การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)  (อ่าน 242395 ครั้ง)

~Brand New Beat~

  • บุคคลทั่วไป
พอได้อ่านตอนนี้เหมือนได้รู้จักตัวตนของซันมากขึ้นเลยครับ

จากเมื่อก่อนจะรู้แต่ความรู้สึกของเมฆเพียงฝ่ายเดียว

อยากให้ซันกับเมฆก้าวเดินไปพร้อมกันอย่างมั่นคงครับผม

ขอบคุณมากครับ ตอนนี้เป็น1ในตอนที่ผมชอบมากที่สุดเลยครับ

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
คนเราจะรักกัน ก็ใช้เวลานั้นอย่างมีความสุขเถอะ
ชีวิตนี้สั้นนัก อย่าไปคิด วางแผน ว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เลย
เพียงแต่ทำมันอย่างมีสติเท่านั้นเอง
 :a4: :a4: :a4:

ninaprake

  • บุคคลทั่วไป
 :m4:   ขอบคุณครับ สำหรับตอนที่ 19 นี้ ..... ตอนที่รอคอยและอยากรู้มานานของผมและอีกหลายๆคน

ในที่สุดผมก็ได้รู้ความรู้สึกลึกๆจริงๆของซัน  ผมดีใจนะที่ในที่สุดผมก็ได้รับรู้ว่า ที่ผ่านมา ซันก็รักเมฆไม่ได้น้อยไปกว่าที่เมฆรักซันเลย ถึงแม้ว่าการแสดงออก และการตัดสินใจบางอย่างจะต่างกันก็ตาม  :give2:


ยินดีรอตอนต่อไปอย่างใจจดๆจ่อและมีความสุขครับ





ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 20


ผมนั่งเหม่อมองออกไปยังเบื้องนอกของสนามบิน แต่สิ่งที่ผมสนใจนั้นไม่ใช่รถยนต์ ผู้คน เครื่องบิน หรือสภาพแวดล้อมต่างๆของสนามบินแห่งนี้หรอก ผมกำลังเหม่อมองขึ้นไปยังที่ๆสูงกว่านั้น ที่ๆผมกำลังจะได้ขึ้นไปสัมผัสมันอีกครั้ง

“มัวเหม่ออะไรอยู่” เสียงของซันดังขึ้นจากทางด้านหลังของผม มันเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆผมแล้ววางมือบนไหล่ของผมเบาๆ

ผมมองหน้าและลึกลงไปในดวงตาของมันนิ่งอยู่ครู่หนึ่งราวกับกำลังมองหาอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนี้ ผมรู้สึกว่ามีบางอย่างในตัวของมันที่เปลี่ยนแปลงไป อาจจะเป็นในแววตาของมัน อาจจะเป็นท่าทาง หรือแม้แต่อะไรสักอย่างลึกๆในตัวของมันที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนี้..........

ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นแบบที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อน

ผมน่ะรักมันแน่อยู่แล้ว แต่นับจากวันที่เราได้ผูกพันแบบลึกซึ้งซึ่งกันและกัน มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกรักและผูกพันกับมันมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเสียอีก

“เปล่าหรอก ก็มองนั่นมองนี่ไปเรื่อยเปื่อยน่ะ” ผมละสายตาจากมันแล้วมองออกไปยังหมู่ก้อนเมฆที่ผมละสายตาออกมาเมื่อครู่นี้อีกครั้ง

ไอ้ซันไล่สายตาตามไปยังจุดที่ผมกำลังมองอยู่แล้วถอนหายใจเบาๆ “ไม่เปลี่ยนเลยนะมึงเนี่ย” มันพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปาก

“ก็นั่นน่ะสินะ” ผมพยักหน้าเบาๆและมีรอยยิ้มที่มุมปากเช่นกัน “แล้วมึงว่ามันสวยดีมั๊ยล่ะ”

“อืมมมม” มันพยักหน้าช้าๆ

“ทุกครั้งเลย......” ผมพูดขึ้น “มึงรู้มั๊ย ทุกครั้งที่กูแหงนหน้ามองดูท้องฟ้าน่ะ จริงๆแล้วกูรู้สึกเหมือนกับว่ากูกำลังมองหาอะไรสักอย่างอยู่นะ”

“อย่างงั้นเหรอ” ไอ้ซันมีน้ำเสียงประหลาดใจ ซึ่งก็น่าจะเป็นอย่างนั้นเพราะผมไม่เคยพูดเรื่องนี้ให้ใครฟังเลยแม้แต่ครั้งเดียว

“อื้ออ........” ผมเอื้อมมือออกไปช้าๆแต่แล้วก็ชักกลับมา “ไม่ใช่แค่ว่ามันสวยดีกูถึงได้ชอบมองหรอกนะ” ผมละสายตาจากท้องฟ้าเบื้องหน้าแล้วก้มมองดูที่มือของตัวเองที่ยื่นออกไปเมื่อครู่ “แต่มันมีบางอย่างที่กูรู้สึกโหยหาและต้องการมาตลอดว่ะ แต่ว่ากูก็ยังไม่เคยรู้เลยว่ามันคืออะไร........” ผมกำมือเบาๆ “และถ้ากูยังไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไรนะ กูว่ากูก็ยังคงไม่มีวันละสายตาไปจากท้องฟ้านี้ได้แน่ๆเลยว่ะ...... แปลกดีใช่มั๊ย” มีบางอย่างในน้ำเสียงของผมที่ผมไม่สามารถห้ามมันเอาไว้ได้ ผมรู้ว่าสิ่งนั้นมันอาจจะทำให้ซันฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจ ผมเองยังรู้สึกไม่สบายใจกับน้ำสียงของตัวเองเลย แต่ว่าผมก็ห้ามมันไม่ได้จริงๆ

“แต่ก็นะ.........” ผมเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วหันไปมองหน้ามัน “วันนี้ก็อากาศดีนะ กูว่า เหมาะแก่การเดินท.......”

“เมฆ” ไอ้ซันพูดขัดขึ้นแล้วเอื้อมมือมาคว้ามือข้างนั้นของผมเอาไว้ “กูขออะไรมึงอย่างนะ” มันบีบมือผมแน่นไม่สนใจต่อสายตาของคนที่เดินผ่านไปผ่านมาแม้แต่น้อย “ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น กูขอแค่มึงอย่ากะ.........”

“ซัน เมฆ”

เสียงของป้ากุ้งดังขึ้นทางด้านหลังของเราสองคนก่อนที่ไอ้ซันจะทันได้พูดจบประโยค

“ครับแม่” ซันรีบปล่อยมือจากมือของผมอย่างรวดเร็ว แล้วหันไปตามเสียงที่ได้ยิน ป้ากุ้งและป้าแอ๊นท์กำลังเดินตรงมาที่เราสองคนพร้อมกับกระเป๋าใบโตสามใบ ผมกับไอ้ซันรีบลุกขึ้นแล้วเดินไปช่วยท่านทั้งคู่ลากกระเป๋าทันที

“ทำไมพวกคุณป้าลากกระเป๋ามาล่ะครับ หนักแย่เลย” ผมพูด

“ก็พวกลุงๆเขาไปแลกเงินมาให้เราสามคนกันเพิ่มน่ะสิ ส่วนไคล์ก็ขอตัวไปห้องน้ำ พวกป้าก็ไม่อยากจะยืนรออยู่หน้าห้องน้ำชายเลยเดินลากกระเป๋ามาจะมานั่งกับเราสองคนนี่แหละ” ป้ากุ้งตอบพลางทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่ผมเพิ่งลุกขึ้น ส่วนป้าแอ๊นท์เองก็ทำเช่นเดียวกัน

“ผมขอโทษจริงๆนะครับที่ทิ้งกระเป๋าเอาไว้” ผมก้มหน้ารู้สึกผิดและอายกับการกระทำของตัวเอง เพราะเมื่อครู่ผมแค่คิดอยากจะปลีกตัวออกมานั่งคนเดียวแค่ครู่เดียวเท่านั้น แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นเท่ากับผมทิ้งภาระเอาไว้ให้คนอื่นต้องมาดูแลเสียนี่ “ยิ่งป้าแอ๊นท์กำลังเจ็บเท้าอยู่ด้วย............”

“ไม่เอาๆน่า คิดมากจริงๆเลยลูกคนนี้นี่” ป้ากุ้งพูด “ซัน เราก็หัดเตือนๆเมฆเขาซะมั่งสิว่าอย่าคิดอะไรให้มันมากนัก จะไปเที่ยวอยู่แล้ว ทำตัวให้ร่าเริงหน่อยสิ”

“ใช่ๆ คิดมากเครียดมากเดี๋ยวก็แก่ไวหรอก” ป้าแอ๊นท์เสริมพลางหัวเราะต่อท้าย แต่สิ่งที่ทำให้ผมแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองนั่นคือคำที่ป้ากุ้งเพิ่งพูดออกมา ท่านเพิ่งเรียกผมว่า “ลูก”

ถึงมันอาจจะเป็นคำพูดลอยๆไม่ได้มีความหมายอะไรสำคัญสำหรับคนพูดมากนัก แต่สำหรับผม คนที่ไม่มีแม่อย่างผม เมื่อได้ยินแบบนั้นแล้วมันคือคำที่มีค่ามากที่สุดคำหนึ่งเลยทีเดียว

ผมกำสายสะพายของกระเป๋าเป้ของผมไว้แน่น

“แล้วไคล์จะมาหาเราถูกมั๊ยครับเนี่ย” ไอ้ซันพูดพลางเอามือลูบหลังผมเบาๆราวกับมันเข้าใจสิ่งที่ผมกำลังคิดและพยายามปกปิดอยู่

“เดี๋ยวเขาจะต้องรอพวกพ่ออยู่ที่หน้าห้องน้ำนั่นก่อนอยู่แล้วล่ะ จากนั้นเดี๋ยวเขาคงโทรหาแม่เองนั่นล่ะ” ป้ากุ้งหันรีหันขวาง “นั่นไง พูดถึงก็มาเลย ไม่ต้องใช้โทรศัพท์เลยด้วย”

ผมหันไปมองตามตำแหน่งที่ป้ากุ้งชี้ไปก็เห็นไคล์กำลังเดินตามพ่อของเขากับพ่อของซันมายังที่ๆเรากำลังนั่งกันอยู่

“อีกห้านาทีก็ได้เวลาไปเช็คอินแล้วนะ พร้อมจะออกเดินทางกันรึยังหนุ่มๆ” พ่อของไอ้ซันพูดขึ้นพลางหัวเราะชอบใจ

“ก่อนอื่นน่ะ ไปแลกเงินมาให้ลูกๆแล้วใช่มั๊ย” ป้ากุ้งหันไปถาม

“เรียบร้อยแล้ว นี่ ซันกับเมฆ เอาไปเพิ่มคนละสามร้อยเหรียญ รวมกับของเก่าในบัตรอีกห้าร้อย แล้วก็บัตรเครดิตที่ซันนั่นอีก อยู่กันสัปดาห์นึง พอมั๊ยนี่” พ่อของไอ้ซันยื่นเงินออกมา ส่วนไคล์ก็กำลังคุยเรื่องเงินกับพ่อของตัวเองอยู่เช่นกัน

“เกินพอครับพ่อ” ไอ้ซันไหว้แล้วเอื้อมไปหยิบเงิน

“เอ่อ คุณลุงครับ คือ ผม......” ผมยกมือขึ้นไหว้แต่ก็รีบกางมือออกปฏิเสธเงินที่คุณลุงยื่นให้ทันที “ผมไม่รับดีกว่าครับ มันมากเกินไปจริงๆนะครับ พ่อผมก็ให้เงินผมมาเยอะพอแล้ว และนี่ผมก็รับเงินของคุณลุงคุณป้าแถมของป้าแอ๊นท์มาแล้วอีก ที่สำคัญผมยังรบกวนอะไรหลายๆอย่างมามากแล้วล่ะครับ ผมรับไม่ได้จริงๆ”

พ่อและแม่ของไอ้ซันรวมทั้งป้าแอ๊นท์มองหน้ากันแล้วยิ้ม ไอ้ซันเองก็ส่ายหัวเบาๆ

“ถ้าชั้นมีลูกสาวนะ ชั้นจะเอาเมฆนี่แหละเป็นลูกเขย รู้มั๊ย” ป้าแอนท์กระทุ้งแขนป้ากุ้งแล้วหัวเราะ จากนั้นเดินฉากออกไปคุยกับลุงคาร์ลอสและไคล์

“เมฆ” แม่ของไอ้ซันเดินมาหาผม “แม่จะบอกอะไรให้นะลูก.......” อีกครั้งที่ผมต้องสะอึกเมื่อได้ยินคำนั้น สมองของผมทำงานอย่างรวดเร็ว ผมเริ่มคิดย้อนไปถึงตั้งแต่วันแรกๆที่ผมมาถึงที่นี่และเริ่มนึกว่า ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ป้ากุ้งเรียกแทนตัวเองและผมเช่นนั้น เมื่อสัปดาห์ก่อนงั้นหรือ ไม่ใช่ วันนี้ วันนี้นี่แหละที่เป็นครั้งแรกที่ป้ากุ้งเรียกแทนตัวเองว่าแม่กับผม “ในบรรดาหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นกับแม่และพ่อ สิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเราก็คือการได้รู้จักลูกและมีลูกมาอยู่กับครอบครัวของเรานะ” ป้ากุ้งจับมือของผมเบาๆ ความอบอุ่นและอ่อนโยนนั้นถูกส่งผ่านมายังมือของผมแบบที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลย ผมจำไม่ได้เสียด้วยซ้ำว่าผมเคยถูกมือของผู้หญิงคนอื่นที่อยู่ในวัยเดียวกับแม่ของผมกุมมือผมแบบนี้มาก่อนหรือเปล่า

“ใช่ เมฆน่ะเป็นเด็กดีมากนะ พ่อดูคนไม่ผิดหรอก ถ้าไม่มีเมฆ พ่อก็คงไม่มีซันยืนอยู่ตรงนี้....... ไม่ใช่แค่ซันเท่านั้นนะ แต่เป็นซัน ที่เป็นตัวตนจริงๆของมันต่างหาก” ลุงสันต์เองก็ยังแทนตัวเองว่าพ่อด้วยเช่นกัน เขาหัวเราะแล้วเอามือตบลงไปบนหัวของไอ้ซันเบาๆ ผมเห็นไอ้ซันทำปากขมุบขมิบเหมือนไม่ค่อยพอใจ

“จริงๆแล้ว พ่อกับแม่ก็คุยกับพ่อของเมฆบ่อยอยู่นะ” ป้ากุ้งพูดต่อ ยังคงกุมมือของผมเอาไว้แน่น แต่อ่อนโยนและแผ่วเบาในคราเดียวกัน “นับแต่วันที่เมฆเข้าโรงพยาบาล เราก็คุยกันหลายๆเรื่อง หลายๆอย่าง เพราะเราต่างก็มีลูกชายคนเดียวเหมือนกัน แถมยังเคยประสบอุบัติเหตุด้วยกันทั้งคู่อีก หัวอกของคนเป็นพ่อเป็นแม่น่ะเมฆ มันซับซ้อนมากกว่าที่ลูกคิดเยอะนะ”

ผมไม่รู้จะพูดอะไรตอบ จึงได้แต่ยืนฟังอยู่อย่างนั้น ผมก้มมองดูมือของตัวเองที่ถูกกุมเอาไว้ครู่หนึ่งแล้วนึกไปถึงเรื่องในวันที่ไอ้ซันเข้าโรงพยาบาลในวันนั้น ตอนที่ป้ากุ้งกอดผม........... สัมผัส ความอบอุ่นของคนเป็นแม่แบบที่ผมเคยได้สัมผัสเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในครั้งนั้น บัดนี้มันถูกส่งผ่านมายังมือของผมอีกคราว...........

“และยิ่ง...........” ป้ากุ้งหันไปมองไอ้ซันแล้วยิ้ม “มีคนบางคนเค้าเข้ามาคุยกับพ่อและแม่.........” ผมมองตามสายตาของป้ากุ้งไปยังไอ้ซัน

“แม่!” มันรีบร้องท้วงออกมาทันที

ป้ากุ้งและลุงสันต์หัวเราะขึ้นพร้อมๆกัน จะว่าไปแล้วผมเพิ่งเคยเห็นคุณลุงมีความสุขขนาดนี้เป็นครั้งแรกนะนี่ แถมทั้งคู่ยังดูร่าเริงเป็นพิเศษมาตั้งแต่เช้าแล้วอีกด้วย มีผมเพียงคนเดียวที่ยังคงงงกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้

“พ่อกับแม่น่ะ คิดว่าเมฆเป็นลูกคนที่สองของเรามาตั้งนานแล้ว รู้มั๊ย จริงๆก็ตั้งแต่เราสองคนยังเรียนอยู่ด้วยกันนั่นแหละ ไม่ใช่แค่แม่ได้เจอได้คุยกับเมฆบ่อยแค่นั้นหรอกนะ แต่อาจจะเป็นเพราะ ซันเขาชอบพูดถึงลูกให้พ่อกับแม่ฟังตลอดเวลาเลยด้วย”

“แม่!!” ไอ้ซันร้องขึ้นอีกครั้ง

“เมื่อวานเขาก็มาหาพ่อกับแม่” คราวนี้ลุงสันต์พูดขึ้นบ้าง ไม่สนใจไอ้ซันที่กำลังทำหน้านิ่วอยู่ “มาถามว่าพ่อกับแม่พร้อมที่จะมีลูกชายสองคนหรือยังน่ะ” คุณลุงหัวเราะขึ้นอีกครั้ง

“ว่ายังไงนะครับ” ผมร้องขึ้น แทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง ผมหันไปมองหน้าไอ้ซัน แต่มันกลับกำลังเบือนหน้าหนีหลบสายตาของทุกคนอยู่

“ไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะ ยังมีอีกเยอะ ตั้งแต่ก่อนที่เมฆจะมาที่นี่แล้ว เขาเข้ามาคุยอะไรกับแม่แล้วก็พ่อหลายอย่างเลยล่ะ” ป้ากุ้งพูดขึ้น

“พอแล้วแม่ พ่อ ไปเช็คอินได้แล้ว” ไอ้ซันจับมือของพ่อที่วางอยู่บนหัวของมันออกแล้วเดินตรงมาถือกระเป๋าของผมแล้วเดินลากออกไป “มึงก็มาได้แล้ว ไอ้ตัวดี”

ป้ากุ้งหัวเราะเบาๆแล้วชะโงกหน้ามากระซิบกับผม “เมฆ ถ้าลูกไม่อยากจะรับน้ำใจของพ่อกับแม่เอาไว้ล่ะก็ คิดเสียว่าลูกต้องตอบแทนพ่อกับแม่ทีหลังก็ได้ โดยการดูแลซันให้ดี โอเคมั๊ย”

ผมไม่รู้จะตอบกลับไปว่าอย่างไรดี จึงพยักหน้ารับเบาๆ “แต่ว่า............”

“แต่ว่าไม่ใช่แค่นั้น เมฆต้องดูแลไม่ให้เขาหลงทางหรือเหลวไหลอีก” ป้ากุ้งมีสีหน้าซีเรียสเมื่อพูดเรื่องนี้ขึ้น “มันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นภาระที่หนักหนาเอาการอยู่ เรื่องบางเรื่องพ่อกับแม่ก็คุยกับเขาไม่ได้ มีแต่ซันนั่นแหละ ที่จะช่วยเราทั้งคู่ในจุดนั้นได้ เข้าใจมั๊ยลูก”

ผมพยักหน้าอีกครั้ง “ครับ.......... แต่ก็ คือ มันก็แบบว่า.............”

“ตอนนี้เมฆยังไม่เข้าใจหรอก แต่สักวันเราจะเข้าใจมันได้ดีเอง” ป้ากุ้งปล่อยมือที่กุมมือของผมเอาไว้ออกแล้วพยักเพยิดไปทางไอ้ซัน “เอ้า ไปได้แล้ว เดี๋ยวเขาจะโกรธเอาอีก”

ผมพยักหน้าแล้วก็ออกเดินตามไอ้ซันไปโดยมีไคล์เดินตามมาติดๆ

“ช้าจังวะ เดี๋ยวแถวก็ยาวหรอก” ไอ้ซันต่อว่าผมทันทีที่ผมเดินไปถึงตัวมัน

“มึงอย่ามาพูดดี มึงคุยอะไรกับพ่อแม่ของมึงไปมั่งเนี่ย ไอ้ซัน”

“ก็...............” มันทำท่ากระอักกระอ่วน

“ว่ามาเดี๋ยวนี้เลย” ผมเร่ง

“กูว่าเอาไว้ค่อยคุยกันดีกว่าว่ะ” มันเหลือบไปมองที่ไคล์ “ว่าแต่มึงเถอะ แม่กูเขาบอกอะไรมึง เมื่อกี๊นี้น่ะ”

“อ้อ ก็ไม่มีอะไรหรอก” ผมยักไหล่ คิดถึงคำพูดเมื่อครู่ “ก็แค่บอกให้ช่วยดูแลมึงเท่านั้นแหละ”

“อีกแล้วเหรอวะ ชอบเห็นกูเป็นเด็กๆอยู่เรื่อย พ่อกับแม่กูเนี่ย” ไอ้ซันบ่น

“มึงไม่ต้องมาเปลี่ยนประเด็น มึงเคยคุยคุยอะไรกับพ่อแม่ของมึงไปบ้าง”

“ก็กูบอกว่าเอาไว้ก่อนไง” ไอ้ซันหันไปมองที่ไคล์อีกครั้ง แต่ตอนนี้ไคล์กำลังคุยโทรศัพท์กับเพื่อนของเขาอยู่

“งั้นกูขอถามแค่ว่า ทำไมคุณลุงกับคุณป้าถึง....... เอ่ออ ถึงแทนตัวกูกับพวกท่านแบบนั้นวะ เมื่อคืนมึงเข้าไปคุยอะไรกับพวกท่านมา” ผมเบาเสียงของตัวเองลงนิดหน่อย เพื่อให้เราได้ยินกันแค่สองคน

“ก็ ไม่มีอะไรหรอก......... กูแค่ถามพ่อกับแม่ว่าพร้อมจะรับมึงเป็นลูกอีกคนรึยังเท่านั้นเอง”

“มึงจะบ้าเหรอ มึงไปถามอะไรแบบนั้นได้ยังไง” ผมโวย

“มึงนั่นแหละที่บ้า ฟังกูให้มันรู้เรื่องก่อน” ไอ้ซันตบหัวผมเบาๆ “ที่แม่เรียกมึงว่า ‘ลูก’ น่ะ ใช่มั๊ย กูจะบอกให้ ว่าแม่กูเขาอยากจะเรียกมึงแบบนั้นมาตั้งนานแล้ว แต่กูห้ามไว้เอง เพราะ เอ่ออ......... คือ กูคิดว่ามึงอาจจะยังไม่พร้อม เพราะที่มึงเคยเล่าให้กูฟังน่ะ เรื่องแม่ของมึง..........” ไอ้ซันพูดตะกุกตะกัก ผมเริ่มที่จะเข้าใจในความหมายและความคิดของมันได้ดีขึ้นแล้ว

“จริงๆ กูก็ไม่ได้เป็นอะไรหรอก มึงคิดมากไปหรือเปล่า” ผมพูด แต่จริงๆแล้วกลับตรงกันข้ามเลย จริงอย่างที่มันพูดทุกอย่าง การที่มีใครสักคนที่ทั้งดีและรักผมมากอย่างป้ากุ้งมาเรียกผมว่าลูกและแทนตัวเองว่าแม่นั้น เป็นเรื่องใหญ่สำหรับผมจริงๆ ขนาดวันนี้เมื่อผมได้ยินแบบนั้นเป็นครั้งแรกผมยังเกือบจะห้ามความรู้สึกที่มันพลุ่งพล่านอยู่ในตัวของผมเอาไว้ไม่ได้ ยิ่งเมื่อได้ยินสิ่งที่ป้ากุ้งและลุงสันต์พูดก็ยิ่งทำให้ผมรู้ตัวว่าแท้จริงแล้วผมอ่อนแอมากขนาดไหน ตลอดชีวิตของผม ผมจำไม่ได้เลยจริงๆ ว่าเคยเรียกใครว่าแม่มาก่อน และก็ไม่เคยมีใครมาแทนตัวเองว่าแม่กับผมเช่นเดียวกัน

ผมไม่เคยมีแม่ ผมมีก็แต่รูปภาพของผู้หญิงที่ผมจินตนาการเอาไว้ว่าความอบอุ่นของเธอคนนั้นจะเป็นอย่างไร ถ้าหากว่าผมโชคดีกว่านี้แค่สักเล็กน้อย ผมก็อยากจะมีความทรงจำของแม่ของผมเก็บเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจบ้างก็ยังดี อย่างๆน้อยๆ ผมจะได้คิดว่าถึงแม่ของผมจะจากไปแล้วแต่ท่านก็ยังคงมีชีวิตอยู่ในความทรงจำของผมตลอดไป......... แต่เปล่าเลย ผมไม่เคยได้รู้จัก ได้ยินเสียง หรือเคยได้สัมผัสแม่ของผมเลยแม้สักครั้งเดียว คำว่าแม่ที่ผมรู้ก็คือ ผู้หญิงในรูปที่กำลังส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนมาให้ผมและมีผมที่ยังเป็นเด็กทารกนอนอยู่บนตักของเธอเท่านั้น

มันคือสมบัติของผม ที่ผมพกติดตัวไปไหนมาไหนด้วยตลอดเวลา............ แม้แต่ในตอนนี้ก็ตาม

“เมฆ” เสียงของไอ้ซันปลุกผมให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ ผมรีบห้ามน้ำตาของตัวเองที่เริ่มปริ่มอยู่ที่ตาหยดเล็กๆเอาไว้ไม่ให้มันไหลออกมาได้ทันเวลา

“หืม” ผมตอบกลับ

“มึงโอเครึเปล่า” ไอ้ซันไม่ใช่แค่ถาม แต่น้ำเสียงของมันแฝงไว้ด้วยความอบอุ่นและห่วงใยอย่างเต็มเปี่ยม

“เฮ้ย กูไม่ได้เป็นอะไร” ผมหันหน้าไปมองทางอื่น “อ้าว แล้วไคล์ล่ะ”

ไอ้ซันชี้ไปทางด้านหลังของผม ไคล์กำลังกดปุ่มวางสายแล้วเดินตรงมาที่เราสองคน เมื่อไคล์เดินมาถึงเราสามคนก็คุยกันสัพเพเหระโดยที่ไอ้ซันเป็นคนหาหัวข้อมาคุยเสียมาก และจัดการทำเรื่องโหลดกระเป๋าจนเรียบร้อยจากนั้นเราสามคนจึงเดินกลับไปหาคุณลุงคุณป้าทุกคนอีกครั้ง

“พร้อมจะเดินทางกันรึยังหนุ่มๆ” พ่อของไอ้ซันถามประโยคเดิมขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับยื่นเงินก้อนนั้นมาให้ผม “เอ้านี่ เมฆ ติดตัวไว้”

ผมยังคงลังเลอยู่ ถึงแม้ผมจะรู้ว่าท่านทั้งสองอยากให้ผมรับมันเอาไว้จริงๆก็ตาม “เอ่ออ คือ...........”

“โอ๊ย เรื่องมาก เอามานี่” ไอ้ซันโวย แล้วหยิบเงินออกไปจากมือของพ่อตัวเอง “เดี๋ยวผมเก็บไว้เองครับ พ่อ เอาไว้มันเผลอเดี๋ยวผมค่อยแอบยัดใส่กระเป๋ามัน เอ้า มึงขอบคุณพ่อกูด้วยเดี๋ยวนี้”

“ขอบคุณมากๆครับคุณลุง” ผมยกมือขึ้นไหว้ แล้วหันมามองไอ้ซันตาขวาง แต่มันกลับยักคิ้วแล้วส่งสายตาให้ผมแทน

“อย่าพกเงินสดติดตัวเยอะนักนะลูก ใช้บัตรเอาไว้น่ะดี” แม่ของไอ้ซันย้ำ

“ครับแม่ ไม่ต้องห่วงหรอก” ไอ้ซันตอบ

“เมฆ ดูแลซันด้วยนะลูก ทั้งเรื่องเงิน เรื่องกิน เรื่องเดินทาง........”

“พ่อแล้วแม่!! ผมโตแล้วนะครับ อะไรๆก็เอาแต่เมฆๆๆ” ไอ้ซันโวย

“แล้วก็ฝากดูแลไคล์ด้วยนะ เมฆ” ป้าแอ๊นท์พูดขึ้นบ้าง

“นั่น ป้าแอ๊นท์ก็เป็นไปกับเขาอีกคน ทำไมไม่ฝากผมมั่งล่ะ ผมนะพี่ชายไคล์มันนะครับ”

“อะไรยะ ชั้นก็แค่ฝากคนที่ท่าทางจะไว้ใจได้มากกว่าก็แค่นั้นเอง พอมีตัวเลือกให้เลือกมันก็ต้องเลือกสิจ๊ะ” ป้าแอ๊นท์ตอบพร้อมเสียงหัวเราะกลั้วอยู่ในลำคอ ไคล์เองก็หัวเราะ แต่ไอ้ซันกลับกลอกตาแล้วทำหน้าเซ็งๆ เราทุกคนหัวเราะขึ้นพร้อมๆกัน แม้แต่ลุงคาร์ลอสที่ฟังไม่ค่อยจะเข้าใจก็ยังหัวเราะไปด้วย

“เอาล่ะ เข้าไปกันได้แล้วมั๊ง” พ่อของไอ้ซันพูดขึ้น

“นั่นสินะ งั้นไหน มานี่หน่อยซิ ลูกรัก” ป้ากุ้งจูงมือไอ้ซันแล้วดึงตัวมันเข้ามากอดแรงๆ “ดูแลตัวเองนะลูก แล้วโทรหาแม่มั่งล่ะ เข้าใจมั๊ย ห้ามเที่ยวเพลินเด็ดขาด แล้วก็ห้ามพาแฟนแหม่มผมทองกลับบ้านมาเป็นของฝากให้พ่อกับแม่ด้วย!”

“โอ๊ยย เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกครับแม่” ไอ้ซันหันมาหลิ่วตาให้ผมไวๆแว่บหนึ่ง

“เอาล่ะ เมฆมานี่ซิ” ป้ากุ้งคลายตัวไอ้ซันออกจากนั้นก็เดินตรงมาหาผม ไอ้ซันเองก็เข้าไปสวมกอดกับลุงสันต์ต่อเช่นกัน “เดินทางดีๆนะลูก แล้วก็จำที่แม่พูดไว้ให้ดีล่ะ เมฆเป็นลูกชายของแม่แล้วนะ อย่าลืมซะล่ะ” ป้ากุ้งกอดผมแน่นขึ้นอีก จนผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะร้องไห้จึงต้องรีบพูดอะไรบางอย่างออกมาเพื่อเปลี่ยนเรื่อง

“แล้วผมจะซื้อของมาฝากนะครับ อยากได้อะไรเป็นพิเศษรึเปล่า”

“โอ๊ย ไม่ต้องหรอก แค่ลูกสองคนปลอดภัยกลับมาก็ดีที่สุดแล้ว” ป้ากุ้งคลายวงแขนที่กอดผมอยู่ออกแล้วลูบใบหน้าของผมเบาๆ “เอาล่ะ ดูแลตัวเองด้วยนะ แล้วกลับมาเมื่อไหร่ เราค่อย..........”

“นี่แม่” ลุงสันต์เรียกป้ากุ้งเบาๆ “พอได้แล้ว เด็กๆมันก็โตๆกันแล้วน่า ปล่อยได้แล้วล่ะ”

“รู้แล้วๆ” ป้ากุ้งถอนหายใจเบาๆแล้วก็เข้าไปกอดกับไคล์อีกคน เมื่อถึงเวลา เราสามคนก็เดินจากมาพร้อมกับคำอวยพรที่ทุกคนมอบให้และของขวัญชิ้นสำคัญที่สุดที่ผมเพิ่งเคยได้รับนับตั้งแต่เกิดมา...........

“เป็นอะไรวะ เมฆ” ไอ้ซันเรียกผมที่หยุดเดินอยู่กลางทางก่อนที่จะเข้าประตูไป ผมไม่ได้ตอบแต่กลับออกวิ่งตรงไปยังป้ากุ้งก่อนที่ท่านจะเดินลับสายตาไป เมื่อไปถึง ป้ากุ้งและทุกๆคนมีสีหน้าประหลาดใจที่เห็นผมวิ่งกลับมาอีกครั้ง

“ลืมของอะไรเหรอลูก เมฆ” ป้ากุ้งถามผม

“ครับ” ผมตอบ “ผมลืมบางอย่างน่ะครับ” ผมหอบ จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้ายาวๆหนึ่งครั้งก่อนจะเดินเข้าไปไหว้ลงบนบ่าของป้ากุ้งพร้อมกับพูดออกไป

“ขอบคุณนะครับ........ แม่”


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-10-2007 16:28:52 โดย ExecutioneR »

Jingjoh

  • บุคคลทั่วไป

gobgab

  • บุคคลทั่วไป

.............รักพ่อกะแม่จังเยย......... :m11: :m11: :m11:

jedi2543

  • บุคคลทั่วไป
อ่านแล้วซึ้งค่ะ

ชอบมาก

ไม่ชอบเลยที่หลายครั้งเมฆชอบพูดอะไรที่ดูเหมือนเป็นลางให้ตัวเอง

ไม่เอาจบเศร้านา อยากให้เรื่องนี้จบแบบแฮปปี้ มีความสุขทุกคน

sun

  • บุคคลทั่วไป
อ่านตอนนี้แล้วน้ำตาซึมอ่ะ...  :m15:
อยากกีดดร้อง....... ง่า
ซึ้งมั่กมัย........ :m17:

ในที่สุด เมฆ ก้อเรียกป้ากุ้ง ว่า" แม่" แย้ว ฮิ้วววววววววววว...  :m3:

เหมือนจะเศร้าๆ...เวลาอ่าน ความรู้สึกของเมฆ
.. แต่ ทุกอย่าง มันถูกกลบ..หายไปด้วย...
 กรุ่นไอของ......ความรัก ความอบอุ่น ความเป็นครอบครัว    :m1:


 o13

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
อ่านแล้วซึ้งจัง
ต้นเขียนได้อารมณ์ดี ทำให้เข้าใจความรู้สึกของเฆมที่กำพร้าแม่ได้เป็นอย่างดี

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
รู้สึกเหมือนมีลางแล้ววุ้ย เกิดอะไรขึ้นกับซันกันแน่น้อ  :a6:  :a6:  :a6:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






tonsai_2520

  • บุคคลทั่วไป


นั่งนิ่ง ๆ  แล้วกลับไปอ่านอีกรอบ . . . ชอบ

ปล. คิดถึงแกว่ะ

ปล2. ชวนอีกคนไปดูหนังด้วยมั้ย

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page



ปล. คิดถึงแกว่ะ





โทรมาจิ





ปล2. ชวนอีกคนไปดูหนังด้วยมั้ย


ใครเหรอ? (ตรึ่งโป๊ะ!!)




ออฟไลน์ ~prince™~

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +161/-2
ประโยคสุดท้ายซึ้งสุดๆเลยคับ o7

~Brand New Beat~

  • บุคคลทั่วไป
ชอบตอนนี้อีกแล้ว ต่อไปนี้เมฆจะได้มีแม่ซะที

ซึ้งจังเลย  o7 o7 o7

ปล. อยากรู้ว่าที่ซันพูดไม่จบ ซันกำลังจะบอกอะไรกับเมฆ หุหุ

ninaprake

  • บุคคลทั่วไป
Re: การเดินทางของŪ
«ตอบ #224 เมื่อ28-08-2007 01:47:17 »


ปล2. ชวนอีกคนไปดูหนังด้วยมั้ย


ใครเหรอ? (ตรึ่งโป๊ะ!!)


ชวนเราไง  อิอิ ..... ล้อเล่นน่า  :m11:

สนุกสนานและซาบซึ้งมากเลยนะครับเนี่ยต้นนิ่ม   o7  .... อ่านแล้วก็ .... เฮ้อ ..... ปลาบปลื้มดีใจแทนเมฆจัง  :impress:

มาต่อเร็วๆนะคร้าบบบ

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ขอบคุณทุกคนมากๆครับ ดีใจจริงๆจังๆที่ทุกคนชอบ ^^ ไม่คิดว่าจะชอบขนาดนี้

 :m2:

ปล. ไปคับ หนังเหนิง ไปไหนก้อไป อิอิ ขอแค่ไม่ต้องออกตังค์  :m13:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-08-2007 10:41:20 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 21


หลังจากการเดินทางสิบห้าชั่วโมงครึ่งและต่อเครื่องที่ชิคาโกอีกหนึ่งครั้งพวกเราก็มาถึงสนามบินนานาชาติฟีนิกซ์โดยสวัสดิภาพ พวกเราเรียกแท็กซี่ไปยังโรงแรมของเราเพื่อเช็คอินทันที โดยโรงแรมของพวกเรานั้นมีชื่อว่า เลกาซี่ กอล์ฟ รีสอร์ท ซึ่งตั้งอยู่บนถนน อีสท์ บาเซลไลน์ คนขับแท็กซี่บอกพวกเราว่ามันอยู่ไม่ไกลจากสนามบินนี่เอง ใช้เวลาขับรถแค่ประมาณสิบนาทีก็ถึงแล้ว

ไคล์เป็นคนนั่งข้างหน้าคู่กับคนขับและมีหน้าที่เป็นล่ามกลายๆให้กับพวกเราด้วย หรือพูดอีกอย่างก็คือการคุยเจรจาอะไรทั้งหลายแหล่เราสองคนผลักภาระไปให้ไคล์กันจนหมดนั่นเอง ส่วนซันกับผมนั่งอยู่ที่เบาะหลัง

“น่าเสียดายนะ” ผมพูดขึ้นขณะที่เราขึ้นรถกันเสร็จเรียบร้อย

“อะไรวะ” ไอ้ซันถามขึ้น

“ก็โรงแรมอยู่ใกล้ๆแบบนี้ก็อดได้ขับรถวนเที่ยวดูตัวเมืองตอนเย็นๆค่ำๆแบบนี้เลยน่ะสิ” ผมอดรู้สึกเสียดายเล็กๆไม่ได้จริงๆเพราะอย่างน้อยฟีนิกซ์ก็เป็นหนึ่งในเมืองที่ผมอยากจะมาเที่ยวมาที่สุดในอเมริกาอยู่แล้ว

“เรื่องนั้นมึงไม่ต้องห่วงหรอก” ไอ้ซันพูด

“หา ทำไมวะ”

“เอาไว้เข้าโรงแรมก่อน ค่อยคุย” มันตอบแบบปัดๆ ผมก็เลยไม่ได้เซ้าซี้ต่อ

“พวกคุณมาจากไหนกันครับเนี่ย” คนขับแท็กซี่ที่เป็นคนละตินถามขึ้นด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงแปร่งๆ

“พวกเรามาจากอังกฤษน่ะครับ” ไคล์เป็นคนตอบ คนขับมีสีหน้าแปลกใจขึ้นมาทันที

“อ้าว อะไรกันนี่ น้องชายคนนี้พูดภาษาอังกฤษคล่องเลยนี่นา ไม่มีติดสำเนียงเลย แต่สองคนข้างหลังเมื่อกี๊เขาคุยภาษาอื่นกันอยู่นี่”

“พวกเราเป็นคนไทยที่ไปเรียนต่อที่อังกฤษน่ะ” ซันตอบ “ส่วนคนข้างหน้านี้เขาเป็นลูกครึ่งไทย – ฮิสแปนนิค”

“อย่างนี้นี่เอง” คนขับแท็กซี่หัวเราะ แล้วหันไปถามอะไรบางอย่างกับไคล์เป็นภาษาสเปน ไคล์เองก็เลยคุยกับเขาเป็นภาษาสเปนไปด้วยเลย ผมกับไอ้ซันมองหน้ากันแล้วยักไหล่

“เขาพูดว่าอะไรน่ะ” ซันถามไคล์ขึ้นเป็นภาษาไทย

“เขาถามว่าผมเป็นคนที่ไหน มีเชื้อสายอะไรยังไง อะไรแบบนี้น่ะครับ” ไคล์หันมาตอบพร้อมกับรอยยิ้ม

“งั้นถ้าเขาพูดเป็นภาษาสเปนอีกก็บอกให้เขาพูดภาษาอังกฤษซะ จะได้ฟังกันรู้เรื่องทั้งรถ”

“หึๆ ได้ครับ” ไคล์ตอบจากนั้นก็หันไปคุยกับคนขับรถเป็นภาษาอังกฤษ “จากนี้ไปผมว่าเราคุยกันเป็นภาษาอังกฤษดีกว่านะครับ ไม่งั้นสองคนข้างหลังนี้คงงงแย่”

“นั่นสินะ” คนขับรถหัวเราะแล้วรับคำ แต่ว่ายังไม่ทันที่เราจะต้องได้คุยอะไรกันอีกมากมายนักรถแท็กซี่ก็พาเรามาจอดอยู่ที่หน้าโรงแรมแล้ว

หลังจากที่เช็คอินเข้าห้องกันเสร็จเรียบร้อย ผมที่เหนื่อยและเบื่อกับการเดินทางไกลๆมากๆก็ล้มลงบนเตียงทันที ไคล์เองก็เช่นเดียวกัน แต่ไอ้ซันกลับยังยืนอยู่และเอาเท้ามาสะกิดผมเบาๆ

“นี่ ไอ้เมฆ ลุกได้แล้ว เดี๋ยวค่อยกลับมานอน”

“อะไรของมึงเล่า กูเหนื่อยนา ขอพักก่อนหน่อยไม่ได้รึไง” ผมพูดอู้อี้ๆเพราะหน้าซุกอยู่กับหมอนใบใหญ่

“ไปเอารถเช่ากับกูก่อน ลืมไปแล้วรึไง” มันเอาเท้าเขี่ยขาของผมอีกครั้ง

“อะไรเล่า” ผมหันหน้าไปหามัน “พรุ่งนี้ไม่ได้เหรออ่า”

“ไม่ได้ ต้องเป็นวันนี้เท่านั้น”

“งั้นซันไปกับผมมั๊ย” ไคล์เสนอตัวขึ้น

“ขอโทษนะไคล์ แต่พี่ขอไปกับไอ้เมฆดีกว่า ไคล์พักผ่อนไปก่อนเถอะ ส่วนไอ้ตัวขี้เกียจเนี่ยต้องโดนใช้งานซะบ้างจะได้หาย”

“อะไรเล่า กูไม่ได้ขี้เกียจสักหน่อย กูแค่ขี้เกียจไปเอง มันเหนื่อยอ่า กูแพ้การเดินทางไกลๆนะ” ผมโอดครวญ

“ก็นั่นแหละ เขาเรียกขี้เกียจ กูต่างหากที่ไม่ชอบเดินทางไกลๆยังไม่บ่นเลย ไปลุก มึงต้องคอยคุยกับกูคอยบอกทางกู เรื่องเนี๊ยมึงตองทำเพราะสื่อสารกับกูได้ง่ายกว่าไคล์ เร็วๆเดี๋ยวจะไม่ทัน”

ถึงจะเจ็บใจ แต่มันก็พูดถูก ถ้าเรื่องบอกทางหรือเรื่องของแผนที่ ผมน่าจะทำหน้าที่นี้ได้ดีกว่าไคล์เพราะเราสื่อสารกันด้วยภาษาไทยเลยง่ายกว่า ไคล์เองถึงจะพูดภาษาไทยได้แต่เขาเองก็ต้องใช้เวลาประมวลผลมากกว่า ทำให้บางครั้งเขาสื่อออกมาช้าหรือผิดพลาดไปบ้าง ไอ้ครั้นจะให้คุยกันเป็นภาษาอังกฤษเลยนั้น ไอ้ซันก็เคยพูดไว้ว่า แรมของมันมีน้อย ทำให้ประมวลผลภาษาต่างประเทศได้ช้า เพราะเหตุนี้แหละมั้ง แม่ของมันถึงได้มอบหมายให้ผมเป็นคนมีหน้าที่ดูแผนที่และคอยบอกทางไอ้ซัน

“เออๆ ก็ได้” ผมลุกขึ้นจากเตียงช้าๆ

“ดีมาก ส่วนไคล์ พี่ฝากดูแลห้องหน่อยนะ อย่าเพิ่งออกไปไหนล่ะ แล้วเดี๋ยวพี่จะรีบกลับมารับไปหาอะไรกินกันทีหลัง อ้อ ฝากโทรบอกแม่พี่ด้วยนะ ว่าเรามาถึงกันแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง บอกเขาว่าพอพี่กลับมาแล้วจะโทรหาเขาอีกทีเอง”

“ไม่มีปัญหาครับ” ไคล์รับคำ

“งั้นก็ไปกันเถอะ” ไอ้ซันเดินนำผมออกจากห้องไป จากนั้นเราสองคนก็เดินไปถามที่เคาน์เตอร์ให้พนักงานช่วยเรียกรถแท็กซี่มาให้เราหนึ่งคัน แล้วก็ขอแผนที่ดาวน์ทาวน์ของเมืองฟีนิกซ์เอาไว้ด้วย ไอ้ซันเป็นคนรับหน้าที่คุยกับพนักงานเรื่องสถานที่ที่เราจะไปเอารถและเรื่องการขับกลับมายังโรงแรมว่าใช้เวลาเท่าไหร่รวมทั้งร้านอาหารใกล้ๆนี้ด้วย เมื่อรถแท็กซี่มาถึงเราสองคนก็นั่งไปยังจุดรับรถ เมื่อได้รถมาเรียบร้อยแล้ว ผมก็เร่งให้ไอ้ซันกลับโรงแรมทันที

“เดี๋ยวสิ มึงจะรีบไปไหนล่ะ” ไอ้ซันปราม

“รีบไปหาไคล์ล่ะมั๊ง ถามได้ ก็มึงบอกเขาเองว่าจะรีบกลับ ทิ้งเขาไว้ในห้องคนเดียว ไม่เป็นห่วงเขารึไง”

“มันโตแล้วน่า มึงอย่าคิดมากเลย” ไอ้ซันหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าไปยังถนนแห่งหนึ่งซึ่งผมอ่านชื่อไม่ทัน “มึงบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าอยากดูตัวเมืองน่ะ”

“ก็ใช่...... แต่ว่า”

“ไม่มีแต่หรอก มึงคอยดูทางให้กูเถอะ กูเริ่มจะไม่แน่ใจซะแล้วแฮะ.......” จากนั้นไอ้ซันก็เริ่มพึมพำๆในลำคอเหมือนกำลังนึกอะไรอยู่สักอย่าง

“มึงให้กูดูทาง แล้วมึงจะให้กูดูทางไหนไปไหนอะไรเล่า” ผมเอื้อมไปหยิบแผนที่ออกมาจากกระเป๋า

แต่ไอ้ซันก็ไม่ตอบ มันเคาะนิ้วลงบนพวงมาลัยเป็นจังหวะช้าๆและทำท่าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ผมได้ยินมันพึมพำอะไรสักอย่างเบาๆออกมาเป็นคำว่า “.....ยูเอส.... สตรีท......” อะไรสักอย่างนี่แหละ

“โอ๊ะ นี่ไง เลี้ยวขวาทางนี้.......” ไอ้ซันหักพวงมาลัยเลี้ยวขวาอีกครั้ง “ใช่แล้ว ถนน อีสท์ เจฟเฟอร์สัน สตรีท....... และไอ้นั่นมันก็จะต้องอยู่ทางซ้ายมือ........”

“อะไรอยู่ทางซ้ายมือวะ” ผมพูดพลางหันไปมองผ่านหน้าของมันทางด้านซ้ายมือ สิ่งที่กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆคืออาคารกระจกที่ด้านหน้าตัดเป็นทรงโค้งเว้าเข้าไปขนาดใหญ่ที่เปิดไฟสว่างจ้าและมีป้ายเขียนบอกว่าด้านบน ยูเอส แอร์เวย์ เซ็นเตอร์ ครั้งแรกที่เห็นผมคิดว่ามันคือสนามบินหรืออะไรสักอย่าง แต่เมื่อไอ้ซันชะลอรถให้ค่อยๆช้าลงๆขณะที่เราเคลื่อนเข้าไปใกล้มากขึ้นผมถึงได้รู้ว่าผมคิดผิด ด้านนอกของอาคารเป็นลานกว้างและมีการประดับตบแต่งมากมายเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศของอีเวนท์ที่กำลังจัดอยู่ ซึ่งในขณะนี้สิ่งที่เด่นอยู่ตรงหน้าผมคือป้ายชื่อของทีม ฟีนิกซ์ ซันส์

“ไอ้ซัน หรือว่านี่มันคือ.......” ผมตาโต อ้าปากค้างอย่างไม่รู้ตัว จ้องมองไปยังอาคารขนาดใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า

“ใช่แล้ว ยูเอส แอร์เวย์ เซ็นเตอร์ เป็นทั้งสถานที่จัดงานใหญ่ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ตหรืออีเวนท์อื่นๆ และแน่นอน เป็นสนามแข่งสำหรับทีมเจ้าบ้านทั้ง ไคโยตี้ เมอคิวรี่ โร้ดรันเนอร์ส และทีมบาสที่มึงชอบ ฟีนิกซ์ ซันส์ ไง”

ผมมองหน้ามันครู่หนึ่งด้วยความทึ่งและละสายตากลับไปมองยังสเตเดี้ยมแห่งนั้นอีกครั้ง บรรดาทีมทั้งหลายที่มันพูดมานั่นก็คือเหล่าทีมกีฬาประจำเมือง เช่น ทีมฮ็อกกี้ โร้ดรันเนอร์ส ทีมแรทเลอร์ส ของเอเอฟแอล และ เมอร์คิวรี่ ของดับเบิ้ลยูเอ็นบีเอ หรือบาสหญิงของเอ็นบีเอนั่นเอง เป็นต้น

“แต่ตอนนี้คือฤดูกาลของ เอ็นบีเอ เพราะงั้น ตอนนี้มันคือบ้านของซันส์มากกว่าทีมอื่น กูว่านะ” มีเสียงบีบแตรดังมาจากทางด้านหลังของรถของเรา “อุ๊บ กูเกือบจอดแช่ซะแล้วไง ตรงนี้มันห้ามจอดเหรอวะ” ไอ้ซันเหยียบคันเร่ง รถของเราเริ่มเคลื่อนตัวผ่านสนามกีฬาแห่งนี้ไปอย่างช้าๆ

“โทษทีนะเมฆ” ไอ้ซันพูด

“ไม่เลย ซัน” ผมละสายตาออกมาจากหน้าต่างรถแล้วมองหน้าของมันพร้อมรอยยิ้ม “กูขอบใจมึงมากๆเลยว่ะ สุดยอดไปเลย” ผมพูดด้วยความดีใจอย่างที่สุด

“เสียดาย กูไม่รู้ว่าจะเข้าไปยังไง แล้วก็น่าเสียดายที่กูไม่มีปัญญาหาตั๋วให้มึงเข้าไปดูเกมส์ของทีมที่มึงชอบได้ว่ะ”

“ไม่จำเป็นเลย ซัน” ผมวางมือซ้ายลงบนมือขวาของมันที่กำลังจับอยู่บนพวงมาลัยแล้วออกแรงบีบเบาๆ “แค่นี้กูก็ดีใจมากๆแล้วจริงๆ ขอบใจมึงมากๆเลยว่ะ แค่กูมีโอกาสได้มาเมืองของทีมบาสที่กูชอบกูก็ดีใจแล้ว แต่นี่กูยังได้มึงพามาเห็นสนามที่สตีฟ แนชใช้แข่งในฐานะทีมเจ้าบ้านแบบนี้อีก ถ้านี่ไม่เรียกว่าที่สุดของที่สุด กูก็ไม่รู้จะมีอะไรที่มันสุดยอดมากไปกว่านี้อีกแล้วว่ะ” ผมชะโงกหน้าเข้าไปหอมแก้มของมันเบาๆ รู้สึกขอบใจและชื่นชมมันจริงๆที่มันทำการบ้านมาเพื่อผมดีมากขนาดนี้ เพราะจริงๆแล้วผมรู้ว่ามันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับฟีนิกซ์เลย แต่นี่มันยังอุตส่าห์อธิบายเรื่องเหล่านั้นให้ผมฟังได้ นั่นหมายความว่ามันอยากจะทำสิ่งนี้เพื่อผมจริงๆ

“กูก็ดีใจที่มึงดีใจ” มันพูดเขินๆ แล้วเลี้ยวซ้ายเมื่อถึงสี่แยกข้างหน้า “คราวนี้ปัญหาก็คือ เราจะกลับไปโรงแรมยังไง” ไอ้ซันชะโงกหน้าไปอ่านที่ป้ายชื่อถนน “มึงช่วยกูดูแผนที่ที่โรงแรมเขาให้มาให้กูทีได้ป่ะ”

“ได้ๆ” ผมหยิบแผนที่ออกมากางออกแล้วไล่สายตาหาชื่อถนนที่ไอ้ซันเพิ่งขับผ่านไปอย่างรวดเร็วเพื่อหาตำแหน่งของเราสองคน

“เราเพิ่งผ่านไอ้ยูเอสแอร์เวย์ นั่นมา เพราะงั้นกูว่าไม่น่าจะหาตำแหน่งยากนะ” มันตั้งข้อสังเกต

“นั่นสิ..... อืมม....... นี่ไงกูเจอแล้ว เดี๋ยวมึงต้องเลี้ยวเข้าหาถนน อีสท์ แจ็คสัน น่าจะง่ายกว่านะ” ผมพูดแล้วหันไปมองยังทิศทางที่เราขับผ่านมา ผมยังคงสามารถมองเห็นหลังคาของอาคารนั่นได้อยู่ไกลๆ “..........ว่าแต่ แล้วนี่มึงรู้ทางมาที่นี่ได้ยังไงวะ มึงไปถามเขาตอนไหน”

“อ๋อ คือ........”

“คืออะไร”

“คือ กูสุ่มๆเอาเองว่ะ แหะๆ” มันหัวเราะแห้งๆแล้วหันมาแลบลิ้นให้ผม

“มึงไม่ต้องมาตลก แตหลอมากๆนะมึง แค่สุ่มๆมันจะมาถึงที่นี่ถูกได้ยังไง บอกมาเดี๋ยวนี้เลย.....” ผมหยิกแก้มมันแล้วเขย่าเบาๆ “ไอ้ตัวแสบ”

“โอ๊ยๆ เจ็บๆๆ” มันร้องแล้วดึงมือผมออก “เออๆ กูก็เปิดดูในแผนที่แล้วก็จำเอาน่ะสิวะ ตั้งแต่ก่อนมาแล้ว” มันเอามือถูแก้มตรงที่โดนผมหยิกเบาๆ

“จำเอาเนี่ยนะ มึงจำเอาเนี่ยนะ จะเก่งไปหน่อยหรือเปล่า ฟ้าคราม”

“อ้าว แน่นอนอยู่แล้ว” มันยิ้มกริ่ม ผมลืมเสียสนิทว่ามันเป็นคนแบบนี้ ตกลงก็เลยยังไม่รู้จนได้ว่ามันมาที่นี่ถูกได้ยังไง นี่มันจำแผนที่เอาจริงๆน่ะหรือ ผมส่ายหัวเบาๆแล้วก้มลงอ่านแผนที่อีกครั้ง แต่เมื่อผมมองดูถนนต่างๆในแผนที่ ผมก็รู้ได้ทันที่ว่ามันทำได้อย่างไร

“อ๋อออ อย่างนี้นี่เอง” ผมหัวเราะ

“อะไร” มันแกล้งโง่

“ถึงยังไงมึงก็เก่งอยู่ดีนั่นแหละนะ กูยอมรับ..........” ผมไล่สายตาไปตามถนนหนทางต่างๆแล้วก็เข้าใจว่ามันไม่ยากอย่างที่คิด เพราะถนนในตัวเมืองนี้จะถูกแบ่งออกเป็นบล็อคๆอย่างชัดเจน ถนนทุกสายแทบจะตัดกันเป็นสี่เหลี่ยมอย่างเพอร์เฟ็กต์ นอกจากนั้นถนนต่างๆก็มีชื่อเรียกแบ่งตามเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตกอยู่แล้วด้วย เช่นถนน เซาธ์ เซ็นทรัล อเวนิว ที่อยู่เลยไปสองบล็อกข้างหน้าเรา ถนน อีสท์ เจฟเฟอร์สัน สตรีท ที่เราเพิ่งผ่านมา หรือ อีสท์ บาเซลไลน์ โร้ด ที่เป็นที่ตั้งของโรงแรมของพวกเราเพราะอยู่ทางด้านฝั่งตะวันออกของเมือง แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม การที่มันจำชื่อถนนทั้งหมดและยังถนนเล็กถนนน้อย รวมไปถึงสี่แยกมากมายเหล่านี้ในละแวกนี้ได้ ผมก็ต้องยอมรับในความพยายามของมันจริงๆ

“ขอบใจมาก ซัน ที่มึงอุตส่าห์ทำเพื่อกูขนาดนี้” ผมพูดออกมาเบาๆ สิ่งที่ผมดีใจมากที่สุดก็คือสิ่งที่มันเพิ่งทำลงไป ไม่ใช่สิ่งที่ผมเพิ่งได้เห็นแค่ผ่านๆ

ไอ้ซันเองก็ได้ยินแต่มันกลับทำเงียบไม่พูดอะไรตอบราวกับมันไม่ได้ยินผมเสียอย่างนั้น มีเพียงแต่รอยยิ้มพอใจที่ประทับอยู่บนใบหน้าของมันเท่านั้นเองที่ทำให้ผมรู้ว่ามันก็ฟังผมอยู่

“เดี๋ยวเราต้องเลี้ยวเข้า เซาธ์ โฟร์ธ สตรีทเพื่อออกไปยัง เซาธ์ เซเว่น สตรีทอีกทีนะ” ผมอ่านแผนที่ให้มันฟัง “และหวังว่าพรุ่งนี้มึงจะพากูกับไคล์ไปแกรนด์แคนยอน ได้ถูกแบบนี้นะครับ พ่อคนเก่งโคตรๆ” ผมชี้ทางให้มันเลี้ยวอีกครั้ง ตอนนี้เราอยู่บนถนนที่เริ่มคุ้นตาขึ้นมาบ้างแล้ว จากนี้ไปไอ้ซันคงจะขับต่อไปเองถูกผมจึงพับแผนที่เก็บใส่กระเป๋าไว้ดังเดิม

“อันนั้นไม่รู้ว่ะ” มันหัวเราะ “กูดูแต่ทางมาสนามกีฬานี่ ยังไม่รู้เลยว่าต้องไปแกรนด์แคนยอนยังไง”

“อ้าว ไอ้เวร”

“เดี๋ยวค่อยถามพนักงานเอาก็ได้ แล้วป้าแอ๊นท์ก็เอาแผนที่ใส่มาให้แล้วนี่นา ไม่ยากหรอก ไปที่ดังๆแบบนั้นใครๆก็ต้องรู้ทางอยู่แล้วล่ะ”

“นี่มึงพูดเหมือนกับยังไงๆเราก็ต้องถามทางคนอื่นอยู่ดียังไงยังงั้นเลยนะ ไม่คิดว่าแค่แผนที่ที่ป้าแอ๊นท์ให้มาจะพามึงไปถูกทางได้เลยเหรอ”

มันยักไหล่ “ไม่รู้ว่ะ ถึงก็ดี ไม่ถึงก็ถาม ไม่เห็นยากเลย”

“ไอ้เรื่องนั้นมันก็ใช่”

“แต่เก่งระดับกูซะอย่าง มึงไม่ต้องห่วงหรอกน่า ไม่หลงอยู่แล้ว” มันหัวเราะเบาๆ

“ครับ พ่อคนเก่ง กูก็ไม่ห่วงหรอกครับ แค่เห็นมึงขับพวงมาลัยซ้ายได้แบบนี้กูก็อุ่นใจแล้ว” ป้ายชี้เข้าโรงแรมอยู่ตรงหน้าของเราสองคนแล้วในตอนนี้

“ก็บอกแล้ว.......” ไอ้ซันหักพวงมาลัยเลี้ยวรถเข้าโรงแรม “ว่าคนมันเก่งไปซะทุกอย่างนี่นะ”

“กูละเหนื่อยกับมึงจริงๆ ไอ้ซัน” ผมพูดขณะที่มันกำลังจอดรถในลาดจอด “ไปเถอะ ไปหาไคล์แล้วไปหาอะไรกินกันดีกว่า”

“เดี๋ยวก่อน ก่อนที่มึงจะลงไป กูมีเรื่องจะต้องบอกมึง” ไอ้ซันจับมือของผมเอาไว้ขณะที่ผมกำลังจะเปิดประตูรถ

“เรื่องอะไร” ผมหยุดและหันมามองหน้าของมัน ใบหน้าของมันมีแววยุ่งยากใจเล็กน้อย แต่ในขณะเดียวกันบางอย่างในสายตาของมั่นก็แสดงถึงความมุ่งมั่นออกมาให้ผมได้เห็น ไอ้ซันกำมือของผมแน่นและกลืนน้ำลายลงคอแต่ก็ยังคงไม่ละสายตาไปจากตาของผม จากนั้นมันก็ค่อยๆอ้าปากขึ้น..........

“เรื่องของกูกับไคล์..........”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-10-2007 16:29:47 โดย ExecutioneR »

gobgab

  • บุคคลทั่วไป

............นึกแล้วว่าต้องมีอะไรแน่......... :m17: :m17:

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
พูดให้ดี ๆ นะซัน  ซันจะพูดอะไรให้เมฆเสียใจเหรอ ไม่ดีนะ อย่าทำ

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
มีอะไรก็พูดกันตรงๆ จะได้ไม่เข้าใจผิด คิดกันไปเอง
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ninaprake

  • บุคคลทั่วไป
I know it!   :a5:

นึกแล้วเชียว มันต้องมี something wrong ระหว่าง ไคล์กะซัน ....  o22

สงสัยจะเคยเผลอใจไปกิ๊กๆกันอยู่แน่ๆเลยยยยย  :เฮ้อ:

แต่ว่าบอกๆไปเองเลย มันก็ยังดีกว่าให้เมฆไปรู้เอาจากปากคนอื่นทีหลังนะ ...... เราว่าซันก็ทำถูกแล้วแหละที่จะสารภาพ

เอ๊ะ .... ว่าแต่เดาถูกรึเปล่าเนี่ย  o17  อาจจะบอกแค่ว่า "กูกะไคล์ ... เป็น ...ริดสีดวง" อะไรยังงี้ก็ได้มั๊ง  :laugh3:

Jingjoh

  • บุคคลทั่วไป
ก็ว่า ตอนที่แล้ว ... เต็มเลย
 :a6:

tonsai_2520

  • บุคคลทั่วไป


เธอคนหนึ่ง . . .

. . . เขาคนหนึง . . .

. . . ฉันคนหนึ่ง

. . . เราสามคน . . . เกลียดชิบไอ้รักสามเศร้าแบบนี้

ปล. ไอ้คนเขียนน่าร๊ากกกกกกกกก  ไม่เอาสามเศร้าได้ป่ะ

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page


เอ๊ะ .... ว่าแต่เดาถูกรึเปล่าเนี่ย  o17  อาจจะบอกแค่ว่า "กูกะไคล์ ... เป็น ...ริดสีดวง" อะไรยังงี้ก็ได้มั๊ง  :laugh3:

แหม อันนี้ไอ้ต้นฮาแตกฮาแตนครับพี่น้อง!! เดี๋ยวมีเปลี่ยนต้นฉบับให้เป็นแบบนี้ขึ้นมา
พอได้อ่านตอนหน้ากันแล้วอย่าเหวอแดกนะครับ คุณพี่  :m11: 55555



เธอคนหนึ่ง . . .

. . . เขาคนหนึง . . .

. . . ฉันคนหนึ่ง

. . . เราสามคน . . . เกลียดชิบไอ้รักสามเศร้าแบบนี้

ปล. ไอ้คนเขียนน่าร๊ากกกกกกกกก  ไม่เอาสามเศร้าได้ป่ะ


เด๋วเจอสี่เศร้าเลยคับพี่ จัดให้แน่นอน (ฮา)

ปล. ตอนนี้ปั่นสองงาน หัวหมุนจะตายแร้ววว 5555 ซันกะศิลาตอนที่สามสิบแระ (แต่เดี๋ยวต้องกลับไปเปลี่ยนพล็อตให้เป็นริดสีดวงกับรักสี่เส้าก่อน) พ่อหทารเรือรูปงามไทเลอร์ กะ ไบรอันของผมก็กำลังหนุกก เซ็งแสดดด วันๆนั่งแต่หน้าคอม 5555


ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
หุหุ กะไว้แล้วเชียว  :a6:  :a6:   :a6:  :a6:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
จะบอกอะไรเนี่ย อยากรู้

แล้วมาเป็นกำลังใจในการปั่นนะค้าบบบบบบบบบบบบบ

เดี่ยวจะปั่นงานที่ค้างบนโต๊ะเป็นเพื่อน เจ้านายตามแล้วววววววววววววววว

~Brand New Beat~

  • บุคคลทั่วไป
ขอแบบไม่กั๊กเลยได้มั้ยครับ ขอแบบเต็มสตรีมไปเลย

เพราะถ้ากั๊กไว้แบบนี้ผมอาจจะลงแดงตายก็ได้  o9

เป็นกำลังใจให้ต่อไป

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 22


“เราต้องขับขึ้นเหนือไปตามถนน อินเตอร์สเตท เซเว่นทีน ใช่มั๊ยวะ เมฆ” ซันถามขณะที่เรากำลังขับรถอยู่บนถนนสายหกสิบ

“อื้ออ ใช่”

“มันใช้เวลาประมาณเท่าไหร่นะ”

“...........”

“...........เมฆ”

“ประมาณสี่ชั่วโมงครับ” เสียงของไคล์ดังขึ้นมาจากที่นั่งด้านหลัง

“อ่ะ อ้อ อืม” ซันรับคำแล้วพยักหน้า

ผมนั่งเหม่อมองออกไปยังทิวทัศน์แปลกตาที่วิ่งผ่านหน้าของผมไปอย่างรวดเร็ว แม้ตึกรามบ้านช่องและเหล่าผู้คนที่ออกมาเดินบนริมฟุตบาทเพื่อออกไปทำงานหรือดำเนินกิจวัตรประจำวันของตนก็ไม่ได้ช่วยทำให้ผมรู้สึกสดชื่นไปตามเวลายามเช้าที่สดใสแบบนี้ได้เลย สิ่งที่ไอ้ซันพูดกับผมเมื่อวานมันยังคงก้องอยู่ในหัวของผมตลอดเวลา.......

.
.
.

“เรื่องของมึงกับไคล์เหรอ”

“ใช่ กูคิดว่ากูควรจะบอกให้มึงได้รู้ไว้ในเมื่อตอนนี้เรามีโอกาสได้อยู่กันสองต่อสองแล้ว.......”

“มึง....... มีเรื่องอะไรกันแน่ ซัน” ผมเริ่มจะใจไม่ดี

“มันพูดยากนะ เมฆ......... กูรักมึง มึงก็รู้ใช่มั๊ย.......... แต่ตอนนั้น กูกับไคล์...........”


.
.
.

“เมฆ” เสียงของไอ้ซันเรียกผมให้กลับมาสู่ปัจจุบันอีกครั้ง

“หืมม.....”

“เมฆ นี่มึง...........” ไอ้ซันเอื้อมมือมาจับมือของผมเอาไว้ ไคล์ที่นั่งอยู่ด้านหลังก็คงเห็น แต่มันก็คงไม่สำคัญแล้ว

“ว่าไง” ผมหันไปยิ้มให้กับไอ้ซัน

ปรากฏว่าผิดคาด เพราะเมื่อผมหันไปยิ้มให้กับมัน ไอ้ซันกลับมีสีหน้าตกใจนิดหน่อยแต่ดูแฝงไปด้วยความเสียใจมากกว่า

“อย่าเมฆ........” ไอ้ซันนิ่วหน้า มีสีหน้าลำบากใจจริงๆ ผมไม่เคยเห็นมันทำสีหน้าแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ “มึงอย่ายิ้มแบบนั้นให้กู กูขอล่ะ มึงอย่ายิ้มแบบนั้นเลยนะ..........”

ผมเบือนหน้าหนีหันไปมองทิวทัศน์ด้านนอกอีกครั้ง มือของไอ้ซันยังคงกุมมือของผมอยู่ก็จริง และผมเองก็ไม่ได้ต้องการจะชักมือหนีแต่อย่างใด แต่ทว่าผมกลับไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นจากมือของมันเลยแม้แต่น้อย

มันบีบมือของผมแน่นขึ้นราวกับกลัวว่าผมจะหนีมันไป

“มึงอย่าคิดมากเลย.........” ผมพูดขณะที่สายตาก็ยังคงออกไปนอกกระจกรถ รู้สึกได้ถึงความเย็นชาที่ถูกสื่อออกมาในน้ำเสียงของตัวเอง ใช่ มึงอย่าคิดมากเลยซัน กูเองก็ยังไม่ได้คิดอะไรเลย ผมบอกตัวเองในใจ และผมเองก็รู้ดี ว่ามันเป็นจริงก็เพียงแค่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ผมอาจจะไม่ได้คิดอะไรในทางที่ไม่ดีก็จริง แต่ผมเองก็อดคิดในสิ่งที่เคยเกิดขึ้นไปแล้วไม่ได้ ผมขบกรามแน่น ไม่ ซัน กูไม่ได้โกรธมึงเลย....... แต่กูโกรธ กูเกลียดตัวเองที่ต้องมาคิดมารู้สึกแบบนี้มากกว่า ผมรู้สึกว่าน้ำตาของตัวเองมันกำลังจะไหลออกมาจึงเอามือไปป้ายที่ขอบตาเบาๆ แต่เปล่าเลย ผมไม่มีน้ำตาสักหยด มันเป็นแค่ความหวังลมๆแล้งๆที่อยากจะให้มีน้ำตาได้ระบายความอัดอั้นในใจของผมออกไปบ้าง แต่ก็ไม่เลย ผมไม่สามารถระบายความรู้สึกของผมออกไปได้เลยสักนิด

อีกครั้ง ที่ผมคงต้องทนเก็บมันเอาไว้อยู่แบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ก็ไม่อาจจะรู้ได้

.
.
.

“ใช่........ ไคล์มันชอบกู มันรักกูมากกว่าคำว่าพี่” ไอ้ซันพูด

“เรื่องจริงเหรอ ซัน” ถึงพอมานึกๆดูแล้ว ผมก็อาจจะไม่แปลกใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินไปก็จริง แต่ว่าผมก็อดคิดไม่ได้ ว่าสิ่งที่มันพูดนี้คือเรื่องจริงอย่างนั้นเหรอ

“ใช่” ซันพยักหน้า เราสองคนเงียบกันไปสักพัก ต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน ถ้าเป็นปกติผมคงจะมีความอดทนได้สูงกว่ามันแน่ แต่วันนี้ไม่ใช่ ไม่ใช่กับเรื่องที่ผมกำลังฟังมันเล่าอยู่นี่

“แล้วมึงล่ะ......... มึงคิดยังไงกับไคล์” นี่คือสิ่งที่ผมอยากรู้มากที่สุด มากกว่าสิ่งไหนๆที่ผมอยากได้ยินออกจากปากของมันหลังจากนี้เสียอีก

“กู...... กู.........” มันก้มหน้าและเบือนหน้าหนีไม่สบตาผมเหมือนเคย

“ซัน นี่มึง!”


.
.
.

ผมเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้าเบื้องหน้า ถึงเราจะยังไม่ได้ออกมาจากตัวเมืองไกลนัก แต่ท้องฟ้าของที่นี่ก็ค่อนข้างบริสุทธิ์จริงๆ ก้อนเมฆก่อตัวเป็นรูปร่างแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนทั้งในเมืองที่ผมอยู่ที่อังกฤษและทั้งที่ประเทศไทยด้วย แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลอดก้อนเมฆเหลือบเป็นแสงสีส้มเรืองๆก็ช่วยเตือนใจผมบางสิ่ง........ สิ่งที่ผมเกือบจะลืมมันไปเสียแล้ว

“มึงจะแวะแฟล็กสต๊าฟก่อนมั๊ย” ผมหันไปถามไอ้ซัน มือของมันยังคงจับมือของผมอยู่

“เอ้ออ ก็ แล้วแต่ว่ะ มึงว่าไงล่ะ”

“ไคล์ล่ะว่าไง พวกเราแวะที่แฟล็กสต๊าฟก่อนดีมั๊ย” ผมหันไปถามไคล์

“ยังไงก็ได้ครับ แต่ผมว่าแวะหน่อยก็ดีนะ ไหนๆก็มีเวลา” เขาตอบ ผมเห็นสายตาของเขาเหลือบมองมาที่มือของผมกับซันแว่บหนึ่งด้วย

“นั่นสินะ แต่นั่นหมายความว่ามึงต้องไม่หลงทางจนทำให้เราเสียเวลาเสียก่อนนะ ไอ้ตัวแสบ” ผมหันมาพูดกับไอ้ซัน มันกลับมามีรอยยิ้มขึ้นอีกครั้ง........ ถึงจะเป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความไม่มั่นใจก็ตาม

“แน่นอน รับรองได้เลย......... ว่าหลงไม่เกินชั่วโมงเดียวแน่นอน” มันพูดติดตลก แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครหัวเราะไปกับมันด้วย

นอกเหนือไปจากวิลเลี่ยมส์ที่เราต้องขับรถผ่านแน่ๆแล้ว แฟล็กสต๊าฟก็เป็นเมืองเล็กๆที่อยู่ใกล้กับแกรนด์แคนยอนเช่นเดียวกัน ในเมืองนั้นมีทั้งช๊อปปิ้งมอลล์ วอลมาร์ท ร้านค้า ร้านอาหาร และโรงแรมต่างๆมากมาย จึงเรียกได้ว่าเป็นจุดพักสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการจะขึ้นไปยังแกรนด์แคนยอนได้ดีทีเดียวเพราะมีความเจริญและครบครันมากกว่าวิลเลี่ยมส์เยอะ ทว่าจากเส้นทางที่พวกเรากำลังมุ่งหน้าไปนี้จะเรียกว่าเรากำลังจะ “แวะ” แฟล็กสต๊าฟก็ไม่ถูกนักเพราะมันไม่ใช่ทางผ่าน ถ้าจะเรียกให้ถูกนั้นคือ เราจะ “ไป” ที่แฟล็กสต๊าฟก่อนขึ้นไปยังแกรนด์แคนยอน ต่างหาก

“แวะซื้อของกิน ของใช้ที่จำเป็นกับพวกขนมอะไรอย่างนั้นตุนไว้ก่อนก็ท่าจะดี ถ้าของบนนั้นมันแพงอย่างที่เขาว่าจริงๆน่ะนะ กูว่าเราแวะวอลมาร์ทก่อนก็คงดีเพราะเราต้องไปนอนที่นั่นตั้งห้าวันแน่ะ” ผมเสนอความคิด

“นั่นสินะ” ไอ้ซันเห็นด้วย

“แต่เราจะขับรถในตัวเมืองแฟล็กสต๊าฟถูกเหรอ” ไคล์ถามขึ้น

“เออว่ะ ก็จริงนะ” ไอ้ซันเห็นด้วย

“ไม่เห็นยากนี่ ถ้ามันเป็นเมืองท่องเที่ยวที่รองรับนักท่องเที่ยวจากแกรนด์แคนยอนและเป็นเมืองที่อยู่ติดกับที่นั่นจริงๆล่ะก็ เราหาแผนที่ของเมืองได้ไม่ยากเลย กูว่ายังไงๆที่นั่นมันก็ต้องมี วิสิทเตอร์ เซ็นเตอร์ ให้เราแวะอยู่แล้ว และที่สำคัญมึงก็เป็นฝ่ายพูดเองไม่ใช่เหรอ ว่าถามทางเอาก็ได้น่ะ เมืองเล็กๆแบบนั้นถามทางคนเดินถนนหรือถามใครๆเพื่อจะไป วอลมาร์ท กูว่ามันคงไม่ยากขนาดนั้นหรอกมั๊ง” ผมพูดขณะที่สายตายังคงจับจ้องไปยังท้องฟ้าเบื้องหน้า

“ก็จริงอย่างที่มึงพูด”

“และไหนๆก็จะแวะแล้ว ถ้าหาวิสิทเตอร์ เซ็นเตอร์เจอล่ะก็ เราก็คงได้ข้อมูลเกี่ยวกับแกรนด์แคนยอนมาเพิ่มด้วย จะได้รู้ว่าพอขึ้นไปถึงบนนั้นเราควรเตรียมตัวอะไรไปบ้างน่ะ เพราะไหนๆจะซื้อของกินของใช้อะไรเพิ่มแล้วก็ซื้อไปเลยทีเดียวคงจะดีกว่า จริงมั๊ย” ผมเพิ่มเติม

“อืม ใช่” ไอ้ซันพยักหน้า จากนั้นเราสามคนก็เงียบกันไปครู่หนึ่ง ในหัวของผมมันก็เอาแต่วนเวียนอยู่กับเรื่องที่ไอ้ซันพูดกับผมเมื่อวานอยู่อย่างนั้น สลัดยังไงก็เอาไม่ออกเสียที...........

.
.
.

“กูไม่ได้ชอบมันหรอก........” ไอ้ซันตอบหลังจากนั่งนิ่งไปครู่หนึ่ง

“มึงไม่ได้ชอบไคล์......” ผมทวนคำ

“ใช่” มันพยักหน้าช้า “แต่ว่า.........”

“แต่อะไรซัน”

“แต่กูก็ไม่ได้ปฏิเสธมันน่ะ.......”

“ไม่ได้ปฏิเสธ......... หมายความว่ายังไงวะ”

“กูหมายถึง กูไม่ได้บอกมัน ว่ากูชอบมันและยอมรับมัน แต่กูก็ไม่ได้บอกมันเหมือนกัน ว่ากูไม่ได้ชอบมันน่ะ....... ตอนนั้นกูไม่ได้ปฏิเสธสิ่งต่างๆที่มันทำให้กับกูเลย”

“แต่...... แต่ว่า มึงเป็นญาติกันนะ ไอ้ซัน! มึงมีสายเลือดเดียวกันอยู่ในตัวด้วยนะ!”

ไอ้ซันมองหน้าของผมด้วยสายตาเย็นเฉียบที่แฝงไปด้วยความเศร้าเล็กๆ “เปล่าเลย เมฆ ไคล์กับกูไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยแม้แต่นิดเดียว”

“อะไร มึงหมายความว่ายังไง ก็เขาเป็นลูกของพี่สาวของแม่มึ.........” ผมอ้าปากค้าง ไม่สามารถพูดต่อจนจบประโยคได้ เลือดในกายของผมมันเย็นเฉียบไปด้วยความจริงที่ผมไม่เคยคิดถึงมาก่อนและไม่อยากจะเชื่อ

“ใช่........ แม่ของกูกับป้าแอ๊นท์ ไม่ใช่พี่น้องแท้ๆกัน”


.
.
.

“แต่มันก็ไม่ควรจะเป็นแบบนั้นอยู่ดี” ผมขบกรามหลุดปากพูดออกมากับตัวเองเบาๆ

“มึงว่าไงนะ” ไอ้ซันถามขึ้น

“เปล่าๆ โทษที........” กูคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะ ผมเก็บประโยคส่วนที่เหลือเอาไว้ในใจ เพราะถ้าพูดออกไปมันต้องรู้แน่ๆว่าผมกำลังคิดถึงเรื่องเมื่อวานอยู่ และที่สำคัญ ไคล์ก็ยังนั่งอยู่ข้างหลังด้วย ป่านนี้เขาก็คงสงสัยจะแย่แล้ว ว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างผมกับซัน

ผมเหลือบมองไปที่กระจกมองหลังก็เห็นไคล์กำลังนั่งหลับตาฟังไอพอดอยู่ ไม่รู้ว่าเขาหลับไปแล้วหรือยังหรือว่าแค่พักสายตาเฉยๆ หรือว่า........ เขาเองก็กำลังคิดอะไรอยู่เหมือนกัน เท่าที่ผมรู้ ไคล์เองก็ไม่ใช่คนโง่ เขาจะดูไม่อกเชียวหรือ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในตอนนี้

ผมหันหลังกลับไปมองไคล์ที่นั่งหลับตาเอนหลังพิงเบาะรถอยู่ ผมนึกไปถึงสิ่งต่างๆที่ผมเคยพูดคุยและได้ทำกับเขามาทั้งหมด ทั้งคำพูดและท่าทางการแสดงออกของเขามันก็มีอยู่บ้างที่ผมจะอดคิดไม่ได้ว่าเขานั้นรู้สึกอย่างไรกับซัน แต่ว่าสิ่งที่เขาปฏิบัติกับผมและคำพูดที่เขาเคยพูดถึงตัวผมนั้นมันก็ไม่มีความน่าสงสัยเคลือบแฝงอยู่เลยแม้สักครั้งเดียว เขาเองก็ดูเป็นเด็กดีที่น่าจะเลิกคิดอะไรแบบนั้นกับซันไปได้แล้วอย่างที่มันบอกผมจริงๆ.........

.
.
.

“แล้วไง แล้วยังไงต่อ” ผมพยายามพูดออกไปอย่างยากลำบาก

“ก็ไม่มีอะไรหรอก ช่วงก่อนที่มึงจะมาสักเดือนสองเดือนมั๊ง กูก็บอกเขาไปว่ากูมีคนที่กูรักอยู่แล้ว เพียงแต่กูไม่ได้บอกออกไปว่าเป็นมึงเท่านั้น เพราะตอนนั้นกูยังไม่อยากให้มึงมาเดือดร้อนไปกับเรื่องนี้ด้วยน่ะ”

ผมจ้องหน้าของไอ้ซันตาไม่กะพริบ ผมรู้สึกว่าผมไม่สามารถละสายตาไปจากมันได้เลยแม้แต่วินาทีเดียวเพราะถ้าผมทำอย่างนั้น ผมกลัวว่าความจริงทั้งหมดมันอาจจะหลุดลอยหายไปพร้อมๆกันด้วย

“นานเท่าไหร่แล้ว......” ผมถาม

“คงจะตั้งแต่กูมาอยู่ที่นั่นใหม่ๆเลย......... แต่กูเองก็เพิ่งรู้ตัวหลังจากผ่านไปได้สักครึ่งปีได้น่ะ”

“แล้วตอนนี้ล่ะ ตอนนี้มันเป็นยังไง ไคล์เขายังรักมึงอยู่ไหม แล้วตัวมึงล่ะ คิดยังไงกับเขากันแน่”

“กูก็ไม่รู้หรอก พูดตามตรงกูก็ไม่รู้จริงๆว่าตอนนี้มันคิดยังไงกับกูนะ แต่มันเคยบอกกูว่ามันตัดใจจากกูได้แล้วเพราะเราห่างๆกันไปช่วงหลังๆน่ะ คือ มันก็ไม่ได้พูดตรงๆออกมาแบบนี้หรอก แต่ก็ประมาณนี้แหละ และอีกอย่าง มันพูดเองเลยว่า มันอยากมีกูเป็นพี่ชายแบบที่เคยเอ็นดูมันเหมือนเมื่อตอนเด็กๆมากกว่าน่ะ”

“แล้วมึงล่ะ ซัน มึงยังไม่ได้ตอบกูสักครั้งเลยนะ ว่ามึงคิดยังไงกับไคล์กันแน่ มึงรักเขาเกินน้องชายไปบ้างหรือเปล่า”

“กู....... เมฆ กูต้องบอกมึงตามจริงอย่างนึงนะ มันยากมากจริงๆสำหรับกูโดยเฉพาะในเวลาแบบนี้น่ะ แต่กูจะพยายาม และกูก็กำลังทำมันอยู่ด้วย กูไม่อยากโกหกมึงอีกต่อไปแล้ว เมฆ กูรักมึงจริงๆ กูไม่อยากทำให้มึงต้องเจ็บปวดเพราะคำโกหกของกูอีกต่อไปแล้ว.......”

เราสองคนเงียบกันไปอีกครู่หนึ่ง ไอ้ซันอ้าปากจะพูดต่อแล้วก็หุบปากลงไปอีก มันมีท่าทางลำบากใจที่จะพูดออกมาซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่ดีเลยกับคำถามที่ผมเพิ่งถามมันออกไป

“กูไม่ได้รักมันเกินคำว่าน้องชายหรอก..........” ไอ้ซันพูดออกมาในที่สุด “แต่ว่า......... กูก็ไม่ได้ปฏิเสธมันไม่ให้มันเป็นมากกว่าคำว่าน้องชายด้วย”

“อะไรของมึง ซัน นี่มึงหมายความว่ายังไงกันแน่ ตกลงตอนนั้นมึงเคยคบกับเขาหรือเปล่า”

“กู....... คือ กูกับมันก็ไม่ได้เจอกันมานาน มึงเข้าใจมั๊ย กูกับมันมันไม่เหมือนน้องชายพี่ชายที่ได้เจอกันบ่อยๆหรอก ถ้าเป็นแบบนั้นกูก็คงไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับมันเลยแม้แต่นิดเดียว แต่นี่กูพูดจริงๆ มันก็แทบไม่ต่างอะไรกับคนอื่นสำหรับกูน่ะ เพราะพอกูเจอมันอีกทีมันก็โตเป็นหนุ่มขึ้นขนาดนี้แล้วด้วย กูก็เลยแทบไม่คิดว่ามันเป็นน้องชายของกูเลยจริงๆ”

“มึงหมายความว่ามึงก็ชอบมันในฐานะที่เขาเป็นผู้ชายคนอื่นๆทั่วๆไปใช่มั๊ย”

“ไม่ใช่เมฆ กูบอกมึงแล้วไง กูไม่ได้ชอบมัน เอ่ออ คือ บางทีก็อาจจะใช่ กูยอมรับ ว่ากูเคยชอบมันจริงๆ แต่เดี๋ยวก่อนเมฆ มันก็แค่อารมณ์ชั่ววูบจริงๆแ ค่กูเผลอใจไปนิดหน่อยเท่านั้นเอง ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้นเลย กูบอกแล้วไง กูไม่ได้คิดกับมันเกินไปกว่าคำว่าน้องชาย กูชอบมันก็จริงแต่ว่ามันก็แค่นั้น กูไม่ได้คบกับมัน กูไม่ได้ทำอะไรแบบที่คนรักเขาทำกัน กูก็แค่ปล่อยให้มันชอบกูโดยที่กูไม่ได้ออกตัวปฏิเสธแค่นั้นเอง และที่สำคัญ กูอาจจะชอบมันจริง แต่กูก็ไม่ได้รักมันนะเมฆ”

“ซัน แต่นั่นมันก็ไม่...........” ผมพูดอะไรไม่ออก แต่ดูท่าทางซันเองก็จะเข้าใจสิ่งที่ผมคิดอยู่เช่นกัน

“ใช่ กูรู้ นั่นก็เป็นสิ่งหนึ่งที่กูเคยคุยกับมันเหมือนกัน”

“แล้วสรุปแล้ว มึงมาบอกกูทำไมกัน นี่มึงอยากจะให้กูรู้สึกยังไงกันแน่ เพราะกูพูดตามตรงนะ กูไม่รู้แล้วด้วยซ้ำว่าตอนนี้กูรู้สึกยังไงน่ะ” ผมแค่นหัวเราะ

“กูบอกมึงก็เพราะกูอยากให้มึงรู้ว่ากูรักมึงแค่ไหน เมฆ กูกล้าที่จะเปลี่ยนตัวเอง กล้าที่จะบอกความจริงกับมึงเพื่อเป็นการยืนยันว่ากูบริสุทธิ์ใจและรักมึงจริงๆ ถึงแม้มันอาจจะทำให้มึงเจ็บปวด ทำให้กูเจ็บปวด และอาจจะทำให้มึงเกลียดกูไม่ยกโทษให้กูก็ได้ แต่กูก็ยอมเสี่ยง เพราะกูรู้ว่ากูไม่อยากจะทำพลาดอีกแล้ว กูไม่อยากทำให้มึงต้องเจ็บปวดเพราะคำโกหกของกูอีกแล้ว และที่สำคัญกูไม่อยากให้มึงมาคบกับคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับมึงด้วยคำโกหกด้วย............ มึงเข้าใจกูนะ” ไอ้ซันคว้ามือของผมไปกำไว้แน่น

“งั้นกูก็ขอบใจมึง ซัน.........”

“อีกอย่างหนึ่งนะ เมฆ....... กูไม่รู้จริงๆว่าตอนนี้มึงคิดยังไงอยู่ มึงบอกกูหน่อยได้มั๊ยว่ามึงกำลังคิดอะไรอยู่ กูแคร์มึงนะ”

“กูก็ไม่รู้........” ผมส่ายหน้า “กูไม่รู้จริงๆว่ะ ว่ากูคิดยังไงอยู่ แต่ที่แน่ๆกูไม่ได้มีความสุขที่ได้ยินเรื่องแบบนั้นหรอก”

“เมฆ......”

“แต่กูก็ไม่ได้คิดมากด้วย เพราะกูก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรให้คิดมากนี่ เรื่องมันผ่านไปแล้ว ไคล์เองอาจจะรักมึงก็จริง แต่กูก็เข้าใจเขานะ และที่สำคัญมันก็ไม่แปลกนี่ ถ้าจะมีใครมาหลงชอบมึงบ้าง ถึงแม้เขาคนนั้นจะเป็นญาติกับมึงก็เถอะ........ และที่สำคัญ มึงก็บอกเองนี่ ว่ามึงไม่ได้คิดอะไรกับไคล์แล้ว”

“ใช่”

“งั้นกูก็ไม่มีอะไรต้องคิดมาก ใช่มั๊ยล่ะ”

“มึงไม่โกรธกูใช่มั๊ย”

“ก็ไม่นะ”

“ไม่เกลียดกูด้วยใช่มั๊ย”

“ไม่อ่ะ ตอนนี้ยัง.......”

“แล้วไคล์ล่ะ..........”

ผมถึงกับสะอึกไปชั่วขณะหนึ่งเมื่อคิดถึงไคล์ที่กำลังรอเราอยู่บนห้องอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ “ไม่หรอก เขาเป็นเด็กดี กูชอบเขานะ และที่สำคัญ เขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลย........ ‘ยัง’ ไม่ได้ทำอะไรผิด” ผมแก้ “เพราะงั้นกูก็ไม่มีเหตุผลจะไปไม่ชอบใจเขาเพราะเรื่องแค่นั้นหรอกนี่ ใช่มั๊ย กูเองก็ไม่อยากให้เขาลำบากใจเหมือนๆกันนั่นแหละ มึงไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก”

มีรอยยิ้มบนใบหน้าของซันอีกครั้ง “ขอบใจมึงมาก เมฆ กูรู้ ว่ามึงต้องคิดแบบนี้ กูคิดแล้ว ว่ายังไงๆ มึงก็ยังคงต้องเป็นมึงแบบนี้นี่แหละ............”

แต่ผมยังไม่คิดว่ามันเข้าใจถูกต้องหรอก และผมก็ไม่แน่ใจด้วยว่า ผมที่เป็นผมนั้นมันจริงๆแล้วมันเป็นยังไงกันแน่


.
.
.

“กูจะพยายามไม่คิดมากอีก กูให้สัญญาไม่ได้ แต่กูก็จะพยายาม........” ผมพูดขึ้นให้ไอ้ซันได้ยินหลังจากที่เราทั้งสามคนเงียบกันไปนาน ซันบีบมือของผมแน่นขึ้น ผมเริ่มรู้สึกได้ถึงความร้อนจากมือของมันที่ถูกส่งผ่านมายังมือของผมทีละน้อยๆ

“กูรักมึงนะ” ซันพูด

“อืม กูก็รักมึงเหมือนกัน”


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-10-2007 16:30:45 โดย ExecutioneR »

jedi2543

  • บุคคลทั่วไป
อ่านแล้วเศร้า แถมต้องเครียดแทนด้วยสิ

เราว่าคำตอบของซันมันกั้กมากๆ เลย

เหมือนอยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคนยังไงไม่รู้

เป็นเรา....คำว่ารักแบบนี้ไม่มีความหมายหรอก

เหมือนไม่ได้มาพร้อมการกระทำยังไงไม่รู้

อยากรู้ค่ะว่าเมฆจะทำยังไงต่อไป

หรือจะเป็น 3p ดี อิอิ

Jingjoh

  • บุคคลทั่วไป

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด