My First Boyfriend:Part 2 By Katesnk
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My First Boyfriend:Part 2 By Katesnk  (อ่าน 183440 ครั้ง)

abcd

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #60 เมื่อ28-08-2007 13:30:51 »

เพื่อป้อม(อดีต)ที่ร้ากกกกก  :a14: +1ให้คนที่มาเม้นท์ทุกคนเยย  :m1:

++++++++++++++++++++++++++++++++++



บทที่ 8

ผมบอกกับน้อย แต่ก็ถือเหมือนกับถือโอกาสพูดกับเดียร์ทางอ้อม เด็กหนุ่มหน้าเจื่อนลง เขาเม้มริมฝีปากแน่น แววตาหม่นหมอง คงรู้สึกสะเทือนใจกับคำพูดของผม ช่างปะไร ถ้าเขารู้สึกเจ็บปวด เขาจะได้รู้ว่า ความหวังของเขาที่มีต่อตัวผม มันไม่อาจจะเป็นจริงได้ เขาจะได้หมดกำลังใจแล้วเลิกตอแยผมเสียที

“แต่ความสำเร็จย่อมเป็นของคนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆนะครับเรียว”

เสียงเด็กหนุ่มตอบกลับมา ท่าทีของความมั่นอกมั่นใจกลับมาหาเขาอีกครั้ง

“อื้อ นั่นสินะคะ น้อยก็ว่างั้นแหละ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น”

น้อยเสริมคำพูดของเด็กหนุ่ม ผมมองคนทั้งสองด้วยสายตาที่บอกความเบื่อหน่าย นี่จะเล่นกันเป็นทีมเลยหรือไง ยังไง ยังไง ก็จะพยายามโน้มน้าวใจผมให้ได้ใช่ไหม

“บางทีความพยายามในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ก็อาจจะทำให้ผิดหวังนะครับ”

“ผมก็ว่ายังดีกว่าที่จะไม่ทำอะไร แล้วก็ต้องมานั่งเสียใจทีหลังว่าทำไมไม่พยายามทำดู หากเราทำจนกระทั่งสุดความสามารถแล้ว ก็ยังไม่เกิดผล ผมก็เตรียมใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นครับ”

น้ำเสียงของเด็กหนุ่มแสดงออกถึงความตั้งใจที่เด็ดเดี่ยว ดวงตาที่มองมายังผมฉายแววมุ่งมั่น เขามีท่าทางที่จริงจังจนผมนึกกลัว

“เอาเถอะ จะทำอะไรก็ทำไป คงจะห้ามอะไรไม่ได้หรอก แต่ก็ต้องคำนึงถึงจิตใจของคนอื่นด้วย ว่าเขายินยอมพร้อมใจที่จะให้เราทดลองความพยายามของเราหรือเปล่า บางทีเราคิดว่าเราจะต้องพยายามทำสิ่งที่เราต้องการให้ได้ แต่อีกฝ่ายหนึ่งอาจจะไม่ชอบใจที่เราไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของเขามากไป บางทีนอกจากจะไม่ชอบแล้ว อาจจะรำคาญก็ได้ หรืออาจจะส่งผลในทางตรงกันข้ามกันเลยก็ได้”

ผมไม่อยากให้เขาคาดหวังอะไรจนมากเกินไป แต่ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นผู้ที่ไม่ยอมล้มเลิกสิ่งที่ตัวเองทำง่ายๆ แววตาของเขาฉายแววดื้อดึง ขณะที่ตอบกลับผม

“ไม่ว่าอย่างไร ผมก็จะพยายามทำมันให้ดีที่สุดครับ”

ผมเบือนหน้าหนี หันเหความสนใจไปจากเด็กหนุ่ม ไม่อยากเห็นสีหน้าและแววตาที่เขามองมา มันทำให้จิตใจผมหวั่นไหว ผมไม่อยากสงสารเขาไปมากกว่านี้ ผมจึงชวนน้อยคุยด้วยเรื่องทั่วๆไป เช่นเรื่องร้านของเขา เรื่องเกี่ยวกับการชกมวย เพื่อเบี่ยงเบนประเด็นไม่ให้มาเข้าใกล้ตัว

ตลอดเวลาเหล่านั้น เด็กหนุ่มได้แต่นั่งนิ่งเงียบ มองหน้าผมตลอดเวลา สายตาของเขามา มีความปรารถนาลึกล้นอยู่ภายใน แม้ว่าผมจะแสร้งทำเป็นพูดคุยอย่างสนุกสนานกับน้อย แต่ก็รู้ดีว่าบรรยากาศการคุยไม่ได้เป็นอย่างที่ผมพยายามทำให้มันเป็น น้อยเองก็คงจะรู้เช่นกัน เพราะการถามคำถามของผม มันเป็นการถามแบบส่งๆ เหมือนไม่มีอะไรจะคุยกันมากกว่า

เรานั่งคุยกันร่วมชั่วโมง ผมก็คิดว่าน่าจะได้เวลากลับซะที อันที่จริงผมอยากจะให้เรื่องนี้มันจบลงโดยเร็ว อยากจะกลับบ้านจะแย่อยู่แล้ว ใจหนึ่งก็คิดว่าอยากจะขับรถกลับบ้านไปเลย ในเมื่อมีโอกาสแล้ว รถของเราก็อยู่นี่ ข้าวของที่ติดตัวมาก็อยู่ในรถหมด กระเป๋าเงิน ก็อยู่ที่กางเกง เด็กหนุ่มคนนี้แค่ต้องการจับตัวผมมาเท่านั้น ทรัพย์สินอื่นๆของผม เขาไม่แตะต้องเลย ยังอยู่ครบหมด แต่ผมก็กลัวว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะตามติดไปบ้านตามที่ได้พูดไว้ หากผมขับกลับกรุงเทพจริงๆ

ผมหันไปมองหน้าเด็กหนุ่ม แล้วบอกกับเขาว่าอยากกลับบ้าน เขายิ้มกริ่ม เหมือนรอคำพูดนี้จากปากผมอยู่ก่อนแล้ว เขาบอกให้น้อยคิดเงินค่าอาหาร แต่น้อยไม่ยอมคิดบอกว่าเพื่อนเก่ามาทั้งที ก็เลยขอโอกาสเป็นเจ้ามือเลี้ยง แม้ว่าเดียร์จะแสดงความเกรงอกเกรงใจด้วยการยัดเยียดเงินให้ แต่น้อยก็ส่งเงินคืนกลับไม่รับท่าเดียว ผมกับเดียร์ก็เลยกล่าวขอบคุณน้อยในความมีน้ำใจของเขา น้อยอาสาไปส่งพวกเราที่ลานจอดรถ ก่อนจะลาจากกัน ขณะที่เดียร์ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ น้อยก็แอบมาพูดกับผมว่า

“เรียวคะ อย่าหาว่าน้อยยุ่งเลยนะคะ แต่น้อยสงสารเพื่อนน้อยคนนี้ เดียร์น่ะ เขารักคุณมากเลยนะคะ เขาเอาแต่พูดถึงคุณตลอดเวลา เลยค่ะ เขาบอกว่าคุณมีพระคุณต่อเขามาก ช่วยชีวิตเขาไว้หลายครั้งจากอันตรายต่างๆ เขาปรารถนาจะตอบแทนคุณ อยากทำให้คุณมีความสุข เขาบอกกับน้อยว่าเขาจะไปหาคุณที่กรุงเทพ จะตามจนเจอ แล้วทำให้คุณคิดว่าเขามีความสำคัญให้ได้ นี่เขาตามเจอคุณแล้ว เขาคงบอกความในใจคุณแล้วใช่ไหมคะ น้อยอยากให้คุณเชื่อว่าทุกอย่างที่เขาพูดเป็นเรื่องจริง และเขาทำเพื่อคุณจริงๆ”

สาวร่างล่ำบอกกับผมด้วยท่าทางเกรงอกเกรงใจ ดูท่า น้อยคงจะรักเดียร์มาก ถึงอุตส่าห์ลงทุนมาพูดให้แบบนี้
“อย่าบอกเรื่องนี้ให้เขาฟังนะ ว่าน้อยมาพูดกับคุณ อันนี้เป็นความคิดน้อยเอง เขาไม่อยากให้น้อยมายุ่งเรื่องนี้ เขาไม่อยากให้คุณเข้าใจว่าเขาให้น้อยช่วยพูดให้ น้อยพูดเพราะเต็มใจอยากช่วยเพื่อน สงสารเขาน่ะค่ะ”

“สงสารแล้วทำไมไม่เป็นแฟนเขาเองล่ะ” ผมถามยิ้มๆ

“อุ๊ยตาย” น้อยยกมือขึ้นทาบอก

“ถ้าเขายอมก็ดีสิคะ น้อยจะดูแลเขาอย่างดีเลยล่ะ แต่ไม่ดีกว่า น้อยรู้ว่าในใจของเพื่อนน้อยคนนี้เขามีแต่คุณคนเดียวเท่านั้นค่ะ ”

“วัยเขายังเด็กอยู่นะครับ คงจะคลั่งไคล้ไปชั่วครู่ชั่วยาม แต่ถ้าเจอคนใหม่ที่เขาพร้อมจะเล่นด้วยกับตัวเอง ก็คงเปลี่ยนใจเองแหละ” ผมบอกกับน้อย

“คงไม่ใช่เพื่อนของน้อยแน่ค่ะ เขาพูดถึงคุณมาตั้งแต่ 4 ปีที่แล้ว ทุกวันนี้ก็ยังชอบพูดเรื่องคุณอยู่ ไม่ได้เข้าข้างเพื่อนนะคะ แต่น้อยพูดความจริง”

ผมพยักหน้าให้น้อยเป็นเชิงว่าผมเข้าใจในตัวเขา แล้วก็ยิ้มให้เขา เพื่อให้เขารู้ว่า ผมไม่ได้โกรธในสิ่งที่เขากำลังทำอยู่

“ครับ เชื่อครับ แต่ไม่อยากคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกแล้วนะครับ เพราะว่า ผมคงไม่เปลี่ยนใจแน่ อย่างไรก็ตาม ฝากคุณน้อยช่วยบอกให้เพื่อนเขาเตรียมตัวเตรียมใจไว้ด้วย บอกเขาว่า อย่าคาดหวังอะไรมาก หากไม่อยากที่จะพบกับความผิดหวังในภายหลัง”

น้อยขยับปากจะพูดกับผมต่อ แต่พอดี เดียร์เดินมาถึงตรงที่เราสองคนยืนคุยกันพอดี เขาทำหน้าเหรอหรา เมื่อเห็นน้อยมองหน้าเขา แต่น้อยรีบพูดกลบเกลื่อนแบบมีพิรุธ

“คุณเรียวเขาบอกว่าอาหารอร่อยน่ะเดียร์ คราวหลังถ้าคุณเรียวแกเกิดเปลี่ยนใจ อยากมาทานอีก นายก็พามาได้ทุกเมื่อเลยนะ เราจะลดให้เป็นพิเศษ”

“ถ้าเรียวชอบ ผมก็ยินดีพามานะครับ ถ้าอยากมากินอีกนะ” เด็กหนุ่มหันมายิ้ม ทำหน้าประจบประแจงใส่ผม”

ผมยิ้มตอบ ไม่พูดว่าไร เพราะไม่ได้อยากให้น้อยรู้สึกอึดอัดใจ อุตส่าห์มาพูดให้เพื่อน แล้วก็โกหกทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กลัวเพื่อนจะโกรธ หากผมไม่รับมุขเดี๋ยวเพื่อนสองคนนี้ก็จะผิดใจกันเปล่าๆ เดียร์เดินเข้าไปกอดน้อย พูดอะไรบางอย่างพอได้ยินกันสองคน แล้วเดินมาหาผม เราสองคนลาน้อยที่ตรงนั้น น้อยตะโกนไล่หลังมาขณะที่เราสองคนเข้าเดินไปขึ้นรถ

“วันหลังมาเที่ยว แล้วแวะมากินที่นี่กันอีกนะคะ”

“ครับ” ผมรับคำแล้วหันไปโบกไม้โบกมือให้ ก่อนจะขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ โดยมีเดียร์ก้าวขึ้นมานั่งด้านข้าง ผมขับรถออกไป โดยที่น้อยยืนมองพวกเราจนลับสายตา

“จะไปไหนต่อ.......กลับห้องพักเลยหรือเปล่า” ผมถามเขาเมื่อรถแล่นอยู่บนถนนใหญ่แล้ว

“เรียว อยากไปเที่ยวที่ไหนหรือเปล่าครับ” เขาย้อนถามผม ทำตาแป๋ว

“ทำไม จะพาไปเหรอ” ผมถามเขายิ้มๆ

“ครับ” เขาพยักหน้า

“ทำไมเกิดใจดีขึ้นมาล่ะ ขังฉันไว้ทั้งวัน คราวนี้เกิดจะตามใจให้ไปโน่นมานี่ได้ ไม่กลัวฉันหนีหรือไงล่ะ” ผมถามอีกด้วยความที่ไม่เข้าใจในเจตนาของเขา

“ไม่กลัวหรอก บอกแล้วไง เรียวไปไหน ผมไปด้วย ขอตามไปอยู่ใกล้ๆคุณน่ะครับ”

“มือเท้าฉันเป็นอิสระแล้ว ฉันหนี หรือสู้นายได้สบายมากเลยนะ ถ้าคิดจะจับฉันอีก คราวนี้ได้เจ็บตัวกันไปข้างแน่”

ผมแสร้งทำเป็นขู่ แต่เขาเอามือของเขามาแตะมือผมไว้ แล้วบอกว่า

“มือนุ่มนวลแบบเรียว คงจะสู้กับผมไม่ได้หรอกครับ แล้วผมก็ไม่อยากให้เรียวเจ็บด้วยนะ เรียวคงไม่คิดหาเรื่องแบบนั้นแน่ เพราะเราคุยกันดีๆก็ได้”

“งั้นฉันไม่กลับไปห้องพักนั่นอีกแล้วนะ ขับกลับกรุงเทพฯลยแล้วกัน”

ผมหยั่งท่าทีของเขา เด็กหนุ่มยิ้มหวานให้ผม

“ได้ครับ กลับเลยก็ได้ ที่ไหนก็ได้ที่มีเรียว ผมไปได้ทั้งนั้น”

“ไม่จับตัวฉันไว้แล้วแน่นะ”

เขาส่ายหน้า

“ไม่ครับ ผมไม่อยากทำให้เรียวอึดอึด ผมแค่อยากจะขอร้องคุณให้เป็นแฟนผม แค่อยากอยู่ใกล้คุณเท่านั้น ตอนนี้สิ่งที่ผมต้องการมันก็เป็นจริงแล้ว ไม่จำเป็นต้องมัดเรีเยวแล้วล่ะครับ”

“แล้วถ้าฉันพานายไปส่งตำรวจล่ะ แล้วแจ้งความว่านายลักพาตัว กักขัง หน่วงเหนี่ยวฉันไว้ นายติดคุกหลายคดีแน่”

ผมแกล้งพูดเพื่อให้เขากลัว ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกว่าผมสามารถทำตัวแบบสบายๆได้แล้ว ไม่มีการพันธนาการ ไม่มีการบังคับ หรือข่มขู่ มีแต่การเอาอกเอาใจอย่างสุดของเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆผม

“ถ้าเรียวจะทำ คงทำไปตั้งนานแล้วนะครับ เพราะเรียวมีโอกาสมากมายในการจะหนี หรือร้องให้คนช่วย แต่เรียวก็ไม่ทำ เพราะเรียวเป็นคนจิตใจดี แล้วก็คงรู้ว่า หากเรียวทำอย่างนั้น ผมก็คงหมดอนาคตแน่ ผมคิดว่าเรียวคงอยากจะทำให้ผมเป็นฝ่ายเปลี่ยนใจไปเองมากกว่า ใช่ไหมครับ”

เดียร์พูดยิ้มๆ ท่าทางเหมือนกับรู้เท่าทันความคิดของผมไปเสียทุกอย่าง ซึ่งความจริงสิ่งที่ เด็กหนุ่มพูดมาก็ถูก ผมรู้แน่แก่ใจดีว่าเขาไม่ได้ประสงค์ร้ายต่อตัวผม  เด็กหนุ่มทำทุกอย่างลงไปเพียงเพราะรักและต้องการอยู่ใกล้ ก็แล้วไอ้การที่คนเราจะต้องมาติดคุกเพราะว่าเรารักใครคนหนึ่งมากจนเกินไป มันจึงดูเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่งในความคิดของผม ผมแค่รำคาญใจที่เขามาวอแว อยากสลัดเขาออกไปให้พ้นตัว แต่ผมก็ไม่ได้โกรธเคืองที่เขาจับตัวผมมา จนถึงขั้นที่จะเอาเขาเข้าตะรางหรอก

“นายต้องกลับไปเอาอะไรที่ห้องนั้นอีกหรือเปล่า”

ผมเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากให้เขาคิดว่าผมเป็นคนใจดี จนไม่กล้าทำอะไรเขา

“ไม่ครับ ผมไม่ได้เอาอะไรติดตัวมา นอกจากคุณ”

“ดีมาก ......งั้นกลับกันเลยดีกว่า บ้านนายอยู่ตรงไหน ฉันไปส่งให้”

“อื้อ เดี๋ยวบอกได้ไหมครับ อยากบอกเล่าเรื่องราวระหว่างผมกับคุณอีกสักเรื่อง แล้วดูว่าคุณจะตัดสินใจที่จะยอมรับผมเป็นแฟนได้ไหม”

ผมอยากจะร้องไห้ให้ตัวเองเสียเหลือเกิน เมื่อฟังเขาพูดจบ ถามเขาว่า

“นี่ยังจะพยายามอีกเหรอ”

เด็กหนุ่มพยักหน้า แล้วส่งรอยยิ้มที่อบอุ่นจริงใจมาให้ผม

“ครับ อยากทำให้เต็มที่ ไม่อยากยอมแพ้ง่ายๆ ไม่งั้นที่อุตส่าห์ลงทุนไปจับตัวคุณมา เสี่ยงต่อการที่คุณจะแจ้งความเอาผมเข้าคุก เสี่ยงต่อการที่จะเผลอทำร้ายคุณหากต่อสู้ขึ้นมา หากล้มเลิกง่ายๆสิ่งที่ทำไปก็จะสูญเปล่า ไม่มีความหมาย”

“ตื้อจริงๆเลยนะ เฮ้อ ไม่เคยเห็นใครดื้อรั้นดันทุรังแบบนายมาก่อนเลย”

ผมส่ายหัว ก่อนจะเบนรถเข้าไปสู่ถนนที่มุ่งสู่กรุงเทพ ผมได้ยินเสียงหัวเราะหึหึหึจากเขา

“ทำไมคุณไม่บอกเขาไปล่ะครับ ว่าคุณก็เคยไปดูคาร์บาเร่ต์โชว์คณะที่ผมเต้นอยู่มาแล้วครั้งหนึ่ง แล้ววันที่คุณไปวันนั้นผมก็เต้นด้วย”

อยู่ๆเขาก็พูดทำลายความเงียบขึ้นมา

“อะไร” ผมทำหน้างง

“ฉันเคยไปดูนายเต้นที่ไหนกัน ไม่เห็นรู้เรื่อง เพี้ยน จำคนผิดหรือเปล่า นายเนี่ย”

“ก็ที่คลับ..............ที่อยู่ตรงพัทยาเมื่อ ปีที่แล้วไงครับ”

เขาเอ่ยชื่อคลับสำหรับนักท่องเที่ยวมีชื่อที่พัทยา ผมทำท่านึก แล้วก็ร้องอ๋อ จำได้แล้ว เมื่อปีที่แล้ว ผมเคยพาเพื่อนๆที่ทำงานร่วมกันไปเที่ยวที่คลับแห่งนี้ แล้ววันนั้นเขาก็มีการโชว์แบบคาบาร์เร่ต์บนเวทีให้ดูด้วย ผมจำรายละเอียดการไปคราวนั้นได้ แต่ผมไม่ยักกับจำเรื่องเกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนนี้ได้

“ฉันไม่ยักกะรู้ว่าวันนั้นนายเต้นด้วย”

“คนดูทั่วๆไปอาจจะไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดในตัวคนที่มาเต้นหรอกครับ อีกอย่างวันนั้นผมก็ไม่ได้แต่งตัวเป็นผู้ชายตามปกติเหมือนอย่างทุกวันน่ะครับ คุณก็อาจจะจำไม่ได้ แต่คุณยังให้ทิปกับผมเลย แล้วก็ยังยืนคุยกับผมตั้งนานตอนที่เลิกการแสดงแล้ว”

เขาบอกผมด้วยแววตาเป็นประกาย ผมขมวดคิ้ว พยายามนึก

“อย่าบอกนะว่า นายคือน้องกระเทยคนนั้น” ผมร้องอุทานอย่างคาดไม่ถึง

“ใช่ครับ” เขายิ้มอายๆ

ภาพเหตุการณ์เมื่อหนึ่งปีที่แล้วผุดขึ้นมาในความคิดของผม ตอนนั้นผมมาตรวจเยี่ยมงานที่พัทยาอีกครั้ง เนื่องจากมีปัญหาเกิดขึ้น ผมทำงานอยู่บริษัทประกันชีวิต เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายพิจารณารับประกัน  แต่ดูแลเรื่องการรับประกันชีวิตกับคนที่อยู่ทางภาคตะวันออกทั้งหมด โดยปกติงานที่ผมทำไม่มีความจำเป็นที่จะต้องออกต่างจังหวัด เพราะผมไม่ได้เป็นฝ่ายขาย แค่รอให้ตัวแทนไปขายประกันมา แล้วส่งงานเข้าบริษัทเท่านั้น

แต่บางกรณีตัวแทนไปขายประกัน แล้วเจอลูกค้าที่มีปัญหา เช่น ให้รายละเอียดเกี่ยวกับอาชีพไม่ชัดเจน หรือมีความเสี่ยงในแง่ของสุขภาพ หรือเสี่ยงต่อการเป็นโรคภัยไข้เจ็บร้ายแรง แล้วแถลงเข้ามาอย่างคลุมเครือหรือมีการปกปิด ผมและทีมงานฝ่ายตรวจสอบก็จะลงไปเยี่ยมเยียนพื้นที่ เพื่อดูว่าสิ่งที่แจ้งมามีความเป็นจริง น่าเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด แล้วก็ถือโอกาสลงไปพูดคุยให้ความรู้กับตัวแทนประกันชีวิต ให้เขาขายประกันได้อย่างถูกต้อง ซื่อสัตย์ และขายอย่างมีคุณธรรม ไม่เอารัดเอาเปรียบ หรือพยายามเข้าข้างลูกค้าจนเกิดเป็นกรณีทุจริตขึ้น

เด็กเดียร์นั่นพูดถูกอยู่บ้างตรงที่ผมเป็นคนชอบช่วยเหลือผู้อื่น เพราะตอนเด็กๆพ่อแม่ของผมจะพร่ำสอนเรื่องการทำความดีเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ตลอดเวลา พ่อผมเป็นหมอ ในขณะที่แม่ของผมเป็นครู แต่ผมน่ะไม่เลือกที่จะทำงานแบบพ่อกับแม่ เพราะเห็นว่าไม่มีอิสระ แล้วต้องวางตัวให้ดูดีน่าเคารพเชื่อถือตลอดเวลา ทำตามใจปรารถนาไม่ได้ ผมจึงเลือกที่จะทำงานอยู่ในแวดวธุรกิจประกันชีวิต เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายพิจารณารับประกันที่บริษัทแห่งหนึ่ง

ผมคิดว่าการที่เราจะช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนตกทุกข์ได้ยาก อยู่ตรงไหนก็สามารถทำได้ทั้งนั้น แต่การที่ผมเลือกทำงานนี้ เพราะผมเห็นว่าประกันชีวิตจะทำให้คนที่เดือดร้อนหลังจากการที่หัวหน้าครอบครัวต้องตายจากไปก่อนเวลาอันสมควรจะได้มีเงินจำนวนหนึ่งเลี้ยงตัวเองและลูกน้อยต่อไปจนกว่าจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตนเอง

เป็นเพราะผมรับผิดชอบในภาคตะวันออก ผมจึงต้องลงมาเยี่ยมเยียนพื้นที่แถบนี้อย่างน้อยก็ปีละ 2-3 ครั้ง เมื่อปีที่ผ่านมา ตัวแทนที่ส่งงานเข้ามา ไปขายประกันในวงเงินที่สูงมากให้กับนักธุรกิจคนหนึ่ง แต่เมื่อดูอายุและวงเงินพบว่า ลูกค้าคนนี้จำเป็นต้องตรวจสุขภาพ เพราะมีความเสี่ยงสูง แต่ลูกค้าไม่ยอมไปตรวจ

จากการสืบค้นพบว่า น่าจะมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น และตัวแทนไม่สามารถตอบปัญหาให้กับทางบริษัทได้ชัดเจน ผมและเพื่อนที่อยู่ฝ่ายตรวจสอบจึงลงมาพื้นที่เพื่อพบปะพูดคุยกับลูกค้าและตัวแทน แล้วก็เลยถือโอกาสออกเยี่ยมเยียนสาขาในภาคตะวันออกทั้งหมด จัดอบรมความรู้ให้กับตัวแทน

เราใช้เวลาเดินสายอยู่ที่นี่อาทิตย์หนึ่ง โดยไล่มาตั้งแต่ ตราด จันทบุรี ระยอง แล้วมาพัทยา ชลบุรี ก่อนจะกลับเข้ากรุงเทพ

วันที่ผมกับเพือ่นไปที่คลับนั้น เป็นช่วงสิ้นสุดการเดินทางอบรม และหลังจากที่เราเคลียร์ปัญหา จนทำให้ลูกค้ายอมไปตรวจสุขภาพได้แล้ว พวกเราก็เลยจะแวะมาพักผ่อนหย่อนใจกันที่พัทยา ก่อนจะกลับในวันรุ่งขึ้น เพื่อนผมอยากดูการแสดงของสาวประเภทสอง เพราะเห็นว่าที่พัทยามีคณะโชว์ดีๆหลายคณะด้วยกัน เราตระเวนท่องราตรีมาเรื่อยๆ ดื่มกินกันมาพอกรึ่มๆ ก็มาเจอคลับแห่งนี้ ผมกับเพื่อนเลยแวะเข้าไปดื่มกินพร้อมกับดูโชว์ไปด้วย ไม่ยักรู้เลยว่า ที่นี่จะเป็นสถานที่ที่ทำให้ผมได้พบกับเดียร์อีกครั้ง

เด็กหนุ่มยิ้มกว้างให้ผมอีก ผมปรายตามอง แล้วก็หันไปจ้องมองถนนเบื้องหน้า ไม่อยากจะเห็นรอยยิ้มกับตาแป๋วๆนั่น ไม่รู้เป็นไร ตั้งแต่รู้ว่าเขาไม่ได้คิดร้ายผม และที่ทำลงไปก็เป็นเพราะว่าเขารักผมมาก มันทำให้ผมรู้สึกใจอ่อนยวบยาบเมื่อเห็นแววตาและรอยยิ้มแบบนั้นจากเขา

“นั่นเป็นการเต้นที่ผมแต่งตัวเป็นผู้หญิงครั้งแรก และเป็นครั้งสุดท้ายด้วยที่ผมเต้น และทำงานให้กับที่นั่นครับ”

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ แล้วทำไมอยู่ดีๆนายถึงไปแต่งเป็นผู้หญิงแบบนั้นได้”

ผมถามเขา ใจคิดไปถึง นักแสดงสาวประเภทสองรูปร่างสูงใหญ่ ในชุดราตรีสีแดงเพลิง ดูสวยสง่าเตะตา คนที่ผมได้คุยด้วยหลังจากที่เลิกการแสดงแล้ว และอะไรบางอย่างที่ผมได้ทำร่วมกับเขา แต่ยังนึกไม่ออกในตอนนี้

“วันนั้นตัวแสดงสาวประเภทสองคนหนึ่งเกิดป่วย หัวหน้าคณะเลยขอให้ผมแสดงแทน ผมเห็นว่า ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่เดินไปเดินมาเฉยๆบนเวที เพราะเพลงมันช้าอยู่แล้ว ผมไม่ต้องเต้นด้วย ก็เลยยอมครับ ก็เขินอยู่เหมือนกันนะ ที่ต้องใส่ชุดราตรีสีแดงขนาดนั้น ต้องใส่วิก แต่งหน้าทาปากเข้มให้ดูเหมือนผู้หญิง ต้องยัดสิลิโคนที่หน้าอก เพื่อหลอกว่ามีนม ใช้สเตย์รัดหน้าท้องให้กิ่ว จะได้ดูมีทรวดทรงองค์เอว แถมซ้ำยังต้องใส่ส้นสูงเดินด้วย เมื่อยขาชะมัดเลยครับ”

เขาหัวเราะอย่างขำตัวเอง ที่ทำแบบนั้นไปได้

“โชคดีที่การแสดงชุดนั้นเป็นชุดก่อนที่จะถึงชุดสุดท้าย แล้วผมก็ไม่ต้องออกมาเต้นต่อ ไม่งั้นคงจะเต้นไม่ไหวแน่ ตอนที่การแสดงจบลงแล้ว แล้วเขาให้พวกนักแสดงออกมายืนคอยส่งแขกที่มาเที่ยว ผมรู้สึกตื่นเต้น ใจสั่นไปหมดเลย ตอนที่เห็นคุณเดินออกมาจากข้างใน ไม่คิดว่าคุณจะไปเที่ยวที่นั่นด้วย

อุตส่าห์ยืนยิ้มให้คุณ พยายามส่งกระแสจิตไปหา ให้คุณมองกลับมาบ้าง อยากจะเข้าไปทัก แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะผมกำลังอยู่ในระหว่างการทำงาน อีกอย่างคุณก็กำลังยืนพูดคุยหัวเราะกับเพื่อนอย่างสนุกสนาน คุณก็เลยไม่ได้หันมามองทางผมเลย แต่วันนั้นผมก็พยายามมองนะว่า แฟนคุณคนนั้นมาด้วยกันหรือเปล่า แต่ไม่ยักกะเห็น”

“อ๋อ แซนดี้น่ะเหรอ เลิกกันหลังจากที่กลับมาจากพัทยาคราวนั้นน่ะแหละ วันที่ฉันบังเอิญไปช่วยนาย แล้วพาส่งโรงพยาบาลน่ะ แซนดี้เขาเกิดกลัวบ้าอะไรขึ้นมาไม่รู้ ทะเลาะกับฉันใหญ่โตเลยว่าเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับพวกนักเลงโต เดี๋ยวจะมีเรื่องเดือดร้อนตามมาทีหลัง เขากลัวว่าเขาจะถูกคนปองร้าย เลยพาลหาเรื่องเลิกกับฉันน่ะ”

“เหรอครับ ผมขอโทษนะครับ ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น แต่แหม ไม่อยากจะบอกเลยว่า ผมไม่รู้สึกเสียใจเลย ที่คุณเลิกรากับแฟนสาวคนนั้น ดีเสียอีกที่หมดคู่แข่งไปได้”


เขาหัวเราะอย่างร่าเริง จนผมอดรู้สึกหมั่นไส้ ไม่ได้ เลยขอต่อว่าสักหน่อยพอให้หายเคือง

“เอ้าหัวเราะเข้าไป ดีใจเข้าไป เรื่องความทุกข์ร้อนใจของคนอื่นนี่ชอบฟังจังนะ รู้สึกว่าการเห็นคนอื่นร้าวฉานกัน จะเป็นสิ่งที่ทำให้นายพึงพอใจใช่ไหม ฉันขอแช่งให้นายไม่สมหวังในเรื่องของความรัก รักใครก็ขอให้เขาไม่รักตอบ นายจะได้รู้ว่าความผิดหวังมันเป็นอย่างไร”

“อ๊า อย่านะครับ อย่าพูดจาอย่างนั้นสิ ไม่ดีนะ เดี๋ยวเข้าตัว เรียวนี่ ยังไงกันนะ ทำไมมาแช่งให้รักของเราไม่สมหวังล่ะ ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้เลยนะ แล้วอย่าพูดอย่างนี้อีกรู้ไหม ถ้าไม่อยากให้รักของเราจบลงในแบบที่ไม่ต้องการ”

ผมหยุดรถกะทันหัน อยากจะหัวเราะให้กับคำพูดแบบคิดเอง เออเองของหมอนี่ อีกทั้งรู้สึกหมั่นไส้ และระอาใจ กับความไม่รู้สึกรู้สาอะไรของเขา ไม่ว่าผมจะพูดว่าอะไรออกไป ก็ไม่ได้ทำให้เขากระทบกระเทือนแม้แต่นิดเดียว ยังคงมุ่งมั่นแน่วแน่กับสิ่งที่ตัวเองทำ

เด็กหนุ่มหัวเราะขำหน้าตาของผม มันคงจะดูประหลาดๆในสายตาของเขา ผมเหลือบมองหน้าตัวเองในกระจกมองหลัง เห็นใบหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งกำลังจ้องมองตอบกลับมา

“หัวเราะก็ได้ครับ”

เด็กหนุ่มทำหน้าทะเล้น ผมมองหน้าเขา แล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
เขาเองก็ประสานเสียงหัวเราะไปกับผมด้วย

“นายนี่ ไม่ไหวเลยนะ คิดไปเองฝ่ายเดียวก็เป็นด้วย” ผมยังไม่หยุดขำ

“ก็แหม จะมัวแต่คิดว่าเรื่องนั้นเรื่องนี้มันไม่มีทางเป็นไปได้ ได้อย่างไรเล่าครับ ตัดกำลังใจตัวเองหมด สู้คิดว่ามันต้องทำได้ ต้องเป็นไปได้ดีกว่า จะได้มีพลังใจที่จะทำ”

abcd

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #61 เมื่อ28-08-2007 13:31:20 »

ผมก้มหน้าลงกับพวงมาลัยอย่างหมดแรง เนื่องจากหัวเราะจนเหนื่อย แล้วหันหน้าด้านข้างมาทางเขา เด็กหนุ่มยิ้มหวาน มองผมอยู่ก่อนแล้ว ดวงตาของเขาเป็นประกายสุกใส แม้จะมองจากแสงไฟสลัวข้างทางที่ส่องผ่านเข้ามาในรถก็ตาม ดูท่าทางเขามีความสุขที่ทำให้ผมหัวเราะได้

“ดีจังเลยนะ ที่ได้เห็นเรียวหัวเราะ มันทำให้โลกนี้ดูสดใส น่าอยู่ขึ้นจังเลยครับ”

“นี่ๆ พอๆไม่ต้องมายกยอกันให้มาก ฟังแล้วจะคลื่นไส้ เล่าต่อเถอะ ว่าเรื่องมันเป็นยังไง”

ผมอดไม่ได้ที่จะพูดแขวะเด็กหนุ่ม แล้วเร่งให้เขาเล่าต่อ

“ใจร้อนจังนะ จะรีบร้อนหนีผมไปไหนเหรอครับ ถึงเร่งให้ผมเล่ายิกเชียว”

เขามองผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ ผมรู้สึกแย่จัง ตรงที่ไม่ว่าจะคิดหรือทำอะไรในใจ เขาก็จะรู้เท่าทันไปเสียหมดทุกอย่าง อาจจะเป็นเพราะผมเก็บอาการไม่เก่ง หรือว่าเขาคอยแต่จะจ้องมองผมอยู่ตลอดเวลากันนะ ถึงทำให้เขารู้ว่าผมคิดอะไรอย่างไร

“ก็มัวแต่โยกโย้อยู่นั่นแหละ เรื่องที่เล่าก็ไม่จบเสียที ทำเป็นละครช่องเจ็ดไปได้ ที่ชอบยืดเรื่อง กว่าจะจบก็เป็นเดือนๆ ฉันไม่รอนานขนาดนั้นนะ มีธุระต้องทำมากมาย ไม่ว่างพอจะมาเล่นเกมส์กับนายหรอก”

เด็กหนุ่มยื่นมือมาสัมผัสใบหน้าผม แล้วไล้มืออย่างแผ่วเบา ดวงตาจับจ้องที่ริมฝีปากของผม เขาทำท่าซึ้งชวนฝัน ผมเด้งตัวขึ้นนั่งตามเดิมมองเขาอย่างระแวง

“นี่จะทำอะไร ไม่ใช่เวลามาทำโรแมนติกนะ บ้าหรือเปล่านี่ จะคิดปล้ำฉันในรถนี่หรือไง”

เด็กหนุ่มหัวเราะก๊าก ทำหน้าหื่นกามใส่ผม

“อยากลองดูเหมือนกันน้า แต่ไม่เอาอ่ะ ครั้งแรกของเรียว ต้องอยู่ในที่ที่สบายๆกว่านี้นะ จะได้โรแมนติกแล้วติดใจ คิดถึงผมไปนานๆ”

“ออกแนวเรตเอ็กซ์มากไปแล้วนะ พอได้แล้ว รู้สึกสยองอย่างไรไม่รู้”

“แหมเรียวล่ะก็ เรื่องธรรมดานะ คนรักกัน ก็ต้องมีเรื่องแบบนี้บ้าง ตอนเรียวมีแฟนเป็นผู้หญิง เรียวก็คงทำอะไรกับแฟนตัวเองเหมือนกันใช่ไหม ผมน่ะ ยังอยากทำให้เรียวเลย ตรงไหน ที่ไหนก็ได้ ถ้าเรียวชอบ ผมยินดีทำให้ ทุ่มสุดตัวเลย”

เขาทำหน้าทะเล้น แต่ผมนั่งหน้าหงิก เพราะหมอนี่ชักพูดเข้าทางตัวเองอีกแล้ว

“เพ้อเจ้ออีกแล้ว ใครเป็นแฟนนาย แล้วใครจะบ้าไปมีอะไรด้วย รีบๆเล่ามาเถอะ เรื่องที่นายว่านะ อย่าเสียเวลาเลย”

ผมทำเสียงดุใส่เขา หน้าที่บานเป็นดอกบัว หุบลงทันใด แต่เดียร์ก็ยังอุตส่าห์ส่งยิ้มให้ผม ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องต่อ

“วันนั้นน่ะ ผมนึกว่าเรียวจะไม่หันมามองผมแล้ว ก็ต้องขอขอบคุณเจ้าน้อยเพื่อนผมน่ะครับที่มันวี๊ดว๊ายเสียงดัง ตอนที่ผมชี้ให้มันมองดูคุณ มันเลยทำให้คุณหันมาให้ความสนใจกับผม แล้วก็ต้องขอขอบคุณมันด้วยที่ทำเป็นเจ้ากี้เจ้าการ ออดอ้อนชวนคุณพูดคุย เราเลยมีโอกาสได้พูดกัน

คุณยังชมผมเลยนะครับ ว่าแต่งตัว แต่งหน้าสวยมาก เหมือนผู้หญิงเลย ผมไม่ค่อยชอบคำชมนี้หรอกครับ เพราะไม่ได้อยากเป้นผู้หญิง อยากให้เรียวเห็นตอนผมเต้นแมนๆมากกว่า แต่ก็เอาเถอะเรียวชมผม แค่นี้ผมก็ปลื้มมากแล้ว

แถมซ้ำคุณยังควักเงินให้ผมกับน้อยคนละ 500 แน่ะ บอกว่าเป็นกำลังใจให้พยายามเต้นให้ดีต่อไป ท่าทางคุณดูเหมือนจะเมาๆเหมือนกันนะวันนั้น แต่เมาน่ารักๆแบบนี้ผมชอบ ท่าทางคุณไม่หยิ่งเลย ไม่รังเกียจพวกเราด้วยซ้ำ กลับคุยด้วยอย่างดีเลย น่ารักมาก”

“นี่คงไม่คิดว่าฉันชอบพวกกระเทยใช่ไหมเนี่ย”

ผมถามเขาเพื่อดูว่าเขาคิดอย่างนั้นหรือเปล่า ถ้าใช่ นี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขามาขอความรักจากผม เพราะคิดว่าผมเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกันแน่ๆ

“อ๋อ ไม่หรอกครับ แต่ก็แอบหวังอยู่ลึกๆเหมือนกันนะ”

เดียร์ยิ้มทะเล้นให้ผมอีก ผมสะบัดหน้าหนี แล้วตัดสินใจออกรถ โดยพยายามจดจ่อไปยังจุดหมายปลายทางที่กรุงเทพ พยายามจะไม่ให้ความสนใจกับสิ่งที่เขาพูด

“ผมอยากจะบอกคุณใจจะขาดว่าผมคือใคร แต่ยังไม่ทันได้พูด เพื่อนคุณก็มาลากตัวคุณไปเสียก่อน ผมได้แต่นึกเสียดายอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีโอกาสได้พบคุณอีก แต่การที่เจอคุณที่พัทยาถึง 3 ครั้งแบบนี้ ก็บ่งบอกว่าคุณต้องมาแถวนี้บ่อยๆ อาจจะทำงานอยู่แถวนี้ หรือชอบมาเที่ยวที่นี่ก็ได้

ถ้าหากสิ่งที่ผมคิดไว้เป็นจริง ผมคงมีโอกาสเจอคุณสักวัน แต่ถ้าไม่เจอ ผมก็คิดไว้ว่าจะพยายามเก็บเงิน แล้วหาโอกาสไปเยี่ยมเยียนเพื่อขอบคุณเรียวที่กรุงเทพสักครั้ง”

“หลังจากพวกเราส่งแขกกันเสร็จเรียบร้อย ผม , เจ้าน้อย และเพื่อนๆกระเทยสาวๆ ก็คิดว่าจะไปหาอะไรทานกัน ตอนแรกผมว่าจะไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว แต่เพื่อนคนอื่นๆบอกว่าหิวกันแล้ว ให้ไปกินกันก่อน ค่อยเอาเสื้อผ้ากลับคืน เจ้าน้อยเองก็บอกว่า อยากเห็นผมแต่งแบบนี้ เพราะนานๆจะเห็นผมในชุดเสื้อผ้าแบบผู้หญิง

ถึงผมจะบอกว่าไม่อย่างไร พวกนั้นก็ไม่ยอมฟัง ผมก็เลยยอมทำตาม โดยเปลี่ยนแค่รองเท้าเท่านั้น เราไปกินข้าวกันที่ร้านข้าวต้มโต้รุ่ง กินอยู่ดีๆ ก็มีผู้ชายสูงอายุท่าทางเป็นเกย์คนหนึ่ง เดินเข้ามาหาผม แล้วก็ต่อว่าผมยกใหญ่ หาว่าผมเบี้ยวเขา ผมงงมาก ถามเขาว่าผมไปสัญญาอะไรกับเขาไว้ เขาก็บอกว่าผมน่ะสัญญาว่าจะไปเที่ยวค้างคืนกับเขาคืนนี้...........”

“อ๊ะ นายมีคนมาชอบด้วยเหรอ” ผมโพล่งขึ้นมากลางคัน ทำน้ำเสียงล้อเลียนเขา

“ผมก็ไม่รู้นะ” เด็กหนุ่มทำเสียงหงุดหงิด

“ไม่รู้จักด้วย เคยเห็นว่าเขามาดูโชว์ที่ผมแสดง นั่งหน้าๆเลย แล้วชอบซื้อโน่น ซื้อนี่มาให้เป็นประจำ มีความพยายามอย่างมากที่จะชวนให้ผมไปไหนมาไหนด้วย แต่ผมก็ไม่เคยคุยด้วย ไม่เคยไปไหนกับเขา ไม่พยายามที่จะไปทำความรู้จัก ท่าทางเขาหื่นกามน่ากลัวมาก”

เขาทำท่าขนลุกขนพอง ผมเลยหัวเราะก๊าก ทำน้ำเสียงเหน็บแนมใส่เขา

“ท่าทางเหมือนที่นายทำกับฉันใช่ไหม สมน้ำหน้า ทีตัวเองโดนบ้างก็รู้สึกขยะแขยง แต่เวลาทำกับคนอื่น ไม่เห็นจะคิดเลย”

ออฟไลน์ ~ScAreD:SAcreD~

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1811
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-2
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #62 เมื่อ28-08-2007 15:19:06 »

ชิส์ ใช่สิ เค้ามันเป็นอดีตไปแล้ว  :m14:

 :m4: (แต่ทำไมดีใจวะ)  ล้อเล่น

ขอบคุณนะจ๊ะ  o17

ออฟไลน์ Lucifer

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #63 เมื่อ28-08-2007 15:33:54 »

ทำร้ายจิตใจกันจังเลยน๊า  :m21: :m21:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #64 เมื่อ28-08-2007 15:57:44 »

รอลุ้นต่อปายย  :a4:  :a4:

sun

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #65 เมื่อ28-08-2007 16:56:02 »

 :m3:   มาลุ้นด้วย คิคิ    :m3:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #66 เมื่อ28-08-2007 19:45:17 »

โห นึกภาพเดียร์แต่งหญิงกับฝรั่งแต่งหญิง สนุกพิลึก อิอิ

OhhO16

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #67 เมื่อ29-08-2007 01:31:45 »

มารออ่านต่อแระ คิคิ :m7: :m7:

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #68 เมื่อ30-08-2007 02:23:35 »

 :m13:
มาต่ออีกเร็วๆนาคับ
จารอๆ

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #69 เมื่อ31-08-2007 15:43:34 »

มา + คืนให้คนโพส คิคิ รออ่านอยู่น๊า  :m19:  :m19:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
« ตอบ #69 เมื่อ: 31-08-2007 15:43:34 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






jomjai

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #70 เมื่อ03-09-2007 11:36:19 »

 o9 o9 o9รออยู่นะคราบ o9 o9 o9

ออฟไลน์ ~ScAreD:SAcreD~

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1811
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-2
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #71 เมื่อ03-09-2007 14:09:23 »

นานล่ะ ที่รัก  คนอ่านรอนานแล้วนะ

มาต่อซ้าทีดิ เด๋วก็โพสเป็นปีๆ อีกหรอก :a14:

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #72 เมื่อ03-09-2007 22:30:01 »

 :a1:
รอค้าบบ
มาเถ้อ
มาสักทีน๊าคับ
ค้างอ่ะ
ฮืออออออออ

abcd

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #73 เมื่อ03-09-2007 22:57:24 »

 :m29:  ติดโรคอู้ซินโดรมมาจากพี่รอยอ่า เหะๆ

++++++++++++++++++++++++++++++++++

บทที่ 9


“อ๊า เรียวอ่ะ เหมือนกันที่ไหนล่ะ ผมทำกับเรียวเพราะรักจริงๆนะ แล้วผมก็เห็นเรียวมีอารมณ์ทุกทีอ่ะ แสดงว่าต้องมีใจชอบผมอยู่บ้างใช่ไหมล่ะ”

เดียร์ลากเสียงยานคางล้อเลียนผม

“บ้ารึเปล่าเนี่ย”

ผมพูดออกไป รู้สึกหน้าร้อนผ่าวด้วยความอับอาย ที่ตนเองเผลอตัวเผลอใจยอมรับในสิ่งที่เดียร์เล้าโลมผม จนเขาแอบเอามาล้อเลียน เด็กหนุ่มหัวเราะชอบใจที่เห็นผมมีอาการขัดเขิน

“เกย์เฒ่าคนนี้น่ะ.........”

เดียร์เริ่มเล่าต่อ

“เขาชอบตามตื้อผม มาดูผมแสดงเกือบทุกวัน แต่ผมก็ไม่เคยมีใจให้เขา แล้วก็ไม่เคยให้ความหวังกับเขาด้วย ตอนหลังเขาก็ตัดใจ ไม่มายุ่งเกี่ยวกับผม แต่เบนเข็มไปชอบเพื่อนผมแทน เพื่อนผมเป็นกระเทยที่ผ่าตัดแปลงเพศแล้ว เต้นกับผมนี่แหละ

เขาจะเอาเรื่องเกี่ยวกับเกย์เฒ่าคนนี้มาพูดกับผม ปรึกษากับผมบ่อยๆว่าผู้ชายคนนี้เป็นอย่างไรบ้าง เพื่อนผมเล่าให้ฟังว่า เกย์คนนี้ เป็นคนรวยมาก แต่อยู่คนเดียว ไม่มีลูกเมีย ซึ่งก็แน่ล่ะ ผมว่าคนเป็นเกย์ ไม่ควรมีลูกมีเมียจะดีที่สุด เพราะอาจจะไปทำให้คนในครอบครัวตัวเองเสียใจก็ได้”

ผมหันมามองหน้าเดียร์ยิ้มๆ เขาเห็นเข้าพอดี เลยทำหน้าเป๋อเหรอใส่ คงรู้ว่าผมกำลังตั้งคำถามเอากับเขาว่า การที่เขาเป็นเกย์แบบนี้ เขาก็ได้ทำให้ครอบครัวเสียใจเหมือนกัน เขาสบตาผม ยิ้มให้ ไม่ได้เอ่ยปากที่จะแก้ตัวอะไร นอกจากจะเล่าเรื่องที่คุยค้างอยู่

“เพื่อนของผมจะชอบชวนให้ผมไปเป็นเพื่อนด้วย เวลาที่เกย์เฒ่าคนนี้ชวนออกไปหาอะไรกินหลังงานเลิก เขาบอกว่ายังไม่กล้าไปไหนกับเกย์เฒ่าคนนี้สองต่อสอง เขาเขินน่ะ แล้วอยากให้ผมไปช่วยดูด้วยว่าคนนี้ดีพอที่เขาจะฝากชีวิตไว้ด้วยได้ไหม

ผมเองก็ไม่ได้อยากไปเท่าไหร่หรอก เพราะไม่ค่อยชอบสายตาเวลาที่เขามองผม มันหื่นกระหายอย่างไรก็ไม่รู้ ถึงแม้เพื่อนผมจะมาบอกว่าเขารักชอบกับเพื่อนผมแล้วก็ตาม แต่ผมก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดี แต่พอเขาเซ้าซี้มากๆเข้าก็เลยไปอย่างเสียไม่ได้น่ะครับ”

เดียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้

“แล้วไง เวลาไปไหนมาไหนด้วย ตาเฒ่าคนนั้นแทะโลมนายหรือเปล่าล่ะ” ผมถามเขา

“ต่อหน้าเพื่อนผม เขาก็ไม่ทำท่าหื่นกามให้เห็นนะครับ แต่ก็จะชวนคุยนั่นนี่กับผมตลอดเวลา ผมก็ตอบบ้าง ไม่ตอบบ้าง แล้วแต่ว่าคำถามมันคืออะไร ถ้าลงลึกเป็นเรื่องส่วนตัวมากเกินไป ผมก็ไม่ตอบครับ แต่เวลาเพื่อนผมไม่อยู่ ตาเฒ่านี่ก็ไม่ละเว้นที่จะพูดจาเกี้ยวพาราสี เสนอเงินทองอะไรให้มากมายเลยล่ะครับ

ผมก็งงว่าเกิดอะไรขึ้นเนี่ย ชอบเพื่อนผม แล้วมาวุ่นวายกับผมทำไม ยิ่งไม่ชอบตาเกย์เฒ่าคนนี้ ก็เลยพาลไม่ชอบใจหนัก ตอนหลังก็พยายามบ่ายเบี่ยงไม่ไปไหนด้วยเพื่อนก็มาอ้อนให้ไปด้วย พอผมเล่าให้ฟังว่าเขาทำอะไรบ้าง เพื่อนผมมันก็ดันไม่เชื่ออีก”

“มันหาว่าผมคิดมากไป แล้วก็ทำเป็นงอนผม ว่าผมไม่เห็นใจในความรักของเขา ผมไม่รู้จะทำอย่างไรก็เลยยอมไปบ้างเป็นบางครั้ง แต่รู้สึกว่าตอนหลังเขาจะเรียบร้อยขึ้น มีแต่แววตาของเขาเท่านั้นที่ยังทำให้ผมรู้สึกได้ว่าเขาไม่ละความพยายาม แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร คิดเสียว่าเพื่อความสุขของเพื่อน ผมไม่เคยรู้เลยว่าเพื่อนผมกับตาเฒ่าเกย์นั่น สมคบคิดกันที่จะให้ตาเฒ่านั่นมีอะไรกับผม”

“แล้วนายเสร็จตาเฒ่านั่นหรือเปล่าล่ะ”

ผมถามเขายิ้มๆ

“ไม่มีวันหรอกครับ ผมโชคดีเสมอ มักจะรอดปากเหยี่ยวปากกามาได้ทุกครั้ง ดวงของผมน่ะ ไม่ได้กับคนพวกนี้หรอกครับ เพราะเนื้อคู่จริงๆของผมน่ะ เป็นคนผิวขาว หน้าตาหล่อๆน่ารักๆ ปากแดงๆเหมือนหนุ่มญี่ปุ่นน่ะครับ กำลังจีบอยู่นะครับ แต่ใจเขาแข็งจัง ไม่รับรักผมซะที”

เด็กหนุ่มแสร้งทำเป็นถอนหายใจ ผมเม้มปากแน่น นั่งนิ่ง ตามองไม่ข้างหน้า ไม่พูดโต้ตอบอะไร ถึงแม้จะรู้ว่าคนที่เขาพูดถึงอยู่คือตัวผมเองก็ตาม เพราะยิ่งพูด มันก็ยิ่งวกเข้าตัวเอง สู้เฉยๆปล่อยให้หมอนี่พล่ามไปคนเดียวดีกว่า

“วันที่ผมไปทานข้าว แล้วเจอตาเฒ่านั่น ก็เป็นแผนของเพื่อนผมอีกเหมือนกัน ผมเพิ่งมารู้หลังจากเกิดเรื่องวันนั้น แม่เพือ่นกระเทยของผม ดันไปรับเงินรับทอง ตาเฒ่านั้นมา แล้วก็ไปสัญญิงสัญญากันว่าจะทำให้ผมยอมรับรักตาเฒ่านั้นให้ได้ เพื่อนผมมันร้อนเงิน มันก็ไปหลอกบอกว่าผมน่ะก็ชอบตาเฒ่านั้นบ้างอยู่เหมือนกัน

แต่ที่ลังเลเล่นตัว เพราะไม่แน่ใจว่าตาเฒ่านั่นจะรักจริง มันหลอกรับเงินเขามา แล้วก็มาหลอกผม สร้างสถานการณ์ต่างๆเพื่อให้ผมยอมไปกินข้าวกับเสี่ยเกย์เฒ่าคนนั้น มันหลอกผมว่า มันกับเขาชอบกัน แล้วมันก็ไปหลอกตาเฒ่านั้นว่าผมก็ชอบเขา”

“เป็นไงล่ะ รู้สึกอย่างไรบ้างที่ถูกคนที่ตัวเองไม่ชอบมาตามตื้อแบบนั้น”

ผมเหน็บแนมอย่างสะใจ เด็กหนุ่มร้องอื้อ .....รู้ว่าผมหาเรื่องว่าเขาทางอ้อม แต่ก็ไม่ได้มีอารมณ์โกรธ หรือโมโหอะไร กลับทำหน้ายิ้มๆ

“เรียวไม่ต้องมาหลอกด่าผมหรอกครับ ทำไมผมจะไม่เข้าใจความรู้สึกของเรียว เพราะผมเองก็เคยรู้สึกอึดอัดแบบนั้นเหมือนกันเมื่อโดนตามตื้อ แต่ตาเฒ่านั้นทำท่าหื่นกามอย่างเห็นได้ชัดนี่ครับ ผมไม่ชอบขี้หน้าเขาอยู่แล้ว พอเห็นกริยาแบบนี้ ยิ่งไม่ชอบใจใหญ่”

“ทำอย่างกับว่าตัวเองไม่หื่นกามงั้นแหละ เห็นไล่ปล้ำฉันตลอดเวลา น่ากลัวมากๆ”

ผมได้ทีเลยโจมตีเขาใหญ่ เด็กหนุ่มค้อนควับ

“เรียวล่ะก็ พูดว่ากลัว แต่ก็เห็นตัวสั่นทุกครั้งเวลาผมกอดจูบลูบคลำ สั่นเพราะกลัว หรือสั่นสู้ละครับ หรือว่ายังไม่แน่ใจตัวเองอีก ว่ารู้สึกอย่างไร อยากให้ผมลองทำกับเรียวอีกสักครั้งไหมล่ะครับ”

อยู่ๆเด็กหนุ่มก็หันมาหาผม แล้ววางมือหมับเข้าตรงหน้าขา ใกล้ๆกล่องดวงใจของผม ผมร้องเฮ้ย เหยียบเบรกรถกะทันหัน รถกระตุกวูบเกือบเสียหลักตกข้างถนน ดีที่ผมประคองรถไว้ได้

“ไอ้เด็กบ้า” ผมตะโกนลั่นรถ

“เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวก็ได้ตายกันทั้งคู่หรอก”

ผมต่อว่าเขาเสียงดังด้วยความโมโหสุดขีด เขาหน้าเจื่อน ทำตาแดงๆเหมือนจะร้องไห้

“ขอโทษครับเรียว ผมไม่ได้ตั้งใจ แค่นึกโกรธที่คุณชอบพูดว่าอยู่นั่นแหละ ทำอย่างกับว่าความรักของผมมันเป็นเรื่องตลกงั้นแหละ ผมรู้ดีครับว่าเรื่องของเรามันอาจจะเป็นไปไม่ได้ แต่ผมก็ยังอยากจะพยายามทำให้มันเป็นไปได้ให้จงได้ ผมไม่รู้ว่าทำไมคุณจึงไม่ชอบพวกเกย์ พวกเราไม่มีหัวใจหรือครับ รักใครไม่ได้เลยหรือครับ”

น้ำเสียงของเขาสั่นเครือเหมือนกับเศร้าเสียใจเสียเต็มประดา

“ฉันไม่เคยพูดเลยนะว่าฉันเกลียดพวกเกย์ ฉันแค่บอกนายว่า ฉันไม่ใช่พวกรักร่วมเพศ ไม่ได้มีรสนิยมแบบนี้ ไม่ได้ชอบผู้ชายแบบอยากเป็นแฟน แล้วก็ไม่อยากให้นายมาใช้ความพยายามกับฉันให้มันมากนัก เพราะถ้ามันผิดพลาดไม่สมหวัง นายจะเสียใจเปล่าๆ”

ผมพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลลง บอกไม่ถูกว่าทำไมจึงรู้สึกสงสารเขาขึ้นมา ไม่อยากพูดให้เขาเจ็บปวด จนกระทั่งรู้สึกว่าตนเองด้อยค่า

“ผมขอโทษนะครับ เมื่อกี้น่ะแค่อยากสัมผัสเรียวอ่ะ อยากรู้ว่าจะรู้สึกอะไรไหม พอคิดได้มือมันก็ไปเลยอ่ะครับ ไม่คิดว่าเรียวจะเบรครถเลย”

เด็กหนุ่มมองผมด้วยแววตาที่ขอความเห็นใจ ผมมองสบตาเขา แล้วก็เบือนหน้าหนี หันมาให้ความสนใจกับการขับรถอีกครั้ง ผมพารถออกไปจากตรงนั้นแล้วก็มุ่งหน้าสู่ถนนที่จะเข้ากรุงเทพอีกครั้ง

“เพื่อนผมมันรับเงินเขามาโดยไปหลอกว่าเดือดร้อนเงิน อยากให้ตาเฒ่านั่นช่วย ถ้าให้เงินผมแล้ว ผมก็จะไปหา ตาเฒ่านั้นก็เลยให้เงินมาแล้วก็เฝ้ารอ แต่ผมก็ไม่ได้ไปหาเกย์คนนั้น เขาเลยมาหาผมตอนคลับเลิกแต่ก็ไม่เจอ พอดีมีคนที่ร้านบอกว่าพวกผมมากินข้าวกัน เขาก็เลยตามมาหาผมจนถึงร้านอาหาร แล้วก็ต่อว่าต่อขานผมเสียยกใหญ่ หาว่าผมรับเงินเขามาแล้ว ก็ไม่ยอมไปตามสัญญาจะโกงกันเหรอ

แกด่าว่าผมเสียงดังมาก ทุกคนมองเรากันใหญ่ แม้กระทั่งพวกเพื่อนๆ เพราะเฒ่าลามกนั่น กล่าวหาว่าผมเอาเงินเขาไปหลายครั้ง เพื่อแลกกับการยอมไปนอนกับเขา เสียงแกดังลั่นร้านเลย แม้ผมจะบอกว่าไม่ได้เอาเงินแกไป แกก็ไม่ยอมเชื่อ ส่วนไอ้เพื่อนตัวดีคนนั้น ก็หายแว่บไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ปล่อยให้ผมเผชิญชะตากรรมตามลำพัง ไม่มีใครกล้าต่อกร หรือช่วยผม เพราะทุกคนกำลังคลางแคลงใจว่าผมหลอกเอาเงินเสี่ยแกจริงหรือเปล่า”

เดียร์เว้นวรรคหายใจก่อนจะพูดต่อ

“แถมซ้ำตาเฒ่านั่นยังพาพวกนักเลงกล้ามโตๆมาด้วยอีก 4-5 คน หน้าตาHereมเกรียมทั้งนั้น ทุกคนก็เลยพร้อมใจกันสงบปากสงบคำปล่อยให้ผมโดนด่าฟรีๆโดยไม่มีใครพูดอะไร ผมโต้เถียงกับคนพวกนั้น ข้าวปลาไม่ได้กินเลย  ตาเฒ่านั่นแกคงโมโหผมมาก ก็เลยให้คนมาฉุดกระชากลากถูผมไป

ผมก็พยายามดิ้นรนขัดขืนนะ แต่ตอนนั้นนุ่งชุดราตรียาว จะเตะจะต่อยแต่ละทีก็ลำบาก พวกมันก็จับตัวผมลากไปที่รถ เพื่อนผมมัวแต่ตกตะลึงกับกลัวคนพวกนั้นทำร้ายเอา ก็เลยไม่มีใครมาช่วยผม พวกมันพยายามจะเอาผมขึ้นรถให้ได้ แต่ผมก็ดิ้นรนต่อสู้ อาศัยที่ผมเคยเป็นนักมวยมาก่อน ก็เลยสามารถที่จะล้มไอ้สองตัวที่พยายามจะยัดผมเข้ารถ ก่อนจะวิ่งหนีออกไปจากลานจอดรถตรงนั้น”

เด็กหนุ่มหยุดเล่า แล้วเอี้ยวตัวหันมามองผม แล้วถามผมว่า

“ถึงตอนนี้ พอจะคุ้นๆอะไรบ้างไหมครับ”

ผมนิ่งเงียบไม่ตอบสิ่งที่เขาถาม แต่ใจลอยไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ผมจำได้ว่า ผมกับเพื่อนออกจากคลับมา ก็รู้สึกหิว อยากจะไปหาอะไรกินกัน เพื่อนผมมันอยากจะไปทานเหล้าต่ออีก

ส่วนผมน่ะไม่อยากทานต่อแล้ว เพราะเริ่มจะมึนนิดหน่อย แต่ไม่ถึงกับเมามากจนไม่รู้เรื่อง เลยไม่อยากกินต่อ อยากกินข้าวมากกว่า เพราะต้องเข้ากรุงเทพในวันรุ่งขึ้น อยากจะไปแต่เช้าๆ ไม่อยากตื่นสาย แล้วก็ไม่อยากขับรถตอนที่ยังแฮงค์อยู่ด้วย

ก็ตกลงกันอยู่นาน เพื่อนผมมันเลยยอมไปกินข้าวด้วย เพราะว่ามันเห็นแก่ผม เราเลยตัดสินใจกันว่า จะไปกินข้าวต้มกัน ซึ่งก็มีร้านข้าวต้มที่เปิดโต้รุ่งกันไม่กี่แห่ง ผมกับเพื่อนเลือกได้ร้านหนึ่งตรงพัทยากลาง ตอนที่เราไปถึงนั้น เป็นเวลาเกือบจะตีสามแล้ว คนในร้านเริ่มจะบางตา มีลูกค้าอยู่เพียง 5-6 โต๊ะ ส่วนใหญ่ก็มาเป็นกลุ่ม

มีอยู่โต๊ะหนึ่งเป็นกลุ่มที่ใหญ่มาก แล้วดูโดดเด่นสะดุดตา เพราะคนในโต๊ะนั้นเป็นสาวประเภทสอง การแต่งตัวของพวกเธอ ดูปราดเดียวก็รู้ว่ามาจากคาร์บาเร่ต์ที่ไหนสักแห่ง ผมรู้สึกคุ้นตากับคนกลุ่มนั้นมาก จำได้ว่าเป็นนักแสดงจากคลับที่ผมกับเพื่อนเพิ่งไปดูมา ช่างน่าบังเอิญอะไรเช่นนี้ที่ได้มาเจอนักแสดงกลุ่มนี้อีก

ด้วยความที่หิวมาก ผมก็เลยเดินตรงเข้าไปเพื่อที่จะเลือกที่นั่งในร้าน กะว่าจะนั่งอยู่ด้านในสุดให้ห่างจากคนกลุ่มนี้ เพราะไม่อยากนั่งฟังการพูดคุยที่ส่งเสียงดังลั่นของพวกเขา พอดีผมเกิดเหลือบไปเห็นว่ามีนักเลงกลุ่มใหญ่ยืนคุยกับสาวประเภทสองกลุ่มนี้อยู่ แต่ดูลักษณะแล้วเหมือนกำลังมีเรื่องกันมากกว่า

โดยเป้าหมายเป็นสาวประเภทสองที่ใส่ชุดสีแดงเพลิง หน้าตาดีที่นั่งหันหน้ามาทางผมพอดี ผมเหลือบตามองแล้วก็นึกขึ้นได้ว่า กระเทยคนนี้คือคนที่ผมคุยด้วยเมื่อตอนคลับเลิกนั่นเอง ผมสงสัยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมเด็กคนนี้จึงถูกกลุ้มรุมต่อว่าต่อขานอย่างหนัก โดยที่ไม่มีใครคิดจะช่วยเหลือเขา

ทุกคนหุบปาก มองดูเฉยๆ ท่าทางตื่นกลัว ปล่อยให้เด็กคนนั้นโต้เถียงตามลำพัง ผมหันหน้าหนี ใจหนึ่งก็อยากเข้าไปช่วยเหลือ แต่อีกใจก็ไม่อยากยุ่ง เพราะผมไม่รู้ว่านี่เป็นการทะเลาะเบาะแว้งด้วยเรื่องชู้สาว มีการหึงหวงกัน หรือว่าเด็กนั่นไปทำอะไรผิดมา จนคู่กรณีต้องเข้ามาเจรจากันแน่

ถึงแม้ว่าผมจะรู้สึกผิดในใจต่อการเมินเฉยในความผิดปกติที่เห็น แต่ผมก็จำเป็นต้องใจดำ ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะไม่อยากให้เรื่องมันบานปลาย แล้วก็ไม่อยากจะหาเรื่องเดือดร้อนมาใส่ตัวด้วย ผมจึงชวนเพื่อนกลับออกไปเพื่อไปหาอะไรกินที่อื่น



abcd

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #74 เมื่อ03-09-2007 22:58:50 »

ขณะที่ผมกำลังเดินไปขึ้นรถที่จอดไว้ ผมก็เห็นคนกลุ่มนั้นกำลังกระชากเด็กนั่นออกมาจากโต๊ะ แล้วเดินมาที่ลานจอดรถ เด็กกระเทยนั่นพยายามดิ้นรนต่อสู้สุดฤทธิ์ แต่ก็ไม่สามารถหลุดจากการเกาะกุมของพวกนักเลงพวกนั้น ผมสังเกตเห็นผู้ชายสูงอายุ ผิวขาวเหมือนคนจีน ตัวใหญ่ แต่ท่าทางการเดินเหินกระตุ้งกระติ้งเหมือนผู้หญิงเดินนำออกมา

เขาร้องสั่งให้คนพวกนั้นจับสาวชุดแดงนั่นเข้ารถ แต่เด็กนั่นก็ดิ้นต่อสู้ เขาชกต่อยนักเลงตัวใหญ่สองคนที่จับเขาไว้ ท่าทางเขาดูปราดเปรียวคล่องแคล่วเหมือนพวกที่เคยคุ้นกับการใช้ศิลปะป้องกันตัวในการต่อสู้ ไม่กี่นาทีเขาก็ล้มเจ้าสองคนนั่นได้ แต่ก็เป็นไปอย่างทุลักทุเล เนื่องจากสภาพร่างกายที่เป็นรองไอ้ยักษ์สองตัวนั่น กับการแต่งกายในชุดราตรีรัดรูปที่ไม่เอื้ออำนวยให้เขาเตะต่อยได้เท่าไหร่นัก

ตลอดเวลาเหล่านั้น ผมเฝ้ามองการต่อสู้ของเด็กกระเทยกับนักเลงพวกนั้นด้วยความรู้สึกลังเลในใจ คิดอยู่ว่าจะเข้าไปช่วยเด็กนั่นดีหรือไม่ แต่ผมก็ห่วงเพื่อนที่กำลังเมาไม่อยากจะดึงเขาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ไม่อยากจะหาเรื่องอีก คราวที่แล้วผมยุ่งกับเรื่องคนอื่นมากเกินไป ทำให้ความรักระหว่างผมกับแฟนสาวพังทลาย ผมเลยคิดหนักเวลาจะเข้าไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่น

แต่แล้วมโนธรรมที่มีอยู่ในใจของผมก็ชนะทุกสิ่ง ผมเปิดกระจกรถเรียกเด็กกระเทยคนนั้นทันทีที่เขาวิ่งหนีคนกลุ่มนั้นมาทางผม เด็กหนุ่มรีบเปิดรถผมเข้ามานั่ง ผมรีบกระชากรถออกจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว มีเสียงตะโกนด่ามาตามหลัง แล้วผมก็เห็นคนกลุ่มนั้นวิ่งไปขึ้นรถอีก 2 คันที่จอดอยู่ ก่อนที่จะขับตามมา

ผมขับรถอย่างรวดเร็วเพื่อหนีการตามล่าของรถนักเลงพวกนั้น แต่พวกมันก็ขับรถตามผมมาติดๆ พยายามที่จะขับชนท้าย หรือเร่งเครื่องเบียดแซงขึ้นมา จะปาดหน้ารถผมให้ได้ แต่ผมก็เหยียบคันเร่งจนมิดเพื่อจะหนีพวกคนร้ายให้ได้ หัวใจเต้นรัวด้วยความกลัว เพราะผมได้เอาเท้าข้างหนึ่งแหย่ลงไปในสิ่งที่เป็นอันตรายต่อชีวิตตัวเอง และเพื่อนที่มาด้วย

ผมพยายามอย่างยิ่งที่จะขับรถหนีไปให้พ้น แต่พวกนั้นก็ตามล่าตามล้างอย่างไม่ลดละ พวกมันขับรถตีคู่กันกับรถผม ขนาบข้างซ้ายขวา แล้วขับเบียดกระแทกรถผม จนรถผมสั่นไปมา มีรอยครูดอยู่สองด้านข้างตัวรถ เพื่อนผมที่กำลังเมาอยู่ตาเหลือกลานเมื่อเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น มันร้องโวยวายไปตลอดทางจนผมเกือบจะสติแตก แต่เด็กกระเทยที่ผมรับขึ้นมาด้วย กลับนั่งนิ่ง

ผมเหลือบมองจากกระจกส่องหลัง ก็เห็นใบหน้าที่ฉาบด้วยสีสันนั้นจ้องมองผมอยู่ก่อนแล้ว ผมเห็นความดีใจฉายชัดอยู่ในแววตาคู่นั้น เจือด้วยความรู้สึกเสียใจ และมีความตื่นเต้นอยู่ในใบหน้าสวยๆนั้น เขาไม่พูดอะไร ได้แต่นั่งนิ่งๆ เดาว่าเขาคงไม่อยากทำให้ผมรู้สึกเครียดไปมากกว่านี้

“ตอนนั้นน่ะ ผมดีใจมากเลยที่เจอคุณที่ลานจอดรถ ผมแทบจะกระโจนเข้าไปกอดคุณเลยรู้มั๊ย ถ้าไม่เป็นเพราะไอ้พวกนั้นมันวิ่งไล่ตามผมมาล่ะก็ ผมเลยทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าเข้าไปหลบอยู่ในรถคุณ  ไม่นึกเลยว่าคุณจะกลายมาเป็นอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยผมอีกครั้ง”

เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงความรู้สึกชื่นชมรักใคร่

“ฉันน่ะน่าจะเชื่อความคิดของตัวเองที่ว่าไม่น่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับนายเลย ยุ่งทีไรมีปัญหาทุกที คราวที่แล้วเลิกกับแฟน คราวนี้รถถูกชน ถูกเบียด ต้องเข้าโรงซ่อม หมดไปหลายหมื่นเลย แล้วผลที่ฉันได้รับกลับกลายมาเป็นต้องถูกนายจับมามัด แล้วยังจะมาบังคับให้ชอบกับนายเสียอีก นี่เหรอผลของการทำความดีของฉัน”

ผมหัวเราะอย่างขมขื่นใจ

“ผมถึงต้องการตอบแทนในสิ่งที่เรียวทำให้ผมไงครับ วันนั้น ถ้าคุณไม่พาผมขับรถหนีไปจนถึงสถานีตำรวจ พวกนั้นก็คงไม่เลิกราง่ายๆหรอก”

เด็กหนุ่มยังพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความชื่นชมรักใคร่เหมือนเดิม ไม่ได้รู้สึกจริงๆด้วยว่าได้ทำให้ชีวิตของผมวุ่นวาย

“แล้วฉันก็รู้สึกว่าตัดสินใจถูกแล้วที่ไม่ได้เดินขึ้นไปบนโรงพักเพื่อไปแจ้งความช่วยนาย เพราะตำรวจคงจะซักถามอะไรยืดยาว เหมือนคราวนั้นอีก แล้วพอดีพอร้ายอาจจะนึกได้ว่าฉันเคยมาแจ้งความเรื่องของนายไว้ครั้งหนึ่ง เดี๋ยวเกิดอยากจะกันตัวฉันไว้สอบปากขึ้นมาจะยิ่งยุ่งไปอีก”

ผมพูดโต้ตอบเขา ขณะเลี้ยวรถเข้าสู่ช่องทางสายมอเตอร์เวย์ เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงรถติดในเส้นที่มุ่งหน้าเข้าสู่บางนา พร้อมกันนั้นผมก็จมดิ่งอยู่ในห้วงแห่งความคิดคำนึงอีกครั้ง……….

หลังจากที่ผมสามารถหลุดรอดการตามไล่ล่า เพราะเห็นสถานีตำรวจอยู่ข้างหน้าจึงขับรถเข้าไปจอดอย่างรวดเร็ว  ผมมองเห็นรถสองคันที่ไล่บี้ผมมาทำท่าจะเลี้ยวตาม แต่ก็เปลี่ยนใจขับรถเลยออกไป ผมจอดรถแช่อยู่หน้าสถานีร่วมชั่วโมง เพื่อรอดูเหตุการณ์ แต่ก็ไม่มีวี่แววของคนพวกนั้นที่จะตามเข้ามา

ผมไม่ได้ต้องการจะแจ้งความ แค่อยากอาศัยร่มเงาอันศักดิ์สิทธิ์ตามอำนาจกฏหมายของตำรวจเป็นที่พึ่ง การได้มาอยู่ในชายคาแห่งสถานีตำรวจ อาจจะช่วยยับยั้งการตามล่าของพวกนั้นได้บ้าง ผมนั่งนิ่งอยู่ในรถ ดับเครื่องแล้ว แต่มือยังคงกำแน่นอยู่ที่พวกมาลัย ความตื่นเต้นต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ผมต้องนั่งนิ่งๆเพื่อระงับอารมณ์

“เกิดอะไรขึ้นวะเรียว”

เพื่อนผมโวยวายขึ้นหลังจากที่มันนั่งเงียบมาตั้งนาน ดูเหมือนว่าเรื่องหวาดเสียวเฉียดตายเมื่อครุ่ ทำให้มันหายเมาเป็นปลิดทิ้ง

“ไม่มีอะไรหรอก แค่มีใครบางคนพยายามที่จะทำให้เราหยุดรถเท่านั้นเอง”

ผมตอบด้วยท่าทีที่สงบลงมาก หลังจากที่ผ่านเรื่องร้ายแรงมาหลายต่อหลายครั้ง ทำให้ผมสามารถจะควบคุมอารมณ์ความรู้สึกได้เยอะ ทำให้ไม่ตื่นเต้นตกใจจนเกินไป แล้วก็มีสติเพียงพอที่จะเอาตัวรอดทุกครั้ง ยังนึกไม่ออกเลยว่า หากผมขับช้ากว่าพวกนั้น แล้วถูกพวกมันจับได้ พวกมันจะทำอะไรกับผมและเพื่อนหนอ

มันจะรุมซ้อมพวกเราหรือเปล่า ดูร่างกายของคนพวกนั้น ไม่น่าที่ผมและเพื่อนที่มีแอลกอฮอล์อยู่ในเลือดระดับหนึ่งจะสามารถต่อกรกับคนเหล่านั้นได้ และถึงแม้ไม่เมา ก็ไม่แน่ว่าจะสู้ชนะ หรือหนีรอดเงื้อมมือนักเลงกลุ่มนั้นไปโดยไม่เจ็บตัว

“แล้วไอ้คนพวกนั้นมันตามพวกเรามาทำไมวะ”

เขาถามอย่างงงๆ หมอนี่คงเมามากจนไม่ได้สังเกตเลยว่าผมรับใครขึ้นมาบนรถ

“เป็นความผิดของผมเองครับที่ทำให้พวกคุณเดือดร้อน”

