การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)  (อ่าน 250480 ครั้ง)

sun

  • บุคคลทั่วไป
:m3:    ของฝากเหยอ เป็นโปสการ์ด   ดูๆๆ  คิคิ     :m3: 

ให้ทายดั๊วะ ..ใครรุก ใครรับ เอิ้ววววว ... 
ตอบเล่นๆได้ มะ ตอบผิดก้อจะได้มิโดน หยิกก้น คิคิ 
ตอบว่า.....................ดะดูๆแย้ว ...ถะถ้าตอบ ว่า ...น้องทึ่ม รุก ..
ซินจะโดน จับโยนออกนอกกระทู้มั๊ย(ฮา.............)    :laugh:

 :a3:     ย้อเล่งงงงงงงงง....แต่......... ซินตอบจริงนะเอ้า    :m23:



อ่ากี่เดือนล่ะเนี่ย...ไม่รู้วุ้ย..เดาเอาแย้วกัน เลยปี ยังหว่า   :m28:
....................................   10 เดือน  ก่าอีก 25 วัน  ......................................

 :m1:                :m1:                       :m1:

tonsai_2520

  • บุคคลทั่วไป
ใครอยากได้ของขวัญ มาเล่นทายปัญหากันดีกว่าคับ ใครตอบถูกได้รางวัล เดี๋ยวคุยกันหลังไมค์

ผมถามว่า ผมกะไอ้ทึ่มนั้น ใครรุกใครรับ ครับ (ฮาาาาาาาาา)

ซะเมื่อไหร่เล่า!! ใครกล้าตอบจริงแล้ว(เจือก)ตอบผิดมีหยิกแก้มตูดสี่เกลียวครึ่งแน่

ผมถามว่า ลองทายดูซิว่าผมกะไอ้ทึ่มคบกันมานานขนาดไหนแล้วครับ ตอบเป็นหลักเดือนเน้อ เอาที่ใกล้เคียงที่สุดก็แล้วกัน

ใบ้ให้ว่าไม่นานมากหรอก แต่ก็นานพอจะเสียดายถ้าเลิกกัน 5555

เดี๋ยวพรุ่งนี้บ่ายๆเย็นๆ ผมมาเช็คคำตอบหนา

ขอบคุณทุกคนมากครับ  o14

ปล. ก็ตั้งใจจะมีของฝากมาให้อยู่แล้วล่ะ แต่ให้ทุกคนคงไม่ไหวเท่านั้นเอง  :m13:




ใครรุก . . . ใครรับ  เหอะ ๆ ๆ ๆ ๆ

คนรับคงเจ็บน่าดู๊ ๆๆๆๆ

กี่เดือนเหรอ  นับนิ้วดูดีมั้ยหว่า  ไม่ตอบรู้แค่ของตรูก็ เอาตัวไม่รอดอยู่  ฮาฮาฮา

ปล. เฮ้ย.......อยากถอนหายใจไม่มีไร  พุธนี้  จะเข้า กทม  ไม่รู้ไฟลท์ไหน  ยังมะได้จองเลยอ่ะ    ถ้าว่างพฤหัสกินข้าวเย็นกัน  แต่ถ้าว่างวันศุกร์  กินเหล้ากันหนา  เหอะๆ ๆ ๆ ๆ

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
:m3:    ของฝากเหยอ เป็นโปสการ์ด   ดูๆๆ  คิคิ     :m3: 

ให้ทายดั๊วะ ..ใครรุก ใครรับ เอิ้ววววว ... 
ตอบเล่นๆได้ มะ ตอบผิดก้อจะได้มิโดน หยิกก้น คิคิ 
ตอบว่า.....................ดะดูๆแย้ว ...ถะถ้าตอบ ว่า ...น้องทึ่ม รุก ..
ซินจะโดน จับโยนออกนอกกระทู้มั๊ย(ฮา.............)    :laugh:

 :a3:     ย้อเล่งงงงงงงงง....แต่......... ซินตอบจริงนะเอ้า    :m23:



ตอบแบบนี้เลิกคบกันเลยดีกว่าคับ  :angry2:

5555

เอาล่ะ เฉลย คนที่ตอบถูกคือ คุณ ติ๊ป คับ เป๊ะเลย 14 เดือน
 o13
เด๋วหลังไมกันเน้อ เอาไปเลยของฝากจากแกรนด์ แคนยอน + โปสการ์ดวิวจากแมเธอร์ พ็อยท์ (มีป่าวหว่า จำไม่ได้ 5555)
สวยกว่ารูปที่ผมแปะแน่นอน


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 25


เมื่อกลับมาถึงห้องและจัดของเรียบร้อยแล้ว ไอ้ซันก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงทันที จังหวะเดียวกับที่ไคล์กำลังเข้าห้องน้ำอยู่ ผมจึงเดินไปนั่งลงข้างๆมันและเอามือลูบหัวมันเล่นไปด้วย

“เหนื่อยเหรอ.......” ผมถาม

“อืมม” มันทำเสียงในลำคอตอบกลับมา

“หรือไม่พอใจกันแน่” ผมใช้นิ้วชี้ลูบไปตามแนวคิ้วของมันช้าๆ “เป็นอะไรวะ ซัน”

“เปล่านี่” มันตอบทั้งๆที่ยังนอนหลับตาอยู่

“มึงโกหกกูอีกแล้ว” ผมไล่นิ้วมาจนถึงริมฝีปากบนของมัน “หึงกูกับพีทเหรอวะ” ผมถาม เพราะว่าตั้งแต่เจอกับพีทก็ดูมันเงียบๆท่าทางเหมือนไม่พอใจมาตลอด “กูเพิ่งจะเคยเจอเขาเองนะ แค่คุยด้วยนิดเดียวเอง”

ไอ้ซันขยับตัวเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ยอมพูดอะไรอยู่อีกครู่หนึ่ง จนผมเอานิ้วจิ้มเข้าเข้าไปในปากของมัน มันถึงได้พูด

“เอาจริงๆ.......... ก็เปล่าหรอก” มันงับนิ้วผม

“อ้าว แล้วมึงเป็นอะไรล่ะ กูนึกว่ามึงไม่ชอบน้องเขาซะอีก เห็นนั่งมองหน้าน้องเขาเงียบมาตลอด”

“ก็ไม่เชิงหรอก กูแค่คิดอะไรนิดหน่อยน่ะ แต่มึงนั่นแหละ.......” มันลืมตาขึ้นจ้องผมเขม็ง แล้วเอามือมาจับมือของผมที่กำลังลูบใบหน้าของมันเอาไว้ “อย่าทำให้กูหึงก็แล้วกัน”

“อะไรของมึงเนี่ย” ผมหัวเราะ “กูจะไปทำอะไรแบบนั้นทำไม........” ผมบีบแก้มมันเบาๆ “มีแต่มึงนั่นแหละที่ทำกูหึงไปแล้วเรียบร้อย”

“อะไรนะ”

“ก็มึง...... กับไคล์นั่นแหละ” ผมลดเสียงลงและหันหน้าไปทางห้องน้ำ “จะบอกว่ากูไม่คิดอะไรเลยก็ไม่ใช่หรอกนะ ซัน”

ไอ้ซันมีสีหน้าและแววตาเคร่งเครียดขึ้นมาทันที “กูไม่เข้าใจ ก็ไหนมึงบอกกูว่ามึงจะไม่คิดม.........”

“กูพูดว่ากูจะ ‘พยายาม’ ไม่คิดมากอีก” ผมรีบแก้ “มันยากนะ แต่กูก็กำลังพยายามอยู่ทุกๆนาทีที่กูเห็นมึงหรือไคล์” ผมชักมือออกจากหน้าของมัน “มันไม่ง่ายหรอกซัน การที่กูต้องจินตนาการว่าคนที่กูรัก และรักมานานแล้ว ไปใช้เวลาอยู่กับคนอื่นๆน่ะ โดยเฉพาะตอนนั้นยิ่งเป็นช่วงที่กูกำลังคิดถึงมึงมากๆและโดดเดี่ยวสุดๆด้วยแล้ว........” ผมเบือนหน้าหนีสายตาของมัน “มันไม่ง่ายเลย.........”

ผมเกือบที่จะคาดหวังให้ไอ้ซันพูดอะไรตอบกลับมาสักอย่าง แต่ก็โชคดีที่ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น เพราะไอ้ซันก็ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมาจริงๆ เสียงประตูห้องน้ำถูกเปิดออก ไคล์เดินออกมาพร้อมกับมองมายังเราสองคนด้วยแววตาสงสัยเล็กน้อย

“จะไปกันกี่โมงดีครับ” เขาถามขึ้นพลางเดินไปหยิบของใส่กระเป๋าสะพาย

“มึงนอนพักไปก่อนแล้วกันนะ ซัน” ผมพูดขณะที่ลุกขึ้นยืน “ตอนนี้บ่ายสองกว่าแล้ว เดี๋ยวกูกลับมา ประมาณสามโมงครึ่งก็แล้วกัน”

ทว่าไอ้ซันก็ยังคงไม่ตอบอะไรผมอยู่ดี มันนอนมองผมด้วยแววตาบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจ มันเหมือนเป็นความเศร้าผสมกับความเหงา แต่เมื่อมองดูดีๆแล้ว มันก็ดูเป็นความกังวลใจเสียมากกว่า

“ถ้ามึงจะออกไปเดินเล่นหรือซื้อของ ราวๆสามครึ่งก็ไปเจอกันที่ร้านเดิมแล้วกัน” ผมพูด ไอ้ซันพยักหน้าช้าๆแล้วก็หันตะแคงข้างซุกตัวลงใต้ผ้าห่ม

เมื่อเห็นดังนั้นผมจึงหันไปหาไคล์และพยักหน้าเป็นทำนองว่าให้เขาเดินออกไปก่อนเดี๋ยวผมจะตามไป และเมื่อไคล์เดินออกจากห้องไป ผมก็เขยิบเข้าไปหาไอ้ซันที่กำลังนอนหันหลังให้ผมอยู่

“ซัน” ผมเรียก

“หืมม” มันตอบทั้งๆที่ยังไม่หันมามองผม

“กูรักมึง และไม่อยากจะเสียมึงไปนะ....... จริงๆ” ผมพูดขึ้นเบาๆ “แต่แค่กูจินตนาการว่ามึงไปมีความสุข ได้หัวเราะ ได้จับมือ หรือทำอะไรอย่างอื่นกับคนอื่น กูก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในอกแล้ว” ผมจับตัวแขนมันเบาๆ “กูรู้ว่ามันงี่เง่า กูรู้ว่ามันไม่สมควรที่กูมัวแต่จะไปคิดถึงเรื่องในอดีตของมึง เพราะงั้นกูขอโทษก็แล้วกันนะ มึงอย่าคิดมากนะซัน”

“เปล่า กูไม่ได้คิดมากเรื่องนั้นหรอก” มันพูดพลางพลิกตัวหันมาหาผม “กูรู้ว่ามึงรักกู และมึงก็คงรู้แล้วว่ากูรักมึง เมื่อคืนกูพูดไปประมาณยี่สิบครั้งได้แล้วมั๊ง”

จริงอย่างที่มันพูด เมื่อคืนมันพูดว่ามันรักผมเยอะที่สุดในตลอดเวลาสี่ปีที่ผมรู้จักมันมาเลยทีเดียว ถ้าเอาคำว่ารักที่มันเคยบอกผมตลอดเวลาที่ผมรู้จักกับมันมานับรวมกันยังไม่มากเท่าเมื่อคืนนี้คืนเดียวเลยมั๊ง

“กูก็แค่เสียใจนิดหน่อยที่ได้ยินที่มึงพูดแบบนั้น แต่กูไม่ได้เป็นอะไรหรอก กูแค่เหนื่อยจริงๆน่ะ เมื่อคืนกูก็นอนไม่ค่อยหลับ และวันนี้กูก็คิดอะไรมากไปหน่อยน่ะ เลยเพลียๆ”

“มึงคิดอะไรล่ะ มึงก็บอกกูดิ่”

ไอ้ซันเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนกำลังชั่งใจ “ที่มึงบอกว่ามึงเพิ่งรู้จักพีทน่ะ.......”

ผมพยักหน้า “อืมม”

“ไม่อ่ะ ไม่มีอะไรว่ะ เรื่องงี่เง่าๆธรรมดา มึงไปเหอะ เดี๋ยวไอ้ไคล์มันจะรอนาน”

“อ้าว” ผมร้อง “นี่ตกลงมึงคิดมากเรื่องพีทจริงๆเหรอเนี่ย” ใจนึงผมก็ดีใจที่มันหึงผม แต่อีกใจมันก็รู้สึกแย่และรำคาญใจเล็กน้อยที่มันต้องมานั่งคิดมากกับคนที่ผมเพิ่งจะคุยด้วยแค่ไม่กี่ประโยคแบบนี้

“ก็เปล่าหรอก....... ตอนนี้ยัง” มันตอบ ผมส่ายหน้าช้าๆ

“มึงอยากให้กูอยู่เป็นเพื่อนมั๊ย”

“ไม่ต้องหรอก กูอยากนอนน่ะ ถ้ากูนอนแล้วเดี๋ยวมึงก็ไม่มีอะไรทำอีก มึงไปเที่ยวเหอะ พรุ่งนี้จะได้พากูเที่ยวถูกไง” มันยิ้มให้ผมและเอามือมาเขย่าคางผมเบาๆ ผมนั่งมองหน้าของมันนิ่งๆอยู่อีกครู่หนึ่ง

“นี่กูกับมึงเป็นแฟนกันแล้วจริงๆใช่มั๊ยวะเนี่ย” ผมพูดขึ้นแบบอดสงสัยไม่ได้ “แบบว่า....... กูรู้สึกไม่อยากจะเชื่อเลยว่ะ” เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาสามสี่ปีของผมก็ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่ผมกับมันจะพูดหรือแสดงอะไรหลายๆอย่างออกมาได้อย่างชัดเจนแบบนี้ ถ้าพูดให้ชัดเจนก็คือ เราไม่เคยทำตัวเหมือนเป็นแฟนกันได้เลยสักครั้ง

“นั่นสินะ” มันยิ้มกว้าง “เสียเวลามาตั้งนานแน่ะ”

ผมยิ้มแล้วพยักหน้า “เอาล่ะ กูไปดีกว่า เดี๋ยวไคล์จะรอนาน มึงนอนพักไปนะ แล้วเดี๋ยวกูกลับมา” ผมลุกขึ้นยืนแล้วนึกอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่งจึงเดินไปเปิดกระเป๋าของตัวเองหยิบเอาสมุดเล่มหนึ่งออกมา สมุดเล่มที่ผมตั้งใจไว้ว่าอยากให้มันอ่านมานานแล้ว

ผมหันหลังให้ไอ้ซันแล้วนั่งคุกเข่าอยู่หน้ากระเป๋าของตัวเอง มือก็ถือสมุดเล่มนั้นไว้อยู่ด้วย สมองของผมเริ่มทำงานหนัก ชั่งใจถึงข้อดีและข้อเสียของการที่ผมจะมอบหนังสือเล่มนี้ให้กับมัน แต่สุดท้าย เรื่องบางเรื่องมันก็ใช้สมองและเหตุผลคิดไม่ได้ แต่ต้องใช้หัวใจต่างหาก.......... ผมอุตส่าห์หิ้วสมุดเล่มนี้มาด้วยถึงที่นี่เพราะอะไรกัน ถ้าไม่ใช่เพราะผมต้องการจะมอบให้กับมัน

“ซัน” ผมลุกขึ้นยืนและถือสมุดเล่มนั้นแน่นอยู่ในมือ ผมหันไปหามันที่กำลังนอนมองผมอยู่อย่างช้าๆ “กูก็มีสมุดเล่มนี้จะให้กับมึงเหมือนกัน” ผมเดินไปหามันแล้ววางสมุดของผมลงบนเตียง “มึงจะอ่านเลยหรือยังไม่อ่านก็เรื่องของมึง กูจะไม่บอกให้มึงอ่านตอนที่มึงพร้อมเหมือนที่มึงบอกกูหรอก” เมื่อผมพูดจบมันก็มีรอยยิ้มอายๆขึ้น “แต่กูขอแค่อย่างเดียว.......” ไอ้ซันมองตาของผมเขม็งรอคอยสิ่งที่จะพูดต่อไปอย่างตั้งใจ “ขอให้อ่านตอนกูไม่อยู่ใกล้ๆก็แล้วกัน”

“อายเหรอวะ” ไอ้ซันถือสมุดไว้ในมือแล้วหัวเราะเสียงดัง

“ก็เออดิ่ เอ้า เออ ขำเข้าไป ตาสว่างแล้วมั๊งน่ะ” ผมตบหัวมันเบาๆ “งั้นกูไปแล้วนะ มึงนอนไปก็แล้วกัน แล้วเดี๋ยวจะรีบกลับมา” พอพูดจบผมก็หันหลังเดินออกจากห้องไปทันที

ผมเดินออกมาเจอไคล์กำลังยืนคอยอยู่ไม่ไกลจากหน้าห้องพัก เมื่อเขาเห็นผมก็พยักหน้าให้ช้าๆพร้อมกับรอยยิ้มราวกับจะถามว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีมั๊ย ผมเองก็พยักหน้าและยิ้มตอบให้เขาไปเช่นเดียวกัน

เราสองคนเดินกลับไปตามทางเดิมจนถึงป้ายหยุดรถที่พีทบอกเราเมื่อตอนบ่าย ผมกับไคล์ยืนคุยเรื่องแผนที่ของเส้นทางเดินรถและจุดชมวิวที่เราแวะได้ตรงป้ายแผนที่ขนาดใหญ่ข้างๆกับป้ายรถ เวลาผ่านไปไม่นานรถชัตเติ้ลบัสสีขาวแถบเขียวแบบเดียวกับที่ผมเห็นเมื่อเช้าก็วิ่งเข้ามาจอด

“ตกลงไปไหนดี” ไคล์ถามผมเมื่อเราได้ที่นั่งด้านหลังสุดของรถบัส

“ไปแมเธอร์ พ็อยท์ ดีกว่า เพราะจากตรงนี้มันใกล้ที่สุดนี่นา” ผมชี้ไปที่รูปแผนที่ตรงเหนือราวจับของรถ “ว่าแต่หยิบกล้องมาด้วยรึเปล่า” ผมหันกลับไปถามไคล์

“แน่นอน” เขาล้วงเอากล้องดิจิตัลขึ้นมาจากกะเป๋ากางเกง

“ดีเลย แล้วเดี๋ยวถ่ายรูปเอาไปอวดไอ้ซันกัน ให้มันอิจฉาเล่น”

แมเธอร์ พ็อยท์เป็นจุดเปลี่ยนรถจากสายสีน้ำเงินเป็นสายสีเขียวที่จะพาเราไปเที่ยวในอีกเส้นทางหนึ่งได้ เมื่อถึงที่ป้ายรถคนบนรถทุกคนรวมทั้งเราสองคนก็ก้าวลงจากรถด้วย อากาศในยามบ่ายนี้ค่อนข้างจะร้อนเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน แต่ก็ร้อนเพราะแสงแดดมากกว่า สภาพอากาศจริงๆกลับค่อนข้างเย็นสบายและมีลมพัดมาเป็นระยะๆให้รู้สึกสบายตัวดีทีเดียว สิ่งนี้คงเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของสภาพอากาศในเมืองที่มีภูมิประเทศเป็นทะเลทรายและอยู่ในเขตสูงแบบนี้นี่เอง

พวกเราเดินตามกลุ่มคนไปตามทางเดิน บริเวณนี้มีการจัดตบแต่งให้มีลักษณะคล้ายกับสวนสาธารณะขนาดย่อมๆที่มีทั้งแผนที่ ข้อมูล แผนผัง ร้านหนังสือ และ ศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวรวมอยู่ด้วย เราเดินผ่านฝูงคนไปตามทางเดินที่มีป้ายชี้ว่าไป แมเธอร์ พ็อยท์ พวกเราเดินกันประมาณห้านาทีก็มาถึงถนนใหญ่อีกสายหนึ่ง นี่คงเป็นถนนที่เลี้ยวขวาในทางแยกที่พวกเราเจอตอนก่อนที่จะไปเช็คอินเข้าที่พักแน่ๆ และเมื่อข้ามถนนเส้นนี้ไปก็พบกับจุดชมวิวทันที ผมกวาดสายตามองไปรอบๆและเห็นว่านอกจากจุดชมวิวตรงหน้าของผมแล้วยังมีอีกหลายๆจุดทางด้านซ้ายมือให้เราสามารถเดินไปสำรวจได้

“ไปกันเถอะ” ไคล์บอกผมแล้วออกเดินนำหน้าไปยังราวจับที่คงมีไว้เพื่อกันคนตกหน้าผาลงไปนั่นเอง “สุดยอดเลย” ไคล์ร้องขึ้นด้วยความประทับใจแล้วหยิบกล้องดิจิตอลออกมาถ่ายรูปที่อยู่ตรงหน้า ผมเดินตามหลังไคล์แล้วไปหยุดอยู่ข้างๆเขา

“โอ้โห” ผมอุทานเมื่อมองเห็นความยิ่งใหญ่เบื้องหน้า ภาพของสิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาของพวกเราก็คือความสวยงามและยิ่งใหญ่ของแกรนด์แคนยอนอย่างแท้จริง สิ่งที่พวกเราเห็นอยู่นี้เป็นจุดที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์โดยรวมได้ทั่วเกือบทั้งหมดทีเดียว แนวของหินผาที่เกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกก่อให้เกิดความงามและความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติอย่างที่มนุษย์ไม่สามารถสร้างขึ้นได้

ผมสังเกตเห็นว่าด้านล่างของแกรนด์แคนยอนนั้นมีทางเดินเล็กๆแคบๆแต่ยาวมากกระจายอยู่ทั่วไปหมด

“นั่นอะไรน่ะ” ผมชี้ออกไปยังทางเดินเหล่านั้น “ใช่ทางเดินหรือเปล่า”

“น่าจะใช่นะครับ” ไคล์ตอบ “น่าจะเป็นเส้นทางเดินที่ใช้ไฮค์ลงไปข้างล่าง”

“แต่นั่นมันก็ยังไม่ข้างล่างนี่ ใช่มั๊ย” ผมสังเกตเห็นว่าจากพื้นเรียบๆที่เห็นเบื้องล่างนี้ยังมีรอยแยกและหน้าผาอีกมากมายอยู่ลิบๆตา “นั่นใช่แม่น้ำโคโรลาโดรึเปล่า” ผมเหยียดแขนชี้ออกไปจนสุด

“ใช่จริงๆด้วย ไกลน่าดูเลยแฮะ”

“ไกลชิบหาย แล้วใครมันจะไปเดินไหววะเนี่ย”

“ชิบหายแปลว่าอะไรน่ะ” ไคล์หันมาถามผม

“อ๋ออ เอ่อ คำไม่สุภาพน่ะ อย่าไปใส่ใจเลย ขอโทษที” ผมรีบตอบเพราะไม่อยากให้เขาจำคำแบบนี้ไปพูดกับแม่และคนไทยคนอื่นๆโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ “อย่าเอาไปพูดกับแม่ของตัวเองรึพ่อแม่ของซันเชียวล่ะ” ผมกำชับ

“ครับ” เขาหัวเราะ “อยู่กับซันกับศิลาแล้วผมไม่รู้คำศัพท์ที่สองคนคุยกันเยอะเลย แต่ว่าผมก็พอฟังประโยคโดยรวมออกนะ แปลว่ามันก็คงเป็นคำไม่สุภาพเหมือนกันใช่มั๊ย”

“เอ่อออ อืมก็ ประมาณนั้นแหละ”

“ตกลงไกลชิบหายแปลว่าอะไรล่ะ ถ้าผมเดา มันคงแปลว่า ‘ไกลมาก’ รึเปล่า”

“ใช่แล้ว” ผมตอบ “ก็ดูสิ แค่เดินไปจนสุดขอบทางที่เป็นเหมือนสามเหลี่ยมที่ยื่นๆออกมานั่นก็แย่แล้ว แต่ถ้าตรงนั้นมันยังไม่ใช่ล่างสุดแต่ยังลงไปได้อีกล่ะก็ ถ้าให้พี่เดินขนาดนั้นล่ะก็ตายแน่”

“ก็ไม่แน่นา ทำไมถึงคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ล่ะ ยังไม่แก่สักหน่อย”

“ไอ้ยังไม่แก่น่ะมันก็ใช่” ผมหัวเราะ “แต่ขาพี่มันไม่ค่อยดีแล้ว หมอเคยบอกไว้ว่าไม่ให้ใช้หัวเข่ามากน่ะ ตั้งแต่อุบัติเหตุคราวก่อน”

“จริงเหรอ” ไคล์มีสีหน้าตกใจ “แล้วที่เล่นบาสเก็ตบอลกับผมวันนั้น.........”

“ไม่เป็นไรหรอก ถ้าไม่โหมมากก็ไม่เป็นอะไร” ผมตอบพลางยกหัวเข่าขวาขึ้นมาแล้วเอามือลูบเบาๆ “ดีขึ้นเยอะแล้วล่ะ ผ่านมาตั้งปีนึงแล้วนี่ แต่ถ้าให้วิ่งมากๆ หรือกระโดดนานๆ ก็อาจจะไม่ไหวเหมือนกัน ไม่รู้เหมือนกันสินะ ไม่ได้เจ็บมานานแล้วด้วย อาจจะหายดีแล้วก็ได้มั๊ง”

“ซันรู้หรือเปล่า” ไคล์ถาม

“อืมมม ไม่หรอก” ผมตอบ นึกไปถึงปีก่อนที่ผ่านมา ผมแทบไม่ได้คุยกับมันเลยจริงๆ มีหลายอย่างเหลือเกินที่มันไม่รู้เกี่ยวกับผมและผมไม่รู้เกี่ยวกับมัน “ไม่เคยบอกมันเลยน่ะ เพราะคิดว่าตัวเองหายดีแล้วด้วย เลยไม่ได้ซีเรียสอะไรมาก” แต่จริงๆแล้วสิ่งที่ผมยังไม่ได้บอกไคล์อีกอย่างนั่นก็คือข้อเท้าซ้ายของผมต่างหาก หลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลแล้ว สิ่งที่เป็นผลร้ายตามหลังมาจากอุบัติเหตุครั้งนั้นก็คือหัวเข่าขวาและข้อเท้าซ้ายของผม ทว่าอาการเจ็บปวดทั้งหลายนั้นก็หายขาดไปจากผมหมดแล้วเกือบจะพร้อมๆกัน

อย่างน้อยผมก็อยากจะคิดว่าอย่างนั้น ถ้าไม่นับว่าบางครั้งในตอนกลางคืนผมต้องตื่นขึ้นมากลางดึกพร้อมกับฝันร้ายว่ามีอาการเจ็บที่ข้อเท้าอันเกิดจากจิตใต้สำนึกของผมนั่นเอง แต่ว่าตั้งแต่ผมย้ายมาอยู่กับครอบครัวของซันผมก็ไม่เคยฝันแบบนั้นอีกเลย

“แบบนี้ก็ไปไฮค์กิ้งไม่ไหวน่ะสิ” ไคล์พูดขึ้น

“ก็ไม่แน่นะ คนอื่นเขาทำได้ทำไมพี่จะทำไม่ได้ พี่ก็พูดไปงั้นเองแหละน่า ถ้าให้เดินก็ไหวอยู่แล้วล่ะ แค่นี้เอง........” ผมมองลงไปยังเบื้องล่าง “และลองคิดดูสิว่าถ้าได้เดินลงไปสัมผัสกับแกรนด์แคนยอนของจริงแบบนั้นไม่ใช่แค่มามองเห็นด้วยตาจากที่ไกลๆแบบนี้มันจะรู้สึกดีขนาดไหน” ขณะนี้ผมและไคล์คุยโต้ตอบกันเป็นภาษาอังกฤษตลอดแล้ว

“นั่นสินะ” ไคล์พยักหน้าเห็นด้วย

“แต่ก็นั่นแหละ จะได้ไปรึเปล่าก็ไม่รู้ ต้องถามไอ้แสบนั่นก่อนอยู่ดีนั่นล่ะ” ผมหัวเราะขึ้นเบาๆ “ไคล์เองล่ะอยากไฮค์รึเปล่า”

“นั่นสินะ........” ไคล์มองหน้าของผม “เวลาก็มี รองเท้าก็มี ผมว่าก็น่าสนใจดีนะ”

“อืมมม นั่นสิ ที่เหลือก็รอดูสภาพอากาศ ถ้าฝนไม่ตก หิมะไม่ตกก็น่าจะเหมาะกับการไฮค์ดี แต่ยังไงก็เถอะ ตัวแปรที่สำคัญสุดก็คงเป็นไอ้ซันอยู่ดีนั่นแหละ”

“ทำไมล่ะ” ไคล์ถาม

“ก็......” ผมหันไปสบตากับไคล์ “ไม่รู้สิแฮะ เพราะมันเป็นมันล่ะมั๊ง ทั้งเอาใจยาก ทั้งเรื่องมาก เดาใจยากจะตาย”

ไคล์พยักหน้าช้าๆ แล้วก็ออกเดินไปตามทาง “ลองไปที่นั่นดูกันดีกว่าครับ” เขาชี้ไปที่หน้าผาด้านหน้าที่ยื่นออกไปและถูกทำเป็นจุดชมวิวอีกจุดหนึ่ง ผมเดินเคียงคู่ไปกับไคล์ผ่านผู้คนมากมายที่ทั้งหยุดถ่ายรูปและพูดคุยชื่นชมกับความยิ่งใหญ่ตรงหน้า

“แต่ซันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่พี่คิดเสมอไปก็ได้นะ” ไคล์พูดขึ้นขณะที่เรากำลังเดินไต่ลงไปตามพื้นหินที่ต่างระดับ

“หือ ว่าไงนะ” ผมถามเพราะได้ยินที่เขาพูดไม่ชัด

“ผมพูดว่า ซันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่พี่คิดเสมอไปก็ได้” ไคล์หยุดยืนอยู่ที่ริมรั้วและเหม่อมองออกไปยังเบื้องหน้า “เพราะอย่างน้อยตอนที่ซันอยู่กับผม ผมก็ไม่เห็นว่าเขาจะเอาแต่ใจหรือเป็นอย่างที่พี่บอกเลย”

“หมายความว่ายังไง” หัวใจของผมเริ่มเต้นรัวขึ้นและเร็วขึ้นเมื่อได้ยินคำว่า “อยู่ด้วยกัน” มันอาจจะไม่ใช่ในความหมายที่ผมกำลังคิดอยู่ก็ได้ แต่เป็นเพราะเรื่องที่ไอ้ซันบอกผมเมื่อคืนทำให้ผมคิดไปถึงว่าเขาเคยคบกันอยู่จริงๆ

“ก็ไม่มีอะไรหรอก ผมก็แค่คิดว่า หนึ่งปี ที่ศิลากับซันไม่ได้คุยไม่ได้เจอกัน ซันเขาอาจจะเปลี่ยนแปลงไปโดยที่พี่เองไม่รู้ตัวก็ได้” ไคล์หันมาหาผมช้าๆ “ปีนึงนี่มันก็นานนะ ถ้าคนเรามันจะเปลี่ยนไปผมว่าก็ไม่ยากเลย และอย่างพี่เองก็ยังไม่เคยบอกซันเรื่องที่เจ็บหัวเข่าเลยนี่นา ซันเองก็คงมีหลายเรื่องที่พี่ไม่รู้เช่นกัน ใช่มั๊ยล่ะ”

ผมเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นมันเป็นความจริง ผมเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าเวลาหนึ่งปีนั้นมันนานมาก ผมเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าความน่าเกรงกลัวที่แท้จริงก็คือการที่ผมรู้ถึงความจริงทั้งหมดนี้แต่กลับทำเป็นละเลยมันไป แต่สิ่งที่ผมไม่รู้นั่นก็คือ ตลอดเวลาหนึ่งปีมานี้สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในตัวของไอ้ซันนั้นคือเรื่องอะไรกันบ้าง

แต่คนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของผมนี้รู้...... และท่าทางจะรู้อะไรหลายๆอย่างมากกว่าผมเยอะเลยเสียด้วย

“แล้วตกลงมันหมายความว่ายังไงกันแน่” ผมพูดออกไปเบามากเสียจนผมเองยังแทบไม่ได้ยินคำพูดของตัวเอง ลมที่พัดกรรโชกพัดพาเอาจิตใจและความนึกคิดของผมปลิวหายไปเสียหมด

“ผมนึกว่าพี่รู้อยู่แล้วเสียอีก” ไคล์พูดแข่งกับเสียงลมที่พัดแรงขึ้นๆเรื่อยๆ ผู้หญิงที่ยืนถ่ายรูปอยู่ด้านหลังไคล์ต้องรีบเอามือจับหมวกบนศีรษะของตัวเองไว้แน่นเพื่อไม่ให้มันปลิวหลุดไป ผู้ชายคนข้างๆก็เอามือป้องหน้าของตนเอาไว้เพื่อสู้กับลมที่กำลังพัดเข้าตา คนหลายคนรอบข้างเราเริ่มมีทีท่าวิตกและแปลกใจกับลมที่จู่ๆก็พัดแรงขึ้นเรื่อยๆ

“รู้ว่าอะไรกัน” ผมถามออกไป สายลมเริ่มพัดอย่างรุนแรงจนทำให้เสื้อของผมกระพือจนเกิดเสียงดัง ผู้คนเริ่มมองหน้ากันล่อกแล่กและพยายามเอามือจับเสื้อผ้าและเครื่องประดับของตัวเองเอาไว้ไม่ให้มันปลิวไปตามแรงลม คู่รักบางคนก็เริ่มกุมมือกันแล้วเดินออกจากหน้าผาแห่งนี้ไป แต่ผมกับไคล์ยังคงยืนมองหน้ากันอยู่ไม่สนใจกับสภาวะรอบตัวเลยแม้แต่นิดเดียว

“ผมเข้าใจว่าซันบอกพี่แล้วเสียอีก..........” ไคล์เอามือเสยผมสั้นๆสีน้ำตาลเข้มของเขาช้าๆ “ซันกับผม........ เราเคยคบกันอยู่ช่วงหนึ่ง”


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-10-2007 16:34:03 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
รูปอาจจะเล็กไปหน่อยนะคับ






วิวที่ทั้งสองคนเห็นและรูปที่ไคล์ถ่ายคับ (ฮา) แหมเสียดาย ถ่ายเอาความงามมาได้ไม่หมด




จุดชมวิวนั่นไง คนเยอะเหมือนกันแฮะ




ตกไปล่ะมึงเอ๊ยยยย ฮาน่าดู




ม้านั่งความในใจ...........


ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
หุหุ ความลับไม่มีในโลก  :m27:  :m27:  :m27:

ปล. ทายถูกด้วยวุ้ย  :a2:    :a2:  ขอบอกว่าไม่ใช่เดาส่ง ๆ นะค้า (ได้ทีรีบคุยใหญ่  :laugh:) เดาแบบมีหลักนิด ๆ อ่ะ  :a14:

sun

  • บุคคลทั่วไป
ว๊าๆๆ    :try2:   ตอบผิด อดได้ของฝากจากแดนไกลโรย    o16

แม๋ๆ... ซินก้อแค่.. คิด ก่าตอบเล่นๆเจ๋ยๆ     :m3:
เผื่อว่า... น้องทึ่ม มาอ่าน แย้ว...อยากจะคิด รุกขึ้นมามั่ง คิคิ     :m23:

เจ้ย............ อย่ามองซินอย่างน้านนนนนน...   :o
นี่ๆ ไม่ได้ชี้โพรง อะไรโรยนา.... เจงจิ๊งงงงงงงงงงงงง....    :m19:


เง้อ.. เมฆเอา สมุดไดอารี่ ให้ซันอ่านแล้วเหรอ..
เหมือนจะ เข้าใจกันได้ ใน ระดับนึงนะ   :m1:

แต่ ไหง๋มาทิ้งท้าย ที่ไคล์ พูดอะไร ล่ะเนี่ย..... เอิ้ววววว...   :o
ซัน กะ ไคล์เคยคบกัน ....    o22

งำงัมๆๆ  ทำไม มัน...เห็นแวว....เส้าๆ  มาใกล้ๆแย้วล่ะเนี่ย?     :m16:





ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
คำถามแปลกแหวกแนว ที่ถามนี่เพราะสงสัยอะไรอยู่หรือปล่าว
 :m20: :m20: :m20:

เดาเลือกไม่ถูกเลยแหะ ว่าสองคนจะตัดปัญหาต่างๆออกไปได้อย่างไร
 :a3: :a3: :a3:

Jingjoh

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 26


“ผมขอถามพี่อย่างนึงตรงๆเลยก็แล้วกันนะ..........” ไคล์พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่จากนั้นแววตาของเขาก็ฉายแววเสียใจออกมา “ผม...... ผม ไม่น่าพูดเรื่องนี้เลย” เขาเบือนหน้าไปทางอื่นและยืนหันหลังให้กับทิศที่ลมพัดมา

“พูดออกมาเถอะ ถามมาได้เลย” ผมพูดออกไปทั้งๆที่มือของผมกำลังสั่นเทา ถึงแม้ผมจะทำใจรับรู้และยอมรับกับเรื่องราว ณ ตรงจุดนี้เอาไว้แล้ว แต่เมื่อมันมาถึง ผมกลับรู้สึกว่าหัวใจของผมเต้นแรงไม่เป็นจังหวะและรู้สึกไม่พร้อมรับมือกับมันเอาเสียเลย

“คือ..... ผมว่าไม่ดีกว่า” เขาหันหลังให้กับผม แต่แล้วก็หันหลับมาหาผมอีกครั้ง “ผมไม่อยากจะทำให้เรื่องมันแย่ลงไปกว่านี้หรอก” เขาสบตากับผมแล้วพูดออกมา คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

“เรื่องอะไรล่ะ....... เรื่องที่ว่าไคล์เคยคบกับซันน่ะเหรอ”

เขานิ่งเงียบ ซึ่งผมถือว่ามันแทนคำตอบว่า ใช่

“ใช่ เขาเคยบอกพี่แล้ว เมื่อคืนนี้เอง” ผมตอบออกไป แต่ทว่าจริงๆแล้วผมโกหก......... ไอ้ซันไม่ได้บอกผมว่ามันเคยคบกับไคล์เลยแม้แต่ครั้งเดียว และไม่ใครคนใดคนหนึ่งนี้ก็ต้องโกหกผมเช่นเดียวกัน เพราะผมจำคำพูดของไอ้ซันเมื่อคืนนี้ได้อย่างแม่นยำทีเดียว

”กูไม่ได้คิดกับมันเกินคำว่าน้องชายจริงๆ กูไม่เคยคบกับมัน กูไม่ได้ทำอะไรแบบที่คนรักเขาทำกัน......”

“เพราะฉะนั้นอยากจะพูดอะไรก็พูดออกมาเถอะครับ พี่รับฟังได้ทุกอย่างแหละ” ผมตอบออกไปโดยพยายามควบคุมน้ำเสียงให้ฟังดูเป็นปกติที่สุด “พี่เข้าใจนะ......”

“ไม่หรอก พี่ไม่เข้าใจ” ไคล์พูดขึ้น เสียงของลมที่พัดโหมกระหน่ำเริ่มจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ “ผมเคยพูดไปแล้วนี่ว่าพี่ไม่เข้าใจหรอก”

“งั้นก็อธิบายมาสิ” ผมพูดออกไปอย่างอ่อนแรง “ถ้าอย่างนั้นก็อธิบายอะไรสักอย่างออกมาสิ พูดอะไรออกมาก็ได้ อย่าทำให้กูดูเป็นคนโง่อยู่คนเดียวที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรจะได้มั๊ย” ผมพูดออกมาอย่างเหลืออดและทรุดตัวลงนั่งบนก้อนหินก้อนใหญ่ท่ามกลางผู้คนที่เดินผ่านกันไปมา

“เราไปหาที่เงียบๆกว่านี้คุยกันเถอะ” ไคล์พูดขึ้นหลังจากที่เราสองคนนิ่งเงียบกันไปพักหนึ่ง

ผมและไคล์เดินออกมาจากผาแห่งนั้นและเดินไปยังตามทางเดินจนไปถึงเก้าอี้ยาวที่ทำจากท่อนไม้ตัวหนึ่งที่ค่อนข้างอยู่ไกลจากผู้คนพอสมควร

“อย่าเข้าใจผมผิดนะ” ไคล์พูดขึ้น “ผมรักซันก็จริง แต่นั่นมันก็ผ่านไปแล้ว ไม่เกี่ยวอะไรกับในตอนนี้เลย” เขาเงียบเสียงลงรอให้ผมพูดอะไรขึ้นมาก่อน แต่ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปจริงๆ ในตอนนี้ผมอยากจะเป็นผู้ฟังเพียงอย่างเดียวมากกว่า ถึงแม้ว่าผมเองก็จะยังไม่มั่นใจว่าผมอยากจะรับฟังมันหรือเปล่าก็เถอะ “แต่ว่ามันก็มีสิ่งหนึ่งที่ยังคงคาใจผมมาตลอด” ไคล์หันมาสบตาของผมอีกครั้ง

“แล้วมันคืออะไรล่ะ” ผมถามออกไปเมื่อเห็นว่าเขานิ่งเงียบรอให้ผมเป็นฝ่ายเริ่มถามอยู่นาน

“ทำไมพี่ถึงมาที่อังกฤษ” ไคล์ถามด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ทำไมต้องมาเรียนต่อที่นั่น และทำไมถึงต้องมาอาศัยอยู่ที่บ้านของซัน”

เมื่อได้ยินสิ่งที่ไคล์ถาม ผมเองก็ถึงกับต้องชะงัก ถึงแม้ว่าคำตอบของคำถามนั้นจะเป็นที่แน่นอนมานานมากแล้วสำหรับผม ผมมีคำตอบและเหตุผลที่ดีพอมารองรับคำถามของใครๆได้เสมอไม่ว่าจะเป็น เพราะผมต้องพักรักษาตัวนานทำให้เอ็นทรานซ์ไม่ทัน เพราะผมอยากออกมาเผชิญชีวิตด้วยตัวเอง เพราะผมเคยมีญาติมาเรียนต่อที่นี่แล้วเขาแนะนำผมมา เพราะพ่อแม่ของไอ้ซันอยากให้ผมมาพักด้วยเมื่อทราบว่าผมจะเดินทางมา หรือแม้แต่เพราะว่าผมอยากจะพบกับไอ้ซันอีกครั้ง...... แต่ทว่าผมรู้ได้ด้วยสัญชาติญาณทันทีว่าคนที่ถามคำถามผมแบบนี้ ในช่วงเวลาแบบนี้นั้นคงไม่ได้อยากจะฟังความจริงอื่นๆนอกเสียจากความจริงที่เขาอยากได้ยินเท่านั้นเอง

“ถ้าไคล์อยากได้ยินคำตอบอะไรจากพี่ พี่ก็คงต้องตอบแบบเดียวกับที่ไคล์กำลังคิดอยู่นั่นแหละครับ” ผมพูดออกไปด้วยความรู้สึกเหนื่อยใจ

“หมายความว่ายังไงกัน”

“ก็หมายความอย่างที่ไคล์คิดนั่นแหละ” ผมถอนหายใจ “ถ้าไคล์คิดว่าการที่พี่มาที่นี่ก็เพียงเพื่อมาหาไอ้ซันล่ะก็ มันก็เป็นความจริง พี่ไม่ปฏิเสธและโกหกหรอก”

“แค่นั้นเองน่ะหรือ......”

“ก็....... คงแค่นั้นมั๊ง” ไคล์มองผมด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินไป ผมส่ายหน้าเบาๆแล้วถอนหายใจอีกครั้ง “พี่มาเรียนที่อังกฤษก็เพราะว่าพี่มาได้น่ะ พ่อของพี่ก็สนับสนุนให้มาเพราะว่าญาติของพี่ก็เคยมาเรียนที่นั่น แล้วพอเขารู้ เขาก็ยิ่งเห็นดีเห็นชอบด้วยใหญ่ ถ้าเรื่องที่พัก บอกตรงๆตอนแรกพี่ก็ไม่ได้คิดจะพักที่บ้านของไอ้ซันหรอก แค่นี้พี่ก็รู้สึกเกรงใจครอบครัวของมันจะแย่อยู่แล้ว แต่พอพ่อกับแม่ของซันรู้ พวกท่านก็คุยกับพ่อของพี่แล้วก็ตัดสินใจกันว่าให้มาพักอยู่ด้วยกันน่าจะดีที่สุด” ผมอธิบายโดยที่ไม่คิดเลยว่าจะสามารถโน้มน้าวให้ไคล์เชื่อสิ่งที่ผมพูดออกไปได้ แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอีกแล้ว ไม่ว่าเขาจะเชื่อผมหรือไม่ก็ตาม

“ผมรู้” เขาพยักหน้า “ผมก็แค่อยากได้ยินออกมาจากปากของพี่เท่านั้นเอง”

“รู้งั้นเหรอ........” ผมสบตากับเขาอีกครั้ง “รู้จากไหนกัน”

“จากซันนั่นล่ะ” ไคล์ก้มหน้า “เขาเคยบอกเหตุผลให้ผมฟังหมดทุกอย่างแล้วตั้งแต่ก่อนที่พี่จะมาเสียอีก”

ความเงียบเข้าปกคลุมเราทั้งสองคนอีกครั้ง ถึงในใจผมมันจะมีคำถามมากมายก่อตัวขึ้นอยู่ภายในอก แต่ว่าความกลัวที่จะรับรู้ความจริงนั้นมีมากยิ่งกว่า ผมจึงได้แต่นั่งเงียบรอให้ไคล์เป็นฝ่ายพูดอะไรออกมาบ้างเท่านั้น อะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เขาเคยคบกับซัน เรื่องราวที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน เรื่องอะไรก็ได้จริงๆ..........

“ไคล์เคยคบกับซันอย่างนั้นจริงๆสินะ” ในที่สุดผมก็พูดมันออกไป ผมประสานมือเข้าหากันแน่น

“ใช่ และผมก็คิดว่าเขาบอกพี่แล้วเสียอีก”

“ใช่ เขาบอกพี่แล้ว เมื่อคืนนี้.......”

“ผมก็คิดอยู่แล้ว”

“แต่เขาบอกว่า เขาไม่เคยคบกับไคล์........”

ไคล์เงยหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “เขาพูดแบบนั้นเหรอ”

“ใช่” ผมพยักหน้าช้าๆ “คนหนึ่งบอกว่าเคยคบกัน อีกคนบอกว่าไม่เคย แล้วพี่ควรจะเชื่ออะไรดีล่ะ”

ไคล์หน้าเสียขึ้นมาทันที แววตาของเขาฉายแววปวดร้าว เขาเอามือมาบีบไหล่ผมเบาๆ “ศิลา ผมขอโทษ ผมไม่ได้อยากจะทำให้พี่ไม่สบายใจหรอกนะ” เขาเขยิบเข้ามานั่งใกล้ผมมากขึ้น “แต่ผมขอถามพี่อีกคำถามเดียว”

ผมพยักหน้าตอบช้าๆ

“มันสำคัญสำหรับพี่มั๊ย ที่จะต้องรับรู้เรื่องราวในอดีตทุกอย่างของคนที่พี่รัก มันสำคัญมั๊ยว่าถ้าพี่จะคบกับใครสักคนแล้วพี่จำเป็นต้องรื้อฟื้นเรื่องราวทั้งหมดของเขาออกมา มันจะมีผลต่อความรักที่พี่มีให้เขามาตลอดเวลาหรือเปล่า”

ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าช้าๆ เมฆที่จับตัวเป็นกลุ่มก้อนใหญ่อยู่เบื้องบนลอยผ่านหน้าพระอาทิตย์ที่กำลังสาดแสงแรงกล้าไปอย่างรวดเร็วเพราะกำลังลมที่ยังคงพัดโหมอยู่อย่างรุนแรง ท้องฟ้าสีครามใสก็ทำให้ผมนึกถึงใบหน้าของมันในยามหลับ ผมชอบมองใบหน้าของมันยามที่มันนอนหลับจริงๆ เพราะนั่นคือช่วงเวลาที่ผมคิดว่าท้องฟ้าสีครามของผมนั้นสงบและสวยงามมากที่สุดแล้ว

“ไม่ ไม่สำคัญหรอก” ผมตอบ “ตราบเท่าที่เขาไม่ได้โกหกอดีตของตัวเองเพื่อทำให้ตัวเองต้องสบายใจและทำให้คนที่รักเขาต้องเจ็บปวดและทรมานกับความหลอกลวง มันอาจจะฟังดูน่าฟังน่าเชื่อถือแต่จริงๆแล้วมันคือพิษร้ายที่ทำลายความเชื่อใจของคนสองคนนะ”

ไคล์ดึงมืออกจากบ่าของผมทันที ดูท่าว่าเขาจะไม่สามารถหาคำพูดอะไรออกมาพูดได้อีก

“พี่ต้องการจะมีความรักที่อยู่บนฐานของความจริงใจต่อกัน ไม่จำเป็นว่าพี่ต้องรู้ทุกๆอย่างเกี่ยวกับมันในช่วงที่พี่ไม่ได้อยู่กับมันหรอก แต่มันเกี่ยวกับการที่พี่สามารถรู้ความจริงในเรื่องราวที่มันอยากถ่ายทอดให้พี่รู้ในสิ่งที่พี่พลาดไปในช่วงเวลาหนึ่งปีนั้นออกจากปากของมันเองด้วยความเต็มใจ และสิ่งเหล่านั้นล้วนต้องเป็นความจริง ไม่ใช่คำโกหกที่พูดออกมาเพียงเพื่อทำให้ทั้งมันและพี่สบายใจแค่เพียงชั่วครู่ชั่วคราว” ผมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เข้าใจที่พูดมั๊ย”

ไคล์พยักหน้าออกมาช้าๆ “ผมต้องขอโทษพี่ด้วยจริงๆที่ทำให้ไม่สบายใจ พี่ลืมๆเรื่องที่ผมพูดไปซะก็แล้วกันนะครับ มันไม่สำคัญหรอก แค่พี่.......”

“ไม่ ไคล์ มันสำคัญสำหรับพี่” ผมพูดขัดขึ้น “บอกความจริงออกมาเถอะ ตกลงไคล์กับซันเคยคบกันใช่มั๊ย ที่ซันมันบอกว่าไม่เคยคบกันนั้น มันโกหกพี่ใช่มั๊ย”

ไคล์จ้องหน้าของผมอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงส่ายหน้าช้าๆ “ซันไม่ได้โกหกหรอก........ เราไม่เคยคบกันจริงๆ”

“แต่ทำไมไคล์ถึง......... นี่ไคล์จะบอกว่าไคล์เป็นฝ่ายโกหกอย่างนั้นเหรอ”

“ไม่ใช่” เขาส่ายหน้า “ผมเองก็ไม่ได้โกหกเหมือนกัน”

ผมมองหน้าของไคล์ด้วยความสับสน “นี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่ พี่ไม่เข้าใจ”

“ใช่แล้ว พี่ไม่เข้าใจหรอก” ไคล์พูดช้าๆ “ผมรักซัน พี่ก็รู้ใช่มั๊ย ผมทำทุกอย่างให้แก่เขา ผมสนิทกับเขามากจนผมเองก็คิดว่าเขาก็คงรักผมเช่นเดียวกัน แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย ผมมารู้ทีหลังว่าคนที่เขารักนั้นมีอยู่แค่เพียงคนเดียวไม่ว่าจะในอดีตหรือในตอนไหนๆ ผมเองก็เสียใจนะ แต่ถึงอย่างไรความรักของผมมันก็เป็นความรักที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วไม่ว่าจะในความหมายไหนๆหรือด้วยเหตุผลใดๆ ผมก็เลยตัดใจเสีย..........” ไคล์ถอนหายใจ ในแววตาของเขาฉายแววความเศร้าที่เจ็บปวดออกมาอย่างชัดเจน “ผมคงคิดไปเอง ว่าในช่วงเวลาที่ผมมีความสุขที่ได้อยู่กับซันมากๆนั้นเป็นช่วงเวลาที่ผมกับเขาคบกันด้วยความรู้สึกที่มากกว่าคำว่าพี่ชายและน้องชาย..........” เขาเบือนหน้าหนีไปจากผมและก้มหน้าลงมองที่เท้าของตัวเอง “ผมถึงกล้าพูดว่าไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกของผมตรงนี้หรอก ศิลา พี่เองก็พูดว่าพี่เข้าใจ แต่จริงๆแล้วพี่เข้าใจแน่หรือเปล่า กับคนที่ทั้งได้รัก และถูกรักมาตลอดเวลาอย่างพี่น่ะ ถึงแม้จะมีปัญหาเรื่องระยะทางและความไม่เข้าใจกัน แต่ว่าพี่ก็ยังคงรักกันอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนและอยู่ห่างไกลกันเพียงใด แต่ผมนี่สิ ผมที่ไม่เคยถูกรักอย่างจริงใจ ผมที่เป็นได้แค่น้องชายที่มอบความรักให้คนเป็นพี่อย่างสุดหัวใจและไม่มีวันจะสมหวัง..... มันก็เท่านั้น” น้ำใสๆเริ่มหยดออกมาจากดวงตาของเขา ไคล์เงยหน้าขึ้นสบตากับผมอีกครั้ง นัยน์ตาสีเขียวของเขาเมื่อมีน้ำตามาหล่อลื่นยิ่งดูเป็นประกายกว่าในทุกๆครั้ง แต่หากก็เป็นประกายที่ดูแล้วช่างน่าเศร้าใจเสียจริง

ผมกลืนน้ำลายและความรู้สึกผิดทั้งหลายลงในลำคอ จริงอยู่ที่ผมคงไม่เข้าใจกับความรู้สึกตรงนั้นของเขาได้ แต่ทว่า............

“ผมเองก็ไม่เข้าใจความรู้สึกของพี่และซันหรอก” ไคล์พูดขึ้น เขาเอามือปาดน้ำตาช้าๆและส่งยิ้มออกมาให้กับผม........ หรือบางทีเขาอาจจะยิ้มให้แก่ตัวเองมากกว่า “ขอโทษทีนะ” เขาหัวเราะแห้งๆ “ไม่น่าเป็นแบบนี้เลย ให้ตายสิ”

“พี่ขอโทษ” ผมไม่รู้จะพูดอะไรออกไปได้มากกว่านั้น

“ไม่หรอก ไม่เห็นต้องขอโทษนี่ พี่ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ผมเองต่างหากที่ยังมัวแต่คิดอะไรแบบเด็กๆ ใช่ ผมเองก็ไม่เข้าใจความรู้สึกของคนที่รักกันแต่ต้องอยู่ห่างกันและไม่สามารถแม้แต่จะบอกว่ารักกันได้นั้นว่าเป็นอย่างไรหรอก......... แต่ผมรู้อยู่เพียงแค่อย่างเดียว” ไคล์เอื้อมมือมาจับหัวเข่าของผมแล้วบีบมันเบาๆ “ผมรู้ว่า ‘ความรัก’ นั้นเป็นอย่างไร....... และเชื่อผมเถอะนะ ผมไม่อยากจะให้คนที่ผมรักต้องเจ็บปวดหรอก”

ผมเชื่อว่าคนที่เขาบอกว่าคนที่เขารักนั้นหมายถึงซัน ไม่ใช่ผม แต่เท่านี้ก็คงเพียงพอแล้ว เหลือเพียงแค่สิ่งเดียวที่ยังคงคาใจผมอยู่

“ไคล์ยังรักซันอยู่ใช่มั๊ย” ผมถามออกไปขณะที่ไคล์กำลังลุกขึ้นยืน

เขาก้าวเดินออกไปช้าๆสองสามก้าวแล้วเหยียดตัวตรง จากนั้นก็หันมายิ้มเศร้าๆให้แก่ผม “แล้วมันยังไม่ชัดเจนอีกหรือ”

ตอนนั้นผมยังคงไม่รู้ตัวว่ารอยยิ้มของไคล์ในวันนี้นั้นจะเป็นรอยยิ้มที่ผมไม่มีวันลืมเลือนไปจากหัวใจเลยทีเดียว



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-10-2007 16:35:15 โดย ExecutioneR »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
น่าสงสารไคล์ แต่อย่างน้อยก็ดีที่พูดมันให้หายค้างคา
จะได้เดินต่อไปเสียที
 :m15: :m15: :m15:

ออฟไลน์ ~prince™~

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +161/-2
ไม่มีคำบรรยายใดๆในตอนนี้ :o12:

Jingjoh

  • บุคคลทั่วไป

sun

  • บุคคลทั่วไป
 :m17:    เศร้าแบบอึดอัด เนอะ 

 “ตราบเท่าที่เขาไม่ได้โกหกอดีตของตัวเองเพื่อทำให้ตัวเองต้องสบายใจและทำให้คนที่รักเขาต้องเจ็บปวดและทรมานกับความหลอกลวง มันอาจจะฟังดูน่าฟังน่าเชื่อถือแต่จริงๆแล้วมันคือพิษร้ายที่ทำลายความเชื่อใจของคนสองคนนะ”
^
^
^
โฮกกกส์!~    :o7:   
หมดคำพูด      :sad4:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10

ninaprake

  • บุคคลทั่วไป
..... เศร้าจัง .....  :m15: .... น่าสงสารคนที่รักเค้าบ้างเดียวและไม่วันที่จะสมหวังจริงๆ .... แต่ก็นะ เรื่องของความรักเป็นเรื่องที่เลือกหรือบังคับกันไม่ได้แหละ  :undecided:

ยังเชียร์เมฆกะซันอยู่เสมอครับ ดีใจมากเลยนะ ที่ท้ายที่สุดแล้ว ซันไม่ได้โกหกเมฆ ....  :impress:

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
สงสารไคล์นะ
แต่ก็ยังไม่อยากให้ซันกะเมฆมีมือที่สามอ่ะจ้ะ

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วันนี้จะไปส่งไปฉะนีแล้วคับ ขออีกคนหลังไมที่อยู่มาด่วน ใครมาก่อนได้ก่อน
เดี๋ยวไอ้ต้นจะกลับหอไปเช็คหลังไมตอนประมาณบ่ายๆจากนั้นจะออกไปส่งให้เลย
ต้นเห็นที่อยู่ใครคนแรกคนนั้นได้ของฝากจากต้นไปเลยนะคับ แต่ระบุด้วยว่าอยากได้โปสการ์ดสะอาดๆหรือว่าอยากได้แบบมีสแตมป์แปะเน้อ

 o14

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ส่งไปแล้วนะคับ ให้ไอ้ทึ่มเขียนให้ส่งให้ ส่วนไอ้ต้นละเลงรูปอยางเดียว  o13

รูปที่ตั้งใจะให้คุณติ๊ปมันเหมือนกับรูปที่ผมแปะไปเลยอ่ะ ผมเลยเปลี่ยนเป็นรูปอื่นแทนนะคับ

ได้รับแล้วก็บอกกันด้วยหนา

 o14


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 27


“ถ้าดูแลซันได้ไม่ดี ระวังผมจะมาแย่งไปก็แล้วกัน” ไคล์พูดแล้วหัวเราะ ขณะที่เรากำลังจะขึ้นรถกลับไปยังที่พักกัน

หลังจากที่ชมวิว ถ่ายรูป และพูดคุยกันจนพอใจแล้วพวกเราก็ตัดสินใจกลับไปยังที่พักก่อนที่จะช้าเกินไปและอาจทำให้ไอ้ซันเป็นห่วง รถสายที่เรานั่งนั้นก็ยังคงเป็นสายสีน้ำเงินเช่นเดิม แต่ก่อนที่จะเดินกลับไปยังป้ายหยุดรถ พวกเราก็แวะอ่านดูข้อมูลของแกรนด์แคนยอน เซาธ์ริม และ ข้อมูลของจุดชมวิวต่างๆรวมไปถึงเทรลล์ หรือทางเดินสำหรับไฮค์ในแต่ละที่อีกด้วย

แกรนด์แคนยอนนั้นจริงๆแล้วกว้างใหญ่มากสมตามชื่อของมัน ดังนั้นจึงถูกแบ่งออกเป็นสองริมใหญ่ๆนั่นก็คือ เซาธ์ริม และ นอร์ธริม ที่ๆพวกเรามาพักนั้นก็คือเซาธ์ริม อันเป็นส่วนที่มีนักท่องเที่ยวและมีชื่อเสียงมากที่สุด จากข้อมูลบอกว่าเซาธ์ริมนั้นครอบคลุมความยิ่งใหญ่ของแกรนด์แคนยอนเอาไว้ได้แค่หนึ่งในสี่เท่านั้นเอง ผมจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่ถึงถูกขนานนามว่า “แกรนด์” และยังเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ของโลกอีกด้วย

“ไอ้ซันน่าจะมาด้วยนะ” ผมพูดขึ้นเมื่อรถเริ่มเคลื่อนตัว

ไคล์หันมามองหน้าผมแล้วขมวดคิ้วน้อยๆ “ถ้ามาแล้วเราจะได้คุยกันเหรอ”

“ไม่ใช่ๆ หมายถึงว่า น่าจะมาได้เห็นวิวได้ถ่ายรูปพร้อมๆกันน่ะ”

“ก็นั่นน่ะแหละ”

“เอ้อ ช่างเถอะ ยังไงก็เอาไว้ค่อยพามันไปเที่ยวอีกทีก็แล้วกัน”

“อื้มม” ไคล์พยักหน้าเห็นด้วย

พวกเราสองคนนั่งเงียบกันไปตลอดทาง ผมเฝ้าคิดถึงแต่คำพูดของไคล์ เขายังคงรักไอ้ซันอยู่ เขายังคงรักไอ้ซันอยู่ เขายังคงรักไอ้ซันอยู่.......... ประโยคๆนี้มันก้องกังวานอยู่ในหัวของผมตลอดเวลา ถึงไคล์จะพูดว่ามันไม่มีผลอะไรกับปัจจุบันตอนนี้แล้วก็ตาม ถึงแม้เขาจะพูดว่าเขารู้ตัวว่าเขาควรจะทำตัวและรู้สึกเช่นไร แต่ว่าความกังวลใจของผมมันก็ยังคงมีจนผมคิดว่าตัวเองคงผิดปกติอะไรสักอย่างไปแล้วถึงได้ยังคงมีความรู้สึกไม่เชื่อใจไคล์เล็กๆอยู่ตลอดเวลา

“ป้ายนี้หรือเปล่า” ไคล์ถามขึ้นก่อนที่รถจะชะลอความเร็วลง

“อืมม ใช่ๆ” ผมและไคล์เดินลงจากรถจากนั้นก็ข้ามถนนไปยังแคนย่อน คาเฟ่ หรือ ยาวาพาย คาเฟทีเรีย ที่พวกเราเพิ่งมานั่งกันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนนี้เอง

“ตอนนี้ก็สามโมงสิบห้าพอดี ซันกลับห้องไปก่อนก็แล้วกันนะครับ เดี๋ยวผมขอเดินดูที่ร้านขายของที่ระลึกนี่ก่อนก็แล้วกัน” ไคล์พูดขึ้นเมื่อเราเดินผ่านบริเวณหน้าร้านขายของ

“ได้สิ แล้วเดี๋ยวจะรออยู่ที่ห้องก็แล้วกันนะ หรือว่าจะให้มาเจอกันที่ร้านอาหารนี่ดี”

“อืมมม ตอนเย็นจะออกไปไหนกันอีกรึเปล่าล่ะครับ จะออกไปดูพระอาทิตย์ตกกันรึเปล่า”

“ไปสิ ไคล์ก็ไปด้วยสิ จะไม่ไปเหรอ”

“อืมมม จริงๆก็อยากไปนะ แต่ว่าเอาไว้วันอื่นดีกว่า ยังมีเวลาอีกเยอะแยะ พี่ไปดูกับซันสองคนเถอะครับ แต่ตอนนี้ผมขอเดินดูของหน่อยแล้วเดี๋ยวอีกประมาณครึ่งชั่วโมงค่อยไปเจอกันที่ห้องก็แล้วกัน”

“ถ้าอย่างนั้นก็โอเค” ผมพยักหน้าให้ไคล์แล้วจึงเดินแยกออกมา

ในขณะที่ผมเดินอยู่คนเดียวผมกลับมีความรู้สึกสบายใจและขอบคุณไคล์อย่างไรบอกไม่ถูกที่เขาเปิดโอกาสให้ผมได้อยู่คนเดียวแบบนี้บ้าง และจากความรู้สึกนั้นเองที่ทำให้ผมคิดได้ว่าไคล์เองก็คงอยากจะอยู่คนเดียวบ้างเช่นกัน แถมเขายังเปิดโอกาสให้ผมได้ไปดูพระอาทิตย์กับซันสองคนด้วย ผมเดินไปก็คิดถึงไอ้ซันไป ไม่รู้ว่าตอนนี้มันจะตื่นหรอยัง มันกำลังทำอะไรอยู่ และมันจะอ่านสมุดที่ผมให้กับมันไปหรือยังนะ

ผมเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูห้องของตัวเองแล้วเกิดอาการลังเลที่จะเคาะประตูเรียกให้ไอ้ซันมาเปิดให้ เพราะภายในเวลาแค่สองวันนี้มันมีอะไรหลายอย่างมากมายเหลือเกินที่ผมได้รับรู้และต้องคิด และเรื่องทั้งหมดก็ล้วนมีมันเป็นจุดศูนย์กลางทั้งสิ้น ผมสะบัดหัวเบาๆสลัดความคิดทั้งหมดทิ้งไปเสีย ผมสัญญากับมันไว้แล้วนี่ ว่าผมจะไม่คิดมาก ผมจะพยายามไม่คิดมาก ไม่ว่าจะในเรื่องอะไร และไม่ใช่เพื่อใคร แต่หากทั้งหมดนั้นมันเพื่อตัวของผมเอง

“ซัน เปิดประตูหน่อย” ผมเคาะประตูห้องเบาๆสองสามครั้ง แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา หรือว่ามันจะยังไม่ตื่น เมื่อคิดดังนั้นผมก็รีบเคาะประตูหนักขึ้นอีก “ไอ้ซัน ตื่นรึยัง”

ผมเริ่มรู้สึกใจไม่ดี ถ้าเกิดมันดันนอนขี้เซาขึ้นมาแล้วไม่ลุกมาเปิดประตูให้ผมล่ะ นี่ผมต้องยืนรอมันจนกว่ามันจะตื่นอย่างนั้นหรือ ทำไมผมถึงไม่เอากุญแจไปกับตัวด้วยนะ

“ไอ้ซัน” ผมเรียกเสียงดังขึ้นพร้อมกับเคาะประตูแรงขึ้นและถี่ขึ้น “ยังหลับอยู่อีกเหรอมึง ตื่นได้แล้ว ไอ้สัตว์”

“อะไรมึง” ไอ้ซันเปิดประตูออกมาพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม “กลัวล่ะสิมึง หล็อนเลยใช่มั๊ย คิดว่ากูยังหลับอยู่ล่ะสิ”

“ตลกมากนะมึง” ผมผลักประตูออกกว้างแล้วเดินเข้าไปในห้อง

“อ้าว ไคล์ล่ะ” ไอ้ซันชะโงกหน้าออกไปนอกห้องแล้วหันซ้ายหันขวามองหาไคล์

“ยังไม่กลับ เขาขอไปเดินดูของหน่อย เดี๋ยวก็มา” ผมเดินเข้าไปเปิดก๊อกน้ำในห้องน้ำแล้วก้มหน้าลงไปดื่ม “ว่าแต่มึงตื่นนานรึยัง นอนหลับสบายดีมั๊ย” ผมเงยหน้าขึ้นมาส่องกระจกจากนั้นก็ก้มหน้าลงไปกวักน้ำมาล้างหน้าล้างตา เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ไอ้ซันก็ยืนอยู่ด้านหลังของผมแล้ว

“เฮ้ย” ผมร้องด้วยความตกใจและตั้งท่าจะหันไปด่ามัน แต่ไอ้ซันกลับขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นและโอบตัวผมจากทางด้านหลัง

“กูอ่านสมุดเล่มนั้นแล้วนะ”มันซุกหน้าลงบนซอกคอของผมเบาๆ

“มึง มึงอ่านแล้วเหรอ” ผมถามด้วยความประหลาดใจและรู้สึกกังวลเล็กน้อย

“อืมม กูขอบใจมึงมากนะเมฆ” มันพูดลงในซอกหูของผม

“เอ่อ คือ กู......” ผมพูดอะไรไม่ออก รู้แต่ว่าตัวเองกำลังเขินมาก ในที่สุดมันก็ได้รู้แล้วว่าตลอดเวลาสามปีที่ผมอยู่กับมันมาในช่วงมัธยมปลายผมรู้สึกอย่างไรกับมันบ้าง และที่สำคัญ ความรู้สึกของผมที่มีต่อมันหลังจากที่ผมฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาลและรู้ว่ามันได้จากผมไปแล้วนั้นเป็นยังไง

“มึงไม่ต้องพูดอะไรหรอก เมฆ.....” ไอ้ซันกระชับวงแขนเพื่อกอดผมแน่นขึ้นอีก “กูขอพูดแทนก็แล้วกัน......” มันเกยคางลงบนบ่าของผมแล้วจับตัวผมโยกเบาๆ “กู......... ล้อเล่นว่ะ จริงๆกูยังไม่ได้อ่านหรอก” มันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาแล้วก็รีบกระโดดหนีผมด้วยความรวดเร็ว

“ไอ้สัตว์!” ผมสบถเสียงดังแล้วรีบวิ่งไล่ตามหลังมันออกจากห้องน้ำทันที เมื่อเห็นดังนั้นมันที่รีบวิ่งหนีไปกระโดดขึ้นเตียงก็เอาหมอนมาถือเอาไว้ในมือเตรียมทำท่าขว้างเต็มที่ ผมหยุดยืนอยู่ปลายเตียงแล้วจ้องหน้ามันนิ่ง

“ตลกมากนะมึง เล่นเป็นเด็กๆเลยนะ” ผมพูดอย่างไม่ค่อยพอใจ เอามือกอดอก

“กูล้อเล่นน่า อย่าซีเรียสดิ่” ไอ้ซันวางหมอนลงข้างๆตัว “แล้วตกลงมึงเขียนอะไรไว้วะ ทำไมต้องเขินขนาดนั้นด้วย” มันค่อยๆคลานมานั่งขัดสมาธิอยู่ที่กลางเตียง

“กู..... ไม่ เอ่อ......” ผมยกมือขึ้นเกาคางตัวเองเบาๆเพราะความเขิน “กู ไม่รู้เว้ย ถ้ามึงอยากรู้มึงก็ต้องอ่านเองดิ่ อ่านแล้วก็รู้เองนั่นแหละ”

ไอ้ซันยื่นมืออกมาให้ผมจับ “มานี่”

“ทำไม” ผมยืนเอามือเท้าสะเอว “มึงจะทำไม”

“ไม่ทำไมหรอก ก็แค่อยากกอด เมื่อกี๊นอนคนเดียว ไม่สบายตัวเลยว่ะ” มันทำหน้าเซ็งๆ

“นี่กูถามจริง” ผมเขยิบเข้าไปใกล้มันมากขึ้น “มึงเมาบรรยากาศเหรอวะ หรือนี่หนีไปแอบแดกเหล้ามา รึมึงเบลอใบสน มึงผีฝรั่งเข้าเหรอ ที่ห้องนี้มีผีสิงเหรอวะเนี่ย มึงเป็นห่าอะไรของมึงเนี่ย พูดจาขนลุกชวนอ้วก ไม่ใช่มึงเล้ย”

“พูดมากนะมึง มานี่เลย” ไอ้ซันพุ่งมาดึงตัวผมลงไปบนเตียงทันที ผมถูกแรงดึงกระชากให้กลิ้งลงไปทับอยู่บนตัวของมันบนเตียง ไอ้ซันรีบพลิกตัวขึ้นมาคร่อมผมเอาไว้อย่างรวดเร็ว

“มึงจะเล่นอะไรทะลึ่งๆอีกแล้ว” ผมร้องออกมาแต่คราวนี้ผมไม่ได้ดิ้นหรือออกแรงฝืนอีกเลย

“เปล่า ไม่ได้เล่น” ไอ้ซันพูดเบาๆแล้วก็ค่อยๆเลื่อนตัวลงไปนอนอยู่ข้างๆผมแต่ยังคงเอาแขนก่ายผมเอาไว้ “กูรักมึงจริงๆ”

“นี่มึงผีเข้าจริงๆใช่มั๊ยเนี่ย” ผมขมวดคิ้ว ผงะศีรษะออกมาแล้วหันไปสบตากับมันตรงๆ

แต่ผิดจากที่คาด แทนที่มันจะต่อปากต่อคำกับผมต่อ มันกลับชะโงกหน้าเข้ามาจูบผมอย่างดูดดื่ม มันเอามือข้างที่กอดผมไว้เลื่อนขึ้นมาประคองที่ศีรษะของผมแล้วก็ค่อยๆลูบหัวของผมช้าๆอย่างเบามือ เมื่อมันถอนปากออกไปผมยังถึงกับต้องประหลาดใจ

“ซัน นี่มึง........”

มันส่งยิ้มกว้างให้แก่ผม แล้วก็พยักหน้าช้าๆ

“นี่มึง........... แปรงฟันด้วยเหรอเนี่ย โห ไอ้ห่า เตรียมตัวพร้อมเลยเชียวนะ” ผมพูดขึ้นเสียงดังแล้วก็ลุกขึ้นยืน “แถมยังแข็งอีกต่างหาก” ผมชี้ไปที่กางเกงของมัน

แวบหนึ่งที่ไอ้ซันมีสีหน้าประหลาดใจฉายแววขึ้นแต่จากนั้นมันก็หัวเราะออกมา

“จับผิดกูจังนะ ไอ้ตัวดี ตอนแรกกูก็คิดว่ามึงจะพูดอะไรซะอีก ไอ้เหี้ยเอ๊ยย มึงทำกูเสียเส้นอีกแล้วนะ” มันลุกขึ้นมานั่งอยู่ตรงขอบเตียง

“อะไรอีกล่ะ กูผิดอีกงั้นสิ มึงนั่นแหละไอ้ตัวแผนสูง มีการแปรงฟันไว้รอกูเลยเชียวนะ”

ซันลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงเข้ามาหาผม มันพลิกตัวผมให้หันหลังหามันจากนั้นก็สวมกอดผมเบาๆแต่ก็แนบแน่น

“อีกนานมั๊ยกว่าไคล์จะมา”

“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน ทำไมวะ”

มันซุกหน้าลงบนบ่าของผมจากนั้นก็เริ่มโยกตัวเบาๆ “กูอยากแสดงความรักกับมึงไง....... แค่สิบห้านาทียี่สิบนาทีก็คงพอมั๊ง”

“ไอ้ทะลึ่ง” ผมหัวเราะ แต่ไอ้ซันกลับเดินถอยหลังแล้วลากผมไปกับมันด้วย ผมถูกแรงดึงของมันฉุดลงไปนอนอยู่บนเตียงอีกครั้ง

“ใครบอกมึงว่ากูทะลึ่ง” มันกอดผมเอาไว้แน่นแล้วชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ซอกคอของผม “กูแค่ทะลึ่งมากๆต่างหาก”ไอ้ซันค่อยๆลากลิ้นจากซอกคอของผมขึ้นมาจนถึงติ่งหูจากนั้นก็งับใบหูของผมเข้าไปทั้งใบพร้อมกับตวัดลิ้นเล่นด้วย

“ไอ้ซัน อย่า” ผมร้องออกมาด้วยเสียงกระเส่า “มะ มึงจะเอา จริง...... เหรอเนี่ย......” ผมพยายามบิดตัวหนีเพราะความเสียวแต่ก็ไม่พ้น

“กูรักมึงนะเมฆ มึงอย่าทิ้งกูไปไหนนะ” มันกระซิบเข้าที่ใบหูของผม ผมจึงหันหน้าไปเผชิญหน้ากับมันแล้วจ้องตากับมันอยู่ครู่หนึ่ง

แทนคำตอบ ผมชะโงกหน้าเข้าไปจูบกับมันแทน เราแลกลิ้นกันนานมากจนผมรู้สึกได้ถึงความแข็งเกร็งของอวัยวะส่วนนั้นของมันที่ดุนอยู่ที่หน้าขาของผม

“มึงพร้อมมานานแล้วสินะ” ผมหัวเราะเบาๆแล้วเอามือไปบีบของมันเบาๆ

“พร้อมตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอมึงอีกครั้งแล้ว” มันโถมตัวเข้ามาหาผมจากนั้นก็เริ่มต้นไซร้ไปตามทุกส่วนของร่างกายของผมอย่างแผ่วเบา

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-10-2007 16:36:02 โดย ExecutioneR »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 28


ซันค่อยๆผลักตัวผมให้นอนหงายลงบนเตียงส่วนมันก็คร่อมตัวผมเอาไว้จากทางด้านบน มันเอาหน้าซุกลงมาที่ซอกคอของผมแล้วก็สูดลมหายใจเข้าแรงๆ

“ภาวนาให้ไคล์มันกลับมาช้าๆหน่อยก็แล้วกัน” มันพูดเบาๆในซอกคอของผม

ทันใดนั้นความคิดบางอย่างก็กระแทกผมเข้าอย่างจัง

“ซัน หยุด!” ผมพูดเสียงเด็ดขาดและดันตัวมันออกไป มันเองก็มีท่าทีตกใจเช่นกัน

ผมลุกขึ้นนั่งมองหน้าของมันอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็หลบสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของมัน มันเองก็ดูจะรู้ว่าผมมีเรื่องไม่สบายใจได้ในทันที แต่ว่าแม้แต่ผมเองก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าผมเป็นอะไร และเกิดอะไรขึ้นข้างในใจของผม

“กูว่าเราไม่ควรทำแบบนี้” ผมพูดออกไปในที่สุด

“มึงเป็นอะไร เมฆ” ซันถาม แล้วเอื้อมมาจะจับมือของผม แต่ดูเหมือนมันจะคิดได้ว่ามันไม่ควรทำ มันจึงชักมือกลับไป

“กู...... กูขอโทษว่ะ กูก็ไม่รู้กูเป็นอะไรเหมือนกัน” ผมส่ายหน้าเบาๆ

ไอ้ซันหันหน้าหนีไปทางอื่นพักหนึ่งก่อนจะหันกลับมาหาผม “มึงบอกกูได้มั๊ย ว่ามึงคิดอะไรอยู่” มันถาม

“เอาจริงๆนะ กูก็ไม่รู้ว่ะ คือ กูรู้แหละว่ากูคิดเรื่องอะไร แต่กูก็ไม่รู้ว่ากูคิดอะไรอยู่จริงๆกันแน่ มึงเข้าใจมั๊ยวะ....... กูว่ามึงไม่เข้าใจหรอก” ผมขบกรามของตัวเบาๆเพราะหงุดหงิดความคิดของตัวเอง

“ลองให้กูเดาดูมั๊ยล่ะ กูว่ามึงคิดเรื่องของกูกับไคล์ ใช่มั๊ย” ซันถอนหายใจเบาๆแล้วมีสีหน้าเหมือนไม่ค่อยพอใจ “แต่มึงรู้ว่ามึงไม่ควรจะคิด และมึงก็รู้ด้วยว่ามึงเชื่อใจกู แต่มึงก็ยังสับสน มึงเลยไม่รู้ว่ามึงจะคิดอะไรดีทั้งๆที่ในหัวของมึงมันก็มีแต่เรื่องนี้เท่านั้น กูพูดถูกรึเปล่า”

ผมถึงกับอึ้งและเงยหน้าขึ้นมามองหน้ามันตรงๆ มันพูดถูกทุกอย่าง มันพูดถูกทุกอย่างเลย นี่มันสามารถรู้ใจรู้ความคิดผมได้ถึงขนาดนี้เลยหรือ และมันเองก็คงเห็นสีหน้าประหลาดใจของผมด้วยเช่นเดียวกัน

“ไม่ต้องแปลกใจหรอก อย่างแรกก็คือ กูคบกับมึงมานานแค่ไหนแล้ว อย่างที่สองก็คือ มึงเป็นคนแบบนี้นี่เองแหละ เมฆ............ มึงมั่นคงเหมือนดั่งศิลา แต่ก็อ่อนไหวและเปราะบางเหมือนอย่างก้อนเมฆ” มันจ้องตาผมเขม็งและมันก็คงเห็นความประหลาดใจในแววตาของผมที่ยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก เพราะนั่นเป็นประโยคที่ผมเขียนบรรยายความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ในสมุดเล่มนั้น

“ใช่แล้วเมฆ กูอ่านสมุดของมึงแล้ว” มันเอื้อมมือออกมา ผมคิดว่ามันจะกุมมือของผมแต่จริงๆแล้วมันดึงตัวผมเข้าไปกอดอย่างแรงและแนบแน่น “กูรักมึงจริงๆเมฆ กูก็อยากให้มึงรู้เหมือนกัน กูขอบใจมึงจริงๆที่มึงเขียนบันทึกเล่มนั้นเอาไว้ กูขอบใจจริงๆที่มึงคิดจะมอบมันให้กู และกูก็ขอบใจจริงๆที่กูกับมึงได้กลับมาพบกันใหม่แบบนี้อีกครั้ง” ไอ้ซันเริ่มสะอื้นเล็กน้อย ผมรู้สึกได้เลยว่ามันกำลังเริ่มต้นร้องไห้เบาๆขณะที่พูดไปด้วย

และผมเองก็เช่นกัน น้ำตาของผมมันเริ่มไหลออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเพราะความดีใจหรือเสียใจ แต่ที่ผมรู้แน่ๆก็คือผมกำลังร้องไห้และก็รัดวงแขนของผมเข้ากับตัวของมันให้แน่นขึ้นอีก

“กูไม่รู้จะทำยังไงนะเมฆ เพื่อให้มึงรู้ว่ากูรักมึง เพื่อให้มึงเชื่อใจกู กูไม่รู้จะทำยังไงให้มึงรู้ว่าตลอดเวลาที่มึงเจ็บปวด กูก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน กูขอยอมรับว่ากูมันเห็นแก่ตัวที่ทำตัวแบบนั้น และกูก็คงไม่ขอให้มึงให้อภัยกูด้วยกับสิ่งที่กูทำลงไป กูไม่เคยรู้เลยเมฆ ว่ามึงรู้สึกกับกูมากมายขนาดนั้น กูไม่เคยรู้เลยจริงๆว่ามึงรักกูมากยิ่งกว่าที่กูเคยคิดเสียอีก” ไอ้ซันสะอื้นเบาๆ คำพูดของมันขาดห้วงเป็นพักๆ “กูเองก็รักมึงมาตลอดเหมือนกัน มึงก็รู้ และกูเองก็จะยังรักมึงมากขึ้นอีกด้วยนับแต่วันนี้เป็นต้นไป กูจะไม่มีวันเลิกรักมึงเลย มึงจะเชื่อกูได้มั๊ย” มันดันตัวเองออกแล้วจ้องหน้าของผม

น้ำตาที่ไหลอาบแก้มของมันเป็นทางบอกให้ผมรู้ว่าคำพูดของมันนั้นเต็มไปด้วยความหมายอย่างที่มันสื่อออกมามากแค่ไหน ผมเอาแขนเสื้อปาดน้ำตาของตัวเองเบาๆแล้วก็ยิ้มกว้างให้มันเท่าที่ผมจะยิ้มได้

“ขี้แยนะมึง ร้องไห้ขี้มูกโป่ง ไม่อายมั่งหรือไง” ผมเอามือไปปาดน้ำตาของมันด้วยเบาๆ “กูรักมึง ซัน อย่างที่มึงรู้นั่นแหละ กูรักมึงมานานแล้ว และก็จะรักตลอดไปด้วย”

มันหัวเราะออกมาเบาๆ

“มึงก็ร้องไห้ไม่ใช่รึไง” มันยิ้มและเอานิ้วมาปาดหยดน้ำตาที่หางตาของผมออก “เมฆ กูขอร้องมึงล่ะนะ มึงอย่าคิดมากเรื่องกูกับไคล์จะได้มั๊ย กูไม่สามารถแก้ไขอดีตได้ และกูก็ไม่ขอให้มึงยกโทษเรื่องของกูเมื่อในอดีตด้วย ในทุกๆเรื่องเลย แต่กูอยากให้มึงเชื่อใจกูในเรื่องของอนาคต และอยากให้มึงให้โอกาสกูได้พิสูจน์ตัวกูเอง ว่าในใจของกูนั้นแท้จริงแล้วมันเป็นยังไง”

ผมนั่งนิ่งค่อยๆฟังและกลั่นกรองสิ่งที่มันกำลังพูดให้ผมฟังช้าๆจนเมื่อมันพูดจบ ผมมองหน้าของมันอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงค่อยพูดออกมา

“วันนี้ที่กูไปกับไคล์......” ผมเงียบลงอีกครั้ง ตัดสินใจว่าผมควรจะพูดมันออกไปดีมั๊ย แต่สุดท้ายความจริงที่ว่าผมมีอะไรอยู่ในใจผมก็มักจะพูดออกไป มันก็เอาชนะความคิดอื่นๆไปจนได้ “ไคล์กับกูคุยกันเรื่องของมึง”

ซันนั่งเงียบรอให้ผมพูดต่อ

“สิ่งเดียวที่กูคิดว่ากูกังวลใจมากที่สุดก็คือสิ่งที่ไคล์บอก แต่มึงไม่ได้บอกกู” ผมพูด

“มึงหมายความว่ายังไง” ซันมีสีหน้าไม่เข้าใจและกระวนกระวายใจไปพร้อมๆกัน

“สิ่งที่ไคล์บอกกูก็คือ เขาบอกกูว่ามึงกับเขาเคยคบกันแบบแฟน แต่มึงกลับไม่ได้บอกกูแบบนั้น ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ มึงทั้งคู่ต่างก็บอกกูนั่นแหละ แต่บอกไม่ตรงกันเท่านั้นเอง”

ไอ้ซันมีสีหน้าเหมือนเพิ่งโดนหมัดฮุคเข้าที่ปลายคาง

“ไคล์บอกมึงว่ากูเคยคบกับมันเป็นแฟนงั้นเหรอ” มันทำสีหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ

ผมพยักหน้าช้าๆ “ใช่ เขาบอกกูแบบนั้น แต่ว่า.......” ผมรีบพูดคำว่าแต่ ก่อนที่ไอ้ซันจะได้อ้าปากพูดอะไรออกมาอีก “แต่เขาบอกว่าเขาคงเข้าใจผิดไปเองว่าความสัมพันธ์ในตอนนั้นคือความสัมพันธ์แบบแฟนก็ได้ เขาพูดประมาณว่าเขาอาจจะแค่คิดไปเองอยู่คนเดียวและมึงไม่ได้คิดเหมือนกับเขา”

ไอ้ซันหุบปากที่เพิ่งอ้าออกมาลงและส่ายหน้าเบาๆ

“มึงส่ายหน้าทำไม” ผมถาม

“กูรู้สึกผิดน่ะสิ กูทำให้มึงเสียใจยังไม่พอ แต่กูก็ยังทำให้ไอ้ไคล์มันทั้งเสียใจและเข้าใจผิดอีกด้วย”

“นี่มึงหมายความว่ามึงไม่เคยพูดกับไคล์ตรงๆว่าตอนนั้นมึงเป็นแฟนกันจริงๆอย่างนั้นใช่มั๊ย” ผมถามเพื่อต้องการจะยืนยัน

“ใช่ กูไม่เคยพูดแบบนั้น กูยืนยันได้ กูเองพยายามพูดทุกอย่างให้มึงเข้าใจไปหมดแล้ว แต่กูก็ไม่คิดว่ามันจะสำคัญกับมึงมากขนาดนี้ กูขอโทษ และกูก็ขอยอมรับว่ากูไม่คิดว่าสิ่งที่กูกับไคล์เคยผ่านกันมามันจะสำคัญอะไรอีกแล้ว เพราะว่า......” มันก้มหน้าไปพักหนึ่งจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองที่ตาของผม “เพราะตอนนี้กูมีมึงกลับมาแล้ว และถ้าจะพูดว่ามันเป็นทางเลือก กูก็พูดได้เลยว่ากูเลือกมึง”

ผมยอมรับว่าเมื่อได้ยินอย่างนั้นผมก็รู้สึกดีใจและก็อายพอๆกันด้วย คนที่ไม่ค่อยพูดอย่างไอ้ซันยอมเปิดปากพูดออกมาขนาดนี้ ผมรู้ว่ามันหมายความว่าแบบนั้นจริงๆและมันก็ทำให้ผมแทบจะลืมเรื่องที่ผมข้องใจคาใจเกือบทั้งหมดไปหมดเลยทีเดียว

“แต่ยังมีอีก” ผมพูดออกมาเบาๆ “เรื่องนี้กูว่าก็ไม่รู้ว่ากูควรจะรู้สึกยังไงจริงๆนั่นแหละ กูรู้สึกแย่แทนไคล์น่ะ ซัน มึงเข้าใจมั๊ย กูสงสารเขานะ แต่อีกใจนึงกูก็สารภาพตรงๆว่ากูก็ไม่ไว้ใจเขาด้วยเหมือนกัน.......”

“แล้วมึงไว้ใจกูมั๊ยล่ะ” ไอ้ซันถามผมกลับทันที

ผมมองหน้ามันนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงใช้เวลาตัดสินใจนานกว่านี้อีกราวๆสามถึงห้าวิ แต่วันนี้ ตอนนี้ หลังจากผมเงียบไปราวๆสองวิผมก็ตอบออกมาได้ทันที

“กูไว้ใจมึง”

“ขอบใจมาก เมฆ นั่นมีความหมายสำหรับกูมาก เพราะอย่างนั้นกูก็จะขอตอบแทนมึงด้วยการที่กูจะไม่มีวันหักหลังความไว้วางใจที่มึงมีให้กูเด็ดขาด แค่นั้นพอมั๊ย” มันถามผม

“ซัน...... กูรู้ว่ากูไว้ใจมึง และกูก็รู้ว่ามึงก็ทำตัวให้กูไว้ใจได้ แต่มันไม่ใช่แค่นั้น ยังมีไคล์อีก ไม่ใช่อย่างที่มึงคิด ซัน เรื่องนี้เป็นเรื่องของไคล์ที่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของเราสองคน แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเขาคนเดียว ‘คนเดียว’ ซัน เขาต้องต่อสู้กับความรู้สึกของน้องชายที่หลงรักพี่ชายตัวเอง เขาต้องทนกับความรู้สึกที่รู้ทั้งรู้ว่าความรักของเขามันเป็นไปไม่ได้ เขาต้องเก็บความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ไม่ให้ใครรู้ภายใต้รอยยิ้มร่าเริงของเขา เขาต้องทำใจยอมรับว่ามึงนั้นรักกูมากแค่ไหน และถ้าทั้งหมดนั้นมันยังไม่แย่พอ เขายังต้องทนอยู่กับความรู้สึกที่มันแน่นอยู่เต็มหัวใจของเขาว่าเขายังคงรักมึงอยู่” ผมเน้นที่ประโยคสุดท้าย และรอยยิ้มเศร้าๆของไคล์เมื่อครั้งที่เขาพูดประโยคนั้นออกมาก็ฉายภาพขึ้นมาในหัวของผมอีกครั้ง ผมรู้สึกถึงน้ำตาที่เริ่มรื้นอยู่ริมขอบตาอีกครั้ง

“เมฆ กู...... กูไม่รู้จริงๆว่ะ”

“มึงไม่รู้ใช่มั๊ย ว่าเขารู้สึกกับมึงมากมายขนาดนั้น” ผมต่อประโยคให้มันจนจบแล้วก็พยายามกลืนน้ำตาให้หายไป “กูไม่ได้จะว่ามึงนะ ซัน แต่มันยากจริงๆ กูก็ไม่รู้จะพูดยังไงหรอก แต่กูสงสารไคล์ กูยอมรับเลยว่ากูไม่ค่อยชอบใจเขานักเมื่อรู้ว่าเขาคิดยังไงกับมึง กูอิจฉาเขา ที่เขาได้มีเวลาได้ใช้เวลาอยู่กับมึงตั้งปีนึงในขณะที่กูนั่งคิดถึงมึงอยู่คนเดียวแทบตาย กูไม่ไว้ใจเขาเมื่อกูรู้ว่าเขายังคงรักมึงอยู่ แต่กูก็เข้าใจเขาจริงๆ ว่าความรู้สึกทั้งหมดนั้นมันเป็นยังไง กูรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดของเขา”

“มึงจะบอกว่ากูผิดที่กูให้ความหวังมันไปใช่มั๊ย” ไอ้ซันพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ แต่สายตาของมันบอกผมว่ามันไม่พอใจในตัวเองมากกว่าสิ่งที่ผมพูด

“กูไม่ได้พูดแบบนั้น แต่จะพูดแบบนั้นมันก็ไม่ผิดหรอก แต่ซัน มึงฟังกูนะ เรื่องนี้มึงก็ไม่ผิดจริงๆ กูไม่ได้โทษมึง มึงเองก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนั้น กูรู้ กูขอโทษ ซัน”

“ไม่หรอกเมฆ มึงพูดถูก กูยอมรับความเป็นจริงทุกอย่างที่ว่าเรื่องแบบนี้มันไม่มีคนผิด ใครมันจะรักใครมันคงห้ามกันไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อมีความรักก็ต้องมีคนเจ็บ เรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ดีได้จริงๆ อันนั้นก็พอยอมรับได้ แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่กูยอมรับว่ากูผิดจริง และมันเป็นความผิดของกูที่ทำให้อะไรๆมันแย่ลง นั่นก็คือ กูเผลอใจไปชอบมันทั้งๆที่กูยังคงรักมึงอยู่ตลอดเวลา ถ้าเพียงแต่กูยังรักมึงแล้วมั่นคงกับมึง ไม่เผลอใจไปหามัน มันก็คงไม่ต้องเจ็บมากขนาดนี้”

ผมถึงกับสะอึก คำพูดของมันทำให้ผมคิดอะไรได้อีกหลายๆอย่างทีเดียว

“ซัน ตอนนั้นกูรักมึงมากก็จริง แต่มีความจริงอื่นๆอยู่อีกสองข้อนะ มึงอย่าลืมสิ จริงๆแล้ว กูก็เกือบลืมไปแล้วเหมือนกันนั่นแหละ”

ไอ้ซันมองตาผมพยายามหาคำตอบว่ามันคืออะไร แต่ดูเหมือนมันก็จะหาไม่เจอ

“ข้อแรก” ผมพูดขึ้น “ตอนนั้นกูก็ยังคบกับนัทอยู่เหมือนกัน เพราะงั้นถ้ามึงจะพูดว่ามึงยังรักกูอยู่และควรจะมีแต่กูในใจ มันก็คงไม่ใช่มึงคนเดียวที่ทำผิด กูเองก็ด้วย มึงเห็นมั๊ย และสุดท้ายกูเองก็ทำให้นัทต้องเสียใจเหมือนกัน กูไม่เคยเล่าให้มึงฟังว่ากูเลิกกับนัทยังไง....... และที่สำคัญที่สุดก็คือเหตุผลที่เราทั้งคู่ต่างก็เป็นและทำแบบนั้น....... นั่นคือสิ่งที่เชื่อมโยงมายังข้อที่สองที่กูเองยังเกือบจะลืมมันไปแล้ว” ผมเว้นช่วง และดูเหมือนไอ้ซันเองก็จะนึกออกแล้วว่าอีกข้อที่ผมพูดถึงนั้นคืออะไร

“ใช่ ซัน กูกับมึงต่างก็ไม่มีใครรู้ว่าเราสองคนจะได้กลับมาเจอกันอีก” ผมพูด บีบมือของมันเบาๆ “เราสองคนต่างก็มีชีวิตที่ต้องดำเนินต่อไป สำหรับกูแล้วในตอนนั้นกูก็อยากจะเริ่มต้นชีวิตของกูต่อไปเหมือนกัน แน่นอน โดยที่ไม่มีมึง กูไม่สามารถจะจมอยู่กับความเศร้าไปตลอดได้ กูยังเก็บมึงเอาไว้ในใจเสมอ แต่กูก็ต้องมีความรักครั้งใหม่ด้วยเหมือนกัน แต่จะว่าไปถ้าพูดกันจริงๆ สำหรับกูก็คือความรักครั้งเก่านั่นแหละ กูสานต่อความรู้สึกของกูกับนัทขึ้นมาอีกครั้ง มึงก็รู้ว่ากูรักเค้า แน่นอน เค้าเองก็รักกู แต่มึงก็คงรู้อีกนั่นแหละ ว่าความรักของกูที่มีให้เค้ามันต่างจากที่กูมีให้มึง เพราะงั้นกูจะไม่พูดว่ากูหลอกลวงเค้าหรอก ความรักของกูไม่เคยหลอกลวงใคร เพียงแต่ตอนนั้นกูเองก็รู้อยู่ในใจว่ากูลืมมึงไม่ลง กูรักมึง และกูไม่สามารถรักนัทให้เท่ากับมึงได้ กูยอมรับเลยนะว่าถ้ากูไม่ได้มาเจอมึงอีกครั้ง ทั้งชีวิตของกู กูก็อาจจะไม่สามารถรักใครได้อีกเลยก็ได้” ผมอธิบาย

“ถ้าอย่างนั้นกูเดาว่า กูก็คงเป็นคล้ายๆมึงใช่มั๊ย แต่สำหรับกูแล้วมันเป็นความรักครั้งใหม่ ไม่ใช่แบบมึงกับนัท และสำหรับกูแล้วคนๆนั้นก็คือไคล์”

“กูก็คิดว่าอย่างนั้นนะ” ผมพยักหน้า

“ถ้าแบบนั้น” ไอ้ซันพูดต่อ “กูก็คงทำอะไรไม่ได้แล้วใช่รึเปล่า ที่มึงพูดมาทั้งหมดนี่มีความหมายใช่มั๊ย”

“กู.... กูก็คิดว่าอย่างนั้นมั๊ง” ผมกลืนน้ำลาย ใช่แล้ว ผมคิดว่าสิ่งที่ผมเพิ่งพูดออกไปมันเพิ่งจะไปหักล้างกับความรู้สึกของผมที่มีแต่สภาพจิตใจของไคล์ที่บอกไอ้ซันไปเมื่อครู่ได้ทันที

“มึงหมายความว่า กูคงต้องปล่อยให้มันเป็นไปแบบนั้นใช่มั๊ย ถ้ากูไม่ผิด ไคล์ก็ไม่ผิด แต่เมื่อผลลัพธ์มันเป็นแบบนี้และไคล์มันต้องเจ็บปวด มึงจะบอกว่ากูก็คงแค่ต้องปล่อยเขาไป แบบนั้นรึเปล่า” มันถามเพื่อความแน่ใจ

ผมยักไหล่ “กูก็ไม่รู้หรอก พูดจริงๆ ตอนแรกกูก็ไม่รู้ว่ามันควรจะเป็นยังไงและเราควรจะทำอะไรเพื่อไคล์ได้บ้าง โดยเฉพาะมึงน่ะนะ แต่เมื่อกูคิดเรื่องนั้นขึ้นมาได้ กูก็คงต้องบอกว่า ใช่” ผมพยักหน้า “เราคงทำอะไรไม่ได้แล้ว นอกจากปล่อยให้เวลาช่วยเยียวยาไคล์และรอจนกว่าเขาจะเจอคนที่ใช่สำหรับเขาและเขาเป็นคนที่ใช่สำหรับคนๆนั้นด้วย”

“นัทเสียใจมั๊ยวะ ตอนที่มึงเลิกกับเขา” ซันถาม

“ใช่ ก็แน่นอนอยู่แล้วล่ะ เขาเองก็คงไม่เข้าใจว่าเหตุผลจริงๆของกูมันคืออะไร กูเองก็ไม่สบายใจมากๆนะ แต่ว่าบางทีเขาก็น่าจะรู้.........”

“มึงนี่ก็ยังรักและเป็นห่วงความรู้สึกของคนอื่นโคตรๆอยู่ตลอดเวลาเลยนะ” ซันพูดพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า

“ก็ไม่เชิงหรอก........” อีกครั้งที่คำพูดของมันพาผมนึกไปถึงสิ่งสุดท้ายที่ยังคงคาใจผมอยู่ “ซัน มีอีกอย่างนึงที่กูรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ และกูต้องยอมรับเลยว่ามันกวนใจกูมาตั้งแต่ก่อนจะขึ้นเครื่องมาที่นี่แล้ว”

“มึงหมายถึงมาที่แกรนด์แคนยอนนี่น่ะนะ”

“เปล่า มาที่อังกฤษเลยต่างหาก”

“เรื่องอะไร เมฆ ไหนๆเราก็คุยกันแล้ว นานๆทีได้คุยกันแบบนี้สักที มึงก็บอกกูมาให้หมดเลยก็แล้วกัน”

“ซัน..... ปีนึงนี่มันก็นานนะ” ผมพูด พยายามคิดหาคำพูดเหมาะๆไปด้วยตลอดเวลา “มึงไม่คิดเหรอ ว่ากูจะเปลี่ยนไป แล้วทำให้มึงไม่ชอบใจกับสิ่งที่กูเปลี่ยนไปน่ะ คือ กูหมายความว่า เราทั้งคู่ต่างก็คงเปลี่ยนไป แต่ภาพความทรงจำในใจของเราสองคนคือเราทั้งคู่ที่มีอยู่จริงจนถึงเมื่อหนึ่งปีที่แล้วนะ มึงไม่กลัวไม่กังวลเลยเหรอ ว่าถ้าเราคบๆกันไปแล้วมารู้ทีหลังว่า มึงเปลี่ยนไปหรือกูเปลี่ยนไป แล้วทำให้เราไม่พอใจกัน ผิดใจกัน หรือ พูดให้ถูกก็อาจจะเป็น แบบว่า ผิดหวังในตัวกันและกันน่ะ” ผมพูดออกไปอย่างลำบากใจ ไม่รู้จะสรรหาคำพูดไหนออกมาบรรยายไปได้ดีพอ แต่ทว่าไอ้ซันกลับมีรอยยิ้มที่มุมปาก

“มึงคิดว่ากูไม่คิดเรื่องนั้นเหรอ”

“มึงเองก็คิดเหมือนกันเหรอ” ผมถามด้วยความประหลาดใจ

“แน่นอน กูคิดสิ กูคิดตั้งแต่วินาทีที่รู้ว่ามึงจะมาเรียนต่อที่อังกฤษเลย กูคิดว่ามึงจะเป็นยังไงบ้างนะ มึงจะเปลี่ยนไปมากขนาดไหน และแน่นอน ว่ากูไม่ได้หมายความถึงทางกายภาพของมึงเท่านั้น แต่กูหมายถึงข้างในมึงด้วย”

“ก็นั่นน่ะสิ ซัน เวลาตั้งปีนึงนะ กูเองก็เปลี่ยนไป กูยังรู้ตัวกูเองเลย และมึงเองก็คงเหมือนกัน”

อีกครั้ง ที่มันยังคงมีรอยยิ้มและยังยิ้มกว้างมากขึ้นอีก

“ใช่ กูคิด แต่กูไม่กังวล ไม่เลยเมฆ กูไม่กังวลเลย กูอาจจะคิดว่ามึงเปลี่ยนไปแบบไหนยังไง แต่กูไม่เคยกังวลกับเรื่องที่มึงจะเปลี่ยนไปเลย ข้อแรก เพราะกูรู้ว่าถึงมึงจะเปลี่ยนไปยังไง มึงก็ยังคงเป็นมึง ลึกๆของมึงต้องยังคงเดิมไม่เปลี่ยนไปแน่” มันเอานิ้วมาจิ้มที่หน้าอกของผม มีท่าทีแสดงความอายออกมามากขึ้นกว่าเดิม “นอกจากนั้น กูรู้ว่ากูรักมึงในแบบที่มึงเป็นมึงที่ไม่มีวันเปลี่ยนข้างในนั้น”

ผมยิ้มกว้างและเอามือมาจับที่นิ้วชี้ของมันที่จิ้มอยู่ตรงหน้าอกด้านซ้ายของผม

“และมันก็ยังแปลว่า กูแอบมั่นใจเล็กๆนะว่า มึงก็น่าจะยังคงรักกูอยู่เหมือนกัน เพราะงั้นกูถึงได้ไม่กังวลไงล่ะ มึงเข้าใจมั๊ย”

ผมพยักหน้า ไอ้ซันชะโงกหน้ามาหอมแก้มผมเบาๆที่แก้มทั้งสองข้าง

“แก้มสองข้างที่กูหอมมึงไปนั้นแปลว่ายังมีอีกสองเรื่องใหญ่ๆที่กูยังไม่เคยบอกมึง” เมื่อพูดจบมันก็หน้าแดงมาก มากที่สุดของวันนี้เลยทีเดียว

“อะไรวะ อะไร” ผมคะยั้นคะยอ อยากรู้ว่าอะไรที่ทำให้มันเขินจนอายหน้าแดงได้ขนาดนี้

“ก็ได้ กูบอกมึงก็ได้ ไหนๆก็ไหนๆแล้วนี่” มันก้มหน้าหนีพยายามรวบรวมความกล้า แล้วเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว “เห็นรึยัง ว่ากูเปลี่ยนไปน่ะ ถ้าเป็นแต่ก่อนกูไม่พูดมากขนาดนี้หรอกนะเว้ย จริงมั๊ย”

ผมพยักหน้ายอมรับ นี่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตมันมานานแล้วเหมือนกัน และผมก็ยังคงไม่ค่อยเคยชินกับมันเท่าไหร่อยู่ดี

“กูจะพูดยังไงก่อนดี......... เอาเป็นว่า กูพูดสั้นๆเลยก็แล้วกันนะ วันนี้บ้าน้ำลายมามากพอแล้ว ข้อแรก กูบอกไปแล้วว่ากูมั่นใจว่าไม่ว่ามึงจะเปลี่ยนไปยังไง ภายในของมึง วิญญาณของมึง คนที่มึงเป็นจริงๆก็คงไม่มีวันเปลี่ยน ก็อย่างตอนนี้ไง มึงก็ยังคงรักและเป็นห่วงคนอื่นมากโคตรๆอยู่เหมือนเดิม และนั่นมันทำให้กูมั่นใจว่ากูไม่มีปัญหากับการเปลี่ยนแปลงของมึงแน่ ก็เพราะ....... คือเพราะ...... กูรู้ตัวว่ากูเองก็เปลี่ยนไป แต่กูที่เปลี่ยนไปนั้นกูเปลี่ยนไปคล้ายมึงเข้าทุกทีๆน่ะสิ หลายครั้งที่กูคิดเหมือนมึง พยายามทำความเข้าใจว่าถ้าเป็นมึงมึงจะทำยังไง จะคิดยังไง เพราะกูอยากจะมีมึงอยู่ทั้งในใจและในความคิดของกูเอาไว้ตลอดเวลา......” ไอ้ซันหน้าแดงมากขึ้นไปอีกและผมคิดว่าถ้ามันยังหน้าแดงไปมากกว่านี้เลือดต้องออกหูมันตายแน่ๆ แต่ผมเองก็รู้สึกเขินไม่แพ้มันเหมือนกัน

“อีกอย่างนึง” ไอ้ซันรีบพูดต่ออย่างรวดเร็ว “ไม่ว่ามึงจะเปลี่ยนไปยังไง แต่กูก็พร้อมรับมันได้เสมอนั่นแหละ เพราะจะยังไงก็ตาม เมื่อกูได้เจอหน้ามึงครั้งแรกที่สนามบิน เมื่อนั้นกูก็รู้ตัวแล้วว่ากูพร้อมจะเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ไปพร้อมๆกับมึงและจะไม่มีวันปล่อยให้มึงต้องเดินคนเดียวอีกต่อไป”

“ซัน..... นี่มึง” ผมอ้าปากจะพูดต่อแต่ไอ้ซันก็เอามือมาปิดปากผมเสียก่อน แถมยังทำหน้าไม่พอใจเพื่อปกปิดความอายของตัวเองอีกด้วย
 
“พอแล้ว กูไม่อยากจะพูด ไม่อยากจะได้ยินอะไรอีกแล้ว วันนี้บ้าน้ำลายบ้าน้ำตากันมาพอแล้ว ได้เวลาบ้าน้ำอย่างอื่นสักที” พูดจบมันก็เอามือออกแล้วเข้ามาประกบปากกับผมทันที

เมื่อถอนปากออกผมก็ยิ้มกว้างให้กับมันแทนคำขอบคุณทั้งหมดเท่าที่ผมไม่สามารถหาคำพูดใดมาบรรยายออกไปได้

“แต่เดี๋ยวไคล์ก็กลับมาแล้วนะ” ผมพูด

“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ มันก็รู้นี่ว่าเราเป็นแฟนกัน จะเสียหายตรงไหน” มันพูดหน้าตาเฉย แต่แววตาของมันนั้นเต็มไปด้วยความต้องการอย่างที่สุด

“พูดพล่อยๆเกินไป มึง จะไม่แคร์ความรู้สึกเขาหน่อยเลยเหรอไง และที่สำคัญ จะมาทำอะไรกันให้มันเห็นๆไปเลยเนี่ยนะ ถ้าเดี๋ยวเขาเปิดประตูเข้ามาเจอจะทำไง” ผมทำเสียงปราม

“ก็อย่าทำให้มันเห็นสิวะ” ซันก้มมองดูนาฬิกาข้อมือของตัวเอง “ตั้งแต่มึงกลับมาก็ยี่สิบนาทีได้แล้ว มันคงใกล้กลับมาแล้วมั๊ง ใช่มั๊ย”

“ก็ใช่มั๊ง ไคล์บอกว่าเขาจะตามมาในราวๆครึ่งชั่วโมง”

“แม่งง งั้นก็อดเลยน่ะสิ” มันพูดแล้วทิ้งตัวลงนอนข้างๆผม

“สรุปแล้วนี่มึงได้นอนไปมั่งรึเปล่า” ผมถาม

“ไม่เลย” มันหัวเราะเบาๆ “ก็อ่านสมุดของมึงนั่นแหละ อ่านจบก่อนมึงกลับมาพักเดียวเอง”

ไม่รู้ทำไม แต่ผมรู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงขึ้นมาอีก

“ว่าแต่มึง...... ตั้งใจจะเปิดสมุดของกูเมื่อไหร่” ไอ้ซันถาม

“อ๋อ ก็........ ให้กูเปิดอ่านเดี๋ยวนี้เลยดีมั๊ยล่ะ”

“นี่มึงเอามาด้วยเหรอ” มันถาม มีสีหน้าแปลกใจ

“ก็แน่นอนสิ” ผมลุกขึ้นยืนและเดินไปเปิดกระเป๋าของผมแล้วหยิบมันออกมา

สมุดของมันหนาและใหญ่กว่าของผมค่อนข้างมาก เมื่อดูตรงขอบของสมุดจะเห็นว่าหลายหน้าที่พองออกมาเหมือนกับมันเอาอะไรไปแปะหรือไปสอดเอาไว้ สิ่งที่ผมอยากรู้มากกว่าว่ามันเขียนอะไรเอาไว้นั่นก็คือมันสอดอะไรเอาไว้ข้างในนี่แหละ

“นี่มึงพกติดตัวไว้ตลอดเลยเหรอ” ไอ้ซันชันตัวขึ้นนั่งทันที

“ใช่ ก็เหมือนเป็นตัวแทนของมึงไง แถมเผื่อกูจะอ่านตอนไหนกูก็จะได้อ่านได้เลยด้วย” ผมจับที่เชือกเส้นเล็กๆนั้นแล้วก็กำลังแกะปมออก

“หยุดเลย!” ไอ้ซันร้องห้าม “ห้ามอ่านตอนกูยังอยู่กับมึงเด็ดขาด!”

ผมหยุดมือแล้วก็สอดสมุดนั้นกลับลงไปในกระเป๋าเหมือนเดิม “กูรู้น่า กูแค่แหย่เล่นเท่านั้นแหละ”

ผมหัวเราะแล้วก็เดินไปนั่งอยู่ที่ขอบเตียง ไอ้ซันคว้าตัวของผมเข้าไปกอดแล้วก็เอานิ้วจี้เอว เราสองคนดิ้นปล้ำเล่นจี้เอวเหมือนเด็กๆกันอยู่บนเตียงพักหนึ่ง เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น

“ไคล์มาแล้วมั๊ง” ผมหอบ แล้วดันตัวมันออกลุกไปเปิดประตู

และเมื่อประตูถูกเปิดออก ผมก็ต้องพบกับความประหลาดใจอีกครั้ง


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-10-2007 16:36:50 โดย ExecutioneR »

sun

  • บุคคลทั่วไป
อ่า..มาไม่ทัน เง้อๆๆ    o9
นึกว่าจะมีบท Nc แต่ไหง๋ กลับกลาย เป็น Drama ซ้างั้น ...  :m17:
.
.
ผ่านความเหงา ความเศร้า  ความเจ็บปวด ความไม่แน่ใจ ...
แต่ที่ยังมั่นคงที่สุด...ก้อคือ "ความรัก" สินะ ที่คนสองคน
ยังยึดถือ..ยึดมั่น..ในกันและกัน...(ตรูพล่ามอะไรหว่า?)   :try2:

แล้วนั่นอะไรก๊าน....ใครกันล่ะนั่น ..   :m28:
ถ้าไม่ใช่ไคล์...แล้วจะเป็นใคร...
หรือว่าไคล์มากับพีท ล่ะ ( เดาคับเดาฮ่าๆ)   :laugh:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
ไรหรือ แจกไรกันเหยอ อดเยย
แงๆๆๆ อดเหมือนกัน
 :serius2: :serius2: :serius2:

รู้สึกงานนี้จะเมาน้ำลายนะ
พูดกันจนค่อนข้างจะละเอียดละออ เหมือนเขียนบันทึกเลย
ยากนักที่คนเราจะกล้าเผยความในใจได้ขนาดนี้

ถือว่าเป็นการยอมรับในกันและกัน หลังจากที่เก็บกดมาหลายปี

 :m21: :m21:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-09-2007 19:04:00 โดย b|ueBoYhUb »

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
หุหุ แอบเดาเหมือนกันว่าไคล์อาจจะมากับพีทอ่ะ  :a5:

ออฟไลน์ ~prince™~

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +161/-2
ต้องเป็นพีทแน่ๆเลย :a9:

Jingjoh

  • บุคคลทั่วไป
เปิดใจ (Confession)
 o13

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 29


“ทำอะไรกันอยู่น่ะครับ หอบเชียว” ไคล์ถามด้วยสีหน้าสงสัย

“โดนไอ้ซันมันปล้ำน่ะสิ เอ๊ย หมายถึง โดนมันจับจี๋เอวน่ะ ก็เลยปล้ำกันนิดหน่อย โชคดีไคล์มาพอดีเลยช่วยเอาไว้ได้ทัน ไม่งั้นพี่ตายแน่” ผมยังคงหอบอยู่ แล้วหันไปหาคนอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆไคล์ “ไงครับ พีท มาได้ไงเนี่ย”

พีทในตอนนี้ดูต่างกับคนที่ผมเพิ่งเจอที่ร้านอาหารเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ราวกับคนละคนทีเดียว อย่างแรกเลยก็คือชุดที่เขาใส่ไม่ใช่ชุดยูนิฟอร์มสีน้ำตาลอ่อนเชยๆนั่นอีกแล้ว แต่เป็นชุดไปรเวท เสื้อยืดไหมพรมแขนสั้นสีครีม กางเกงยีนส์สีน้ำตาลออกดำที่ดูใหญ่เกินตัวนิดหน่อย และยังมีเสื้อสเว็ตเตอร์สีเข้มพาดบ่าข้างซ้ายเอาไว้อีกด้วย สีหน้าของเขาก็ดูสดชื่นขึ้นมาก ผมคิดว่าเขาคงจะกลับไปพักผ่อนหรือไม่ก็คงอาบน้ำมาแล้วแน่ๆ ผมที่ถูกซอยสั้นของเขาก็ได้รับการใส่เจลและแต่งทรงให้ชี้ตั้งขึ้น ดูโดยรวมแล้วต้องบอกว่าพีทเป็นคนที่หน้าตาดีและบุคลิกดีมากๆคนหนึ่งเลยทีเดียว ผมว่าผมรู้สึกแปลกๆบางอย่างเมื่อเห็นเขาแบบนี้นะ

“เอ่ออ คือ” พีทมีท่าทางลังเลและหันไปสบตากับไคล์ “คือผมไปเจอไคล์ที่ร้านกิ๊ฟท์ช็อปน่ะครับ แล้วเขาก็ชวนผมให้มาที่นี่ด้วยกัน”

“ช่ายครับ เพราะพนักงานซื้อของมันได้ส่วนลดด้วยนี่นา นี่ไง” ไคล์ชูถุงกระดาษสีน้ำตาลขึ้น “เข้าห้องกันก่อนดีกว่า”

ไคล์พูดแล้วก็เดินผ่านผมเข้าห้องมา ผมเปิดประตูออกให้กว้างขึ้นแต่พีทก็ยังคงยืนอยู่หน้าห้องท่าทางลังเล

“อ้าว เข้ามาสิครับ” ผมพูด

“ครับ” เขาสบตาผมแล้วพยักหน้า จากนั้นก็เดินผ่านผมเข้าไปในห้อง ผมได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆโชยออกมาจากตัวของเขาด้วย

เมื่อผมปิดประตูห้องลงไคล์ก็นั่งลงบนเตียงของเขา ส่วนผมก็เดินจะไปนั่งกับไอ้ซัน ยกเว้นพีทที่ยังคงยืนอยู่อย่างไม่แน่ใจว่าควรจะนั่งลงที่ไหนดี ผมจึงลากเก้าอี้ออกมาให้เขา พีทเองก็นั่งลงตามคำเชิญของผม ส่วนไอ้ซันที่เพิ่งจะเก็บสีหน้าประหลาดใจที่จู่ๆก็เห็นพีทยืนอยู่หน้าประตูได้ก็พูดขึ้นในที่สุด

“ที่พักของพีทอยู่ไกลจากที่นี่รึเปล่า” ไอ้ซันถาม ผมเองก็มองหน้ามันด้วยความแปลกใจเหมือนกัน มันเป็นส่วนผสมของความรู้สึกหลายๆอย่างนะ เพราะว่าผมมีความรู้สึกว่ามันไม่ค่อยชอบพีทตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันแล้ว อย่างที่สองก็คือ ผมรู้สึกว่ามันน่าจะแปลกใจที่ทำไมอยู่ๆพีทถึงได้โผล่มาได้ และผมไม่แน่ใจด้วยว่ามันกำลังไม่พอใจรึเปล่า แต่ก็คิดอีกทีก็คงไม่ใช่แบบนั้น เพราะมันเองเป็นฝ่ายทักและถามพีทขึ้นเองก่อน แถมยังถามเขาด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติอีกด้วย

“ก็นิดหน่อยครับ คือถ้าจะว่าไปก็ต้องบอกว่าที่นี่นั่นแหละ ที่ไกลจากที่อื่นที่สุดน่ะครับ” พีทตอบ

“นี่ทุกคน ผมซื้อของได้ส่วนลดจากบัตรของพีทด้วยนะ แถมถ้าเขาซื้ออาหารแล้วโชว์บัตรพนักงาน เขาได้ลดตั้งห้าสิบเปอร์เซ็นต์แน่ะ” ไคล์พูดอย่างกระตือรือร้น

“อย่าบอกนะว่าเวลาเรากินข้าวจะให้เขาช่วยใช้บัตรซื้อให้ตลอดน่ะ” ซันพูดขึ้น หันไปมองหน้าไคล์

“เปล่าหรอกครับ โธ่เอ๊ยย ก็แค่คืนนี้ก็ได้นี่ ชวนพีทไปกินข้าวด้วยกันสิ จะได้ให้เขาพาเราไปเที่ยวด้วยไง เขาบอกผมตอนที่อยู่ด้วยกันเมื่อกี๊ว่า ที่ๆดูพระอาทิตย์ตกดินน่ะอยู่ใกล้ๆกับเคบินของเขาแล้วก็อยู่ใกล้ๆกับคาเฟทีเรียอีกที่นึงด้วย ใช่มั๊ยครับ” ไคล์หันไปหาพีท

“ครับ ชื่อว่าแมสวิค เป็นโรงแรมแบบยาวาพายนี่แหละครับ” พีทตอบ

ผมคิดในใจว่าตอนแรกไคล์บอกว่าจะไม่ไปดูพระอาทิตย์ตกกับพวกเรานี่นา แล้วทำไมจู่ๆถึงได้เปลี่ยนใจ แต่ผมก็ไม่ได้ถามออกไปแล้วก็ไม่ได้คิดติดใจอะไรนักด้วย

“แล้วเราต้องควรออกไปดูพระอาทิตย์ตกกันกี่โมงล่ะเนี่ย” ผมถาม

“ก็ราวๆก่อนหกโมงนิดหน่อยก็น่าจะไปถึงที่นั่นได้แล้วล่ะครับ” พีทก้มดูนาฬิกาข้อมือของตัวเองจากนั้นก็เงยหน้าขึ้น “เขาจะมีป้ายบอกเอาไว้ที่ป้ายหยุดรถน่ะครับว่ากี่โมง เพราะแต่ละวันเวลามันจะไม่ตรงกัน โดยเฉพาะยิ่งเข้าใกล้ซัมเมอร์ไปเรื่อยๆพระอาทิตย์มันก็ยิ่งตกช้าลงๆ แต่ผมว่าช่วงๆนี้ก็น่าจะยังประมาณหกโมงอยู่นั่นแหละครับ เมื่อสองวันก่อนที่ผมกับเพื่อนผมเพิ่งไปดูกันมาก็ราวๆนี้”

“ว่าไง ซัน” ผมหันไปถามไอ้ซัน

“มึงว่าไงก็ว่างั้นแหละ กูตามใจมึงอยู่แล้ว” พูดจบไอ้ซันก็ชะโงกมาหอมแก้มของผมทันที

ผมอ้าปากค้างและรีบหันไปมองหน้ามันทันที ผมไม่เคยคิดเลยว่ามันจะกล้าทำแบบนี้ต่อหน้าคนอื่น! ถึงปกติเวลาเราอยู่กันสองคนไอ้ซันมันจะชอบทำแบบนี้บ่อยๆ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เลย แม้แต่ต่อหน้าไคล์เราก็ยังไม่เคยทำ แต่นี่มีพีทอยู่ด้วย! ผมเหลือบมองพีทอย่างรวดเร็วและเห็นว่าเขามีสีหน้าตกใจมาก ซึ่งก็แน่ล่ะ พีทนั่งมองผมสองคนตาโตและเกือบจะอ้าปากออกมาเลยด้วยซ้ำ และเมื่อผมหันไปมองไคล์ เขาเองก็ดูตกใจไม่แพ้กันแต่ว่าเขาก็เก็บอาการได้ดีมาก และเมื่อเขาเห็นผมหันไปมอง ไคล์ก็ยิ้มให้กับผม แต่ผมพูดได้เลยว่าเขารู้สึกเจ็บปวดอยู่ลึกๆจริงๆ แววตาของเขามันบอกทุกอย่างออกมาได้อย่างชัดเจน

ทำไมไอ้ซันมันทำบ้าๆอะไรแบบนี้นะ ทำต่อหน้าคนที่เพิ่งรู้จักกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงยังไม่พอ แต่ยังทำให้ไคล์เขาต้องคิดมากอีก ทั้งๆที่มันก็รู้ว่าผมกับไคล์เพิ่งจะคุยเรื่องนี้กันไปเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี้เอง

“มึงทำเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย” ผมร้องและหันไปทำตาเขียวใส่มัน เป็นการสื่อถึงว่านี่มันไม่ใช่เวลาที่เหมาะที่จะทำอะไรแบบนี้เลยจริงๆ

“ทำอะไร กูไม่ได้ทำอะไรนี่ ก็แค่บอกว่ามึงจะไปไหนก็แล้วแต่มึง กูตามใจมึงไง” ไอ้ซันตอบกลับมา

ผมรู้ว่ามันไม่ใช่คนโง่ และผมก็รู้ด้วยว่ามันเข้าใจว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ สายตาของมันที่กำลังมองผมกลับมาก็เป็นคำตอบที่ดีได้เหมือนกันว่ามันรู้ตัวว่ามันทำอะไรลงไป ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด เหมือนมันจะบอกผมว่ามันไม่แคร์เรื่องของพีท มันอยากจะให้เขารู้ๆไปด้วยซ้ำว่าผมกับมันเป็นแฟนกัน แวบหนึ่งที่ผมเกือบจะเห็นความแสดงความเป็นเจ้าของออกมาด้วยซ้ำ ส่วนน้ำเสียงของมันก็บอกผมในเรื่องของไคล์ว่ามันรู้ว่าไคล์จะต้องเจ็บปวดที่เห็นแบบนี้ แต่มันก็ยังคิดจะทำอยู่ดี ซึ่งอันนี้ผมไม่รู้ว่าทำไม

“เฮ้ ทั้งสองคนจะทำอะไรกันนี่ก็เกรงใจแขกหน่อยได้มั๊ยครับ เขาตกใจจนจะสติแตกแล้วนะ” ไคล์หัวเราะในลำคอแล้วหันไปทางพีทที่กำลังนั่งงงอยู่บนเก้าอี้ที่ปลายเตียง

“เอ่อ คือ.... ผม” พีทอึกอัก

“ขอโทษทีนะพีท” ผมพูด ไม่รู้จะบอกเขายังไงเหมือนกัน

“เรามาฮันนีมูนกันน่ะ เราสองคนเป็นแฟนกัน ก็อย่างที่พีทคิดนั่นแหละ” ไอ้ซันชิงพูดขึ้นมาก่อนแล้วยังเข้ามาโอบเอวผมอีกด้วย

“ไอ้ซัน!” ผมร้องและพยายามจะดันแขนมันออก แน่นอน เพราะความเขินด้วย และยังเป็นเพราะผมคิดว่ามันไม่ควรจะทำแบบนี้ แต่สุดท้ายผมก็ปล่อยเลยตามเลย ตอนนี้ผมไม่ได้คิดถึงพีทแล้ว แต่ผมคิดถึงไคล์มากกว่า ผมมองหน้าเขาแล้วเห็นว่าเขากำลังยิ้มอยู่ แต่สายตาของเขากลับไม่ได้มองมาที่ใครเลยนอกจากถุงกระดาษสีน้ำตาลที่วางอยู่ตรงหน้าของเขาเท่านั้น

“ไคล์.......” ผมเรียกชื่อเขา ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ผมเรียกเขาออกไปทั้งๆที่ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรกับเขา

ไคล์เงยหน้าขึ้นมองผมแล้วพยักหน้าให้เบาๆเพื่อบอกว่าเขาไม่ได้เป็นอะไร จากนั้นก็รีบพูดขึ้น

“อายเขาหน่อยเหอะ ซัน พีทเขาทำหน้าไม่ถูกแล้วนะ” ไคล์พูด

“เอ่อ ไม่เป็นไรครับ คือ ผมก็พอรู้อยู่แล้วล่ะ ว่าพี่สองคนน่าจะเป็นแฟนกัน” พีทพูดขึ้นพลางเอามือเกาที่แก้มเบาๆ ทำเอาผมตกใจที่ได้ยินอย่างนั้น

“ใช่ พี่เองก็คิดว่าพีทรู้อยู่แล้ว” ไอ้ซันตอบกลับและสบตากับพีท ผมยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีกที่มันพูดแบบนั้น และยังสายตาของเขาสองคนกำลังมองกันอยู่นี่อีก

ทั้งห้องเงียบลงไปครู่หนึ่งจนบรรยากาศเริ่มแย่ลงทุกทีๆ บอกตามตรงว่าผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันแย่ลงจริงหรือเปล่าหรืออาจจะเป็นเพราะผมคิดไปเองก็ได้

“แล้วต่อจากนี้เราเอาไงต่อกันดีครับ ยังมีเวลาอีกราวๆชั่วโมงกว่าก่อนที่จะไปดูพระอาทิตย์ตกนะ” ไคล์พูดทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดนี้ขึ้น

“นั่นสิ เออใช่ พีทต้องทำอะไรต่อรึเปล่า เห็นว่าจะกลับไปนอนพักผ่อนนี่ แล้วไม่เหนื่อยเหรอ คือ พวกพี่ไม่อยากจะรบกวนพีทหรอกนะครับ” ผมถามเขา

“อ๋อ คือ ผมกลับไปห้องแล้วก็งีบไปนิดนึงแล้วน่ะครับ จากนั้นก็อาบน้ำแต่งตัวออกมาเดินเล่น เพราะว่าถ้าผมนอนไปแล้วเดี๋ยวคืนนี้กว่าผมจะหลับก็คงดึก แต่ว่าพรุ่งนี้ผมต้องตื่นเช้ามาก ผมเลยไม่นอนดีกว่า” เขาตอบ

“แล้วปกตินอนกี่โมงครับเนี่ย กว่าจะดูพระอาทิตย์ตกเสร็จมันจะดึกรึเปล่า” ผมถามต่อ

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ไม่ดึกหรอก ไม่เป็นการรบกวนผมหรอกครับ ผมพาทุกคนเที่ยวได้จริงๆ ผมเต็มใจครับ” เขาพูดกำชับพร้อมรอยยิ้มที่นานๆจะได้เห็นสักที และมันก็ทำให้ผมเชื่อว่าเขาหมายความว่าแบบนั้นจริงๆไม่ใช่แค่พูดตามมารยาท

และเมื่อได้ยินน้ำเสียงและเห็นรอยยิ้มเมื่อครู่ของพีท ผมก็รู้สึกถึงความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างในตัวของเขาขึ้นมาทันที มันเป็นความรู้สึกอบอุ่นแต่ก็ปั่นป่วนนิดๆอยู่ภายในอก ผมมองหน้าของเขาแล้วก็พยายามคิดว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร และทำไมอยู่ๆผมถึงได้รู้สึกแปลกๆกับเขาขึ้นมาทั้งๆที่ตอนเจอเขาครั้งแรกผมไม่เห็นรู้สึกอะไรแบบนี้เลย

“แล้วตกลงมึงจะเอายังไง ไอ้ตัวดี” ไอ้ซันคลายมือที่กอดผมอยู่มาเขกหัวของผมเบาๆ

“โอ๊ย อะไรของมึงเนี่ย” ผมร้องแล้วหันไปโวยใส่มัน “ชอบเขกหัวกูจังนะมึง แล้วไง ‘มึงจะเอายัง’ อะไรของมึงอีก ก็เดี๋ยวอีกชั่วโมงนึงก็ดูพระอาทิตย์ตกไงเล่า ตกลงจะไปรึเปล่า”

“ไปดิ่ กูรู้ว่ามึงเองก็ไม่อยากพลาดเรื่องแบบนี้หรอก” มันยิ้มให้ผมอย่างคนรู้ทัน “แต่ว่า........” มันหันไปทางไคล์สลับกับพีทด้วยสายตาบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจแล้วก็ยิ้มที่มุมปากออกมา

“แต่ว่าอะไร” ผมถาม

“เอางี้มั๊ยครับ” ไคล์พูดขึ้น “พีทครับ ผมรบกวนพีทพาผมไปเที่ยวรอบๆนี้หน่อยได้มั๊ย ไปเดินดูของฝากอีกก็ได้ เอางี้ ไปแมสวิคเลยก็ได้ ผมอยากไปน่ะ” ไคล์หันไปถามแล้วก็ส่งยิ้มให้กับพีท จากนั้นเขาก็หันมาหาเราสองคน “ส่วนศิลาก็พาซันไปเที่ยวที่ๆเราเพิ่งไปมาก็ได้นี่ แล้วตอนห้าโมงสี่สิบห้าหรือประมาณหกโมงก็ไปเจอกันที่ดูพระอาทิตย์ตก ดีมั๊ย”

“ดีเลย มึงไปเที่ยวมาแล้วคราวนี้ก็พากูไปมั่งดิ่” ไอ้ซันพูด น้ำเสียงแสดงความบังคับออกมาอย่างชัดเจน

“ได้ครับ ผมยังไงก็ได้อยู่แล้ว แต่ว่า เอาเสื้อหนาๆติดไปหน่อยก็ดีนะครับ ตอนกลางคืนอากาศมันเย็น” พีทบอกพวกเรา

หลังจากนั้นพีทก็อธิบายเรื่องเส้นทางเดินรถและป้ายรถที่พวกเราควรจะลงให้ผมกับไอ้ซันฟัง เขาบอกผมว่าผมมีเวลาไม่มากนักถ้าจะไปที่แมเธอร์ พ็อยท์ที่ผมเพิ่งไปมา เขาแนะนำว่าผมควรพาไอ้ซันไปคราวหลังจะดีกว่าและบอกให้ผมไปลงที่ป้ายโรงแรมเอลโตว่า แล้วเดินเรียบริม หรือเรียบขอบผาไปเรื่อยๆจนถึงที่ๆเรานัดพบกันจะดีที่สุด อย่างนั้นผมจะได้ชมวิวได้เหมือนกันและยังไม่ต้องรีบอีกด้วย เพราะเวลาหนึ่งชั่วโมงมันพอที่จะเที่ยวได้อย่างเหลือเฟือที่แมเธอร์ พ็อยท์ก็จริง แต่มันก็ยังไม่มากพอสำหรับการที่จะต้องเสียเวลารอรถและการเดินทางไปยังจุดชมพระอาทิตย์ตก

“งั้นทำไมไม่ขับรถไปล่ะ” ซันเสนอ

“เออ ก็จริงแฮะ” ผมพูด นึกขึ้นได้ว่าตอนที่ผมไปกับไคล์ผมก็เห็นมีรถจอดอยู่หลายคนตรงถนนที่ผมกับไคล์ต้องข้ามก่อนที่จะไปถึงจุดชมวิว “เราขับรถไปได้มั๊ยครับ พีท”

“อืมมม น่าจะได้นะครับ” พีทตอบหลังจากนึกอยู่ครู่หนึ่ง “แถวๆแมสวิคก็มีลานจอดรถ แต่มันต้องเดินหน่อยนะ ราวๆห้าถึงสิบนาทีได้ ผมไม่เคยจับเวลา ส่วนที่แมเธอร์ พ็อยท์ ผมไม่รู้หรอกครับ ว่าต้องขับรถไปทางไหน”

“ไม่มีปัญหาหรอกถ้าอย่างนั้น เราขับรถไปกันดีกว่าเมฆ เอาไว้คราวหลังค่อยนั่งรถบัสเล่นเนอะ” ไอ้ซันหันมาขอความเห็นผม

“ก็ได้อยู่หรอก แต่ขับรถกลับตอนกลางคืนมึงจะไม่หลงแน่นะ” ผมย้ำ

“ไม่หลงหรอกน่า ยังไงกูก็ไม่ให้มึงนอนในป่าหรอก แถมกูคิดว่า ถ้าได้ขับรถ กูจะได้รู้ทางด้วย แล้วยังไม่ต้องห่วงด้วยว่ารถบัสมันจะหมดกี่โมง ใช่มั๊ยพีท”

“ก็ใช่ครับ แต่ผมว่ารถบัสมันก็หมดดึกอยู่นะ ไม่แน่ใจเหมือนกันครับว่ากี่โมง แต่ขับรถก็ดีครับ สะดวกดี” พีทตอบ

“แล้วใครวะ ที่บ่นเหนื่อยเพราะขับรถ” ผมพูดลอยๆ

“หรือมึงจะขับเอง ไอ้ตัวดี”

“เดี๋ยวๆ พอก่อนครับทั้งสองคน” ไคล์พูดขึ้น “ไว้ค่อยไปทะเลาะกันต่อในรถก็แล้วกัน คุยเรื่องนี้กันต่อเถอะ” ไคล์หันไปหาพีท “งั้นถ้าผมให้พีทพาผมไปที่ๆพีทเพิ่งบอกสองคนนี้ ที่โรงแรม เอลโตวาอะไรนั่นแล้วเดินไปเรื่อยๆจนถึงป้ายที่นัดเจอกันนี่ ชื่อว่าอะไรนะ เฮอร์มิท เรสท์ใช่มั๊ย”

พีทพยักหน้า

“นั่นแหละๆ จะได้มั๊ยครับ มันไกลมั๊ย” ไคล์ถาม

“ได้ครับ ไม่ไกลหรอก ก็ราวๆสิบนาทีเหมือนกัน” พีทตอบ

“โอเค งั้นก็ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน ว่ายังไงครับ พี่ชายทั้งสอง” ไคล์หันมายิ้มให้เราสองคน

หลังจากวางแผนทั้งหมดของสิ่งที่จะทำหลังจากนี้เรียบร้อยแล้ว เราสี่คนก็แยกกันเป็นสองกลุ่ม ผมไปกับซัน และไคล์ไปกับพีท ขณะที่ผมกับซันกำลังอยู่บนรถ ผมก็อดคิดถึงความรู้สึกแปลกๆเมื่อครู่นี้ไม่ได้ แต่ก่อนหน้านั้น ผมมีเรื่องต้องเคลียร์กับไอ้ตัวแสบนี่ซะก่อน

“จะว่าไป.......” ผมพูดขึ้น “เมื่อกี๊นี้มึงก็กล้ามากเลยนะ” ผมหันไปมองหน้าไอ้ซันที่กำลังขับรถอยู่

“ก็กูบอกแล้วนี่ว่ากูไม่อายที่เป็นแฟนมึง แล้วกูก็ไม่แคร์สายตาคนอื่นด้วย” มันตอบ

“กูหมายถึง มึงกล้ามากนะที่ทำแบบนั้นต่อหน้าไคล์ทั้งๆที่กูเพิ่งเล่าให้มึงฟังว่าไคล์กับกูเพิ่งจะเคลียร์กันมาเมื่อไม่กี่นาทีก่อนนี้เอง” ผมทำเสียงตำหนิ

“กูรู้......” ไอ้ซันตอบ แล้วเงียบไปพักนึ่ง “กูขอโทษ”

ผมถึงกับตกใจที่ได้ยินคำๆนั้นออกมาจากปากของมัน

“หา มึงว่าไงนะ” ผมถาม

“กูบอกว่ากูขอโทษ แต่กูก็ไม่ได้รู้สึกผิดที่ทำมันลงไปหรอกนะ” มันบอก

“งั้นมึงจะขอโทษทำห่าอะไร” ผมเริ่มหงุดหงิดกับสิ่งที่มันเพิ่งตอบออกมา

“กูขอโทษที่ทำให้มึงไม่สบายใจต่างหาก” มันตอบอย่างจริงใจ ผมเองก็เลยพาลโกรธมันไม่ลงไปด้วย “แต่กูจะบอกว่า ที่กูทำลงไปน่ะ ถ้าสำหรับไคล์นะ กูเองก็รู้ว่ามันจะรู้สึกยังไง ไม่ใช่ไม่รู้ แต่ว่ากูก็ไม่เห็นว่าถ้ายืดเยื้อความรู้สึกของมันออกไปมันจะมีประโยชน์อะไร มึงอย่าลืมว่าเราต้องอยู่ห้องเดียวกันสามคนอย่างนี้อีกสี่วันเต็มๆนะ ถึงมันไม่รู้สึกตอนนี้ ยังไงเดี๋ยวมันก็ต้องรู้สึกอยู่ดีนั่นแหละ” มันอธิบาย

“ไอ้เรื่องนั้นมันก็จริง.....”

“กูไม่อยากอยู่กับมึงแล้วไม่สามารถจะ เอ่ออ คือ แบบว่า ทำอะไรแบบนั้นไม่ได้เลยถ้ามีมันอยู่ใกล้ๆน่ะ แบบนั้นทั้งไคล์ทั้งเราก็น่าจะรู้สึกอึดอัดมากกว่าอีกจริงมั๊ย ถ้ามันต้องมาคิดว่าการที่มีมันอยู่ด้วยแล้วมันกลายเป็นก้างของเราสองคน เพราะงั้นเราทำตัวให้เป็นปกติมันจะดีกว่ารึเปล่า มึงอย่าลืม ว่ามันเป็นฝรั่งนะ ไม่ใช่คนไทย มันไม่คิดมาก คิดเล็กคิดน้อยแบบนิสัยคนไทยหรอก”

ผมพูดอะไรไม่ออกเลย เพราะว่ามันพูดถูกทุกอย่าง

“อีกอย่าง กูกับมึงต้องอยู่กันแบบนี้ไปตลอดชีวิตนะ จะมากังวลกับเรื่องแค่ตอนนี้อยู่ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา” มันพูดขณะที่กำลังจอดรถตรงที่จอดรถของเป้าหมายของเรา

ผมเปิดประตูแล้วก้าวลงมาจากรถพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า จากนั้นก็หันไปมองมันที่ลงมาจากรถแล้วเหมือนกัน

“ตลอดชีวิตเลยเหรอ”

“ใช่ ตลอดชีวิตเลย” มันยิ้มกว้างตอบผมแล้วปิดประตูรถลง ไอ้ซันยืนเอามือเท้าที่หลังคารถแล้วมองทะลุตรงมายังในดวงตาของผม “และอีกอย่างนะ เมฆ ไม่ว่ายังไงก็ตาม........”

“ไม่ว่ายังไงก็ตามอะไร” ผมจ้องตามันกลับ เราสองคนยืนอยู่กันคนละฝั่งของตัวรถ แต่กลับสามารถมองเห็นลึกลงไปถึงความรู้สึกในแววตาของกันและกันได้อย่างชัดเจนทีเดียว

ไอ้ซันยิ้มอย่างมีเลศนัย “เปล่า แต่กูว่าไคล์มันไม่เป็นอะไรหรอก อย่างน้อยๆก็รอดูกันไปอีกสักพักแล้วกัน”


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-10-2007 16:37:19 โดย ExecutioneR »

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
แหม ซันนี่กล้าเปิดเผยดีจริง ๆ แฮะ :m4: แต่ทำถูกแล้ว เชียร์ซันเต็มที่เลย
ไคล์จะได้ทำใจได้เร็ว ๆ ตอนไปเที่ยวจะได้ไม่อึดอัด :m23:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
ซึ้ง -ทึ่ง- ตาลาย- แอบหวาดเสียวด้วย อิอิ

gobgab

  • บุคคลทั่วไป

...........มีแฟนอย่างซันเนี่ย......รักตายเลย........ :m1: :m1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด