ถ้วยฟูเจ้าฟูฟ่อง ราวเมฆล่องละลอยฟ้า
เหมือนเมื่อพบสบตา ครั้งแรกพาใจพี่ลอย....
“โห่........ฮี้ โห่ ฮี้ โห่ ฮี้ โห่......โฮ้ยยย......”
“ฮิ้ววววววววววววววว”
เสียงโห่นำจากลุงมหาและเสียงลูกคู่รับ ตามมาด้วยเสียงบรรเลงของวงกลองยาวเป็นท่วงทำนองเพลงแห่ขันหมากที่คุ้นเคยดังลั่นมาแต่ไกล ตั้งแต่ผมที่ชะเง้ออยู่แถวชานพักบันไดหน้าเรือนยังไม่ทันเห็นหัวขบวนแห่ขันหมากเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้พี่ผึ้งที่ถูกเก็บตัวอยู่ในห้องด้านในโดยมีเพื่อนเจ้าสาวอีกสองคนอยู่ด้วยคงกำลังตื่นเต้นมากแน่ๆ
เช้านี้ผมตื่นตั้งแต่ตีสามครึ่งด้วยเสียงปลุกและแรงเขย่าเบาๆที่หัวไหล่จากแม่ มองไปด้านขวาก็เห็นพี่ผึ้งยังหลับสบายส่งเสียงหายใจเบาๆสม่ำเสมออยู่ แม่แตะปลายนิ้วชี้เข้ากับริมฝีปากเป็นเชิงส่งสัญญาณให้ผมลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบที่สุด เพื่อปล่อยให้พี่ผึ้งนอนต่ออีกสักพัก แล้วค่อยปลุกก่อนช่างแต่งหน้าทำผมที่นัดไว้ในเวลาตีห้าจะมาถึงสักครึ่งชั่วโมง
เมื่อคืนเราสามคนแม่ลูกนอนเตียงเดียวกัน ไม่ได้กะจะทำซึ้งหรอกนะครับ แต่เพราะบ้านเราเป็นเรือนไม้ใต้ถุนสูงธรรมดาๆมีห้องนอนสองห้อง พอพวกเพื่อนๆผมแล้วก็บ้านลุงผาป้าแดงมาช่วยงานแบบนี้เลยยกห้องนอนผมให้สาวๆสามคนซึ่งก็คือพี่เค้ก ไอ้อ่อน แล้วก็ไอ้ก๋อยเพื่อนผมอีกสองคนไปเสีย
ตอนแรกเราสามคนจะให้ลุงผากับป้าแดงแล้วเข้ามานอนในห้องนี้ แต่ลุงกับป้าไม่ยอม บอกแต่ว่าจะให้ว่าที่เจ้าสาวมานอนข้างนอกได้ไง เดี่ยวเผื่อหลับไม่สบายแล้ววันงานตาโหลขึ้นมาก็แย่กันพอดี แม่ก็เลยไล่พี่ผึ้งมาไหว้ขอบคุณลุงกับป้าที่อุตส่าห์มาช่วยงานแล้วยังต้องนอนกันแบบไม่สะดวกสบายเท่าที่ควรอีก
แม่เคยเล่าว่าตอนผมยังเล็กบ้านเรามีห้องกั้นฝาด้วยไม้อัดบางๆอยู่แค่ห้องเดียวนอกนั้นก็ปล่อยโล่งหมด ตอนนั้นมีคุณยายอยู่กับเราอีกคนแต่ท่านเสียตอนผมยังไม่ทันรู้ความ คุณยายนี่แหละที่เป็นครูขนมหวานของแม่ ทุกวันนี้ที่ผมกับพี่ผึ้งโตมาได้หลักๆก็เพราะเงินจากกิจการขนมหวานแม่ผ่อง
ก็จ่าหินแกเล่นจากโลกนี้ไปอย่างไม่ทันให้พวกเราได้ทันตั้งตัวด้วยอุบัติเหตุถูกรถหกล้อชนแล้วหนีนี่ครับ ชนแล้วหนี ตามจับก็ไม่ได้ แต่แม่ก็ย้ำอยู่เสมอว่าถึงตัวพ่อจะไม่อยู่กับเราแล้ว แต่ก็เพราะที่พ่อเป็นคนดี ทำงานถึงจะไม่ได้มีตำแหน่งสูงแต่ทั้งเพื่อนร่วมงานทั้งเจ้านายก็รักพ่อ ตอนพ่อตายเลยมีคนช่วยงานมากมาย แถมยังเงินอีกไม่น้อยที่ได้มาจากสวัสดิการของพ่อ ซึ่งพอให้ผมกับพี่ผึ้งใช้เป็นค่าเล่าเรียนตั้งแต่ตอนนั้นจนจบปริญญา
เมื่อวานตอนเช้าที่เราอยู่บ้านกันแค่สามคนแม่ก็ชวนพี่ผึ้งกับผมเข้าไปนั่งไหว้พ่อ ให้พี่ผึ้งบอกพ่อว่าจะแต่งงานแล้วนะ จะพ้นอกแม่แล้ว แล้วก็กราบขอพรพ่อด้วย ส่วนผม...ทั้งที่นั่งหัวโด่อยู่ตรงนั้นแท้ๆ แม่กลับเขกกะโหลกดังโป๊กก่อนจะร่วมมือร่วมใจกับพี่ผึ้งฟ้องพ่อซะได้
‘พี่หิน.....เจ้าน้องตัวต่อลูกชายพี่หินใจร้ายจริงๆ แม่ขอให้กลับมาทำงานแถวบ้านเราจะได้มาอยู่กับแม่ก็ไม่ยอม ดูซิ เมื่อก่อนแม่ก็ยังมีหนูผึ้งอยู่ด้วย แต่พรุ่งนี้หนูผึ้งจะออกเรือนแล้ว....แต่น้องยังไม่ยอมย้ายกลับมาบ้านเลย.....’
