†ღ♥ Łove Âccident!! วุ่นรัก พิทักษ์ใจ ♥ღ†(นายนิค&คุณกาย) ตอนพิเศษ Happy Valentine's Day
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: †ღ♥ Łove Âccident!! วุ่นรัก พิทักษ์ใจ ♥ღ†(นายนิค&คุณกาย) ตอนพิเศษ Happy Valentine's Day  (อ่าน 522760 ครั้ง)

satan666

  • บุคคลทั่วไป


พูดได้คำเดียวว่า " ตาย 5 แน่นอน "  นายนิค
 
 :sad4:
 


ไม่ขนาดนั้นหร๊อกกกก อิอิ กายไม่โหดขนาดน้านนน

:เฮ้อ:
ใจจะขาด...กายคงได้ยินแล้วละ รอต่อไปแทบไม่ไหว  :serius2:

อย่าเพิ่งขาดใจน๊า นี่ขนาดมาต่อทุกวันแล้วนะเนี่ย :กอด1:

:m15: :m15: ค้างอ่ะ

เย้ๆ ดีใจที่พี่ทิพย์กลับมาอ่านต่อ อิอิ :กอด1:
อ่านตอนนี้หายค้างแล้วคร๊า หรือเปล่าหว่า?

ค้างจิ มาต่ออีกนะค่ะ อย่าหายไปนานนะ  :m15:

ไม่หายไปนานแล้วคร๊า นี่ก็มาต่อติดๆกันหลายวันแล้วน๊า แต่ไม่มีใครเห็นอ่ะจิ ว้าๆๆๆ

มันค้างอ่ะ  คุณพอนนี่

 :call: :call:

555++ ถึงขนาดจุดธูปเรียกเชียว

โคดค้างเลย  :serius2:

ค้างๆคาๆ ไม่ชอบหยือ อิอิ แต่มาต่อให้แบบไม่ค้างแล้วน๊า :L2:

:z2: มาจิ้ม +

รอตอนต่อไปจ้ะ

การี๊ด... พี่นนนี่ คิดถึงมักๆ  :กอด1:

ค้างงงงงง มากมาย ถ้าพรุ่งนี้ไม่ต่อ พี่จะบอมทู้ พอนนี่  :serius2:
กายจะคิดงัยเนี่ย ขอให้เข้าใจกันด้วยนะ ห้ามเศร้า  :z10:

คนนี้น่ากลัวมากมาย ถึงขั้นข่มขู่กันเลยยย

ไม่เศร้าหรอกคร๊า เขียนให้เศร้าก็ปวดเฮดคนแต่งเปล่าๆ :laugh:



-----------------------------------------------

ปล. ถึงคนอ่านทุกท่าน

จะถามว่าอัพถี่ๆแบบนี้ดีมั้ยหน้อออ
เหมือนมันแปลกๆ เหมือนจะไม่ค่อยมีใครสังเกตเห็นกัน เพราะมันผิดปกติวิสัยนี่เอง... - -*

คนที่เคยติดตามเขาคงเคยชินกับระยะห่างของการอัพเมื่อก่อนซะแล้ว เลยปรับตัวไม่ทันกันรึเปล่า? 555+

มันเงียบบบบบอ่า เค้าเหงา...

 :monkeysad:






satan666

  • บุคคลทั่วไป



บทที่33 Part4




กว่าจะขับรถกลับมาถึงห้องก็เป็นเวลากว่าสี่ทุ่มแล้ว... ทันทีที่ขึ้นลิฟต์มาถึงชั้นที่พัก ผมก็ไม่รอช้าที่จะเปิดประตูเข้าห้องไป  เพราะไม่รู้ว่าคนที่รอผมกลับมาทานข้าวด้วยกันจะรอผมจนเบื่อไปแล้วหรือยัง

เข้ามาในห้องก็ไม่เห็นนายนิคนอนดูทีวีรอบนโซฟาเหมือนอย่างที่เคย ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจ ก่อนจะหันไปเห็นเงาคนยืนอยู่นอกระเบียง

ปรากฏว่านายนิคกำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ข้างนอกนั่น... เห็นแล้วก็ไม่อยากเข้าไปกวน เขาคงกำลังคุยธุระเกี่ยวกับงานของเขากระมัง... ผมเลยตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องนอน เพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วค่อยมาทานข้าวด้วยกัน

   เปิดตู้เสื้อผ้าหยิบผ้าขนหนูผืนใหม่ออกมา สายตาเหลือบไปเห็นกระเป๋าเป้ใบใหญ่ของนายนิคที่ข้างตู้ล้มอยู่บนพื้นห้อง เลยกะจะยกขึ้นมาวางให้มันดีๆหน่อย ปรากฏว่าซิปกระเป๋ามันดันปิดไม่สนิท มุมกระดาษใบหนึ่งเลยโผล่พ้นออกมาข้างนอก

ด้วยความหวังดีผมจึงรูดซิปออกเพื่อเก็บเอกสารให้เขาใหม่ เผื่อเป็นเอกสารสำคัญมันจะได้ไม่ยับ...

แต่ผมก็ต้องงงันวูบ เมื่อหยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมาดู เพราะแผ่นกระดาษใบนี้...มันเป็นอะไรที่ผมช่างคุ้นตาเหลือเกิน...

กระดาษในมือผมตอนนี้มันเป็น E-Ticket ที่ถูกปริ้นออกมาจากเครื่องปริ้นเตอร์นั่นเอง...
รายละเอียดในตั๋วใบนี้ทำให้ผมต้องชะงักอีกครั้ง เมื่อเห็นวันเวลาที่ระบุ เป็นวันที่สิ้นเดือนนี้... ก็อีกไม่กี่วันนี้แล้วสิ...

 ในใจสับสนงุนงงไปหมด เกิดคำถามขึ้นในหัวสมองมากมายจนรู้สึกมึนอื้อ...

ทำไมไม่บอกกันบ้างเลยว่าจะไปแล้ว?

หรือคิดจะหายไปจากชีวิตผมเงียบๆไม่บอกไม่กล่าวกัน?

ทำไมเขาต้องทำแบบนี้ด้วย!?

เรื่องสำคัญขนาดนี้...

หรือว่าเบื่อกันแล้ว...เลยไม่อยากจะบอก...

ยิ่งคิดผมก็ยิ่งรู้สึกทรมานข้างในอก ในใจมันไหววูบไปหมด เหมือนกับกำลังถูกของมีคมกรีดเฉือนหัวใจออกเป็นชิ้นๆ

กระดาษในมือถูกผมขยำยู่ยี่โดยไม่รู้ตัว! จากความสับสนกลายเป็นความกรุ่นโกรธที่เริ่มปะทุอยู่ภายในใจ!

ผมโกรธมาก... ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องกลับไป แต่เป็นเรื่องที่จนถึงวันนี้... วันที่เขาใกล้จะไปแล้ว แต่เขากลับปิดเงียบโดยไม่คิดจะบอกผมล่วงหน้าสักคำ หรือเขาคิดจะรอจนถึงวันสุด
ท้ายแล้วค่อยมาบอกกัน...?

มันจะใจร้ายกับผมมากเกินไปไหม!?

ขาของผมก้าวเดินไปหาเจ้าตัวที่กำลังทำร้ายจิตใจผมอยู่ จะด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ยังไงวันนี้ผมก็ต้องคาดคั้นถามเหตุผลจากปากเขามาให้ได้!

.
.
.


ผมเดินไปที่ระเบียงห้อง เลื่อนบานประตูกระจกออก แต่เหมือนคนที่ผมกำลังต้องการหาจะยังไม่รู้สึกตัวว่าผมมา เขายังคงคุยโทรศัพท์ต่อไปเรื่อยๆ

ผมชะงักค้างเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันแล้วก็ไม่รู้ เมื่อบทสนทนาที่เขากำลังคุยอยู่กับปลายสาย ดังเข้ามาในหูผม จนได้ยินอย่างชัดเจน...

“ผมแค่โทรมาถามว่าสัญญาหมดเมื่อไหร่เท่านั้น! ส่วนเรื่องคิดใหม่หรือตัดสินใจยังไง เอาไว้ใกล้หมดสัญญาแล้วผมจะบอกพี่อีกทีละกัน แต่ยังไง...เมื่อถึงเวลานั้น ผมคิดว่าผมคงไม่เปลี่ยนใจหรอก...”

นี่มัน...หมายความว่ายังไงกัน...?

สัญญางั้นเหรอ...? หรือที่เขากำลังพูดถึงอยู่คือสัญญาว่าจ้าง?!

“โอเค... ผมแค่โทรมาถามเฉยๆ พี่คงเข้าใจผมนะ ที่เวลามีความรักแล้ว ก็อยากจะใช้เวลาอยู่ร่วมกันให้มากๆ ไม่อยากจะให้เราห่างกัน...” 
 
ฟังถึงตรงนี้ ผมก็พอจะคาดเดาเรื่องราวได้แล้ว ว่าสิ่งที่เขากำลังพูดกับปลายสายคือเรื่องอะไร คำพูดของเขามันก็ฟังดูดีอยู่หรอกนะ ไอ้เรื่องอยากอยู่กับผมนานๆ ไม่อยากให้งานที่ทำเป็นเหตุให้เราต้องห่างเหินกัน แต่สิ่งที่เขาคิด...มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีใจหรือปลื้มใจเลยสักนิด!

เพิ่งจะรู้ว่าอีกไม่นานเขาก็จะไปจากผมแล้ว แถมยังต้องมาฟังเรื่องที่เขาคิดจะเสียสละการงานที่เขารัก เพียงเพราะว่าเขาคิดจะเอาเวลาในส่วนนั้นมาเติมเต็มให้ผม!

วันนี้มันอะไรกัน... ทำไมผมต้องกลับมาเจอเรื่องเซอร์ไพรส์สุดๆถึงสองเรื่องในเวลาเดียวกันแบบนี้ด้วย? แค่นี้ผมยังต้องเจอเรื่องเคี่ยวกรำจิตใจมาไม่พอหรือไง ถึงต้องมีเรื่องมาทำให้จิตใจผมเหนื่อยล้าลงแบบนี้อีก...

จำเป็นด้วยหรือที่การที่เขาได้มาคบกับผม แล้วต้องมาเป็นฝ่ายเสียสละตัวเองแบบนี้... มันจำเป็นด้วยหรือ...

