จาก เก่ง ถึง ตี๋ ภาค 5 – ตอนที่ 7 / ไม่คาดคิด *เก่ง กูขอโทษ กูต้องกลับเมืองไทยเดี๋ยวนี้*
-มันเรื่องอะไรทำไมต้องร้องให้ขนาดนี้ด้วย- ผมถามมัน
*พ่อเข้าโรงพยาบาล เส้นเลือดในสมองแตก อาการไม่ดีเลย*
-เมื่อไหร่- ผมถามด้วยความตกใจ
*เมื่อเช้า ไอ้เตยโทรมาแต่เช้า ตอนนี้กำลังมาถึง รพ ที่ กทม.*
-ตี๋ มึงใจเย็น ๆ นะ เรื่องมาเที่ยวก็ช่างมัน อีกอย่างพ่อก็ยังไม่เป็นไร ถึงมือหมอแล้วใช่ใหม อย่าพึ่งตีโพยตีพายไป-
ผมดึงมือมันเดินออกมานอกห้องเพราะน้องโอ้ตยังนอนหลับอยู่
-จะกลับเลยใหม ถ้าเรากลับไปที่สิงคโปร์ตอนเย็นนี้ได้ เราก็จะไป กทม ได้เลย-
*แต่มึงมาเที่ยวอยู่นะ*
-กูคงมีกระจิตกระใจอยู่เที่ยวหรอกนะ เอาล่ะ มึงไปบอกขอโทษเมย์ เดี๋ยวกูจะไปขอโทษไอ้โอ้ตมัน แล้วกูจะเอาโน้ตบุ้กตามลงไปที่ล้อบบี้ เราจะหาตั๋วกลับบ้านกัน-
*เก่ง กูใจคอไม่ดีเลย*
-ใจเย็น ๆ เดี๋ยวโทรหาแม่หาน้องซะด้วย ไปได้แล้วเร็ว ๆ เดี๋ยวไม่มีตั๋วเราจะแย่-
ผมรีบเข้าไปในห้อง ปลุกไอ้โอ้ตลุกขึ้นมา ผมบอกว่าการเลื่อนตั๋วอาจจะทำให้เสียเงินมากขึ้น สักพักเมย์เดินเข้ามาในห้องบอกว่าไม่เป็นไร ผมบอกว่า ซาบซึ้งใจมาก แต่อย่าเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มโดยไม่จำเป็นอีกอย่าง พ่อไอ้ตี๋คงไม่เป็นอะไรเพราะถึงมือหมอแล้ว
ไอ้โอ้ตกับเมย์ตกลงกลับวันพรุ่งนี้ตามกำหนดเดิม ผมรีบเปิดอินเตอร์เน็ทเบราเซอร์ หาเบอร์โทรศัพท์ของสายการบินที่สามารถกลับไปที่สิงคโปร์ได้ทันที และเร็วที่สุด
แต่เนื่องจากบาหลี เป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง ไฟล้ท์ต่าง ๆ ถูกจองจนเต็มทั้งหมด ผมจึงเรียกไอ้ตี๋เก็บกระเป๋า ไปตายเอาดาบหน้าบ้าบิ่นสไตล์ผมที่สนามบิน Denpasar ทันที
เมื่อถึงสนามบิน Denpasar ผมรีบวิ่งเข้าไปที่เคาน์เตอร์ของ Adam air, Garuda Indonesia, Silk Air (SIA), Quantus และ Jetstar asia ทันทีเพื่อขอจองตั๋วในกรณีที่มีที่ว่าง เราจะได้กลับสิงคโปร์ในวันนี้เลย ที่สนามบิน ผมใช้อินเตอร์เน็ตจองตั๋วเครื่องบินเที่ยวบินสุดท้ายของ Jetstar asia ผ่านหน้าเว็บไซต์ วันนั้น มี Night flight ออกเวลา 5 ทุ่มพอดี
ผมกับไอ้ตี๋ยืนรีรออยู่ที่แถวเช็คอินของแต่ละสายการบิน โชคไม่ดีเลยไม่มีที่ว่างสำหรับสายการบินแรก ผมบอกให้ใจเย็น ๆ รอสายการบินต่อไป ผมกอดมันซบที่ไหล่ผมโดยไม่อายสายตาของใครทั้งนั้น ความรู้สึกของคนที่ผมรัก สำคัญกว่าเรื่องคนอื่นจะมองเรามาก
ถัดมาเป็นของ Silk air/Singapore airline เหมือนพระเจ้าเข้าข้างเรา เหลือที่นั่งอีก 1 ที่ที่ยังว่างเพราะว่าไม่มีคนมาเช็คอิน ผมมองหน้าไอ้ตี๋ก่อนส่งตั๋วของ สิงคโปร์ – กทม ให้มัน และวิ่งไปซื้อตั๋วที่ช่องบริการของสายการบิน
*ไปก่อน ถ้ามีที่ว่าง กูจะตามไป พอถึงสิงคโปร์ให้รอกูก่อนนะ แต่ถ้ากูไม่ทัน ไปก่อนได้เลย*
-มึงต้องรีบไปนะ- มันทำตาแดง ๆ
ผมนั่งรอจนถึงสายการบินสุดท้ายคือ Jetstar airline สายการบินขึ้นป้ายว่า เที่ยวบินนี้จะบินโดย Value air ซึ่งเป็นสายการบินที่ควบกิจการกัน ผมรอด้วยใจระทึกเพราะเหลือบตามองเวลา อีก 3 ชั่วโมงผมต้องเหยียบแผ่นดินสิงคโปร์ให้ได้ ผมยืนรออยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ พนักงานมองผมด้วยสายตาที่เอาใจช่วยเช่นกัน
อีก 45 นาทีประตูทางออกขึ้นเครื่องจะปิด เจ้าหน้าที่แจ้งให้ผมซื้อตั๋วโดยด่วน ผมวิ่งไปที่ช่องบริการของแวลูแอร์ก่อนจะถูกนำทางไปโดยเจ้าหน้าที่ เขาคงติดต่อประสานงานกันแล้วว่าจะมีผมไปด้วย
พนักงานสาวท่านนั้นวิ่งนำหน้าผมไปเพราะจะไม่ทันแล้ว ผมตัวใหญ่วิ่งช้ากว่าสาวเจ้า เธอเอื้อมมือมาจับมือผมแล้วดึงผมวิ่งไปที่ประตูขึ้นเครื่อง
เครื่องบินเตรียมตัวจะออกแล้ว พอผมก้าวเข้าไปในเครื่อง ประตูก็ถูกปิดลง ผมนั่งลงที่ที่นั่ง 1D ก่อนจะถอนหายใจยาว ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงมอบที่นั่งนี้ให้ลูก ... ในราคาเต็มที่แพงแสนแพง 245 เหรียญ ....
ผมลงมาจากเครื่องบินในเวลา 4 ทุ่ม เครื่องที่จะไป กทม เวลาขึ้นเครื่องเป็น 22.30น ประตูปิด 22.45น. ผมวิ่งผ่านช่องตรวจคนเข้าเมืองอัตโนมัติเพราะผมมีบัตรเคลียแรนซ์อัตโนมัติของตรวจคนเข้าเมืองสิงคโปร์ เช็คอินที่เคาท์เตอร์ ..ซึ่งไม่มีคนอยู่ ณ บริเวณนั้นแล้ว ทางเจ้าหน้าที่บอกให้ผม วิ่งเข้าไปที่ประตูทางออกขึ้นเครื่องทันที ผมถามว่าคนที่ซื้อตั๋วใบเดียวกันมาหรือยัง เขาบอกว่า คงขึ้นเครื่องเรียบร้อยแล้ว ผมรีบจนลืมไปว่า ผมน่าจะเปิดโทรศัพท์มือถือก่อน เผื่อไอ้ตี๋เป็นห่วง
ผมวิ่งไปที่ประตู 54 อีกแล้ว .... สายการบินราคาถูกทำไมต้องจอดเครื่องอยู่ไกล ๆ แบบนี้ทุกทีเลย ผมกระหืดหระหอบ มองเข้าไปในเกต 54 ไม่มีคนเหลืออยู่เลยนอกจากเจ้าหน้าที่ 2-3 คน ผมวิ่งอย่างเร็วเข้าไปที่งวงเชื่อมต่อกับเครื่อง ผมเห็นแล้ว .. พนักงานต้อนรับรอปิดประตูอยู่ พอผมก้าวขึ้นเครื่องบินปั๊บ ประตูก็ปิดลงในทันที
โดยอัตโนมัติ ผู้โดยสารทั้งหมดหันมามองที่ผมเป็นตาเดียวเนื่องจากเขาคงอยากรู้ว่า ใครที่ทำให้เครื่องบนต้องคอย ผมเดินก้มหน้างุดไปตามทางเดินเพื่อหาที่นั่งว่างที่พอมีด้านหลัง แล้วก็มีมือหนึ่งดึงแขนผมไว้ ผมแทบจะร้องให้ออกมาด้วยความดีใจและหมดแรงลุ้น
*ไอ้ตี๋*
-เก่งนะ มาทันจนได้- มันยิ้มเยาะ ๆ
*พ่อเป็นไงบ้าง*
-เข้ามาที่ กทม แล้ว เขาบอกว่าอาการดีขึ้น แต่ยังไม่รู้สึกตัว-
*อือ อย่าคิดมาก เพราะเรายังเหลือเวลาอีกหลายวันพักร้อน*
ผมนั่งลง รัดเข็มขัด ไอ้ตี๋ซบลงบนไหล่ผม ผมเอื้อมมือเอามือมันมากุมไว้ ในใจภาวณาให้พ่อไอ้ตี๋ปลอดภัย เพื่อคนที่รักของผม จะได้ไม่ต้องเสียใจ ... ผมซื้อน้ำเกลือแร่ให้มันกระป๋องหนึ่ง ส่วนตัวผมขอกินโค้กไลท์
ระหว่างที่บินไปได้ประมาณ 1 ชั่วโมง เครื่อง A300 สั่นอย่างแรงเนื่องจากสภาพอากาศภายนอกเลวร้ายมาก กัปตันประกาศให้ทุกคนรัดเข็มขัด เครื่องต้องบินวนเหนือสนามบินดอนเมืองหลายรอบเพราะไม่สามารถแลนดิ้งได้ ฝนตกหนักมากที่ กทม
ผมใจคอไม่ดีเพราะว่าเครื่อง A300 เป็นเครื่องขนาดเล็ก เวลามีฟ้าผ่าที แทบจะสะเทือนไปถึงท้องน้อย พนักงานต้อนรับไม่เดินไปเดินมาแล้ว ผมเห็นเขานั่งคุยกัน แต่รัดเข็มขัดทุกคน สงสัยกลัวผู้โดยสารจะกลัว เลยต้องทำเป็นพูดคุยกันปกติก่อน
เลยเวลาที่ต้องถึงไปแล้ว 35 นาทีเครื่องบนถึงลงได้ เราผ่าน ต.ม. ออกมาได้ก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว ผมเรียกแท้กซี่ไปที่ รพ .......... ทันที
ไอ้ตี๋โทรหาน้องเตย ให้ลงมารับด้านล่าง ผมจ่ายค่าแท้กซี่เห็นแม่ไอ้ตี๋กับน้องเตยวิ่งมาแต่ไกล 3 คนแม่ลูกกอดกันกลม ทุกคนร้องให้ คงจะเสียขวัญเพราะหัวหน้าครอบครัวมาเป็นแบบนี้
*ตี๋ .. ทำใจดีดีนะลูก คือว่าพ่อเขา .........................* แม่มันร้องให้โฮออกมาอย่างดัง .....
***** มีต่อ *****
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
จาก เก่ง ถึง ตี๋ ภาค 5 – ตอนที่ 8 / ทางโค้ง *ตี๋ .. ทำใจดีดีนะลูก คือว่าพ่อเขา .........................* แม่มันร้องให้โฮออกมาอย่างดัง ..... 3 แม่ลูกกอดกันกลมอยู่ที่ทางขึ้นตึกโรงพยาบาล
*หมอบอกว่าพ่ออาจจะไม่ปกติเหมือนก่อน ถ้าอาการหนักเข้าไปอีกอาจจะถึงกับอัมพาตได้*
-แม่ทำใจดีดีก่อนนะครับ เรารอดูอาการไปเรื่อย ๆ ก่อนดีกว่า-
พวกเราไปที่ห้องพักผู้ป่วย พ่อไอ้ตี๋นอนหลับอยู่บนเตียง ผมกระซิบข้าง ๆ หูไอ้ตี๋บอกว่า อย่าร้องให้ให้แม่กับน้องเห็น ต้องเข้มแข็งไว้ เราอยู่ที่โรงพยาบาลจนถึงเช้า ก็ออกมาที่บ้านญาติของไอ้ตี๋ ผมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วพาไอ้ตี๋กับไอ้เตยไปกินข้าว
*สองคนนี้ต้องกินอะไรสักหน่อยนะ ถ้าไม่กินอะไรแล้ว คิดอะไรไม่ออก คนที่ลำบากคือแม่รู้ใหม แล้วพยายามอย่าร้องให้ให้เขาเห็น ต้องเข้มแข็งนะ* ผมบอกพลางบังคับให้สองพี่น้องนี้กิน ก่อนจะไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง
พ่อไอ้ตี๋รู้สึกตัวแล้ว แต่ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะลุกหรือเดินไปใหน
*มากันทำไมล่ะลูก สิ้นเปลืองเงินทอง แล้วงานการล่ะ ต้องขาดต้องลาเขามาอีก* พ่อมันบอกกับผมและไอ้ตี๋
-ไม่หรอกพ่อ พวกผมพักร้อนกันเหลืออีก 4 วัน-
พวกเราใช้เวลาไป-กลับโรงพยาบาล จนถึงวันสุดท้ายของการลาพักร้อน เรามีกำหนดกลับสิงคโปร์ในคืนวันนี้ ผมมองเห็นหน้าไอ้ตี๋ก็พอเข้าใจความรู้สึกของมัน เพราะบ้านขาดกำลังหลักที่จะทำงาน แม่และน้องก็เป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ สองคน จะประคับประคองธุรกิจอุปกรณ์ก่อสร้างไปได้เท่าไหร่
ผมจูงมือมันมานั่งลงที่โซฟาในล้อบบี้ของโรงพยาบาล
*ตี๋ เราต้องคุยกันหลาย ๆ เรื่อง*
-ฮื่อ ว่ามาสิ- มันตอบอย่างเลื่อนลอย
*เรื่องแรก มึงต้องทำตัวใหม่ คิดถึงเหตุการณ์ข้างหน้า เพราะมึงต้องเป็นตัวแทน พ่อ เป็นหลักให้กับแม่และน้อง เพราะฉะนั้นเลิกทำตัวซึมเศร้าได้แล้ว ทุกคนในโลกนี้มีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเราจะรับมือกับปัญหาได้ดีแค่ใหน*
*เรื่องต่อไป มึงต้องเป็นหลักให้กับเขา ดังนั้นมึงจะต้องอยู่ที่เมืองไทย ทำธุรกิจของบ้านมึงต่อไป กูเข้าใจว่ารายได้ของมึงที่นู่นอาจจะโอเค อาจจะดีกว่าร้านเล็ก ๆ นี้ด้วยซ้ำไป แต่มึงอย่าลืมว่า ร้านเล็ก ๆ ที่นี่คือชีวิตของพ่อมึง ของครอบครัวมึง มึงเกิดมาได้ทุกวันนี้ก็เพราะร้านเล็ก ๆ ร้านนี้ แล้วแม่จะได้มีเวลาดูแลพ่อมากขึ้น กูเชื่อว่ามึงกับไอ้เตยทำได้*
-หมายความว่ากูกับมึงต้องแยกกันอีก- มันทำท่าจะร้องให้อีกแล้ว
*ตี๋ มึงคิดดูนะ เรื่องพ่อมึงนอกจากธุรกิจของบ้านมึงแล้ว ค่าใช้จ่ายที่จะตามมาอีกล่ะ มึงจะปล่อยให้งานล้มไม่ได้หรอก*
*ส่วนเรื่องของเราสองคน ยังคงเหมือนเดิม* พูดมาถึงตรงนี้แล้วผมรู้สึกสะท้อนใจขึ้นมา เพราะผมไม่อยากจากมันไปใหนเลย
*กูต้องทำงานที่นู่นก็เพื่ออนาคตของกู ถ้าเลือกได้ กูไม่อยากจากมึงไปใหนเลย*
-กูไม่เลือกสักทางได้ใหม- ไอ้ตี๋ร้องให้อีกแล้ว
*ไม่ได้หรอก ถึงเวลาหนึ่ง คนเราต้องตัดสินใจ*
เราสองคนกลับไปที่ห้องพัก เพื่อให้ไอ้ตี๋คุยกัยพ่อและแม่ของมัน แน่นอนว่าพ่อมันไม่เห็นด้วย แต่ไอ้ตี๋ยืนยันตามคำเดิม ไอ้เตยก็จะลาออกจากงานที่ กทม เพื่อไปทำงานที่ร้านด้วย ไอ้เตยเรียนจบบัญชีมา
*พ่อกับแม่จะได้พักนะ ต่อไปเป็นหน้าที่ของผมกับน้องที่จะดูแลพ่อกับแม่เอง* ทั้งสี่คน พ่อแม่ลูก ร้องให้กัน ผมสะเทือนใจจนกลั้นน้ำตาไม่ไหว อีกอย่าง ผมจะต้องจากไอ้ตี๋ไปอีก ... ผมใจคอไม่ดีเลย
19.00น. ผมอยู่ที่สนามบินดอนเมือง เพื่อรอขึ้นเครื่องในเวลา 22.00 น. ผมเช็คอินเสร็จ นั่งอยู่ที่ร้านขนมเล็ก ๆ ไกล้ ๆ ดิวตี้ฟรี ไอ้ตี๋คุยกับผู้จัดการมันเรียบร้อย ผู้จัดการมันเสนอให้พักงาน แต่มันเกรงใจ เพราะไม่รู้อนาคต จะส่งใบลาออกไปทีหลัง
*ตี๋ ดูแลตัวเองด้วยนะ แล้วนี่เอาไว้* ผมยื่นซองสีน้ำตาลให้มัน
-อะไรน่ะ- มันเปิดซองออกดู
-ไม่ได้หรอก นี่มันเงินของมึง เงินเยอะขนาดนี้ กูไม่รับหรอก- มันบอกกับผมก่อนจะส่งคืน
*เอาไว้ใช้ก่อน เพราะมึงก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้อะไรอีก แล้วถ้าไม่พอ ให้บอก อย่าลืมว่ากูมีเงินเดือนทุกเดือน*
-เก่ง-
*ไม่ต้องพูดอะไร ถ้าเป็นกูบ้าง มึงก็คงจะช่วยกูแบบนี้*
-กูรักมึงนะ มึงดูแลตัวเองดีดี ยิ่งบ้า ๆ อยู่- มันบอกกับผม
*กูก็รักมึง แล้วเดี๋ยวจะโทรมาหาบ่อยๆ นับด้วยนะเงินน่ะ เดี๋ยวหาว่ากูโม้* ผมแหย่ให้มันยิ้มได้
*ขออะไรอย่างหนึ่งนะ พ่อกับแม่กูเขามีบำนาญ พี่กูก็ทำงานกันทุกคน กูเป็นคนโสด ไม่ได้ใช้เงินทองอะไร ถ้าต้องการเงิน อย่าไปหยิบยืมเงินคนอื่น ให้มาเอาเงินจากกูไป อย่าเกรงใจเด็ดขาด กูขอร้องไว้อย่างเดียวนี่ล่ะ*
-ที่บ้านกูมันเป็นเงินหมุนไง เงินเก็บไม่มี เศรษฐกิจก็แบบนี้อีก- ถึงมันไม่บอกผมก็เข้าใจ ไอ้ตี๋มันได้เงินเดือนแล้วส่งกลับบ้านทีละมาก ๆ ทุกเดือน เหลือไว้ใช้ตัวเองนิดเดียว
*กูเข้าใจ กูถึงบอกว่ามึงอย่าเกรงใจ เกรงใจคนอื่นได้ แต่เกรงใจกูเป็นสุดท้ายนะ*
ไอ้ตี๋เดินมาส่งผมจนถึงทางเข้า ผมคว้ามือมันที่กำลังร้องให้สะอึกสะอื้นไปที่ห้องน้ำ ในห้องน้ำ มีคนอยู่เพียงสองคน คือผมกับมันเท่านั้นเอง ผมดึงมันเข้ามากอดเนิ่นนาน เพื่อเป็นการร่ำลา ... ก่อนที่จะจากกัน .....
-----------------------------------------------------------------
<object width="315" height="80"><param name="movie" value="
http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?songID=V2CDBBAPD&Autoplay=1"><param name="scale" value="noscale" /><param name="wmode" value="transparent"><embed src="
http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?Autoplay=0&songID=V2CDBBAPD" width="315" height="80" scale="noscale" wmode="transparent"></embed></object>