บทส่งท้าย
แสงแดดอันอบอุ่น ท้องฟ้าสีครามสดใส ไร้เมฆหมอก ความงามของธรรมชาติชั่งเป็นทัศนียภาพที่สวยงามดุจใดเหมือน อากาศอันแสนบริสุทธิ์ในยามเช้า ช่วยสร้างสดชื่นอย่างสุดจะพรรณนา
“ตื่นได้แล้วครับน้องฟ้า เดี๋ยวเราจะไปสนามบินไม่ทันเครื่องลงนะครับ” สายชลกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูหนุ่มร่างเล็กที่นอนขี้เซาหลับอุตุอยู่ในอ้อมกอดของเขา
“หือ อือใช่ ...ตาย ๆ ๆ สายแล้ว พี่น้ำ ตื่น ๆ เดี๋ยวอาบน้ำไม่ทันกันพอดี เครื่องลง 7 โมงครึ่งใช่ไหมครับ ไม่น่านอนตื่นสายเลยเรา เพราะพี่น้ำแหละมะคืนชวนทำอะไรไม่รู้ซะดึกเชียว ขืนไปช้ามีหวังโดนโกรธตายแน่ ๆ” คนตัวเล็กรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาพร้อมกับการโวยวายชุดใหญ่ทั้งที่ตัวเองต่างหากที่เป็นคนนอนตื่นสาย
“โหย โบ้ยนะ ถ้าเราไม่ยอมเล่นด้วยแล้วมันจะดึกมั๊ยล่ะ” สายชลยอกย้อนกลับ นี่ก็เดือนกว่าแล้วสินะ ที่เขาย้ายเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนสายฟ้า หลังจากต้นข้าวและทิวไผ่จากไป เพราะอดสงสารและเป็นห่วงไม่ได้ที่เกิดปัญหาขึ้นในตอนนั้น สายฟ้าต้องการเพื่อน คนให้กำลังใจและยืนเคียงข้างเขาในการต่อสู้กับปัญหาและความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นในใจ แต่กว่าเขาจะเข้ามาอยู่ด้วยได้ ก็เล่นเอาเลือดตาแทบกระเด็น ประเด็นเป็นหอพักในไม่เท่าไหร่ แต่เจ้าตัวเล็กเองนี่สิ ต้องตามตื๊ออยู่นานกว่าจะใจอ่อนได้
สายชลกับสายฟ้าเดินทางไปถึงท่าอากาศยานประจำจังหวัดประมาณ 7 โมงเศษ ๆ โดยมีผู้กองหัสเทพพร้อมกับคุณปานวาดและลูกสาวคนเล็ก พร้อมทั้งคุณอรรณพยืนรออยู่ที่ฝั่งผู้โดยสารขาเข้าแล้ว สองหนุ่มยกมือไหว้และกล่าวทักทายผู้หลักผู้ใหญ่ตามมารยาทที่ดีงามของสังคมไทย ก่อนจะพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบเพื่อฆ่าเวลาระหว่างรอเครื่องบินแตะพื้นรันเวย์
ไม่นานนักเครื่องบินโบอิ้ง 737 ของสายการบินแอร์เอเชีย ก็แลนดิ้ง ลงสู่พื้นทางวิ่งแล้วแท็กซี่เข้ามาจอดที่ด้านหน้าอาคารผู้โดยสาร
ทั้งหมดตรงออกไปที่ลานจอดเครื่องบินทันที ต่างคนต่างชะเง้อหาบุคคลที่ตนมาคอยรับอย่างจดจ่อ จนผู้โดยสายคนสุดท้ายเดินลงบันไดมา แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะโผล่ออกมาจากประตูเครื่องบิน ทันใดนั้นพนักงานชายของสายการบินสองคนก็ช่วยกันพยุงยกเก้าอี้รถเข็นเดินลงบันไดมาอย่างทุลักทุเล โดยมีคุณเกศสินีและหนุ่มหน้าใสเดินถือสัมภาระตามลงมา
ต้นข้าวตรงเข้าสวมกอดบิดาตัวเองอย่างดีใจ ก่อนจะหันไปสวัสดีทักทายคนอื่น ๆ และเข้าไปสวมกอดสายฟ้าเพื่อนรักของเขาอย่างคิดถึง
ผู้กองหัสเทพเองก็เข้าสวมกอดลูกชายคนเดียวของตนที่นั่งอยู่บนรถเข็น ด้วยอาการน้ำตาซึมอย่างดีใจ ระคนกับสงสารลูกชายในสภาพตอนนี้ แต่เขาก็ดีใจที่ลูกชายของเขารอดตายมาได้อย่างปาฏิหาริย์
“ลุงขอบใจหนูต้นมากนะที่ช่วยดูแลลูกชายของลุงอย่างดี สงสัยมันได้กำลังใจจากหนูนี่ล่ะ มันถึงมีแรงฮึดต่อสู้ยื้อแย่งชีวิตกลับคืนมาจากพญามัจจุราชได้” ผู้กองหัสเทพพูดกับหนุ่มร่างบางพร้อมกับตบที่ไหลเขาเบา ๆ ต้นข้าวยิ้มตอบอย่างรู้สึกอบอุ่น
“ดีแล้วล่ะ ที่ลูกไผ่ปลอดภัย ต่อไปจะได้กลับมาทำกายภาพบำบัดที่บ้านเรา” อรรณพพูดเสริม “ยังไงพี่เทพก็ให้ลูกชายพี่ย้ายไปอยู่บ้านผมก็ได้นะครับ จะได้ให้ตาต้นกับแม่เค้าดูแลได้สะดวกขึ้น เพราะพี่เองก็คงยุ่งงานประจำ ส่วนพี่วาดก็ต้องดูแลหนูส้มอีกคน” อรรณพเสนอระหว่างทั้งหมดเดินคุยกันออกไปที่ลานจอดรถ
“เอ่อ งั้นก็ต้องรบกวนคุณนพ แล้วล่ะครับ เกรงใจจัง”
“เกรงจงเกรงใจอะไรกันครับพี่ เราก็เหมือนบ้านเดียวกัน ลูกชายพี่ก็เหมือนลูกชายผมคนหนึ่งเหมือนกัน” สองคุณพ่อพูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง “เดี๋ยวเราต้องฉลองกันหน่อยแล้ว เนื่องในโอกาสต้อนรับลูกชายของเราทั้ง 2 คน กลับบ้าน เย็นนี้เชิญทุก ๆ คนที่บ้านผมนะครับ หนูสองคนด้วย” อรรณพหันมาพูดกับสายชลและสายฟ้า สองคนตอบรับอย่างยิ้ม ๆ
“เราไม่พลาดอยู่แล้วครับคุณพ่อ” สายฟ้าตอบรับ พลางหันไปมองทางต้นข้าวที่เข็นรถให้ทิวไผ่อยู่ข้าง ๆแล้วยิ้มให้
“ขอบคุณนายกับพี่น้ำมากนะที่ช่วยเป็นธุระปรับความเข้าใจให้พ่อกับแม่ของเราและทิวไผ่เข้าใจ” ต้นข้าวพูดและยิ้มตอบให้อย่างจริงใจ ขณะที่ทิวไผ่ก็เลื่อนมือขึ้นมากุมมือหนุ่มหน้าใสไว้พลางยิ้มไม่หุบอย่างมีความสุขที่ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเข้าใจพวกเขา
“คนเป็นพ่อเป็นแม่ยังไงก็รักลูกตัวเองอยู่วันยังค่ำ สายเลือดมันตัดกันไม่ขาดหรอกจ้ะลูก” เกศสินีพูดพลางตบเบา ๆ ที่ไหล่ของสองหนุ่มอย่างรักใคร่เอ็นดู
..................................................................จบบริบูรณ์........................................................................