ตลอดมาผมไม่เคยคิดจะหวังพึ่งพิงใคร เพราะกลัวว่าจะเป็นฝ่ายทำให้อีกฝ่ายเป็นภาระ ผมไม่ต้องการจะให้ใครมาลำบาก เพียงเพราะว่าเขามีผม!

 เขาไม่รู้บ้างเลยหรือไง... ว่าผมเกลียดเรื่องแบบนี้เป็นที่สุด!

“ยังเลย...”

“ครับ... ขอบคุณนะครับพี่”

สิ้นสุดการสนทนานั้น แผ่นหลังกว้างที่ผมเคยคิดว่ามันแสนอบอุ่นและมั่นคงนั้นก็หันกลับมา ให้ผมได้เผชิญหน้ากับคนที่ผมเคยคิดว่าเขาพร้อมที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกันกับผม

แต่ในตอนนี้... เขากลับทำให้ผมคิดว่า เขากำลังทำเพื่อสุขของผมเพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยที่ผมไม่เคยได้แตะต้องทุกข์สุขในส่วนของเขาเลยแม้แต่น้อย...

ผมจับจ้องมองคนตรงหน้านิ่ง ยอมรับกับตัวเองเลยว่า ยิ่งได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับเขา ความรู้สึกที่อยากจะพึ่งพิงคนๆนี้ก็มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆจนน่ากลัว... การกระทำที่เขาทำให้ผมทุกๆอย่างมันทำให้ผมรู้สึกเคยตัว จนทำให้เกิดความรู้สึกว่าไม่อยากอยู่ห่างจากเขา...

แต่มันไม่ใช่แบบนี้! ผมไม่ต้องการแบบนี้!

ผมไม่ใช่คนอ่อนแอถึงขนาดให้ใครต้องมาทำอะไรเพื่อผมแบบนี้!

การกระทำของเขาที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนเป็นคนเห็นแก่ตัวแบบนี้ ผมไม่ต้องการ!

“คุณกาย...”

นายนิคครางชื่อผมออกมาเบาๆ เมื่อเห็นผมยืนจ้องหน้าเขาอยู่ตรงประตู สีหน้าที่ตื่นตกใจของเขา ทำให้ความโกรธในใจผมยิ่งปะทุรุนแรงขึ้น!

เมื่อเขาเหลือบเห็นกระดาษในมือผมก็ยิ่งหน้าถอดสี พร้อมกับหลบสายตาผมที่จ้องมองมา
ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามสะกดข่มความโกรธขึ้งที่แล่นริ้วอยู่ภายในใจ

“หมายความว่ายังไง...” ผมถามเสียงรอดไรฟัน พร้อมกับชูกระดาษในมือขึ้นปาใส่หน้าเขา แต่ด้วยลมที่พัดแรงจากที่สูงทำให้กระดาษปลิวออกไปทางอื่นแทน

หนุ่มฝรั่งมองตามกระดาษที่ปลิวหล่นไปยังที่ห่างไกล แล้วหันมามองหน้าผมอย่างกระอักกระอวน

“ผมแค่ปริ้นมันออกมาดู...”

เขาบอกเสียงเบาหวิว สบสายตากับผมด้วยแววตาสำนึกผิด
 
“ฉันไม่ได้ถามว่าปริ้นออกมาทำไม! ฉันถามว่า มัน-หมาย-ความ-ว่า-ยังไง!” ผมสวนกลับไปด้วยเสียงที่ดังกว่าหลายเท่า ตัวของผมสั่นระริกตามแรงอารมณ์ที่ถาโถม

จ้องมองนัยน์ตาสีมรกตคู่สวยนั้นเขม็งนิ่งด้วยความเจ็บปวดใจ จนขอบตารู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมา ภาพตรงหน้ากลับกลายเป็นพร่ามัว เมื่อรู้สึกได้ถึงความชุ่มชื้นของน้ำในตา...

อีกฝ่ายมีท่าทีตกใจเมื่อเห็นอาการของผม มือหนาเลื่อนมาจับต้นแขนผมบีบเบาๆ

“คุณกายครับ...ใจเย็นๆ ฟังผมก่อนนะครับ ผมอธิบายได้...นะครับคนดี...” 

น้ำเสียงอ่อนโยนของเขา ทำให้ความโกรธของผมสงบลงได้บ้าง แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด...

“อธิบายอะไร? เรื่องตั๋วเครื่องบินหรือว่าเรื่องสัญญาว่าจ้าง...?” ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมถาม

“คุณได้ยิน...”

“ใช่... นายทำให้ฉันเซอร์ไพรส์มากเลยวันนี้ ขอบใจมากนะ ในทุกๆเรื่องที่นายพยายามจะเสียสละเพื่อฉัน แต่อย่าเลย... เพราะวิธีการแบบนี้ฉันไม่ต้องการ และยอมรับไม่ได้!”

“ส่วนเรื่องตั๋วเครื่องบินนั่น! ฉันจะไม่ว่าอะไรเลยถ้านายเดินมาบอกฉันสักคำว่าจะต้องกลับไปแล้ว อย่างน้อยก็บอกไว้ก่อนก็ยังดี ฉันจะได้เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ได้ ไม่ใช่ให้ฉันมารู้ทีหลังในวันที่นายจะไปอยู่รอมร่อแบบนี้! นายใจร้ายกับฉันมาก รู้ตัวบ้างไหม...”

ผมสะบัดแขนออกจากมือเขาโดยแรง แล้วกลับหลังหันเดินจากไป

“คุณกาย ฟังผมก่อนครับ! คุณกาย!”

“หมดเวลาอธิบายแล้ว ฉันเข้าใจทุกอย่างทั้งหมดแล้ว!”

นายนิคเดินตามมากอดผมไว้จากข้างหลัง อ้อมแขนของเขากอดรัดผมจนแน่น พร้อมกับฝังใบหน้าลงบนไหล่บ่าของผม น้ำเสียงสั่นพร่ากระซิบคำพูดที่ทำเอาหัวใจผมต้องอ่อนยวบลง   

“อย่าเดินหนีผมแบบนี้ อย่าหันหลังให้ผม... ได้โปรด...”

เรากอดกันนิ่งอยู่แบบนั้นสักพัก พร้อมกับใจของผมที่ค่อยๆสงบลงเรื่อยๆ อ้อมกอดที่อบอุ่น... ลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดต้นคอ... ทำให้จิตใจผมผ่อนคลายความตึงเครียดลงได้อย่างน่าประหลาด

“คุณกำลังเข้าใจผมผิด... สิ่งที่ผมคิดจะทำมันไม่ใช่การเสียสละ แต่เป็นสิ่งที่ผมคิดจะทำเพื่อเรา ไม่ใช่เพื่อความสุขของใครคนใดคนหนึ่ง แต่มันเป็นความสุขของเราสองคน…”

ผมนิ่งฟังคำพูดของเขา ความรู้สึกอุ่นวาบค่อยๆแผ่ซ่านลงในจิตใจผมอีกครั้ง ดีใจที่เขาต้องการจะทำก็เพื่อความรักของเรา แม้ในใจผมจะยังรู้สึกขัดแย้งในสิ่งที่เขาบ่งบอกก็ตาม

เพราะผมไม่คิดว่านี่เป็นทางออกที่ดีระหว่างเรา มันจะดีหรือ... ที่เขาต้องมาฝากอนาคตทั้งหมดไว้ที่ผมคนเดียว ผมทำไม่ได้หรอก... แม้เขาจะมั่นคงต่อผมอย่างแท้จริง แต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่ารักของเราจะมั่นคงตลอดไป?

ผมไม่ต้องการให้ใครมานั่งเสียใจทีหลัง และหวังจะหาทางออกที่ดียิ่งกว่านี้ เพื่อที่ต่างฝ่ายจะได้ไม่มีใครต้องเสียเปรียบกันและกัน...




แค่คำว่า ‘ความรัก’ อย่างเดียว มันเอามายึดหลักทั้งหมดของชีวิตไม่ได้หรอกนะ...




------------------------------------------------



ปล. สำหรับตอนนี้ค่อนข้างซีเรียสอยู่มาก 555++ เมื่อไหร่จะหมดตอนนี้ซักทีหนอ อยากเขียนอะไรน่ารักๆมั่งแล้ว   :z10:

แต่ทำไงได้ ตอนนี้ก็เป็นตอนสำคัญตอนหนึ่งของเรื่องซะด้วย ก็ต้องทุ่มเทอย่างเต็มที่ล่ะนะ!

สำหรับเรื่องราวของตอนนี้ จุดประสงค์ในการแต่งก็เพื่อแสดงความแตกต่างทางมุมมองความคิดของคนสองคนค่ะ

ฝ่ายหนึ่ง เป็นคนที่ทุ่มเทกับความรักมาก และมีมุมมองที่ลึกซึ้งในการใช้ชีวิตคู่ การแสดงความรักต่อกันและกัน ที่มอบให้อย่างหมดหน้าตัก โดยไม่สนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิด แต่ขอให้ประคับประคองความรักครั้งนี้สำเร็จก็พอ

ส่วนอีกฝ่าย ก็คิดแบบเจ้าคนนายคน คิดถี่ถ้วนรอบคอบ และมีมุมมองในรูปแบบของการใช้ชีวิตจริง ที่ต้องมีปัจจัยหลายๆอย่างมาเป็นตัวเสริมนอกจากความรัก

ปลล. อ่านแล้วมีความคิดเห็นต่อเรื่องราวยังไงก็บอกด้วยนะคะ จุ๊บๆ อิอิ :-[




ออฟไลน์ ï_Kiss_U♥

  • รักไม่ได้
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-2
สู้ๆๆ เข้ามาเชียร์แล้วนะ 5555
คนอ่านก้ออยากอ่านตอนน่ารักๆ หวานๆ ปนหื่นๆ :z1:
  และก้อตอนสำคัญของเรื่องเหมือนกัน
อิอิ
+1  :กอด1:

kaewpoo

  • บุคคลทั่วไป
ค้างอีกแล้ว o22  กำลังเศร้า  :m15:

ออฟไลน์ •ผั๑`|nกุ้va’ด•

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1278
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-69
 :a5:  . . . .
 
ไม่ตายก็เหมือนตาย T^T~ แต่ดีนะคะที่คุณกาย เข้าใจ  แต่ต่างคนต่างความคิด
คุณกายเปรียบเหมือนเพชรที่เปราะบาง  แต่ก็ยังมีเหลี่ยมมีมุมที่แข็งแกร่งอยู่นะนายนิค มันเป็นสิ่งดีนะคะที่คนรักได้ทำอะไรหลายๆอย่างร่วมกัน..
แต่ บางทีก็อยากให้นายนิคมั่นใจในตัวเองบ้างเหมือนกัน T^T~~  คุณกายรักแกนะ  ดังนั้น.. วิ่งผลัดกันดีก่า วิ่งคนเดียวมันเหนื่อย ร่วมด้วยช่วยกันปรับ   

บ่นอะไรของฉันคนเดียว

ปล.  ที่บอกว่า อัพถี่ๆแบบนี้ดีไม๊  ดีค่ะ    :impress2:  แต่ถ้าไม่สะดวก หรือว่า คิดว่ามันถี่เกินไป ก็โพสอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง ก็ได้
(ถึงแม้ว่าอยากจะให้โพสอาทิตย์ละ 7 ครั้งก็ตาม 555+)  เพราะยังไงก็รอติดตามอยู่เสมอ

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
พอนนี่ลงถี่ๆดิ จะได้ผ่านช่วงอึดอัดไปงัย จะกลับมาลงถี่ๆแล้วหรอ  :mc4:
ตอนนี้กายจะฟังนิคมั้ย สงสารทั้งคู่จริงๆ อุปสรรคเยอะมาก งี้ต้อง  :beat: คนเขียน

อ่านเนื้อเรื่องลืมอ่านคำถาม อิอิ
ความคิดเห็นหรอ เรื่องนี้พอนนี่เขียนดีนะ ยอมรับอ่านแล้วมีอารมณ์ร่วมกะตัวละคร
ความคิดของคนสองคน พี่จะเอียงมาทางนิคนิดนึง  :laugh: คือชอบแบบที่นิคคิด
แต่รู้ว่าการจะบอกคนรักเรื่องที่จะต้องกลับไปทำงานต่อ มันก็ปวดใจอยู่ เพิ่งจะได้สมหวัง
แต่เวลาไม่คอย นิคพลาดที่คิดจะบอกกายช้าไปเรื่องงาน ทำให้กาย ซึ่งคิดไปอีกอย่าง
กะนิค ทำงัยได้ คนเป้นเจ้าคนนายคน กะ ลูกจ้างอย่างนิค เค้าคิดไม่เหมือนกัน
งี้ต้องจูนกันใหม่ เรียนรู้กันเพิ่ม นิคก็ต้องเรียนรู้กาย กายก็ต้องเรียนรู้นิค
เพราะเค้าทั้งสอง เพิ่งจะรักกันนิ มันเพิ่งเริ่มต้นเอง พี่พูดยาวไปว่ะ จบไม่ลงแล้ว  :jul3: จบดีกว่า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-11-2009 16:02:00 โดย Poes »

ออฟไลน์ «ƤȑǃǹĉΞḠ○ḺҒ™»

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 251
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
อ่าๆๆ ชอบ น่ารักจัง คุณนิค คุณกาย


นั่งอ่านมา สอง วัน ตาเยิ้มเลยย     :jul3:

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6
ลงถี่ๆ ก็จะมาถี่ๆ จ้ะ  :กอด1:

TARO

  • บุคคลทั่วไป
 o13 o13 o13 o13

ได้แง่คิด มุมมอง หลาย ๆ อย่างจากเรื่องนี้


harusame

  • บุคคลทั่วไป
เย้ๆ ในที่สุดก็ตามทัน :m1:
สู้ๆค้าบบ
 :m3: :m3: :m3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






LifeTime

  • บุคคลทั่วไป
 :เฮ้อ:
มีรัยต้องคุยกัน...อย่าทำเพื่ออีกคนเพราะคิดเองว่านั่นดีแล้ว
สงสารกาย...รักนิค... :L2:

satan666

  • บุคคลทั่วไป




เพราะผมไม่คิดว่านี่เป็นทางออกที่ดีระหว่างเรา มันจะดีหรือ... ที่เขาต้องมาฝากอนาคตทั้งหมดไว้ที่ผมคนเดียว ผมทำไม่ได้หรอก... แม้เขาจะมั่นคงต่อผมอย่างแท้จริง แต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่ารักของเราจะมั่นคงตลอดไป?
 
ผมไม่ต้องการให้ใครมานั่งเสียใจทีหลัง และหวังจะหาทางออกที่ดียิ่งกว่านี้ เพื่อที่ต่างฝ่ายจะได้ไม่มีใครต้องเสียเปรียบกันและกัน...
แค่คำว่า ‘ความรัก’ อย่างเดียว มันเอามายึดหลักทั้งหมดของชีวิตไม่ได้หรอกนะ...



---------------------------------------------------------



Chapter:33 Part4



“คุณกำลังเข้าใจผมผิด... สิ่งที่ผมคิดจะทำมันไม่ใช่การเสียสละ แต่เป็นสิ่งที่ผมคิดจะทำเพื่อเรา ไม่ใช่เพื่อความสุขของใครคนใดคนหนึ่ง แต่มันเป็นความสุขของเราสองคน…”

ผมพยายามอธิบายในสิ่งที่ผมคิดให้คนในอ้อมกอดเข้าใจเสียใหม่ ว่าผมไม่ได้ทำเพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องเสียสละอย่างที่เขาคิด

ที่ผมตัดสินใจเอาไว้ว่าหลังจากหมดสัญญากับทางโมเดลลิ่งแล้ว จะไม่ทำสัญญาต่อ มันก็เพียงเพื่อให้หลังจากนั้นเป็นต้นไป ผมจะสามารถมีเวลาอยู่ร่วมกับเขาได้อย่างอิสระ ไม่ต้องคอยกังวลว่าจะมีการงานมาผูกมัดตัวผมไว้ได้อีก
อันที่จริงเหตุผลของผมที่ตัดสินใจแบบนี้ ก็เป็นเพราะเพื่อตัวเองเป็นส่วนใหญ่นั่นแหละ

ช่วงเวลาสั้นๆที่ผ่านมานี้ ผมมีความสุขมากที่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับเขา ทุกๆวันผ่านไปอย่างมีคุณค่าความหมาย จนไม่คิดว่าผมจะมีความรู้สึกที่แสนวิเศษได้ถึงขนาดนี้
เหมือนกับผมได้อยู่ในฝันที่วาบหวามและเป็นสุข แต่เมื่อสะท้านตื่นขึ้นมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง จนผมต้องสำนึกตัวว่ายังมีการงานที่ผมต้องรับผิดชอบอยู่ในวันหน้า ก็ทำให้ความฝันที่เปี่ยมสุขของผมแตกสลายไปในอากาศธาตุซะเดี๋ยวนั้น

การที่ได้อยู่กับเขา... ความสัมพันธ์ของเราที่ยิ่งนานวันยิ่งลึกซึ้งขึ้น มันทำให้ผมรู้สึกหวงแหนวันเวลาเหล่านี้มาก... จนไม่อยากจะเสียเวลาไป...ให้กับสิ่งอื่น

“...แต่มันไม่ยุติธรรมเลย มันเป็นอาชีพที่นิครักไม่ใช่เหรอ...? ฉันว่ามันไม่ควรจะต้องทำถึงขนาดนี้เลยนี่...” คุณกายบอกเสียงเบา จนผมต้องคลายอ้อมกอดออกแล้วหมุนตัวเขาให้หันกลับมาเผชิญหน้ากับผม

ผมโอบประคองข้างแก้มของเขาด้วยสองมือ แล้วสบสายตากับเขาอย่างอ่อนหวาน

“...ไม่เลยที่รัก ความยุติธรรมจะไม่คงอยู่ระหว่างเรา จะไม่มีใครคิดว่าสิ่งที่เราอยากจะทำให้แก่กันเป็นการเสียสละ... ผมไม่ต้องการให้ข้อกำหนดทั่วไปมาใช้กับความรู้สึกที่เราจะมีต่อกัน...”

“อีกอย่างเรื่องสัญญาว่าจ้าง ก็เหลือเวลาอีกตั้งนานกว่าจะหมดอายุ ผมแค่ถามผู้จัดการของผมเพราะอยากรู้ว่าเหลือเวลาอีกนานไหมที่ผมต้องฝืนทนต่อไป... คุณก็น่าจะคิดได้นี่นา ว่างานของเราแต่ละคนมันแทบจะโคจรกันคนละเวลาเลย แถมยังต่างดินแดนกันอีก มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะมีเวลาว่างตรงกันได้ ผมทนไม่ได้หรอกนะที่ต้องเหินห่างจากคุณนานๆแบบนั้น หรือคุณไม่เป็นแบบผมบ้างเลยหรือครับ ฮืมม์...? ”

คุณกายมองหน้าผมโดยไม่ตอบอะไร เหมือนกับกำลังครุ่นคิดในสิ่งที่ผมบอกอยู่ หัวคิ้วที่ยังคงขมวดมุ่นไม่คลายของเขาทำให้ผมรับรู้ว่าเขายังคงรู้สึกไม่สบายใจต่อเรื่องนี้อยู่

ผมโน้นหน้าลงให้หน้าผากของเราแนบชิดกัน เราต่างมองตากันเพื่อสำรวจความรู้สึกของกันและกันให้แน่ชัด

“ถ้าผมต้องกลับไปทำงานนานๆ คุณจะไม่คิดถึงผมบ้างเลยเหรอ?” เอ่ยถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ
ดวงตาสีดำขลับมีแววไหวระริกก่อนจะเป็นฝ่ายหลบเลี่ยงสายตาจากผม

“...ก็อาจจะ” คำตอบเสียงเบาหวิวของเขาเรียกรอยยิ้มจากผมได้ในทันที

“ฮึ...คนปากแข็ง” ผมบีบจมูกอีกฝ่ายอย่างหมั่นเขี้ยว ก่อนจะรวบร่างคนตรงหน้าเข้ามากอดไว้อีกครั้ง

“อืมม...เอาอย่างงี้ดีกว่า... ถ้าคุณยังรู้สึกไม่สบายใจล่ะก็ เราก็มาดูกันก่อนว่าเวลาปีครึ่งก่อนที่สัญญาจะหมด พวกเราจะสามารถปรับตัวกันได้ดีขนาดไหน กับการใช้ชีวิตที่เดือนนึงเจอกันสองสามหนหรืออาจน้อยกว่านั้น ถ้าเรายังเป็นปกติสุขได้กับชีวิตแบบนั้นล่ะก็ มันก็ไม่สายหรอกที่ผมอาจจะลองทบทวนการตัดสินใจดูกันอีกครั้งหนึ่ง ใช่ไหม? เพราะฉะนั้นตอนนี้เลิกคิดเรื่องนี้ได้แล้วครับ ปล่อยให้เวลามันพิสูจน์ความรู้สึกระหว่างเราจะดีกว่า...”

“อืม...” คุณกายตอบรับคำในลำคอ พลางซบหน้าลงบนแผ่นอกผม

เห็นแบบนี้แล้ว...ก็ทำให้ผมรู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่งเมื่อสามารถทำให้เขาคลายใจลงได้แบบนี้...

วันนี้ผมเกือบต้องซวยโดยไม่ตั้งใจแล้วไหมล่ะ ดีนะที่เขาไม่โมโหผมถึงขนาดไม่ยอมรับฟังอะไรเลย ไม่อย่างนั้นล่ะก็... ไม่อยากจะคิดเลยว่ามันจะออกมาในรูปแบบไหน...

“นิค...”

“ครับ?”

“อย่ามือซน… จะเลื้อยเข้ามาในเสื้อทำไมเนี่ย”

“ก็ตัวคุณมันดึงดูมือผมนี่…”

“ไม่ต้องเลย... นายยังมีความผิดอยู่อีกกระทงหนึ่ง!”

คุณกายผละตัวออกจากอ้อมกอดผม เดินหนีเข้าไปในครัว ทิ้งให้ผมหน้าเหวอกับคำคาดโทษของเขา


แล้วอย่างงี้คืนนี้ผมจะทำยังไงดีล่ะ!?




++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++




คืนนั้นผมไม่สามารถนอนหลับได้เลย แม้ว่าตัวผมจะอยู่ในอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นของคนรักก็ตาม...

สิ่งที่ผมครุ่นคิดในตอนนี้ ไม่ใช่ปัญหาในครอบครัวผมอีกต่อไป แต่มันเป็นเรื่องที่นายนิคจะต้องบินกลับไปทำงานของเขาในอีกไม่กี่วันที่จะถึงนี้
มันช่างรวดเร็วเหลือเกิน... เร็วเกินไป จนผมไม่ทันได้ตั้งตัว...

ตั้งแต่เขามาตามตื้อผมที่เมืองไทย จนกระทั่งผมตกลงปลงใจเป็นแฟนกับเขา และได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในช่วงเวลาหนึ่ง สิ่งที่ดำเนินมาถึงตอนนี้มันเป็นเวลากว่าเดือนหนึ่งเลยทีเดียว แต่ก็เป็นเดือนหนึ่งที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายระหว่างเรา แล้วทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างมีความสุข สุขเหลือเกิน... สุขจนไม่อยากจะให้ช่วงเวลาดีๆเหล่านี้ต้องสิ้นสุดลง...

แต่พอตอนนี้เมื่อถึงเวลาที่เขาต้องจากไปจริงๆ ผมกลับคิดว่าทำไมเวลามันช่างแสนสั้นแบบนี้นะ...

ทุกอย่างมันจบลงเร็ว จนผมเกิดความรู้สึกเคว้งคว้างไปชั่วขณะหนึ่ง

ตื่นเช้ามาทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมอย่างเช่นทุกวัน นิคมักตื่นก่อนผมเสมอเพื่อมาเตรียมอาหารเช้าง่ายๆให้ผมทานก่อนไปทำงาน หลังจากเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้วเขาถึงจะเข้ามาปลุกผมให้ไปอาบน้ำแต่งตัว แถมยังไม่ลืมข้อปฏิบัติระหว่างเราในทุกๆเช้าที่ต้องจูบรับอรุณสวัสดิ์ให้แก่กันและกันอีก...

การดูแลเอาใจใส่ของเขามันทำให้ผมเคยชินไปแล้วตอนนี้ ทำให้ผมไม่อยากจะคิดเลยว่า พอเขาจากไป ผมจะเป็นยังไง ถ้าไม่มีเขาคอยทำอะไรๆให้เหมือนอย่างที่ผ่านมาแบบนี้

“อย่าทำหน้าเศร้าสิครับ... อีกตั้งหลายวันกว่าผมจะไปนะ” เขาพูดขึ้น หลังจากที่มาส่งผมไปทำงานที่หน้าประตู

“ตั้งหลายวันที่ไหนกัน...” ผมบ่นงึมงำ ถ้าไม่นับวันนี้ ก็เหลืออีกแค่สี่วันเอง... มันไม่พอสำหรับผมหรอก...

“ไม่เอาน่า...”  หนุ่มฝรั่งทำเสียงอ่อน ก่อนจะรวบมือทั้งสองข้างของผมไปกุมไว้

“ถ้าตลอดเวลาที่เหลืออยู่ คุณเอาแต่ทำหน้าแบบนี้ล่ะก็ ผมกลับไปก็คงทำงานได้ไม่เต็มที่แน่ เพราะมัวแต่พะวักพะวงกับคนทางนี้...” ดวงตาสีมรกตดูหมองลงระหว่างพูด ก่อนเขาจะยิ้มบางๆมาให้ผม

“เพราะฉะนั้น ผมถึงอยากจะเก็บเกี่ยวช่วงเวลาเหล่านี้ให้มีค่าที่สุด เรามาทำให้เวลาที่เหลืออยู่ทั้งหมด เป็นเวลาแห่งความสุขของเรากันดีกว่าครับ แม้จะเหลือแค่วินาทีสุดท้าย ผมก็อยากที่จะเห็นรอยยิ้มของคุณ มากกว่าการได้เห็นน้ำตาของคุณ... ”

ช่วงเวลานั้นผมพูดไม่ออกเลย เหมือนมีก้อนบางอย่างมากจุกแน่นอยู่ที่อกผม จนไม่สามารถจะเอ่ยอะไรออกมาได้...
นั่นสินะ... เขาเองก็คงรู้สึกไม่ต่างจากผมเหมือนกัน

ผมมัวแต่นึกถึงแต่ตัวเอง ว่าจะเป็นยังไงถ้าวันพรุ่งนี้หรือวันต่อๆไปไม่มีเขาอยู่ข้างๆ ทำให้ไม่ได้นึกถึงความรู้สึกของเขาเลยว่าเขาจะเป็นยังไงถ้าไม่มีผม… เขาไม่ได้เต็มใจเลยสักนิดที่จะจากไป มองแววตาของเขาก็รู้ได้ ว่าความรู้สึกของเรามันไม่ต่างกันเลย...

“ยิ้มให้ผมหน่อยสิครับ...คนดีของผม” น้ำเสียงเว้าวอนของเขาหยุดความคิดทั้งหมดไว้ จนต้องเงยหน้าขึ้นมองเขา

เห็นสีหน้าไม่สบายใจของเขา ก็ทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่าเขาแคร์ผมมากขนาดไหน แล้วผมล่ะ...? ผมก็ควรจะแคร์ความรู้สึกของเขาด้วยเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?
คิดได้ดังนั้นผมก็เผยยิ้มให้เขาอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด เป็นยิ้มที่มาจากหัวใจ และต้องการจะมอบให้เขาแค่คนเดียว...

นายนิคยิ้มกว้างทันทีที่เห็นผมยิ้มให้ วินาทีนั้นผมรับรู้ได้ด้วยตนเองเลยว่า การที่เราส่งยิ้มให้คนพิเศษของเรา แล้วเขาคนนั้นยิ้มตอบกลับมา มันให้ความรู้สึกที่ดีต่อเรามากๆ  จนไม่สามารถจะบ่งบอกออกมาเป็นคำพูดได้เลย ว่ามันประทับใจสำหรับผู้ให้และผู้รับมากเพียงไหน

หลังจากนั้น ผมก็ได้ตกลงใจแล้วว่า ต่อให้เหลือเวลาแค่น้อยนิดสำหรับผม แต่ผมจะไม่ทำให้เวลาเหล่านั้นต้องเสียเปล่าลงไปกับความเศร้า ผมจะทำให้ทุกๆเวลาระหว่างนี้เป็นช่วงเวลาดีๆสำหรับเรา จนถึงเวลาสุดท้ายที่เราต้องห่างกัน...

ไม่เป็นไรหรอกน่า...  มันไม่ได้นานอย่างที่คิดหรอก ถึงไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่เราก็สามารถโทรคุยกันได้นี่นา...

ผมให้กำลังใจกับตัวเอง ว่าอะไรๆมันคงไม่เลวร้ายอย่างที่คิดหรอก เพราะเราไม่ได้จากกันอย่างถาวรสักหน่อย...

เคยอยู่คนเดียวมาได้ตั้งนาน ทำไมจะทำไม่ได้อีก?

แต่ถึงผมจะคิดแบบนั้น... ก็ยังอดไม่ได้ให้รู้สึกโหวเหวงในใจ...








         -------จบตอน------


 :pig4:





ออฟไลน์ •ผั๑`|nกุ้va’ด•

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1278
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-69
สู้ค่ะ คุณกาย ต้องเข้มแข็งได้ ผัดไทเชื่อ ว่าต้องทำได้ :sad4: 
ระยะทางกับเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความรักค่ะ 
 
แต่ว่า   หาเวลาว่างบินไปหาบ่อยๆสิค่ะ. . .  จะทำงานหนักไปทำไม คุณกาย

 :L2:  ให้กำลังใจคนเขียนค่ะ   รอตอนต่อไปอยู่นะคะ

satan666

  • บุคคลทั่วไป



สู้ๆๆ เข้ามาเชียร์แล้วนะ 5555
คนอ่านก้ออยากอ่านตอนน่ารักๆ หวานๆ ปนหื่นๆ :z1:
  และก้อตอนสำคัญของเรื่องเหมือนกัน
อิอิ
+1  :กอด1:


ตอนน่ารักๆ ยังไม่มีเลย มีแต่หวานหน่อยๆพอกล้อมแกล้ม อิอิ



ค้างอีกแล้ว o22  กำลังเศร้า  :m15:

ไม่เศร้าขนาดนั้นหรอกคร๊า ตอนนี้ก็แอบหวานนิดๆแล้วน๊า


:a5:  . . . .
 
