ถั่วแปบแสบสลด เมื่อรักหมดเพียงชั่ววาร
แปลบแปลบในดวงมาลย์ ราวมีดตัดลงกลางคำ...
ในที่สุดขั้นตอนการตกแต่งก็เสร็จสิ้น ร้านของเราพร้อมเปิดให้บริการแล้วครับ ติดอยู่ก็แค่....เรายังไม่มีชื่อร้าน ไอ้จะขึ้นป้ายว่า ‘ร้านขนมแม่ผ่อง’ มันก็ดูไม่น่าจะเรียกลูกค้ากลุ่มเป้าหมายวัยใสแบบเด็กๆมัธยมเกือบแปดร้อยชีวิตในโรงเรียนใกล้บ้านอย่างที่คิดไว้ได้เอาเสียเลย
วันนี้คุณนายผ่องพรรณแม่ครัวใหญ่ นางผาณิตลูกสาวสุดที่รัก นายทวีโชคลูกเขยที่รักไม่แพ้กัน นายไผทลูกชายน่ารักที่สุด และตัวแถมอย่างนายภูชิตกอริลลาหัวแห้วแรงงานหลักของร้าน ก็เลยมานั่งประชุมยามบ่ายหาชื่อร้านที่ดีและโดน คาดว่าจะเรียกความสนใจจากเด็กๆได้อย่างที่ต้องการกันพร้อมหน้าพร้อมตาที่โต๊ะชุดใหญ่สุดในร้าน
ชุดโซฟาหุ้มผ้าฝ้ายเนื้อโปร่งทำความสะอาดง่าย ที่ผมรู้สึกถูกใจตอนไอ้พี่อ๋องพานั่งรถไปดูเฟอร์นิเจอร์มือสอง แถมต่อราคาจากที่เจ้าของร้านตั้งไว้ได้เกือบครึ่ง แม้ตอนซื้อมาจะมีร่องรอยคราบบางอย่างที่ทำความสะอาดออกไปได้ไม่หมดบ้าง แต่พอเอามาให้พี่ผึ้งเย็บผ้าหุ้มสีขาวไว้แบบนี้กลับดูดี ยิ่งมาจัดเข้ามุมส่วนตัวที่เดินอีกเพียงสองก้าวก็จะเข้าไปถึงทางเชื่อมเข้าครัวด้านหลังก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่ามุมนี้น่าจะกลายเป็นมุมสบายที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายได้มากที่สุดของร้านเชียวแหละครับ
ผมให้พี่อ๋องออกแบบให้เอาครัวขนมหวานมาไว้ด้านหลังร้านเลยครับ เพราะตั้งใจจะทำห้องด้านล่างที่เป็นครัวใต้ถุนเรือนใหม่ ทำให้เป็นห้องนอนสบายๆเตรียมไว้เผื่อเวลาคุณนายผ่องพรรณไม่อยากเดินขึ้นเดินลงบันไดสิบสองขั้นทุกวันเมื่อไหร่ก็จะได้ย้ายลงมานอนได้ทันที ถึงเวลานั้นคุณนายท่านจะได้ไม่ต้องเหนื่อย แล้วก็ไม่ต้องเสี่ยงก้าวพลาดตกบันไดให้ลูกชายอย่างผมต้องเสียวแวบหัวใจตอนอยากเข้าห้องน้ำตอนกลางค่ำกลางคืนด้วย
ถึงจะกะไว้อย่างนั้น แต่ก็ยังไม่ได้ลงมือทำอะไรจริงจังหรอกนะครับ เพราะทุกวันนี้ถึงแม้น้องตัวต่อจะแสดงความมั่นใจพร้อมสาธิตให้แม่ดูว่าใช้ไม้ค้ำพาตัวเองขึ้นลงบันไดได้ง่ายกว่าทำสาลี่ให้อร่อยเท่าแม่แล้วแท้ๆ แต่แม่ผ่องก็ยังไม่ยอมให้ผมกลับขึ้นไปนอนที่ห้องตัวเองเลย แถมยังยื่นคำขาดด้วยว่าต้องหายสนิทกระดูกติดดีมีภาพเอ็กซเรย์พร้อมใบรับรองแพทย์มายืนยันก่อน แม่ถึงจะยอมให้ผมขึ้นไปนอนบนเรือนเหมือนเดิม
แต่คนที่ดูจะเข้าใจเจตนาของน้องตัวต่อมากที่สุดกลับกลายเป็นไอ้พี่อ๋องครับ ทั้งที่ไม่ได้ขอด้วยซ้ำ เมื่อสองสัปดาห์ก่อนตอนที่ช่างกลุ่มที่ดูแลเรื่องระบบท่อระบบน้ำประปาเข้ามาทำงาน พี่อ๋องมันก็มาบอกผมหน้าตาเฉยว่าจะทำห้องน้ำบนเรือน