กระเทยในชุดสีแดงเพลิงที่ผมช่วยชีวิตโดยให้อาศัยรถผมมา และเพิ่งจะรอดพ้นจากการถูกตามล่า กล่าวโพล่งขึ้นมา น่าแปลกที่เขาเรียกตัวเองว่าผม ทั้งๆที่กระเทยส่วนใหญ่จะเรียกตัวเองด้วยชื่อเล่น หรือ ไม่ก็เรียกตัวเองว่า “หนู” เพื่อนผมมันเอี้ยวศีรษะไปมองด้านหลัง

“อ้าวนี่ใครกันล่ะเนี่ย”

“ผมเป็นนักแสดงโชว์จากคาร์บาร์เรต์ครับ วันนี้คุณทั้งสองคนยังไปดูผมแสดงเลยที่คลับ.... เพื่อนคุณคนนี้ยังให้เงินค่าทิปผมกับเพื่อนเลยครับ”

เด็กหนุ่มทวนความจำให้เพื่อนผม

“แล้วมาขึ้นรถเจ้าเรียวมันตอนไหนกันล่ะ เรียวนายแวะรับน้องหนูนี่มาจากคลับเหรอ”

เขาหันมาถามผม ไอ้เพื่อนคนนี้มันเมาไม่รู้เรื่องรู้ราวจริงๆ

“เปล่า” ผมปฏิเสธ

“นี่นายไม่สังเกตอะไรเลยหรือไง หรือว่าเมามากจนมึนกันแน่ ฉันรับน้องคนนี้มาจากตรงลานจอดรถที่ร้านข้าวต้มที่เรากำลังจะไปกินกันไง เขาหนีพวกคนตามล่ามา ฉันก็เลยเรียกให้ขึ้นรถมาด้วย พวกนั้นก็ขับตามไล่บี้เราไง คงอยากจะเอาเรื่องเราที่รับน้องคนนี้ขึ้นรถมาไง”

“อ๋อ......ตอนที่ขึ้นรถมาฉันคงเผลองีบหลับไปอ่ะ มันเมามาก มึนหัวไปหมด แต่ก็รับรู้ตลอดนะว่านายขับรถเร็วมาก แถมซ้ำรถยังเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาเหมือนถูกกระแทก ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกทีก็เห็นรถสองคันขนาบข้าง แล้วพยายามจะชนเราน่ะ” เพื่อนผมเพิ่งถึงบางอ้อ

“แล้วน้องไปทำอะไรให้เขาโกรธ ถึงขนาดตามล่าตัวอย่างนั้นล่ะ” เพื่อนผมหันไปถามน้องกระเทยคนนั้น เด็กนั่นตอบเพื่อนผมว่า

“ไม่ได้ทำอะไรเลยครับ พวกนั้นหาว่าผมไปรับเงินจากเขามา แล้วเบี้ยว ไม่ยอมไปค้างคืนด้วยอ่ะครับ”

“จริงเหรอ”

เพื่อนผมร้องถาม ท่าทางสนอกสนใจขึ้นมาเชียว เพื่อนผมคนนี้มันมีรสนิยมแปลกประหลาด มันชอบผู้ชายที่ท่าทางออกกระตุ้งกระติ้งหน่อย และชอบกระเทยเป็นพิเศษ ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นเกย์ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเกย์ชนิดไหนเท่านั้น

“นี่น้อง นอกจากจะแสดงโชว์แล้ว ยังจะรับจ๊อบด้วยการไปกับแขกอีกเหรอ”

ผมถามเขาด้วยความอยากรู้ หลีกเลี่ยงคำพูดว่าขายตัว เพราะไม่อยากให้เขารู้สึกไม่ดี พลางนึกในใจว่าไม่น่าเลย เด็กนี่ก็ดูหน้าตาดี  หากผ่าตัดแปลงเพศทำหน้าอกแล้วก็คงจะเป็นผู้หญิงที่สวยมาก น่าจะมีผู้ชายบางคนที่เขาไม่ถือสาในเรื่องแบบนี้มารักและอยากจะแต่งงานด้วย กระเทยสมัยนี้หากรู้จักแต่งเนื้อแต่งตัวดีๆ มีกริยามารยาทเรียบร้อย แม้แต่ผุ้หญิงก็ต้องอาย แล้วหลายรายก็ออกเรือนไปมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ ครองรักกันอย่างยาวนาน

“เปล่าครับ เพื่อนผมมันไปหลอกเขาครับ ผมก็เลยซวยไปด้วย” เด็กหนุ่มบอกผมกับเพื่อน

“แล้วนี่น้องจะไปไหนเหรอ มีที่หรือเปล่า ไปพักกับพี่เอาไหม”

เอาอีกแล้ว เพื่อนผมเล่นบทเฒ่าหัวงูอีกแล้ว เห็นกระเทยสวยๆไม่ได้ เป็นออกอาการหื่นทันที ผมเลยต้องออกโรงห้ามปรามก่อนที่เด็กคนนี้จะขวัญเสีย อุตส่าห์หนีเสือ จะมาปะจระเข้เสียแล้ว ผมเลยแกล้งพูดให้เด็กหนุ่มเข้าใจผิดว่าพวกเราแกล้งล้อเขาเล่น ไม่อยากให้เด็กนี่คิดมาก ว่าพวกเรากำลังอาศัยสถานการณ์ที่เกิดขี้นล่อลวงเขาเพื่อมาปรนเปรอทางเพศ

“อย่าไปทำให้น้องเขายิ่งตกใจเลยดีกว่า นายนี่ก็อำเด็กอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวเขาก็นึกว่านายเป็นเฒ่าหัวงูจริงๆหรอก”

ผมหันไปทำตาดุใส่เพื่อนผมเมื่อเห็นมันกำลังจะขยับปาก เขาเลยแสร้งทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อน เสพูดขึ้นมาว่า
“แหม โทษทีนะ พี่ก็พูดไปงั้นอ่ะ  ไม่ได้เจตนาให้คิดมาก แค่เห็นว่าเราหนีหัวซุกหัวซุนไม่มีที่ไป ก็เลยคิดว่าน้องน่าจะหาที่พักผ่อนอย่างสบายๆสักคืนหนึ่ง พอดีพวกพี่อยู่กันสองคนก็เลยคิดจะชวนไปด้วยน่ะ”

เด็กกระเทยคนนั้นเหลือบตามองผม เขาทำท่าเหมือนจะพูดบางสิ่งบางอย่าง แต่แล้วก็ไม่พูดอะไร ผมมองเขาแว่บหนึ่ง แล้วก็ตัดสินใจเคลื่อนรถออกจากสถานีตำรวจแห่งนั้น

“อ้าว นายไม่แจ้งความเหรอ”

เพื่อนผมโวยวายอีกแล้ว เขาเป็นพวกจิตไม่ปกติ กังวลใจเกินเหตุ โรคเดียวกับแซนดี้แฟนเก่าของผม ผมส่ายหน้าช้าๆ ตอบเขาว่า

“ไม่หรอก ไม่อยากทำให้เรื่องยุ่งยากกว่านั้น เราสองคนคงไม่มีเวลาพอที่จะมาให้ปากคำหรอก แล้วฉันก็คิดว่าน้องหนูคนนี้คงเคลียร์ปัญหากับเกย์สูงอายุคนนั้นได้น่า”

“ตกลงน้องจะให้เราไปส่งที่ไหนจ๊ะ” เพื่อนผมเสียงหวานหยด นี่ขนาดเมานะเนี่ย ยังไม่วายทำเจ้าชู้ใส่เด็กคนนี้อีก

“เอ้อ......” เด็กกระเทยอึกอัก

“ยังไม่อยากกลับบ้านเหรอ” ผมถามเขา เดาเอาว่า เด็กนี่คงยังไม่แน่ใจว่าที่บ้านของตนเองจะยังปลอดภัยพอหรือเปล่ากระมัง คงกลัวพวกนั้นตามมาดักจับตัวถึงที่บ้าน

“งั้นไปไหนดีล่ะ.........”

ผมถาม สิ่งที่ได้กลับมาคือความเงียบ ไม่มีเสียงตอบจากแม่กระเทยสาวชุดแดงนี่ ผมเหลือบมองเขาจากทางกระจกหลัง ก็เห็นใบหน้าที่แสดงความวิตกกังวลครุ่นคิดของเด็กคนนี้ ท่าทางลังเลใจ สับสน คงยังไม่หายตกใจกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

สักพักเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นทำลายความเงียบในรถ มันเป็นเสียงน้ำย่อยในกระเพาะที่แสดงให้รู้ว่าไม่มีอะไรตกถึงท้องของพวกเราเลย และมันดังบังเอิญดังขึ้นพร้อมๆกันจากเราสามคนเสียด้วย ผมเลยได้ข้อสรุปว่าควรจะหาอะไรทานกันก่อนแล้วค่อยจัดการเรื่องอื่นๆทีหลัง

ผมขับรถแวะเข้าไปจอดที่ร้านอาหารตามสั่งที่อยู่ในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง เราสามคนเดินไปนั่งในร้านอาหาร และสั่งอาหารมากินหลายอย่าง ในระหว่างที่กินอาหารอยู่นั้น ผมก็มีเวลาที่จะพินิจพิจารณากระเทยสาวชุดแดงที่นั่งอยู่ตรงหน้า

เขาเป็นกระเทยที่รูปร่างสูงบึกบึน แขนมีมัดกล้าม ผิวสีน้ำตาลทอง ท่าทางจะยังไม่ได้ผ่าตัดแปลงเพศ เพราะหน้าอกที่เห็นมันเป็นกล้ามเนื้อหน้าอกมากกว่าที่จะเป็นอกที่ยัดด้วยสิลิโคนเหมือนหน้าอกของกระเทยแปลงเพศทั่วไป และการที่เขาใส่ชุดรัดรูป ก็เลยทำให้เห็นสัญลักษณ์ของความเป็นชายนูนเด่นขึ้นมากลางลำตัว

ใบหน้าภายใต้เครื่องสำอางที่ฉาบหนานั้นดูดีมาก ผมคิดว่าถึงแม้จะล้างเครื่องสำอางออกแล้ว หน้าตาเขาก็คงจะดูดีไม่น้อยไปกว่าที่เห็น วิกผมปลอมสีดำยาวสลวยช่วยขับใบหน้านั้นให้ดูโดดเด่นขึ้น จมูกโด่งได้รูปสวย ริมฝีปากเต็ม มีลักยิ้มอยู่ข้างแก้ม หน้าตาแบบนี้ดูเหมือนไม่น่าจะเป็นคนที่มีเชื้อไทยแท้ 100 เปอร์เซ็นต์ ผมว่าเขาน่าจะมีครึ่งหนึ่งของฝรั่งอยู่ในตัว หน้าตาและรูปร่างจึงดูแตกต่างจากคนไทยถึงขนาดนั้น

อายุของเด็กนี่คงจะไม่เยอะสักเท่าไหร่ น่าจะราวๆ 17-18 ซึ่งยังเด็กอยู่มากเลยกับการมาใช้ชีวิตกลางคืนแบบเสี่ยงๆอย่างนี้ ผมมองหน้าเด็กกระเทยนี่ แล้วเกิดความรู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาด ไม่ว่าจะเป็นวงหน้าภายใต้เครื่องสำอางหนาหนัก แววตาบ๊องแบ๊ว ที่บางครั้งก็แฝงความระแวดระวัง บางครั้งก็แสดงออกถึงความชื่นชมยินดีกับอะไรบางอย่าง

ไม่รู้ว่าเป็นอุปทานหรือเปล่า ผมมักจะคิดว่าดวงตาคู่นั้นเวลาที่เขาจ้องมองผมมา มันมีความหมายอะไรบางอย่างที่เคลือบแฝงอยู่ แต่เป็นไปในทิศทางที่ดี ไม่ใช่การประสงค์ร้าย แล้วไหนจะรอยยิ้มกว้างที่เขายิ้มให้ผมอีก มันเป็นยิ้มหวานๆและประจบประแจงอย่างไรไม่รู้ ผมคิดว่าผมน่าจะเคยเห็นยิ้มแบบนี้ที่ไหนมาก่อน แต่จำไม่ได้เท่านั้น ว่าเห็นที่ไหน

ผมคงจะมองเด็กนี่นานเกินไป จนเขารู้สึกตัว เขาเงยหน้าจากจานอาหารตรงหน้า แล้วมองผมด้วยดวงตาเป็นประกาย เขายิ้มให้ผมอีกแล้ว ผมรีบก้มหน้าลงไปยังจานอาหารของตนเอง แล้วตักมันเข้าปาก สายตาเหลือบแลไปยังเพื่อน ก็เห็นมันนั่งมองหน้าเด็กกระเทยนั่นด้วยดวงตาหวานเยิ้ม จนผมเริ่มรู้สึกอยากจะอาเจียนขึ้นมา

ผมกับเจ้าเพื่อนคนนี้ทำงานอยู่แผนกเดียวกันมาหลายปีแล้ว เราสนิทกันมาก และผมก็รับรู้มาตลอดเวลาว่าเจ้าหมอนี่ไม่ชอบผู้หญิง แต่ชอบผู้ชาย ความที่เป็นเพื่อนกัน ผมก็ไม่เคยนึกรังเกียจในตัวเขา เพราะเขาก็ไม่ได้ทำตัวเหลวไหลให้งานเสีย และที่สำคัญเขาก็ไม่ได้คิดจะจีบผมด้วย ดังนั้นหากเขาจะชอบใครยังไง ผมก็ไม่เคยสนใจ เพราะมิตรภาพของเราเหนียวแน่นมากพอจนกระทั่งผมสามารถมองข้ามความวิปริตทางเพศตรงนี้ของเขาไปได้

สำหรับกรณีของเด็กนี่ ผมเกิดความรู้สึกว่าไม่อยากให้เพื่อนผมเข้าไปยุ่งเกี่ยวตอแยกับเขา อาจจะเป็นเพราะผมดันมีความรู้สึกสงสารเด็กกระเทยนั่นขึ้นมา เพราะเขาเพิ่งผ่านเรื่องราวแบบนี้และรอดมาได้อย่างหวุดหวิด แถมซ้ำเขาก็ยังอายุน้อยเกินไปที่จะถูกล่อลวงด้วยพรานเฒ่าหื่นกามแบบเพื่อนของผม

เพื่อนคนนี้ มันชอบหลอกเด็ก พาเด็กมานอนด้วยบ่อยๆ ที่ผมรู้เพราะมันชอบมาเล่าให้ฟัง ถึงแม้ผมจะไม่ชอบใจในการกระทำของมันเท่าไหร่ ผมก็ไม่เคยจะห้ามปราม หรือโต้เถียงกับมัน เพราะคิดว่านั่นคือเรื่องส่วนตัว เป็นรสนิยม และความชอบซึ่งบังคับกันไม่ได้ แต่หนนี้เห็นทีจะต้องเอาตัวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสียแล้ว

ผมบอกเพื่อนให้รีบกิน รีบไป โดยอ้าวว่าง่วงแล้ว จะกลับไปพักผ่อน แล้วก็หันมาบอกกับน้องกระเทยคนนั้นให้รีบกิน แล้วบอกว่าจะพาไปส่งขึ้นรถกลับบ้าน แม้เพื่อนผมจะบอกว่าให้ไปส่งน้องเขาถึงบ้านก็ตาม แต่ผมก็บ่ายเบี่ยงว่าผมง่วงแล้ว เมาด้วยขับไม่ไหว

แต่อันที่จริงเป็นเพราะผมไม่อยากให้เพื่อนผมรู้จักบ้านช่องของเด็กคนนี้ เพราะรู้แน่ว่าเพื่อนผมมันต้องหาโอกาสไปเจอแน่ เพราะดูท่าทางมันจะชอบเด็กคนนี้เอามากๆ พอผมยืนยันหนักแน่นว่าไม่ไปส่ง เพื่อนผมมันก็เลยต้องเงียบ ไม่กล้าเซ้าซี้ต่อ เพราะตัวมันเองก็เมามากจนขับรถไม่ไหวเหมือนกัน ความหื่นกามที่มีอยู่ทำให้มันฝืนทรงกายขึ้นเท่านั้นเอง เพื่อสร้างภาพกับเด็กคนนี้ ให้คิดว่ามันยังไหวอยู่

หลังจากทานข้าวกันเสร็จ ผมก็ขับรถพาเด็กกระเทยคนนั้นไปส่งยังท่ารถ แล้วก็ยัดเงินใส่มือเขาไปอีก 500 บาทเพื่อเป็นค่ารถกลับบ้าน ส่วนเจ้าเพื่อนผมรีบยัดนามบัตรใส่มือเด็กนั่น แล้วสั่งเสียล่ำลายกใหญ่ โดยบอกว่าหากมีเรื่องเดือดร้อนอะไรให้โทรมาหามัน

จากนั้นเราสองคนก็นั่งรออยู่ในรถ จนกระทั่งมีรถรับจ้างผ่านมา แล้วเด็กนั่นโบกรถ แล้วขึ้นไปนั่ง ผมมองจนกระทั่งรถคันนั้นลับสายตาไป จึงค่อยออกรถ มุ่งหน้าสู่โรงแรมที่พัก

ความคิดคำนึงของผมกลับมายังปัจจุบัน เรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาในอดีต ระหว่างผมกับเดียร์ร้อยเรียงเข้ามาให้เห็นอย่างชัดเจน ไม่น่าเชื่อเลยว่าผมจะเคยเจอเด็กหนุ่มที่นั่งข้างๆผมอยู่ตอนนี้ถึง สามครั้งสามคราด้วยกันที่พัทยานี่ ต่างกรรม ต่างวาระ แล้วแต่ละครั้งนั้นก็เจอในสภาพที่ต่างกันออกไป

เจอกันครั้งแรก เขายังเป็นเด็กชายรูปร่างบางๆ แต่ตัวสูงกว่าเด็กชายทั่วไป ครั้งต่อมา เขาเป็นนักมวยรูปร่างแข็งแกร่ง หน้าตาหล่อเหลาคมเข้มต่างไปจากเดิม และครั้งสุดท้ายที่พัทยานี่ เขากลายเป็นกระเทยสาวแสนสวย มิน่าล่ะ ตอนเขาจับตัวผมมามัดไว้ ผมจึงจำเขาไม่ได้ในตอนแรก เพราะเขาเปลี่ยนไปมากมายเหลือเกิน

“ฉันน่าจะยุให้เพื่อนฉันจีบนายซะตั้งแต่ตอนนั้น ไม่น่าไปขัดขวางเลย” ผมบอกเขายิ้มๆ

“ไม่เสียดายผมหรือฮะ” เด็กหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงยวนยั่ว แต่คราวนี้ผมกลับไม่โกรธแฮะ

“ถ้าฉันรู้ว่า ฉันต้องมารับเคราะห์แบบนี้ ฉันคงยินดีที่จะให้เพื่อนฉันเอานายเป็นแฟนมากกว่า ไม่น่าเล้ยยยยยยย เลยซวยเลยทีนี้”


ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เด็กหนุ่มหัวเราะก๊าก

“ตอนนี้สายไปแล้วฮะ เรียว กลับตัวอย่างไรก็ไม่ทันแล้ว ผมรักคุณแล้ว รักมากๆด้วย จะไม่มีวันปล่อยคุณหลุดมือไปได้หรอกครับ ทำใจไว้เลยนะ ว่าผมจะพยายามทำให้คุณรักผมให้ได้”

สำเนียงของเขาบ่งบอกถึงความมั่นอกมั่นใจ จนผมรู้สึกกลัวขึ้นมา จึงรีบเปลี่ยนเรื่องพูด โดยการถามถึงเรื่องราวต่อจากนั้น

“นายยังกลับไปทำงานที่เดิมอีกไหม”

“เปล่าครับ” เด็กหนุ่มส่ายหน้า

“หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ผมก็ไม่ได้กลับไปทำงานที่นั่นอีก ผมกลัวว่าตาเฒ่านั้นจะไปรังควาญผมถึงที่คลับ แล้วก็ไม่อยากทำให้คนที่ไม่รู้เรื่องเดือดร้อนไปด้วย ผมจึงไปขอพักอาศัยอยู่กับไอ้น้อยที่ห้องของมัน แล้วเล่าทุกอย่างให้มันฟัง

ไอ้น้อยมันโมโหมาก มันแอบไปต่อว่าต่อขานเพื่อนกระเทยคนนั้นที่ทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้ แล้วก็ไปเล่าให้หัวหน้าคณะฟัง แต่หัวหน้าคณะก็ไม่สามารถทำอะไรกับเพื่อนกระเทยคนนั้นของผมได้ เพราะเขาก็เป็นตัวแสดงดาวเด่น แล้วก็เรียกแขกได้พอสมควร ไอ้น้อยโมโหมากจึงลาออกมาพร้อมๆกันกับผมเลย เป็นอันว่าเราสองคนเลยไม่ได้ไปทำงานที่นั่นอีก”

“อ้าวแล้วตาเฒ่าคนนั้นล่ะ ไม่หัวเสียแย่เลยเหรอ เพราะเขาตามนายไม่เจออีกแล้วนี่”

ผมถามเขาด้วยความอยากรู้ รู้สึกว่าเรื่องที่เด็กหนุ่มเล่านี่ช่างน่าตื่นเต้นเสียจริง

“อ๋อ ตาเฒ่านั่นนะเหรอครับ ได้ข่าวว่าแกโกรธมากเลย พอแกรู้ความจริงว่า ผมไม่ได้รักแก แต่เพื่อนกระเทยคนนั้นโกหก แล้วเป็นคนที่เอาเงินแกไป แกก็เลยจัดการเอาคืนกับเพื่อนผมอ่ะครับ เห็นน้อยเล่าให้ฟังว่า แกไปหาเพื่อนกระเทยคนนั้น แล้วก็เรียกร้องให้คืนเงินมา

แต่เพื่อนผมมันดันเอาเงินไปใช้จ่ายอะไรไม่รู้จนหมดเกลี้ยงไม่มีเงินคืน ตาเฒ่าคนนั้นก็เลยโกรธมาก เพื่อนที่หลอกเงินเกย์เฒ่าคนนั้นเลยต้องชดใช้หนี้ด้วยการถูกตาเฒ่าเกย์พร้อมพวกลงมือข่มขืน แต่เพื่อนผมไม่กล้าเอาความ เพราะกลัวความผิดข้อหายักยอกเงิน แล้วก็กลัวตายด้วย

เพราะพวกนักเลงอันธพาลที่มีเกย์เฒ่าเป็นหัวหน้าแก๊งนั่น ขุ่อาฆาตว่าจะฆ่าให้ตาย ถ้าเอาเรื่องไปแจ้งความ แต่ในท้ายสุดเรื่องก็ลงเอยด้วยดีนะครับ เพราะว่าตาเฒ่านั้นเกิดสงสารเพื่อนผมขึ้นมาที่โดนข่มขืนจนยับเยิน ก็เลยรับเลี้ยง เป็นกิ๊กลับๆของเขาอีกคนหนึ่งอ่ะครับ ก็ถือว่ายังโชคดีไปที่ตาเฒ่านั้นมีเมตตา”

เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง นอกจากว่าเขาจะไม่โกรธแค้นเพื่อนกระเทยของเขาแล้ว ดูท่าทางเขารู้สึกยินดีปรีดาเสียด้วยซ้ำ เขาเฉลยข้อสงสัยของผมด้วยการพูดว่า

“ผมน่ะ เคยคิดโกรธเพื่อนผมน่ะครับที่มาทำกับผมแบบนี้ แต่มานึกอีกที ก็สงสารมัน เพราะมันก็ได้รับผลกรรมไปแล้ว ผมยังรู้สึกยินดีไปกับมันด้วยที่ตาเฒ่านั้นดันรักมันขึ้นมา ยอมเอามันไปดูแล ผมควรจะขอบคุณมันด้วยซ้ำ เพราะถ้าหากมันไม่ทำแบบนี้กับผม ผมก็คงไม่มีทางได้เจอเรียวอีกครั้งหรอก ผมจึงยอมให้อภัยมันไงครับ”

kei_kakura

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #75 เมื่อ03-09-2007 23:35:54 »

 :a11:......หุหุหุ...... :a1:

ไหนๆ ก็ไหนแล้ว....เรียวเคยช่วยชีวิตเดียร์ไว้

ถ้าไงซะ...ก็....ให้เดียร์ตอบแทนโดยการดูแลเรียวชั่วชีวิตเลยดีกว่า   คึคึคึ   :m11: :m11:

ออฟไลน์ ~ScAreD:SAcreD~

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1811
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-2
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #76 เมื่อ03-09-2007 23:37:34 »

หุ หุ คู่นี้ ฟ้าส่งมาให้คู่กันซะจริงๆ :m3:

อย่าติดโรคตารอยให้มันบ่อยนักนะจ๊ะที่รัก  คนอ่านคิดตึ๋ง :m14:

ออฟไลน์ Lucifer

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #77 เมื่อ03-09-2007 23:43:18 »

เกิดมาเพื่อกันและกันจริงๆ เลย  :m3: :m3: :m3:
เอ๊ะ รึว่าเรียวเกิดมาเพื่อเดียร์ฝ่ายเดียวหว่าาา  :m21: :m21:

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #78 เมื่อ05-09-2007 10:53:33 »

อยากมีความกล้าให้ได้เท่านี้มั้งจังคับ

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #79 เมื่อ05-09-2007 11:15:28 »


เข้ามาบอกว่าเจ้ชอบเรื่องนี้เคอะ  :m1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
« ตอบ #79 เมื่อ: 05-09-2007 11:15:28 »





ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #80 เมื่อ05-09-2007 11:40:38 »

ทำบุญมาด้วยกันเยอะแน่ๆ ได้เจอและช่วยเหลือกันถึง 3 ครั้งแบบนี้โบราณเค้าว่า

เกิดมาเป็นเนื้อคู่แบบเกื้อกูลค้ำจุนกัน

sun

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #81 เมื่อ06-09-2007 18:57:27 »

 :m3:     :m3:     :m3: 

คู่นี้เขาช่วยเหลือเกื้อกูล กัน  มาตั้งก่าเด็ก จนโต โรยโนะ  คิคิ

คือ ยังไง๊ ยังไง ก้อหนีกันไม่พ้น เอิ้กๆ  คู่กันแย้ว ... อย่าคิดว่า จะแคล้วคลาดกันได้     :a9: 

ออฟไลน์ ~ScAreD:SAcreD~

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1811
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-2
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #82 เมื่อ10-09-2007 22:55:09 »

ที่ร๊ากกกกกกกกกกกกกกก เรื่องนี้จะดองเค็มหรอจ๊ะ

มาช่วยดันนะ

เค้าอยากอ่านต่ออ่ะ :m21:

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #83 เมื่อ12-09-2007 19:55:17 »

 :m26:
มะไหร่จามาอ่ะค้าบบบบ

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #84 เมื่อ12-09-2007 20:33:33 »

เพราะเรานั้นคู่กัน  :m11:  :m11:

abcd

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #85 เมื่อ17-09-2007 09:04:49 »

บทที่ 10


“อื้ม เท่านี้ใช้ไหม เรื่องทั้งหมดระหว่างเรา”

ผมถามเขา อยากรู้ว่ายังมีอะไรอีกบ้างที่ทำให้เราทั้งคู่ผูกพันกัน จนกระทั่งเขาอยากจะเป็นแฟนผม เหตุผลแค่นี้สำหรับผมแล้วมันน้อยไปที่เราจะอยากเป็นแฟนกับผู้ชายคนหนึ่งเพียงเพราะคนๆนั้นช่วยชีวิตเรา

“ยังมีเรื่องราวต่อจากนั้นบ้างนะครับ แต่เหตุการณ์ส่วนใหญ่จะอยู่ที่กรุงเทพแล้วล่ะ เป็นช่วงที่ผมตามไปหาคุณ เราก็เจอกันบ้างน่ะครับ แบบสวนกันไปสวนกันมา แต่ก็ไม่มีโอกาสได้คุยกันเป็นกิจลักษณะ เอาไว้ผมค่อยเล่าให้คุณฟังอีกทีนะครับ”

เด็กหนุ่มตอบ ผมคิดในใจว่า การที่หมอนี่ไม่ยอมเล่าจนหมด คงเพราะมีวัตถุประสงค์บางอย่าง แต่ช่างเถอะ เมื่อไม่เล่าก็ไม่ต้องเล่า โยกโย้นัก ก็ปล่อยให้เรื่องมันยังค้างคาใจเขาต่อไปแล้วกัน ตอนนี้ผมเริ่มไม่อยากจะรู้มันอีกต่อไป ผมเหนื่อยเกินกว่าที่จะฟังเรื่องของเขาแล้ว

“ไม่เป็นไร ไม่ได้อยากฟังถึงขนาดนั้น” ผมบอกเขาอย่างเฉยเมย

“นี่ ถึงบางนาแล้วนะ นายจะลงตรงไหนล่ะ บอกฉันมาเลยดีกว่า ฉันจะจอดให้”

ผมถามเขา ตอนนี้ผมขับรถผ่านเข้ามาแถวบางนาแล้ว บ้านของผมอยู่แถวอโศก อีกไม่นานก็จะถึงบ้านผมแล้ว ผมเลยคิดว่าผมกับเขาควรจะได้เวลาลาจากกันแล้ว

“ใจคอจะไล่กันลงจากรถเลยเหรอ.........ไม่คิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเราบ้างเลยเหรอ”

เขาพูดเสียงอ้อน

“ความสัมพันธ์บ้าบออะไร คิดเองเออเองไปคนเดียวอีกแล้ว ถ้าจะเหมาเอาว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นทำให้เราผูกพันกันล่ะก็ คิดใหม่เถอะ ฉันไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเป็นบุญเป็นคุณอะไรที่นายจะต้องมารับผิดชอบ มันเป็นเรื่องที่เพื่อนร่วมโลกจะต้องช่วยเหลือกัน เป็นใครใครก็ทำทั้งนั้น”

ผมจงใจพูดด้วยน้ำเสียงที่ไร้อารมณ์ความรู้สึก อยากให้เขาตัดใจไปเสียจะได้ลาจากกันตรงนี้เสียที แต่เด็กหนุ่มกลับตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความจริงใจ

“ในชีวิตของผม ไม่เคยเจอใครที่ดีกับผมเท่ากับเรียวอีกแล้วครับ จริงอยู่ที่มีคนใจดีมากมายในโลกนี้ แต่คนที่ยินดีจะช่วยเหลือคนอื่น โดยที่เอาตัวเองเข้ามาเสี่ยงในอันตรายด้วยนี่ มันมีน้อยนักนะครับ เรียวเป็นหนึ่งในประเภทนั้น คือยินดีที่จะเสียสละตนเองเพื่อช่วยคนอื่น โดยไม่คิดเล็กคิดน้อย ไม่เคยทวงบุญคุณอะไรด้วย

เวลาคุณช่วยผมเสร็จ คุณก็จะหนีหายไปทุกครั้ง คุณไม่ต้องการให้ใครมาชื่นชมในสิ่งที่คุณทำ เป็นพวกปิดทองหลังพระ ไม่อวดตัวพูดมาก ประกาศให้โลกรู้ บางครั้งสิ่งที่คุณทำก็ก่อให้เกิดผลเสียกับคุณ เช่น ทรัพย์สินเสียหาย รวมถึงต้องเลิกรากับคนรัก แต่คุณก็ไม่ยอมให้สิ่งเหล่านั้นมาบั่นทอนความดีในใจของคุณ คุณยังคงช่วยเหลือคนอื่นๆอยู่เสมอ ความดีที่คุณทำ มันเป็นสิ่งที่ผมประทับใจ แล้วผมก็คิดว่าผมคงต้องใช้เวลาทั้งชีวิตของผมในการตอบแทนคุณ”

ผมหันไปมองเขา ตาของผมประสานเข้ากับสายตาของเขาที่จ้องมองมายังผมอย่างแสนรัก ผมรีบหันกลับ รู้สึกสับสนในใจ บอกไม่ถูกว่าทำไมจึงเหมือนจะรู้สึกสงสารเด็กหนุ่มคนนี้ขึ้นมา บรรยากาศในรถเริ่มอึดอัด ผมนั่งเงียบ ตามองตรงไปข้างหน้า มองการจราจรบนท้องถนนที่ติดขัด รถราเรียงซ้อนต่อกันยาวเป็นแพเต็มถนน   เด็กหนุ่มเองก็นั่งนิ่งๆไม่พูดอะไรเหมือนกัน

เราสองคนนั่งกันเงียบๆอย่างนั้น ต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตนเอง ราวๆครึ่งชั่วโมง ผมก็สามารถขับรถฝ่าการจราจรมาถึงเอกมัย อยู่ๆผมก็เลี้ยวรถเข้าไปจอดตรงร้าน “บ้านไร่กาแฟ” ที่อยู่ตรงหัวมุมถนน ก่อนจะถึงสถานีขนส่งสายตะวันออก โดยไม่รู้ว่ามีอะไรมาดลใจให้ผมทำอย่างนั้น ผมจอดรถ นั่งเงียบๆอยู่สักครู่ก่อนจะหันไปชวนเด็กหนุ่มที่กำลังนั่งงงอยู่ให้ลงไปด้วยกัน

“จะให้ผมลงตรงนี้หรือครับ”

เด็กหนุ่มถาม  ท่าทางเขาดูหงอยๆ คงกลัวว่าผมจะทิ้งเขาไว้ตรงนี้ แต่ผมส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วบอกเขาว่า ผมอยากมานั่งทานกาแฟ เพราะรู้สึกตัวว่าเพลียเหลือเกิน เด็กหนุ่มก็เลยยิ้มออก

เราสองคนเลือกที่นั่งที่ปลอดคนในร้าน ผมอยากจะนั่งสบายๆเงียบๆ โดยไม่มีอะไรมารบกวน อยากจะนั่งฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ เผื่อว่าผมจะมีความคิดอะไรดีๆผ่านเข้ามาในสมอง เพื่อที่จะได้จัดการกับเรื่องที่กำลังเป็นปัญหากวนใจผมอยู่ขณะนี้

เด็กหนุ่มนั่งตรงข้ามกับผม เราสั่งกาแฟมากินกันคนละแก้ว ของผมเป็นกาแฟร้อน แต่ของเด็กหนุ่มเป็นกาแฟเย็น ผมหงายหลังพิงพนัก พยายามทอดตัวอยู่ในท่าที่สบายที่สุด หลับตาลง เพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้า สัก 15 นาทีให้หลัง เมื่อผมลืมตาขึ้น ก็เห็นว่าเด็กหนุ่มกำลังนั่งมองผมอยู่ก่อนแล้ว ด้วยดวงตาหวานฉ่ำ ใบหน้าของเขายิ้มละไม

ผมมองหน้าเขาตอบ ตาของเราประสานกัน ผมมองดวงตาเป็นประกายสุกใสคู่นั้น แล้วก็ครุ่นคิดถึงเรื่องราวของเกี่ยวกับตัวเขา ชักอยากจะรู้ขึ้นมาเสียแล้วว่า เป็นเพราะเหตุใดหนอเขาถึงกลายมาเป็นเกย์ได้ จากที่เขาเล่ามาทั้งหมดนี้ มันก็มีเหตุการณ์หลายอย่างที่ทำให้เขาน่าจะเป็นเกย์ เช่นการที่ต้องคลุกคลีตีโมงอยู่กับเกย์ตลอดเวลา

การที่เขาเกือบถูกเกย์ปล้ำ แต่เด็กหนุ่มคนนี้ก็ใช้ชีวิตแบบชายแท้ๆมาช่วงหนึ่งด้วยการเป็นนักมวย การฝึกฝนร่างกายให้แข็งแกร่งอยู่ทุกวัน มันไม่สามารถทำให้เขาเป็นชายแท้ได้เลยเหรอ แล้วการที่ผมไปช่วยเขาบ่อยครั้ง โดยที่ผมเองก็ยังไม่รู้เลยว่าคนที่ผมช่วยเป็นคนเดียวกันนั้นน่ะ มันมีอิทธิพลเพียงพอที่จะทำให้เขามารักมาชอบผมจนยอมเปลี่ยนตัวเองกลายเป็นเกย์เลยเหรอ ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน ความอยากรู้อยากเห็นก็เลยทำให้ผมเอ่ยปากถามเขาขึ้นมา

“ฉันอยากจะถามนายบางอย่าง นายตอบเท่าที่นายอยากตอบก็แล้วกัน ถ้าอะไรที่มันทำให้นายอึดอัดใจ ก็ไม่ต้องตอบก็ได้ คือฉันกำลังสงสัยอ่ะ ฉันอยากจะรู้ว่าการที่นายเบี่ยงเบนทางเพศ เอ้อ กลายเป็นเกย์แบบนี้น่ะ มันเริ่มเป็นมาจากตอนไหนเหรอ เท่าที่นายเล่ามา มันยังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ นายมีเพื่อนเป็นเกย์ก็จริง แต่นายก็ไม่ได้เล่านี่ว่าอะไรที่ทำให้นายกลายเป็นเกย์ แล้วฉันก็ยังไม่เชื่อว่า แค่ฉันช่วยนาย จะทำให้นายกลายเป็นเกย์ไปได้น่ะ”

เด็กหนุ่มมองหน้าผมอย่างค้นคว้า คงอยากจะรู้ว่าผมสนใจอยากรู้จริงหรือเปล่า หรือแค่ถามเล่นๆ  แต่เมื่อเห็นอาการสนอกสนใจของผม เขาก็ยอมปริปากพูดออกมา

“ผมก็ไม่แน่ใจหรอกครับ เพราะตอนเด็กๆผมก็ใช้ชีวิตอย่างผู้ชายปกติด้วยซ้ำไป ตอนที่พี่บอยมันคิดจะลวนลามผม ผมยังรู้สึกขยะแขยงรังเกียจอยู่เลย ยิ่งตอนที่ผมรู้ว่าไอ้น้อยมีอะไรกับเฮียเข้ม ผมก็ยังคงรู้สึกว่ารับไม่ได้กับเรื่องแบบนี้ แต่เพราะผมเห็นว่าน้อยมันเป็นเพื่อนรักของผม ผมก็จำเป็นต้องทำเป็นไม่รู้สึกอะไร แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม ไปๆมาๆ ผมกลับกลายมาเป็นเกย์ไปได้”

เด็กหนุ่มเล่าไปยิ้มไป ดวงตาของเขาจับจ้องมองผมขณะพูด

“แต่ผมคิดว่าการที่ผมเบี่ยงเบนทางเพศนั้น มันน่าจะเป็นอะไรที่ค่อยๆซึมลึกเข้ามาในความรู้สึกของผมทีละเล็กทีละน้อย มันมีเหตุการณ์หลายอย่างที่แวดล้อมรอบตัวผม ที่ทำให้ผมรู้สึกว่าการเป็นเกย์ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ถ้าจะให้ผมคาดเดาว่ามันเริ่มมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าผมเริ่มชอบผู้ชายด้วยกันจากการที่คุณได้ช่วยชีวิตผมครั้งแรกกระมังครับ”