ไม่ตายก็เหมือนตาย T^T~ แต่ดีนะคะที่คุณกาย เข้าใจ  แต่ต่างคนต่างความคิด
คุณกายเปรียบเหมือนเพชรที่เปราะบาง  แต่ก็ยังมีเหลี่ยมมีมุมที่แข็งแกร่งอยู่นะนายนิค มันเป็นสิ่งดีนะคะที่คนรักได้ทำอะไรหลายๆอย่างร่วมกัน..
แต่ บางทีก็อยากให้นายนิคมั่นใจในตัวเองบ้างเหมือนกัน T^T~~  คุณกายรักแกนะ  ดังนั้น.. วิ่งผลัดกันดีก่า วิ่งคนเดียวมันเหนื่อย ร่วมด้วยช่วยกันปรับ   

บ่นอะไรของฉันคนเดียว

ปล.  ที่บอกว่า อัพถี่ๆแบบนี้ดีไม๊  ดีค่ะ    :impress2:  แต่ถ้าไม่สะดวก หรือว่า คิดว่ามันถี่เกินไป ก็โพสอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง ก็ได้
(ถึงแม้ว่าอยากจะให้โพสอาทิตย์ละ 7 ครั้งก็ตาม 555+)  เพราะยังไงก็รอติดตามอยู่เสมอ

โอ้ว เปรียบได้ดีจังค่ะ เปรียบคุณกายดั่งเพชรงามน้ำหนึ่ง... 555+ แต่ไม่หวานปานน้ำผึ้งเดือน5 (มั้ง) :laugh:

ปล. เรื่องอัพ ก็จะพยายามมาบ่อยๆละกันค่ะ ถ้าว่างก็มาถี่ๆ ถ้าหาเวลาได้น้อยก็สัปดาห์ละ2-3 ครั้ง ล่ะกานน  :กอด1:


พอนนี่ลงถี่ๆดิ จะได้ผ่านช่วงอึดอัดไปงัย จะกลับมาลงถี่ๆแล้วหรอ  :mc4:
ตอนนี้กายจะฟังนิคมั้ย สงสารทั้งคู่จริงๆ อุปสรรคเยอะมาก งี้ต้อง  :beat: คนเขียน

อ่านเนื้อเรื่องลืมอ่านคำถาม อิอิ
ความคิดเห็นหรอ เรื่องนี้พอนนี่เขียนดีนะ ยอมรับอ่านแล้วมีอารมณ์ร่วมกะตัวละคร
ความคิดของคนสองคน พี่จะเอียงมาทางนิคนิดนึง  :laugh: คือชอบแบบที่นิคคิด
แต่รู้ว่าการจะบอกคนรักเรื่องที่จะต้องกลับไปทำงานต่อ มันก็ปวดใจอยู่ เพิ่งจะได้สมหวัง
แต่เวลาไม่คอย นิคพลาดที่คิดจะบอกกายช้าไปเรื่องงาน ทำให้กาย ซึ่งคิดไปอีกอย่าง
กะนิค ทำงัยได้ คนเป้นเจ้าคนนายคน กะ ลูกจ้างอย่างนิค เค้าคิดไม่เหมือนกัน
งี้ต้องจูนกันใหม่ เรียนรู้กันเพิ่ม นิคก็ต้องเรียนรู้กาย กายก็ต้องเรียนรู้นิค
เพราะเค้าทั้งสอง เพิ่งจะรักกันนิ มันเพิ่งเริ่มต้นเอง พี่พูดยาวไปว่ะ จบไม่ลงแล้ว  :jul3: จบดีกว่า


อาไรอ่า  :o12: มาตบเค้าทำไม  :monkeysad:

ไม่มีอุปสรรคก็น่าเบื่อแย่สิพี่ o18

เย้ๆ  :กอด1: กอดพี่หนึ่งทีนึง เม้นยาวถูกใจมากคร๊า  :z2:

อ่านแล้วแยกแยะได้แบบนี้ แสดงว่าหนูเขียนอ่านรู้เรื่อง กร๊ากกกก

ช่าย คนเพิ่งจะรักกันก็แบบนี้แหละ มันยังไม่เบื่อกันเลยสักหน่อย (กรรม)

เอาเป็นว่าเวลาหนูเขียนก็แอบลำเอียงเหมือนกันแหละ ลองสังเกตดูว่าซีนใครดูดีกว่ากัน 555++


อ่าๆๆ ชอบ น่ารักจัง คุณนิค คุณกาย


นั่งอ่านมา สอง วัน ตาเยิ้มเลยย     :jul3:

เย้ๆ  :กอด1: กอดต้อนรับผู้หลงเข้ามาใหม่ อิอิ

อ่าน2วันตาเยิ้ม เยิ้มเพราะไรหว่า?

 :laugh:


ลงถี่ๆ ก็จะมาถี่ๆ จ้ะ  :กอด1:


พี่นนท์ชอบถี่ๆ ใช่มะล่ะ :-[


o13 o13 o13 o13

ได้แง่คิด มุมมอง หลาย ๆ อย่างจากเรื่องนี้



ขอบคุณคร่า ทุ่มเทความคิดกับเรื่องนี้หมด จนเรื่องต่อไปไม่รู้จะใส่อะไรเข้าไปนี่แหละ  :serius2:


เย้ๆ ในที่สุดก็ตามทัน :m1:
สู้ๆค้าบบ
 :m3: :m3: :m3:

เย้ ยินดีด้วยจ้าที่ตามทันแล้ว แล้วมาอ่านเรื่อยๆน๊า  :L2:


:เฮ้อ:
มีรัยต้องคุยกัน...อย่าทำเพื่ออีกคนเพราะคิดเองว่านั่นดีแล้ว
สงสารกาย...รักนิค... :L2:

อุ้ย... มีคนเห็นด้วยกับกายด้วย

ช่ายๆ รักกันทั้งที ต้องแชร์ความคิดกันหน่อย แล้วขับเคลื่อนไปพร้อมๆกัน จะได้ไปกันรอดฝั่ง อิอิ  :o8:



ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
แอร๊ยยยส์ นิคจะไปแล้ว กายต้องเหงาแน่ๆเลย ไม่มีคนกอด  :laugh: เพราะนิคจะมากอดพี่แทน  :-[
ตอนต่อไปให้ไวนะพอนนี่  o18

ออฟไลน์ ï_Kiss_U♥

  • รักไม่ได้
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-2
โอ๊ยยยยย สั้นอ่าๆ  o9  ไม่ยอมๆ
+1 เป็นกำลังใจน้า  :กอด1:

LifeTime

  • บุคคลทั่วไป
นิคยิ้มให้กาย กายก็ยิ้มตอบ อยากบอกว่าคนอ่านก็ยิ้มตาม  :o8:
ดีนะไม่ปัญหาไม่บานปลาย...แต่ต่อไปคงเหงาน่าดู...
:เฮ้อ:

TARO

  • บุคคลทั่วไป
ยิ้มให้กันและกัน จริงแหะ

เอาไปใช้มั่ง  :o8:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

kaewpoo

  • บุคคลทั่วไป
ไม่อยากให้จากกันไปเลย  :serius2: ไม่............... :m15:

ออฟไลน์ imac

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 911
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






pupper

  • บุคคลทั่วไป
คงได้สำนวนใหม่ขึ้นมาอีกว่า

"หนทางพิสูนจ์ม้า กาลเวลาพิสูจน์ความรัก"

ถึงแม้จะห่างไกลแต่ใจห่างแค่เพียงเอื้อมมือ
ถ้าหัวใจยังอยู่ใกล้ๆกัน สงสารทั้งนายนิคและ
คุณกาย แต่อุปสรรคที่จะผ่านเข้าและที่ผ่าน
เลยไปจะทำให้ความรักแข็งแกร่งขึ้นทุกๆวัน

 :กอด1: :L2: :กอด1:

CaroL

  • บุคคลทั่วไป
FC ขอเป็นแฟนคลับเรื่องนี้ด้วยคนครับ
ขอบคุณครับ
ผมดีใจมากที่ได้อ่านเรื่องนี้
 :man1:

ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4

ออฟไลน์ Otaku

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 792
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +314/-1
รีบมาต่อเร็วน๊า

รัก นิค&กาย  :L2:

ออฟไลน์ aa_mm

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +540/-2
ซึ้งจังเลย ขอบคุณที่่มาต่อให้อ่านบ่อย ๆ ค่ะ  :L2:

CaroL

  • บุคคลทั่วไป

CaroL

  • บุคคลทั่วไป

harusame

  • บุคคลทั่วไป

satan666

  • บุคคลทั่วไป
สู้ค่ะ คุณกาย ต้องเข้มแข็งได้ ผัดไทเชื่อ ว่าต้องทำได้ :sad4: 
ระยะทางกับเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความรักค่ะ 
 
แต่ว่า   หาเวลาว่างบินไปหาบ่อยๆสิค่ะ. . .  จะทำงานหนักไปทำไม คุณกาย

 :L2:  ให้กำลังใจคนเขียนค่ะ   รอตอนต่อไปอยู่นะคะ

อิอิ มาดูซิว่าใครจะทนคิดถึงไม่ไหวก่อนกัน  :-[

ไม่อยากให้จากกันไปเลย  :serius2: ไม่............... :m15:

แต่จากกันไปแว้วววว :o12:  :laugh:

:m15: นิคอย่าไปเลยนะ

ไม่ไปแสดงว่าไม่มีความรับผิดชอบต่อการงาน ทำไงได้ล่ะ :เฮ้อ:


คงได้สำนวนใหม่ขึ้นมาอีกว่า

"หนทางพิสูนจ์ม้า กาลเวลาพิสูจน์ความรัก"

ถึงแม้จะห่างไกลแต่ใจห่างแค่เพียงเอื้อมมือ
ถ้าหัวใจยังอยู่ใกล้ๆกัน สงสารทั้งนายนิคและ
คุณกาย แต่อุปสรรคที่จะผ่านเข้าและที่ผ่าน
เลยไปจะทำให้ความรักแข็งแกร่งขึ้นทุกๆวัน

 :กอด1: :L2: :กอด1:

ช่าย เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง  :L2:

FC ขอเป็นแฟนคลับเรื่องนี้ด้วยคนครับ
ขอบคุณครับ
ผมดีใจมากที่ได้อ่านเรื่องนี้
 :man1:

ยินดีต้อนรับจร้า ดีใจหลายๆที่มีคนมาอ่านเพิ่ม อิอิ  :กอด1:

หนทางพิสูจน์รักแท้

ต่อๆ กาลเวลาพิสูจน์ใจคน...  :laugh:

รีบมาต่อเร็วน๊า

รัก นิค&กาย  :L2:

รักแต่นิคกายเหรอ...?  :impress2:

ซึ้งจังเลย ขอบคุณที่่มาต่อให้อ่านบ่อย ๆ ค่ะ  :L2:

 :n1: ดีใจที่ชอบนะคะ

ฝันดีครับ :man1:

คุณcarol ถึงกับมารอเลย ขอโทษนะคะที่ให้รอ แบบว่าช่วงนี้ยุ่งๆนิดนึง  :เฮ้อ: อะไรๆก็ไม่เป็นใจ

สู้ ๆ ครับ o13

ขอบคุณค๊า


เอาล่ะมาติดตามอ่านต่อกันเลยดีกว่า ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร หลังจากที่นิคไปแล้ว  :t3:




satan666

  • บุคคลทั่วไป



Chapter:34 ความคิดถึง



   
   ผมขับรถออกจากสนามบินหลังจากที่ส่งนายนิคขึ้นเครื่องไปแล้ว บอกไม่ถูกเลยว่าความรู้สึกของผมหลังจากที่แยกจากกันมันเป็นอย่างไร รู้อย่างเดียวว่ามันไม่ดีเอาเสียเลย... ผมไม่ชอบการจากลา แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานแล้ว  จำได้ว่าครั้งสุดท้ายคือตอนที่แม่จากผมไปหลังจากหย่ากับพ่อ...

   หลังจากนั้นผมก็รู้สึกเกลียดการจากลาพอๆกับการรอคอย...

   แต่นั่นมันก็นานมากแล้ว... นานจนผมลืมแม้กระทั่งความรู้สึกในตอนนั้นแล้วด้วยซ้ำ ไม่สิ... ผมไม่อยากจะเอามันมานึกถึงอีกมากกว่า

   อันที่จริงจะบอกว่านี่เป็นความรู้สึกเหมือนครั้งอดีตก็ไม่เชิง เพราะมันต่างบุคคลต่างความหมายออกไป ครั้งนี้ผมไม่ได้จากลาแบบถูกทอดทิ้ง แต่เราจากกันด้วยรอยยิ้มและความห่วงหาอาทรต่อกัน  

   ส่วนการต้องรอคอยก็ต่างกันออกไป ครั้งนี้ผมไม่ต้องรอคอยด้วยความหวังอันริบหรี่เหมือนครั้งนั้นอีกต่อไป แต่ครั้งนี้ผมสามารถที่จะหวังได้อย่างเต็มเปี่ยม และเชื่อมั่นว่าความหวังของผมจะไม่มีวันถูกปฏิเสธ

   คิดแล้วก็แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน ที่ผ่านมานอกจากตัวเองแล้วผมไม่เคยเชื่อใจใครได้มากขนาดนี้มาก่อน ไม่คิดเลยว่าคนอย่างผมจะยอมเชื่อใจใครคนหนึ่งได้มากถึงเพียงนี้ ถึงกับยอมไว้วางใจทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเขา แถมคนๆนั้นยังเป็นผู้ชายด้วยกันซะอีก ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยจริงๆ...

   หนึ่งเดือนแล้วเหรอ...? กับการมีนายนิคคอยป้วนเปี้ยนอยู่ข้างกาย เวลาหนึ่งเดือนจะว่ายาวก็ไม่ยาวจะว่าสั้นก็ไม่สั้น แต่จากการที่เป็นคนแปลกหน้าจนถึงกับเป็นศัตรูสำหรับผมจนกระทั่งกลายเป็นคนรักกันในที่สุด ทำให้ผมเกิดคำถามกับตัวเองว่า เวลาแค่หนึ่งเดือนมันเปลี่ยนแปลงความรู้สึกของผมได้มากขนาดนี้เลยเหรอ?

   ถึงกับเปลี่ยนสถานะจากคนที่เกลียดกลายเป็นคนที่รักได้อย่างง่ายดาย...

   ถ้าผมในอดีตสามารถรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตได้ล่ะก็ ผมก็คงค้านหัวชนฝาว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน! แต่ในความเป็นจริงเรื่องที่เคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้ มันกลับเป็นไปแล้วนี่สิ...

   เฮ้อ... เชื่อสิว่า กับเรื่องของหัวใจไม่มีใครสามารถควบคุมมันได้หรอก แม้ว่าบุคคลนั้นจะใหญ่มาจากไหนก็ตาม...

...ความรู้สึกที่อยู่ในใจคนเรา ไม่ใช่รูปธรรมที่เราจะสามารถกำหนดรูปแบบที่ต้องการได้อย่างใจนึกหรอกนะ...

แต่มีสิ่งที่เราสามารถตัดสินใจเลือกได้สองอย่างคือ ‘ใจเรากับความทุกข์ กับ ใจเรากับความสุข’

ซึ่งมันเป็นอะไรที่ยากมากเกินกว่าจะตัดสินใจเลือกได้อย่างชัดแจ้ง ถึงผมจะรักตัวเองมากแค่ไหน ก็เป็นไปไม่ได้ที่ผมจะสามารถมีความสุขกับการต้องห่างกันในครั้งนี้ และเป็นไปไม่ได้เลยที่ผมจะสามารถรอคอยอย่างมีความสุขได้ เพราะผมเป็นคนที่คิดถึงความเป็นจริงและไม่ได้เป็นคนคิดบวกถึงขนาดทำใจให้เป็นสุขได้

ผมถอนหายใจยาวเมื่อขับรถมาจอดในลานจอดรถของคอนโดที่พัก ก่อนจะเดินขึ้นลิฟท์ไปด้วยจิตใจที่ไม่ค่อยจะอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่

เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้อง สิ่งแรกที่คิดคือ...

ทำไมห้องที่อยู่จนเคยชินมานาน มันกว้างจัง... กว้างจนคิดว่าห้องชุดขนาดใหญ่แบบนี้ ทำไมผมถึงอยู่คนเดียวมาได้ตั้งนาน...

ความคิดนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จนกระทั่งตอนนี้... ตอนที่ไม่มีเงาร่างของใครอีกคนให้เห็นอีกเหมือนกับเมื่อวันวานที่ผ่านมา...

นึกแล้วก็ให้รู้สึกสะทกสะท้อนในใจ เคยอยู่กับความเหงาแบบนี้มาได้ตั้งนาน แต่ทำไมไม่เคยมีคราวไหนเลยที่รู้สึกรุนแรงได้เท่าตอนนี้

ท่าจะแย่แล้วสิผม... นี่ขนาดเพิ่งจะส่งเขาขึ้นเครื่องไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้เองนะ แล้วแบบนี้วันต่อๆไปผมไม่ยิ่งแย่ไปกว่านี้อีกเหรอ?

ไม่ได้การแล้ว... ยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่านไปเปล่าๆ ผมคงต้องหาอะไรทำเพื่อที่จะให้ตัวเองไม่มีเวลาว่างมาวุ่นวายใจอีก

.

.

.

เช้าวันต่อมา ผมตื่นนอนด้วยเสียงนาฬิกาปลุกแทนที่จะเป็นเสียงนายนิคปลุกเรียกเหมือนวันก่อนๆ รู้สึกหัวมึนอื้อไปหมดด้วยอาการความดันต่ำ แต่ก็จำต้องลุกจากเตียงอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน ก่อนไปทำงานก็ไม่ลืมหยิบคลับแซนวิชจากตู้เย็นที่หนุ่มฝรั่งทำทิ้งไว้เมื่อวานออกมากินเป็นมื้อเช้าระหว่างรอรถติด  

มองแซนวิชแล้วก็นึกถึงใบหน้าคนทำลอยขึ้นมา นึกไปถึงคำพูดของเขาที่คอยกำชับกำชาให้ผมอย่าลืมกินมื้อเช้าทุกมื้อระหว่างที่เขาไม่อยู่ด้วย

“...นิคซื้ออะไรมาเยอะแยะน่ะ” ผมถามเมื่อเห็นนายนิคถือของพะรุงพะรังกลับมา ในบ่ายวันสุดท้ายก่อนจากกัน

“ก็พวกนมกับน้ำผลไม้น่ะครับแล้วก็อื่นๆอีก... ผมซื้อมาไว้ให้คุณกินรองท้องแทนมื้อเช้า”

“อะไรนะ! ฉันไม่กินนม เคยบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ?! จะซื้อมาทำไมให้เสียของเนี่ย” หนุ่มฝรั่งยิ้มเผล่เมื่อเห็นผมมีสีหน้าบูดบึ้ง  
 
“ผมรู้น่า... ก็เลยซื้อแต่พวกนมเปรี้ยวกับนมถั่วเหลืองมาไงครับ ไม่ใช่นมรสจืดแบบที่คุณไม่ชอบหรอก...”

“ที่สำคัญ... ผมซื้อของกินมาไว้ให้คุณกินเป็นมื้อเช้าระหว่างที่ผมไม่ได้อยู่ด้วย คุณก็ต้องห้ามลืมกินเด็ดขาดนะครับ ไม่ใช่ปล่อยให้มันอยู่ยังไงก็อยู่อย่างนั้น ถ้าผมกลับมาแล้วของในตู้เย็นยังเต็มตู้อยู่ล่ะก็... ผมโกรธคุณแน่ รู้ไหมครับ... ”

ผมกรอกตาขึ้นลงด้วยอาการเซ็ง ก่อนจะพยักหน้ารับคำแบบจำใจ เพราะผมไม่ชอบทานอาหารมื้อเช้าอยู่แล้ว แต่ตั้งแต่คบกับเขาการทานมื้อเช้าก็ดันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่ต้องทำเป็นประจำทุกวันไปโดยปริยาย...

“นี่... รู้รึเปล่า? รับปากผมสิครับ” เขายังจ้องหน้าผมอยู่อย่างต้องการจะคาดคั้นเอาคำตอบจากปากผม

“ครับๆ รู้แล้ววว”

.

.

.

ผมยิ้มกับตัวเอง นี่ผมกำลังกลัวว่าเขาจะโกรธเหรอ...? ถึงได้หยิบของจากตู้เย็นมากินตามที่เขาสั่งไว้จริงๆ...

.

.

.

เวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์... ผมเริ่มปรับตัวให้คุ้นชินกับการที่ไม่มีเขาอยู่ด้วยได้บ้างแล้ว จากที่วันแรกๆผมมักจะนอนไม่หลับเกือบทุกวันเสมอเพราะพอล้มตัวลงนอนทีไรผมจะรู้สึกคิดถึงอ้อมกอดอุ่นๆที่คอยกอดผมไว้ระหว่างหลับตลอดเวลา พอผ่านไปหลายวันผมก็เริ่มปรับตัวนอนหลับได้โดยไม่มีสิ่งนั้น แต่ความคิดถึงต่อสัมผัสนั้นมันก็ยังคงติดอยู่ในความรู้สึกของผมไม่ได้จางหายไปเลยแม้แต่น้อย...

สิ่งที่ทำให้ผมนอนหลับได้ง่ายขึ้น เห็นจะเป็นการที่ทุกๆคืนก่อนผมหลับเขาจะเป็นฝ่ายโทรมาคุยกับผมบอกเล่าเรื่องราวต่างๆในแต่ละวันของเขาให้ผมรับฟัง พร้อมกับคำบอกรักหวานๆทุกครั้งก่อนจะวางสาย

นึกไม่ถึงเลยว่าแค่เพียงได้ยินเสียงของเขาก่อนนอนทุกวัน จะทำให้อาการคิดถึงของผมลดลงได้อย่างง่ายดาย และนึกไม่ถึงเลยจริงๆว่าคำบอกรักหวานหูจากปากเขาคนนั้น จะทำให้ผมยิ้มได้ทุกครั้งโดยไม่เบื่อที่จะได้ฟังมัน ผมคงบ้าไปแล้วจริงๆแหละ...

แล้วคืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่ผมกำลังคอยใครบางคนโทรมาหาอย่างเช่นทุกวัน หลังจากอาบน้ำใส่ชุดนอนสบายๆผมก็โดดขึ้นเตียงหยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้ตั้งแต่เมื่อวานขึ้นมาอ่านระหว่างรอ

เวลาผ่านไปไม่นานเสียงมือถือที่วางไว้ข้างตัวก็ดังขึ้น ผมยิ้มรีบปิดหนังสือที่อ่านแล้วกดรับสายทันที โดยไม่ได้มองหรอกว่าคนที่โทรมาหาผมใช่เป็นคนที่ผมกำลังรออยู่หรือเปล่า

“ฮัลโหลนิค!”  

[“…”] คนปลายสายไม่ได้พูดตอบรับ เพียงแต่ได้ยินเสียงถอนหายใจดังเล็ดลอดออกมาเบาๆเท่านั้น

“...ฮัลโหล ได้ยินรึเปล่าครับ?”  ผมเริ่มใจแป้วลง ว่าคนปลายสายอาจไม่ใช่คนที่ผมรอ

ลองก้มดูหน้าจอมือถือว่าคนโทรมาเป็นใคร  แต่เมื่อเห็นชื่อคนโทรมาชัดๆ ก็รู้ตัวเลยว่าผมปล่อยไก่ไปตัวเบอะเริ่มเทิ้มเลย แถมคนปลายสายยังเป็นคนที่ไม่สมควรด้วยนี่สิ...  

“...เอ่อ เรโอเหรอ...?”

[“อืมม์... เฮ้อ! พูดไม่ออกเลยเจอแบบนี้...”]

“ขอโทษ... ขอโทษนะ ไม่ทันดูว่าเรโอโทรมา...”

[“...ช่างเหอะๆ นี่กำลังรอโทรศัพท์จากไอ้นั่นอยู่ล่ะสิ ฉันคงโทรมาผิดเวลาสินะ”]

“...ก็ ใช่... แต่ก็รอโทรศัพท์จากแกอยู่เหมือนกันนะ ตั้งแต่กลับอิตาลีก็ไม่ยอมโทรมาหากันเลย ”

[“...เป็นห่วงกันด้วยหรือไง”]

ไอ้เรโอทำเสียงน้อยใจจนผมใจเสียเลย หรือว่ามันยังคิดมากอยู่...

“พูดอย่างงี้หมายความว่าไงวะ ฉันก็ต้องเป็นห่วงสิ ก็เพื่อนทั้งคนนี่... ”

[“ฮ่าๆ... พูดแบบนี้ค่อยดีใจหน่อย”]

“อ้าว... นี่แกล้งกันเหรอ เฮอะ! แล้วโทรมานี่มีอะไรอ่ะ?”

[“เดี๋ยวนี้โทรมาหาเฉยๆไม่ได้รึไงกัน มันก็น่าให้ฉันน้อยใจจริงๆนะเนี่ย...”]

“โห... เรโอคร้าบบบ ทำน้อยใจเป็นผู้หญิงไปได้ แกก็รู้ว่าฉันไม่ได้หมายความอย่างที่พูด ทำเป็นน้อยใจไปได้ แล้วเป็นยังไงล่ะ จะกลับมาไทยเมื่อไหร่?”

[“ฉันกลับมากรุงเทพตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนแล้ว!”]

“อ้าว! แล้วทำไมไม่บอกกันล่ะ ไม่คิดจะมาหากันเลยรึไง”

[“ก็ฉันไม่อยากไปเป็นก้างขวางคอของใครนี่! ไม่อยากเห็นภาพบาดตา...”]

“...ก็ไปหาฉันที่บริษัทก็ได้นี่นา” ผมบอกเสียงอ่อน

ฟังเหตุผลที่มันไม่ยอมมาหาผมแล้ว ถึงกับพูดอะไรไม่ออกเลย ผมรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของเรามันเปลี่ยนไปเล็กน้อย จนรู้สึกว่าไม่สามารถพูดจาได้อย่างสนิทใจเหมือนเมื่อเก่าก่อน ผมไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย... รู้สึกว่าราวกับว่ามันกำลังค่อยๆห่างเหินจากผมไปทีละนิดๆ...  ผมไม่อยากให้เราเป็นแบบนี้...

[“ฮะๆ ฉันล้อเล่น! ความจริงไม่ว่างต่างหาก เกงานไปหลายอาทิตย์ พอกลับมา งานนี่กองสุมมาเต็มเลย วันนี้ก็เลยโทรมาหาจะชวนไปเที่ยวผับสักหน่อย แต่เห็นทีแกคงไปไม่ได้ซะแล้ว ใช่ไหม!? แล้วไอ้หมอนั่นล่ะ... มันไปไหนทำไมแกต้องรอโทรศัพท์มัน ไม่ได้อยู่ด้วยกันหรอกเหรอ...?”]

“...เขากลับไปได้สักพักแล้ว ตอนนี้ฉันอยู่คนเดียว”

[“อ้าว... มันไปไหน? ทำไมถึงทิ้งแกให้อยู่คนเดียว แล้วนี่...เป็นอะไรรึเปล่า? ไมเป็นไรใช่ไหม...”]

ผมยิ้มออกมา เมื่อรู้สึกได้ถึงความเป็นห่วงในน้ำเสียงของเพื่อนคนนี้ได้เป็นอย่างดี หรือผมจะเป็นฝ่ายคิดมากจนเกินไป... เพราะมันยังคงคอยเป็นห่วงเป็นใยผมเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน...

ทุกครั้งเลยสินะ... ที่ไม่ว่าผมอยู่ที่ไหน เป็นอย่างไร ก็จะมีคนๆนี้คอยอยู่เคียงข้างอย่างถูกที่ถูกเวลาเสมอมา... มาคิดได้ก็ตอนนี้ ว่าทุกอย่างคงเป็นเพราะเขาคอยเฝ้ามองผมอยู่และนึกถึงผมอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็เป็นได้ เพื่อนคนนี้ดีกับผมมาก ถึงแม้จะมีเหตุผลของการกระทำนั้นแอบแฝงอยู่ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำก็ไม่มีการประสงค์ร้ายต่อผมเลยแม้สักครั้ง...

เขาทำให้ผมนึกละอายใจ ที่ไม่เคยทำสิ่งใดตอบแทนน้ำใจนี้ให้สมกับที่เขามอบให้ผมได้เลยแม้แต่น้อย...

“ฉันไม่เป็นไรหรอก... เขาแค่กลับไปทำงานของเขาเท่านั้นเอง ขอบใจที่เป็นห่วงนะ”

[“เออๆ ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว! ถ้ามันทำแกเสียใจต้องรีบบอกนะ ฉันนี่แหละจะเป็นคนตามไปตื้บมันกับตีนเลยคอยดู!”]

“ฮ่าๆ พูดไปนั่น... อืมม์ ฉันอาบน้ำแต่งตัวเตรียมเข้านอนแล้ว ไม่อยากออกไปไหนอีก ไว้คราวหน้าล่ะกันนะ เที่ยวให้สนุกล่ะ”

[“อืม งั้นแค่นี้ละกัน ไม่กวนแล้ว บาย...”]

“บาย...”

ผมมองดูหน้าจอมือถือแล้วขมวดคิ้วน้อยๆ จะเที่ยงคืนแล้วทำไมยังไม่โทรมาอีกนะ...? ระหว่างคุยโทรศัพท์กับเรโอก็ไม่เห็นมีสายซ้อนเข้ามา... มัวทำอะไรอยู่นะ? หรือว่าติดงานจนไม่ว่างโทรหา...

ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านต่อ

ถ้าถามว่าแล้วทำไมผมถึงไม่เป็นฝ่ายโทรไปหาเอง?

ผมก็บอกได้เลยว่า ผมกลัวว่าจะโทรไปผิดจังหวะ กลัวว่ามันจะเป็นเวลาที่เขาทำงานอยู่ ซึ่งผมไม่อยากรบกวน  เพราะผมเองก็เป็นคนที่ไม่ชอบให้ใครมารบกวนระหว่างทำงานด้วยเหมือนกัน เลยคิดว่าเขาเองก็น่าจะรู้สึกแบบเดียวกันกับผมด้วย

เพราะฉะนั้นผมคิดว่าผมควรจะรอให้เขาเป็นฝ่ายโทรมาเองดีกว่า...

แต่รอจนแล้วจนเล่าก็ไม่มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกตลอดคืน ผมไม่รู้ว่าตัวเองเฝ้ารอเขาโทรมาจนดึกดื่นแค่ไหน... และเผลอหลับไปตอนไหน... มารู้สึกตัวอีกครั้ง ก็เป็นเช้าของอีกวันไปแล้ว...

รีบคว้ามือถือมาดู แต่ปรากฏว่าไม่ว่าจะเพ่งดูยังไง ที่หน้าจอก็ไม่มีข้อความมิสคอลเข้ามาเลยสักครั้งเดียว แสดงว่าเขาไม่ได้โทรมาหาผมเลยตลอดคืน...