พอผมพยักหน้าไปงงๆ เพราะยังไม่ทันคิดว่าจะเอาเงินจากไหนมาจ่ายมันเพราะที่เตรียมไว้ก็พอดีกับค่าทำร้าน มันก็พาช่างขึ้นบ้านไปตอกนู่นเจาะนี่ ประกอบอะไรของมันไม่รู้ แต่แค่สี่วัน ห้องน้ำที่แบ่งส่วนอาบน้ำกับส่วนสำหรับใช้เวลาปวดหนักปวดเบาก็เสร็จเรียบร้อยพร้อมใช้งานได้แล้ว ยิ่งกว่านั้นมันก็ทำเป็นว่าห้องน้ำทั้งห้องนั่นสร้างโดยไม่ต้องใช้ทุนเลยงั้นแหละ เข้าไปเลียบๆเคียงๆถามมันก็บอกว่าค่าทำห้องน้ำนั่นมันกันมาจากเงินที่สร้างร้าน
“ร้านตัวต่อมั้ย? ถ้าคิดว่าชื่อร้านแม่ผ่องเชยไปเด็กๆจะไม่เข้า ถ้าเปลี่ยนเป็นร้านตัวต่อล่ะ?”
เสียงเข้มๆของพี่โชคดังขึ้นเมื่อเห็นว่าเราต่างคนได้แต่นั่งจิบชามะตูมบ้าง จิ้มขนมถั่วแปบใส่ปากบ้าง โดยยังไม่มีชื่อไหนที่พอจะเป็นชื่อร้านได้หลุดออกมาจากปากใครสักคน
ส่วนผมก็ได้แต่กางสมุดโน้ตเล่มเล็กในมือออก แล้วจดชื่อต่างๆเท่าที่ทุกคนคิดลงไป ชื่อแรก ‘ร้านตัวต่อ’ หืม.....คิดเหมือนผมมั้ยครับพี่น้อง ว่าเราควรปล่อยให้พี่โชคแกเป็นผู้บริหารที่มีเงินถุงเงินถังจ้างครีเอทีฟมือดีทำงานให้ต่อไปจะดีกว่า ฮ่าๆๆๆๆๆ
“หนูผึ้งว่าเชยอยู่ดีแหละค่ะคุณโชค ถ้าใช้ชื่อร้านตัวต่อจริงเราไม่ต้องทำโลโก้เป็นตัวต่อสีดำๆ กำลังกระพือปีกเหรอ....เว้นแต่ว่าจะเป็น จิ๊กซอว์ แล้วเขียนป้ายเป็นภาษาอังกฤษนะคะ นี่น้อง.....พี่ผึ้งว่าตู้หนังสือของน้องที่เป็นสามสีล้ำกันไปมานี่มองจากด้านนอกเข้ามาก็เหมือนจิ๊กซอว์นะ”
“จริงอะ? ไม่ใช่ว่าอยากกลับบ้านไปจู๋จี๋กับพี่โชคเร็วๆเลยมายัดเยียดชื่อนี้ให้น้องนะ.....อ๊อย!”
“สมน้ำหน้า”
โห.....ดูสิครับ พี่ผึ้งใจร้ายมากอะ ล้อนิดล้อหน่อยถึงกับต้องลงไม้ลงมือ ฟาดผัวะลงมาได้ไม่ออมแรงบ้างเลย แล้วดูสิครับอีกสามคนที่เหลือยังมาประสานเสียงหัวเราะกันไม่เกรงใจคนถูกตีแบบน้องตัวต่อสักนิด
ว่ากันจริงๆแล้วกับทั้งแม่ทั้งพี่สองคนผมก็ไม่สนหรอก แต่ไอ้ลิงยักษ์ที่ทำตัวขาดความอบอุ่นมานั่งเบียดอยู่นี่มันมีสิทธิ์อะไรไปเห็นดีเห็นงามกับคนอื่นแล้วรวมหัวกันขำผมต่อหน้าต่อตาแบบนี้ครับ ฮึ่ย! น้องตัวต่อขัดใจครับ
“อู้ยยยยยย กัดพี่ทำไมครับ?” ชิชะ ทำมากระซิบตัดพ้อเสียงอ่อนเสียงหวาน แค่ง่ำแขนไปหนึ่งคำนี่ยังน้อยไปเหอะไอ้พี่อ๋องบ้า
“ก็พี่อ๋องต้องเข้าข้างน้องสิ ไปหัวเราะตามพี่ผึ้งได้ไงเล่า น้องไม่ใช่ตัวตลกนะ น้องเป็นตัวร้ายต่างหาก”“หืม? อะไรนะครับ น้องของพี่น่ารักอย่างนี้จะเป็นตัวร้ายได้ยังไงกัน”
ไอ้บ้า......ไอ้พี่อ๋องบ้า มาพูดอะไรแบบนี้ตอนนี้ได้ไงเล่า ของแบบนี้เขาต้องพูดกันสองต่อสองไม่รู้รึไงน้า...เอ๋...แล้วทำไมพี่ผึ้งต้องทำตาโตเป็นนกฮูกแบบนั้นด้วยล่ะครับ แถมยังคอยเหลือบตามาทางผมด้วย บ้าน่า...ร้านขนมของเรายังไม่ทันเปิดเลย แถมคนงานที่มาทำก็ไม่มีใครตายสักคน จะมาทำหน้าเหมือนเห็นผีแบบนี้ทำไมหว่า?
ผมละมือจากสมุดโน้ตแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเขยิบตัวเข้าไปชิดไอ้ลิงข้างๆอีกนิด พยายามห้ามตัวเองไม่ให้เผลอเหลือบตามองไปด้านหลัง ถึงจะมั่นใจว่าไม่มีใครตาย แต่ว่าก็ว่าเหอะครับ เขาว่าผีที่มาแสดงตัวได้แม้แต่ตอนกลางวันพระอาทิตย์แจ้งจางปางขนาดนี้ความเฮี้ยนต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ ไอ้พี่อ๋องก็แสนจะรู้งานขยับตัวช่วยจนผมเปลี่ยนมานั่งซ้อนอยู่ด้านหน้ามันครึ่งค่อนตัวสำเร็จจนได้
“พี่อ๋อง สวดบทยันทุนเป็นมะ?” ผมกระซิบกระซาบถามไอ้คนข้างๆไป ไม่ได้ครับ พูดดังเดี๋ยวคุณผีได้ยินแล้วรู้ทันล่ะแย่เลย ไอ้นี่ก็รับมุขก้มมาถามกลับซะชิดริมหูเชียว
“บทอะไรนะครับ?”
“
น้อง! ไปหาของเป็นเพื่อนพี่หน่อย” โฮะ ตกใจหมดเลย กำลังจะบอกไอ้พี่อ๋องเรื่องบทสวดไล่ผีอยู่เชียวพี่ผึ้งดันเรียกขึ้นมาซะได้ แถมไม่เรียกเปล่าด้วยสิ พี่หนูผึ้งคนงามของผมยังลุกจากเบาะหนานุ่มฝั่งตรงข้ามมาฉุดผมให้ลุกยืนพร้อมคว้าไม้ค้ำมายัดใส่มือทันทีเลยด้วย
“ไปไหน ยังตกลงเรื่องชื่อร้านไม่ได้เลย”
“มาเหอะน่า เร็ว!”
“อะไรพี่ผึ้ง ไหนว่าจะหาของ......พี่ผึ้งจะมาหาอะไรในสวนแบบนี้? อย่าบอกนะว่าแอบมาฝังสมบัติไว้ไม่บอกน้อง ฮ่าๆๆๆๆ”
“ไม่ต้องมาหัวเราะเลยเจ้าตัวดี นั่งลงแล้วเล่ามาเดี๋ยวนี้”
พี่หนูผึ้งกดผมให้นั่งลงที่แคร่ประจำตำแหน่งที่พี่อ๋องมันทำให้ตัวนั้นแหละครับ ว่าแต่....ผมควรจะเล่าเรื่องอะไรหว่า? พี่ผึ้งสิที่ควรจะเป็นฝ่ายเล่า ก็ตัวเองเป็นคนเห็นคุณผีเองนี่ ไม่ใช่น้องตัวต่อสักหน่อย
“อย่ามาทำหน้าเหลอใส่พี่นะ เมื่อกี้นี้น้องทำอะไรรู้ตัวรึเปล่า?”
“ทำอะไร? น้องก็แค่จะบอกให้พี่อ๋องมันสวดมนต์....”
ใช่ๆ น้องตัวต่อยังไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ทำไมพี่ผึ้งต้องหน้านิ่วคิ้วขมวดขนาดนี้หว่า? เดี๋ยวแก่เร็วแล้วพี่โชคแอบไปมีอิหนูไม่รู้ด้วยนะเว้ยครับ
“ไม่ใช่สิ พี่หมายถึงก่อนหน้านั้น น้องไปกัดอ๋องอย่างนั้นได้ยังไง ทำอะไรแบบนั้นต่อหน้าแม่ได้เหรอ? ไหนบอกว่าแม่เป็นโรคหัวใจ ทำอย่างนี้เดี๋ยวถ้าแม่ตกใจจนไม่สบายไปจะทำยังไง?”
“ก๊ากกกกกก พี่ผึ้ง พี่ผึ้งคิดอะไรไปขนาดไหนแล้วเนี่ย.....แม่ก็เห็นบ่อยๆ ไม่เห็นจะว่าอะไรสักที”
“มันก็จริงที่บ้านเรารับเรื่องแบบนี้ได้ เพราะพี่ฟ้ากับตัวป่วนก็เป็นแบบนี้ไปคู่หนึ่งแล้ว แต่ไม่ได้อยู่แค่สองคนในที่รโหฐานน้องก็น่าจะระวังบ้าง....”
“พอเลยพี่ผึ้ง เดี๋ยวน้องก็จะตัดจบแล้ว มาถึงองก์สุดท้ายแล้วนี่ ฉากก็เซตเรียบร้อยแล้วด้วย”
ใช่แล้วครับ ละครในส่วนที่มีบทของตัวร้ายอย่างผมมาถึงองก์สุดท้ายแล้ว องก์ที่ชื่อว่า
‘ถีบหัวส่ง’ ผมตั้งใจจะใช้ร้านของเราเป็นฉาก มีตัวละครหลักเข้าฉากแค่สองคนคือผมกับไอ้พระเอก
บรรยากาศเย็นย่ำหลังเราตกแต่งร้านจัดหนังสือใส่ตู้เล่มสุดท้ายเรียบร้อย แขวนป้ายชื่อร้านเสร็จสมบูรณ์ ผมที่ยืนอยู่ที่ระเบียงหน้าร้านพิงกับรั้วไม้สีขาวที่สูงระดับเอวก็ทอดสายตาเจ้าเล่ห์มองลงไปที่ไอ้พี่อ๋องซึ่งยืนอยู่ที่พื้นถนนโรยกรวดละเอียดที่มีหินกาบแทรกไว้อย่างไม่เป็นระเบียบเพื่อให้เหยียบเดินหน้าร้าน ระดับต่ำลงไปสองขั้นบันได
แววตาเจ้าเล่ห์ที่เปิดเผยของคนรักเจ้าเสน่ห์ทำให้นาย อ. รู้สึกสะกิดใจอย่างประหลาด และเมื่อส่งยิ้มหวานตาตี่มาให้เหมือนเคย แทนที่นาย น. จะยิ้มตอบไป นาย น. กลับยกมุมปากขึ้นน้อยๆ แล้วส่งเสียงไปว่า
‘หมดหน้าที่แล้วก็กลับไปสิ แล้วไม่ต้องพาหน้าลิงๆมาให้ฉันเห็นอีกนะ’‘อะ อะไรนะครับ คุณพูดอะไรผมไม่เข้าใจ’‘ก็โง่แบบนี้ไง เข้าใจอะไรยากแบบนี้ไง คุณถึงได้ถูกหลอกใช้.....ผมจะย้ำชัดๆอีกครั้งนะ ตั้งใจฟังแล้วก็ทำตามด้วย ต่อไปนี้ผมไม่ต้องการให้คุณกลับมาที่นี่อีก ผมเบื่อหน้าคุณเต็มทนแล้ว เชิญ!’
“น้องๆ นี่! พูดอะไร? ตัดจบอะไรของน้อง? เพ้อตลอดนะเราน่ะ จะเป็นเจ้าของกิจการแล้วนะ โตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ออกมาอยู่ในโลกจริงๆได้แล้วนะน้อง ตอนนี้นอกจากร้านน้องยังมีหน้าที่ต้องดูแลแม่ด้วย....”
“โอ๊ยๆๆ พอก่อนพี่ผึ้ง จะมาตีน้องทำไมเนี่ย ก็ที่น้องเคยโทรไปเล่าไง ว่ากำลังเล่นละครหลอกใช้ไอ้พี่อ๋องหลานพี่อยู่ เนี่ย น้องก็กะว่าร้านเสร็จเรียบร้อยละครก็จะมาถึงองก์สุดท้าย เดี๋ยวน้องจะเล่นบทจบไล่มันไปห่างๆแล้วล่ะ”
“เฮ้อ.....พี่ไม่ได้ลืมเรื่องที่น้องเล่าหรอกนะ แต่พอมาเห็นน้องใกล้ชิดกับอ๋องแบบนั้นแล้วพี่รู้สึกได้ว่า ระหว่างเธอสองคนไม่ใช่แค่ละคร.....น้อง ถ้ารักเขาไปแล้วจริงๆก็อย่าหลอกตัวเอง”