ป่วยการจะแก้ตัวครับ ถึงผมจะไม่สนุกกับงานประจำที่ทำอยู่ตอนนี้นัก แต่ผมก็ยังไม่อยากกลับมาอยู่บ้านโดยที่ยังไม่รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรสักอย่างที่ดูยิ่งใหญ่...เช่นการอยู่ด้วยตัวเองคนเดียวได้สำเร็จเลยนี่ครับ มันอาจจะเป็นทิฐิผสมกับความงี่เง่าของผมเอง แต่จะทำไงได้ล่ะครับในเมื่อผมคิดแบบนี้จริงๆ
ผมย่องลงจากเตียง เกาะแม่เป็นหลักแถมแกล้งทิ้งน้ำหนักตัวไม่เบานักฝากแม่เอาไว้ตลอดทางเดินไปจนถึงบันไดหลังเรือนแล้วเปลี่ยนเป็นฝ่ายก้าวนำลงไปก่อนแล้วจึงหันกลับมาคอยรับมือแม่แทน ยังไม่ทันโผล่หน้าเข้าไปในครัวก็ได้ยินเสียงปะทุเปรี๊ยะปร๊ะของฟืนจากเตาถ่านดังออกมาเตะหูแล้ว
“แม่....ลงมาก่อนแล้วเหรอ?”
“อือ....ก็ลงมาตั้งไฟต้มน้ำไว้ก่อนไง แล้วถึงได้ขึ้นไปปลุกน้อง”
ที่จริงผมก็น่าจะเดาได้ตั้งแต่เห็นแสงไฟลอดออกมาจากผนังที่ออกแบบให้ระบายอากาศได้ดีของครัวใต้ถุนบ้านที่ก่อผนังด้วยอิฐบล็อกแล้วตีไม้เข้าฝาแต่ละแผ่นให้เว้นระยะห่างกันลักษณะเดียวกับระแนงแล้วล่ะครับ แต่คงเพราะเมื่อกี้แม้จะเดินลงจากเรือนมาแล้วผมก็ยังไม่ตื่นเต็มตาเลยยังประมวลความคิดได้ไม่เต็มร้อย
ผมเดินตามแม่เข้าครัวต้อยๆ แต่ก่อนจะลงมือนวดแป้งผสมกับน้ำลอยดอกไม้สำหรับทำขนมถ้วยฟูให้กล้ามขึ้น และต้มขนมต้มที่ปั้นไว้ตั้งแต่เมื่อคืนก่อนเข้านอนตามคำสั่งก็หากำไรสักนิดตามประสาเด็กขาดความอบอุ่น ด้วยการกอดแฟนจ่าหินแน่นๆแล้วหอมแก้มอีกสองฟอดซ้ายขวาให้เท่าเทียมกัน.....เอ่อ จริงๆนะครับ ก็พ่อตายตั้งแต่ผมยังไม่สิบขวบเลย จะขอเป็นหนึ่งในเด็กขาดความอบอุ่นบ้างผิดตรงไหน
“โห่........ฮี้ โห่ ฮี้ โห่....ฮี้ โฮ โฮ้ยยยยยย.......ฮิ้ววววววว”
“ใครมีมะกรูดมาแลกมะนาว.....ใครมีลูกสาวมาแลกลูกเขย......เอาวะเอาเหวยลูกเขยกลองยาว.....ตะละลา......”
เสียงเพลงขันหมากที่ดังกระชั้นปลุกผมขึ้นจากภวังค์ให้มองลงไปเห็นว่าตอนนี้ว่าที่พี่เขยมาหยุดยืนอยู่หน้าบันไดขั้นแรกแล้ว และเจ้าลูกหมูตัวกระเปี๊ยกที่เป็นเด็กเล็กเพียงคนเดียวที่บ้านเราพอจะนับเป็นญาติได้ทั้งที่ห่างกันจนไม่มีสายเลือดเดียวกับทั้งผมและพี่ผึ้งเลยด้วยซ้ำก็กำลังล้างเท้าให้พี่โชคเจ้าบ่าวตามธรรมเนียม
ตอนแรกที่รู้ว่าพี่ผึ้งคบกับใครอยู่ผมก็ไม่ชอบใจนักหรอกครับ ก็พี่โชคแก่กว่าพี่ผึ้งของผมตั้งสิบปี ตอนนั้นพี่ผึ้งเพิ่งเข้าปีหนึ่งเอกคหกรรม พี่สาวผมอายุยังไม่เต็มสิบแปดเลย กลับมีผู้ชายที่ดูเป็นผู้ใหญ่กว่ามากขับเบนซ์ใส่สูทมาเทียวรับเทียวส่ง
ถึงบ้านเราจะอยู่ในตัวอำเภอ และแม้ว่าเราจะบอกว่าเราอยู่ในสังคมของอารยชนผู้เจริญ ชาวบ้านร้านตลาดผู้เจริญแล้วทั้งหลายก็ไม่เคยหยุดอาการปากยื่นปากยาวพูดถึงพี่ผึ้งคนดีของผมแบบเสียๆหายๆได้เลย
แต่เมื่อถึงเวลาหนึ่งผมก็ต้องยอมรับ ว่าพี่สาวของผมรักผู้ชายคนนี้ และตัวเขาเองก็จริงใจกับพี่ผึ้งและครอบครัวของเรา อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังไม่ชอบใจกับความร่ำรวยเกินคำว่าชนชั้นกลางของพี่โชคเลยสักนิด
“ขอพี่ผ่านทางหน่อยสิน้อง”
เจ้าบ่าวในชุดเสื้อราชปะแตนกับผ้าม่วงสีเข้มห้อยพระสมเด็จเลี่ยมทองล่อตาล่อใจโจรเอ่ยปากขอผ่านประตูทองประตูสุดท้ายที่ผมยืนประจำอยู่กับแฟนพี่ฟ้าพี่ชายแท้ๆของพี่ชมพูที่เพิ่งมาถึงเมื่อเช้า พร้อมส่งยิ้มกว้างขวางราวกับโลกนี้เป็นของตนแนบซองสีขาวที่พอผมยกขึ้นส่องกับแดดก็เห็นเงาสีม่วงๆอยู่ด้านในมาให้
“ประตูใหญ่นะพี่โชค สร้อยทองของเก่าของแม่ผ่องเชียวนา......อะไร แค่ซองเดียวพอที่ไหน ประตูสุดท้ายแล้วก็เอามาหมดนั่นแหละ ไม่งั้นเข้าไปไม่ทันฤกษ์สวมแหวนผมไม่รู้ด้วยนะเว้ย”
ผมว่าผมพูดออกไปแค่เบาๆพอให้พี่โชคได้ยินคนเดียวแล้วเชียวนะครับ ไม่รู้ใครมันหูผีจมูกมดมาสอดหูได้ยินด้วย เสียงหัวเราะหึๆนี่ก็กวนประสาทชะมัด พอเหลือบตาไปมองก็เจอกับผู้ชายอีกสองคนสวมเสื้อราชปะแตนกับนุ่งผ้าม่วงสำเนาถูกต้องเหมือนปั๊มมาจากพี่โชค สองคนนั้นก็ปิดปากฉับหยุดหัวเราะทันที แต่เสียงหึๆที่ผมรู้สึกว่ากวนประสาทชิบเป๋งที่มันยังไม่ยอมหยุดเลยนี่ครับ มันน่าท้าต่อยกันสักตั้ง!
อ้อ! เจอตัวแล้ว ไอ้ช่างกล้องฝ่ายเจ้าบ่าวนี่เอง ดูมันนะครับ ขนาดผมหันกลับไปเลิกคิ้วใส่มองหน้าหาเรื่องเต็มที่แล้วมันยังไม่หยุดเลย มันปล่อยมือที่ประคองกล้องออกข้างหนึ่งแล้วยกมือยอมแพ้ทั้งๆที่กำลังกลั้นยิ้มราวกับขำเสียเต็มประดา แต่ผมไม่สนหรอกครับ
“ว่าไงพี่โชค.....หรือจะเปลี่ยนใจ เปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะเว้ยพี่ ผมไม่ได้บังคับ ไม่อยากผ่านประตูก็ไม่ต้องจ่ายก็ได้....วันนี้พี่ผึ้งสวยมากอะ ชุดไทยเปิดไหล่สีทอง ผ่องยิ่งกว่าแม่ผ่องอีก.....”
“พอแล้วๆ เอ้า! เอาไปหมดนี่แหละ ช้านิดหน่อยนี่กะไม่ให้พี่เข้าบ้านเลยเรอะเรา ร้ายจริงๆ”
เจ็ดซองที่ได้มาผมแบ่งให้พี่ตัวป่วนไปสาม แต่ในมือสี่ซองก็ได้ครึ่งหนึ่งของค่าอพาร์ทเมนท์รายเดือนกลางกรุงของผมแล้วล่ะครับ แหม.....นี่ผมไม่ได้งกนะ ผมแค่รู้จักคว้าโอกาสผ่อนแรงตัวเอง....มันก็แค่นั้น ฮ่าๆๆๆๆ
แอบสงสารคุณลุงที่มาเป็นเถ้าแก่ให้พี่โชคเหมือนกันแหละครับ แกเล่นมองมายิ้มๆไม่มีปากเสียงอะไรเลย แถมพอเข้าไปในงานจนถึงขั้นตอนของการสู่ขอการหมั้นผมก็ได้ยินว่าแกพูดไปเขินไปดูตะกุกตะกักพิกล สงสัยงานนี้จะงานแรกแหงๆ
จากนั้นผมได้รับรู้ว่าเกิดอะไรในพิธีการบ้างก็จากเสียงเท่านั้นเองครับ เพราะพอกั้นประตูทองได้สองพันมาอุ่นๆในกระเป๋าก็ต้องรี่เข้าครัวไปจัดขนมหวานลงพานปูใบตองและกระทงใบตองฝีมือเย็บของแม่ผ่องผู้นั่งจุ้มปุ๊กจัดโน่นจัดนี่จนหยดสุดท้าย ก่อนป้าแดงจะมาลากกึ่งบังคับให้ขึ้นบ้านไปแต่งตัวให้สวยเช้งสมกับเป็นแม่เจ้าสาว
ขนมหวานชื่อมงคลเก้าอย่างที่ปริมาณเหลือจะพอสำหรับประกอบเข้าเครื่องภัตตาหารถวายพระสงฆ์ เพียงพอสำหรับแขกช่วงเช้าที่มากันเหยียบร้อยชีวิต แล้วแม่ยังอยากให้ทุกคนมีโอกาสหิ้วกลับบ้านไปเผื่อคนติดธุระไม่ว่างมางานด้วยนี่ปริมาณมันไม่ใช่น้อยๆเลยนะครับ แต่เพื่อพี่ผึ้ง.....น้องตัวต่อยอมครับ แถมพี่ตัวป่วนก็คงยอมด้วย เพราะพอช่วยกันกั้นประตูเสร็จแทนที่จะเข้าไปนั่งในงานพี่แกก็กลับเดินตามผมเข้าครัวมาช่วยงานซะงั้น
ต่างกันตรงที่ผมเร่งมือทำงาน แต่แฟนพี่ฟ้าคนนี้กลับนั่งไม่ติดที่ ทำได้เดี๋ยวๆก็วิ่งขึ้นไปแอบมองลอดประตูดูสถานการณ์ข้างบนเรือนแล้วก็กลับลงมารายงานด้วยสีหน้าตื่นเ ต้นได้ตลอดเวลา พลังงานล้นเหลือจริงๆ นี่ขนาดแก่กว่าผมเกือบสองปีนะครับ แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนรุ่นเดียวกันแถมบางทียิ่งกว่านั้นอีก รู้สึกเหมือนพี่แกเป็นน้องไปเสียด้วยซ้ำ
ผมกะว่าสักเก้าโมงยี่สิบก็จะแวบขึ้นไปส่องดูตอนสวมแหวนอยู่เหมือนกัน พี่ผึ้งคงจะยิ้มหวานมีความสุขน่าดูชม แต่ยังไม่ทันถึงเวลาที่ผมกะไว้ก็ได้ยินเสียงแหลมๆแว้ดแหวดังมาจากบนเรือน แล้วเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กที่ดังคลอกับเสียงมโหรีจากเครื่องเสียงที่เปิดไว้เบาๆมาตั้งแต่เช้าก็กลับเงียบสนิท ผมละมือจากงานตรงหน้าแล้วเร่งก้าวขึ้นบันไดก็สวนกับพี่ป่วนที่หน้าตาตื่นลงมาตามพอดี ยังไม่ทันถามอะไรก็ถูกดึงมือให้เร่งก้าวขึ้นเรือนลิ่วๆแล้ว ภาพหญิงสาวในชุดคลุมท้องสีชมพูอ่อน มีส่วนพุงกลมๆแข็งๆยื่นออกมากำลังร่ำไห้อยู่ตรงหน้า ใกล้กับคู่บ่าวสาวที่ตอนนี้หน้าซีดจนแทบจะเป็นกระดาษทั้งคู่ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาเดาเหตุการณ์ให้ยาก