หม้อแกงรสละม่อม แต่งด้วยหอมแดงงามตา
รสมือของน้องยา อาหารทิพย์ไม่เทียมทัน...
น้องตัวต่อแอบแวบไปอ่อนแอๆแค่เดี๋ยวเดียวแหละครับ ซุกพุงแข็งๆซบไม่สบายหัวแค่ไม่ถึงห้านาทีเลย ก็ถึงจะอุ่นแต่มันแข็งนี่นา สู้ห่วงยางแม่ผ่องไม่ได้สักนิด ไอ้พี่อ๋องมันก็ดี๊ดีนะครับ ถ้าเป็นผมนะ มีไอ้เด็กหัวเกรียนผมตั้งเป็นตอๆมาเกลือกหัวบนตัวผมคงไม่ยืนนิ่งๆให้มันเกลือกง่ายๆหรอก นี่นอกจากไม่ถีบน้องตัวต่อออกมา ไอ้พี่อ๋องยังโน้มตัวลงมากอดตอบด้วย พี่อ๋องมันบอกว่า....
“ไม่เป็นไรนะครับ ยังไงน้องก็มีพี่อยู่ตรงนี้นะ” แหะๆ น้องตัวต่อเลยกอดมันซะแน่นเลยอะครับ แบบว่ารัดแน่นแบบงูเหลือมที่รัดลูกวัวก่อนขยอกกินอ้ะ คิดไปคิดมากอดคนตัวแข็งๆก็ดีเหมือนกันนะครับ เวลากอดคนตัวนิ่มๆเราก็จะกลัวเขาเจ็บใช่มั้ยล่ะเลยไม่กล้ากอดแรงๆ แต่พอมากอดไอ้ตัวโตๆแข็งๆแบบพี่อ๋องแล้วอยากจะกอดแน่นแค่ไหนก็ได้ เพราะกอดไปมันก็ไม่ยวบ ถึงเสื้อกับกางเกงที่มันใส่อยู่จะมีกลิ่นอับๆนิดหน่อยเพราะเป็นของที่พวกพี่ฟ้าพี่ชมพูเอามาทิ้งไว้เวลามาค้างบ้านผมก็เถอะ
ผมกอดมันแน่นๆซุกหน้านิ่งอยู่อย่างนั้นจนรู้สึกดีขึ้น แล้วจึงดันตัวมันออก ในใจอดคิดไม่ได้ว่าถ้ามันไม่ได้หวังอย่างอื่นนอกเหนือไปจากความเป็นพี่เป็นน้องก็คงดี ผมคงจะคบมันได้อย่างสะดวกใจมากกว่านี้ แต่ทำไงได้ล่ะครับ เมื่อบทมันถูกขีดเขียนมาแบบนี้ และสปอตไลต์ก็เริ่มฉายแสงส่องมาแล้ว เรานักแสดงก็มีแต่ต้องเล่นไปตามบทเท่านั้น ‘the show must go on’ ครับ น้องตัวต่อจะไม่เลิกรากลางครันหอบผ้าหอบผ่อนหนีกองละครแน่ๆ
“ทำงานกันเถอะพี่อ๋อง ขนมเปียกปูนต้องใช้เวลา เดี๋ยวพรุ่งนี้เรายังต้องตื่นแต่เช้ามาทำหม้อแกงอีก.....”
นายไผทตั้งสติได้เต็มร้อยแล้วล่ะครับ กะอีแค่โรคหัวใจ แค่ไม่ให้แม่ต้องเหนื่อย ไม่ทำให้กระทบกระเทือนใจก็น่าจะไม่เป็นไรหรอกน่า....มั้ง อย่างน้อยสำหรับตอนนี้ ผมต้องลงมือทำงานตรงหน้าให้เรียบร้อยก่อนแหละครับ ไม่งั้นพรุ่งนี้ถ้าคุณนายผ่องพรรณตื่นขึ้นมาแล้วงานยังไม่เรียบร้อย ขนมทั้งสองอย่างไม่พร้อมส่งล่ะก็......หัวใจของคุณนายต้องทำงานหนักกว่าปกติแหงๆ
ขนมเปียกปูนทั้งสองสีทำด้วยวิธีเดียวกัน ต่างก็แค่สิ่งที่จะนำมาใช้ผสมลงในแป้งให้เกิดสีตามต้องการเท่านั้นเอง สำหรับเปียกปูนสีดำ เราจะใช้สีจากกาบมะพร้าวที่นำมาเผาไฟจนไหม้แล้วละลายกับน้ำ กรองด้วยผ้าขาวบางจนแน่ใจว่าเศษผงจากกาบมะพร้าวนั้นไม่มีเหลือทิ้งไว้ แล้วจึงนำมาละลายผสมขณะกวนเนื้อขนมบนเตาไฟจนเข้ากันดี ซึ่งต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆเชียวล่ะครับ กว่าเนื้อขนมจะมีความหนืดและเนียนได้ที่
ส่วนเปียกปูนสีเขียวก็ทำวิธีเดียวกันครับ ต่างไปก็แค่ตัวให้สีคือน้ำคั้นจากใบเตยเท่านั้นเอง สรุปว่าหลังทำขนมเปียกปูนเสร็จคืนนี้ทั้งกล้ามแขนทั้งนมของไอ้พี่อ๋องมีแววว่าจะยิ่งถึกบึกบึนเข้าไปใหญ่แหงเลยครับ ฮ่าๆๆๆ
ลิงพี่อ๋องทำอะไรไม่เป็นสักอย่างจริงแท้ น้องตัวต่อต้องคอยกำกับบทให้ตลอดทุกช็อตเลยอะครับ ตอนเตรียมน้ำกาบมะพร้าวกับน้ำใบเตยน่ะไม่เท่าไหร่ แต่อิตอนกวนแป้งนี่สิครับ ไอ้พี่อ๋องตัวโตซะเปล่า มันดั๊นนนนน....คนเบาๆเหมือนกลัวว่าขนมในกระทะจะเจ็บซะอย่างนั้น ต้องให้ผมยักแย่ยักยันถัดก้นไปทำให้ดูไม่พอ ยังแถมอ่อนหัดเสียจนผมต้องจับมือมันกวนเป็นตัวอย่างอยู่เป็นนานแน่ะครับ
“พี่อ๋องต้องทำแบบนี้สิ ไม้พายน่ะต้องจ้วงลงไปลึกๆ เอาให้ถึงก้นกระทะแบบนี้.....ไหนลองซิ....ไม่ช่ายยยยย แบบนี้ไง ไหนปล่อยมือก่อน....”
“น้องยังเจ็บมืออยู่นะครับ เดี๋ยวพี่ทำเอง”
“ไม่ต้องเลย มือมันจะหายสนิทแล้วเหอะ เหลือแค่เสียวแปลบๆบ้าง นานๆครั้งแค่นั้นเอง แล้วกวนแบบนี้มันก็ไม่ได้ขยับข้อมือมากสักหน่อย เห็นแล้วนะ.....อ้ะ ลองใหม่”
ผมเพิ่งจะเห็นข้อดีของการวางเตาถ่านไว้กับพื้นก็ตอนนี้แหละ เพราะผมนั่งแหมะอยู่บนเตียงตั่งที่ใช้เป็นที่นอนแบบนี้ก็ยังทำขนมได้ เห็นท่าทางเก้ๆกังๆ กวนขนมของลิงตัวโตแล้วขำชะมัดเลยครับ แต่ไม่ได้ ถ้ามัวแต่ขำอยู่คืนนี้อาจไม่ได้นอน แล้วพรุ่งนี้งานใหญ่ที่บ้านลุงกำนันคุณนายผ่องพรรณอาจถูกเก็บกลับไปนินทาได้ว่าฝีมือตก
“พี่อ๋องมานั่งนี่.......เขยิบเข้ามาใกล้ๆอีกสิ เอาล่ะทีนี้ลองออกแรงตามน้องนะ” ด้วยเทคนิคการกวนขนมขั้นต่ำเตี้ยเรี่ยดินของไอ้พี่อ๋องสมกับที่มันเป็นกอริลลาไม่ใช่คน น้องตัวต่อเลยต้องกระดิกนิ้วเรียกให้มันเข้ามานั่งใกล้ๆแล้วกุมมือลิงยักษ์เอาไว้ก่อนจะออกแรงขยับไม้พายให้มันเคลื่อนไหวตาม ต้องทำอยู่อย่างนั้นเกือบสิบนาทีแน่ะครับ คุณครูน้องตัวต่อถึงปล่อยให้นักเรียนพี่อ๋องทำขนมทำต่อไปเองได้ ไอ้พี่อ๋องเป็นนักเรียนที่อธิบายให้เข้าใจได้ยากมากๆอะครับ ขนาดจับมือทำยังต้องจับตั้งนาน พอจะละมือออกก็บอกว่า
‘
เดี๋ยวสิครับ ตกลงใช่แบบนี้รึเปล่า?’‘อ๊ะ....น้องอย่าเพิ่งเลิกสอนนะ พี่ยังไม่มั่นใจเลย เดี๋ยวเนื้อขนมออกมาไม่อร่อย’ แหม.....ตอนแรกน้องตัวต่อก็คิดนะครับ คิดเหมือนกันกับที่ทุกท่านคิดนั่นแหละ ว่าไอ้ลิงนี่มันต้องเล่นละครบทเซ่อเพื่อจะได้แต๊ะอั๋งผมแหงๆ แต่ที่ไหนได้ครับ พอผมเนียนๆทำท่าบิดตัวเมื่อยเหลียวกลับไปมองหน้ามัน หน้าตามันก็ยังคงใสซื่อ แถมโปะเครื่องหมายปรัศนีแบบ
‘กอริลลาเอ๋อ’ อยู่เต็มหน้าเชียว
เฮ้อ นี่น้องตัวต่อลืมไปได้ยังไงนะครับว่าไอ้พี่อ๋องมันซื่อจะตาย แบบว่าถ้ามันเป็นพระเอกหนังไทย มันก็คงเป็นไอ้ขวัญของอีเรียมน่ะครับ ไม่ใช่ผู้ใหญ่ลีของนางมา ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
กว่าจะกวนเปียกปูนเสร็จทั้งสองสีแล้วเทลงถาดรอเย็นก็ปาเข้าไปดึกดื่นโน่นแหละครับ แถมเราทั้งสองคนยังเหงื่อออกจนต้องอาบน้ำล้างตัวกันใหม่ทั้งคู่ด้วย
ไหน? ใครคิดครับว่าน้องตัวต่อนั่งชี้นิ้วสั่งเฉยๆ ผมก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดจะให้ไอ้พี่อ๋องมันนั่งถ่างตากวนขนมอยู่คนเดียวหรอกน่า แหะๆ สารภาพก็ได้ครับ คือว่าขนมเปียกปูนน่ะ ต้องกวนอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอถึงจะออกมาอร่อย
ทีนี้ถ้าปล่อยให้ไอ้พี่อ๋องมันกวนอยู่คนเดียวตลอดเกือบสองชั่วโมงนั่น ขนมออกมาไม่อร่อยเสียชื่อแย่ ผมก็เลยต้องสลับให้มันพักคราวละสามนาทีห้านาทีไงล่ะครับ ช่วงที่มันพักผมก็ไล่ให้มันขึ้นเรือนไปดูแม่ผ่องบ้างว่าอาการเป็นยังไง มันก็ดีครับ วิ่งๆขึ้นไปเดี๋ยวเดียวก็กลับมารายงาน
ผมเห็นว่าไอ้พี่อ๋องมันเหนื่อยมากแล้ว ที่จริงน้องตัวต่อนี่ก็แอบน้ำใจงามนะครับ เห็นมันทำงานให้ไม่มีปริปากบ่นก็สงสาร ทีนี้พอมันจัดการกางมุ้งให้ผมเรียบร้อยแล้วยืนงงๆอยู่นอกมุ้งน้องตัวต่อถึงเพิ่งนึกขึ้นมาได้สิครับ ว่ายังไม่ได้เตรียมที่ทางไว้ให้มันนอนเลย ห้องข้างบนของผมก็มีแต่เตียงเปล่าๆ ทั้งฟูกปูนอนทั้งหมอนมุ้งก็ขนลงมาใช้ตรงนี้หมด แล้วจะให้ไอ้พี่อ๋องไปหาเครื่องนอนมาเองก็กระไรอยู่ ยิ่งปล่อยให้มันนอนโดยไม่มีมุ้งก็จะยิ่งแย่ใหญ่
คิดดูสิครับ ว่าแค่มดไม่กี่ตัวมันก็แดงเป็นผื่นขนาดนั้น ถ้ามาเจอฤทธิ์ยุงดุๆบ้านผมเข้าไปอีกไอ้พี่อ๋องไม่กลายเป็นกอริลลาพิเศษพันธุ์ลายไปทั้งตัวหรอกเหรอ? อี๋ๆๆ แค่ล่ำเป็นกอริลลาก็แย่แล้ว นี่ถ้าทั้งล่ำทั้งลาย คงดูไม่ได้แหงๆเลยนะครับ
น้องตัวต่อก็เลย.....แบบว่า....ด้วยความสงสารแท้ๆ ไม่ได้คิดอะไรเกินเลยสักนิด.....ก็เลยบอกไปด้วยเสียงเบาๆ เคล้าความตะกุกตะกักราวสาวน้อยเขินอายในคืนเข้าหอว่า....
“พี่อ๋อง...ก็..ก็เข้ามานอนด้วยกันสิ...”“ครับ?”“ก็...นอนข้างนอกเดี๋ยวยุงก็หามเอาหรอก...พี่อ๋องขึ้นไปหยิบหมอนแล้วมานอนในมุ้งกับน้องนะ....” ผมทำเป็นอายไม่กล้ามองหน้ามัน ซุกหน้าเข้ากับหมอนหนุน แต่ที่จริงน่ะคือแอบหรี่ตาจับสีหน้ามันจากในมุ้งหรอกครับ แหม....แค่ชวนนอนในมุ้งด้วยนี่ไอ้ลิงยักษ์มันเริงร่าลั้ลลาออกนอกหน้าจนน่าหมั่นไส้เชียว ผมเห็นนะว่านอกจากมันจะยิ้มกรุ้มกริ่มจนเริ่มสงสารกล้ามเนื้อบนใบหน้าของมันแล้ว ในเบ้าตาตี่ๆนั่นยังฉายแวววิบๆวับๆ น่าขนลุกอีกด้วย
ช่างไม่รู้อะไรเลยว่าไอ้ที่น้องตัวต่อบอกว่ากลัวยุงมาหามมันน่ะ มันแค่เห็นผลประกอบหรอก เหตุผลหลักของการชวนให้มันมานอนด้วยเป็นเพราะพรุ่งนี้เราต้องตื่นแต่เช้ามืดมาทำหม้อแกงถั่วกันต่างหาก ถ้าปล่อยให้มันไปนอนไกลๆแล้วมันเกิดตื่นสายขึ้นมาผมจะงัวเงียไปปลุกมันได้ยังไงล่ะครับ เสียงานเสียการเสียรายได้ แถมเสียชื่อเสียงที่สั่งสมมากว่ายี่สิบปีกันพอดี
“ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วงพี่.....”“อื้ม เลิกพูดได้แล้วล่ะ นอนเถิดพี่อ๋อง พรุ่งนี้เราต้องตื่นกันแต่เช้า”
ไอ้พี่อ๋องหายไปสักพักก็กลับมาพร้อมหมอนหนุนหุ้มผ้าลายขิดหนึ่งใบถ้วน มันจะซื่อไปไหนครับ? บอกให้ไปหยิบหมอนมันก็หยิบแต่หมอนจริงๆ ผ้าห่มผ้าผวยอะไรแถวนั้นไม่รู้จักหยิบติดมือมาบ้างล่ะวะครับ?! สองสามวันมานี้อากาศตอนกลางคืนก็หนาวจะตาย เฮ้อ....ผมล่ะอ่อนใจกับมันจริงๆ
“งั้นก็ฝันดีนะครับ...คนเก่งของพี่” อึ๋ย.......ก็กะว่าต้องมีมาแน่ๆ เตรียมใจไว้แล้วด้วยซ้ำ แต่....คราวนี้จุ๊บเบาๆของไอ้พี่อ๋องมันดันมาพร้อมกับเสียงกระซิบอวยพรให้ฝันดีกับลมหายใจอุ่นๆแถวริมหูนี่ครับ ผมเลย...แบบว่า ทั้งๆที่เตรียมพร้อมเต็มที่ก็รู้สึกหน้าร้อนวาบๆขึ้นมาซะอย่างนั้น ตามธรรมดาตัวร้ายต้องหน้าด้านสิครับ เอาล่ะ ผมต้องสงบใจระงับอาการ สูดลมหายใจเข้าหนึ่งเฮือก เสร็จแล้วก็ทำแบบที่ตัวร้ายควรจะทำ
น้องตัวต่อควานๆไปข้างๆได้มือยักษ์ที่หนาแต่กลับไม่ด้านมาก็เอามาแตะปากลงไปเร็วๆ
“ราตรีสวัสดิ์พี่อ๋อง....อ๊ะ!” ไอ้พี่อ๋องมันคงคิดว่าผมเคลิ้มกับมันนะครับ ถึงชะโงกตัวมาคร่อมไว้ให้ผมเสียวหัวใจวาบน่ะ กลัวสิครับพี่น้อง นอนแหง็กเป็นลูกหมูอ้วนพีจะขยับแต่ละทีก็แสนลำบากแล้วมีเกย์ตัวเท่ากอริลลามาชะโงกค้ำอยู่ด้านบน ใครไม่กลัวน้องตัวต่อให้สิบบาทเลยเอ้า
เราสองคนสบตากันในความมืด แล้วไอ้พี่อ๋องมันก็ก้มหน้าลงมาเรื่อยๆ เรื่อยๆ...จนปลายตะหมูกของมันห่างจากผมไม่ถึงคืบ แล้ว.....ผมก็หนีตายด้วยการหลับตาปี๋ แหะๆ ก็ไม่รู้จะทำไงนี่ครับเลยหนีหลับดีกว่า
“น้องง่วงแล้ว!!” ผมรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆของคนด้านบนที่ผ่อนออกมายาวเหยียด ก่อนจะมีเสียงสูดลมหายใจเข้าเบาๆดังขึ้นยืดยาวไม่แพ้กัน พอผมจะหยีตาขึ้นมอง ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากปากแดงๆของไอ้พี่อ๋องในระยะประชิดที่กำลังจะแตะลงตรงเปลือกตาพอดิบพอดี
ผมรีบหลับตาปี๋อีกครั้ง กลั้นหายใจจนตัวแข็ง รอจนสัมผัสอุ่นๆนุ่มๆนั่นผละออกห่าง ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมไม่ปฏิเสธสัมผัสจากไอ้พี่อ๋องบ้าแม้แต่นิดเดียว แต่กลับรู้สึกหัวใจเต้นแรงราวจะกระโจนออกมานอกอก.....นี่น้องตัวต่อกำลังรออะไรอยู่กันแน่? ผมกำลังรอลุ้นสัมผัสต่อไปทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าเราสองคนเป็นผู้ชายเหมือนกันเนี่ยนะ?
ขณะที่ผมกำลังสับสนวุ่นวายความคิดในหัวสมองที่ตีกันจนอื้ออึง ความรู้สึกเหมือนมีกำแพงหนาๆมากั้นเอาไว้จากสิ่งแวดล้อมรอบนอกก็หายไป พร้อมกับเสียงการเคลื่อนไหวของคนตัวโตที่เขยิบเข้ามานอนแนบข้างจนแทบจะไม่มีระยะห่าง ก่อนที่จะคิดอะไรไปไกลกว่านั้น ผมก็รู้สึกถึงปลายนิ้วอุ่นจัดเกลี่ยอยู่บริเวณหัวคิ้ว พร้อมเสียงกระซิบแผ่วทุ้มดังขึ้นที่ข้างหูอีกครั้ง
“หลับซะนะน้อง....พี่อ๋องอยู่ข้างๆนะครับ”
ไก่ขันแค่เอ้กแรกผมก็ตื่นแล้วครับ พอตื่นแล้วก็อายตัวเองขึ้นมาทันทีเพราะน้องตัวต่อช่างประพฤติตนเป็นไอ้ตัวร้ายในละครน้ำเน่าได้แม้ยามหลับ ดูสิครับ ผมไม่มีอาการหวงเนื้อหวงตัวแบบนางเอกแสนดีบ้างเลย ปล่อยตัวเองหลับสนิทให้ไอ้ลิงพี่อ๋องนอนกอดไว้เสียเต็มอ้อมเชียว แหม.....แต่จะว่าไปมีคนนอนกอดนี่ก็ดีนะครับ เมื่อก่อนผมคิดว่าจะน่ารำคาญเสียอีก แต่ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็อุ่นดีออกนี่นา
