จาก เก่ง ถึง ตี๋ ภาค 5 – ตอนที่ 15 / ฝันที่เป็นจริง
หลังจากไอ้น้องพลน่ารักกลับเมืองไทยไป ผมก็ไม่ข่าวอะไรจากมันอีกเลย ไอ้ตี๋กำลังติดต่อสมัครงานเพื่อกลับมาทำงานที่นี่อีกครั้ง เมื่อน้องเตยซึ่งแกร่งกว่าที่ใคร ๆ จะคาดคิด อาสารับทำงานที่บ้านทั้งหมดเอง เด็กที่เติบโตมาในบ้านที่ทำกิจการ ในบางทีอาจจะไม่รู้ตัวเองเลยว่า ตัวเองมีความสามารถมากขนาดใหนจนกว่าเขาจะได้ทำงานนั้นเต็ม ๆ ตัว เพราะเขาได้ซึมซับเอารายละเอียดของงานไว้ในสมองของเขามาชั่วชีวิตแล้ว
ผมก็ยังใช้ชีวิตโดยปกติของผมต่อไปเรื่อย ๆ ในที่สุด ไอ้ตี๋ก็ได้มาสัมภาษณ์งาน มี 2 บริษัทที่เรียกมันสัมภาษณ์ ผมตื่นเต้นมากที่จะได้เจอไอ้ตี๋อีก เราไม่ได้หลายเดือน มีอะไรเกิดขึ้นตั้งมากมาย แต่ผมก็อดตื่นเต้นไม่ได้อยู่ดีที่จะได้เจอตัวมันเป็น ๆ วันอาทิตย์ผมใช้เวลาทำความสะอาดบ้านทั้งวัน เพราะผมเป็นประเภทลุย ๆ (ขี้เกียจสิไม่ว่า)
วันจันทร์เวลา 22.30 เป็นเวลาที่ไอ้ตี๋จะเดินทางจาก กทม มาพบผมที่นี่ ผมขับรถไปนั่งกินเบอเกอร์คิงรอมันอยู่ที่สนามบิน ผมเหลือบมองที่มอนิเตอร์พบว่า เครื่องของมันลงจอดเรียบร้อย ผมไปยืนรอมันที่ทางออกตรงกับสายพานรับกระเป๋าของมัน
อีก 30 นาทีพบเห็นมันโบกมือให้ผมก่อนจะไปเอากระเป๋าออกมา ผมเข็นกระเป๋าให้มัน ปากมันก็จ้อไม่หยุดเรื่องการเดินทาง ผมได้แต่มองมันเป็นระยะด้วยความดีใจ ในที่สุดเราก็ได้กลับมาอยู่ด้วยกันเสียที
*แต่ก่อนอื่นใด มึงต้องสอบสัมภาษณ์ให้ผ่านนะ ภาษาอังกฤษลืมหมดหรือยัง หรือว่ากลับบ้านไปพูดภาษาอีสานอย่างเดียว* ผมแซวมัน
-ภาษาอีสานนี่ลงในใบสมัครได้ใหมวะ ว่าเป็นความสามารถพิเศษ-
*แหงล่ะ เพราะว่าคนงานส่วนใหญ่ก็เป็นคนไทยอีสาน การสื่อสารก็สำคัญ* ผมแนะนำมันไประหว่างที่เราขับรถไปตามถนนกลับบ้าน ผมเอื้อมมือจับมือมันไว้หนึ่งข้าง
*ดีใจใหมวะ ได้กลับมาอยู่ด้วยกันแล้ว*
-ดีใจสิ นึกว่ากล่อมน้องรูมเมตไว้จนไม่อยากกลับเมืองไทยแล้ว-
*ไม่อยากให้มันกลับเท่าไหร่หรอก ว่าแต่ เมียหลวงจะยอมหรือเปล่าล่ะ*
-ใครเมียมึง กูเพื่อนมึงต่างหาก-
*จ้า เมียจ๋า คืนนี้จะคิดดอกเบี้ยทบต้นให้เรียบร้อยนะจ๊ะ ล้างTo-dรอได้เลย* ผมหัวเราะคิกคักที่แหย่มันได้สำเร็จ
*ว่าแต่หิวใหม ที่ห้องไม่มีอะไรกินเท่าไหร่นะ แวะกินข้าวก่อนสิ*
-ดึกแล้วนะ เดี๋ยวมึงก็ไปทำงานอีกพรุ่งนี้-
*ไปต้มมาม่ากินที่บ้านละกัน โทษทีนะ มาถึงวันแรกต้องกินมาม่า*
เราเปิดประตูเข้าห้องเข้ามาอย่างมีความสุข เหมือนกับอะไรที่ขาดหายไปมันกลับมาเติมเต็มอีกครั้ง ผมเข้าในครัว หยิบกับข้าวที่ผมทำไว้มาอุ่น
-ใหนบอกไม่มีของกินไง-
*เอ้ากะให้เซอร์ไพร้ส์ พรุ่งนี้ค่อยเก็บของก็แล้วกันนะ รีบกินรีบนอน กูไม่มีเวลามาก พรุ่งนี้ต้องทำงานเช้า*
-ใช่ ๆ รีบกินจะได้รีบนอน- มันทำหน้าทะเล้นใส่ผม ผมเบิร์ดกะโหลกมัน 1 ที
*อย่ามาเล่นลิ้น ให้ไวเลยนะ*
คืนนั้นเรานอนกอดกันอยู่ทั้งคืน ให้สมอยากที่รอคอยกันและกันมานานแสนนาน
*เก่ง กูคิดถึงมึง*
-กูก็คิดถึงมึง อยากอยู่ไกล้ๆ มึงแบบนี้ตลอดไปเลย-
*ไม่อยากไปใหนแล้ว*
-กูเหมือนกัน- ผมหอมแก้มมันเบา ๆ ดึงมันเข้ามาซุกอกของผม วินาทีนี้ผมมีความสุขมากที่สุด เอาอะไรมาแลก ผมคงยอมได้ยาก ...
ผลการสัมภาษณ์งาน ไอ้ตี๋ได้งานทำที่บริษัทน้ำมันอยู่ไกล้ ๆ กับแถวที่ผมทำงาน เงินค่อนข้างดี สวัสดิการก็ดีมาก ๆ ถึงขนาดมีรถให้ใช้ฟรี ๆ น้ำมันก็เติมให้ มีค่าเช่าบ้านให้อีกต่างหาก ผมอิจฉามันเล็ก ๆ
แต่กว่ามันจะได้เงินมาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เพราะมันต้องทำงานหนักกว่าผมอีก ในต่ละวัน มันจะกลับมาด้วยท่าทางกะปลกกะเปลี้ยหมดเรี่ยวหมดแรง ผมสงสารมันมาก ผมบอกว่าไม่ต้องทำงานบ้านหรอกผมจะรับอาสาทำเอง
ที่ทำงานของมันรับลูกน้องให้มัน 1 คนเป็นวิศวกรไทย เด็กจบมาใหม่ ๆ จาก กทม ชื่อ มานิตย์ บางวันหยุด เราก็ไปเดินย่านคนไทย กินกับข้าวไทยด้วยกัน
ผมบอกให้ไอ้ตี๋ตั้งใจเก็บเงินถ้าทางบ้านไม่เดือดร้อนอะไรแล้ว ตอนนี้น้องเตยคุมบังเHยนเป็นเจ้ใหญ่ไปแล้ว พ่อของมันก็นั่งนับเงินอย่างเดียว เวลาเดินต้องใช้ไม้เท้าช่วย อาการของท่านดีวันดีคืน เพราะได้ยาหม้อของหลวงพ่อมาต้มกินทุกวัน ไอ้ตี๋จะเอาเงินเข้าบัญชีพร้อม ๆ ผมทุกเดือน ค่าใช้จ่ายในส่วนกลาง เราหารครึ่งกัน เพราะผมบอกว่า ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบกัน
เราใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่ด้วยกันสองคนมาเรื่อย ๆ แบบนี้ จนกระทั่งวันหนึ่งได้มาถึงแบบไม่ทันตั้งตัว........
23.00น. ผมเลิกงานแล้วแวะกินข้าวกับเพื่อน ๆ ที่ทำงานเดียวกันที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำ สั่งบะหมี่น้ำแล้วนั่งกินของทอดชุดใหญ่รออาหาร เมื่อบะหมี่มาผมใช้ตะเกียบคีบเส้นเข้าปากทันที จะด้วยปริมาณเส้นที่มากไปหรืออย่างไรไม่ทราบได้ เส้นหมี่ติดคอผมอย่างแรง ผมเอามือกุมคอไว้ ตาเหลือก หายใจไม่ออก
เพื่อน ๆ เอามือทุบที่หลังผมอย่างแรง ผมรู้ ณ วินาทีนั้นเลยว่าระหว่างความเป็นกับความตาย มันอยู่ไกล้กันแค่เอื้อม ในที่สุดเส้นหมี่ก็ลงผ่านคอไป ผมเงยหน้ามองทุกคน ทุกคนหัวเราะเยาะผมเหมือนผมเป็นตัวประหลาด แต่ผมไม่สนุกด้วยเพราะผมรู้สึกเหมือนผมตายไปแล้ว ผมขอตัวกลับทันที
ผมขับรถมาตามทางด่วนเลียบชายหาด ระหว่างทางเห็นอุบัติเหตุรถชน มีตำรวจอยู่จำนวนหนึ่งเปิดไฟสีแดง อีก 10 นาทีผมเลี้ยวเข้าอพาร์ทเมนท์ของผม ผมจอดรถแล้วเดินไปที่ลิฟท์ วันนี้โชคไม่ดีเลย แทบตายแน่ะบะหมี่ติดคอ ไอ้ตี๋คงหัวเราะเยาะผมแน่ ๆ เลย ผมนึกในใจ อีกสักพักมันคงกลับแล้ว เห็นว่ามีเรือที่ต้องออกเช้าพรุ่งนี้ เย็นนี้ต้องทำงานให้เสร็จ
ผมเปิดประตูห้องเข้าไป รู้สึกใจหายแวบนึงที่ไม่เห็นรองเท้าของมันวางที่ชั้นวางรองเท้าหน้าห้องเหมือนทุกวัน ผมอาบน้ำเสร็จ เปิดคอมพิวเตอร์ เงยหน้าดูนาฬิกา 24.00 แล้ว ทำไมไอ้ตี๋ยังไม่มาอีก ผมเช็คเมล์สักพัก มีเสียงโทรศัพท์จากโทรศัพท์มือถือเข้ามาหาผม
*คุณ ภัทรพล ใช่ใหมครับ* เสียงผู้ชายพูดปลายสายเป็นภาษาอังกฤษ
-ใช่ครับ- ผมกรอกเสียงลงไปเป็นภาษาอังกฤษเช่นกัน
*ผมโทรจาก Central Police (ตำรวจกลาง) คุณคือเพื่อนของคุณ ......... ใช่หรือเปล่าครับ* ผมตกใจเล็กน้อยว่าจะมีอะไรหรือเปล่า ความคิดแรกคือ ไอ้ตี๋จะโดนจับ
-ใช่ครับ มีปัญหาอะไรเกี่ยวกับเขาหรือเปล่าครับ-
*ทางตำรวจกำลังจะขึ้นไปที่ห้องของคุณภายใน 5 นาทีครับ ห้องของคุณอยู่ที่ ................... ใช่ใหมครับ*
-โอเค- ผมรับปากอย่างงง ๆ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูรอตำรวจ
สักพักมีนายตำรวจ 2 นายเดินเข้ามา แสดงบัตรและขอผมดูว่า มีเอกสารของไอ้ตี๋อยู่ที่ใหนบ้าง ผมพาเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า มีพาสปอร์ตตัวจริงของมันอยู่
-คุณเป็นอะไรกับ ........ครับ-
*เพื่อนครับ เรามาจากเมืองไทยด้วยกัน มีปัญหาอะไรกับเขาครับ*
-คุณจะสามารถติดต่อญาติคุณ .............. ได้ใหมครับ-
*เขาไม่มีใครครับในสิงคโปร์มีผมคนเดียว* ผมร้อนใจ มีปัญหาอะไรทำไมตำรวจไม่พูด ผมคิดว่า ตำรวจคงกักตัวมันไว้
*เพื่อนผมอยู่ที่ใหนครับ กรุณาบอกผมด้วย*
-ตอนนี้ปลอดภัย อยู่กับตำรวจนะครับ- ผมนึกในใจว่ามันไม่ได้พกพาสปอร์ตไปหรือเปล่า แต่มันไม่ได้หนีเข้าเมืองนะ มันมีบัตรพลเมืองถาวรแล้ว (PR: Permanent residence)
*ผมชื่อ ผู้กอง ............ ตอนนี้เพื่อนของคุณอยู่กับตำรวจ*
*ผมอยากให้คุณไปพบเขาเดี๋ยวนี้ได้ใหมครับ* ผมตอบตกลงก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าเงิน และกุญแจบ้าน ผมใส่รองเท้าแตะเดินตามตำรวจไป ระหว่างลงลิฟต์ ตำรวจถามผมอีกหลาย ๆ อย่างเกี่ยวกับไอ้ตี๋เช่น เขามีความเครียดใหม มีปัญหาเรื่องเงินหรือไม่ กินเหล้าหรือเปล่า ผมตอบว่าไม่มี กินเหล้าอาจจะมีบ้างตามาประสาเพื่อนฝูง
ตำรวจพาผมขับรถมายังเส้นทางถนนเลียบชายหาด ผู้กองท่านนั้นกล่าวขึ้นเบา ๆ
*ทางเราพบ “ร่าง (Body)” ร่างหนึ่ง เราสงสัยว่าจะเป็นเพื่อนของคุณ คุณอย่าเพิ่งตกใจนะครับ เราแค่สงสัย อาจจะไม่ใช่ก็ได้ มีอุบัติเหตุรถชนคน เกิดเมื่อเวลาราว ๆ 23.30 น ครับ*
ผมตกใจเป็นอย่างมาก ผมถามว่าร่าง หมายความว่าอะไร ตำรวจไม่ตอบ บอกให้ผมทำใจเย็น ๆ
ผมเดินลงจากรถตำรวจไปช้า ๆ มีรถฉุกเฉิน (Paramedic) มารออยู่แล้ว เปิดไฟสีแดง ที่กลางถนนเลนที่ 4 มีพลาสติกสีขาวคลุมอะไรสักอย่างอยู่ ผมเดาว่าต้องเป็นร่างที่ว่าแน่ ๆ
ผมภาวนาด้วยใจเต้นตึกตัก อย่าให้เป็นไอ้ตี๋เลย ตำรวจกันผมไว้ ก่อนจะถามผมว่า แน่ใจว่าจะดูใหม ผมพยักหน้า
สิ่งที่โผล่พ้นพลาสติกสีขาวออกมาคือ ขาคน ............ ผมถลาเข้าไปทันที ไม่ต้องเปิดออกมา ผมก็จำได้ว่ามันคือขาของใคร
*ไม่ ไม่จริง ไอ้ตี๋*** ผมร้องตะโกน จนสุดเสียง ตำรวจรีบวิ่งมาดึงผมออกไม่ให้ผมเข้าไปจับตัวมัน ผมตะโกนเป็นภาษาอังกฤษว่า เปิดออกเดี๋ยวนี้ !!! มีตำรวจสองนายล็อกแขนผมไว้ ผมยืนไม่อยู่แล้ว เข่าอ่อนทรุดลงไปกับพื้นถนน
ตำรวจเปิดพลาสติกที่คลุมออกช้า ๆ ผมเห็นหน้าไอ้ตี๋มีเลือดออกเต็มไปหมด ตำรวจเปิดมาถึงแค่อก ผมร้องออกมาดัง ๆ
*ไอ้ตี๋เล็ก!!!!!!* ผมทรุดนั่งลงไปกับพื้นอีกครั้งทั้ง ๆ ที่พยายามจะลุกขึ้น ตาค้าง หายใจไม่ออก ตำรวจรีบเอาผมมานั่ง ก่อนจะคลุมร่างไว้เหมือนเดิม
-คุณยืนยันได้ใหมครับว่าเขาคือเพื่อนของคุณ-
ผมพยักหน้ารับช้า ๆ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
จาก เก่ง ถึง ตี๋ ภาค 5 – ตอนที่ 16 / Finale’ *** อวสาน ***
27/05/2007 ผมนั่งอ่านเรื่องสั้นของตัวเองในเว็บแห่งนี้ ที่เขียนลงไปได้ 4 เรื่องแล้วปิดคอมพิวเตอร์ หยิบเอาไดอารี่ปกสีฟ้า สีที่คนที่ผมรักชอบมากที่สุดมาเปิดอ่านที่หน้าสุดท้าย ...
---------------------------------------------------------------------
วันที่ 25/06/2006 จากตี๋ ถึง เก่ง
12.45 กินข้าวเสร็จแล้ว ตอนนี้ยังแอบอู้งานได้ 10 นาที นั่งขี้อยู่ในห้องน้ำ คิดถึงหน้าไอ้เก่งขึ้นมาเลยหยิบไดอารี่ในเป้มาเขียนอะไรถึงมันสักเล็กน้อยดีกว่า
** ถึงไอ้เก่งที่รัก เมื่อเช้ากูขอโทษด้วยที่กูดุมึงเรื่องเสื้อกูตัวที่มึงซักแล้วไม่ออก ตอนที่กูเอามาใส่วันนี้ กูถึงรู้ว่ามึงได้พยายามเอาแปรงขัด จนผ้าตรงนั้นพื้นมันซีดกว่าที่ตรงอื่น เพิ่งสังเกตุเห็นนะเนี่ย กูโมโหตัวเองแทนที่กูจะด่าตัวเองว่าทำเสื้อเปื้อนน้ำมัน กูกลับไปบ่นมึงตั้งแต่เช้าแบบนั้น มึงเองก็ช่างกระไรทำไมไม่ด่ากูตอบ แต่กลับไปชงกาแฟมาวางตั้งไว้ให้ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่กินกาแฟ มึงคงจะเห็นว่ากูเหนื่อย ๆ กับงานเลยไม่อยากทะเลาะใช่ใหม กูขอโทษนะ ตอนนี้กูขี้เสร็จพอดี ขอตัวไปล้างTo-dก่อน ล้างแบบสะอาด ๆ เย็นนี้จะขอโทษมึงอย่างถึงใจเลย ต่อไปกูจะไม่บ่นมึงอีกแล้ว เพราะมึงทำทุกอย่างให้กูด้วยความรัก กูก็ขอตอบแทนมึงด้วยความรักของกูเหมือนกัน รักไอ้เก่งที่สุดเลย **
ผมอ่านข้อความในไดอารี่สีฟ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่เบื่อหน่ายมาตลอดเกือบ 1 ปีที่มันทิ้งผมไป ผมตัดสินใจว่า ในวันครบรอบ 1 ปี 25/06/2007 ที่มันจากผมไปนี้ ผมจะทำอะไรสักอย่าง เป็นของขวัญให้มัน ผมจะเล่าความลับทุกอย่างที่ผมเคยปกปิดมัน ผมจะเล่าเรื่องราวความรักทุกอย่างที่ผมมีต่อมัน ถ่ายทอดให้คนอื่น ๆ บนโลกใบนี้ได้รับรู้ ว่าผมรักมันมากแค่ใหน ... นั่นคือที่มาของเรื่อง จาก เก่ง ถึง ตี๋ ที่ดำเนินมาถึงตอนสุดท้าย คือตอน 71
ไม่มีตอนใหนใน 71 ตอนที่จะพิมพ์ออกมาได้ช้ามากที่สุดเท่าตอนที่ 71 .... เพราะผมพิมพ์ไปผมต้องหยุดร้องให้เมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต ที่ถ่ายทอดออกมาได้แค่ 71 ตอนเท่านั้น .. ผมยังอยากให้เรื่องราวมันมีอยู่ต่อ ไม่มีที่จบสิ้น จนถึงวันที่ผมกับมันอยู่ด้วยกันนานแสนนาน ... แต่ผมทำไม่ได้ ผมไม่สามารถยื้อชีวิตมันไว้ได้ ทั้ง ๆ ที่ผมรู้ก่อนล่วงหน้าแล้วว่ามันจะต้องเกิดขึ้น ...
ผมถึงบอกมันในตอนที่ผมฟื้นจากรถชน ว่าผมไม่ได้ฝันไป มันเกิดขึ้นจริง ๆ แต่ผมก็ไม่คิดว่า มันจะเกิดขึ้นรวดเร็ว และรุนแรงขนาดนี้ คุณผู้อ่านคงเคยมีประสบการณ์ที่มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ... แล้วคุณรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่า คุณเคยเจอเหตุการณ์นี้มาแล้ว คุณอยู่ในสถานที่นี่มาแล้ว หวังว่าทุกท่านคงมีคำตอบให้ตัวเองได้นะครับ
บทส่งท้าย
ถึง ไอ้ตี๋ สุดที่รัก ของ เก่ง
นอนหลับให้สบายนะ แล้วสักวันเราคงเจอกัน รักตี๋เล็กของเก่งเสมอ
เขียนเสร็จ 18/06/07 12.25 ณ ลานจอดรถซันเทค โซน C
alohasunkissอย่าแสดงเมลบนบอร์ด.sg
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
จาก เก่ง ถึง ตี๋ ภาค 6 – ตอนที่ 1 / อยากจะบอกเธอ .. คิดถึงเธอ .. เหลือเกิน
25/06/2007 เวลา 16.00 น. ผมขับรถออกจากที่จอดรถชั้นใต้ดินโซนสีเหลืองของห้างซันเทคซิตี้ จุดหมายคือย่านคนไทย โกลเด้นไมล์ ผมซื้อของได้ครบตามที่ต้องการ มี ส้มตำปูปลาร้าชนิดเผ็ดแบบผิดมนุษย์มนา 5 เหรียญ ขนมจีนเปล่าใส่น้ำปลา 3 เหรียญ ไก่ย่าง 1 ตัว 10 เหรียญ ข้าวเหนียว 2 ถุง 2 เหรียญ โค้กไลท์ 2 กระป๋อง น้ำเปล่าขวดใหญ่ 1 ขวด พวงมาลัยดอกมะลิ 1 พวง และขนมทองหยอด 2 กล่อง 10 เหรียญ
จากนั้นผมขับรถตรงไปยังท่าเรือชางงี บริเวณหมู่บ้านชางงีวิลเลจ ผมรอเรือข้ามฝากไปยังเกาะ Palau ubin อยู่สักพัก ตัดสินใจเหมาลำไปเลยในราคา 24 เหรียญ เพราะวันนี้วันจันทร์และเย็นมากแล้ว ไม่มีใครอยากข้ามไปเกาะร้างที่ไม่มีใครสนใจแบบนี้ ถ้ารอคนเต็มลำ ราคา 2 เหรียญ
18.30 น. ผมยืนอยู่ที่ร้านเช่าจักรยานบนเกาะ วันนี้เงียบเชียบเป็นพิเศษเพราะเป็นวันธรรมดา เกาะนี้บรรยากาศเหมือนเกาะหลงสำรวจของสิงคโปร์ เหลือเป็นที่สุดท้ายที่ยังมีชาวเกาะอยู่ ได้ยินข่าวว่าจะมีการอพยพคนเข้าไปในเมืองเพื่อทำรีสอร์ทใหม่เร็วๆ นี้
ผมเปลี่ยนรองเท้าเป็นรองเท้าแตะแต่ไม่ถอดถุงเท้ามาจากรถที่อยู่อีกฟากแล้ว เริ่มถีบจักรยานพร้อมด้วยสัมภาระไปยังชายหาดเล็ก ๆ เงียบสงบที่เราเคยมาตกปลากันในวันหยุด ทะเลตรงที่แห่งนี้ กึ่งกลางระหว่างเกาะกับแผ่นดินใหญ่ คือที่ที่ผมลอยกระดูกของไอ้ตี๋มันเมื่อ 1 ปีที่ผ่านมา เพื่ออยากให้มันได้กลับบ้านไปยังทะเลบ้านเรา
ผมนั่งลงกับหาดทราย แกะห่อข้าวออก แล้วเรียกไอ้ตี๋กินข้าวของโปรดของมัน โดยผมก็กินด้วย ผมกินอย่างละครึ่ง ๆ เพราะกลัวมันไม่อิ่ม ก่อนจะหยิบเอา ipod ในกระเป๋าเป้ออกมาเปิดเพลง
ผมใส่หูฟังหนึ่งข้างและเรียกไอ้ตี๋มาฟังหูฟังอีกข้าง เพลงที่ผมกับมันฟังกันอยู่เสมอ ๆ เพลงโปรดของมันนั่นเองทั้ง Only the strongest will survive, Every time you cry, Up town girl, As long as you love me, Wonder wall, ไม่เปลี่ยนใจ (เธอคนเดียว), ฉันรักเธอ (ทาทา-ปอนด์), เอื้อมไม่ถึง, ไว้ใจ, แรงบันดาลใจ, รักแท้ในคืนหลอกลวง .. ฯลฯ ผมแหกปากร้องตะโกนอย่างไม่สนใจใคร เพราะไม่มีใครอยู่แถวนั้นเลย
บรรยากาศรอบข้างเริ่มมืดลงทุกที เห็นไฟอยู่ที่กลางทะเลแว้บ ๆ ลอยห่างออกไปทุกที คงเป็นไฟของเรือ แต่ผมทึกทักเอาว่า ไอ้ตี๋มันบอกให้ผมไปได้แล้ว ราว ๆ เกือบ 2 ทุ่ม มีเพียงแสงไฟจากเสาไฟริมถนนในป่าเท่านั้น ไฟบนเกาะต้องใช้เครื่องปั่นไฟ ผมเก็บเศษขยะ ก่อนจะหันมามองทะเลเป็นครั้งสุดท้าย ผมสัญญากับไอ้ตี๋ว่า ถ้าผมยังไม่ตาย ผมจะมาเยี่ยมมันบ่อย ๆ แต่ถ้าเป็นไปไม่ได้บ่อยนัก ผมก็จะมาที่นี่ทุกปี
ผมกลั้นไม่ให้น้ำตาไหล ผมกลัวมันไม่สบายใจ แต่ผมอยากให้มันรู้ว่านอกจากความรักและความคิดถึงของผมที่มีให้กับมันจนล้นหัวใจ ผมยังมีความสุขมาก ๆ เหมือนมันไม่ได้จากผมไปใหนไกลเลย ผมขอใช้เวลาของวันนี้ให้หมดไปกับไอ้ตี๋คนเดียว ขอให้มันรอผมอยู่กับคนเบื้องบน คอยมองผมว่าผมจะเป็นไปอย่างไร .. ผมสัญญาว่าผมยังเป็นคนรักของมันเสมอ ...
ก่อนจะหันหัวจักรยานออกจากหาด น้ำตาผมร่วงเผาะ ผมเรียกไอ้ตี๋เบา ๆ
“ไม่ต้องอยู่ที่นี่หรอกนะ ไป .. กลับบ้านไปด้วยกัน”
ผมไม่ยอมให้มันอยู่ที่นี่คนเดียวหรอก เหงาตายห่าเลย ... ผมถีบจักรยานออกมาจากหาดช้า ๆ น้ำตาไหลแบบชนิดที่ว่าทำนบแตก ... หยุดไม่ได้
ผมนั่งรอเรือที่ท่าร่วมกับคนจีน เป็นลุงกับป้าแก่ ๆ สองคน เสียงเพลงจากร้านอาหารเล็ก ๆ บนเกาะลอยมาเบา ๆ เป็นเพลงจีน ที่ทำนองเหมือนเพลงไทยเพลงหนึ่ง .. เป็นเพลงที่ผมกับไอ้ตี๋ชอบมาก ๆ เวลาที่เรามีปัญหาด้วยกัน
กลืนลงไป ....... เจ็บปวดช้ำเท่าใด ... ไม่มีใครรู้ ....
เรื่องในใจ หากไม่พูดแล้วใคร เล่าใครจะรู้ในความจริง
เป็นบางครั้งก็อยากจะพูดออกไป ว่าใจฉันมันขื่นขม
ใจรักเธอ อยากให้เจอเข้าใจ ว่าเธอ ก็ต้องอดทน
กลืนลงไป เจ็บปวดช้ำเท่าใด อย่าไปให้ใครรู้
เหยียบเข้าสังคม ที่ผิด ๆ ซึ่งฉันไม่เคย ปราถนา
ใครเลยจะเข้าใจ ความขมขื่น .. กลืนมันลงไป ..
ใจรักเธอหากว่าเธอเข้าใจ ว่าเธอ ก็ต้องอดทน ..
กลืนลงไป .. เจ็บปวดช้ำเท่าใด .. อย่าไปให้ใครรู้
*** ลูกผู้ชาย ไม่ใช่ไม่มีน้ำตา .. แต่ไม่กล้าให้มันไหลออกมา
กลืนลงไป เจ็บปวดช้ำเท่าใด .. อย่าไปให้ใครรู้ ****
ผมร้องให้โฮออกมาอย่างไม่อายใคร ป้าคนจีนเดินเข้ามาเอาทิชชูให้และปลอบใจ ผมเล่าเรื่องให้ลุงกับป้าฟัง ป้ากับลุงบอกว่า คนเราทุกคนต้องมาถึงจุดหมายปลายทางเดียวกัน ... นี่ล่ะคือชีวิต ...