ตอนสุดท้ายแล้วคะ จบได้สวยงามพร้อมกับความโล่งอก

พร้อมกันนี้อยากถามความคิดเห็นเพื่อนๆพี่ๆน้องๆว่า ตอนต่อไป เอาสักกี่ p ดี

ขอให้ตอบพร้อมเหตุผลด้วย ใครตอบถูกใจ เอาไปเลย!

คุณได้ P นั้นสมใจแน่ สิ้นสุดคำตอบตอน เที่ยงคืนวันนี้แล้วผู้แต่งถึงจะเริ่มเขียนคะ
ว้า ฮะฮะฮะ...

[6]
ฝนตกพร่ำแต่เช้ามืด หยาดน้ำหยดกระกระทบแผ่นน้ำในอ่างดินนอกชานเรือนแว่วแผ่วเบา
อากาศยามนี้เย็นฉ่ำลมเอื่อยๆชายผ้าม่านหน้าต่างพริ้วไหว เลยมาสัมผัสต้องเส้นผมดำขลับ
โปรยปลิวราวกับเทพล้อเล่นลม บ่าวไพรที่นั่งเฝ้าต่างมองอย่างเพลิดตาราวกับมีการละเล่น
คนผู้นี้เหมือนเทวดาจำแลงมาไม่ว่าจะขยับท่าไหน หยิบจับสิ่งใดก็ล้วนแต่ชวนมอง
“คุณภูริเจ้าขา....คุณคามินมาเจ้าคะ”
“เชิญ” เจ้าของห้องกล่าวน้ำเสียงเย็นชา มือยังสาละวนกับการงานตรงหน้า
“ตื่นเช้าเชียว....ทำอะไรอยู่หรือ” ร่างสูงก้าวเข้ามาอย่างร่าเริง พร้อมกับหอบกลิ่นไอเย็นของสายลมเข้ามาด้วย
เขาทำให้ทั้งห้องเต็มไปด้วยความสดชื่น เจริญใจ ดวงตากลมโตเหลือบมองเขา
“เจ้าก็ตื่นเช้าเช่นกัน” เขาหยิบกรรไกรตัดเส้นด้ายออก
คามินมองผ้านม่านผืนใหญ่สีครามถูกปลดลงมาตัดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
แล้วในมือของณภูริก็กำลังเย็บมันเข้าด้วยกันด้วยความคล่องแคล่ว ในมือวางเข็มลงแล้วสะบัดผ้า พรึ่บ!!!
เสื้อผ้าธรรมดาๆเหมือนชาวไร่ ชาวนา
“นี่เจ้าเย็บเองหรือ??”
“ใช่ เจ้าไม่คืนเสื้อผ้า ข้าก็ต้องเย็บเองน่ะสิ เสื้อผ้าที่สวมใส่มันไม่สะดวกสะสบาย”
ร่างสูงนั่งลงบนตั่งตรงหน้า “ภูริ”
รู้จักเรียกเสียงอ่อนด้วย ชายหนุ่มวางมือนั่งมองตรงๆ
“เกลียดข้านักหรือไร ถึงปฏิเสธทุกอย่างของข้า”
“ข้าเกลียดสิ” คามินขมวดคิ้วรู้สึกโกรธแต่ก็โกรธได้แค่ประเดี๋ยว “แต่ไม่ได้ชิงชัง”
“จริงหรือ” บุรุษหนุ่มยิ้มกว้างดีใจ ณภูริเห็นสีหน้าแล้วทอดถอนอ่อนใจ เวลาอารมณ์ดีแล้วร่าเริง ดวงตาเป็นประกาย
“ดีใจหรือแค่ข้าบอกว่าไม่ชิงชังเจ้า”
“ดีใจสิ นี่เท่ากับว่าระยะระหว่างเจ้ากับข้าก็ใกล้มาอีกหน่อยแล้ว จริงไหม”
“งั้นทำให้มันใกล้กว่านี้สิ.....เอาเสื้อผ้าข้าคืนมา”
“ภูริ......”คามินทำหน้าไม่อยาก “ข้าชอบเจ้าในชุดนี้”
“แต่ข้าไม่ชอบ มันอึดอัด เจ้าไม่เข้าใจหรือ” ชายหนุ่มเดือดดาลใส่ พอเห็นอีกฝ่ายชักสีหน้าทำท่าไม่เห็นด้วย
เขาก็ปรับสีหน้าขยับเข้าใกล้อีกนิดแล้ววางมือบนท่อนแขนแข็งแรง
“คามิน.....เข้าใจข้าบ้างสิ ข้าสวมใส่แต่เสื้อผ้าหยาบๆ เป็นอิสระเดินทางท่องเที่ยวไปตามเมืองต่างๆ
มีพื้นดินเป็นที่นอน มีท้องฟ้าและดวงดาวเป็นมุ้ง ข้าลำบากกายแต่สำราญใจที่สุด อยู่ที่นี่.....”เขาชี้ให้ดูรอบๆห้อง
“ข้ามีอิสระแค่นี้ จะไปไหนก็ไม่ได้ ข้าทรมานใจนะ”
“นั้นเพราะข้าไม่อยากเจ้าลำบาก”
“ด้วยการบังคับข้าหรือ....คามิน” ณภูริมองจ้องหน้าตรงๆ แล้วสื่อความหมายออกมาจากใจของตน
“เจ้าชอบข้าจริงหรือไม่”
“ข้าชอบเจ้า” ชายหนุ่มย้ำอย่างหนักแน่น
“รู้ไหม.......คำๆนี้ข้าได้ยินมาหลายต่อหลายครั้ง” ดวงตากลมโตทอดสายตามองไปทางอื่นคล้ายเหนื่อยหน่าย
อยู่อึดใจก่อนกลับมาที่เขาอีกครั้ง
“ทั้งเศรษฐี ยาจก พรานป่า ขุนศึกผู้ห้าวหาญ ลูกท่านหลานเธอ....ทุกคนพูดคำนี้ราวกับเป็นวาจาศักดิ์สิทธิ์ ให้ข้าฟัง
แต่.....ไม่มีใครทำอะไรจริงๆจังเพื่อข้าสักครั้ง แม้จะเตรียมข้าทาสบริวาร เรือนใหญ่ผ้าไหม ทองคำ
อาหารอุดมสมบูรณ์เพื่อข้า และสุดท้าย.....พวกเขาก็จะเก็บข้าไว้ในที่ๆไม่มีใครเห็น.... เหมือนสัตว์เลี้ยง”
คามินหน้าสลด เพราะนี้ก็อยู่ในความคิดเขาเช่นกัน งดงามมีค่าเฉกเช่นนี้จะอวดอ้างต่อผู้อื่นให้เดือดร้อนไปไย
เขาไร้คำโต้เถียงร่างเล็กจึงลุกไปยังหลังม่านบังตา ผืนผ้าไหมดิ้นทองงดงามร่วงลงกองกับพื้นทีล่ะชิ้น
“ภูริ”
“สิ่งที่ข้าปรารถนาที่สุดคืออิสระ....และการยอมรับ” ณภูริใช้เวลาไม่นานก็ก้าวออกมาในชุดสีครามเนื้อหยาบ
เรือนผมดำขลับถูกซ่อนในผ้าโพกผมเหลือแค่ดวงหน้าหมดจด แค่แต่งเติมด้วยคราบเขม่าหรือฝุ่นก็เหมือนชาวบ้านธรรมดาๆ
“ถ้าเจ้าชอบข้าจริง....ก็ปล่อยข้าไปซะ เพราะข้าจะไม่เปลี่ยนตัวเองเพื่อเจ้าแน่”
วินาทีนั้นคามินรู้ด้วยตนเองว่า เขาไม่อาจรั้งนกน้อยตัวนี้ไว้ได้ เพราะถ้าฝืนทำณภูริเลือกที่จะยอมตายดีกว่า
จะมีประโยชน์อะไรถ้าได้แต่ตัว แต่ไร้หัวใจ
“ข้า.......ไม่อยากให้เจ้าไป” เขาว่าก่อนจะเห็นสีหน้าระอาใจของอีกฝ่าย เขารีบลุกขึ้น
“ข้าหมายถึง.....เมื่อวันวานข้าถามเจ้าว่า จะต้องเอาใจเจ้าอย่างไร เจ้าถึงจะอยู่กับข้า วันนี้....ข้าจะถามใหม่”
ณภูริเห็นบางอย่าง ความจริงจังในดวงตาดูยิ่งใหญ่เหมือนภูเขาตั้งตระหง่านตรงหน้า บางที......
“ข้าจะต้องเอาใจเจ้ายังไง....เจ้าถึงจะให้โอกาสข้า”
โอกาส?? ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้ยินคำๆนี้ โอกาส......
แล้วจะเป็นไปได้หรือกับคนๆนี้ ชายหนุ่มมองสบตาคามินอยู่นานเพื่อหาร่องรอยความลังเลที่มีอยู่เพียงน้อยนิด
แต่ก็หาไม่พบ จนในที่สุดก็ต้องทอดถอนหายใจ มือบางยื่นมาหาให้เกาะกุมไว้
“ข้ายินดีจะให้โอกาสนั้น หาก.....เจ้าจะเดินทางกับไปคาราวานของข้า 7วัน ไม่สิ.....3 วันก็พอ
แค่ 3 วัน....ลองใช้ชีวิตเสรีเยี่ยงข้า ลองค้นหาอิสระของตัวเจ้าเองเคียงข้างข้า
หากเจ้าไม่พึงใจจะใช้ชีวิตพเนจร เจ้าจะจากไปเมื่อใดก็ได้...ว่าไง”
นั้น....เหมือนประตูที่เริ่มเปิดแง้มเพียงเล็กน้อย แต่ก็น่ายินดีเป็นล้นพ้น คามินกุมมือข้างนั้นแน่น
“เอ่อ...เจ้าจะว่ากระไรไหม หากจะไปลาแม่ข้าก่อน บอกท่านว่าไปไม่กี่วันท่านคงไม่ว่าหรอก”
“เพื่อเป็นแลกเปลี่ยนนะ เจ้าต้องพาข้าไปหามะรุมด้วย”
นี่เป็นยิ้มแรกที่เบิกบานราวกับดอกไม้แรกแย้มต้องแสงอาทิตย์ เพื่อเขาโดยเฉพาะ
คามินยิ้มกว้าง นี่เองคนมากมายถึงได้ยอมตายเพื่อชาวนนทิการ ยิ้มเดียวก็มีค่ามหาศาล
****************