[เรื่องเล่า]จาก เก่ง ถึง ตี๋ ũ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องเล่า]จาก เก่ง ถึง ตี๋ ũ  (อ่าน 191364 ครั้ง)

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
สู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

เป็นกำลังใจให้ครับ

 :a1:

anisongchanon

  • บุคคลทั่วไป
จากเก่ง ถึง ตี๋  : ภาค 4 – ตอนที่ 2  คนทรยศ
ผมเลิกเรียนบ่าย 3 โมง ส่วนไอ้ตี๋ไปศูนย์คอมพิวเตอร์มหาวิทยาลัย เพื่อทำรายงานกลุ่มอีกแล้ว ผมส่ายหน้าด้วยความเบื่อหน่ายที่เห็นกลุ่มไอ้ตี๋ไม่เสร็จงานเสียที ผิดกับกลุ่มของผม อาจารย์ไว้วางใจให้เป็นกลุ่มแรกที่จะขึ้นรายงานหน้าชั้น เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับเพื่อน ๆ ในกลุ่มต่อ ๆ ไป

 

            ผมไม่ได้ทำงานพิเศษแล้วเพราะทำต่อไม่ไหว งานขายตรงหลายชั้นเป็นงานที่อาศัยเครือข่าย แต่รายได้ที่ผมได้มา มากจากการขายเพียงอย่างเดียว และผมก็ขายเฉพาะสินค้าตัวใหญ่ ๆ เช่นเครื่องกรองน้ำ เครื่องกรองอากาศ  การเจริญเติบโตในฐานแคบ ๆ เป็นอันตรายกับองค์กรธุรกิจแบนี้มาก ผมจึงหยุดการทำงานในเดือนที่ผมมียอดขายแค่ซื้อของใช้ส่วนตัวนั่นเอง

 

            ผมแวะซื้อน้ำที่ 7-11 และเมื่อผมเปิดประตูเพื่อเดินออกมาจากร้าน  ผมก็พบกับเสียงเสียงนึงทักไว้

 

        *พี่เก่ง ไม่มีเรียนเหรอครับ*

 

            ไอ้เทพนั่นเอง วันนี้ใส่ชุดไปรเวท สงสัยไม่มีเรียน

 

            -กำลังจะกลับแล้วครับ-

 

            *เดี๋ยวผมตามไปคืนหนังสือการ์ตูนพี่นะครับ สัก 15 นาที*

 

            -โอเค ไม่ต้องรีบก็ได้นะ-

 

            ผมบอกกับมันก่อนจะเดินกลับเข้าหอพัก

 

            ผมเปิดทีวีทิ้งไว้ ถอดเสื้อนักศึกษาออกเหลือแต่กางเกงนักศึกษา นอนเอกเขนกดูทีวีอยู่บนเตียงอย่างสบายอารมณ์ เสียงเคาะประตูดังขึ้น ก็อก ๆ ๆ

 

            *เปิดประตูเข้ามาได้เลยครับ ไม่ได้ล็อก*

           

            ผมบอก

 

            ไอ้เทพมองผมที่เปลือยครึ่งท่อนเล็กน้อย แล้วยิ้ม ๆ เอาหนังสือไปเรียงเข้าชั้นอย่างเรียบร้อย ก่อนจะขอตัวกลับ

 

            -จะรีบไปใหนล่ะ คุยกันก่อนก็ได้-

 

            สาบานได้ ตอนนี้ผมไม่ได้คิดทะลึ่งลามกกับน้องเลยนะครับ

 

            มันนั่งลงกับพื้น ผมจึงลุกจากที่นอนมานั่งเป็นเพื่อน เห็นมันตั้งใจดูทีวีอย่างดี ผมแอบสังเกตุมันเป็นระยะ ไอ้น้องคนนี้มันตัวใหญ่พอ ๆ กับไอ้ตี๋เลยครับ แต่ขาวแบบคนจีน สำอางค์แบบหนุ่มกรุงเทพ ฯ อาจจะเพราะบ้านเขามีเงินเยอะก็ได้นะครับ เสื้อผ้าดูเรียบร้อยมีราคา วันนี้มันใส่เสื้อยืดสีขาว กางเกงยีน ใส่ถุงเท้าสีขาว ผมกลืนน้ำลายเอื้อก .. ผมแพ้คนใส่ถุงเท้าสีขาว มันน่ารักนี่นา ...

 

            ผมแอบเหลือบดูนาฬิกาที่ข้อมือมัน โอ้โห ใส่แทกฮอยเออร์ ลายก้างปลา วัยรุ่นหล่อ ๆ เขานิยมกันล่ะนะครับ คงจะเป็นของจริง ไม่ใช่ 500 บาทที่คลองถมหรอกเพราะมันขับรถราคาแพงส่วนตัวมาเรียนทุกวัน ไรขนบางๆ ตัดกับผิวขาว ๆ ของน้อง ทำให้ผมต้องกลืนน้ำลายตัวเองอีกหลาย ๆ ครั้ง

 

            ไอ้เทพหันมาชำเลืองมองผม มันสบสายตากับผมที่สำรวจร่างกายมันอยู่พอดี ผมรีบหลบตาด้วยความอาย แล้วเดินไปจัดของที่โต๊ะเขียนหนังสือไปตามเรื่องตามราว ตอนนั้น เกือบ 4 โมงเย็นแล้ว

 

            ผมนั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือ

 

            *น้องเทพกินข้าวหรือยังครับ*

 

            -ยังเลยครับพี่เก่ง พี่เก่งหิวหรือเปล่าครับ-

 

            *อือ ไปกินข้าวด้วยกันนะ* 

 

            ไม่รู้ผีห่าซาตานตนใหน บังคับให้ผมบอกกับใจตัวเองว่า ไอ้นี่มันน่ารักว่ะ .... ผมจะทรยศไอ้ตี๋อีกแล้วหรือนี่ ?

 

            ผมสะบัดความคิดในหัวออกไป ไปกับน้องที่คณะมันจะเป็นอะไรไป คนเราก็ต้องมีการคบเพื่อนบ้าง ไอ้ตี๋มันต้องเข้าใจ

 

            *เดี๋ยวพี่เปลี่ยนเสื้อผ้าสักครู่นะครับ*

 

            ผมใส่เสื้อยืด แล้วถอดกางเกงนักศึกษาออกเพื่อเปลี่ยนเป็นยีนส์ เสื้อยืดผม ปิดกางเกงในกับปิกาจูผมได้หน่อยเดียว เผยให้เห็นช่วงขาที่มีขนดกเข้าไปในขอบกางเกงใน ไอ้เทพหันมามองผมสักพัก ผมเห็นสายตาของมันหันมาพอดี มันรีบหลบตา  ผมขำในใจ หายกันนะเด็กน้อย มันหน้าแดงระเรื่อ ดูไปดูมาน่ารักเหมือนไอ้ตี๋เลยครับ เพียงแต่ไอ้น้องเทพนี่ ตัวใหญ่กว่า มันน่ะหนักไม่น้อยกว่า 75 เผลอ ๆ 80 แต่ตัวใหญ่สมส่วนดี

 

            ผมอาสาเป็นสารถีให้น้อง ผมขับรถออกมาเข้าไปในเขตุสวนส้ม แถว ๆ ที่ผมอยู่จะเป็นสวนปลูกส้มเป็นจำนวนมาก

 

            -พี่เก่งจะไปกินข้าวที่ใหนครับ- ไอ้เทพถาม

 

            *ร้าน .......... ที่ตรงนี้น่ะครับ เคยมาใหมครับ*

 

            -ไม่เคยครับ แนะนำผมด้วยนะครับ-

 

            ผมสั่งอาหารมาสองสามอย่าง ก่อนจะลงมือกินอย่างหิวกระหาย เพื่อมารยาท ผมตักอาหารให้น้องบ้างเป็นครั้งคราว เรามาไกลจากมหาวิทยาลัยแล้ว ไม่จำเป็นต้องรักษาภาพอะไรนัก (ไอ้เก่งมึงคิดอะไรอยู่)

 

        ผมไม่ทราบว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ผมแค่รับรู้ในตอนนั้นว่า ทำไมผมมีความสุขเหลือเกิน มีความสุขที่ได้อยู่ไกล้น้องคนนี้ อยากเอาใจ และดีใจที่น้องเขาเอาใจ ผม เราพูดคุยกันถึงเรื่องราวส่วนตัวมากมาย ก่อนที่เสียงโทรศัพท์ผมจะดังขึ้น

 

            *ว่าไงตี๋*

 

            -กินข้าวหรือยัง กำลังจะออกไปกินข้าวกับพวกไอ้โรจน์ ออกมากินด้วยกันใหม หรือจะให้ซื้อเข้าไปให้-

 

            *อยู่ข้างนอก มากินข้าวกับไอ้เทพ เด็กปี 1 น่ะ น้องเขาเอาการ์ตูนมาคืน*

 

            -โอเค งั้นเดี๋ยวเจอกันที่ห้องละกันนะ-

 

        ผมวางสายไป เสียงไอ้เทพถามผมขึ้น

 

            *พี่เก่งทำไมบอกพี่ตี๋ว่าอยู่กับผมล่ะครับ*

 

            -ทำไมล่ะครับ ไม่เห็นมีอะไรสักหน่อย-

 

            *ไม่กลัวพี่ตี๋หึงหรือครับ* หมัดนี้เป็นหมัดแรกที่ไอ้เทพชกเข้าเป้ามากที่สุด

 

            -ไม่หรอกครับ พี่ตี๋เขาเข้าใจ-

 

            ตอนขากลับผมอาสาเป็นสารถีอีกตามเคย

 

            *พี่เก่งครับ เราจะมีโอกาสมากินข้าวด้วยกันอีกหรือเปล่าครับ*

 

            ผมยิ้ม แล้วบอกว่า

 

            -แน่นอนครับ พี่ยินดี-

 

            *ผมโทรหาพี่บ้างได้ใหมครับ*

 

            -ได้ครับ ไม่มีปัญหา-

 

            ผมโบกมือให้ก่อนที่รถไอ้เทพจะเคลื่อนตัวออกช้า ๆ จากหอผม ผมวิ่งขึ้นหอพัก ไอ้ตี๋กำลังรีดชุดนักศึกษาสำหรับของพรุ่งนี้อยู่ ผมช่วยมันเก็บเสื้อผ้าเข้าตู้ ก่อนจะมานั่งดูมันรีดผ้าอย่างตั้งใจ

 

            *ไง ไปกินข้าวกะคนน่ารักมา* ไอ้ตี๋แซว

 

            -เฉย ๆ ว่ะ แต่ดูเหมือนมันจะชอบกูหน่อย ๆ แล้วนะ-

 

            *มึงเล่นด้วยล่ะสิ* มันแซวต่อ

 

            -อย่าท้านะ เดี๋ยวกูเล่นจริง ๆ – ผมแกล้งแหย่ไอ้ตี๋มัน

 

            *ลองดูใหม* มันยกเตารีดขึ้นมาท้าผม ผมหัวเราะก่อนจะเข้าไปกอดมันจากด้านหลัง หอมแก้มทีหนึ่ง

 

            -เมียดุแบนี้ไม่กล้าแล้วละคร้าบบบ- ผมทั้งสองคนหัวเราะกันเอง ส่วนในใจผมจริงๆ นั้น  มีรถไฟหลายขบวนวิ่งสวนทางกันไปมา .....................

 

 

--------------------------------------------------------------------


anisongchanon

  • บุคคลทั่วไป
จากเก่ง ถึง ตี๋  : ภาค 4 – ตอนที่ 3  สามคน ---สองทาง

  ผมไม่เข้าใจว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ผมไม่เข้าใจว่ามันเกิดเมื่อไหร่ ผมไม่เข้าใจว่าผมเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร แต่ที่แน่ ๆ ตอนนี้ผมนั่งอยู่ในโรงหนังกับไอ้เทพ เด็กปี 1 ที่ว่านั่นเอง ผมเริ่มโกหกไอ้ตี๋โดยอาศัยความไว้วางใจของมันเป็นเครื่องมือให้ผมได้นัดพบเจอกับน้องเขามากขึ้น

 

            ไม่ใช่ว่าความรักมันมีน้อยลง ไม่ใช่ว่าผมแบ่งความรักของผมที่มีต่อไอ้ตี๋ไปให้ไอ้เทพ แต่ผมขอพูดอย่างไม่อายเลยว่า ผมรักทั้งสองคนเข้าแล้ว

 

            วันนี้วันอาทิตย์ ไอ้ตี๋ไปเยี่ยมญาติที่บ้านพระโขนง  ผมโทรศัพท์ไปนัดไอ้เทพออกมาเจอกันเหมือนเดิม คราวนี้เราไปกินข้าวที่แถว ๆ เจริญนคร ผมเป็นพลขับเหมือนเดิม วันนี้ผมใส่กางเกงขาสั้น เสื้อโปโลกับรองเท้าหุ้มส้น ลำลองธรรมดา ไอ้เทพก็มาในแนวเดียวกัน

        เวลาประมาณบ่ายสองโมง ผมขับรถกลับมาตามเส้นทางที่จะกลับเข้าหอผม แต่ผมไม่เลี้ยวรถเข้าไปในหอพัก ผมกลับขับรถเลยออกไปทางถนนพระรามสอง

 

            -พี่เก่งจะไปใหนครับ-

 

            *พี่ชอบทะเลนะ นายชอบเปล่า?*

 

            -ชอบครับ อย่าบอกนะว่าพี่จะพาผมไปทะเล-

 

            -ไม่ได้บอก แต่จะไปจริงๆ- ผมเร่งความเร็วของรถขึ้นอีก

 

            เราสองคนมาถึงชายหาดที่เรียกว่า “หาดเจ้าสำราญ” จังหวัดเพชรบุรี กำลังแดดร่มลมตก ผมพาไอ้เทพเดินอยู่ที่ชายหาดอันเงียบสงบ ไม่มีคนเหลืออยู่บนหาดนอกจากมีครอบครัวใหญ่ 1 ครอบครัวกำลังนั่งกินเหล้าอยู่ทิวสนด้านบน มีเด็กอีก 2 คนนั่งก่อกองทรายอยู่ไกล้ ๆ

 

            ผมถอนหายใจยาวเนิ่นนาน ไอ้เทพเดินมาหยุดอยู่ข้างหลังผม ผมหยุดกระทันหันทำให้มันชนเข้ากับผมอย่างจัง .... หน้าชนหน้า จนรู้สึกถึงลมหายใจของกันและกัน แต่ไม่มีใครยอมผละออกจากกัน ตามของมันประสานตาของผมอยู่เนิ่นนาน ผมจับมือมัน 1 ข้างเดินจูง ไปตามชายหาดเงียบ ๆ ไม่มีใครพูดอะไรกันเลย

 

            ผมจับมือมันให้นั่งลงข้าง ๆ ผมที่ชายหาด

 

            *น้องเทพครับ พี่ชอบนาย*

 

            -พี่เก่งแน่ใจที่พูดหรือเปล่าครับ-

 

            *ทำไมล่ะ ไม่เชื่อเหรอ*

 

            -ผมเห็นพี่เก่งเครียด ๆ จะบอกว่าชอบใคร ต้องดีใจสิครับ- สมแล้วกับที่เป็นเด็กเรียนเก่งที่สุดของชั้นปี รู้ใจผมเสียอีก

 

            *พี่สารภาพว่า พี่รักไอ้ตี๋ และพี่ก็ชอบนายมาก ๆ ด้วย*

 

            -แต่พี่มีพี่ตี๋อยู่แล้วนะครับ-

 

            *เราคบกันได้ใหมครับ* ผมเอื้อมมือไปจับมือน้องเขา ดูน้องสั่น ๆ แถมมือยังร้อน ๆ ขนลุกอีก

 

            -แต่ผมเป็นผู้ชาย-

 

            *พี่ก็เป็นผู้ชาย แต่พี่มั่นใจว่าพี่จะดูแลน้องได้ มั่นใจในตัวพี่ใหมครับ*

 

            -แต่ว่าพี่ตี๋ ...-

 

            *เราไม่ต้องให้ใครรู้สิ*

 

            ผมโอบตัวน้องน่ารักตัวใหญ่ของผมเข้ามาพิงแนบกาย ตัวมันดูร้อน ๆ ยังไงพิกล  ผมจุมพิตเบา ๆ ที่หน้าผากมัน หน้ามันที่แดงระเรื่ออยู่แล้วยิ่งแดงหนักเข้าไปอีก ผมชวนน้องค้างที่นี่ด้วยกันเพราะเย็นมากแล้ว

 

            -พี่ตี๋ล่ะครับพี่-

 

            ผมอึ้งไปสักพัก ก่อนจะเดินจูงมือมันมาที่รถ ผมเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ที่อยู่บนเบาะ มีสองสายไม่ได้รับ ***ไอ้ตี๋*** นั่นเอง

 

            -ฮัลโหล ตี๋เหรอ เดี๋ยวกลับแล้ว-

 

            *อยู่ที่ใหนอ่ะ เป็นห่วงรอกินข้าวอยู่*

 

            -กินไปได้เลยไม่ต้องรอนะ-

 

            *มีอะไรหรือเปล่าเก่ง* เสียงไอ้ตี๋ดูร้อนใจ

 

            -ไม่เป็นไร กลับไปค่อยคุยกันนะ- ไอ้ตี๋เป็นคนแบนี้ มันรู้ใจผม ถ้าผมบอกว่าไม่ก็คือไม่ จะไม่เซ้าซี้ แต่มันต้องรู้แน่นอนว่าผมมีปัญหา คนที่อยู่ด้วยกันมานานจะเป็นอย่างนี้  มองตาก็รู้ใจ

 

            ระหว่างทางกลับ กทม เราสองคนเงียบไม่มีใครพูดอะไร น้องมันก็คงคิดมากว่า ความสัมพันธ์ของเราจะเป็นไปในทิศทางใหน

 

            ผมเอื้อมมือไปจับมือมันมากุมไว้หนึ่งข้าง

 

            *ทำไมตกลงคบกับพี่ง่ายจังครับ*

 

            -ผมก็ชอบพี่เก่ง ผมชอบมาตั้งแต่งานรับน้องที่พี่แสดงบนเวทีแล้ว-

 

            *ตั้งต่วันนี้ไป ให้คิดถึงตัวเองครึ่งนึง คิดถึงพี่ครึ่งนึงนะครับ* ผมจับมือมันขึ้นมาหอม ขนมันลุกชัน เด็กมันไม่เคยนี่นะ

 

            ไอ้เทพส่งผมที่ข้างล่างหอ ผมเดินขึ้นหอไปอย่างกังวล

 

        ไอ้ตี๋นั่งดูทีวีอยู่ ผมเดินเข้าไปนั่งที่เตียง

 

            *ตี๋กูขอโทษ*

 

            -ทำไมล่ะ-

 

            *กูไปกับน้องเทพมา*

 

            -มึงชอบมันใช่ใหม- มันกระเถิบออกไปห่างผมอีก หน้ามันสลดลงอย่างเห็นได้ชัด

            *กูไม่รู้ว่ามันเกิดได้ยังไง แต่กูอยากจะบอกว่า กูไม่ได้รักมึงน้อยลงเลย*

 

            -มึงไม่ต้องมาพูด มึงผิดสัญญากับกู มึงบอกกูแล้วว่ามีกูมึงจะไม่มีใคร- น้ำตามันร่วงเผาะ

 

            *ตี๋กูขอโทษ*

 

            -เก่ง กูไม่ขอให้มึงเลือกหรอก วินาทีนี้ ถึงมึงเลือกกู กูก็ไม่เอามึง ใจมึงมันไม่กูแล้ว- ไอ้ตี๋ร้องให้

 

        *ตี๋ ไม่ใช่กูไม่รักมึง ...*

 

            -ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว มึงออกไปข้างนอก 30 นาทีไป ออกไป!- ไอ้ตี๋เสียงดัง

 

            *มึงจะทำอะไร*

 

            --กูจะเก็บของ กูไม่อยู่กับมึงแล้ว-

 

            *ตี๋ใหนมึงบอกว่ามึงเข้าใจกูที่สุด ทำไมคราวนี้ไม่เข้าใจกู*

 

            -มึงอย่ามาทวงสัญญา ในเมื่อมึงก็รักษาสัญญาไม่ได้-

 

            ผมนั่งมองมันเก็บกระเป๋าอย่างเงียบ ๆ มันสะอึกสะอื้นตลอดเวลา ผมพยายามเข้าไปกอดแต่มันสะบัดออก ผมเดินตามหลังมันลงมาจากตึก ผมพยายามดึงแขนมันไว้มันไม่ยอมไม่ฟัง เรียกแท็กซี่ไปทันที ผมคิดว่าคงไม่เป็นไร มันอาจจะไปแค่บ้านญาติ หรือไม่ก็หาไอ้พี่กลด เอาไว้ให้มันสงบลงค่อยโทรคุยกัน ผมก้มมองแหวนแพลทินั่มในนิ้วแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินกลับหอเงียบ ๆ  สับสนในจิตใจว่า ที่ผมทำลงไปมันถูกต้องแล้วหรือยัง ? .............................