“พี่อ๋อง ตื่นๆ” แหม.......ไอ้พี่อ๋องหลับสบายเชียวครับ แถมยังมีหน้ามาหายใจแผ่วๆอยู่ตรงซอกคอผมอีก น้องตัวต่อเข้าใจครับว่าสบู่บ้านเราหอม แต่อย่ามาสูดไปหลับสนิทท่าทางสบายแบบนี้สิ นี่มันได้เวลาทำงานแล้ววู้
“พี่อ๋อง ตื่นสิ ตื่นๆๆๆๆ ถ้าไม่ตื่นน้อง.....น้องจะนอนต่อบ้างแล้วนะ เร็วดิ”
แหะๆ ก็ผมไม่รู้จะขู่อะไรนี่ครับ ขืนเร่งวอลลุมมากไปเดี๋ยวแทนที่ไอ้พี่อ๋องจะตื่นกลายเป็นแม่ผ่องตื่นล่ะ ไม่เอานะครับ ผมอยากให้แม่พักเยอะๆ
“หึๆๆ น้อง.....ฮ่าๆๆๆ น้องไม่มีอย่างอื่นจะขู่พี่แล้วหรือครับ? ฮ่าๆๆๆ” ฟอดดดดด~ ไอ้บ้า หอมแก้มมาได้แต่เช้า หน้าก็ยังไม่ได้ล้าง ฟันก็ยังไม่ได้แปรง ไม่รู้เมื่อคืนเผลอนอนน้ำลายไหลรึเปล่าด้วย สมน้ำหน้าถ้าเปื้อนน้ำลายขอให้มันเป็นขี้กลาก แบร่ๆๆๆ
ไอ้พี่อ๋องลุกขึ้นตลบมุ้งออกไปเปิดไฟ แล้วก็กลับมาเก็บมุ้งให้ผม จัดการหาน้ำหาท่ามาให้ผมล้างหน้าแปรงฟันมันบนที่นอนนั่นแหละ ส่วนตัวมันก็ถือแปรงเข้ามานั่งยองๆข้างเตียงแปรงกับผมด้วย พอจัดการเข้าห้องน้ำเรียบร้อยล้างมือสะอาดจนแน่ใจว่าจะไม่พาสิ่งไม่พึงประสงค์ติดมือมาหาขนมหม้อแกง ผมก็ให้ไอ้พี่อ๋องเทน้ำที่แช่ถั่วเหลืองไว้ตั้งแต่เมื่อคืนออก แล้วยกมาให้ถึงที่เพื่อตรวจดูว่าถั่วนิ่มดีแล้วหรือไม่ จากนั้นก็เริ่มทำตามขั้นตอนที่เห็นแม่ทำมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยโดยการติดไฟให้ลุกพอเหมาะ รินน้ำใส่ลงไปพอท่วมถั่วอีกครั้งแล้วยกขึ้นตั้งไฟ รอจนน้ำเดือดก็ใช้แรงงานประจำตัวให้คนถั่วในหม้อไปเรื่อยๆ พอน้ำแห้งเมล็ดถั่วบานแล้วจึงเอาลง
ระหว่างที่รอถั่วพร้อมผมก็เตรียมส่วนประกอบอื่นไว้ เอาน้ำตาลปึกไปละลายพอนิ่ม แล้วเทผสมกับไข่เป็ดที่ตอกรอในกะละมัง จากนั้นใช้ใบเตยเคล้าทั้งสองอย่างให้เข้ากัน จากนั้นก็เติมกะทิที่แรงงานส่วนตัวคั้นรอไว้ตั้งแต่เมื่อวานที่ตั้งให้หายเย็นจัดตั้งแต่ตื่นนอนใหม่ๆลงไปแล้วขยำต่ออีก ใส่น้ำมันหอมเจียวลงไปอีกนิด แค่นี้กลิ่นยั่วน้ำลายก็แทบจะฟุ้งไปถึงหน้าบ้าน