และแล้วก็มาถึงตอนนี้... ที่ปริศนาที่หลายๆคนสงสัย กำลังจะถูกคลี่คลาย
แล้วคุณกายจะทำยังไงหนอ จะรับมือกับมันได้มั้ย? ส่วนนายนิคจะช่วยอะไรได้............
ไหนๆก็หวานกันมามากแล้ว คงจะเต็มอิ่มกันแล้วเนอะ -----------------------------------------------------------
Chapter:31 พี่สาว(ครึ่งแรก) “โอ๊ยย... สายแล้ว! นิคทำไมถึงไม่ปลุกฉัน” เสียงงัวเงียของสุดที่รักผมดังลอดออกมาจากประตูห้องนอนที่เปิดแง้มไว้ ทำให้ผมที่กำลังจัดโต๊ะอาหารอยู่ต้องหันมามองตามร่างที่ผลุนผันออกมา
“ก็เห็นคุณหลับสนิท ขนาดนาฬิกามือถือที่ตั้งไว้ก็ยังไม่ได้ยินเลย ผมก็เลยไม่อยากปลุก ว่าแต่...คนอะไรขี้เซาชะมัด...” ผมบอกยิ้มๆ มองหัวยุ่งเหยิงของเขาที่เพิ่งตื่นนอน
รู้สึกชอบคุณกายตอนที่เพิ่งตื่นมากที่สุด เพราะดูเขาเบลอๆไม่ค่อยระมัดระวังตัวเท่าไหร่ ขนาดนุ่งผ้าขนหนูจะหลุดแหล่ไม่หลุดแหล่ ก็ยังไม่เห็นได้สนใจ
คนหน้ายุ่งมองผมอย่างขุ่นเคืองนิดๆ
“ก็เพราะใครกันล่ะ ฉันถึงตื่นสาย!”
“ฮ่าๆ ผมผิดเองแหละที่เมื่อคืนไม่ยอมปล่อยให้คุณนอน แต่...ใครบางคนก็สมยอมด้วยนี่น๊า...”
คุณกายหน้าแดงแปร๊ดกับคำพูดของผม ไม่รู้ว่าเพราะโกรธหรืออายกันแน่ แต่มองยังไงเขาก็ยังน่ารักอยู่ดี
“ไอ้บ้า! ชอบกวนประสาทแต่เช้า”
“ไม่เช้าแล้วครับ จะสิบโมงแล้วนะ” ผมยิ้มตอบ
“ชิ! ฉันไปอาบน้ำก่อนล่ะ”
คนน่ารักค้อนใส่ผมวงโต ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปทางเดิม
“เดี๋ยวครับ!”
คุณกายหยุดเดินหันกลับมามองผมอย่างข้องใจ
“อะไร?”
“มอร์นิ่งคิสล่ะครับ?!” ผมทวงถาม
“ฉันยังไม่ได้แปรงฟันเลยนะ...”
“ผมไม่รังเกียจ”
คิ้วเรียวมุ่นลงเล็กน้อย ก่อนจะยอมเดินกลับมาหาผมอีกครั้ง แล้วยื่นหน้ามาให้ผมหอมซ้ายขวา แล้วปิดท้ายด้วยการจูบเบาๆบนริมฝีปากบาง
“พอยัง...?”
“ยัง! คุณต้องทำคืนแบบเดียวกับที่ผมทำด้วย”
คนตรงหน้ากลอกตาตลบหนึ่ง ก่อนจะมองหน้าผมด้วยสีหน้าเอือมระอา
“ชักจะเอาใหญ่แล้วนะ! ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
“แน่นอน!!” ผมยิ้มกว้าง ตอบชัดถ้อยชัดคำ
คุณกายมองผมรอยยิ้มค่อยๆผลุดขึ้น ก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมา
“ขำอะไรครับที่รัก...”
ผมขยับเข้าไปกอดเอวเขาไว้ สายตามองไล่ไปตั้งแต่ปลายคางได้รูป เรื่อยลงไปยังลาดไหล่และยอดอกสีชมพูสวยของเขา ร่องรอยแห่งรักเมื่อคืนปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดบนแผ่นอกและหัวไหล่ขาวนวลนั่น
“ก็ขำที่ใครบางคนไม่รู้อารมณ์ดีอะไรนักหนา ถึงได้ยิ้มไม่หุบตั้งแต่เช้าแบบนี้”
สองมือของเขายกขึ้นกอดลำคอผมไว้ ทำเอารอยยิ้มผมหุบไม่ลงอย่างที่เขาว่าจริงๆ
จากเหตุการณ์เมื่อคืนจนถึงเช้าวันนี้ ดูคุณกายเปลี่ยนไปจนสังเกตได้ เขาดูปล่อยตัวปล่อยใจกับผมมากขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยที่ไม่มีการตะขิดตะขวงใจกับการแสดงออกระหว่างเราอีก
แต่ถึงอย่างไรคุณกายก็ยังคงขี้อายเหมือนเดิม สังเกตได้จากใบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อของเขาก็รู้แล้ว
ผมดีใจมากที่สิ่งที่ผมบอกกับเขาเมื่อคืนได้ผลดีถึงขนาดนี้ ถึงมันจะเป็นความเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยสำหรับคู่รักคู่อื่น แต่มันก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับผมยิ่งกว่าอะไร เป็นผลตอบรับที่ยิ่งใหญ่จากการที่ได้ทุ่มเทความรักให้แก่เขาเลยทีเดียว
“แค่ได้เห็นหน้าคุณทุกวัน ผมก็ยิ้มได้แล้ว” ผมตอบไป
“แหวะ ดีนะยังไม่กินข้าวกัน ไม่งั้นล่ะอ้วกจริงๆแน่”
เขาก็พูดกลบเกลื่อนไปอย่างนั้นแหละ แต่ผมรู้ดีว่าเขากำลังเขินผมอยู่ หน้าก็ไม่ยอมมองผมแลยสักนิด ทำไมถึงได้น่ารักขนาดนี้นะ!
“นี่คุณอย่าเฉไฉสิ ไหนล่ะมอร์นิ่งคิสของผม”
“ก็ได้ๆ หลับตาก่อนสิ...”
ผมหลับตาลงตามคำสั่ง มือที่กอดลำคอผมไว้ฉุดดึงให้ผมโน้มคอลงมา ก่อนที่ผมจะรับรู้ได้ถึงสัมผัสเบาๆจากริมฝีปากของเขาที่จูบหน้าผากผมเบาๆ ไล่ลงมาที่เปลือกตาทั้งสองข้าง แก้มซ้ายขวา สุดท้าย...หยุดลงที่ริมฝีปากของผมแล้วผละจาก
หัวใจผมสูบฉีดเลือดจนเต้นแรงไม่หยุด ทั้งรู้สึกประหลาดใจและรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก
“คนมากเรื่องพอใจหรือยังครับ... นี่แถมให้ด้วยนะ ถือเป็นรางวัลที่เมื่อคืนพูดจาดี”
ผมมองหน้าเขาด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี ก่อนจะแกล้งยกมือขึ้นกุมหน้าอกซ้ายไว้
“โห... หัวใจผมแทบหยุดเต้นแน่ะ”
“เว่อร์!” แล้วเราสองคนก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน
“...นี่ ปล่อยสักทีเถอะ ฉันจะไปอาบน้ำแล้ว”
“งั้นผมอาบด้วยนะ” ผมรีบขอทันที แต่ดันโดนสายตารู้ทันของเขาตอกกลับมาซะงั้น...
“อาบด้วยน่ะได้ แต่ต้องรักษามารยาทในการอาบน้ำด้วยนะ”
“มารยาทในการอาบน้ำมีด้วยเหรอ? ผมเคยได้ยินแต่มารยาทบนโต๊ะอาหารนะ” ผมแย้งเขาอย่างไม่จริงจัง ตามองเขาแสร้งทำเป็นงุนงง
“มีสิ! มีไว้สำหรับคนเจ้าเล่ห์เท่านั้นแหละ ฮ่าๆ”
“คร้าบๆ ครั้งนี้ผมยอมก่อนก็ได้... ฮึๆ”
ผมยิ้มให้เขา
‘รู้ทันให้ได้ตลอดนะครับที่รัก’+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“ความจริงตำแหน่งประธานบริษัทอย่างคุณ ไม่เห็นจะต้องเข้างานแต่เช้าเลยนี่ครับ คุณเป็นเจ้าของบริษัท จะเข้างานเช้าหรือสายก็คงไม่มีใครว่าอะไรอยู่แล้ว ผมเห็นคุณไปเช้ากลับดึกทุกวัน บางวันก็หอบเอกสารกลับมาดูต่อที่บ้านอีก ไม่เหนื่อยบ้างหรือครับ?”
หนุ่มฝรั่งถามขึ้นระหว่างที่เรากำลังนั่งทานอาหารเช้าที่เจ้าตัวทำให้
วันนี้ถึงผมจะบ่นว่าสาย แต่ความจริงคิวงานของผมวันนี้ก็ไม่ได้สำคัญอะไร แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมอยู่ในตำแหน่งผู้สืบทอดบริษัทของพ่อแล้วจะทำตัวเอ้อระเหยได้ อย่างน้อยการทำให้บริษัทก้าวหน้าต่อไปโดยไม่ตกต่ำลงก็เป็นหน้าที่สำคัญที่ผมต้องรับผิดชอบอยู่ดี
นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะถึงบริษัทของครอบครัวผมจะมีความมั่นคงสถาพร แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีคู่แข่งที่โดดเด่นรายอื่นๆเลย อีกทั้งผลกระทบของเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา ทำให้อะไรๆก็เกิดขึ้นได้ในยุคสมัยของการแข่งขันทางเศรษฐกิจนี้
ถ้าเราไม่มีความรอบคอบเป็นกิจวัตรล่ะก็ ต่อให้มีเสาค้ำบริษัทที่แข็งแกร่งเพียงไหน สักวันหนึ่งก็ต้องล้มลงได้... และผลกระทบต่อมาไม่ใช่แค่ผู้ถือหุ้นบริษัท ไม่ใช่แค่ผู้บริหารระดับสูง แต่ส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อพนักงานทั้งบริษัทและครอบครัวที่มีจำนวนไม่ใช่น้อย...
เพราะฉะนั้นผมจะมานั่งตำแหน่งลอย คอยให้พนักงานระดับล่างทำงานให้ไม่ได้! ตัวผมที่เป็นประธานบริษัทก็ต้องควบคุมเครือข่ายบริษัทให้เกิดการพัฒนาเป็นที่ประจักษ์ ไม่อย่างนั้นจะเอาอะไรมาเป็นหลักประกันให้พนักงานมีความเชื่อมั่นในระบบบริหารได้?
อีกทั้งเรื่องเงินโบนัสใครๆก็ต้องอยากได้กันทั้งนั้น ถ้าบริษัทมีงบประมาณที่สูงและมั่นคงให้กับพนักงาน บุคลากรของบริษัทก็จะตั้งใจทำงานให้แก่บริษัทอย่างเต็มที่ เพื่อให้มีผลงานจนได้รับการพิจารณาในเรื่องเงินปันผล
“มันก็ใช่ที่ไม่มีใครว่าอะไร... แต่ฉันก็ทำแบบนี้มาจนชินแล้ว อีกอย่าง...คนเป็นผู้นำไม่ใช่แค่เป็นแต่ชี้นิ้วออกคำสั่งผู้ใต้บังคับบัญชาเท่านั้น แต่ก็ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้พวกเขาเห็นก่อน พวกเขาถึงจะยอมทุ่มเททำงานให้แก่บริษัทเราอย่างเต็มที่ไง ”
ผมตอบโดยสรุปให้นายนิคเข้าใจ เพราะต่อให้สาธยายหลักเหตุผลของผมทั้งหมด วันนี้ก็คงไม่จบไม่สิ้น
หนุ่มฝรั่งมีสีหน้าครุ่นคิดกับคำพูดของผม ผงกศีรษะเล็กน้อยเป็นเชิงเข้าใจ
“ไอ้เรื่องธุรกิจนี้ผมก็ไม่ถนัดนักหรอก คงจะเถียงสู้คุณไม่ได้ แต่ผมอยากให้คุณรู้ด้วยว่า ไม่ใช่มัวแต่นึกถึงพนักงานของคุณเท่านั้น แต่คุณต้องนึกถึงตัวคุณเองด้วย ผมไม่อยากเห็นคุณโหมงานจนไม่ได้ใส่ใจสุขภาพร่างกายตัวเอง ”
“ฉันฟังเรโอบ่นเรื่องนี้จนหูชาแล้ว ยังต้องมาฟังนายอีกเหรอเนี่ย...” ผมบ่นพึมพำ
“เขาพูดถูกแล้วครับ และคุณควรจะรับฟังเขาด้วย”
ผมมองนายนิคอย่างไม่เชื่อสายตา ไม่เข้าใจว่าไม้เบื่อไม้เมาคู่นี้ไปญาติดีกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนอยู่ที่ภูเก็ตยังจิกกัดกันจนนาทีสุดท้ายอยู่เลย วันนี้นายนิคกลับพูดจาเข้าข้างอีกฝ่าย!
“คุณไม่ต้องมองผมแบบนั้นหรอก ยังไงผมกับหมอนั่นก็คงเข้าหน้ากันไม่ติดง่ายๆ แต่ที่ผมเห็นด้วยกับเขา เพราะผมรู้ว่าหมอนั่นกับผมเหมือนกัน แค่มองตามัน...ก็รู้แล้วว่า ความห่วงใยที่มีต่อคุณมีไม่แพ้กัน”
ผมเข้าใจดีที่นายนิคพูด และเข้าใจเรโอเช่นกัน เรื่องระหว่างพวกเราแม้จะคลี่คลายด้วยดีแล้ว แม้เรโอจะเข้าใจและรับรู้ถึงจุดยืนของตัวเอง แต่ยังไงผมก็รู้สึกเสียใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่ดี ผมทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากปล่อยให้เวลามันลบเลือนไป
หวังว่าเพื่อนของผมคนนี้ จะลืมความเจ็บปวดได้โดยเร็ว แล้วกลับมาเป็นเพื่อนคนเดิมของผม...
นายคิคเห็นสีหน้าหม่นหมองเป็นกังวลของผม จึงบอกกับผมด้วยน้ำเสียงปลอบโยน
“อย่าเสียใจไปเลย... คุณทำดีที่สุดแล้ว และก็อย่าไปทำหน้าแบบนี้ต่อหน้าหมอนั่นนะครับ ความทุกข์ใจของคุณ จะยิ่งทำให้เขาเสียใจมากขึ้น เข้าใจนะครับ...”
หนุ่มฝรั่งลูบหลังมือของผมเบาๆ พลางคลี่ยิ้มอย่างให้กำลังใจ ทำให้ผมรู้สึกใจชื้นขึ้น เพราะตั้งแต่เรโอกลับไปอิตาลี ก็ไม่ได้ติดต่อหาผมอีก ผมเองก็ไม่กล้าโทรหามัน กลัวว่าถ้าโทรไปแล้วจะทำให้ความรู้สึกของเรโอแย่ลง...
คงต้องรอเวลาให้มันรู้สึกสบายใจจนติดต่อกลับมาเองนั่นแหละ จะเป็นการดีที่สุดแล้ว...
“ฉันไปทำงานก่อนล่ะ เย็นนี้ไม่ต้องทำกับข้าวรอนะ ฉันกะว่าจะเลิกงานเร็วสักหน่อย แล้วเดี๋ยวเราออกไปทานข้าวข้างนอกกัน”
ผมลุกขึ้นจากโต๊ะ เดินไปใส่รองเท้าที่หน้าประตูโดยมีหนุ่มฝรั่งเดินตามมาส่ง
จุ๊บ!
ร่างสูงโน้มหน้ามาจูบปากผมเบาๆ แล้วส่งยิ้มให้
“ขับรถดีๆนะครับที่รัก”
...
หลังเคลียร์งานในวันนี้เสร็จเรียบร้อย ผมก็ขับรถตรงกลับคอนโดทันที เพื่ออาบน้ำแต่งตัวเตรียมออกไปกินข้าวข้างนอกพร้อมกัน
อยากจะตอบแทนน้ำใจของหนุ่มฝรั่งบ้าง ที่คอยทำกับข้าวให้ผมทานทุกมื้อ ตอนเช้าก็ตื่นมาทำอาหารเช้าให้ ส่วนตอนเย็นยังทำอาหารรอให้ผมที่กลับดึกดื่นมากิน แต่เขาไม่เคยบ่นอะไรเรื่องนี้สักคำ มีแต่จะทำทุกอย่างให้ผมด้วยความเต็มอกเต็มใจ
ทำให้ผมรู้สึกว่าอยากจะทำอะไรให้กับเขาบ้าง แม้จะเรื่องเล็กๆน้อยอย่างการไปกินข้าวด้วยกันข้างนอกเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศก็ตาม
เป็นเวลาทุ่มหนึ่งได้กว่าพวกเราจะอาบน้ำแต่งตัวกันเสร็จ เตรียมตัวออกไปกัน และก็เช่นเดินที่ผมต้องทำหน้าที่ขับรถ เพราะมีแต่ผมคนเดียวเท่านั้นที่รู้จุดหมายปลายทางของร้านที่จะไป
“เราจะไปทานข้าวที่ไหนเหรอครับ ...คุณคงเบื่อกับข้าวฝีมือผมแล้ว ถึงได้ชวนมากินข้างนอกแบบนี้”
ผมเลิกคิ้วมองคนด้านข้าง น้ำเสียงที่เขาพูดก็ไม่ได้มีท่าทีน้อยใจแต่อย่างไร แต่ยังไงผมก็อดที่จะแย้งไม่ได้อยู่ดี
“เปล่านะไม่ได้เบื่อ กับข้าวฝีมือนายอร่อยมากเลย เพียงแต่เปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ดีเหมือนกัน ฉันไม่อยากให้นายอุดอู้อยู่แต่ในห้องทั้งวัน”
หนุ่มฝรั่งยิ้มกว้างกับคำพูดของผม
“แหม! ชื่นใจจังครับ”
ร้านอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งนี้ เป็นพี่ทิพย์พี่สาวแท้ๆของผมพาผมมากินบ่อยๆเวลาที่เรานัดพบกัน เธอมักจะคะยั้นคะยอให้ผมออกมาเจอเสมอ แต่นานๆครั้งที่ผมจะตกลงตอบรับ เพราะการพบกับพี่สาวเท่ากับเป็นการพบกับความจริงบางอย่าง...