 


wachara

  • บุคคลทั่วไป
 :o11:   เศร้า  สงสารตี๋





   แต่ชอบเก่ง  ใจกล้าดี

suregirl

  • บุคคลทั่วไป
เก่งนะเก่ง ทำไมไม่นึกถึงวันเก่าๆที่ผ่านมากับตี๋ กว่าจะฝ่าฝันมาได้แต่ละครั้ง ไหนจะเรื่องพ่อตี๋อีก จนได้มาอยู่ด้วยกัน
แล้วเก่งก็ผิดคำสัญญา กับตี๋ อีกแล้ว เฮ้อ  :เฮ้อ: เศร้าจัง  ทำไม ใจคน ถึงเป็นแบบนี้ บอกว่ารักเรา แล้วก็ยังรักอีกคนด้วย รับไม่ได้จริง ๆ  :m8:

Solaris

  • บุคคลทั่วไป
จากเก่ง ถึง ตี๋  : ภาค 4 – ตอนที่ 4  เริ่มต้นใหม่

   ผมกลับถึงหอพัก เบื่อชีวิตสุด ๆ จึงโทรเรียกไอ้น้องเทพมาที่เจอที่หอด้านล่าง พอมันขับรถมาถึง ผมก็ชวนไปที่อื่นทันที

   ผมเปลี่ยนตำหน่งเข้าเป็นพลขับก่อนขับรถออกไปด้วยความเร็วแบบสายฟ้าแลบจนไอ้เทพตกใจต้องเบรกเตือนสติผมไว้ ผมจอดรถปั้มเจ็ตแห่งหนึ่ง เอาหน้าซบไปกับพวงมาลัย น้องเขาเอามือลูบหลังผมเบา ๆ ผมดึงมือมันเข้าไปในร้านจิฟฟี่  ได้เบียร์กระป๋องมา 1 โหลของผมและบาคาดี้ฟรีซเซอร์ 6 ขวดของน้องเขา

   เรานั่งดื่มกันที่บริเวณที่นั่งพักรถแถวนั้นเอง ไม่ต้องมีหมาที่ใหนอก ผมก็ทราบว่าสถานีนี้คือ เจ็ต สาขาบางกระเจ้า นั่นเอง ผมไป-มาบ่อยจนจำทางได้หมดแล้ว เวลาครอบครัวผมไปเที่ยวทะเลเราก็ต้องแวะที่นี่เสมอ

   ผมบอกน้องเขาว่าไอ้ตี๋มันหนีไปแล้ว พอกินได้ 3 ขวด ผมก็ดึงมือมันขึ้นรถทันที ผมขับไปเรื่อย ๆ โดยเปิดเพลงในรถฟังและร้องตามเสียงดัง น้องมันก็เริ่มกึ่ม ๆ แล้ว เราสองคนร้องเพลงประสานเสียงกันไปจนสุดทาง

   ผมจอดรถที่หาดปึกเตียน เวลานั้นเกือบ 4 ทุ่มแล้ว  ผมเช็คอินที่รีสอร์ทที่ครอบครัวผมมาประจำก่อนจะดึงมือน้องไปวิ่งเล่นไล่จับกันที่ชายหาด มีเบียร์และบาคาดี้ติดมือไปเหมือนเดิม ผมมีความรู้สึกว่าไม่อยากคิดถึงไอ้ตี้เลย

   ถึงมันจะไปจากผมวันนี้ ผมก็ยังมีน้องเขาเคียงข้างอยู่ มันทิ้งผมไปเอง ไม่ใช่ความผิดของผมเลยสักนิด ผมบอกมันแล้วว่าผมยังรักมันเท่าเดิม แต่มันเลือกที่จะไป ผมก็จะปล่อยมันไป ไม่สนใจแล้ว ผมเล่นวิ่งไล่จับกับไอ้เทพที่ชายหาดอย่างสนุกสนาน ไม่ได้สนใจอะไรใครอีกแล้ว โลกใบนี้มีผมกับน้องเขาสองคนก็เพียงพอแล้ว

   ตีหนึ่งผมพาน้องที่อ่อนปวกเปียกหมดสภาพเพราะเด็กมันคออ่อน มาที่บ้านพัก ผมพาน้องไปในห้องน้ำเพราะต้องอาบน้ำเอาทรายออก ตัวใหญ่เป็นบ้า หนักก็หนัก ผมลากจนเอามันเข้าในห้องน้ำได้สำเร็จ มันอ้อ ๆ แอ้ๆ แต่ยืนแถบจะไม่ไหวอยู่แล้ว

   ผมจับมันนั่งที่พื้นหินของห้องน้ำ ห้องน้ำที่นี่สวยมากครับ ใช้หินกรวดกลม ๆ มาปู ที่อาบน้ำแยกจากชักโครก มีกำแพงหินกั้น 

   ผมถอดเสื้อของน้องมันออก หน้าอกมีขนอยู่บาง ๆ จุกบานใหญ่สองอันสีแดงสด ตัวขาวมาก ๆ เลยครับ หัวจุกไม่แข็งเลย ผมใจสั่นไปหมด มองดูเรื่อยไปที่หน้าท้องนิ่ม ๆ มีไรขนบาง ๆ ลับหายไปในกางเกง

   ผมสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อระงับความตื่นเต้นก่อนจะเอื้อมมือไปถอดกางเกงขาสั้นสามส่วนของมันออก มันใส่กางเกงในสีขาว ผมเผลอเอามือไปแตะที่ปิกาจูมัน ปรากฏว่าไม่มีการตอบสนองใด ๆ ผมกลั้นใจถอดกางเกงในของมันลง อ้อ ปิกาจูนอนหลับนี่เอง มันขาวเล็ก ๆ เหมือนของเด็ก มิน่าเขาบอกว่า ยิ่งตัวใหญ่ ปิกาจูยิ่งเล็ก ไม่เป็นไรผมไม่ได้ใช้อะไรของมันนี่ .......   มีขนนิดเดียว อา ... น่ารักเป็นบ้า อย่างนี้จะปล่อยไปได้อย่างไร ... ไอ้เทพลืมตาปรือ ๆๆ หน้าแดงก่ำ


   *พี่เก่งครับ ผมรักพี่* ไอ้เทพกระโดดโผเข้ากอดผม ผมหัวเราะก่อนจะประกบปากที่ปากเด็กอย่างดูดดื่ม

         ******* XXXX เซ็นเซอร์ครับ *********

nanao

  • บุคคลทั่วไป
เศร้าอ่ะ  o7

แต่คุณเก่งนี่ก็เปิดเผยดี

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

สงสารน้องตี๋ที่สุด

อั้ยเก่ง

เชี้ย

เลว

 :m16:

Solaris

  • บุคคลทั่วไป
จากเก่ง ถึง ตี๋  : ภาค 4 – ตอนที่ 5  ผมมีความสุขที่สุดในโลกเลย ???

   ผมตื่นเช้าขึ้นมาตอน 06.00 น. เวลาที่มาทะเล ผมไม่เคยหลับจนตื่นสาย  ผมเดินเอื่อย ๆ ตามชายหาดอันเงียบสงบเพียงลำพัง ส่วนไอ้เทพยังคงนอนหลับเปล่าเปลือยอยู่ในบ้าน  ผมมองทะเลในยามเช้าแล้วให้ความรู้สึกสงบใจอย่างประหลาด

   ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาจากระเป๋ากางเกงก่อนจะกดถึงไอ้ตี๋ มันยังไม่เปิดเครื่อง ผมสงสัยว่าเช้านี้มันจะไปเรียนหรือเปล่า แต่ก็ช่างเถอะนะ มันเลือกทางเดินของมันเอง ถ้ามันยังอยู่กับผม ผมก็ยังรักมันเหมือนเดิม

   ผมไปแวะซื้อโจ๊ก , น้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ไปฝากตัวเองและน้องเทพ ผมกระโดดขึ้นไปบนเตียงกอดและหอมแก้มมันอย่างแรง ไอ้เทพยิ้มทั้ง ๆ ที่หลับตาอยู่

   *พี่เก่งตื่นแต่เช้าจัง ผมเมื่อยไปหมดแล้ว*

   -ทำอะไรล่ะครับ ทำไมเมื่อย- ผมแกล้งแซว

   *พี่เก่งครับ*

   -ครับว่าไงครับ-

   *ผมรักพี่ครับ*

   -พี่ก็รักเรานะ ต่อไปบอกแล้วว่าชีวิตเรา มีพี่อยู่อีกครึ่งหนึ่งนะครับ-

   ผมกระชับน้องเข้ามาในอกอีกครั้ง น้องเทพเอามือเอื้อมมากอดผมไว้ ผมจับมือน้องไปวางในตำแหน่งที่เขาคงอยากจะวางแต่ไม่กล้า น้องเขามือสั่น ๆ เล็กน้อยทั้ง ๆ ที่เมื่อคืนคงจะคุ้นเคยกับมันดีแล้ว

   *เมื่อคืนเจ็บมั้ย* ผมก้มลงถาม จมูกชนจมูก
   
   -เจ็บ ๆ แสบ ๆ ยังไม่หายเลยครับ-

   *ชอบใหมครับ*

   ไม่มีคำตอบนอกจากอาการหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก ผมนิ้วชี้จิ้มที่จมูกมันอีกครั้ง

   *หายดีแล้วเอาใหม่นะครับ* มันยิ่งหน้าแดงยกกำลังสองเข้าไปอีก

   ผมไม่อยากจะบอกมันว่า เลือดมันออกด้วยเมื่อคืน ดีเหมือนกัน ความเมาจะได้ช่วยปกปิด

   *เดี๋ยวไปกินข้าวนะ เสร็จแล้วอาบน้ำด้วยกัน*

   ผมช่วยน้องทำความสะอาด มันร้องเจ็บ ๆ แสบ ๆ ตลอดเวลา ผมเลยปลอบใจด้วยการให้กินไอติมราดนมข้นหวานไปครั้งหนึ่ง

   -มีเรียนหรือเปล่าเรา-

   *ไม่มีครับพี่ แต่ผมว่าพี่เก่งโดดเรียนใช่ใหม*

   -ไม่เป็นไรหรอก พี่ตามทัน-

   *พี่เก่งคุยกับพี่ตี๋หรือยังตั้งแต่เมื่อคืน*

   -อย่าไปพูดถึงเขาเลยนะ เวลาที่อยู่สองคน อย่าเอาเรื่องคนอื่นมารบกวนนะ รู้มั้ย- ผมขยี้หัวน้องอย่างเอ็นดู

   เสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้น เบอร์ไอ้เม่น ผมรับสายทันที

   *เก่ง มึงอยู่ใหนวะ*

   -ทำไม-

   *ไอ้ตี๋มันกลับมาที่บ้านนี่ กูรู้เรื่องหมดแล้ว ทำไมมึงทำตัวเชี่ยอย่างนี้วะ*

   -แล้วมึงเจือกอะไรด้วยเรื่องของกู- ผมเริ่มเลือดขึ้นหน้า

   *เออ มันไม่ใช่เรื่องของกูหรอก แต่ไอ้ตี๋มันทำผิดอะไร มึงต้องทำกับมันอย่างนี้ด้วย*

   -ไอ้เม่น ถ้ามึงอยากเป็นเพื่อนกับกูอยู่ ไม่ต้องเจือกเรื่องของกู- ผมวางสายโทรศัพท์ไปในทันที

   ไอ้เทพรีบถามผม

   -พี่ตี๋ไปใหนพี่-

   *กลับบ้านไปแล้ว บอกแล้วไงว่าอย่าพูดเรื่องคนอื่น !! * ผมใส่อารมณ์กับน้อง

   ไอ้เทพทำหน้าจ๋อย น้ำตาร่วงเผาะ ผมรีบเข้าไปกอดร่างใหญ่ ๆ นิ่ม ๆ น่ารัก ของมันไว้

   -พี่เก่งขอโทษครับ-

   *พี่เก่งยังรักพี่ตี๋อยู่ แล้วจะมาห้ามไม่ให้ผมพูดถึงเขาทำไม*

   -โอเค ๆ พี่สัญญาว่าพี่จะไม่ทำอีกแล้วนะครับ- ผมหอมแก้มดึงน้องเข้ามาซุกที่อก

   *พี่เก่งมีผมคนเดียวได้ใหมครับ*

   -ได้สิครับ อย่าร้องนะคนดี-

   มีรถไฟอีก 3 – 4 ขบวนวิ่งสวนไปมาในท้องผมตลอดเวลา .... นี่หรือช่วงเวลาแห่งความสุขของผม ?????

----------------------------------------------------------------------------------------------------   
จากเก่ง ถึง ตี๋  : ภาค 4 – ตอนที่ 6  ตั้งแต่วันนี้ไป ... อยู่กันให้ดีนะ ... คนชั่วช้า ... จะไปเอง

   ผมพยายามโทรหาไอ้ตี๋ทั้งบ่าย แต่ไม่สำเร็จ เย็นวันนั้นเราสองคนกลับกรุงเทพ ผมชวนน้องเทพแวะซื้อของที่เพชรปิ่นแก้ว แต่น้องบอกว่าไม่จำเป็นเพราะไม่ต้องซื้อของฝากใคร ผมอดเสียใจเล็ก ๆ ที่ไม่ได้กินทอดมันปลาของโปรดผม ผมแอบนึกในใจว่า น้องจะชอบน้ำตาลสดกับหม้อแกงเผือกเหมือนกับไอ้ตี๋เล็กหรือเปล่า

   ผมกลับไปเรียนตามปกติ ไอ้ตี๋ก็มาก็มาเรียนแล้วเหมือนกัน ผมพยายามหลบหน้ามันไม่ให้เจอกันจัง ๆ จนเพื่อน ๆ สงสัย แต่ไม่มีใครพูดหรือถามอะไร เพราะช่วงนี้ก็ไกล้สอบปลายภาคแล้ว ความสัมพันธ์กับน้องเทพของผม ไม่มากขึ้นและไม่น้อยลง น้องเทพหลังจากคบกับผม ดูเหมือนน้องเขาจะเปิดเผยกับเพื่อน ๆ มากขึ้น มีท่าท่างแสดงออกมากขึ้น และหึงหวงผมมากขึ้นเป็นพิเศษ

   ในภาควิชาเริ่มซุบซิบกันถึงการเป็นคู่กันระหว่างผมกับไอ้เทพ ผมไม่ค่อยสบายใจมากนัก เพราะผมเป็นเกย์ แต่ผมไม่อยากชี้นำให้ใครเห็นว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้องและดีงามในสังคมไทย

   เมื่อน้องเทพหึงหวงผมมากขึ้น ผมยิ่งไม่สบายใจ  ยิ่งผมจะต้องคอยหลบหน้าไอ้ตี๋ด้วยแล้ว ผมยิ่งลำบากใจ แต่หลัง ๆ มาผมกลับมีความคิดพิสดารขึ้นมาว่า ผมจะหลบหน้าไอ้ตี๋ไปทำไม ผมกลับยิ่งเอาใจไอ้เทพจนออกนอกหน้าเพื่อประชดมัน ประชดที่ไอ้ตี๋มันทิ้งผมไป

   ถ้าผมไม่เข้าข้างตัวเอง ผมว่าไอ้ตี๋มันเจ็บ แต่ผมยิ่งอยากทำให้มันเจ็บ ที่มันปฏิเสธผม ไม่เคยมีใครปฏิเสธผม ผมจะต้องเรียนเก่ง ต้องทำทุกอย่างสมบูรณ์แบบ ต้องชนะทุกคน ผมต้องชนะมันให้ได้

   ผมกินข้าวอยู่ที่หน้ามหาวิทยาลัยกับไอ้เทพ  กลุ่มเพื่อน ๆ รวมทั้งไอ้ตี๋เข้ามานั่งในร้านทีหลัง มันคงยังไม่ทันเห็นผม ผมยิ่งเอาอกเอาใจไอ้เทพโดยการตักข้าวป้อน และเช็ดปากให้ ผมเห็นไอ้ตี๋มันก้มหน้างุด ๆ ผมยิ่งสะใจ นี่คือผลตอบแทนแก่คนที่ทิ้งผมไป

   จนกระทั่งมาหลัง ๆ ผมมีความรู้สึกว่าไอ้เทพเริ่มเปลี่ยนไป เราไม่ค่อยเจอกันเหมือนเคย เพราะถ้ามีโอกาส มันจะเล่นอินเตอร์เนท ไม่ก็ออกไปเที่ยวที่สีลมซอย 2 ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผมไม่ค่อยชอบไป ผมจึงปฏิเสธทุกครั้งที่มันชวน ผมก็ทราบแค่ว่า มันมีเพื่อนในเน็ต รวมตัวกันไปเป็นกลุ่ม ความสัมพันธ์เราจึงห่างเหินออกไป ผมได้ข่าวแว่ว ๆ มาทางเพื่อนในเน็ต ว่ามันมีใครอีกคน

   *เทพ พี่ว่าเราต้องคุยกัน*

   -มีอะไรว่ามาเลยซิพี่-

   *นายอย่าไปบ่อยได้ใหมซอย 2 พี่เป็นห่วง*

   -ทำไม ซอย 2 มันไม่ดีตรงใหน  ที่บ้านเขายังไม่ห้ามผมเลย แล้วพี่เป็นใคร-

   *เออ แล้วพี่เป็นอะไรกับนายล่ะ*

   -ถ้าอยากจะคบกัน อย่ามาสร้างข้อผูกมัด ทางใครก็ทางมัน-

   *ทำไมพูดอย่างนี้ล่ะ นายกำลังดูถูกความรักความเป็นห่วงที่พี่มีให้นายนะ*

   -สังคมเรามันต่างกันพี่เก่ง เรื่องการใช้ชีวิต เรื่องเงินเรื่องทองด้วย ผมไม่แคร์หรอกนะถ้าพี่จะไปมีใครอื่นที่เหมาะสมกว่าผม-

   *ทำไมเกี่ยวกับเรื่องเงินทอง เรื่องชนชั้นอะไร พี่ไม่เข้าใจ วันนี้วันเกิดพี่  เราไปกินข้าวด้วยกันนะ พี่จะชวนเพื่อน ๆ ไปเลี้ยง*

   -ถ้าอยากไป พี่ก็ไปซอย 2 กับผมก็แล้วกัน ผมนัดเพื่อนไว้-

   *พี่ขอร้องล่ะวันนี้วันเกิดพี่นะ*

   -ถ้าพี่พูดไม่รู้เรื่องผมก็จะไม่พูดล่ะ อยากทำอะไรก็ทำไปละกัน แล้วอย่ายุ่งเรื่องส่วนตัวกัน-

   ผมนัดเพื่อน ๆ ออกมากินเลี้ยงงานวันเกิดราวๆ 5-6 คน วันนั้นผมเมาปลิ้นกว่าที่คาดคิด สิ่งที่ผมรอไม่ใช่อะไร ผมรอโทรศัพท์จากไอ้ตี๋ .... ผมอยากให้ใครสักคนที่พิเศษ ๆ อวยพรผมในวันนี้ ผมเมาจนลืมควบคุมตัวเอง ใช้โทรศัพท์ของไอ้ชัย โทรหามัน ผมกลัวมันไม่รับโทรศัพท์ผม

   *ไอ้ตี๋เหรอ กูเอง วันนี้วันเกิดกู มึงจำไม่ได้หรือไง* ผมเมาเต็มที่

   -มึงเกิดแล้วมันเกี่ยวอะไรกับกู- ไอ้ตี๋วางสายไปทันที

   ผมยิ่งรินเหล้าเข้าไปอีกแบบไม่ยั้ง  ให้มันลืมคนสองคนที่ทิ้งผมไป .. ผมมีเพื่อน ๆ รอบตัวมากมาย ..... แต่ทำไมผมรู้สึกเหมือน ผมไม่มีใครเลย ...

   ผมกลับถึงห้องนอนแผ่อยู่บนเตียง .. ความเหงามันเป็นแบบนี้เองสินะ ... พวกมึงสองคน ไอ้ตี๋ ไอ้เทพ ระยะเวลาแค่ไม่ถึง 3 เดือน ... ขอให้มึงทั้งคู่โชคดี .. กูขอลาก่อน ..ผมน้ำตาไหลด้วยความเหงาจนจับหัวใจ ...

Solaris

  • บุคคลทั่วไป
ช่วยน้องไอ๊ซ์คุงอีกแรง ไม่ว่ากันนะครับ :m21:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






nartch

  • บุคคลทั่วไป
 :a5:
สั้น ๆ ง่าย ๆ " สมน้ำหน้า " :m16:
อย่าหาว่าซ้ำเติมเลยนะ...แต่มันเป็นเรื่องจริง...คนไม่รู้จักพอ....กี่ครั้งแล้วที่เป็นแบบนี้....
จะโกรธตี๋เล็กไม่ได้หรอก...ตี๋เล็กทำถูกที่สุด....เรื่องอะไรอยู่ให้เจ็บปวด...คนที่เรารักไปกับคนอื่น...
ไม่บ้าก็เมา ใครจะทนได้..... o22   
ภาวนาอย่าให้ตี๋เล็กใจอ่อน...หาผัวใหม่ง่ายกว่า...ขออภัยถ้าหยาบคาย...
มีเพชรอยู่ในมืออยากได้พลอย....นี่ละกรรมติดจรวด...ไม่คู่ควรกะการเห็นใจเลยยยบอกตรง ๆ
 :laugh:


ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
กรรมเวรติดจรวดจิงๆเลยคับท่าน

แต่เชื่อได้ว่าเดี่ยวตี๋ก็ต้องใจอ่อน....เฮ้อ เจ็บไม่จำจิงๆ

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
ช่วยไม่ได้นะครับ
กิเลสมันอยู่ในตัวทุกคน
แต่ใครจะควบคุมมันได้ขนาดไหน
แค่นั้นเอง

อุตส่าห์ลำบากฝ่าฟันกันมา
 :m17: :m17: :m17: :m17:

ออฟไลน์ slmzaa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 163
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
 :เตะ1: :เตะ1: :เตะ1:อยากกระทืบซ้ำดั้วะ  นะบักเก่ง    ทำตัวเองแท้ๆๆๆๆๆ   :เตะ1: :เตะ1: :เตะ1: :เตะ1: :เตะ1:

Solaris

  • บุคคลทั่วไป
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
จากเก่ง ถึง ตี๋  : ภาค 4 – ตอนที่ 7  รักครั้งใหม่ของเก่ง

   ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมตัดสินใจที่จะอยู่คนเดียวเงียบ ๆ สักพัก ใช้ชีวิตกับตัวเอง ผมทุ่มเทความสนใจให้กับการเรียนเพียงอย่างเดียว เมื่อผมเจอทั้งไอ้เทพ หรือ ไอ้ตี๋ ผมก็ไม่แคร์ทั้งคู่ ทั้ง ๆ ที่ผมรู้สึกเจ็บและเสียหน้า ที่กลายเป็นคนถูกทิ้ง

   ตื่นเช้ามาเรียน เย็นกลับหอพัก เช้าตื่นขึ้นมาใหม่ เย็นกลับไปอีก ปิดเทอมกลับบ้าน เพื่อน ๆ ในกลุ่มก็หายหน้าจากกันไป เป็นธรรมดาเพราะทุกคนก็มีภาระการเรียน มีเพื่อนกลุ่มใหม่ ๆ การที่จะเข้ามาสนิทชิดเชื้อกันเหมือนเมื่อก่อน ก็เป็นไปได้ยากเช่นกัน เปิดเทอมกลับมาเรียน ส่วนไอ้ตี๋มันก็ยังไม่คุยกับผมเหมือนเดิม ทั้งที่ในใจผม อยากให้มันกลับมาเป็นเพื่อนของผมก็ยังดี มันทำกับผมเหมือนกับว่า ไม่มีที่ว่างใด ๆ เหลือไว้ให้ผมยืนอีกเลย ผมทำอย่างนี้ของผมเป็นเวลาเนิ่นนานจนกระทั่งผมขึ้นเรียนปี 4 เทอมที่ 1 ผมก็เริ่มมีความรักครั้งใหม่ ที่ผมอยากฝากให้เป็นความรักที่สมหวังของผมเสียที

   ผมรู้จักกับพี่ต่อ ทางอินเตอร์เน็ต ผมไม่คิดว่าผมจะชอบคนทางอินเตอร์เน็ตได้ แต่ด้วยความเหงาและว้าเหว่ของผม ทำให้ผมเผลอรักพี่ต่อไปได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว ความรักของเราสองคนเกิดขึ้นเมื่อวันหนึ่ง เราคุยโทรศัพท์กันมาช่วงระยะเวลาพอสมควร พี่ต่อก็ขอนัดเดตกับผม

   พี่ต่อทำงานทางด้านไอที กำลังเรียนต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เราสองคนนัดเจอกันในเย็นวันศุกร์ พี่ต่อเลิกงานเวลาราว ๆ ห้าโมงเย็น พี่ต่อขับรถมารับผมที่หน้ามหาวิทยาลัย

   *สวัสดีครับพี่ต่อ*

   ผมยกมือไหว้ พี่เขาอายุ 28 แล้ว ผม 19 เอง

   -สวัสดีครับน้องเก่ง-

   พี่ต่อยิ้มเห็นฟันขาว ๆ น่ารัก แกเป็นคนตัวเล็ก ๆ ตั้งแต่ห่างไอ้เทพไป ผมเปลี่ยนสเป็กมาชอบคนตัวเล็ก ๆ น่าทะนุถนอม พี่ต่อเป็นคนที่ผมชอบมาก ๆ หลังจากที่ได้พูดคุย เพราะพี่ต่อเป็นคนธรรมดา มนุษย์เงินเดือนตัวจริง สัมผัสได้ และโลกไกล้เคียงกับผมมาก พี่เขาอยู่บ้านกับแม่เพียงสองคน พ่อเขาเสียไปนานแล้ว มีน้องชายเรียนปริญญาโททุนรัฐบาลที่ประเทศอังกฤษ

   เรากินข้าวที่ร้านข้าวธรรมดา ๆ ข้างมหาวิทยาลัยอย่างออกรสออกชาติ พี่ต่อขอเปลี่ยนมาเรียกผมว่า “เก่ง” เฉย ๆ เพราะเขากลัวว่าเรียกน้องเก่ง น้องเก่งบ่อย ๆ จะทำให้ตัวเขาดูแก่เกินไป

   ผมบอกว่าไม่แก่หรอก เพราะพี่ต่อหน้าเด็ก  แถมยังแมนมาก ถ้าไม่มี CTX-gay ติด รับรองสแกนแกไม่ออกแน่นอน อาหารพื้น ๆ มื้อนั้นได้แก่ ราดหน้ายอดผัก และโอเลี้ยง ได้ถูกเราสองคนกินจนหมดในเวลารวดเร็ว แน่ล่ะ ความสุขย่อมจะมาเร็ว และผ่านไปเร็วเสมอ

   ผมพาพี่ต่อไปกินน้ำสับปะรดปั่นใส่น้ำมะนาวนิดหน่อย และ ชาปั่นราดขนมปังของโปรดของผม พี่ต่อชมว่าผมมีรสนิยมดีกับน้ำปั่น  เพราะไม่ชวนเขากินเบียร์  เป็นเด็กดี ผมหัวเราะ บอกว่าตอนนี้ไกล้สอบ ขอเป็นน้ำปั่น ไว้ปิดเทอมสบาย ๆ ค่อยกินกัน เราคุยกันอย่างสนุกสนานเพราะพี่ต่อเป็นคนทะลึ่งแต่สุภาพ (เอ๊ะยังไง) เขาขับรถไปส่งผมที่หอ ผมยิ้มให้พี่ต่อแล้วโบกมือให้ ก่อนจะเดินขึ้นตึกไป

   ตกดึกพี่ต่อโทรมาบอกว่า วันเสาร์พรุ่งนี้เขาหยุดครึ่งวัน อยากมาเจอผมอีก ผมยิ้ม สงสัยงานนี้ ผมจะสมหวังแล้วล่ะมั้งเนี่ย ว่าแล้วก็เตรียมชุดหล่อไว้สำหรับวันรุ่งขึ้น

   พี่ต่อมาถึงหอผมเวลาราว ๆ บ่ายโมงเศษ ๆ ผมพาพี่ไปกินส้มตำ ข้าวเหนียวที่ร้านโปรดของผม เราไปจองตั๋วดูหนังด้วยกันไว้เป็นรอบ 6 โมงเย็น  ผมบอกว่า ถ้าไม่รังเกียจ จะไปเที่ยวหอผมก่อนก็ได้ เหลือเวลาอีกหลายชั่วโมง พี่ต่อตอบตกลง

   ผมเปิดประตูห้องเข้าไป ก่อนจะเชิญพี่ต่อนั่งที่เก้าอี้ แต่พี่ต่อปฏิเสธ ก่อนจะกระโดดขึ้นเตียง บอกผมว่าขอนอนพักสักงีบ ผมบอกตามสบาย เดี๋ยวผมจะเข้าห้องน้ำสักหน่อย

   ผมเดินออกมาจากห้องน้ำ เห็นพี่ต่อนอนหลับสนิท สบายเพราะผมเปิดแอร์ทิ้งไว้ ผมชอบมองคนเวลานอนหลับ ... เพราะทุกคนเวลานอนหลับจะเหมือนกันทั้งนั้น ทั้งคนหยิ่ง คนไม่จริงใจ คนหลอกลวง คนโกหก คนจน หรือคนรวย... ทุกคนจะนิ่งสงบในเวลาที่หลับ

   ผมก็รู้สึกเหนื่อย ๆ เลยตั้งเวลาปลุกที่โทรศัพท์ไว้ที่ 17.00 น. ก่อนจะกระโดดขึ้นเตียงไปนอนข้าง ๆ พี่ต่อ ผมมองหน้าพี่ต่อเล็กน้อย ก่อนจะโอบเอาพี่ต่อมากอดเข้าในอกผม พี่ต่อยิ้มหน่อย ๆ แล้วผมก็หลับไป

----------------------------------------------------------------------------------------------------   
จากเก่ง ถึง ตี๋  : ภาค 4 – ตอนที่ 8  เสียวซ่าน บนสังเวียนการประลอง

   ผมนอนหลับไปไม่รู้นานเท่าไหร่ รู้สึกตัวตอนที่มีคนกำลังเล่นกับร่างกายส่วนล่างของผมอยู่ พี่ต่อปลดเข็มขัด ปลดตะขอ และรูดซิปกางเกงยีนส์ผมลง ตอนนี้กางเกงในสีขาวของผมก็ถูกรูดดึงลงเหมือนกัน Kผมโผล่ออกมา ฉ่ำไปด้วยน้ำ .... อ้า .. คงจะเป็นน้ำลายของพี่ต่อแน่ ๆ เลย

   ผมขยับตัวให้เข้าที่เข้าทาง ดึงกางเกงลงไปอีกจนถึงหน้าขา Kผมตั้งโด่อย่างท้าทาย พี่ต่อมองอย่างพอใจก่อนจะเอามือจับรูดเบา ๆ 2-3 ครั้ง ผมเสียวจนต้องคราง อื้ย.. อกมา ... เจอแต่มือตัวเองมาหลายเดือนแล้วลูกเอ๋ย อย่าตื่นสนามจนน้ำแตกก่อนล่ะ เสียของหมด

   พี่ต่อใช้ปากครอบปลายหัวKของผมก่อนจะใช้ปากดูดอย่างแรงเหมือนอยากให้มันติดปากออกไป ผมนึกถึงว่าไอ้เทพเคยทำแบบนี้ทีนึง ผมต้องเด้งไปข้างหน้าอย่างแรงตามแรงดูดก่อนจะร้อง อื้ย ... ออกมา ซู้ดปากด้วยความเสียว พี่ต่อเหลือบมองผมนิดนึง คงดีใจล่ะสิสัดเห็นกูเสียว

   พี่ต่อไม่รอช้าเลื่อนปากไหลลื่นเข้ามาจนมิดลำKพอดี ประสบการณ์ขนาดนี้ไม่ต้องมานั่งสอนให้ระวังฟันโดนแล้ว ผมครางโอ้ว ๆ เมื่อพี่ต่อเริ่มเร่งจังหวะดูดเลื่อนเข้าออกแบบขึ้นสุด ลงสุด

   ผมแหกขาออกให้พี่ต่อจัดการเล่นKผมได้อย่างเต็มที่ ก้นผมก็กระเด้ารับกับปากที่อมKเข้าออกจนมิดนั้น มือพี่ต่อจับคลึงไข่ผมเล่น ผมเสียวจนส่ายก้นอยู่ไม่สุข มือผมก็ดันกางเกงออกไปจนตัวผมเปล่าเปลือย

   พี่ต่อรีบถอดเสื้อผ้าออกทันที หุ่นแกตัวเล็ก ๆ แต่แข็งแรงมีกล้ามเนื้อ ผมสารภาพว่าผมแพ้หนุ่มขาว ๆ โดยเฉพาะหนุ่มเหนือขาว ๆ แบบนี้ มันเนียนนุ่ม จนกลัวว่าการสัมผัสของผมจะทำให้เนื้อพี่ต่อช้ำ

   พี่ต่อถอดเสื้อผ้าเสร็จผมเห็นKแกชี้ออกมาจากพงหมอย Kแกตัน ๆ สั้น ๆ ไม่ยาว แต่ดำปื้ดตัดกับผิวขาวของแกอย่างสิ้นเชิง ขนแกเยอะมากทั้งหน้าอกลงเรื่อยมาถึงหน้าท้อง ลงมาถึงหัวหน่าว แกกระโดดทับผมทันที แล้วจูบผมอย่างรุนแรงและหนักหน่วง เป็นครั้งแรกที่ผมเจอคนที่มีเซ็กส์ที่รุนแรง และมีประสบการณ์เป็นอย่างดี ทำให้ผมตื่นเต้นมาก ๆ  ร่างกายเปลือยเปล่าของเราสองคนแนบติดกันแทบจะเป็นหนึ่งเดียว มือพี่ต่ออยู่ไม่เป็นสุข แกบี้หัวนมผมไปด้วย ส่วนKผมถูกับKของแกขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา

   ผมบอกให้พี่แกเปลี่ยนตำแหน่งเป็น 69 โดยที่แกอยู่ข้างบน แกรีบอมหมับเข้าที่Kผมทันที ส่วนผมก็อมเข้าไปแค่ครึ่ง ๆ  แกเล่นเด้าขึ้น-ลงพั่บ ๆ หมอยอันดกดำของแกตีเข้ากับหน้า บดจมูกผม โอ้กลิ่นของมันรัญจวนใจมาก ๆ อารมณ์ผมกระเจิดกระเจิง ไม่ได้เอาใครวันนี้ต้องอกแตกตายแน่ ๆ

   ผมควานมือหาจุดเป้าหมาย ผมแหวกto-dแกออกดูมีขนอยู่เหมือนกัน ไม่เหมือนไอ้ตี๋กับไอ้เทพที่เกลี้ยงเกลาเพราะจับโกนหมด แต่รูto-dที่มีขนพลอมแพลมแบบนี้ มีน้ำเยิ้ม ๆ ออกมาเชิญชวนแบบนี้ มันยิ่งทำให้อารมณ์ผมเตลิดอยากจะลองชิมดูซะแล้ว

   ผมยกหัวขึ้นเล็กน้อย เอาลิ้นเลียเข้าไปที่ตรงร่องเบา ๆ ไอ้พี่ต่อปล่อยปากจากKผมร้อง อ๊าย ... เสียวสัดสิมึง ผมเลียระรัวก่อนจะใช้นิ้วแหย่เข้าไปสำรวจให้คะแนน อา..... เต็มสิบผมให้ไปเลย 11 .. มันฟิตตอดมือผมตุบ ๆ ๆ ๆ อย่างกระทั้นกระถี่ พี่ต่อคงขมิบต่อต้านสิ่งแปลกปลอม to-dพี่แกส่ายตลอดเวลาพร้อมกับร้องเสียงหลง เมื่อผมเพิ่มนิ้วเข้าไปควานเบา ๆ  ไอ้พี่ต่อคงเสียวไม่มีที่ระบาย รีบสาวว่าวผมอย่างแรงพร้อมกับร้องเสียงหลง ผมครางหงิง ๆ แต่ไม่ยอมน้ำแตกให้หน้าแตกเด็ดขาด

   ผมเปลี่ยนตำแหน่ง จับพี่ต่อเอาหัวซุกหมอน โก่งto-dหันมาทางผม มันเยิ้ม ๆ รูเป็นสีเข้ม ๆ หน่อย ๆ ผมรีบคว้าถุงยางในตู้หัวเตียงใส่อย่างรวดเร็ว ก่อนจะทำตามขั้นตอนมาตรฐานของผม ด้วยการจับหัวKกดพรวดทิ่มทีเดียวมิด ไอ้พี่ต่อร้อง อ้ากส์ออกมา

   -เก่งพี่จุก เจ็บด้วยเบา ๆ หน่อยครับ-

   ผมแช่ไว้ลึก ๆ ยังไม่เคลื่อนไหว เอื้อมมือไปควานหาKแกก่อนจะจับกระทอกไปมาอย่างแรง ผมแนบKเข้าไปมิดสุด ๆ จนหมอยติดto-dแน่น แกร้องโอ้ว ๆ ด้วยความเสียวซ่าน ผมเริ่มซอยเข้า - ซอยออกช้า ๆ แกเอื้อมมือมาจับKตัวเองชัก หน้าซุกหมอนร้องอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์  อือ อือ อือ อือ

   ผมเร่งจังหวะเร็วขึ้นเมื่อรูตอบรับเป็นเพื่อนกับKผมอย่างดีแล้ว ผมซอยเข้าซอยออกอย่างเร็ว เสียงไข่ผมตีto-dขาว ๆ แกดังปั่บ ๆ ผมมีความสุขมากที่เจอคู่ชกที่สมศักดิ์ศรี

   ผมจับแกเปลี่ยนมานั่งควบคุมเกียร์ของผมแทน ผมเห็นหน้าแกตอนโยกเหยเกสุด ๆ เหมือนคนอยากจะร้องให้ ยิ่งทำให้ได้อารมณ์ ผมเด้งto-dขึ้นรับทุกจังหวะที่แกขย่ม เราสองคนร้องโอ้ว ๆ อย่างไม่อายใคร มันเสียวนี่ครับ

   ผมจับแกนอนลง ยกขาพาดไปหน้าอก จับเอากระแทกอย่างแรง ผมเร่งเพื่อที่จะเข้าเส้นชัยให้ได้ พี่ต่อแกสาวว่าวอย่างแรงแล้วร้อง  อ้าๆๆๆ อย่างดัง น้ำแกแตกกระจายพุ่งไปทางหน้าท้อง น้ำมันเป็นเหลืองๆ ข้นคลั่ก คาวมาก  ๆ

    ผมรีบเร่งของผมบ้างจนเกือบจะออก ผมถอดKออก ปลดถุงยาง ชักว่าวอยู่ที่หน้าท้องของแก ไม่กี่ทีผมก็ต้องร้อง โอ้ย ๆ ๆออกมาอย่างดังน้ำแตกพุ่งปริ้ดไปบนหน้าอกและหน้าท้องของพี่ต่อ ผมชักเข้าออกอีกสองสามที น้ำไหลลงมาตามKเป็นสาย ผมหมดแรงซบลงตรงหน้าอกพี่ต่อ เราจูบปากกันสักพักก่อนจะต่ออีก 3 ครั้งในคืนนั้น พี่ต่อดูมีความสุขมาก ก่อนเราจะนอนหลับไปในอ้อมกอดกันและกัน

Solaris

  • บุคคลทั่วไป
จากเก่ง ถึง ตี๋  : ภาค 4 – ตอนที่ 9  รู้ว่ามันใช่ ... แต่ไม่รู้ว่าทำไม.. ไม่ลืมเธอ

   ผมกับพี่ต่อ ตกลงเป็นแฟนกันอย่างเป็นทางการ หนังรอบเย็นที่เราจองกันไว้ ก็ไม่ได้ไปดูอีกเลย คืนนั้นพี่ต่ออยู่กับผมจนดึกดื่นค่อนคืน ผมพาพี่ต่อไปกินข้าวที่หน้ามหาวิทยาลัย ทำให้ผมเจอกับคนคนหนึ่งโดยไม่ทันคาดคิด

   ไอ้ตี๋ใส่เสื้อช้อพ มันคงเพิ่งออกมาจากมหาวิทยาลัย มันไปทำอะไรของมันวันเสาร์ ผมนึกในใจ แต่ที่ผมนึกสะท้อนใจไปวูบนึงคือ มันนั่งอยู่คนเดียว เมื่อก่อนที่ใหน ก็ต้องมีเราสองคนอยู่ด้วยกัน ผมไม่อยากจะเดินเข้าไปนั่งเลยในร้านนั้น แต่ผีห่าซาตานตนใหนดลใจให้ผมไปนั่งลงอย่างเลื่อนลอย พี่ต่อถามผมชวนผมคุย แต่ผมเหมือนคนไม่มีจิตใจ มากินข้าวแต่ตัว ลืมเอาหัวใจมา

   ผมอยากเดินเข้าไปบอกว่า ผมคิดถึงไอ้ตี๋มัน แต่ผมทำไม่ได้ .... ทำไม่ได้ แต่ผมปฏิเสธหัวใจตัวเองไม่ได้ แน่นอน ... ผมยังรักมันเท่าเดิม .. ไม่มากขึ้น – ไม่น้อยลง แต่ผมจะทำอย่างไรได้ ในภาวะการณ์เช่นนี้ ในเมื่อใจผม ก็มีพี่ต่อเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้ว

   ผมรีบจัดการกับข้าวตรงหน้าอย่างไม่ใส่ใจอะไรนัก ตาคอยชำเลืองมองดูไอ้ตี๋ตลอดเวลา ผมเห็นมันจ้องทีวี มากกว่าที่จะสนใจอะไรรอบตัวมันเสียอีก

   มันดูผอมไปนะ.... ผมไปเรียนห้องเดียวกันกับมันทุกวัน แต่ผมทำไมไม่เคยสังเกตุสิ่งอะไรแบบนี้ เป็นเพราะผมคอยหลบ ไม่อยากมองมันให้เจ็บมากขึ้นกว่าเดิมมั้ง  ทำให้ผมไม่รู้ว่าหน้าตามันดูเครียด ๆ คงเป็นเพราะเรียนหนัก เทอมที่แล้วคะแนนมันออกมาไม่ค่อยดี

   ผมตอบคำถามพี่ต่อแบบคำต่อคำ ก่อนที่จะส่งพี่ต่อขับรถกลับบ้าน ผมเดินไปใน 7-11 เพื่อซื้อน้ำ เจ้ากรรมนายเวรที่ใหนแต่ชาติปางใดไม่รู้ ดลบันดาลทำให้ผมได้เจอกับมันอีก ผมกำลังก้มลงจะหยิบถุงน้ำแข็ง ไอ้ตี๋มันยืนอยู่เยื้อง ๆ เหมือนกับรอจะเอาน้ำแข็งต่อจากผม

   *จะเอาน้ำแข็งเหรอ* ผมยิ้มแห้ง ๆ พลางยื่นถุงน้ำแข็งในมือส่งให้ไอ้ตี๋

   มันไม่มองแม้กระทั่งหน้าผม ก้มลงไปหยิบเอาน้ำแข็งในตู้ แล้วเดินไปจ่ายเงิน ปล่อยให้ผมยืนยิ้มค้าง ยืนเก้ออยู่หน้าตู้น้ำแข็งคนเดียว

   ผมเดินคอตกเข้าไปในหอ ทำไมนะ ผมกำลังมีความสุขอยู่กับความรัก ..... หรือเป็นสิ่งที่ผมเรียกว่ารักนั่นล่ะกับพี่ต่อ ... แต่ผมทำไมต้องเสียใจขนาดนั้น ในเมื่อมันก็ผ่านมานานแล้ว ผมรู้ ... รู้ว่าที่บอกว่านานน่ะ มันใช่

   แต่ผมไม่รู้ว่าทำไม .... ไม่ลืมมัน

   ผมกลับมานอนแผ่อยู่บนเตียง ยกนิ้วที่สวมแหวนทองคำขาวขึ้นมาดู น้ำตาผมไหลออกมาทางหางตาอย่างไม่ตั้งใจ ผมทำไมไม่มีความสุข ในเมื่อผมมีแฟนเป็นพี่ต่อแล้ว แล้วพี่เขาก็ดีกับผมมากเหมือนกัน

   ผมถอดแหวนออกใส่ไปลิ้นชักที่หัวเตียงอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะบอกตัวเองว่า ผมจะต้องไม่คิดมาก ชีวิตต้องเริ่มต้นกันใหม่ ของใครก็ของมัน ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ผมไม่ชอบง้อใครด้วย เพราะผมถือว่าผมไม่ผิด จะผิดก็คงผิดนิดเดียวที่มีคนอื่น แต่ผมยังยืนยันว่าถึงผมมีใครอีกเป็นสิบ ผมก็รักไอ้ตี๋เท่าเดิม ไม่เพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่น้อยลง ... เท่านั้นมันก็น่าจะเพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ

--------------------------------------------------------------------------------------------------------
จากเก่ง ถึง ตี๋  : ภาค 4 – ตอนที่ 10  หมดกำลังจะเสียใจไปกว่านี้ ....

   ผมพยายามคิดว่า คงเป็นเรื่องของบุญวาสนา ที่เราไม่อาจจะอยู่คู่กันได้ ผมจึงตัดสินใจตัดใจจากมันให้เด็ดขาดไปเลย ผมกับพี่ต่อเราเจอกันบ่อยขึ้น ผมรบเร้าให้พี่ต่อพาไปค้างที่บ้านเค้าบ้าง แต่เขาไม่เคยยอมเลย เพราะเขาปิดแม่เขาอยู่

   พี่ต่อมีปัญหาทางด้านการเงินเกี่ยวกับเรดดี้เครดิต ไฟแนนซ์รถ และบัตรเครดิต พี่ต่อจะเล่าให้ผมฟังบ่อย ผมสงสารแฟนผมมากที่ต้องเจอปัญหาเยอะแยะมากมายขนาดนั้น ผมพยายามเป็นเพื่อนคอยให้คำปรึกษาแกตลอด ไม่ให้ท้อใจพยายามใช้หนี้เขาไปก่อน

   อยู่ ๆ วันหนึ่งผมได้รับข้อความทาง IRC ส่งมาจากคนที่ผมไม่รู้จัก เขาแนะนำตัวเสร็จสรรพว่าชื่อ ชาติ กำลังเรียนวิศวะอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง รุ่นเดียวกัน รุ่นเดียวกันกับผมเลย

   เขาบอกว่า เขาคือแฟนพี่ต่อ

   -พี่ต่อน่ะเป็นแฟนผมนะ- ผมตอบไป

   *ผมไม่ถือหรอก เพราะผมแฟร์กับแฟนผมเสมอ ตัวผมเองก็เหมือนกันถ้าผมมีคนอื่นอีก พี่เค้าก็ไม่ปัญหา เรารู้จักกันไว้เฉย ๆ ก็พอ*

   ไอ้ชาติตอบมา แต่มันพูดสุภาพมาก ผมเหลือบไปมองใน IRC ที่ผมเปิดไว้อีกโปรแกรม อ๋อ คนชื่อชาติ โอเปอเรเตอร์ของช่อง งั้นคงไม่โกหกเราหรอก แต่ต้องพิสูจน์อีก  ผมโมโหมากที่พี่ต่อโกหก แต่ไอ้นี่มันก็อาจจะโกหกผมก็ได้

   แต่คงไม่ใช่ ในเมื่อมันบอกรายละเอียดเกี่ยวกับตัวผมได้ถูกต้องทั้งหมดทั้งเรื่องลับเรื่องแจ้ง มันบอกว่าพี่ต่อกับมันไม่มีความลับต่อกัน ผมโทรถามพี่ต่อทันที พี่เขาบอกว่าชาติก็อยู่ส่วนเขา ไม่เกี่ยวข้องกัน เรื่องผมกับพี่เขา เป็นเรื่องของเราสองคน ไม่เกี่ยวกับใคร

   ผมเสียใจ แต่ด้วยใจที่ฝากความหวังที่เขาไปแล้ว จึงยอมยกใจให้เขาไปทั้งหมด ไม่ได้สนใจว่าเขาจะมีแฟนอยู่แล้วหรือไม่

   ผมเริ่มใช้วิธีอื่นๆ แกล้งไอ้ชาติเช่น แกล้งป่วยในวันนัดกันของสองคนนั้น แกล้งงอแง ไม่อยากให้พี่ต่อไปกับไอ้ชาติ โดยที่ผมไม่รู้เลยว่ามันจะถลำลงลึก เกิดเรื่องราวอื่น ๆ ใหญ่โตเกินกว่าที่ผมจะเยียวยาได้

   ในวันที่ 31/12/1999 ผมให้พี่ต่อยืมเงินจากผมไป 20,000 บาท เพื่อไปตัดบัญชีเรดดี้เครดิต เขาไม่ได้ขอยืมหรอกนะครับ เพียงแต่ผมสงสารที่แกต้องมาเล่าปัญหาให้ฟังอยู่เป็นประจำ อีกอย่างผมกะใช้งานนี้ซื้อใจพี่ต่อ เกทับไอ้ชาติมันด้วย

   แต่กว่าที่พี่ต่อจะมาหาผมที่สถานนีรถไฟฟ้าศาลาแดง ซึ่งเปิดทำการฟรีในคืนวันนั้น ผมก็ต้องนับถอยหลังเค้าท์ดาวน์สู่สหรรษสรรษของมิลเลเนียมปี 2000 อยู่ที่ชานชลา BTS ศาลาแดงคนเดียว พี่เต้ยมาพบผมด้วยอาการเมามายในเวลา 01.30น. ที่ด้านล่างสถานี

   *พี่ไปใหนมาผมรออยู่ 3 ชั่วโมง*

   -ชาติอยู่ซอยสอง-

   *ทำไมพี่ต้องไปซอยสอง พี่ก็รู้ว่าผมไม่ชอบที่นั่น*

   -โอเค พี่ขัดเขาไม่ได้ เรากลับบ้านเถอะนะ พรุ่งนี้พี่ต้องไปทำบุญกับแม่-

   ผมนั่งแท้กซี่กลับหอด้วยความน้อยใจ อะไร ๆ ก็อ้างแต่แม่ ผมนึกในใจว่า ผมเลือกทางนี้ของผมเองผมต้องยอมรับมันไปคนเดียว

   ผมกลับมาต้มมาม่ากินคนเดียวที่ห้อง  คอเหลือบมองมือถือเป็นระยะ ๆ เผื่อพี่ต่อจะโทรมา ผมดู Channel [V] ไทยแลนด์จนหลับไป

   ผ่านปีใหม่ไปหลายวัน พี่ต่อค่อยโทรหาผมได้ ผมไม่ได้รับอนุญาตให้โทรหาพี่เขา นอกจากเขาจะโทรหาผมเอง เพราะเขาบอกว่า เขาไม่เปิดเผย กลัวแม่หรือที่ทำงานรู้ว่าเป็นเกย์ ผมยอมแต่โดยดี ทั้ง ๆ ที่ในใจอยากจะคุยกับพี่แกใจจะขาด

   บางวันพี่แกก็จะมาหาผมที่ห้อง ผมมีเซ็กส์กับแกทุกครั้งอย่างดูดดื่ม ผมหลงพี่ต่อจนโงหัวไม่ขึ้น ผมสารภาพได้เลยว่า ไม่มีใครแล้วที่ผมต้องการนอกจากพี่ต่อคนเดียว

   เดือนถัดมาพี่ต่อก็ขอยืมเงินผมเองบ้าง  ผมไม่สามารถปฏิเสธได้ ในเมื่อผมรักเขามาก ไม่อยากเห็นเขาต้องเดือดร้อน ผมรับผิดชอบค่าโทรศัพท์ ค่างวดเรดดี้เครดิต และให้เงินเขากินข้าว เขาบอกไม่มีเงินแม้แต่จะกินข้าว

   เงินเก็บผมก่อนขึ้นปี คศ 2000 ในธนาคารซึ่งมาจากการทำงานพิเศษของผมในปีที่แล้วมีประมาณ 130,000 บาท เพียงแค่ 3 เดือน ผมให้พี่ต่อไปถึง 1 แสนกว่าบาทแล้ว จากนั้นพี่ต่อก็หายหน้าไป บ่ายเบี่ยงที่จะพบผม แต่ยังคงโทรมา บอกว่าเรายังเหมือนเดิม และบอกว่าผมคิดมากไป

   ไอ้นัท เพื่อนทางเน็ตของผมคนนึง เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเดียวกันแต่ต่างคณะกัน แต่ไม่เคยเจอกันมาก่อน เอาแผ่นโปรแกรมมาให้ผมยืมถึงที่ห้องพัก ด้วยนิสัยเหมือน ๆ กันของเราจึงคุยกันสนุก

   *เก่งมึงมีแฟนยังวะ*

   -มีแล้ว ทำงานไอที-

   *เป็นไงบ้างวะ*

   ผมขอตัวรับโทรศัพท์จากพี่ต่อ พี่ต่อพูดจาหวานเจี๊ยบกับผมเหมือนเคย

   *แฟนเป็นใครวะ อย่าบอกนะว่าเป็นพี่ต่อทำงานที่ ....................*  ไอ้นัทถาม มันคงได้ยินผมคุยโทรศัพท์ 

   -รู้จักเหรอ- ผมถาม

   *ถ้าคนที่บ้านอยู่ที่ ........... ซอย .... ละก็ กูไปถึงบ้านมัน นอนที่บ้านมาเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง ใช่หรือเปล่าวะ*

   ผมเงียบไม่พูดอะไร

   *อย่าเครียดสิ กูเตือนมึงนะว่าคนนี้มั่วสุด ๆ แฟนมันที่เป็นวิศวะก็มั่วไม่แพ้กัน คนในเน็ตเป็นอย่างนี้ล่ะวะ เรื่องธรรมดาว่ะ ตกลงไม่ใช่ใช่ใหม*

   -ไม่ใช่หรอก คนละคน- ผมตอบเสียงเบา ๆ

   ผมไม่มีอะไรจะพูดกับพี่ต่ออีก นอกจากเขาโทรมา ผมก็ถามคำ ตอบคำ แต่นั้นเอง พี่ต่อขอยืมเงินผมด้วยคำพูดหวาน ๆ อีก ผมบอกว่าผมจะเรียนจบแล้ว ได้งานทำแล้วด้วย พี่ต่อบอกดีเลย ต่อไปจะได้มีตังค์ช่วยพี่ต่อใช้หนี้ ผมเงียบ ก่อนที่จะบอกว่าผมคงช่วยพี่อีกไม่ได้เพราะผมก็กำลังจะจบไปทำงาน ขอให้พี่ช่วยตัวเองไปก่อน จากนั้นมาพี่ต่อก็โทรหาผมน้อยลง น้อยลง น้อยลง และหายไปในที่สุด

   ผมตัดใจ ไม่อยากคิดว่าผมถูกทิ้งอีก ผมกำลังจะไปทำงานใหม่ที่จังหวัดหนึ่งไกล้ ๆ กทม . ผมขาดเงินมากในเดือนแรกที่ไปทำงาน เงินจะกินข้าวก็แทบจะไม่มีเพราะต้องเช่าหอใหม่ ค่าประกันหอพัก 3 เดือน ล่วงหน้า 1 เดือน ค่าขนย้ายของจิปาถะ เงนผมหมดไม่เหลือแม้แต่บาทเดียว  ผมโทรไปให้พี่ต่อช่วย พี่ต่อบ่ายเบี่ยงไปมา ผมเลยบอกว่า เอามาวันนี้แค่ 2 พันพอ  แล้วผมยกหนี้ให้ พี่ต่อรีบโอนมาให้ในเย็นวันนั้นเอง

   ผมชวนเพื่อนผมชื่อ แตน ผู้หญิงเจ้าหน้าที่แผนกบัญชีวัยเดียวกับผม ที่ทำงานด้วยกันออกไปกินข้าวในตลาดหลังเลิกงาน ผมกินข้าวไปคำแรกในรอบวันนี้ด้วยอาการน้ำตาซึม พ่อกับแม่เลี้ยงมาไม่เคยให้อดอยาก แต่ต้องมาอดอยากเพราะผู้ชายคนเดียว ... ผมไม่มีอะไรจะพูด นอกจากคำว่าเสียใจ

---------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
ไม่น่าคิดมากนะ
พี่ต่อเขาจะมีใคร ไม่ต้องเจอหน้า แค่โอนตังค์มา
เขาก็รักเก่งเท่าเดิม ไม่น้อยลง
 :m7: :m7: :m7: :m7:

nanao

  • บุคคลทั่วไป
ทำไมต้องเป็นอย่างนี้น้อ คนเรา  :sad2:

Solaris

  • บุคคลทั่วไป
จากเก่ง ถึง ตี๋  : ภาค 4 – ตอนที่ 11  การเดินทางครั้งใหม่ (ตอนจบ-ภาค4)

   สิ้นเดือนเดือนแรกของการทำงาน ได้รับเงินเดือน ½ เดือนเพราะผมเริ่มงานวันที่ 16 พอดี ผมรับซองเงินสดมาด้วยมือสั่นเทา เป็นเงินก้อนแรกที่ผมได้รับจากการทำงานในวิชาชีพของผม ผมเก็บเงินใส่ในกระเป๋าสตางค์ การย้ายเข้ามาอยู่ที่พักของบริษัททำให้ค่าครองชีพลดลงไปมากโข เนื่องจากไม่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน และค่าเดินทาง  ส่วนอาหารการกิน โรงงานในบ้านนอกแบบนี้  มีค่าครองชีพต่ำ อาหารเริ่มต้นจากจานละแค่ 7 บาทเท่านั้นเอง ทำให้ช่วงนี้ผมสามารถเก็บเงินได้เป็นกอบเป็นกำ

   ผมเริ่มเข้าที่เข้าทางกับการทำงาน และมีความจำเป็นที่จะต้องปรับโฟกัสจิตใจไปอยู่ที่เรื่องงานเท่านั้น เวลาผ่านไปหลาย ๆ เดือน ผมจึงต้องคร่ำเคร่งอยู่กับการทำงาน และทำโอที จนไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องความรักความใคร่แต่อย่างใด

   ติ๊ด  ๆๆ ๆ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เวลา 5 ทุ่มแล้ว ผมเพิ่งอาบน้ำเสร็จ กำลังสูบบุหรี่อยู่ ผมลืมบอกไปว่า ตั้งแต่ผมเลิกกับไอ้ตี๋ ผมก็เริ่มสุบบุหรี่แล้ว เด็ก ๆ อย่าเอาเยี่ยงอย่างนะครับ

   *ฮัลโหล สวัสดีครับ* ผมกรอกเสียงลงไปในสาย

   -ไอ้เก่ง มึงตายไปหรือยัง- เสียงอีอุ๋ยนั่นเอง ทักกันได้ไพเราะและเป็นมงคลมาก ๆ

   *ยังไม่ตาย มึงน่ะเผาเมื่อไหร่* ผมดักคอไว้ไม่ให้เสียเชิง

   อีอุ๋ยได้ทำงานอยู่ในหน่วยงานราชการแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น ส่วนเพื่อน ๆ ที่เหลือกำลังเรียนปีสุดท้าย ปีนี้ผมต้องรับปริญญาบัตร แต่ว่ามหาวิทยาลัยผมเลื่อนออกไปจนอยู่คิวหลังสุด อีอุ๋ยได้เบอร์ใหม่ผมมาจากที่บ้าน เราคุยกันถึงเรื่องงานรับปริญญา อีอุ๋ยอยากให้ผมไปด้วย ผมตกลงในทันทีเพราะว่าวันศุกร์หน้า ที่บริษัทมี Big cleaning Day ผมคาดว่าจะสามารถลางานได้  ผมตอบตกลงไปในที่สุด

   วันพฤหัสบดีมาถึง ผู้จัดการใจดีให้ผมรีบเข้า กทม ได้ตอนบ่าย 3 เพราะงานไม่มีอะไรแล้ว ผมเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า มีของขวัญให้อีอุ๋ยเป็นปากกาใส่กล่องห่อผูกโบว์ ผมใส่ลงไปในกระเป๋าเช่นกัน

   ผมมาถึงสนามบินดอนเมืองราว ๆ เกือบ 5 โมงเย็น ถือว่าสายไปเพราะเครื่องบินผมจะออกเวลา 6 โมงเย็น ถ้ามัวไปเสียเวลาหาเคาท์เตอร์ หาประตู ผมต้องตกเครื่องบินแน่เลย ผมเงยหน้ามองที่จอมอนิเตอร์ เห็นเที่ยวบินที่ผมจะไปกำลังกระพริบข้อความสีแดง Last call ผมรีบวิ่งไปอย่างไม่คิดชีวิต ใครจะไปคิดว่าประตูทางออกขึ้นเครื่องที่ผมจะไปจะอยู่ไกลขนาดนั้น

   โชคดีมีคนอีกสองคนมาสายเหมือนกัน กำลังจะเข้าช่องไป ผมจึงต่อท้ายเขาอย่างเนียน ๆ หอบแฮ่ก ๆ ด้วยความเหนื่อย ผมถือกระเป๋าใบเล็กเข้าไปนั่งตามที่นั่ง เครื่องบินมีผู้โดยสารเต็มลำ ผมเก็บกระเป๋าบนช่องเก็บสัมภาระเหนือศรีษะ ก่อนจะนั่งลงข้างป้าคนหนึ่ง ป้าชวนผมคุยมาตลอดทางเพราะแกไม่เคยขึ้นเครื่องบิน แกจะไปเยี่ยมลูกชายที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเดียวกันกับพวกไอ้เม่น

   เมื่อถึงสนามบินขอนแก่นผมมองหารถตู้ของโรงแรม ซึ่งผมคิดว่าผมคงต้องนอนโรงแรมนั่นล่ะคืนนี้ ระหว่างที่ผมชะเง้อมองหารถนั้น สายตาผมมองไปเจอคนคนหนึ่ง ที่กำลังวิ่งเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว

   *ไอ้เก่งงงงง* เสียงไอ้เม่นนั่นเอง ไอ้สน อีเก๋ อีอุ๋ย วิ่งตามมาด้านหลัง

   -ขอบใจที่มารับว่ะ แต่ว่าไม่เห็นบอกก่อนเลยว่าจะมารับ ไกลนะ กูไปเองก็ได้-

   *ใครบอกว่าพวกกูมารับมึง* อีอุ๋ยพูดสอดขึ้น ผมทำหน้า งง ๆ

   *นู่น คนที่พวกกูมารับมาแล้ว* อีเก๋พูดพลางบุ้ยหน้าไปด้านหลังผม ผมหันไปมองตามช้า ๆ คนที่กำลังเดินมาทำให้ผมเริ่มหายใจไม่สะดวก

   -หวัดดีพวกมึงทุกตัว- ไอ้ตี๋พูดขึ้น วันนี้มันอยู่ในชุดแบบหนุ่มออฟฟิศ ซึ่งผมเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก ตัดผมสั้น ๆ หัวตั้ง ๆ น่ารักมาก ผิดกับผมที่ซกมก มอซอ เพราะผมเพิ่งปล้ำกับหม้อต้มไอน้ำมาเสร็จ อาบน้ำยังไม่ทันดีก็ต้องรีบมาเลย เล็บมือยังดำไปด้วยคราบน้ำมันเครื่องอยู่ หนวดเคราที่โกนไปเมื่อสามวันที่แล้ว กำลังโผล่ตอแข็ง ๆ ออกมาสากมือ สภาพผมเหมือนโจรดีดีนี่เอง

   เพื่อน ๆ ทักทายไอ้ตี๋เสร็จสรรพ ทุกคนพร้อมใจกันเงียบเสียง สงบอยู่พักหนึ่ง มองมาที่ผมและไอ้ตี๋พร้อม ๆ กัน ผมยืนนิ่ง งงงันอยู่พักหนึ่ง

   *หวัดดีเก่ง หน้าดำไปหน่อยนะ ใช้แรงงานกลางแดดเหรอ* ไอ้ตี๋พูดขึ้นพร้อมกับยิ้มบาง ๆ ให้ผม ยิ้มที่ผมไม่เคยได้รับมาเป็นเวลา 2 ปีแล้ว ผมนิ่งอึ้ง งงงัน

   -อือ- ไม่มีคำอื่นออกจากปากผมอีกเลย

   เราขึ้นรถตู้ที่อีอุ๋ยเอาของพ่อมันมา ไอ้เม่นเป็นพลขับ ระหว่างทางเราคุยกันถึงเรื่องจิปาถะทั่ว ๆ ไป ผมบอกว่าผมงานอยู่ที่ใหน เป็นยังไงสั้น ๆ ก่อนที่เพื่อน ๆ จะถามไอ้ตี๋ ผมจึงได้รู้ว่า ที่พวกไอ้ชัยบอกผมว่าไอ้ตี๋ทำงานเป็นผู้ช่วยของญี่ปุ่นนั่นเรื่องจริง ไอ้ตี๋ทำงานอยู่ใน กทม แถว ๆ นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง

   เรานั่งติดกัน แต่ไม่ได้พูดอะไรกันเลยสักคำ ผมได้กลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ของ Samba-Natural ลอยมาจากตัวมัน ทำให้ผมรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด จนในที่สุดรถวิ่งมาถึงถนนประชาสโมสร ไอ้เม่นส่งเสียงขึ้น

   *ไอ้เก่งไปนอนกับกูเพราะกูอยู่หอข้างนอก ไม่ต้องเสียเงินค่าโรงแรม เดี๋ยวเราไปส่งไอ้ตี๋ที่บ้านมันก่อน เอาของเก็บแล้วไปกินข้าวกัน*

   พวกเรารอให้ไอ้ตี๋เอาของไปเก็บสักพักก่อนจะออกไปหาข้าวกินกัน กินเบียร์กันบ้าง แต่ไม่เน้นเมามาย โดยเฉพาะว่าที่บัณฑิตอย่างอีอุ๋ย กลัวจะหน้าโทรม อีอุ๋ยขอตัวกลับก่อนเพราะพรุ่งนี้จะต้องตื่นแต่เช้าทำผม อีเก๋กับไอ้สน ซึ่งตกลงคบกันเป็นแฟน ก็กลับพร้อมกัน ไอ้ตี๋จะขอกลับอีกคน แต่ไอ้เม่นเรียกไว้ นานๆ จะได้เจอกันสักครั้ง

   เราย้ายไปนั่งที่ร้านแถว ๆ ถนนกลางเมือง ในร้านมีแค่ 1 โต๊ะที่มีแขกเป็นผู้ใหญ่ชาย – หญิงนั่งอยู่ คงเป็นเพราะยังหัวค่ำ เป็นร้านของเพื่อนไอ้เม่นเอง เพื่อนไอ้เม่นบอกทุกคนทำตัวตามสบาย  พวกเรานั่งลงที่โต๊ะในมุมด้านใน มีโซฟาสีแดงตั้งอยู่ ผมสั่งเหล้า Swing ของชอบของพวกเรา ผมกับไอ้ตี๋ไม่คุยกันเลย  นอกจากจะคุยกับไอ้เม่นเท่านั้น

   และแล้วเวลาที่ผมไม่อยากจะให้มาถึงก็มาถึงจนได้ เมื่อไอ้เม่นขอตัวเข้าห้องน้ำ หมายความว่า ผมจะต้องนั่งอยู่กับไอ้ตี๋แค่สองคน ผมมองไปที่หน้าเวที ดูนักร้องที่กำลังร้องเพลง How do I live ไอ้ตี๋ก็มองไปที่เวทีเช่นกัน มันหันหน้ามาเอาแก้วเหล้าในขณะที่ผมก็กำลังจะหยิบแก้วเหล้าเหมือนกัน ผมยิ้มแล้วยื่นแก้วเหล้าให้ชน มันยิ้มแล้วชนแก้วตอบกับผม

   *สบายดีหรือเปล่า* ผมถามมัน กลัวมันจะไม่ตอบชิบหาย

   -สบายดี แต่งานไม่สนุกว่ะ- มันตอบผมมาทำหน้าแบบที่บอกว่าไม่สนุกจริง ๆ

   เราคุยกันต่อเรื่องงานที่เราสองคนไปทำ ผมจ้องตามันตลอดระยะเวลาที่เราพูดคุยกัน จนมันรู้สึกเขินกระมัง มันหยุดพูด แล้วมองหน้าผม

   -หน้ากูมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า-  มันเลิกคิ้วน้อย ๆ เป็นเชิงถาม

   *เปล่า ๆ กูกำลังนึกถึงเรื่องเก่า ๆ ที่ผ่านมา กูคิดว่าจะไม่มีโอกาสมานั่งอยู่กับมึงอีกแล้ว*

   -แล้วมึงคิดว่ากูสมควรมานั่งอยู่ที่นี่กับมึงใหม-

   *อือ มึงว่ากูมาเถอะ กูรู้ว่ากูมันคนไม่ดี* ผมเบือนหน้าออกไปจากมันไปทางเวที น้ำตาคลอ ถ้าผมหลับตา ณ วินาทีนี้ น้ำตามันต้องหยดแน่ ๆ

   ไอ้ตี๋ลุกขึ้นจากฝั่งตรงข้ามที่มันนั่งอยู่ มานั่งข้าง ๆ ผม น้ำตาผมหยดแหมะ เมื่อคิดถึงเรื่องเก่า ๆ อย่างไม่รู้ตัว

   ไอ้ตี๋หยิบทิชชูมาเช็ดน้ำตาจากแก้มผม

   *เก่ง มึงสบายดีใหม ไอ้นัทมันเล่าทุกอย่างให้กูฟังแล้วนะ เรื่องของมึง*

   -มึงรู้จักกันด้วยเหรอ-

   *รู้จักสิ ในมหาวิทยาลัยกูก็สงสัยอยู่ว่ามีเกย์คนใหนไม่รู้จักมึงกับกู แต่คนคงรู้จักมึงมากกว่ามั้ง หลายแฟนเหลือเกินนี่* มันทำเสียงเล็กเสียงน้อยประชดผม

   -ตี๋ กูขอโทษ-

   *ขอโทษเรื่องอะไร เมาหรือเปล่าเนี่ย เสียชื่อไอ้เก่งคนเดิมหมด ไม่เอาอย่าร้อง* มันแซวผม

   -ตี๋มึงจะยกโทษให้กูได้ใหม กูอยากจะบอกมึงว่า กูไม่เคยหยุดรักมึงเลยแม้แต่วินาทีเดียว ถึงกูจะพยายามมีใคร ๆ คนอื่นก็ตาม กูก็ไม่สามารถปฏิเสธหัวใจกูเองได้ว่ากูยังคิดถึงมึงอยู่ตลอดเวลา-

   *เก่ง เรื่องมันผ่านมานานแล้วนะ กูไม่คิดหรอกว่าเราจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ *

   ผมเหลือบตามองมันนิดหนึ่ง ก่อนจะเมินไปทางเวที

   -แล้วหมาที่ใหนมันใส่แหวนกูไว้ไม่ยอมถอดออกอีกวะตั้งหลายปีเนี่ย- ผมพูดลอย ๆ แล้วหันมามองหน้ามันอีกที ผมยิ้มเยาะ ๆ เหมือนผู้กำชัยชนะ แต่ไอ้ตี๋ น้ำตาร่วงเผาะลงมา

   ผมตกใจรีบเอามือเช็ดน้ำตาให้มันทันที

   *ตี๋เล็ก กูขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจ*

   -ใช่สิเก่ง กูใส่ไว้เพื่อระลึกถึงสิ่งดีดี ที่เราเคยมีให้กันไง กูเลือกจำแต่สิ่งดีดีของมึง นะเก่ง มึงรู้ใหมว่าคุณค่ามันมากกว่าเรื่องไม่ดีที่มึงทำเสียอีก ผิดกับมึงนะ ถอดทิ้งหรือเอาไปขายแดกแล้วล่ะ- มันประชด

   *รู้ได้ไง* ผมอมยิ้มเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งใส่หน้างอ  ๆ ของมัน

   -ใหน ไม่เห็นมี- มันจับมือผมพลิกไปมา

   ผมดึงสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาทที่พ่อกับแม่ซื้อเป็นของขวัญตอนเอ็นท์ติดออกมา มันมีกางเขนเล็ก ๆ สีทอง ที่แม่ซื้อให้ ทั้ง ๆ ที่ครอบครัวผมเป็นพุทธทั้งหมด แต่ครอบครัวไม่เคยกีดกันว่าผมนับถือศาสนาอะไร

   ที่ติดอยู่กับจี้กางเขน มีแหวนทองคำขาววงหนึ่งสวมอยู่กับสร้อย

   -ไม่ได้ทำงานออฟฟิศเหมือนบางคนนี่ จะได้ใส่แหวนได้ ซ่อมเครื่องนะโว้ย ที่ใส่สร้อยนี่ก็ต้องแอบ ๆ เพราะมันอันตราย เครื่องจักรสายพานจะดึงเอาคอกูเข้าเครื่องเมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้ แต่ก็ต้องใส่ เพราะคิดถึงใครบางคนว่ะ- ผมพูดยิ้ม

   *เครื่องทำไมไม่ดึงมันเข้าไปเลยนะ พวกเจ้าชู้เนี่ย สาธุ* มันพูดพลางหัวเราะ

   -สงสัยมันกลัวคนบางคนจะร้องให้ขี้มูกโป่งมั้ง ถ้ากูตาย จำได้ใหมเมื่อก่อนกูยังไม่ตายเลย ยังมีคนร้องให้เป็นวรรคเป็นเวรให้กูเสียอีก- ผมแหย่มัน มือผมจับอยู่ที่สองมือของมัน

   -ตี๋ กูขอโทษ มึงจะรับคำขอโทษของกูใหม กูผิดที่ดูถูกความจริงใจของมึง กูผิดที่กูเห็นแก่ตัว กูผิดที่ไม่ยอมรับหัวใจของตัวเอง มึงคือเพื่อนที่ดีที่สุดของกู-

   *เพื่อนเหรอ ไม่ใช่เมียเก่าอ่ะ* มันพูดล้อ  ๆ

   -ครับเมียก็ได้ครับ- ผมยิ้ม

   *ไม่เอา ไม่อยากเป็นโมรา*

   -ทำไมต้องโมรา- ผมสงสัย

   *ไม่อยากเป็นเมียโจรไง ดูหนวดเคราสิ ผมเพ้า เล็บมือดำอีกต่างหาก เก่งเอ้ย อยากให้บรรดาแฟน ๆ มาเห็นสภาพมึงตอนนี้จัง ใครจะพิศวาสมึงลงวะเนี่ย*

   -กูทำตัวไม่หล่อเพราะกูไม่อยากให้ใครมาสนว่ะ- ผมหัวเราะ

   ไอ้เม่นเดินกลับมานั่งที่ ผมแยกออกจากไอ้ตี๋ทันที

   -เข้าห้องน้ำเชี่ยไรนานนักวะ- ผมพูด

   ไอ้เม่นยกแก้วเหล้าขึ้นซดทีเดียวเกลี้ยง

   *เข้าแป็บเดียว ก็อดเห็นอะไรดีดี สิ พวกมึงสองตัวนี่นะ ......* มันลากเสียงยาวประชดประชัน

   ผมกับไอ้ตี๋มองหน้ากัน เขินนี่ครับ

   *กูขอเพลงกับแฟนกูไว้แล้ว รอฟัง ให้มึงทั้งสองตัวเลย*

   -ใครวะแฟนมึง-

   *ไอ้ทีไง* เจ้าของร้านนั่นล่ะ

   -ใหนบอกว่าเพื่อน-

   *เออ เป็นหมดทั้งเพื่อนทั้งเมีย*  เราสามคนหัวเราะชอบใจพร้อม ๆ กัน

   -ร้ายไม่เบาเลยนะ- ผมแซว

   ****** ขอเชิญคุณเก่ง  ขึ้นมาบนเวทีด้วยครับ ***** เสียงไอ้ทีพูดขึ้นในไมโครโฟน

   ผมงง ๆ ไอ้ตี๋กับไอ้เม่นรุนหลังผมขึ้นไป

   ***** ขอฟังเพลงจากคุณเก่งสักเพลงนะครับ มีคนยืนยันว่า คุณเก่งร้องเพลงเก่ง ไม่ต้องบอกชื่อเพลง แค่มีดนตรีมาก็ร้องได้ *****

   ผมนึกในใจ เฮ้ย ! จะมาไม้ใหนวะ ผมนั่งลงที่ม้านั่งกลางเวทีเล็ก ๆ สั่น ๆ แต่ไม่ถอย

   เสียงอินโทรลอยมา คงจะเปิดแบ็คกิ้งแทรคคาราโอเกะ ผมหลับตา ลำดับเรื่องราวในสมองว่ามันคือเพลงอะไร จนถึงจังหวะที่จะต้องร้อง ผมก็ยังนึกชื่อเพลงไม่ออก แต่ปากมันร้องออกไปโดยอัตโนมัติ

   ยังจำฉันได้หรือเปล่า
   ก่อนนั้นใครที่เคยเหมือนเป็นเงาของเธอ
   จะเนิ่นนานสักเพียงใด
   ก็รู้ว่าเธอ ไม่ลืมที่เคยรักกัน
   คิดถึงฉันบ้างหรือเปล่า
   ก่อนนั้นใครที่คอยคิดถึงเธอทุกวัน
   อย่าบอกเลยว่าเธอลืม ไม่คิดถึงกัน
   เมื่อในแววตา
   บอกมาว่าเธอไม่ลืม

   ยาวนานสักเท่าใด
   ความจริงในหัวใจ ฉันรู้ว่ามันไม่ลบเลือน
   ในจะย้ำเตือน ยังคงคิดถึงกันเสมอ
   ว่าเรายังรักกันอยู่เหมือนเก่า ...............

   ชีวิตผม ได้ผ่านมรสุมทั้งความรัก ทั้งมรสุมชีวิต การเดินทางครั้งเก่าสิ้นสุดลงไป การเดินทางครั้งใหม่ ก็กำลังจะเริ่มขึ้นอีกแล้ว เหมือนกับคำกล่าวที่ว่า Every exit is an entry somewhere. ทุก ๆ ทางออก จะเป็นทางเข้าของอีกที่หนึ่งเสมอ ผมหวังว่า ในทางเข้าทางใหม่ของผม จะเป็นเส้นทางสุดท้าย ที่ทำให้ผมมีความสุขมากที่สุด ผมจะไม่ย้อนไปหาเส้นทางเก่า ๆ ที่เคยผ่านมาด้วยความเจ็บช้ำใจ แต่เส้นทางใหม่สายนี้ ผมจะเดินก้าวไปอย่างทรนง เพราะผมมีประสบการณ์มาจากเรื่องเก่า ๆ เหล่านั้น ที่จะช่วยสอนให้ผมให้ล้มลงได้ยาก และถ้าผมล้มลง คนที่จะยื่นมือมาให้ผมจับเพื่อลุกขึ้น ก็อยู่ตรงหน้าผมแล้ว ผมจะไม่ยอมเสียไอ้ตี๋เล็กของผมไปอีก ผมสัญญา .........................

nartch

  • บุคคลทั่วไป
 :เตะ1:
" ผมไม่ชอบง้อใครด้วย เพราะผมถือว่าผมไม่ผิด จะผิดก็คงผิดนิดเดียวที่มีคนอื่น แต่ผมยังยืนยันว่าถึงผมมีใครอีกเป็นสิบ ผมก็รักไอ้ตี๋เท่าเดิม ไม่เพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่น้อยลง ... เท่านั้นมันก็น่าจะเพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ "

ไม่อยากจะซ้ำเติม แต่ขอ " ประณาม " รู้ว่าคิดแบบนี้ฉันคงไม่เสียเวลาตามให้กำลังใจมาถึงภาค 4....
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายเก่งจะเห็นแก่ตัวได้ขนาดนี้.....เสียใจมากมายที่มองนายผิดมาแต่ต้น.....  :m16:
สะใจดีแท้.....ชีวิตตั้งแต่เลิกกับตี๋เล็กมามีแต่แย่กับแย่....เวรกรรมสนองได้ทันใจดีจริง ๆ  .....

ตี๋เล็กเอ๊ยยย .... ช่างใจดีเหลือเกินนนน ให้โอกาสง่ายไปรึเปล่า....ถ้าต่อไปต้องเจ็บอีกก็คงไม่แปลก...
แต่เอาเถอะ...ยังคิดไม่ตก... ในเรื่องการให้อภัยสำหรับผู้สำนึกผิด.....ควรหรือไม่ควร ? ? ? :m28:
เห็นแก่ความสุขของตี๋เล็ก....ขออย่าให้ไอ้เก่งมันนอกใจตี๋เล็ก...หรือแม้แต่ทำให้ตี๋เล็กเสียใจอีกเลย... :amen:
 :bye2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-10-2007 01:48:24 โดย nartch »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






Solaris

  • บุคคลทั่วไป
ไม่ต้องอ่านภาค 4 แล้วครับ อิอิ จบแล้ว เดี๋ยวขึ้นภาค 5 เลย

ขอบคุณสำหรับการติดตามนะครับ อย่าเพิ่งหายไปใหน

เรื่องยังอีกยาววววววว

เก่ง

Solaris

  • บุคคลทั่วไป
จาก เก่ง ถึง ตี๋ ภาค 5
«ตอบ #381 เมื่อ28-10-2007 01:47:01 »

10.00น. ผมอยู่ในห้องรวบรวมอัฐิของบริษัทจัดการงานศพแห่งหนึ่งบนถนนลาเวนเดอร์ เพื่อรอรับอัฐิของคนที่ผมรักจากฌาปณสถานของรัฐบาล ซึ่งได้ทำการฌาปณกิจไปตั้งแต่เมื่อบ่ายวานนี้แล้ว เจ้าหน้าที่เชื้อสายอินเดียแต่งตัวเรียบร้อย เดินเข้ามากลุ่มของพวก ผมก่อนจะวางกล่องพลาสติกใบใหญ่ที่มีฝาปิดสนิทเรียบร้อยลงบนโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าพวกเรา

   เจ้าหน้าที่ปูผ้าดิบสีขาวลงบนโต๊ะ ก่อนจะเปิดกล่องพลาสติกใบใหญ่ออกมา มันมีก่องใบเล็กอยู่อีกหนึ่งชั้น  เขาเทเศษเถ้าที่เหลือจากการเผาศพลงกองบนผ้านั้น ผมชะเง้อมองดูทุกขั้นตอนด้วยความสนใจ เศษกระดูกป่นละเอียดถูกเทลงมาก่อนอย่างเบามือ และในกล่องใบเล็กนั้น มีเศษกระดูกชิ้นใหญ่ ๆ ประมาณ 2-3 นิ้ว บางและเนียน เหมือนถูกขัดจนสะอาด เจ้าหน้าที่บอกกับผมว่า ส่วนนี้เป็นส่วนของกะโหลกศรีษะและร่างกายท่อนบน ได้แยกไว้ให้พวกเราแล้ว ส่วนของร่างกายพวกนี้แข็งมาก เมื่อผ่านความร้อนสูงของเตาที่ 3000 องศาเซลเซียส จะยังไม่เผาใหม้หมด

   ผมน้ำตาไหลเมื่อเอามือเอื้อมอันสั่นเทาของผม ไปหยิบกระดูกชิ้นหนึ่งขึ้นมา ......

   *ตี๋เล็ก ไม่ต้องเจ็บอีกแล้วนะ กูจะพามึงกลับบ้าน*

                  ......................... มีต่อ .............................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-10-2007 13:36:55 โดย Solaris »

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
 :impress: :impress: :impress:

เรื่องนี้ผมอ่านแล้วน้ำตาไหลเลยครับ

เป็นกำลังใจให้ครับผม มาต่อนะครับ

เอาใจช่วย แต่ผมอ่าอ่านจบละครับ

ไม่รู้ว่ามีต่อหรือป่าว

 :impress: :impress: :impress:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
รักก็ต้องให้อภัยกันนะ
ถ้าเขาคิดจะกลับตัว

ป่านนี้คงสำนึกแล้วหล่ะมั้ง
 :เฮ้อ:

Solaris

  • บุคคลทั่วไป
ใช่ เดชิ คนเดิมเปล่า ? 5555 ยังกลับมาอ่านอีกเหรอฮะ

Solaris

  • บุคคลทั่วไป
จาก เก่ง ถึง ตี๋ ภาค 5 – ตอนที่ 2  /  ข่าวร้าย

   23.00น. ผมเลิกงานแล้วแวะกินข้าวกับเพื่อน ๆ ที่ทำงานเดียวกันที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำ สั่งบะหมี่น้ำแล้วนั่งกินของทอดชุดใหญ่รออาหาร เมื่อบะหมี่มาผมใช้ตะเกียบคีบเส้นเข้าปากทันที จะด้วยปริมาณเส้นที่มากไปหรืออย่างไรไม่ทราบได้ เส้นหมี่ติดคอผมอย่างแรง ผมเอามือกุมคอไว้ ตาเหลือก หายใจไม่ออก

   เพื่อน ๆ เอามือทุบที่หลังผมอย่างแรง ผมรู้ ณ วินาทีนั้นเลยว่าระหว่างความเป็นกับความตาย มันอยู่ไกล้กันแค่เอื้อม ในที่สุดเส้นหมี่ก็ลงผ่านคอไป ผมเงยหน้ามองทุกคน ทุกคนหัวเราะเยาะผมเหมือนผมเป็นตัวประหลาด แต่ผมไม่สนุกด้วยเพราะผมรู้สึกเหมือนผมตายไปแล้ว ผมขอตัวกลับทันที

   ผมขับรถมาตามทางด่วนเลียบชายหาด ระหว่างทางเห็นอุบัติเหตุรถชน มีตำรวจอยู่จำนวนหนึ่งเปิดไฟสีแดง อีก 10 นาทีผมเลี้ยวเข้าอพาร์ทเมนท์ของผม ผมจอดรถแล้วเดินไปที่ลิฟท์ วันนี้โชคไม่ดีเลย แทบตายแน่ะบะหมี่ติดคอ ไอ้ตี๋คงหัวเราะเยาะผมแน่ ๆ เลย ผมนึกในใจ อีกสักพักมันคงกลับแล้ว เห็นว่ามีเรือที่ต้องออกเช้าพรุ่งนี้ เย็นนี้ต้องทำงานให้เสร็จ

   ผมเปิดประตูห้องเข้าไป รู้สึกใจหายแวบนึงที่ไม่เห็นรองเท้าของมันวางที่ชั้นวางรองเท้าหน้าห้องเหมือนทุกวัน ผมอาบน้ำเสร็จ เปิดคอมพิวเตอร์ เงยหน้าดูนาฬิกา 24.00 แล้ว ทำไมไอ้ตี๋ยังไม่มาอีก  ผมเช็คเมล์สักพัก มีเสียงโทรศัพท์จากโทรศัพท์มือถือเข้ามาหาผม

   *คุณ ภพ . ใช่ใหมครับ* เสียงผู้ชายพูดปลายสายเป็นภาษาอังกฤษ

   -ใช่ครับ- ผมกรอกเสียงลงไปเป็นภาษาอังกฤษเช่นกัน

   *ผมโทรจาก Central Police (ตำรวจกลาง) คุณคือเพื่อนของคุณ ......... ใช่หรือเปล่าครับ* ผมตกใจเล็กน้อยว่าจะมีอะไรหรือเปล่า ความคิดแรกคือ ไอ้ตี๋จะโดนจับ

   -ใช่ครับ มีปัญหาอะไรเกี่ยวกับเขาหรือเปล่าครับ-

   *ทางตำรวจกำลังจะขึ้นไปที่ห้องของคุณภายใน 5 นาทีครับ ห้องของคุณอยู่ที่ ................... ใช่ใหมครับ*

   -โอเค-    ผมรับปากอย่างงง ๆ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูรอตำรวจ

   สักพักมีนายตำรวจ 2 นายเดินเข้ามา แสดงบัตรและขอผมดูว่า มีเอกสารของไอ้ตี๋อยู่ที่ใหนบ้าง ผมพาเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า มีพาสปอร์ตตัวจริงของมันอยู่

   -คุณเป็นอะไรกับ ........ครับ-

   *เพื่อนครับ เรามาจากเมืองไทยด้วยกัน มีปัญหาอะไรกับเขาครับ*

   -คุณจะสามารถติดต่อญาติคุณ .............. ได้ใหมครับ-

   *เขาไม่มีใครครับในสิงคโปร์มีผมคนเดียว* ผมร้อนใจ มีปัญหาอะไรทำไมตำรวจไม่พูด ผมคิดว่า ตำรวจคงกักตัวมันไว้

   *เพื่อนผมอยู่ที่ใหนครับ กรุณาบอกผมด้วย*

   -ตอนนี้ปลอดภัย อยู่กับตำรวจนะครับ- ผมนึกในใจว่ามันไม่ได้พกพาสปอร์ตไปหรือเปล่า แต่มันไม่ได้หนีเข้าเมืองนะ มันมีบัตรพลเมืองถาวรแล้ว (PR: Permanent residence)

   *ผมชื่อ ผู้กอง ............ ตอนนี้เพื่อนของคุณอยู่กับตำรวจ*

   *ผมอยากให้คุณไปพบเขาเดี๋ยวนี้ได้ใหมครับ* ผมตอบตกลงก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าเงิน และกุญแจบ้าน ผมใส่รองเท้าแตะเดินตามตำรวจไป ระหว่างลงลิฟต์ ตำรวจถามผมอีกหลาย ๆ อย่างเกี่ยวกับไอ้ตี๋เช่น เขามีความเครียดใหม มีปัญหาเรื่องเงินหรือไม่ กินเหล้าหรือเปล่า ผมตอบว่าไม่มี กินเหล้าอาจจะมีบ้างตามาประสาเพื่อนฝูง

   ตำรวจพาผมขับรถมายังเส้นทางถนนเลียบชายหาด ผู้กองท่านนั้นกล่าวขึ้นเบา ๆ

   *ทางเราพบ “ร่าง (Body)” ร่างหนึ่ง เราสงสัยว่าจะเป็นเพื่อนของคุณ คุณอย่าเพิ่งตกใจนะครับ เราแค่สงสัย อาจจะไม่ใช่ก็ได้ มีอุบัติเหตุรถชนคน เกิดเมื่อเวลาราว ๆ 23.30 น ครับ*

   ผมตกใจเป็นอย่างมาก ผมถามว่าร่าง หมายความว่าอะไร ตำรวจไม่ตอบ บอกให้ผมทำใจเย็น ๆ

   ผมเดินลงจากรถตำรวจไปช้า ๆ มีรถฉุกเฉิน (Paramedic) มารออยู่แล้ว เปิดไฟสีแดง ที่กลางถนนเลนที่ 4 มีพลาสติกสีขาวคลุมอะไรสักอย่างอยู่ ผมเดาว่าต้องเป็นร่างที่ว่าแน่ ๆ

   ผมภาวนาด้วยใจเต้นตึกตัก อย่าให้เป็นไอ้ตี๋เลย ตำรวจกันผมไว้ ก่อนจะถามผมว่า แน่ใจว่าจะดูใหม ผมพยักหน้า

   สิ่งที่โผล่พ้นพลาสติกสีขาวออกมาคือ ขาคน ............ ผมถลาเข้าไปทันที ไม่ต้องเปิดออกมา ผมก็จำได้ว่ามันคือขาของใคร

   *ไม่ ไม่จริง ไอ้ตี๋*** ผมร้องตะโกน จนสุดเสียง ตำรวจรีบวิ่งมาดึงผมออกไม่ให้ผมเข้าไปจับตัวมัน ผมตะโกนเป็นภาษาอังกฤษว่า เปิดออกเดี๋ยวนี้ !!!  มีตำรวจสองนายล็อกแขนผมไว้ ผมยืนไม่อยู่แล้ว เข่าอ่อนทรุดลงไปกับพื้นถนน

   ตำรวจเปิดพลาสติกที่คลุมออกช้า ๆ ผมเห็นหน้าไอ้ตี๋มีเลือดออกเต็มไปหมด ตำรวจเปิดมาถึงแค่อก ผมร้องออกมาดัง ๆ

   *ไอ้ตี๋เล็ก!!!!!!* ผมทรุดนั่งลงไปกับพื้นอีกครั้งทั้ง ๆ ที่พยายามจะลุกขึ้น ตาค้าง หายใจไม่ออก ตำรวจรีบเอาผมมานั่ง ก่อนจะคลุมร่างไว้เหมือนเดิม

   -คุณยืนยันได้ใหมครับว่าเขาคือเพื่อนของคุณ-

   ผมพยักหน้ารับช้า ๆ

   *ผมขอให้คุณกลับบ้าน จะมีตำรวจสองนายไปอยู่เป็นเพื่อนคุณจนกว่าคุณจะพอใจ ทางนี้เราต้องเอาร่างเพื่อนคุณไปที่โรงพยาบาล .......... ผมต้องการพบคุณพรุ่งนี้เช้า 08.00น ครับที่นั่น*

   ผมตาค้าง ร่างกายหมดเรี่ยวแรง ไม่มีแรงจะพูดอะไรสักคำ ตำรวจพาผมไปขึ้นรถ ขับกลับมาที่อพาร์ทเมนท์ผมอย่างรวดเร็ว

   ผมเดินเข้าไปร้องให้อยู่ที่โซฟา ตำรวจนั่งอยู่เป็นเพื่อน นานสองนาน ผมตั้งสติได้รีบโทรศัพท์หาเพื่อนทันที เพื่อนที่ทำงานไอ้ตี๋ที่ผมรู้จักสองสามคน และเพื่อนผมอีกสองสามคน

   เพื่อนผมมาถึงในทันทีที่ทราบข่าว เราส่งตำรวจกลับบ้าน ผมนั่งร้องให้ใจสั่น ทำอะไรไม่ถูก ณ วินาทีนั้น ผมไม่รู้จะทำอะไรดี

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
 :serius2: :serius2: :serius2:
ตรูไม่น่าเข้ามาเลย กำลังจะนอนแล้วเชียว

 :o12: :o12: :o12: :o12:

Solaris

  • บุคคลทั่วไป
จาก เก่ง ถึง ตี๋ ภาค 5 – ตอนที่ 3  /  ตั้งสติ

   เมลิซ่า เพื่อนของผมกอดผมไว้เนิ่นนาน เราสองคนพึ่งไปงานวันเกิดของลูกชายเขาเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานี่เอง  ไอ้ตี๋กลับบ้านยังมาถามผมอยู่เลยว่า ผมอยากมีลูกใหม ผมบอก ถ้ามึงคลอดลูกออกมาทางTo-dได้ กูก็อยากมีนะ มันไล่เตะผมใหญ่

   เจสัน สามีของเมลิซ่า เตือนให้ผมแจ้งทางบ้านของไอ้ตี๋ ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมา ผมจะพูดยังไงกับทางบ้านมัน ว่าลูกของเขาตายแล้ว ผมตัดสินใจรีบโทรเพราะว่าจะได้ไม่เสียเวลามาก พ่อกับแม่ไอ้ตี๋ร้องให้มาในโทรศัพท์ แล้วบอกว่าจะพยายามมาให้ได้ในวันพรุ่งนี้ ผมบอกว่า ผมจะเป็นธุระซื้อตั๋วเครื่องบินให้ทุกคนตอนเช้าพรุ่งนี้ ผมให้มานิตย์ช่วยจดรายละเอียดของที่บ้านไอ้ตี๋มาทั้งชื่อ และหมายเลขพาสปอร์ต วันเกิด มานิตย์ทำงานอยู่กับไอ้ตี๋ที่เดียวกัน พึ่งแยกจากกันก่อนเกิดเหตุเพียง 45 นาทีเท่านั้น

   *พี่ตี๋แกเหนื่อย ๆ ครับ ผมบอกให้ไปพักที่ห้องก่อน เขาบอกว่าพี่เก่งรอเขาอยู่*

   ผมยิ่งร้องให้หนักเข้าไปอีก สักพักพี่เต้ยโทรมา บอกว่าน้องเตยโทรหา พี่เต้ยบอกว่าพี่เต้ยจะมาด้วย ผมวานพี่เต้ยโทรหาพวกไอ้เม่น พี่เต้ยบอกว่า มีอีอุ๋ยกับไอ้เม่นจะมาได้  ส่วนอีกสองคน ไม่มีพาสปอร์ต ผมบอกไม่เป็นไร ให้เมล์รายละเอียดให้ผมเลย

   -เก่ง แกต้องทำใจดีดีนะ ตอนนี้ไม่มีใครเลยที่จะดูแลเรื่องนี้ต่อ พวกพี่หรือพ่อกับแม่ไอ้ตี๋ก็ไม่รู้เรื่องเลย ต่างบ้านต่างเมืองด้วย มีแกคนเดียวที่ติดต่อเป็นธุระได้นะเก่งนะ-

   ผมขอบคุณเมลิซ่ากับเจสันก่อนที่ทั้งสองจะกลับบ้าน และสัญญาว่าจะอยู่กับผม ในวันพรุ่งนี้  ส่วนมานิตย์ขออยู่เป็นเพื่อนผม ผมถามว่าไม่กลัวเหรอ มานิตย์อึ้งไปพักใหญ่ ก่อนจะตอบออกมา

   *พี่เก่งรู้ใหม ผมรักพี่ตี๋มากเลยนะเหมือนพี่แท้ ๆ ของผม นอกจากเขาจะสอนงาน ช่วยผมทุกอย่างแล้ว พี่ตี๋เขายังดีกับผมมากเลยนะ เมื่อเดือนที่แล้วเขาโกหกพี่เก่งว่าส่งเงินกลับบ้านน่ะ เขาให้ผมยืม 3000 เหรียญ ที่บ้านผมกำลังมีปัญหา เขาบอกว่า พี่เก่งรู้พี่เก่งต้องว่าแน่ ๆ*

   -พี่ก็อยากปลุกมันมาด่าเหมือนกันตอนนี้- ผมนอนอยู่ที่โซฟา น้ำตาไหลไม่หยุดจนกระทั่งเผลอหลับไป

   ผมตื่นขึ้นมา 06.00น. หยิบเอาเสื้อผ้าของไอ้ตี๋ มีเสื้อ กางเกง รองเท้าหนัง เข็มขัด และแว่นตาสำรองของมันไปด้วย ผมเลือกเอากางเกงในสีขาวไป 1 ตัว ใส่ในถุง

   เรารีบไปที่โรงพยาบาล ............. เพื่อไปที่สถานที่เก็บศพ (Mortuary) ผมเจอกับผู้กองคนเมื่อคืน เขาเดินมาซักถามอะไรผมสักพัก ผมก็นำเอกสารไปยื่นที่เคาท์เตอร์ มีคนมามากมาย ณ ที่แห่งนี้เพื่อมารับศพของคนที่รัก แต่ละคนอยู่ในอาการเศร้าเสียใจ ผมเจอเจสันกับเมลิซ่า ทั้งสองปลอบใจผม

   ผมให้เจสันช่วยซื้อตั๋วเครื่องบินผ่านอินเตอร์เน็ท โดยใช้เครดิตการ์ดของผม โชคดีที่มีไฟลท์เย็น ทุกคนน่าจะมาถึงที่นี่ราว ๆก่อน 20.30 น.

   เมลิซ่าถามผมว่าจะจัดการศพอย่างไร ผมบอกว่า ถ้าเอากลับไทย จะต้องเสียค่าใช้จ่ายไม่น้อยกว่า 350,000 บาท ดังนั้นผมจะทำศพที่นี่ เธอแนะนำว่า น่าจะใช้ผู้ชำนาญการ จากนั้นเธอก็โทรเรียกบริษัทนั้นทันที

   เจ้าหน้าที่บริษัทมาถึงอย่างรวดเร็ว เขาประสานงานกับตำรวจและทางโรงพยาบาลเป็นอย่างดี อีก 30 นาที ผมกับมานิตย์ไปต่อคิวที่ห้องดูศพ เมื่อผมเดินเข้าไป พบว่าห้องเป็นกระจกกั้นไว้ ข้างในมีเตียงอยู่ 1 เตียงติดกับกระจก เรายืนอยู่กับผู้กอง ด้านในมีคนสวมผ้าปิดปาก ให้สัญญานคนหามเปลออกมากด้านข้าง วางลงบนเตียง

   ผมเห็นแล้วหน้าไอ้ตี๋ ..... มันไม่ได้มีแผลอะไรมาก มีรอยเย็บที่ศรีษะและที่ปากดูเจ่อ ๆ ผู้กองบอกว่าสภาพศพดีมาก แค่คอหักกับแขนหัก ขาหักเท่านั้น  ผู้กองบอกให้ผมยืนยันกับเจ้าหน้าที่ด้านในว่าเป็นคนของเราจริงโดยการยกมือ OK จากนั้นเขาก็ยกเปลลับหายไปยังฝั่งตรงข้าม

   ผมน้ำตาไหลออกมากอดเพื่อนทั้งสามไว้ ยืนแทบไม่อยู่ ผมสงสารมันมากที่ต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้ ทำไมไม่เป็นผมแทนนะ ถ้าหมี่ติดคอผมแล้วผมตาย .... คงไม่ใช่ไอ้ตี๋ที่ตายแน่ ๆ

   ผู้กองเข้ามาบอกผมว่า ถ้าไม่ต้องผ่าพิสูจน์  (Autopsy) สามารถรับศพไปได้เลยก่อนเที่ยง สักพัก เจ้าหน้าที่นิติเวชศาสตร์  เรียกชื่อผมไปรับมรณบัตรของสิงคโปร์  ผมอ่านดูคร่าว ๆ สาเหตุการตายคือ บาดเจ็บหลายแห่ง (Multiple injuries)

   ผมนั่งเหม่อลอยรอกรรมวิธีอื่น ๆ ต่อ ในขณะที่เพื่อน ๆ กลับไปหมดแล้ว ผมออกมานั่งสูบบุหรี่ที่บันไดทางขึ้น ทราบว่าตอนนี้ทางโรงพยาบาลจะอาบน้ำทำความสะอาดศพ แต่งแผล ก่อนเที่ยงแค่ 10 นาที ผมถูกเรียกไปที่ช่องโหลดศพ มันเหมือนช่องโหลดของในโรงงาน รถตู้บริษัทรับศพมาเรียงรายกันอยู่ด้านหน้า

   เจ้าหน้าที่เรียกผมไปในห้องเล็ก ๆ มีศพไอ้ตี๋ห่อพลาสติกอยู่ด้านหน้าผม เหลือแต่หน้าที่พอมองเห็นกับมือ เจ้าหน้าที่ยกถุงใบหนึ่งให้ผมดู บอกว่าเป็นเสื้อผ้าเปื้อนเลือด จะเอาใหม ผมส่ายหน้าบอกว่าไม่เอา เพราะในถุงมีเลือดอยู่ครึ่งถุง ส่วนอีกถุงเป็นถุงใส่นาฬิกาแทคฮอยเออร์ลายก้างปลา ที่ซื้อมาเมื่อปีใหม่นี่เอง

   เจ้าหน้าที่ของบริษัททำศพ เอาผ้าขาวดิบใหญ่มาปู ก่อนจะยกร่างไอ้ตี๋ลงไปนอนทับ ห่อด้วยผ้า แล้วมัดอีกชั้น จากนั้นก็ยกมันไปที่รถตู้ ก่อนจะล็อกด้วยเข็มขัดรัด ที่หน้ารถมีแพรสีแดงลงอักขระจีน เขาจับมาขึงโยงระหว่ากระจกหน้ารถทั้งสองอัน ก่อนรถจะเคลื่อนออกไป ผมเอาถุงเสื้อผ้าที่จะเปลี่ยนให้มันให้กับเจ้าหน้าที่ เพราะตอนนี้มันคงไม่ได้ใส่อะไรอยู่ เจ้าหน้าที่แจ้งให้ผมตามไปที่บริษัท ผมพยักหน้า ผมไปถูกเพราะผ่านประจำเวลาไปทำงาน

   ผมขับรถไปช้า ๆ ตามหลังรถที่มีร่างไอ้ตี๋อยู่ข้างใน น้ำตาผมทำไมมันไม่แห้งเหืดไปสักทีนะ เมื่อผมจอดรถ มีเจ้าหน้าที่ท่านนึงดูมีอาวุโสล้ว ผมเรียกแกว่า Uncle มาต้อนรับผม บอกว่าให้รถคันนั้นไปด้านใน ส่วนผมต้องไปกับเขาที่ออฟฟิศ

   สถานที่ที่ผมไปนั้นเป็นบริษัทรับทำศพ ที่สิงคโปร์เวลามีคนตาย ถ้าไม่ตั้งศพใต้ถุนอพาร์ทเมนท์ ก็จะไปจ้างที่แบบนี้ คล้าย ๆ ศาลาบ้านเรา แต่ผมว่าเหมือนโรงแรม เพราะเขาให้ผมเลือกห้อง ผมเลือกห้องที่ชื่อว่า Ruby อยู่ชั้นสาม ราคาคืนละ 1000 เหรียญ เป็นเวลา 2 คืน ทางบริษัทแจ้งผมว่าจะทำใบจองขอเผาที่สุสาน ให้ผมเลือกเวลาและสถานที่ที่จะเผา ผมเลือกที่ ................ และผมตัดสินใจว่าตั้งศพเพียงสองคืน เพราะค่าใช้จ่ายสูง แล้วจองคิวเผาที่ Hall หมายเลข 4 เวลา 11.45น. ของวันถัดไป  การจองนี้สำคัญ เพราะว่า มีคิวรอเผาอยู่ ต้องให้ทันเวลา ราคาทั้งหมด 5850 เหรียญ เขาขอมัดจำด้วยบัตรเครดิต 20% ส่วนที่เหลือ ให้นำมาชำระวันรับอัฐิ เป็นเงินสดหรือเช็ค

   ผมถูกพาไปเลือกโลงศพ ส่วนร่างไอ้ตี๋ตอนนี้กำลังนำไปฉีดยากันเน่า ตกแต่ง ใส่เสื้อผ้า ผมเลือกเอาโลงที่ดีที่สุดสำหรับมัน โลงแบบไทยสี่เหลี่ยมไม่มี ต้องเอาโลงแบบฝรั่ง ลายไม้มะฮ้อกกานีสวยมาก ราคากว่า 1000 เหรียญ ผมเลือกดูให้แน่ใจว่ามันจะนอนสบายที่สุด ไม่อึดอัด เพราะมันตัวใหญ่ ...

   ผมไปดูห้องที่จองไว้ มีแอร์ ตู้เย็น เครื่องเสียง น้ำหวาน ของกินขบเคี้ยว ผมถูกแจ้งว่า สามารถกลับมาดูไอ้ตี๋ได้เวลา 6 โมงเย็น ผมจึงรีบกลับไปเอารูปไอ้ตี๋ไปขยายที่ร้าน ก่อนจะสั่งดอกไม้ที่ร้านประจำที่พวกเราชอบซื้อ ผมสั่งดอกไม้หน้ารูป 1 ชุด ดอกไม้ลอยพร้อมฐาน 1 เมตร 2 ข้าง และดอกไม้ตระกร้าใหญ่ ... ลิลลี่สีขาวที่ผมกับมันชอบมากที่สุดไว้วางบนโลง   ป้าเจ้าของร้านรับเงินจากผม 300 เหรียญก่อนจะเอาซองมาใส่เงินคืนให้ผม 50 เหรียญ เป็นค่าช่วยเหลืองานศพ ผมยกมือไหว้ขอบคุณทันที

   ผมกลับไปแพ็คของที่ห้องซึ่งเป็นของไอ้ตี๋ ผมเก็บไปก็ร้องให้ไป เพราะกลิ่นของมันยังติดตามเสื้อผ้าที่มันใส่อยู่ตลอดเวลา ผมเปิดดูไดอารี่ของมัน พลิกดูแล้ว .... ไม่มีวันใหน ที่มันไม่เขียนถึงผมเลย

   ผมเอาเสื้อผ้ามันใส่มาในถุง ขนมปังปิ๊บที่มันซื้อไว้เมื่อวานยังไม่ได้กินด้วย หนังสือของมันทั้งหมดเอามาที่บริษัทจัดงาน

   ผมยืนอยู่หน้าประตูห้อง รอคนมาเปิดประตู ชั้นนี่มี 3 ห้อง ทุกห้องมีงานศพหมดเลยทุกห้อง ตึกนี้มี 5 ชั้นครับ ผมมองเข้าไปในห้อง มีโลงตั้งอยู่ด้านหน้า  ผมสงสารมันเหลือเกินที่ต้องมาอยู่คนเดียว ตายทั้งทีมาตายไกลบ้าน ...  ที่หน้าห้องมีป้ายประดับด้วยดอกไม้ บอกว่า เป็นงานของคุณ ............... ออกจากที่นี่วันที่ .................... เวลา ..................... เพื่อฌาปณกิจที่ .......................

   ประตูเปิดออกผมวิ่งเข้าไปทันที ฝาโลงปิดไว้ แต่ผมไม่ได้สั่งให้ตอกตะปู ผมเลื่อนฝาออกเบา ๆ ไอ้ตี๋มันแค่นอนหลับเอง เขาหวีผม ทาแป้งให้มันอย่างเป็นธรรมชาติ ผมลูบหัวมันเบา ๆ  เอามือจับตามหน้า ตามแขน ตัวมันแข็งทื่อและเย็นเฉียบ ผมร้องให้อยู่พักใหญ่ นึกขึ้นได้ว่ามันคงไม่อยากให้ใครมาเห็นมันในสภาพนี้ ผมปิดฝาโลงลง

   ผมก็สลดใจไม่แพ้กันเมื่อต้องนั่งอยู่ในห้องใหญ่ ๆ นี้คนเดียว ผมเอาซีดีเพลงที่มันชอบ “รักแท้ในคืนหลอกลวง” มาเปิด ก่อนจะจัดของพวกเสื้อผ้าของมัน กระเป๋ามัน เอามาวางไว้ที่โต๊ะหน้าโลง

   พวกพี่เต้ยมาถึงแอร์พอร์ทเวลา 18.30น. เขาเรียกรถแท็กซี่แบบรถตู้มาส่ง วินาทีแรกที่แม่กับพ่อไอ้ตี๋เดินเข้ามา แม่มันเป็นลมล้มพับเมื่อเห็นโลงตั้งอยู่ พ่อมันรีบจับไปพยาบาลยกใหญ่  คนที่มามี พี่เต้ย ไอ้เตย พ่อกับแม่ไอ้ตี๋ อีอุ๋ย และไอ้เม่น ผมโผเข้ากอดทุกคน ร้องให้เสียงดังระงมไปหมดทั่วห้อง

   ผมบอกทุกคนว่าจะเปิดโลงให้ดู ทุกคนดูไปก็ร้องให้ แต่ละคนก็จับตามตัวของไอ้ตี๋  แม่มันถึงกับกอดลงไปที่อกมันเลยทีเดียว

   เวลา 19.30 น แขกทยอยมาที่งาน เป็นคนไทยคนงานที่ทำงานเป็นลูกน้องของไอ้ตี๋เยอะมาก และเพื่อน ๆ ของผมก็มากันครบ ส่วนพระสวดไม่มีเพราะไอ้ตี๋เป็นคริสเตียน พวกเราทยอยไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านผม ก่อนจะกลับมานอนเฝ้าที่นั่นกันทั้งคืน ผมซื้อข้าวให้ทุกคนกิน ทั้ง ๆ ที่ผมก็ไม่กิน พ่อกับแม่ไอ้ตี๋อาการหนักหน่อย ซึมไม่พูดอะไรนอกจากจ้องดูรูปอย่างเดียว

   พวกเราตื่นกันแต่เช้า มีลุงแก่ ๆ มาทำความสะอาด เขาทำหน้างง ๆ บอกว่า ไม่เคยเห็นใครนอนเฝ้าศพ ผมอธิบายเป็นภาษาจีนว่า เป็นคนไทย ผมเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้วพร้อมจะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้กับงาน  ผมบอกพ่อกับแม่ไอ้ตี๋ถึงความจำเป็นว่าเราต้องจัดงานที่นี่ และผมจะต้องไปสถานทูตไทยเพื่อขอใบมรณบัตร เสร็จแล้วผมก็พาไอ้เม่นกะอีอุ๋ยไปเลือกซื้อของใหม่ ๆ รอเอาไปบริจาคให้มัน ตามความเชื่อคนไทย เช่น เสื้อผ้า ชุดจาน – ชาม รองเท้า

   งานในคืนวันสุดท้ายมีคนมาเยอะกว่าเดิมอีก ผมกับอีอุ๋ย, ไอ้เม่นทำของชำร่วยสำหรับการเผาพรุ่งนี้ป็นเทียนหอม ติดป้ายว่า “รักและอาลัย” คืนนั้นเรานอนที่นั่นอีกเหมือนเดิม

   เช้าแล้ว ... ผมไม่อยากให้มาถึงเลย เวลา 09.00น. อาจารย์ที่โบสถ์ที่ผมกับไอ้ตี๋ไปประจำ มาสวดทำพิธีให้ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะยกโลงลงไป เขาขอให้คนที่ผู้ตายรักมากที่สุดไปกับเขาด้วย ส่วนที่เหลือลงไปรอด้านล่าง ผมเดินไปตามโลงศพ ก่อนเข้าไปในลิฟท์ ลงมาด้านล่าง ระหว่างที่เดินมา ผมคุยกัยไอ้ตี๋ตลอดเวลาว่า ไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวสบายแล้ว มีคนมาเยอะยะเลย ผมพูดแบบไม่มีสติหลงเหลืออยู่เลย

   โลงไอ้ตี๋ถูกยกขึ้นรถส่งศพ (Hearse) ซึ่งเป็นรถกระจก มีดอกไม้เต็มอยู่ด้านใน จากนั้นทุกคนถูกเรียกมาต่อแถว เอามือแตะที่รถที่เคลื่อนตัวช้า ไปสู่ถนนใหญ่ เป็นธรรมเนียมจีนที่เป็นการส่งผู้ตายครั้งสุดท้าย ...  คนที่เหลือจะไปกับรถบัสที่ทางบริษัทจัดมา ตอนนี้เหลือคนประมาณ 30 คนที่จะไปเผา ผมขึ้นนั่งที่หน้ารถคันที่มีโลง คู่กับคนขับ คนขับเปิดเสียงสวดนมัสการจากซีดีในรถ เขาทราบว่าเราเป็นคิสเตียนตอนที่เราลงทะเบียน ผมหลับตาอธิษฐาน ... ฝากคนที่ผมรักไปอยู่กับท่านด้วย

   ระหว่างทางสุสานประมาณเกือบ 20 กม ผมหันไปดูโลงไอ้ตี๋ตลอดเวลา ปากก็บอกว่า อย่ากลัวนะ เดี๋ยวสบายแล้ว ตอนนี้ถึงตรงใหนแล้ว เราเคยมากัน จำได้ใหม ผมพูดไปจนสุดทาง

   เมื่อเรามาถึง Hall 4 เจ้าหน้าที่ยกโลงไปตั้งที่เวทีด้านล่าง  ด้านบนจะมีที่นั่งเยอะ ๆ ราวๆ 200 ที่นั่ง เหมือนกับที่แสดงคอนเสิร์ท  อาจารย์สั่งให้เปิดโลงเพื่อไว้อาลัยครั้งสุดท้าย ผมเอาดอกไม้ทั้งหมดใส่ไปในโลงด้วย ส่วนตะกร้าดอกไม้เอาวางไว้ที่ฝาโลงเหมือนเดิม ก่อนจะจับมือมันอีกครั้ง ผมก้มลงจูบที่หน้าผากของมันเบา ๆ  แม่ไอ้ตี๋ยืนร้องให้อยู่ไกล ๆ ธรรมเนียมไทยห้ามน้ำตาแม่หยดใส่ศพ ลูกจะมีห่วง..

   และแล้วก็ถึงเวลาปิดฝาโลง ... ผมมองภาพนั้นอย่างเนิ่นนาน เพราะผมรู้ดีว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะเห็นไอ้ตี๋เล็กของผมอีก ... ฝาโลงถูกปิด ม่านด้านหลังเปิดออก ก่อนที่สายพานจะเคลื่อนศพเข้าไปด้านใน เจ้าหน้าที่บอกให้ทุกคนขึ้นไปที่ช่องสังเกตุการณ์ด้านบน ผมอุ้มเอารูปหน้าศพของมันเดินนำทุกคนขึ้นไป มันเป็นห้องกระจกอยู่ชั้นสอง ทุกอย่างดูไฮเทคมาก ๆ กระจกบานใหญ่กั้นเราระหว่างชั้นบนกับชั้นล่างที่มีสายพานทอดยาวเข้าไป เราได้ยินเสียงหวอดัง 1 ครั้ง ก่อนที่สายพานจะเคลื่อนเอาโลงมาตั้งอยู่ที่พื้นที่โล่งชั้นล่าง เราชะโงกหน้าผ่านกระจกไปดู ทุกคนร้องให้กันระงมเมื่อม่านด้านหลังเปิดออก มีหุ่นยนต์ 1 ตัวเดินออกมาช้า ๆ กดปุ่มที่สายพาน

   สายพานเคลื่อนเข้าไปหลังม่านอย่างช้า ๆ ก่อนโลงจะหยุดนิ่ง แล้วม่านนั้นก็เคลื่อนตัวลงมาปิดอย่างช้า ๆ เหมือนกับจะบอกว่า ละครฉากนี้ รูดม่านจบลงแล้ว .......... ผมบอกตี๋เล็ก ๆ เบา ๆ ในใจว่า

   ***** นี่คือสิ่งสุดท้ายที่กูทำให้มึงได้ คืองานศพของมึง กูขอโทษถ้ามันอาจจะไม่ดีพอ แต่กูพยายามอย่างดีที่สุดแล้ว ... หลับให้สบายตี๋เล็ก รอกูด้วยนะ อย่าขี้แย.... เก่งรักตี๋เล็กมากนะรู้ใหม ... ลาก่อนที่รัก *****

   
จาก เก่ง ถึง ตี๋ ภาค 5 – ตอนที่ 4 /  สิ่งที่เหลืออยู่

   ผมหยิบชิ้นกระดูกบาง ๆ ของชิ้นส่วนของศรีษะขึ้นมา ก่อนจะวางลงไปที่เดิม .... โธ่เอ๋ย ... ชีวิตก็แค่นี้ .. ต้องมาถึงจุดจุดนี้ทุกคน ไม่ว่าใครหรือใคร ... จะช้าจะเร็วแค่นั้นเอง

   ผม แม่และพ่อไอ้ตี๋ ใช้พลั่วเล็ก ๆ ตักส่วนที่เป็นผงละเอียดใส่ในผ้าขาว และส่วนที่เป็นชิ้นใหญ่ใส่ในโกศ (Urn)  หินอ่อนสีขาว ใช้สำลีกรุด้านบนสุด ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะนำป้ายเล็ก ๆ มาติดไว้ บอกว่านี่คือส่วนที่เหลือจากการเผา (Cremated remains) ของนาย ............. เก็บวันที่ ............. เชื้อชาติ ................. สัญชาติ ................. หมายเลขพาสปอร์ต ..........................

   ผมอุ้มห่อผ้า ส่วนพ่อไอ้ตี๋ถือเอาโกศ ทุกคนร้องให้เงียบ ๆ ผมขอตัวไปชำระเงินอีก 80% ที่เหลือในออฟฟิศ ให้ทุกคนรอด้านนอก

   *เก่ง พ่อไปด้วย จะทำยังไงล่ะ เงินทองไม่ได้เตรียมมาเลย*

   -พ่อไม่ต้องห่วงนะครับ เก่งจัดการให้ทุกอย่าง เงินแค่นี้เอง ไม่ต้องกังวลนะครับ-

   ผมเข้าไปชำระเงินในส่วนที่เหลือด้วยเช็ค ผมเซ็นเช็คในสมุดอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ทางบริษัทจะออกใบเสร็จรับเงินให้ และทางบริษัทจะส่งใบกำกับภาษีฉบับสมบูรณ์ไปให้ตามที่อยู่ที่ผมให้ไว้ ผมพาทุกคนเดินออกมาจากที่นั่นด้วยจิตใจหดหู่ มันไม่ใช่สถานที่ที่เราอยากมาเลย ... ขออย่าให้ได้มาอีกเลยนะ ไม่ว่าด้วยกรณีใด ๆ  ผมนึกในใจ

   ผมขับรถตู้ที่เช่ามาวันละ 40 เหรียญพาทุกคนไปยังที่หมายคือ Changi jetty เป็นท่าเรือแห่งหนึ่งอยู่ในหมู่บ้านชางงี ผมพาทุกคนนั่งรอเรือที่จะพาเราข้ามฝั่งไปยังเกาะ Puala Ubin เพื่อนำกระดูกไอ้ตี๋ส่วนที่เป็นผงไปลอยอังคาร ถ้าน้ำทะเลทุกที่ในโลกมันไปถึงกันหมด ไอ้ตี๋มันก็ต้องได้กลับบ้าน ... ที่เมืองไทย

   ราคาเรือข้ามฝั่งคนละ 2 เหรียญ เรานั่งเรือไปประมาณ 5 นาที ถึงตรงกลางน้ำ ผมเอาน้ำหอมซมบ้าเนเชอรัลที่มันชอบฉีดบนเศษกระดูก จากนั้นผม แม่และพ่อไอ้ตี๋ ช่วยกันจับผ้าขาว โปรยเศษอัฐิไปในน้ำ น้องเตยโยนพวงมาลัยดอกมะลิที่ซื้อมาจากย่านคนไทยลงไป

   *ไปดีนะลูก กลับบ้านเรานะ*

   -ไม่ต้องเป็นห่วงพ่อกับแม่-

   *พี่ตี๋ไปสบายแล้วนะ หนูดูแลพ่อกับแม่ได้*

   -ตี๋ไปดีนะเพื่อน-

   *สบายแล้วนะเพื่อน*

   -ไปสบายนะตี๋เล็ก-

   ***** ถ้ามึงต้องไปใหนก็ไปนะ อย่าห่วงกู ... แต่ถ้าวันใหนมึงอยากมาหากู ให้มึงรีบมา ..... กูจะคอยเจอกับมึงเสมอ ***** ผมน้ำตาไหล แต่ยิ้มออกมาได้บ้างแล้ว

   ผมพาทุกคนขึ้นไปให้กราบพระที่วัดไทยบนเกาะ เกาะนี้เป็นเกาะดิบ ๆ ยังไม่มีการก่อสร้างอะไร พระที่นี่ต้องใช้เครื่องปั่นไฟ สัญญานโทรศัพท์มือถือก็เป็นของเครือข่ายประเทศมาเลเซีย

   ผมนั่งรอทุกคนด้านนอกเพราะผมไม่ไหว้พระ สักพักหนึ่งผมเห็นหมูป่าตัวเล็ก ๆ 1 ตัววิ่งออกมากินข้าวที่มีคนวางไว้ จาก 1 เป็น 2 เป็น 3 เรื่อย ๆ จนครบ 7 ตัว แล้วตัวใหญ่หนักราว ๆ 200 กก ออกมาอีก 1 ตัว อาจจะเป็นแม่มันหรือเปล่าผมไม่แน่ใจออกมา ผมรับวิ่งไปในโบสถ์ บอกกับหลวงพ่อ หลวงพ่อหัวเราะบอกว่า อย่าตกใจ เขามาของเขาประจำแบบนั้นอยู่แล้ว ที่นี่ไม่ค่อยมีคนมาหรอก นาน ๆ ที จะมาหนึ่งครั้ง

   จากนั้นก็เย็นพอดี ผมพาทุกคนมากินข้าวซึ่งมีอาหารทะเลราคาถูกมาก ๆ ที่ท่าเรือก่อนจะนั่งเรือข้ามฟากกลับ ทุกคนกินข้าวได้มากขึ้นเพราะเริ่มทำใจเข้าที่เข้าทางได้ดีแล้ว ตกลงว่าทุกคนจะอยู่ที่นี่ต่ออีก 2 วันก่อนจะกลับ ไอ้เม่นจะอยู่กับผมอีก จนครบวีซ่า 14 วัน เพราะตอนนี้มันยังไม่ได้ทำงานและสอบเสร็จแล้ว ผมตกลงทันที เพราะว่าผมไม่แน่ใจว่าผมจะอยู่ได้ยังไงคนเดียวตอนที่ไม่มีใคร ตลอดเวลาลางานของผมอีก 4 วัน

   ผมส่งทุกคนขึ้นเครื่องกลับไปในอีก 2 วันถัดมา พ่อกับแม่ไอ้ตี๋กอดผมเนิ่นนานที่สนามบิน ผมบอกน้องเตยดูแลพ่อกับแม่ให้ดี พ่อบอกว่า ตอนนี้เขาเสียลูกชายไปหนึ่งคน แต่เขายังเหลือลูกชายอีกคน คือผมนั่นเอง

   4 วันที่เหลือผมพาไอ้เม่นออกดูตามที่นั่นที่นี่บ้าง ผมเข้าใจว่ามันต้องการให้ผมลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นซะ ผมขอแบ่งอัฐิจากพ่อกับแม่ไอ้ตี๋มาเล็กน้อย เก็บไว้ที่ห้องของผม ผมไม่ยอมย้ายออกไปใหน แม้ว่าจะมีคนบอกว่า จิตใจจะได้ดีขึ้น เพราะที่ห้องนี้ ... มันมีความรักของผมทั้งสองคน .. มองไปทางใหนก็เห็นตัวมันตลอดเวลา จะให้ผมทิ้งมันไปที่ใหนอีก มันก็ต้องอยู่คนเดียวสิถ้าอย่างนั้น เหงาแย่เลย

   ผมส่งไอ้เม่นกลับพร้อมสัญญาว่าจะคุยกันเรื่อย ๆ ทางอินเตอร์เน็ท ผมกอดมันไว้เนิ่นนาน เพื่อนกัน ก็ยังเป็นเพื่อนไปตลอด แม้จะตายจากกันไป ความเป็นเพื่อนก็ไม่ได้ตายจากไปใหนเลย .......

   จากนั้นผมขับรถไปที่โบสถ์ที่ผมกับไอ้ตี๋มาทุกวันอาทิตย์ เพื่อทำหน้าที่ใหม่ของผม นั่นคืออาจารย์อาสาสมัครสอนวิชาวิทยาศาสตร์ ให้กับนักศึกษา กศน แบบชั้นเรียนทางไกลในต่างประเทศ ค่าจ้างครั้งละ 30 บาทในวันอาทิตย์ ผมบริจาคเพื่อใช้ในกิจการของโบสถ์

   ชั้นเรียนเลิกเวลา 16.00 น. ผมแวะซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อเลือกซื้ออาหารและของใช้บางส่วน จากนั้นผมขับรถกลับบ้านบนถนนเลียบชายหาด เมื่อไกล้ ๆ จะถึงจุดที่ไอ้ตี๋เกิดอุบัตเหตุ .... ผมรู้สึกเหมือนมีเงาอะไรสักอย่างมาบังตาผมให้มองอะไรไม่เห็นไปชั่วขณะ แต่พอผมเริ่มมองเห็นได้ ..

   ผมมองเห็นท้ายของรถบรรทุกขนาดใหญ่อยู่ข้างหน้าผมในระยะกระชั้นชิด ........ สัญชาตญานบอกให้ผมเหยียบเบรคอย่างแรงในทันที ผมมีความรู้สึกว่ารถหมุนอยู่ชั่วขณะหนึ่งก่อนจะตามมาด้วยเสียง โครม ! อย่างดัง แล้วโลกของผมก็มืดดับลงไป ณ วินาทีนั้นนั่นเอง

wachara

  • บุคคลทั่วไป
 :o11:   รู้ไหม ผมตามอ่าน  เรื่อง พี่เก่ง กับน้องตี๋อยู่ นะ  วันนี้ เข้ามานึกว่า ต่อจากที่ผมอ่าน



แค่บทเกริ่นนำน้ำตาผมก็ร่วงแล้ว    ผมรับไม่ได้      ผมยังอยากอ่านพี่เก่งกับน้องตี๋อยู่นะ  หือ  ๆ



 :o12: :o12: :o12: :o12:   

wachara

  • บุคคลทั่วไป
 :m15:   ไม่อ่านแม่งแล้วโธ่เอ๊ย........ :o12: :o12:




นั่งร้องอยู่คนเดียวเนี้ยะ   หือ  ๆ  ( อีกรอบ ) 




คุณตี๋เล็กขอให้ไปดีนะครับ   

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด