึ้นมา นึกไปถึงคำพูดของเขาที่คอยกำชับกำชาให้ผมอย่าลืมกินมื้อเช้าทุกมื้อระหว่างที่เขาไม่อยู่ด้วย
“...นิคซื้ออะไรมาเยอะแยะน่ะ” ผมถามเมื่อเห็นนายนิคถือของพะรุงพะรังกลับมา ในบ่ายวันสุดท้ายก่อนจากกัน
“ก็พวกนมกับน้ำผลไม้น่ะครับแล้วก็อื่นๆอีก... ผมซื้อมาไว้ให้คุณกินรองท้องแทนมื้อเช้า”
“อะไรนะ! ฉันไม่กินนม เคยบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ?! จะซื้อมาทำไมให้เสียของเนี่ย” หนุ่มฝรั่งยิ้มเผล่เมื่อเห็นผมมีสีหน้าบูดบึ้ง
“ผมรู้น่า... ก็เลยซื้อแต่พวกนมเปรี้ยวกับนมถั่วเหลืองมาไงครับ ไม่ใช่นมรสจืดแบบที่คุณไม่ชอบหรอก...”
“ที่สำคัญ... ผมซื้อของกินมาไว้ให้คุณกินเป็นมื้อเช้าระหว่างที่ผมไม่ได้อยู่ด้วย คุณก็ต้องห้ามลืมกินเด็ดขาดนะครับ ไม่ใช่ปล่อยให้มันอยู่ยังไงก็อยู่อย่างนั้น ถ้าผมกลับมาแล้วของในตู้เย็นยังเต็มตู้อยู่ล่ะก็... ผมโกรธคุณแน่ รู้ไหมครับ... ”
ผมกรอกตาขึ้นลงด้วยอาการเซ็ง ก่อนจะพยักหน้ารับคำแบบจำใจ เพราะผมไม่ชอบทานอาหารมื้อเช้าอยู่แล้ว แต่ตั้งแต่คบกับเขาการทานมื้อเช้าก็ดันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่ต้องทำเป็นประจำทุกวันไปโดยปริยาย...
“นี่... รู้รึเปล่า? รับปากผมสิครับ” เขายังจ้องหน้าผมอยู่อย่างต้องการจะคาดคั้นเอาคำตอบจากปากผม
“ครับๆ รู้แล้ววว”
.
.
.
ผมยิ้มกับตัวเอง นี่ผมกำลังกลัวว่าเขาจะโกรธเหรอ...? ถึงได้หยิบของจากตู้เย็นมากินตามที่เขาสั่งไว้จริงๆ...
.
.
.
เวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์... ผมเริ่มปรับตัวให้คุ้นชินกับการที่ไม่มีเขาอยู่ด้วยได้บ้างแล้ว จากที่วันแรกๆผมมักจะนอนไม่หลับเกือบทุกวันเสมอเพราะพอล้มตัวลงนอนทีไรผมจะรู้สึกคิดถึงอ้อมกอดอุ่นๆที่คอยกอดผมไว้ระหว่างหลับตลอดเวลา พอผ่านไปหลายวันผมก็เริ่มปรับตัวนอนหลับได้โดยไม่มีสิ่งนั้น แต่ความคิดถึงต่อสัมผัสนั้นมันก็ยังคงติดอยู่ในความรู้สึกของผมไม่ได้จางหายไปเลยแม้แต่น้อย...
สิ่งที่ทำให้ผมนอนหลับได้ง่ายขึ้น เห็นจะเป็นการที่ทุกๆคืนก่อนผมหลับเขาจะเป็นฝ่ายโทรมาคุยกับผมบอกเล่าเรื่องราวต่างๆในแต่ละวันของเขาให้ผมรับฟัง พร้อมกับคำบอกรักหวานๆทุกครั้งก่อนจะวางสาย
นึกไม่ถึงเลยว่าแค่เพียงได้ยินเสียงของเขาก่อนนอนทุกวัน จะทำให้อาการคิดถึงของผมลดลงได้อย่างง่ายดาย และนึกไม่ถึงเลยจริงๆว่าคำบอกรักหวานหูจากปากเขาคนนั้น จะทำให้ผมยิ้มได้ทุกครั้งโดยไม่เบื่อที่จะได้ฟังมัน ผมคงบ้าไปแล้วจริงๆแหละ...
แล้วคืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่ผมกำลังคอยใครบางคนโทรมาหาอย่างเช่นทุกวัน หลังจากอาบน้ำใส่ชุดนอนสบายๆผมก็โดดขึ้นเตียงหยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้ตั้งแต่เมื่อวานขึ้นมาอ่านระหว่างรอ
เวลาผ่านไปไม่นานเสียงมือถือที่วางไว้ข้างตัวก็ดังขึ้น ผมยิ้มรีบปิดหนังสือที่อ่านแล้วกดรับสายทันที โดยไม่ได้มองหรอกว่าคนที่โทรมาหาผมใช่เป็นคนที่ผมกำลังรออยู่หรือเปล่า
“ฮัลโหลนิค!”
[“…”] คนปลายสายไม่ได้พูดตอบรับ เพียงแต่ได้ยินเสียงถอนหายใจดังเล็ดลอดออกมาเบาๆเท่านั้น
“...ฮัลโหล ได้ยินรึเปล่าครับ?” ผมเริ่มใจแป้วลง ว่าคนปลายสายอาจไม่ใช่คนที่ผมรอ
ลองก้มดูหน้าจอมือถือว่าคนโทรมาเป็นใคร แต่เมื่อเห็นชื่อคนโทรมาชัดๆ ก็รู้ตัวเลยว่าผมปล่อยไก่ไปตัวเบอะเริ่มเทิ้มเลย แถมคนปลายสายยังเป็นคนที่ไม่สมควรด้วยนี่สิ...
“...เอ่อ เรโอเหรอ...?”
[“อืมม์... เฮ้อ! พูดไม่ออกเลยเจอแบบนี้...”]
“ขอโทษ... ขอโทษนะ ไม่ทันดูว่าเรโอโทรมา...”
[“...ช่างเหอะๆ นี่กำลังรอโทรศัพท์จากไอ้นั่นอยู่ล่ะสิ ฉันคงโทรมาผิดเวลาสินะ”]
“...ก็ ใช่... แต่ก็รอโทรศัพท์จากแกอยู่เหมือนกันนะ ตั้งแต่กลับอิตาลีก็ไม่ยอมโทรมาหากันเลย ”
[“...เป็นห่วงกันด้วยหรือไง”]
ไอ้เรโอทำเสียงน้อยใจจนผมใจเสียเลย หรือว่ามันยังคิดมากอยู่...
“พูดอย่างงี้หมายความว่าไงวะ ฉันก็ต้องเป็นห่วงสิ ก็เพื่อนทั้งคนนี่... ”
[“ฮ่าๆ... พูดแบบนี้ค่อยดีใจหน่อย”]
“อ้าว... นี่แกล้งกันเหรอ เฮอะ! แล้วโทรมานี่มีอะไรอ่ะ?”
[“เดี๋ยวนี้โทรมาหาเฉยๆไม่ได้รึไงกัน มันก็น่าให้ฉันน้อยใจจริงๆนะเนี่ย...”]
“โห... เรโอคร้าบบบ ทำน้อยใจเป็นผู้หญิงไปได้ แกก็รู้ว่าฉันไม่ได้หมายความอย่างที่พูด ทำเป็นน้อยใจไปได้ แล้วเป็นยังไงล่ะ จะกลับมาไทยเมื่อไหร่?”
[“ฉันกลับมากรุงเทพตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนแล้ว!”]
“อ้าว! แล้วทำไมไม่บอกกันล่ะ ไม่คิดจะมาหากันเลยรึไง”
[“ก็ฉันไม่อยากไปเป็นก้างขวางคอของใครนี่! ไม่อยากเห็นภาพบาดตา...”]
“...ก็ไปหาฉันที่บริษัทก็ได้นี่นา” ผมบอกเสียงอ่อน
ฟังเหตุผลที่มันไม่ยอมมาหาผมแล้ว ถึงกับพูดอะไรไม่ออกเลย ผมรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของเรามันเปลี่ยนไปเล็กน้อย จนรู้สึกว่าไม่สามารถพูดจาได้อย่างสนิทใจเหมือนเมื่อเก่าก่อน ผมไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย... รู้สึกว่าราวกับว่ามันกำลังค่อยๆห่างเหินจากผมไปทีละนิดๆ... ผมไม่อยากให้เราเป็นแบบนี้...
[“ฮะๆ ฉันล้อเล่น! ความจริงไม่ว่างต่างหาก เกงานไปหลายอาทิตย์ พอกลับมา งานนี่กองสุมมาเต็มเลย วันนี้ก็เลยโทรมาหาจะชวนไปเที่ยวผับสักหน่อย แต่เห็นทีแกคงไปไม่ได้ซะแล้ว ใช่ไหม!? แล้วไอ้หมอนั่นล่ะ... มันไปไหนทำไมแกต้องรอโทรศัพท์มัน ไม่ได้อยู่ด้วยกันหรอกเหรอ...?”]
“...เขากลับไปได้สักพักแล้ว ตอนนี้ฉันอยู่คนเดียว”
[“อ้าว... มันไปไหน? ทำไมถึงทิ้งแกให้อยู่คนเดียว แล้วนี่...เป็นอะไรรึเปล่า? ไมเป็นไรใช่ไหม...”]
ผมยิ้มออกมา เมื่อรู้สึกได้ถึงความเป็นห่วงในน้ำเสียงของเพื่อนคนนี้ได้เป็นอย่างดี หรือผมจะเป็นฝ่ายคิดมากจนเกินไป... เพราะมันยังคงคอยเป็นห่วงเป็นใยผมเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน...
ทุกครั้งเลยสินะ... ที่ไม่ว่าผมอยู่ที่ไหน เป็นอย่างไร ก็จะมีคนๆนี้คอยอยู่เคียงข้างอย่างถูกที่ถูกเวลาเสมอมา... มาคิดได้ก็ตอนนี้ ว่าทุกอย่างคงเป็นเพราะเขาคอยเฝ้ามองผมอยู่และนึกถึงผมอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็เป็นได้ เพื่อนคนนี้ดีกับผมมาก ถึงแม้จะมีเหตุผลของการกระทำนั้นแอบแฝงอยู่ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำก็ไม่มีการประสงค์ร้ายต่อผมเลยแม้สักครั้ง...
เขาทำให้ผมนึกละอายใจ ที่ไม่เคยทำสิ่งใดตอบแทนน้ำใจนี้ให้สมกับที่เขามอบให้ผมได้เลยแม้แต่น้อย...
“ฉันไม่เป็นไรหรอก... เขาแค่กลับไปทำงานของเขาเท่านั้นเอง ขอบใจที่เป็นห่วงนะ”
[“เออๆ ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว! ถ้ามันทำแกเสียใจต้องรีบบอกนะ ฉันนี่แหละจะเป็นคนตามไปตื้บมันกับตีนเลยคอยดู!”]
“ฮ่าๆ พูดไปนั่น... อืมม์ ฉันอาบน้ำแต่งตัวเตรียมเข้านอนแล้ว ไม่อยากออกไปไหนอีก ไว้คราวหน้าล่ะกันนะ เที่ยวให้สนุกล่ะ”
[“อืม งั้นแค่นี้ละกัน ไม่กวนแล้ว บาย...”]
“บาย...”
ผมมองดูหน้าจอมือถือแล้วขมวดคิ้วน้อยๆ จะเที่ยงคืนแล้วทำไมยังไม่โทรมาอีกนะ...? ระหว่างคุยโทรศัพท์กับเรโอก็ไม่เห็นมีสายซ้อนเข้ามา... มัวทำอะไรอยู่นะ? หรือว่าติดงานจนไม่ว่างโทรหา...
ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านต่อ
ถ้าถามว่าแล้วทำไมผมถึงไม่เป็นฝ่ายโทรไปหาเอง?
ผมก็บอกได้เลยว่า ผมกลัวว่าจะโทรไปผิดจังหวะ กลัวว่ามันจะเป็นเวลาที่เขาทำงานอยู่ ซึ่งผมไม่อยากรบกวน เพราะผมเองก็เป็นคนที่ไม่ชอบให้ใครมารบกวนระหว่างทำงานด้วยเหมือนกัน เลยคิดว่าเขาเองก็น่าจะรู้สึกแบบเดียวกันกับผมด้วย
เพราะฉะนั้นผมคิดว่าผมควรจะรอให้เขาเป็นฝ่ายโทรมาเองดีกว่า...
แต่รอจนแล้วจนเล่าก็ไม่มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกตลอดคืน ผมไม่รู้ว่าตัวเองเฝ้ารอเขาโทรมาจนดึกดื่นแค่ไหน... และเผลอหลับไปตอนไหน... มารู้สึกตัวอีกครั้ง ก็เป็นเช้าของอีกวันไปแล้ว...
รีบคว้ามือถือมาดู แต่ปรากฏว่าไม่ว่าจะเพ่งดูยังไง ที่หน้าจอก็ไม่มีข้อความมิสคอลเข้ามาเลยสักครั้งเดียว แสดงว่าเขาไม่ได้โทรมาหาผมเลยตลอดคืน...
ผมถอนหายใจยาว ลุกจากเตียงไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปทำงาน
ตลอดทั้งวันผมเอาแต่คิดเรื่องของเขาจนไม่เป็นอันทำงาน โชคดีที่วันนี้ไม่มีงานสำคัญอะไรเท่าไหร่ จึงทำให้ผมไม่ต้องกังวลว่าจะพลาดเรื่องสำคัญไป
ผมพอเข้าใจว่าเมื่อคืนเขาอาจจะไม่ว่างโทรมา แต่เขาก็น่าจะรู้ว่าผมกำลังรอโทรศัพท์อยู่ เขาน่าจะโทรมาบอกผมสักคำก็ยังดีเพื่อที่ผมจะได้ไม่ต้องรอเก้อแบบนี้
แต่คิดมากไปก็เปล่าประโยชน์ ยังไงคืนนี้ค่อยคุยกัน แล้วถามเหตุผลจากเขาก็ได้
ตกบ่ายผมไม่มีธุระที่ไหนอีก เลยตัดสินใจขับรถไปร้านอาหารอิตาเลี่ยนของเรโอ ก่อนไปก็โทรนัดเจ้าตัวไว้ก่อน มันจะได้อยู่กับร้านไม่ออกไปเถลไถลที่ไหนให้ผมไม่เจอตัว
“ไง มากินฟรีเหรอ?” เรโอส่งเสียงทักเมื่อเห็นผมเดินเข้ามาในร้าน
มันนั่งรออยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่างมุมประจำที่ผมกับมันชอบมานั่งทานอาหารด้วยกัน บนโต๊ะมีอาหารหลากเมนูของทางร้านที่ผมชอบกินวางรอเตรียมให้ผมมาทานเรียบร้อยแล้ว มันช่างเป็นเพื่อนที่รู้ใจผมเสียจริง...
“จะให้ฉันจ่ายก็ได้นะ ฉันยังไงก็ได้” ผมบอกยิ้มๆ เลื่อนเก้าอี้นั่งลงตรงข้ามกับมัน
“แหม! ไอ้มีเงิน ไอ้รวย! หมั่นไส้ว่ะ!”
ผมหัวเราะขำคำพูดแดกดันของมัน อย่างรู้กันว่ามันไม่ได้พูดจริงจังอะไร
“กาย...”
“หืมม์?”
เงยหน้าขึ้นมองคนเรียก ขณะที่มือยังจิ้มสลัดผักเข้าปากอยู่
“เป็นอะไรรึเปล่า? หน้าตาดูอิดโรยนะ...” มันพูดพลางจ้องมองหน้าผมนิ่ง
“เหรอ... คงเพราะช่วงนี้ทำงานยุ่งน่ะ เลยเหนื่อยๆ”
“นอนไม่พออีกล่ะสิ เอาอีกแล้วนะ” เรโอว่า
“ยังไม่ชินอีกรึไง...” ผมบอกยิ้มๆ
“เฮ้อ... แล้วตอนนี้ยังกินยานอนหลับอยู่อีกรึเปล่า?”
“ไม่แล้ว”
“ก็ดี” เรโอคว้าแก้วไวน์มาจิบดื่ม ก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองผมอีกครั้ง “แต่แปลก...”
“แปลกอะไร? ก็มันไม่มีให้กินแล้ว ก่อนหน้านี้โดนเก็บกวาดไปทิ้งเรียบไม่มีเหลือ แอบเสียดายอยู่เหมือนกัน” ผมอธิบาย
“ฮ่าๆ! ฝีมือไอ้หมอนั่นเหรอ?” เรโอหัวเราะเสียงดัง ตบโต๊ะเหมือนกับถูกจะอะไรสักอย่าง
“ใช่! ทำไม?”
“ฮ่าๆ ถูกใจว่ะ! ครั้งนี้มันทำถูกใจฉันมากเลยนะเนี่ย เพราะฉันเองก็เคยแอบเอาไปทิ้งบ้างเหมือนกัน แต่แกก็เอามาใหม่อยู่เรื่อย จนฉันไม่รู้จะทำยังไงดี คิดไม่ถึงว่าหมอนั่นจะทำอะไรเด็ดขาดแบบนั้นกับแกได้ ฮ่าๆ”
ผมค้อนใส่เรโอ ก่อนจะหันมาสนใจอาหารตรงหน้าต่อ
“เออ... ขำเข้าไป เดี๋ยวนี้แอบเข้าข้างกันตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เปล่า... ก็แค่มันทำอะไรสมเหตุสมผลดี คนหัวดื้ออย่างแกมันต้องเจอซะบ้าง ฮึๆ”
“เฮอะ!”
ขี้เกียจต่อปากต่อคำกับมันแล้ว พูดทีไรมันชอบวกมาเข้าตัวผมอยู่เรื่อย เลยได้แต่กินอาหารตรงหน้าต่อ โดยมีมันเฝ้ามองพลางหัวเราะพลาง มันคงขำที่คราวนี้ผมเถียงมันไม่ออกล่ะสิ
“เอ้อ! ฉันทำทีรามิสุไว้ตั้งแต่เมื่อเช้า เดี๋ยวจะไปเอามาให้กินนะ” เรโอบอก แล้วก็ลุกออกไป
พอเรโอไม่อยู่ ผมก็อดไม่ได้ต้องกลับมาคิดถึงเรื่องนายนิคอีก ตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่นะ คงกำลังถ่ายแบบ ไม่ก็ซ้อมเดินแบบอยู่ละมั้ง พอมาคิดเรื่องงานของเขาดูแล้ว เมื่อเทียบกับตัวเองมันช่างแตกต่างกันเหลือเกิน โดยเฉพาะเรื่องของเวลา งานของเขาไม่มีเวลากำหนดตายตัว อย่างการถ่ายแฟชั่น ถ้าถ่ายเสร็จเร็วก็เลิกกองเร็ว ถ้าถ่ายเสร็จช้าก็อาจยืดเยื้อข้ามวันไปเลยก็เป็นได้
ยิ่งถ้าถ่ายแบบมีวิวแสงสีธรรมชาติประกอบฉากยิ่งแล้วใหญ่ บางครั้งก็ถึงกับต้องตื่นแต่เช้าตรู่มาแต่งหน้าทำผมเพื่อถ่ายฉากพระอาทิตย์ขึ้นเพียงแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น หากพลาดช็อตเด็ดที่ต้องการขึ้นมา ก็ถึงกับเริ่มถ่ายกันใหม่ในเช้าของอีกวันเลยก็เป็นได้
พอมาคิดเรื่องการทำงานของเขา ก็เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงมีความคิดที่จะไม่ต่อสัญญากับทางต้นสังกัดต่อ เพราะการมีต้นสังกัดจะมีงานเข้ามาตลอดเรื่อยๆ ตามแต่ทางต้นสังกัดจะแจกจ่ายงานมาให้ ยิ่งถ้ามีแววหรือได้รับความนิยม จนมีเอเจนซี่ต่างๆติดต่อขอให้ทำงานให้ก็ยิ่งแล้วใหญ่ ถ้ารับงานมากขึ้นเวลาว่างก็ลดลงเป็นธรรมดา
เขา...อาจจะคิดไว้ล่วงหน้าแล้ว ถึงได้คิดตัดสินใจไปแบบนั้น... ว่าถ้าเขาเลือกจะอยู่กับงาน ความรักของเราก็จะหยุดอยู่กับที่แบบนี้ โดยไม่มีการกระเตื้องขึ้นแต่อย่างใด...
“มาแล้วๆ ทีรามิสุแสนอร่อย!” เสียงเรโอที่เดินเข้ามาพร้อมกับถาดขนมในมือ ปลุกเรียกผมให้ตื่นจากภวังค์ความคิดทั้งมวล
“เป็นไร? ทำไมนั่งทำหน้าหงอยๆวะ กินนี่สิ! รับรองอร่อยเด็ด!”
จานเค้กที่มีเนื้อครีมสีขาวเหมือนงาช้างซ้อนทับกันเป็นชั้นๆกับบิสกิตหอมกลิ่นกาแฟอ่อนๆและกล้วยหอมสด ด้านบนโรยช็อคโกแล็ตขูดกับผงโกโก้ ดูหน้าตาน่ารับประทานมากๆ ถูกวางลงตรงหน้าผม
แน่นอนว่าฝีมือของลูกชายเจ้าของร้านอาหารก็ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน เพื่อนผมคนนี้ทำอะไรก็อร่อยอยู่แล้ว เอาหน้าหล่อๆของมันเป็นประกันได้เลย!
ผมหยิบส้อมที่ข้างจานมาตักขนมตรงหน้ากิน ความหวานมันของเนื้อครีมสดซึมทราบผ่านลิ้นจนหายไปในลำคอ กล้วยหอมกับบิสกิตรสกาแฟช่วยทำให้รสชาติไม่เลี่ยนจนเกินไปนัก
รู้สึกได้เลยว่าทานของหวานแล้วมันทำให้อารมณ์หมองๆก่อนหน้านี้รู้สึกดีขึ้นมาได้จริงๆ
“เป็นไง...อร่อยไหม?”
“อื้มมม” ผมตอบรับในลำคอพร้อมกับยกนิ้วโป้งแล้วยิ้มให้
“กายยิ้มเก่งขึ้นนะ รู้ตัวบ้างรึเปล่า” จู่ๆเรโอก็พูดขึ้นมาพลางจดจ้องมองหน้าผมอย่างแปลกใจ
“หือ? งั้นเหรอ...”
“ใช่... ดูน่ารักขึ้นกว่าเดิมมากเลย ไม่ค่อยทำตัวเย็นชาเหมือนแต่ก่อน...”
ผมหน้าร้อนผ่าวขึ้นทันใด กับคำชมที่มันพูดโดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัวออกมา
เฮ้อ...สงสัยผมจะอยู่กับนายนิคมากเกินไปแน่เลย ถึงทำให้ผมเผลอทำตัวแปลกๆออกไปแบบนี้
“เป็นเพราะมันสินะ... ชิ! ฝีมือดีจนน่าหมั่นไส้!”
ไอ้เรโอยิ้มทะเล้นส่งมาให้ผม พร้อมกับคำที่ฟังดูก้ำกวมชวนคิดแปลกๆ ทำเอาผมหน้าร้อนผ่าวยิ่งกว่าเดิมอีก
แล้วทำไมผมถึงต้องมาโดนมันไล่ต้อนแบบนี้ด้วยเนี้ย!!!
---------------------------------------------------------------
มาต่อให้ยาวกว่าเดิมแล้วนะคะ
สุดท้ายนี้ เป็นรูปทีรามิสุของเรโอ