บรรยากาศริมน้ำยามค่ำคืนเย็นสบายจนรู้สึกอารมณ์ผ่อนคลาย โต๊ะเก้าอี้แยกกันเป็นสัดเป็นส่วนกับโต๊ะอื่นๆ ทำให้มีความเป็นส่วนตัวไม่ต้องรู้สึกเบียดเสียดแออัดกับคนอื่น
อาหารของที่นี่ก็อร่อยแถมยังสะอาดสดใหม่ ไม่แปลกอะไรที่จะมีคนมาทานเต็มทุกโต๊ะ โดยเฉพาะเวลาค่ำๆอากาศเย็นสบายแบบนี้ โชคดีที่ผมโทรมาจองโต๊ะไว้ล่วงหน้าก่อน ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้กินกันพอดี
ผมกับนายนิคสั่งอาหารกันมาจนเต็มโต๊ะ ระหว่างรออาหารมาเสริฟ์ก็นั่งคุยกันพลางมองเรือแล่นไปมาบนผิวน้ำพลาง
“ที่นี่บรรยากาศดีจังเลยครับ นึกไม่ถึงว่าคนที่หมกมุ่นอยู่กับงานอย่างคุณ จะรู้จักร้านดีๆแบบนี้ด้วย”
“จะชมหรือว่ากันแน่! ฉันไม่ได้บ้างานจนไม่ลืมหูลืมตาเสียหน่อย...”
นายนิคหัวเราะขำ มองบริกรของร้านที่ทยอยนำอาหารมาเสริฟ์ที่โต๊ะ
“มา เดี๋ยวผมแกะกุ้งเผาให้คุณกิน”
เราผลัดกันกินผลัดกันคุย เล่าเรื่องราวหลายๆอย่างของตัวเอง แต่โดยส่วนมากเขาจะเป็นคนเล่าเรื่องวีรกรรมตอนเป็นวัยรุ่นให้ผมฟังเสียมากกว่า ซึ่งก็สนุกสนานน่าตื่นเต้นทุกเรื่อง จนผมคิดว่าเรื่องของผมมันช่างจืดชืดจนไม่น่าหยิบยกมาเล่าเสียเหลือเกิน...
“อ้าว! กาย!”
เสียงหนึ่งดังขึ้นเรียกให้ผมหันไปมอง เห็นครอบครัวพ่อแม่ลูกกำลังเดินมานั่งที่โต๊ะตรงข้ามกับพวกผม และหญิงสาวที่เรียกผมนั้น... เป็นพี่สาวของผมที่เพิ่งนึกถึงอยู่หยกๆนั่นเอง
ธาราทิพย์... พี่สาวแท้ๆของผม...
“สวัสดีครับคุณพล พี่ทิพย์ก็มาทานข้าวเหรอครับ” ผมลุกจากโต๊ะยกมือไหว้พี่เขย โดยมีนายนิคยืนขึ้นทำตามอย่างงงๆ
พี่ทิพย์มองนายนิคอย่างแปลกใจ ก่อนจะหันมายิ้มให้ผม
“ใช่จ้ะ! ว่าแต่เป็นไงบ้างล่ะเรา ไม่ได้เจอพักนึงเลยนะ ต้นกล้าบ่นคิดถึงคุณน้ากายจะแย่ ”
เธอบอกพลางปล่อยมือให้ลูกชายวัยห้าขวบวิ่งเข้ามาหาผมด้วยท่าทางดีอกดีใจ
-------------------------------------------------