“อ้าว ไหงเป็นงั้นไปได้” ผมชักรู้สึกงง ไม่เข้าใจว่าเป็นไปได้อย่างไรกัน

“จริงๆนะครับ ตอนนั้นผมรู้สึกดีกับเรียวมากๆ เพราะคุณช่วยชีวิตผมไว้ ไม่เคยมีใครดีกับผมมาก่อน ตั้งแต่เล็กจนโต ผมถูกทอดทิ้งจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ พ่อก็ไม่มี ญาติที่รับเลี้ยงก็ไม่ได้รักใคร่ผม แถมซ้ำดุด่าทำร้ายเฆี่ยนตีให้ผมได้รับความทุกข์ทรมานทั้งกายและใจ ใช้งานผมอย่างทาส แถมซ้ำพี่ชายก็จะมาขืนใจผมอีก ผมไม่คิดว่าโลกนี้จะมีสิ่งดีเหลืออยู่สำหรับผมอีกแล้ว จนกระทั่งเรียวเข้ามาในชีวิตแล้วหยิบยื่นความเมตตาให้กับผม”

เขาหยุดพูด แล้วส่งยิ้มหวานๆให้ผมอีก ก่อนจะพูดต่อ

“จากนั้นผมก็คิดถึงเรียวมาตลอด ผมอดที่จะนึกถึงสิ่งดีๆที่เรียวทำให้ผมไม่ได้ จนกระทั่งต้องเล่าให้น้อยฟัง แต่ตอนนั้นผมยังสับสนในใจไม่คิดว่าตนเองเป็นเกย์ คิดแต่ว่า เรียวมีบุญคุณกับผมถ้ามีโอกาสเจอคุณอีก จะตอบแทนความดีของคุณ พอเจอเรียวอีกครั้งตอนผมถูกยิง คุณก็แสดงความใจดีให้ผมเห็นอีก ด้วยการช่วยผมให้รอดจากคนร้ายพวกนั้น แถมออกค่ารักษาพยาบาลให้ผมจนหาย ผมเป็นหนี้ชีวิตคุณอีกครั้งแล้ว ความดีที่เรียวทำให้ผม มันตราตรึงอยู่ในหัวใจ ทำให้ผมปรารถนาที่จะได้เจอกับเรียวมากยี่งขึ้นไปอีก  อยากจะทำอะไรให้กับคุณบ้าง”

เด็กหนุ่มหยุดพูด แล้วก้มลงดูดน้ำจากถ้วยกาแฟปั่นตรงหน้า ผมดื่มกาแฟตามบ้าง ตายังคงจ้องมองเขา เดียร์สบตาผมอีกครั้ง แล้วเริ่มพูดต่อ

“พอเราเจอกันที่พัทยาอีกครั้ง แล้วมีโอกาสได้พูดคุยกัน ผมก็ยิ่งปักใจว่าผมชอบคุณแน่นอน แต่ผมก็ไม่แน่ใจตนเองนัก ยังสับสนอยู่ว่าที่ชอบคุณน่ะ ชอบแบบสำนึกในบุญคุณ หรือชอบแบบคนรักกันแน่”

ผมหรี่ตามองเขา ไม่เข้าใจว่าเรื่องแค่นี้จะทำให้คนเราหันมาชอบคนเพศเดียวกันได้ไง มีผู้ชายหลายคน เคยยื่นมือช่วยผู้ชายด้วยกัน อย่างดีเขาก็มีโอกาสสนิทสนมเป็นเพื่อนกันต่อไปแค่นั้น

“มันออกจะเป็นเรื่องที่ทำใจเชื่อลำบากว่าอยู่ดีๆผมจะเกิดรักคุณขึ้นมาได้ แต่ในที่สุดผมก็ยอมรับกับตัวเองว่าผมชอบเรียวเข้าแล้ว อีกอย่างสภาพแวดล้อมที่ผมคลุกคลีด้วยหลังออกมาจากบ้านป้า ก็เอื้ออำนวยต่อการที่ผมจะหันมาชอบเพศเดียวกันอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นไอ้น้อย หรือเพื่อนกระเทยในคณะคาร์บาเรต์ ทุกคนรักเพศเดียวกัน มีความหวัง มีความฝันอยากจะใช้ชีวิตคู่กับผู้ชายที่ตนรัก มันก็เลยทำให้ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร

ถ้าหากผมจะมีใจรักเรียวบ้างอ่ะครับ ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นสิ่งดีด้วย หากว่าผมได้มีโอกาสเป็นคนรักของเรียว ผมจะได้ทำทุกอย่างให้เรียว ตามที่เรียวต้องการ เหมือนยิงปืนนัดเดียว ได้นกสองตัว ได้ทั้งคนรัก แล้วได้ตอบแทนบุญคุณไปพร้อมๆกันด้วย ถ้าเป็นเรียว จะคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดีไหมล่ะครับ”

เด็กหนุ่มย้อนถามผม ใบหน้าของเขาฉาบฉายไปด้วยความสุขเวลาที่พูดให้ผมฟังถึงสาเหตุที่ทำให้เขาเบี่ยงเบน ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้รู้สึกว่าเขาแปลกประหลาดผิดปกติตามที่เขาพูดจริงๆ

“แล้วทำไมฉันถึงจะมาเห็นด้วยกับนายล่ะ บอกหน่อยสิมีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปตอบตกลงเป็นแฟนกับนายทั้งๆที่ฉันไม่ใช่พวกเดียวกับนายซะหน่อย”

“แหม ก็มีหลายเหตุผลที่ทำให้ผมคิดว่ามันเหมาะสมแล้วที่เราจะเป็นแฟนกัน

ข้อแรก ตอนนี้คุณเป็นโสดไม่มีแฟนแล้ว คุณเพิ่งอกหักจากแฟนคนล่าสุดของคุณเมือ่ 1 เดือนที่ผ่านมา

ข้อสอง คุณมีแฟนผู้หญิงหลายคน แต่ก็รักๆเลิกๆ มันบ่งบอกอะไรให้รู้บางอย่างว่า คุณอาจจะมีปัญหากับการมีแฟนเป็นผู้หญิง ต้องมีอะไรบางอย่างที่เข้ากันไม่ได้

ข้อสาม ผมรักเรียวมากเหลือเกิน รักจนคิดว่าจะไม่อยากให้คุณตกไปเป็นแฟนของใครอีก นอกจากผม ถ้าผมได้เป็นแฟนคุณแล้ว จะไม่มีวันทำให้เรียวเสียใจเหมือนอย่างที่ผู้หญิงคนอื่นๆทำ

ข้อที่สี่ เพราะว่าเรียวได้ช่วยผมเอาไว้มากมาย และผมเองก็เห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ผมจะต้องตอบแทนคุณ การเป็นแฟนกับคุณมันทำให้ผมทำสิ่งเหล่านั้นได้ ผมรับรองว่าผมจะรักและมอบความจงรักภักดีให้คุณไปตลอด

ข้อที่ห้า อันนี้เรียวคงไม่ได้สังเกต แต่ผมคิดว่ามันต้องเกิดมาจากพลังลึกลับเหนือธรรมชาติบางอย่าง เรียวไม่เอะใจเหรอครับ ว่าเราเจอกันบ่อยมาก ตั้งหลายครั้ง แล้วก็เป็นที่นี่ด้วย ทั้งๆเมืองออกกว้างใหญ่ แต่เราก็มาเจอกัน เป็นไปได้ยังไงที่มันจะบังเอิญขนาดนี้ ดูหนังหรืออ่านนิยายก็ว่าไปอย่าง เพราะเขาจะเขียนให้ตัวเอกเจอกันโดยบังเอิญ แต่ว่า นี่มันชีวิตจริงนะครับ เจอกันโดยไม่คาดฝันแบบนี้ แล้วทุกครั้งเรียวจะเป็นคนที่เข้ามาช่วยผมตอนเจออันตรายตลอด มันต้องเป็นพรหมลิขิตแน่ๆ ฟ้าคงส่งให้เรามาคู่กันนะครับ คุณว่ามั๊ย

และข้อสุดท้าย ข้อนี้สำคัญมาก เพราะว่าเรียวเป็นเหมือนแรงบันดาลใจของผม ที่ทำให้ผมกลายเป็นเกย์ ดังนั้นคุณต้องรับผิดชอบ ด้วยการเป็นแฟนกับผม”

เด็กหนุ่มอธิบายถึงเหตุผลที่ผมสมควรจะเป็นแฟนกับเขาเป็นข้อๆ ด้วยน้ำเสียงรื่นเริงใจ ผมฟังเหตุผลของเขาแล้วถึงกับต้องเอามือกุมขมับ นึกไม่ถึงว่าเจ้าเด็กบ้านี่ จะยกเหตุผลที่ไม่สมเหตุสมผลมาเป็นข้ออ้างที่จะให้เราผูกพันกันในฐานะคนรัก

“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”

ผมแหกปากร้อง ตะโกนก้องในใจ เรื่องแบบนี้ มีด้วยเหรอในโลกนี้ ช่วยเกย์ให้รอดชีวิต แล้วต้องมารับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองทำด้วยการเป็นแฟนเกย์ ผมทำดีช่วยเหลือคนอื่น ทำไมสวรรค์จึงลงโทษให้ผมตกนรกด้วยการยอมเป็นแฟนกับเกย์ด้วย

ผมควรจะได้ขึ้นสวรรค์สิ สวรรค์ที่มีนางฟ้าสวยๆ ร่ายรำแบบเปลือยกายท่อนบนน่ะ สวรรค์แบบนี้ไม่มีเหรอ ทำไมพระเจ้าไม่ส่งผมไปที่นั่น ถีบผมลงมาให้เจอกับปีศาจเจ้าเล่ห์ตนนี้ทำไม ตอบแทนกันแบบนี้ใครจะรับได้ แล้วไอ้เหตุผลที่ว่ามานั้น ไม่มีข้อไหนเลยที่มันจะทำให้ผมรู้สึกว่าสมควรจะทำอย่างที่เขาพูด เด็กบ้านี่ เป็นพวกเอาแต่ใจตัว คิดเองเออเอง ได้อย่างบ้าบอที่สุด

“เหตุผลเท่านี้คงพอแล้วมั้งครับ ว่าแต่คุณจะตกลงที่จะเป็นแฟนกับผมหรือเปล่า”

เขาถามยิ้มๆ สายตามีความหวัง ซึ่งต่างกับตอนลงจากรถเมื่อครู่ที่ดูเซี่องซึมหงอยเหงา

“ไม่ตกลง” ผมบอกเขาเสียงเข้ม

“อ๊า อย่าพูดอย่างงั้นสิครับ ตัดสินใจเร็วไปหรือเปล่า ให้คิดอีกทีก็ได้นะครับ”

เขาร้องเสียงหลง แต่ผมยังยืนยันคำพูดเดิม

“บอกว่าไม่ก็ไม่สิ พูดกับนายนี่ เสียเวลาจริงๆ ตอแย จนน่ารำคาญ”

ผมว่าเขาอย่างฉุนๆ แต่เด็กหนุ่มไม่ได้ทำสีหน้าว่าโกรธ กลับพูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่ แบบทีเล่นทีจริง

“ถ้าพูดกันดีๆ ตกลงกันดีๆไม่ได้ ก็อย่าหาว่าผมใจร้ายนะครับ”

“ทำไม นายจะทำไมฉันเหรอ จะเอาฉันไปฆ่าแกงหรือไง”

“ไม่ฆ่าหรอกครับ ผมจะทำอย่างนั้นทำไม เพราะคุณเปรียบเสมือนหัวใจของผม ฆ่าคุณก็เหมือนฆ่าตัวเอง ที่ผมพูดนี่หมายความว่า ในเมื่อคุณไม่ชอบเกย์ ผมก็อยากทำให้คุณได้รู้ว่า การตกอยู่ในสภาพที่คนอื่นเข้าใจว่าเป็นเกย์มันเป็นอย่างไร ถ้ามาตกที่นั่งแบบเดียวกันบ้าง คุณจะได้เข้าใจพวกผมเสียที ว่าเกย์อย่างพวกผมก็เป็นคนเหมือนกับพวกคุณ แล้วก็รักเป็นเหมือนกัน”

เด็กหนุ่มตอบคำถามของผม ด้วยสีหน้าและแววตาที่จริงจัง ไม่มีทีท่าเล่นๆแบบเดิมๆ จนผมนึกหวั่นใจ ไม่รู้ว่าเขาจะมาไม้ไหน

“ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่า ถ้าฉันไม่ตกลงกับนาย แล้วนายจะทำอะไรได้”

ผมหยั่งเชิงท้าทีของเขาด้วยการโต้ตอบด้วยคำพูดท้าทาย อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะทำอีท่าไหนให้ผมยินยอมเป็นแฟนกับเขา เด็กหนุ่มยิ้มนิดๆ ก่อนจะใช้มือล้วงลงไปในกระเป๋าเป้ที่เขาเอาติดตัวมาด้วยตอนออกมาจากห้องพักที่เขาจับผมไปมัดไว้  แล้วหยิบเอาโทรศัพท์มือถือของเขาออกมา

เขาก้มลงกดอะไรสักครู่ แล้วก็เงยหน้าขึ้น มองผมยิ้มๆ ตาของเขามีแววเจ้าเล่ห์ แสนกล ผมมองหน้าเขาอย่างงๆ กำลังคิดว่าเจ้านี่จะเล่นเกมส์อะไรกับผมอีก อยู่ๆเด็กหนุ่มลากเก้าอี้มานั่งข้างๆผม เขายื่นมือถือมาให้ผมดู โดยที่เขายังเป็นคนถือไว้ ผมถึงกับผงะ เมื่อมองเห็นภาพในมือถือชัดเจน

ภาพแรกที่ผมเห็นเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง นอนเปลือยกายไร้อาภรณ์ปกปิดกาย เห็นใบหน้าและรูปร่างชัดเจน ภาพต่อไปที่เด็กหนุ่มคลิกให้ดู เป็นภาพถ่ายโคลสอัพไปที่เรือนกายท่อนล่างของผู้ชายคนนั้นซึ่งกำลังตื่นตัวเต็มที่

ภาพต่อๆไป ที่เดียร์ไล่ให้ผมดูเป็นภาพที่หนุ่มคนนั้นกำลังถูกปลุกเร้าทางเพศโดยผู้ชายอีกคนหนึ่ง ผมหน้าแดงก่ำด้วยเลือดที่สูบฉีดขึ้นมา อารมณ์พลุ่งพล่าน ร้องบอกเขาด้วยเสียงอันดัง เป็นการห้ามไม่ให้เขาเปิดภาพถ่ายให้ผมดูอีกต่อไป

ผมตัวสั่นเทาด้วยความโกรธจัด ทำแบบนี้มันเกินไปแล้ว อภัยให้ไม่ได้แล้ว นี่หรือรักที่เด็กนั่นพร่ำพูดนักหนา ว่าเขารู้สึกลึกซึ้งกับผมอย่างไร คนที่เขารักกัน เขาทำกันอย่างนี้เหรอ ไม่ต้องบอกก็รู้

เด็กหนุ่มนั่นคงฉวยโอกาสเอาตอนที่ผมสลบไสลเพราะพิษยาที่เขาโปะผมตอนลากเอาตัวมา หรือไม่ก็ต้องเป็นตอนที่ผมนอนหลับ แอบถ่ายตอนที่เขาลวนลามล่วงเกินผม คงคิดแผนการมานานแล้วที่จะคิดแบล็คเมล์ผม ไม่นึกเลยว่าจะเล่นกันแรงแบบนี้

ผมรู้สึกโกรธและเกลียดตัวเอง ที่ดันมีอารมณ์ร่วมไปด้วย นึกโทษตัวเองที่ไม่น่าไปใจอ่อน พูดดีทำดีกับเขา แล้วก็นึกพาลไปถึงว่า ผมไม่น่าไปยุ่งเกี่ยวกับเขาเลย การช่วยเหลือเขาในครั้งก่อนหน้านั้นๆ มันได้สร้างความลำบากให้ผมในตอนนี้อย่างแสนสาหัส

ผมเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์มือถือ ด้วยหมายจะจับมันมาขว้างให้แหลกคามือ แต่เด็กหนุ่มไวกว่า เขาจับมันหย่อนลงกระเป๋า แล้วเอามันมาวางไว้ข้างตัว ผมพยายามจะคว้ากระเป๋าใบนั้น แต่เขาก็ยื้อยุดฉุดมือผมไว้ เด็กหนุ่มบิดมือผมโดยแรง ถึงแม้ว่าผมจะอายุมากกว่าเขา แต่เรี่ยวแรงของอดีตนักมวยมีมากกว่า เขาบิดมือผมจนเจ็บไปหมด แต่ผมก็ยังไม่ยอมแพ้

“เอาโทรศัพท์นั่นมาให้ฉัน”

ผมตะคอกเขาด้วยเสียงอันดัง เด็กหนุ่มหน้าเสีย แต่เขาก็ยังมีสติกว่าผม เขาจุ๊ปาก ไม่ให้ผมทำเสียงดังเป็นจุดสนใจกับคนอื่น แต่ผมไม่สนใจ อารามที่โกรธจัดทำให้ผมทุ่มตัวไปหาเขา เพื่อยื้อแย้งจะเอากระเป๋าใบนั้นให้ได้ เราต่อสู้กันสักพัก เสียงมันคงจะดัง จนทำให้พนักงานวิ่งเข้ามา

“มีอะไรหรือคะ”

“อ๋อ ไม่มีอะไรครับ แฟนผมโกรธผมนิดหน่อยนะครับ”

เดียร์บอกพนักงานสาวคนนั้นหน้าตาเฉย ผมมองหน้าเขาตาขวาง กำลังจะอ้าปากร้องบอกให้ผู้หญิงคนนั้นไปเรียกคนมาช่วยเหลือ เดียร์ก็ก้มลงจูบปากผมเสียก่อน เขาจูบผมอย่างร้อนแรงจนหายใจหายคอไม่ออก ผมรอให้เขาเอาลิ้นแทรกเข้ามาในปากอย่างที่เขาเคยทำ กะจะกัดลิ้นให้ขาด

แต่ก็เหมือนว่าเขาจะรู้ตัว ได้แต่บดขยี้ริมฝีปากผมจากภายนอกเท่านั้น ผมเหลือบตามองข้ามศีรษะเดียร์ไป ก็เห็นพนักงานคนนั้น ทำหน้าเอ๋อ ที่เห็นเราซึ่งกำลังทำท่าเหมือนจะมีเรื่องกัน กลับอยู่ในท่าที่กอดจูบกันดูดดื่ม เธอทำหน้าแดง กล่าวขอโทษขอโพย แล้วรีบหมุนตัวเดินหนีจากไป ทันทีที่เสียงฝีเท้าเงียบไปสักพัก เดียร์ก็ปล่อยผม และแน่นอนเมื่อผมเป็นอิสระ ผมก็เริ่มที่จะทำให้ตัวเองหลุดรอดไปยังสถานการณ์แบบนี้ด้วยการตะโกนเรียกพนักงานคนนั้นเสียงดัง

“น้อง.......”

เรียกได้แค่นั้น ฝ่ามือใหญ่ๆก็เลื่อนมาอุดปากผม เดียร์โน้มตัวเข้ามาหา จ้องตาผมเขม็ง แล้วคำรามลอดไรฟันว่า

“อยากให้เรื่องมันยุ่งยากไปกว่านี้หรือไงครับ อยากแจ้งความจับผม เอาผมเข้าคุกเข้าตะรางใช่ไหม แล้วให้ภาพในมือถือเครื่องนี้เป็นพยานหลักฐานด้วยหรือเปล่า”

คำขู่ของเขาได้ผล ผมจ้องมองเขาตอบ ส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม เขายิ้มแบบโหดๆ ปล่อยมือออก แล้วพยักหน้าให้ผม พลางพูดเสียงเข้มว่า

“งั้นก็ดีแล้ว ถ้าเราตกลงกันได้ ภาพพวกนี้ก็จะไม่ถูกแพร่ออกไป แต่ถ้าไม่ ผมก็เกรงว่าคุณจะเป็นที่รู้จักของคนจากในอินเตอร์เนต หรือพวกซีดี วิซีดีแอบถ่าย คุณได้ดังสมใจแน่”

เขาพูดขู่ ผมกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก มองหน้าเขา พยายามค้นหาความจริงว่าหมอนี่ต้องการทำอย่างที่พูดจริงๆหรือเปล่า หรือแค่แกล้งขู่ผมเล่น ให้ยอมเป็นแฟนเขาเท่านั้น แต่ใบหน้าที่ผมมองเห็นกลับเรียบเฉย ไม่แสดงอารมณ์ใดออกมาให้จับได้ว่าเป็นเรื่องหลอกกันเท่านั้น

“ตกลงเรื่องอะไร”

ผมถามเขาอย่างฉุนๆ นึกโมโหอยู่ครามครัน ว่าทำไมตนเองต้องยอมตกลงอะไรกับคนเจ้าเล่ห์ร้ายกาจอย่างหมอนี่ด้วย เขาวางแผนการร้ายทุกอย่าง เพื่อให้ผมตกหลุมพราง คนแบบนี้ หากผมยอมตกลงอะไรไป จะแน่ใจได้ไงว่าจะไม่ทรยศหักหลังกัน แถมซ้ำเรื่องที่เขาต้องการให้ตกลงด้วย ก็เป็นเรื่องที่หนักหนาเกินกว่าผู้ชายอย่างผมจะรับได้ การให้เป็นแฟนกับเกย์ ผู้ชายแท้ๆที่ไหนเขาจะทำกัน ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่จะตกลงกับหมอนี่ ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีสักเท่าไหร่

เด็กหนุ่มจ้องหน้าผม แล้วพูดช้าๆ ชัดๆ ด้วยเสียงที่ดังพอให้ได้ยินกันแค่สองคนว่า

“ก็ตกลงเรื่องที่จะเป็นแฟนผมยังไงล่ะ”

“ทำไมต้องตกลงด้วย”  ผมเค้นเสียงถาม

“เพราะถ้าไม่ตกลง ผมจะเอารูปคุณไปโพสต์ในเนต” เดียร์ทำเสียงขู่ต่อ

“ฉันจะแจ้งความจับนาย” ผมขู่กลับบ้าง

“ถ้าไม่อาย ก็ทำไป”

เขาไม่มีทีท่าจะสะทกสะท้าน ผมกัดกรามแน่น นึกโกรธ เด็กหนุ่มคนนี้ยิ่งขึ้น แล้วก็โมโหตัวเองที่ไปเพลี่ยงพล้ำให้เขาถ่ายรูปมาแบล็คเมล์ตัวเองได้ จนทำให้ตนเองต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ถ้าเขาทำตามที่พูดจริง ผมจะให้ตำรวจจับเขา แต่กว่าจะถึงตอนนั้น ผมจะได้รับความอับอายขายขี้หน้าอย่างไรหนอ ผมจะปล่อยให้เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นล่ะหรือ

“แล้วถ้าฉันตกลงล่ะ”


abcd

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #86 เมื่อ17-09-2007 09:05:55 »

ผมตัดสินใจถามเขา อยากรู้เหมือนกันว่า หากผมตัดสินใจทำตามแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นกับ

ชีวิตผมบ้าง เด็กหนุ่มยิ้มหวานใส่ผม

“ผมก็จะลบภาพพวกนั้นทิ้งไปให้หมด แล้วก็สัญญาว่าจะดูแลคุณอย่างดีเลยครับ”

ผมถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้ม นึกหวั่นวิตกกับอนาคตของตัวเองในวันข้างหน้า ชีวิตที่มีเด็กหนุ่มคนนี้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยมันจะวุ่นวายยิ่งยากแค่ไหนกันนะ

ผมรู้สึกสับสนในใจ ว่าจะเอาอย่างไรกับตัวเองดี จะตอบตกลง ก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง ที่เราจะยอมทำอะไร ตามการขู่กรรโชกของคนเจ้าเล่ห์แบบนี้ แต่ถ้าไม่ตกลง ก็กลัวว่าผมจะได้รับความอับอาย เสียหายต่อตนเอง และการงาน หากหมอนั่นเกิดบ้า เอารูปไปโพสต์จริงตามปากว่า

“ว่าไงครับ เรียว ตัดสินใจได้หรือยัง”

เดียร์ถามผมอย่างคาดคั้น ผมมองเขาตาขุ่น ความรู้สึกสงสารที่มีอยู่ก่อนหน้านั้น แปลเปลี่ยนเป็นชิงชัง ไม่พอใจ

“ขอคิดก่อนได้ไหม” ผมต่อรอง

“ก็คิดนานแล้วนี่ครับ ตั้งสองวันแล้วอ่ะ รอคำตอบไม่ไหวแล้ว จะตัดสินใจยังไวก็ว่ามา”

เด็กหนุ่มทำทีท่าเหมือนไม่พอใจที่ผมบ่ายเบี่ยง ไม่ยอมต่อรองด้วย

“ถ้าฉันยอมตกลงกับนาย ฉันขอเป็นคนกำหนดเงื่อนไขด้วย”

ผมบอกออกไปอย่างคนที่ตัดสินใจแล้ว เอาวะเป็นไงเป็นกัน ในเมื่อ ผมจะปฏิเสธก็ไม่ได้ จะตอบรับโดยไม่มีอะไรป้องกันตัวเองบ้างก็ดูไม่เข้าที ในเมื่อผมต้องตัดสินใจยอมทำตามคำขู่ของเขา เพื่อความปลอดภัยในชีวิตการทำงานของตนเอง ก็อย่าหวังเลยว่า เด็กนั่น จะได้ข้อตกลงที่ตัวเอง พึงพอใจคนเดียว เด็กหนุ่มทำหน้างงๆ เมื่อผมยื่นข้อเสนอกลับ เขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ก็ที่เราจะตกลงเป็นแฟนกันไง”

ผมหลุดคำพูดนั้นออกมา แล้วก็แทบอยากจะกัดลิ้นตนเอง เด็กหนุ่ม ทำตาโต เหมือนได้ฟังในสิ่งที่เหลือเชื่อ
“คุณจะตกลงเป็นแฟนกับผมจริงๆเหรอครับ”

น้ำเสียงของเด็กหนุ่มบ่งบอกถึงความตื่นเต้น เขาคงคาดไม่ถึงว่าผมจะยอมตกลง

“นั่นเป็นสิ่งที่นายต้องการหรือเปล่าล่ะ”

ผมตอบอย่างยียวน เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง หน้าตาดูผ่อนคลายขึ้น แต่คิ้วของเขายังคงขมวดมุ่นด้วยความสงสัยอยู่

“จริงเหรอ”

ผมพ่นลมหายใจออกทางจมูก นึกรำคาญเด็กนี่เหลือเกิน เขาเป็นคนคาดคั้นคะยั้นคะยอให้ผมยอมตกลงเป็นแฟนเขา พอผมตกลงจริงๆ ก็ทำมาเป็นแคลงใจไม่เชื่อเสียอีก

“ชั้นรำคาญแล้วนะ จะเอาไง ก็ฉันยอมแล้ว ที่จะเป็นแฟนนาย แต่ต้องมีการทำสัญญาตกลงกันก่อน”

“สัญญา........_?????”เด็กหนุ่มทวนคำอย่างงงๆ

“ใช่ ต้องทำเป็นสัญญากัน เพราะฉันไม่อาจเชื่อใจคนอย่างนายได้ เกิดตกลงกันแค่เพียงวาจา แล้วนายไม่ทำตามนั้น ฉันก็ซวยสิ”

ผมอธิบายเหตุผล ใครจะยอมคุยกันแค่วาจากับคนเจ้าเล่ห์แบบนี้

“แต่แหม เป็นแฟนกันทำไมต้องมีการทำสัญญาด้วยอ่ะ” เขาถามคงยังไม่หายงง

“ก็ฉันไม่ได้อยากเป็นแฟนนายไปตลอดชีวิตนี่ เราจะทำสัญญาเป็นแฟนกันแค่ช่วงหนึ่งก็พอ แล้วพอครบกำหนดสัญญา เราต้องลาจากกัน โดยไม่มายุ่งเกี่ยวกันอีก แล้วจะต้องไม่มาทำร้าย หรือมาทรยศกันลับหลังด้วย”

“งั้นเป็นสัก 10 ปีได้ไหม”

เขายื่นข้อเสนอมาก่อน ดวงตาเขาเป็นประกายวาววับ ผมหงายหน้าหัวเราะ

“10 ปีเหรอ นานไปหรือเปล่า ได้ข่าวว่า พวกเกย์ไม่มีรักแท้ไม่ใช่เหรอ คบกันอย่างฉาบฉวย เดี๋ยวรักเดี๋ยวเลิก ไม่เห็นจีรังยั่งยืนสักราย”

“ดูถูกอีกแล้ว” เขาทำหน้าง้ำ

“ฉันพูดตามที่เคยเห็น หรือเคยได้ยิน เอาเป็นว่าฉันให้นายได้น้อยกว่านั้น”

“5 ปี” เขาต่อรองอีก

“ก็ยังมากไปอยู่ดี”

“งั้น 3 เอ้า”

เขาลองอีกที ผมยิ้มกริ่ม พยักหน้าให้เขาเป็นอันตกลง

“ได้ 3 เดือนนะ”

“ไม่ใช่สิ ผมหมายถึง 3 ปี”

“ไม่ได้”

“ทำไมล่ะ 3 ปี สำหรับผม น่ะ มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ ผมอยากอยู่กับเรียว เป็นแฟนเรียวให้นานกว่านั้นอ่ะ นะ นะ นะ นะ ผมอุตส่าห์ลดมาแล้วนะ” เขาเริ่มจะทำเสียงอ้อนแล้ว

“ให้ได้ แค่ 3 เดือนเท่านั้น”

“ไม่อาว น้อยไป อย่างน้อยก็น่าจะสัก 1 ปี”

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ พูดเสียงแข็งว่า

“ 3 เดือน”

“งั้น ก็ 6 เดือนก็ได้”

เมื่อเห็นว่าผมแข็ง เขาก็เริ่มจะอ่อนลง แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้

“ฉันให้ได้แค่ 3 เดือน อย่ามาต่อลองเลย”

ผมยืนยันเสียงแข็ง เด็กหนุ่มยืดตัวขึ้น สูดลมหายใจลึก แล้วทำหน้าเข้ม

“งั้นผมไม่ตกลงเหมือนกัน เรื่องอะไร ผมอุตส่าห์ลงทุนตั้งมากมาย ทำถึงขนาดนี้เสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง ก็หวังว่า จะได้เป็นแฟนคุณนานๆ แต่คุณกลับจะมาขอให้ผมเป็นแฟนคุณแค่สามเดือน สู้ผมเอารูปคุณไปโพสต์ แล้วยอมให้เรียวเรียกตำรวจมาเอาผมเข้าคุกให้รู้แล้วรู้รอดไปดีกว่า ไหนๆก็ไม่ได้เป็นแฟนคุณแล้ว คนอื่นก็อย่าเป็นเลย”

เขาพูดด้วยเสียงพาลๆ จนผมชักเริ่มใจเสีย กลัวความบ้าระห่ำของหมอนี่ ผมคิดในใจว่า ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ยอมเพิ่มเป็น 6 เดือน ก็คงจะไม่เป็นไรมั้ง อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังมีข้อต่อรองอื่นๆอีก รับรองหมอนี่ทำอะไรผมตามใจชอบไม่ได้แน่

“ก็ได้ 6 เดือนก็ 6 เดือน หลังจากนี้ ต่างหันหลังให้กัน ไม่ติดใจเอาความนะ”

“แหม ใจร้ายจัง จะสิ้นเยื่อขาดใยกันเลยเหรอ” เขาอุทธรณ์

“ก็บอกแล้วไง ว่ามันเป็นการทำสัญญาเป็นแฟนกันชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้เป็นถาวร ถ้าไม่ตกลงก็ไม่ต้องคุยกันแล้ว จะเอารูปฉันไปโพสต์ที่ไหนก็เชิญ” ผมชักฉุน

“งั้นเป็นแฟนกันเลยนะ”

เด็กหนุ่มจับมือผมมากุมไว้ด้วยท่าทีกระตือรือร้น ผมเลยต้องรีบเบรกเขาก่อนเนื่องจากยังไม่ได้พูดถึง

เงื่อนไขข้อต่อไป

“ยังมีเงื่อนไขอื่นๆอีกที่นายกับฉันต้องมาตกลงกัน”

“อะไรอีกล่ะครับ” เขาถามอย่างขัดใจ

“เพื่อความสงบสุขของตัวฉัน เราจำเป็นที่จะต้องมีข้อตกลงบางอย่าง หากทำไม่ได้ ก็ถือว่า สัญญาการเป็นแฟนเราเป็นอันโมฆะ”

“ว่ามาเลยครับ” เด็กหนุ่มมีท่าทางหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด

“ข้อแรก เราจะเป็นแฟนกันในระยะเวลาเพียง 6 เดือนเท่านั้น หลังจากนี้ไปแล้ว ต่างคนต่างอยู่ ไม่ข้องเกี่ยวกัน ไม่ทำร้ายกัน”

ผมกำลังจะพูดข้อที่สอง เขาก็แทรกขึ้นมาว่า

“ในช่วงระหว่างที่เราสองคนเป็นแฟนกัน ห้ามเรียวคบกับคนอื่น นอกเหนือจากผม ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย นะครับ”

ผมมองเขาด้วยความหมั่นไส้ ใครจะไปมีคนอื่นได้เร็วขนาดนั้น เพิ่งอกหักมาเนี่ยนะ แล้วผมก็คิดว่าเจ้าหมอนี่คงไม่มีวันปล่อยผมไปชอบกับใครง่ายๆในระหว่างนี้แน่ ผมพยักหน้าตกลงอย่างเสียไม่ได้ เพื่อให้เรื่องราวมันจบลงโดยไว เด็กหนุ่มยิ้มอย่างพอใจที่ผมยอมรับปาก

“ข้อสอง” ผมพูดต่อ

“ห้ามล่วงเกิน แตะเนื้อต้องตัว ห้ามปล้ำฉัน หรือทำอะไรฉันทั้งสิ้น…..”

“อ๊า ๆๆๆๆๆๆ ไม่อาว ข้อนี้ โหดเกินไปอ่ะ ผมยอมตกลงด้วยไม่ได้หรอก”

เขาร้องบอกเสียงหลง ไม่รอให้ผมพูดจนจบ

“เป็นแฟนกัน ก็ต้องกอดต้องจูบ ต้องมีอะไรกันบ้างสิ ไม่งั้นจะไปเป็นแฟนกันทำไม อยู่ใกล้เรียวบ่อยๆ ผมจะไปทนอดใจได้ที่ไหน นี่กะจะให้ผมขาดใจตายเลยเหรอ มีช่องให้ผมได้แตะเนื้อแตะตัวคุณบ้างสิ ไม่ปล้ำก็ได้ แต่ขอใช้มือใช้ปากได้ไหม”

“ใครจะไปตกลงแบบนั้น”

“ถ้าไม่งั้นผมก็ไม่ยอมเหมือนกันนะ”

เดียร์ทำท่าทางเหมือนเด็กเกเร ผมทอดถอนใจด้วยความเบื่อหน่ายระอาในตัวของเด็กหนุ่ม เขาจะเอาแต่ใจตนเอง แล้วสร้างความลำบากใจให้ผมไปถึงไหนกันนะ ดูสินี่ยังไม่ได้เริ่มต้นเป็นแฟนกันเลย ก็จะมาทำงอแงเสียแล้ว ข้อเสนอของผม มันก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงอะไร มันเป็นสิ่งที่สมควรทำด้วยซ้ำ

ใครจะยอมให้เด็กนั่น มาแตะเนื้อต้องตัวผมได้ตลอดเวลา รู้พิษสงกันดีอยู่ ว่าเขาสามารถทำให้ผมเกิดอารมณ์ได้ขนาดไหน ผมยอมรับกับตัวเลยว่า หากผมปล่อยให้เขาลวนลามผมได้ตามอำเภอใจ ผมอาจจะเผลอตอบสนองเขาไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งผมจะไม่มีวันยอมให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นแน่

“พูดกันอย่างผู้ใหญ่สิเดียร์ นี่คือข้อตกลงหนึ่งของการจะเป็นแฟนกัน ถ้าฉันไม่ยินยอมพร้อมใจ นายจะมาแตะเนื้อต้องตัวฉันไม่ได้ มันเป็นการรุกล้ำความเป็นส่วนตัวนะ ซึ่งถ้าจะเป็นแฟนกัน ต้องไม่บังคับขืนใจอีกฝ่ายให้ยอมทำตามที่ตนเองต้องการสิ”

ผมพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ เด็กหนุ่มยังทำหน้าไม่พอใจ เหมือนเด็กที่ไม่ได้ของเล่นที่ตนเองต้องการ แต่แล้วเขาก็ยิ้มร่า ดวงตาเป็นประกาย คงนึกอะไรเด็ดๆที่จะโต้ตอบผมได้กระมัง

“งั้นแปลว่า ถ้าเรียวเป็นฝ่ายสมยอมเอง ผมก็สามารถที่จะกอดจูบ หรือ ใช้ปากกับเรียว ได้ใช่ไหมครับ”

“อ๊ะ”

ผมเริ่มเงอะงะ รู้สึกว่าตัวเองคงจะพูดอะไรบางอย่างเปิดช่องให้เขาหาทางแก้ลำผมได้ เด็กหนุ่มยิ้มอย่างมีชัย พูดทวนคำพูดของผมว่า

“ก็เรียวบอกเองนี่ครับว่า ถ้าเรียวไม่ยินยอมพร้อมใจ ผมก็จะแตะเนื้อต้องตัว หรือทำอะไรกับเรียวไม่ได้ นั่นหมายความว่า หากเรียวยินยอมพร้อมใจ ผมจะทำอะไรก็ได้ ใช่ไหมครับ อย่าผิดคำพูดนะ เพราะนี่คือสัญญา ทุกสิ่งที่เรียวพูด มันคือสัญญาของเรานะครับ ผมจะยึดตามนี้”

เด็กหนุ่มคาดคั้นให้ผมยอมรับในสิ่งที่ผมพูด ผมมองแววตาจริงจังของเขา พลางกลืนน้ำลายลงคอ อย่างยากเย็น

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #87 เมื่อ17-09-2007 09:50:56 »

 :a6:
จบแค่นี้เหรอค้าบบบบบบบบบบบบบบบ
ใจร้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ค้างๆๆ ค้างอย่างแรง
.
.
.
แต่ก็อุตส่าห์มาต่อให้ซ้ายาว
ขอบคุณคับ

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #88 เมื่อ17-09-2007 10:39:52 »

555 สุดยอด มีทำสัญญาด้วย 6 เดือนนี้คงจะต้องมีเรื่องราวมันส์ๆแน่ๆเลย

sun

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #89 เมื่อ19-09-2007 13:17:24 »

แม๋ๆ คู่นี้ จะรักกัน... ก้อต้องมีเงื่อนไขด้วยวุ้ย คิคิ      :a3:
แต่ก้อนะ... ความรักด้วยเงื่อนไข แบบนี้
ต่อไปจะเป็นยังไงน่อ... เชียร์ น้องเดียร์ ฮี่ๆ     :m3:
ให้เอาชนะใจ พี่เรียวให้ได้ อิอิ       :m1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด