สวัสดีค่ะ
ไรทเตอร์มารายงานตัวแล้วค่ะ ว่ายังมีชีวิตอยู่
ขอโทษที่หายไปเสียนานนะคะ แต่มาแต่งเรื่องไม่ได้จริงๆค่ะ เพราะชีวิตไม่ได้อยู่โหมตปกติเลย 555
ตอนนี้เรียนหนักค่ะ ต้องอ่านเยอะ เก็บข้อมูลเยอะ จนพาลเบื่อตัวหนังสือไปเลยก็มี
ตั้งเป้าหมายในชีวิตไว้อย่างหนึ่งตอนนี้ อยากจะทำให้สำเร็จ ตอนนี้เลยพยายามอย่างเต็มที่อยู่ หวังว่าทุกคนจะให้อภัยไรทเตอร์คนนี้นะคะ
แต่รับปากเลยว่า เรื่องนี้มาต่อจนจบแน่นอนนะคะ ยืนยันได้ค่ะ อาจมาช้า อัพได้ไม่แน่นอน แต่ไม่หายไปไหนแน่ๆ (ไม่งั้นอาจโดนฆ่าได้ 555)-----------------------
“คัต!! เลิกกองได้! วันนี้พอแค่นี้ก่อน พรุ่งนี้ถ่ายตอนดวงอาทิตย์ขึ้นเป็นฉากสุดท้ายแล้ว” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่องานในวันนี้เสร็จสิ้นลงเสียที
“ไง! ใจจะขาดหรือยังล่ะ?” พี่เอผู้จัดการของผมเดินเข้ามายื่นน้ำให้ดื่ม
“ฮึ! พี่ก็รู้อยู่ ไม่รู้เขาจะโกรธผมไหม ที่จู่ๆผมก็หายเงียบไปโดยไม่บอกเขาก่อนแบบนี้” เมื่อนึกถึงหน้าเขาคนนั้นแล้วก็พาลให้ผมต้องถอนหายใจออกมาอีกระลอก
“จำเป็นต้องคอยรายงานทุกสถานการณ์เลยหรือไง โตๆเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ถามหน่อยเหอะ ว่าเขาเคยรายงานแกเหรอ? ว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่ที่ไหนอย่างไร”
ผมส่ายหน้า เพราะสิ่งที่พี่เอพูดมันคือเรื่องจริง คุณกายน้อยครั้งที่จะเป็นฝ่ายโทรหาผมก่อน เวลาที่ผมโทรคุยกับเขา ก็มักมีแต่ผมที่เป็นฝ่ายชวนคุย ส่วนเขาไม่ค่อยเล่าอะไรให้ผมฟังนอกจากเรื่องทั่วๆไปเท่านั้น
“...แต่มันคนละเรื่องนี่พี่ ตอนนี้เรากำลังอยู่ที่อิยิปต์นะ!”
“ก็มันเหตุสุดวิสัยช่วยไม่ได้ หรือแกมีปัญญาโทรบอกเค้า”
ผมไม่ตอบ ยกขวดน้ำในมือขึ้นมาราดรดหน้าดับความร้อนในร่างกายแทน จริงอย่างที่พี่เอพูด ผมไม่มีปัญญาติดต่อหาคุณกายจริงๆนั่นแหละ เพราะรอบตัวผมตอนนี้มีแต่ทรายกับทรายเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา
ที่ทุระกันดานแบบนี้… จะไปหาสัญญาณโทรศัพท์โทรทางไกลถึงต่างประเทศได้ยังไงกันเล่า!!
ใช่แล้วครับตอนนี้ผมอยู่ที่อิยิปต์ ดินแดนแห่งทะเลทราย เป็นที่ตั้งของหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอย่าง พีระมิด… และในตอนนี้ผมก็มาถ่ายมิวสิควีดีโอให้กับนักร้องดังคนหนึ่งนั่นเอง
งานครั้งนี้ผมได้รับมาอย่างปุบปับโดยไม่คาดคิดจริงๆ… เรื่องราวฉุกละหุกมันเกิดขึ้นเพราะนายแบบในสังกัดคนหนึ่งที่รับงานนี้ดันเกิดอาหารเป็นพิษ!!
ทำให้ผมต้องมาซวยกลายเป็นตัวตายตัวแทน เนื่องจากตัวผมดันมีรูปร่างใกล้เคียง อิมเมจคล้ายกันกับนายแบบคนนั้นที่เขามาถ่ายทำที่นี่ไปบ้างแล้วในบางฉากที่สุด
ทันทีที่รู้ข่าวร้ายนี้ ผมก็แทบจะไม่มีเวลาเตรียมตัวเลย รุ่งเช้าก็โดนพี่เอลากไปสนามบินแล้ว และคืนของวันนั้นก็เป็นคืนแรกที่ผมไม่ได้ติดต่อไปหาคุณกายตามปกติ…
เมื่อมาถึงสนามบินไคโรก็โดนพาตัวขึ้นรถจี๊บขับออกนอกเมืองทันที แม้แต่เมืองหลวงไคโร ผมก็ยังไม่มีโอกาสได้เหยียบนานถึงชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ!
นี่ก็ล่วงเลยเข้าวันที่ห้าแล้วที่ผมมาที่นี่ การถ่ายทำใกล้จะเสร็จแล้ว ผมยังต้องอดทนต่ออีกวันหนึ่ง… ไม่รู้คุณกายจะโกรธผมมากไหมที่ผมหายไปเงียบๆแบบนี้…
เฮ้อ… เอาไว้กลับไปค่อยอธิบายให้ฟังละกัน คุณกายไม่ใช่คนไร้เหตุผลเสียหน่อย…
คิดได้ดังนั้น ความไม่สบายใจที่มีมาตลอดหลายวันนี้ก็ผ่อนเบาลงทันที
ดีนะ…ที่หลังจากงานนี้แล้วคงได้พักสักสัปดาห์หนึ่ง เพราะการรับงานด่วนนี้ ทำให้พี่เอต้องยกเลิกคิวงานบางส่วนของผมออกไป เลยพอมีเวลาว่างนิดหน่อยให้ผมสามารถใช้มันได้อย่างคุ้มค่า
ผมวางแผนในใจ ก่อนจะยิ้มออกมาเงียบๆคนเดียว
+++++++++++++++++++++
กี่วันแล้วนะ…?กี่วันแล้วที่เขาไม่ได้ติดต่อมาหาผมอีกเลย…
1…2…3…4…5…6 วัน ไม่สิ… นับวันนี้ด้วย ก็ล่วงเข้าวันที่7 แล้ว ครบสัปดาห์พอดี…
ความรู้สึกในวันแรกยังจำได้ดี ว่าตัวเองรู้สึกกระวนกระวายใจมากแค่ไหน ตาก็คอยแต่จับจ้องมองโทรศัพท์มือถือจนนอนแทบไม่หลับ
เช้าวันที่สอง ก็รู้สึกโกรธเคืองที่คนต้นเหตุไม่ยอมโทรมาบอกเหตุผลกันบ้างเลย ปล่อยให้ผมคอยโทรศัพท์อยู่ได้ตั้งนาน ติดงานติดธุระก็ไม่ว่าเลย แค่โทรมาบอกสักนิดก็ยังดี ผมจะได้ไม่ต้องมาคอยห่วงพะวงอยู่แบบนี้...
วันที่สาม... ยังคงไร้การติดต่อ ชีวิตของผมเงียบเชียบลงกว่าเดิม จากปกติที่ว่าเงียบอยู่แล้ว วันนี้กลับรู้สึกต่างจากที่เคย ความรู้สึกในใจมันแปลกๆ เหมือนผมกำลังขาดแคลนบางสิ่งบางอย่างในใจ มันรู้สึกใจโหวงๆ ทั้งๆที่ผมก็ยังดำรงชีวิตตามปกติอย่างที่เคย แต่ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว ความรู้สึกของผมไม่เหมือนเคยอีก...
ล่วงเข้าวันที่สี่ ผมลองเป็นฝ่ายโทรหานิคดู คิดว่าจะลองถามเขาให้รู้เรื่อง ดีกว่ามานั่งรอไปวันๆแบบนี้ เขาหายเงียบไปสี่วัน นี่ก็ถือว่าผิดปกติมากแล้ว มันไม่เหมือนกับเขาคนเดียวกับที่คอยตามตื๊อผมทุกหนทางเลย มันผิดปกติวิสัยจากที่เขาเป็น วันนั้นทั้งวันผมพยายามติดต่อเขาหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็สิ่งที่ตอบกลับมาเป็นเพียงสัญญาณปิดเครื่องจากเขาเท่านั้น… หรือเป็นผมเอง ที่ยังรู้จักเขาไม่ดีพอ...
วันที่ห้า... ผมล้มเลิกความพยายามที่จะติดต่อเขาอีก แต่ความรู้สึกของผมมันกลับไม่ดีขึ้นเลย ผมยอมรับเลยว่า ผมคิดถึงเขามากกก มากจนไม่อยากจะเชื่อตัวเอง ผมโหยหาทุกสิ่งที่เคยได้รับจากเขา ความรู้สึกนี้มันเข้มข้นชัดเจนขึ้นทุกวันๆ จนผมนึกกลัว... ผมเพิ่งรู้ตัวเองก็วันนี้ ว่าผมเสพติดเขาเข้าซะแล้ว เขาทำให้ผมเคยตัว โดยไม่เคยคิดเลย ว่าจะเป็นมากขนาดนี้
วันที่หก ผมพยายามปรับตัวให้เคยชินกับความรู้สึกที่ก่อตัวอยู่ เขาอาจจะเหนื่อยหน่ายก็ได้ที่ต้องมาคอยโทรหาผมทุกวันแบบนั้น ทั้งที่งานก็ยุ่งยังต้องหาเวลามาโทรหาผมอีก ก็ไม่แปลกหรอกที่เขาจะเบื่อมันขึ้นมา จากวันแรกๆที่ผมโกรธเขาที่จู่ๆก็หายเงียบไปไม่บอกกล่าว จนวันนี้ผมไม่เหลือความรู้สึกนั้นแล้ว มันกลับเกิดความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งขึ้นมาแทนที่มากกว่า... ผมกำลังรู้สึกน้อยใจเขา...
น้อยใจว่าทำไมเขาไม่รู้สึกเหมือนผมบ้างเลย ไม่คิดถึงผมเหมือนที่ผมคิดถึงเขาบ้างเลยเหรอ?
จนกระทั่งวันนี้... วันที่เจ็ดแล้วสินะ
ที่ไม่ได้ยินเสียงทุ้มๆทุกคืนก่อนนอน ไม่ได้ฟังเรื่องเล่าในแต่ละวันที่เขาหยิบยกมาเล่าให้ผมฟังอย่างไม่รู้เบื่อไม่ได้รับคำบอกรักหวานๆส่งผมเข้านอน
เฮ้อ... ผมถอนหายใจออกมายาวเหยียด ความรู้สึกโหวงเหวงในใจนี้ จะต้องให้ผมรออีกสักกี่วัน ถึงจะทำให้มันหมดไปได้
แอ๊ด!
เสียงประตูห้องทำงานผมเปิดออกโดยไม่ได้เคาะก่อน ทำให้ผมรู้เลยว่าใครเป็นคนเข้ามา
คงจะเป็นใครไปไม่ได้หรอกนอกจากไอ้เรโอเพื่อนสนิทของผมนั่นแหละที่มันกล้าทำแบบนี้
“งานเสร็จรึยัง! วันนี้ไปดินเนอร์กัน ฉันได้ของดีจากลูกค้ามาว่ะ” เรโอยิ้มร่าพร้อมกับชูขวดไวน์เก่าเก็บยี่ห้อดังให้ผมดู
“เอาสิ กำลังเซ็งอยู่เหมือนกัน ว่าแต่จะไปกินที่ไหนดีล่ะ” ผมตอบรับ พร้อมกับปิดแฟ้มเอกสารที่กำลังดูอยู่ลง ก่อนจะลุกขึ้นคว้าสูทที่วางพาดไว้มาสวม
“ห้องแกละกัน เดี๋ยวฉันทำมื้อค่ำให้กินเอง”
“เอางั้นก็ได้ เตรียมของทุกอย่างมาแล้วล่ะสิ” ผมหมายถึงพวกของสดเครื่องปรุงที่จะทำ
“อื้ม แหงล่ะ ไปๆ รถฉันนะ?”
“เออๆ”
แล้วผมกับเรโอก็ขับรถมุ่งสู่คอนโดของผม ยังดีนะที่ผมยังมีเรโอ คอยแวะเวียนมาหาตลอดทั้งสัปดาห์นี้ ไม่งั้นผมคงรู้สึกแย่ได้มากกว่านี้แน่
+++++++++++++++++++++
เครื่องบินที่ผมนั่งมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิก็ดึกมากแล้ว ผมตัดสินใจขึ้นแท็กซี่ไปยังคอนโดของคุณกายทันที มองโทรศัพท์มือถืออย่างช่างใจว่าจะโทรไปดีไหม... นี่ก็เที่ยงคืนกว่าแล้ว... ป่านนี้เขาจะนอนรึยังนะ?
“ไม่โทรบอกดีกว่า... ถือว่าเป็นเซอร์ไพรส์ละกัน ไหนๆเราก็มีคีย์การ์ดสำรองอยู่แล้ว” ผมพึมพำอมยิ้ม แล้วเก็บมือถือเข้ากระเป๋ากางเกงตามเดิม
...
แท็กซี่มิตเตอร์แล่นมาจอดสนิทลงหน้าคอนโดหรูแห่งหนึ่ง พร้อมกับใจของผมที่เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เพราะในที่สุดผมก็จะได้พบกับคนที่ผมคิดถึงอยู่ตลอดเวลาแล้ว ดังนั้นพอจ่ายเงินเสร็จผมก็รีบก้าวยาวๆเข้าไปภายในโดยไม่รีรอทันที
ขึ้นลิฟต์มาจนถึงชั้นที่พัก เดินไปหยุดอยู่หน้าประตูบานใหญ่ที่ปิดสนิทนั้น นิ่งคิดอยู่ว่าพอเปิดประตูเข้าไปจะเป็นยังไง คนในห้องจะว่ายังไงบ้างเมื่อผมกลับมาโดยไม่บอกแถมก่อนหน้านี้ยังหายไปไม่ติดต่อหาเขาเป็นอาทิตย์อีก หรือไม่เขาอาจจะหลับไปแล้ว...
หลับแล้วก็ดี เพราะผมก็กลัวๆอยู่เหมือนกันว่าเขาอาจจะโกรธผมอยู่ไม่น้อย
แต่ทำไงได้ล่ะ! ผมเองก็อยากเห็นว่าเขาจะคิดถึงผมมากๆอย่างที่ผมเป็นรึเปล่า??
ผมล้วงคีย์การ์ดออกมาจากกระเป๋ากางเกงเสียบลงกับแผงประตู แล้วก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น เมื่อไม่ได้ยินเสียงของการปลดล็อคอย่างที่ควรจะได้ยิน
“ดึกป่านนี้แล้ว ทำไมถึงไม่ล็อคประตูให้เรียบร้อยล่ะเนี่ย...” แม้รู้สึกไม่ชอบใจนัก แต่ก็จำใจต้องเปิดประตูย่องเข้าไปเงียบๆ ถึงยังไงวันนี้ผมก็มาเซอร์ไพรส์เขานี่นา ไว้ค่อยตักเตือนเรื่องที่เขาไม่ค่อยระมัดระวังทีหลังก็แล้วกัน...
เมื่อผมเปิดประตูเข้าไป สิ่งที่ผมต้องหยุดมองก่อนเป็นอันดับแรกคือ
รองเท้าสองคู่ที่วางคู่กันอยู่หน้าห้อง!
แน่นอนว่าคู่หนึ่งในนั้นเป็นของคุณกาย แล้วอีกคู่หนึ่งที่ไซส์ใหญ่กว่าล่ะ… ของใคร?
ดึกดื่นป่านนี้ใครมาหาแฟนผมถึงห้องล่ะเนี่ย!!
อารมณ์กรุ่นโกรธเริ่มปะทุในใจผมทีละนิดๆ ไม่ใช่ว่าผมไม่ไว้ใจคนรักของผม ผมเชื่อใจเขามากเลยทีเดียว เพราะคนใจแข็งอย่างเขาไม่มีทางที่จะเปลี่ยนใจอะไรง่ายๆเหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้าหรอก ดูจากการที่เขากว่าจะยอมมาคบกับผมก็รู้
แต่ที่ผมอารมณ์เสียอยู่ตอนนี้ เพราะผมไม่ไว้วางใจคนรอบตัวเขาต่างหาก คุณกายอาจจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองมีเสน่ห์ต้องตาต้องใจใครต่อใครมากแค่ไหน แต่คนรอบข้างเขารู้สึกได้! ไม่งั้นผมคงไม่หลงรักเขาถึงขนาดนี้หรอก…
แล้วเวลานี้มันกี่โมงกี่ยามกันแล้วล่ะ? มันควรจะเป็นเวลาที่เขาต้องนอนพักผ่อนอยู่ที่ห้องคนเดียวไม่ใช่เหรอ?? ไม่ใช่เวลามานั่งรับแขกแบบนี้!?
เสียงเพลงคลาสสิคดังคลอเบาๆจากสเตริโอสุดหรู ราวกับต้องการสร้างบรรยากาศดื่มด่ำให้คนในห้องทั้งสอง ผมหน้าเครียดสาวเท้าเข้าไปยังห้องนั่งเล่น ได้ยินเสียงพูดคุยดังอยู่แว่วๆ
“ไม่ได้จิบไวน์รสเลิศฟังเพลงด้วยกันมานานแล้วเนอะกาย ครั้งสุดท้ายนี่เมื่อไหร่นะ…” เสียงทุ้มของชายคนหนึ่งดังขึ้นมา ทำให้ผมต้องหยุดนิ่งขมวดคิ้วอย่างฉงน ครุ่นคิดว่าเคยได้ยินเสียงคนๆนี้ที่ไหนมาก่อน
ชื่อๆหนึ่งปรากฏขึ้นมาในมโนความคิดโดยไม่ต้องเสียเวลานาน
เรโอ…
ไอ้หนุ่มอิตาเลี่ยนหมาเฝ้ากระดูกนั่นเอง…
แม้จะเบาใจที่แขกของคุณกายคนนี้เป็นคนที่ผมรู้จัก แต่ผมก็รู้สึกไม่ชอบใจอยู่ดี คงเพราะผมรู้ว่าในใจมันคิดอะไรกับแฟนผมล่ะมั้ง ผมถึงได้รู้สึกไม่อาจวางใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
ผมเดินเข้าไปเงียบกริบ โดยที่คนในห้องไม่รู้ตัว ภาพที่ปรากฏตรงหน้าผมคือคนสองคนกำลังดื่มไวน์เคล้าเสียงเพลงอยู่บนโซฟา
ในมือคุณกายข้างหนึ่งถือแก้วไวน์อีกข้างถือขวดไวน์กำลังรินดื่มเอง ส่วนไอ้เรโอนั่งจิบไวน์มองหน้าที่รักผมอยู่นั่นแหละ!
“เป็นไรเนี่ย? ดื่มเอาๆตั้งหลายแก้วแล้วนะ เดี๋ยวก็เมาหรอก”
“ดี…” คุณกายตอบเสียงเบาหวิว ก่อนจะกระดกแก้วไวน์ดื่มพรวดเดียวจนมันไหลออกนอกปากหกรดเสื้อเชิ้ตของเขา
“เฮ้ย! เมาแล้วมั้ยเนี่ย!!” ไอ้เรโอร้องเสียงหลง กระชากแก้วจากมือบาง ก่อนจะทำในสิ่งที่ผมถึงกับยืนอึ้ง
มือทั้งสองของมันค่อยๆปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตคุณกายทีละเม็ดๆก่อนจะแหวกสาบเสื้อถอดออกจากตัว สายตาของมันมองเนื้อตัวขาวๆนั่น… มันเป็นสายตาที่ทำให้ผมไม่พอใจสุดๆ เป็นสายตาที่ผมใช้มองคนรักอยู่เสมอ…
สายตารักใคร่…
แววตาผมลุกโชนด้วยอารมณ์โกรธที่ปะทุจากภาพเบื้องหน้า
แล้วก็ถึงขีดสุดเมื่อคนรักของผมไม่ได้แสดงอาการขัดขืนใดๆอย่างที่ผมอยากให้ทำ
โครม!!!
กระเป๋าเป้บนบ่าผมถูกเหวี่ยงลงกับพื้นอย่างแรง โดยไม่แยแสของภายในเลยแม้แต่น้อย
คนทั้งคู่สะดุ้งเฮือก! หันมามองทางผมด้วยความตกใจ
“นิค…” คุณกายเรียกชื่อผมด้วยดวงตาเบิกโพลง
ผมมองคนทั้งคู่ด้วยความโมโห ผมไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาดูแลกันมายังไง สนิทสนมกันขนาดไหน แต่วิธีปฏิบัติที่ใกล้ชิดเกินเหตุ ราวกับพวกเขาเป็นคนรักกันแบบนี้ผมรับไม่ได้! ผมเองไม่ใช่หรือที่เป็นตัวจริง! แล้วจะให้ผมทนมองสิ่งที่ตัวจริงอย่างผมมากกว่าที่จะต้องเป็นคนทำแบบนี้ได้เหรอ?
ผมไม่ได้ใจกว้างขนาดนั้นนะ!
เหมือนนายเรโอจะเป็นฝ่ายได้สติก่อน
“ฉันรู้ว่านายกำลังคิดอะไร แต่มันไม่ใช่อย่างที่นายคิดหรอก ความจริงฉันก็ไม่อยากอธิบายนักหรอกนะ” มันยักไหล่ให้ผม แววตาที่มองผมไม่ได้มีความรู้สึกผิดอะไรเลยแม้แต่น้อย
ก่อนมันจะก้าวเท้าเดินเข้ามาพูดกับผมเบาๆ “ฉันไม่รู้ว่าระหว่างนายกับกายมีเรื่องอะไรกันรึเปล่า แต่ขอเตือนอีกครั้งนะว่า ถ้านายขาดตกบกพร่องหรือดูแลกายไม่ดีล่ะก็ ฉันจะไม่อยู่นิ่งเฉยแน่… ”
ผมมองมันด้วยสายตาขุ่นเคือง แต่มันกลับยิ้มเยาะโต้ตอบผมมา แล้วเดินชนไหล่ผมออกไป
“ฉันกลับก่อนนะกาย ไว้ค่อยเจอกัน”
ถ้าผมอยากจะวิ่งไปตั้นหน้าหมอนั่นสักหมัดจะผิดไหม…?
แต่ผมไม่ได้ทำอย่างที่คิดหรอก เพราะบทสรุปจากคราวที่แล้วที่ผมต่อยตีกับมันไม่ค่อยจะสวยงามนัก แล้วผมก็ไม่ต้องการเห็นคุณกายมาขวางจนต้องเจ็บตัวแบบนั้นอีก
แว่วได้ยินเสียงประตูคอนโดปิดลงจากน้ำมือคนที่จากไป ทิ้งให้คนในห้องยืนมองหน้ากันอย่างเงียบงัน…
อารมณ์ขุ่นเคืองของผมยังคงไม่จางหาย เลยตัดสินใจเดินผ่านคุณกายไปยังห้องนอนโดยไม่พูดอะไร ผมต้องการเวลาสงบสติอารมณ์ในตอนนี้ ไม่อย่างนั้นความมีเหตุผลของผมคงหายไปไม่มีเหลือ จนผมอาจจะเผลอทำอะไรลงไปเพราะแรงอารมณ์ที่ครุกกรุ่นอยู่ก็เป็นได้
--------จบตอน---------