ผมถอนหายใจยาว ลุกจากเตียงไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปทำงาน

ตลอดทั้งวันผมเอาแต่คิดเรื่องของเขาจนไม่เป็นอันทำงาน โชคดีที่วันนี้ไม่มีงานสำคัญอะไรเท่าไหร่ จึงทำให้ผมไม่ต้องกังวลว่าจะพลาดเรื่องสำคัญไป

ผมพอเข้าใจว่าเมื่อคืนเขาอาจจะไม่ว่างโทรมา แต่เขาก็น่าจะรู้ว่าผมกำลังรอโทรศัพท์อยู่ เขาน่าจะโทรมาบอกผมสักคำก็ยังดีเพื่อที่ผมจะได้ไม่ต้องรอเก้อแบบนี้
แต่คิดมากไปก็เปล่าประโยชน์ ยังไงคืนนี้ค่อยคุยกัน แล้วถามเหตุผลจากเขาก็ได้

ตกบ่ายผมไม่มีธุระที่ไหนอีก เลยตัดสินใจขับรถไปร้านอาหารอิตาเลี่ยนของเรโอ ก่อนไปก็โทรนัดเจ้าตัวไว้ก่อน มันจะได้อยู่กับร้านไม่ออกไปเถลไถลที่ไหนให้ผมไม่เจอตัว

“ไง มากินฟรีเหรอ?” เรโอส่งเสียงทักเมื่อเห็นผมเดินเข้ามาในร้าน

มันนั่งรออยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่างมุมประจำที่ผมกับมันชอบมานั่งทานอาหารด้วยกัน บนโต๊ะมีอาหารหลากเมนูของทางร้านที่ผมชอบกินวางรอเตรียมให้ผมมาทานเรียบร้อยแล้ว มันช่างเป็นเพื่อนที่รู้ใจผมเสียจริง...

“จะให้ฉันจ่ายก็ได้นะ ฉันยังไงก็ได้” ผมบอกยิ้มๆ เลื่อนเก้าอี้นั่งลงตรงข้ามกับมัน

“แหม! ไอ้มีเงิน ไอ้รวย! หมั่นไส้ว่ะ!”

ผมหัวเราะขำคำพูดแดกดันของมัน อย่างรู้กันว่ามันไม่ได้พูดจริงจังอะไร

“กาย...”

“หืมม์?”  

เงยหน้าขึ้นมองคนเรียก ขณะที่มือยังจิ้มสลัดผักเข้าปากอยู่

“เป็นอะไรรึเปล่า? หน้าตาดูอิดโรยนะ...”  มันพูดพลางจ้องมองหน้าผมนิ่ง

“เหรอ... คงเพราะช่วงนี้ทำงานยุ่งน่ะ เลยเหนื่อยๆ”

“นอนไม่พออีกล่ะสิ เอาอีกแล้วนะ” เรโอว่า

“ยังไม่ชินอีกรึไง...” ผมบอกยิ้มๆ

“เฮ้อ... แล้วตอนนี้ยังกินยานอนหลับอยู่อีกรึเปล่า?”

“ไม่แล้ว”

 “ก็ดี” เรโอคว้าแก้วไวน์มาจิบดื่ม ก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองผมอีกครั้ง “แต่แปลก...”

“แปลกอะไร? ก็มันไม่มีให้กินแล้ว ก่อนหน้านี้โดนเก็บกวาดไปทิ้งเรียบไม่มีเหลือ แอบเสียดายอยู่เหมือนกัน” ผมอธิบาย

“ฮ่าๆ! ฝีมือไอ้หมอนั่นเหรอ?” เรโอหัวเราะเสียงดัง ตบโต๊ะเหมือนกับถูกจะอะไรสักอย่าง

“ใช่! ทำไม?”

“ฮ่าๆ ถูกใจว่ะ! ครั้งนี้มันทำถูกใจฉันมากเลยนะเนี่ย เพราะฉันเองก็เคยแอบเอาไปทิ้งบ้างเหมือนกัน แต่แกก็เอามาใหม่อยู่เรื่อย จนฉันไม่รู้จะทำยังไงดี คิดไม่ถึงว่าหมอนั่นจะทำอะไรเด็ดขาดแบบนั้นกับแกได้ ฮ่าๆ”

ผมค้อนใส่เรโอ ก่อนจะหันมาสนใจอาหารตรงหน้าต่อ

“เออ... ขำเข้าไป เดี๋ยวนี้แอบเข้าข้างกันตั้งแต่เมื่อไหร่”

“เปล่า... ก็แค่มันทำอะไรสมเหตุสมผลดี คนหัวดื้ออย่างแกมันต้องเจอซะบ้าง ฮึๆ”

“เฮอะ!”

ขี้เกียจต่อปากต่อคำกับมันแล้ว พูดทีไรมันชอบวกมาเข้าตัวผมอยู่เรื่อย เลยได้แต่กินอาหารตรงหน้าต่อ โดยมีมันเฝ้ามองพลางหัวเราะพลาง มันคงขำที่คราวนี้ผมเถียงมันไม่ออกล่ะสิ

“เอ้อ! ฉันทำทีรามิสุไว้ตั้งแต่เมื่อเช้า เดี๋ยวจะไปเอามาให้กินนะ” เรโอบอก แล้วก็ลุกออกไป

พอเรโอไม่อยู่ ผมก็อดไม่ได้ต้องกลับมาคิดถึงเรื่องนายนิคอีก ตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่นะ คงกำลังถ่ายแบบ ไม่ก็ซ้อมเดินแบบอยู่ละมั้ง พอมาคิดเรื่องงานของเขาดูแล้ว เมื่อเทียบกับตัวเองมันช่างแตกต่างกันเหลือเกิน โดยเฉพาะเรื่องของเวลา งานของเขาไม่มีเวลากำหนดตายตัว อย่างการถ่ายแฟชั่น ถ้าถ่ายเสร็จเร็วก็เลิกกองเร็ว ถ้าถ่ายเสร็จช้าก็อาจยืดเยื้อข้ามวันไปเลยก็เป็นได้

ยิ่งถ้าถ่ายแบบมีวิวแสงสีธรรมชาติประกอบฉากยิ่งแล้วใหญ่ บางครั้งก็ถึงกับต้องตื่นแต่เช้าตรู่มาแต่งหน้าทำผมเพื่อถ่ายฉากพระอาทิตย์ขึ้นเพียงแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น หากพลาดช็อตเด็ดที่ต้องการขึ้นมา ก็ถึงกับเริ่มถ่ายกันใหม่ในเช้าของอีกวันเลยก็เป็นได้

พอมาคิดเรื่องการทำงานของเขา ก็เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงมีความคิดที่จะไม่ต่อสัญญากับทางต้นสังกัดต่อ เพราะการมีต้นสังกัดจะมีงานเข้ามาตลอดเรื่อยๆ ตามแต่ทางต้นสังกัดจะแจกจ่ายงานมาให้ ยิ่งถ้ามีแววหรือได้รับความนิยม จนมีเอเจนซี่ต่างๆติดต่อขอให้ทำงานให้ก็ยิ่งแล้วใหญ่ ถ้ารับงานมากขึ้นเวลาว่างก็ลดลงเป็นธรรมดา

เขา...อาจจะคิดไว้ล่วงหน้าแล้ว ถึงได้คิดตัดสินใจไปแบบนั้น... ว่าถ้าเขาเลือกจะอยู่กับงาน ความรักของเราก็จะหยุดอยู่กับที่แบบนี้ โดยไม่มีการกระเตื้องขึ้นแต่อย่างใด...

“มาแล้วๆ ทีรามิสุแสนอร่อย!” เสียงเรโอที่เดินเข้ามาพร้อมกับถาดขนมในมือ ปลุกเรียกผมให้ตื่นจากภวังค์ความคิดทั้งมวล

“เป็นไร? ทำไมนั่งทำหน้าหงอยๆวะ กินนี่สิ! รับรองอร่อยเด็ด!”

จานเค้กที่มีเนื้อครีมสีขาวเหมือนงาช้างซ้อนทับกันเป็นชั้นๆกับบิสกิตหอมกลิ่นกาแฟอ่อนๆและกล้วยหอมสด ด้านบนโรยช็อคโกแล็ตขูดกับผงโกโก้ ดูหน้าตาน่ารับประทานมากๆ ถูกวางลงตรงหน้าผม

 แน่นอนว่าฝีมือของลูกชายเจ้าของร้านอาหารก็ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน เพื่อนผมคนนี้ทำอะไรก็อร่อยอยู่แล้ว เอาหน้าหล่อๆของมันเป็นประกันได้เลย!

ผมหยิบส้อมที่ข้างจานมาตักขนมตรงหน้ากิน ความหวานมันของเนื้อครีมสดซึมทราบผ่านลิ้นจนหายไปในลำคอ กล้วยหอมกับบิสกิตรสกาแฟช่วยทำให้รสชาติไม่เลี่ยนจนเกินไปนัก

รู้สึกได้เลยว่าทานของหวานแล้วมันทำให้อารมณ์หมองๆก่อนหน้านี้รู้สึกดีขึ้นมาได้จริงๆ  

“เป็นไง...อร่อยไหม?”

“อื้มมม” ผมตอบรับในลำคอพร้อมกับยกนิ้วโป้งแล้วยิ้มให้

“กายยิ้มเก่งขึ้นนะ รู้ตัวบ้างรึเปล่า” จู่ๆเรโอก็พูดขึ้นมาพลางจดจ้องมองหน้าผมอย่างแปลกใจ

“หือ? งั้นเหรอ...”

“ใช่... ดูน่ารักขึ้นกว่าเดิมมากเลย ไม่ค่อยทำตัวเย็นชาเหมือนแต่ก่อน...”

ผมหน้าร้อนผ่าวขึ้นทันใด กับคำชมที่มันพูดโดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัวออกมา

เฮ้อ...สงสัยผมจะอยู่กับนายนิคมากเกินไปแน่เลย ถึงทำให้ผมเผลอทำตัวแปลกๆออกไปแบบนี้

“เป็นเพราะมันสินะ... ชิ! ฝีมือดีจนน่าหมั่นไส้!”

ไอ้เรโอยิ้มทะเล้นส่งมาให้ผม พร้อมกับคำที่ฟังดูก้ำกวมชวนคิดแปลกๆ ทำเอาผมหน้าร้อนผ่าวยิ่งกว่าเดิมอีก

 แล้วทำไมผมถึงต้องมาโดนมันไล่ต้อนแบบนี้ด้วยเนี้ย!!!




---------------------------------------------------------------


มาต่อให้ยาวกว่าเดิมแล้วนะคะ :กอด1:

สุดท้ายนี้ เป็นรูปทีรามิสุของเรโอ  o13







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-12-2009 16:36:00 โดย pixie_pansy »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด