ช่วงสายของวันใหม่ สองหนุ่มช่วยกันจัดข้าวของสัมภาระที่ไปทัวร์นั่งเรือท้องกระจกดูปะการังกัน วันนี้ ต้นข้าวและทิวไผ่ แต่ตัวแบบสบาย ๆ สวมเสื้อเชิ้ตลายดอกสีสันสดใส กางเกงขาสั้น หมวกแก๊ปและร้องเท้าผ้าใบ พร้อมเป้ใบเล็ก ๆ เดินออกจากที่พักไปอย่างกระตือรือร้น
ต้นข้าวดูจะรู้สึกตื่นเต้นกับการทัวร์ครั้งนี้มาก เพราะมันเป็นความฝันในวัยเด็กครั้งหนึ่งของเขา และที่สำคัญยังได้ไปกับคนที่เขารัก มันเป็นอะไรที่พิเศษสุด ๆ แบบนี้เค้าเรียกว่าอะไรน้า อืม...อ๋อ ฮันนีมูนไง โฮะ ๆ ๆ...
“ต้น เดี๋ยวเราแวะซื้ออะไรไปกินกันบนเรือกันก่อนดีมั๊ยครับ” หนุ่มหน้าเข้มเสนอความคิดเห็นระหว่างเดินไปตามถนนเรียบชายหาด มุ่งหน้าสู่ท่าเรือ ที่อีกฝั่งมีร้านค้าขายของที่ระลึก ร้านอาหาร และแหล่งบริการนักท่องเที่ยวต่าง ๆ มากมาย ส่วนอีกฝั่งของถนนเป็นชายหาด มีทิวต้นมะพร้าวยาวไปสุดลูกหูลูกตา ถัดออกไปมีเปลผ้าใบสีสัดสดใสวางเรียงรายอยู่ดูสวยงามตัดกับน้ำทะเลสีครามสดใสในวันที่อากาศปลอดโปร่ง เช่นวันนี้
“อื้ม ดีเหมือนกัน เผื่อหิวท้องร้องจ๊อก ๆ ขึ้นมา เที่ยวไม่สนุกพอดีเลย” หนุ่มหน้าใสตอบรับพลางเดินเคียงข้างกันแวะดูของที่ระลึกตามร้านค้าริมทางอย่างสบายอารมณ์
ก่อนต้นข้าวจะมาหยุดอยู่หน้าร้านขายของที่ระลึกและเครื่องประดับแห่งหนึ่งเพราะสะดุดตากับแหวนเนื้อมุกสีฟ้าอ่อน ดูแวววาวน่าเป็นเจ้าของยิ่งนัก
“พี่ครับผมขอดูแหวนวงนี้หน่อยครับ” ต้นข้าวบอกเจ้าของร้านสาว ก่อนเธอจะหยิบแหวนวงนั้นยื่นให้ ต้นข้าวลองมันที่นิ้วนางข้างขวา...อะไรจะเหมาะเหม็งพอดีอย่างนี้... ต้นข้าวมองมันบนนิ้วมือเรียวสวยของตัวเองอย่างพิสมัย โดยมีทิวไผ่ยืนยิ้มอยู่ข้าง ๆ
“ต้นชอบเหรอ เดี๋ยวผมซื้อให้” หนุ่มหน้าเข้มเอ่ยถามคนรัก ต้นข้าวพยักหน้าเบา ๆ เชิงยอมรับ “เท่าไหร่ครับ” ทิวไผ่ถามหญิงเจ้าของร้าน
“990 จ้ะน้อง ทำจากเนื้อมุกแท้เชียวนะจ๊ะ” หญิงสาวตอบกลับมา ต้นข้าวอึ้งนิด ๆ ก่อนจะรีบถอดแหวนนั้นออกจากนิ้วอย่างรวดเร็ว
“เอาไว้โอกาสหน้า จะแวะมาดูใหม่นะครับ ปะไผ่ เรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวไม่ทันลงเรือนะ” ต้นข้าวรีบออกเดินนำไปอย่างรวดเร็ว
“ตกลงเอาวงนี้ครับพี่” ทิวไผ่รีบจ่ายเงินแล้วรีบเดินตามเพื่อให้ทันหนุ่มร่างบางที่เดินจ้ำอ้าวออกมาก่อน
“ต้น รอผมด้วยสิ เหลือเวลาอีกตั้งหลายชั่วโมงเราเดินดูของเล่น ๆ ไปก่อนได้”
“ไม่เอาอะ ขืนยิ่งดูยิ่งเกิดกิเลส เงินยิ่งไม่มีอยู่”
“แฟนเราเป็นคนงกไปตั้งแต่เมื่อไหร่แฮะ” ทิวไผ่พูดทำเสียงหยอกล้อจนคนข้าง ๆ ค้อนควับเข้าให้
“ต้นเดี๋ยวแวะดูไรนี่ก่อนสิ” ทิวไผ่ดึงความสนใจต้นข้าวไปที่ร้านขายสัตว์น้ำแห่งหนึ่ง สองหนุ่มหยุดดูให้ความสนใจกับพวกปลา เต่า ปะการัง และปูเสฉวนที่ไต่ไปมาอยู่ในกระบะทรายภายในร้าน
....มนุษย์นี่ก็แปลก แทนที่จะปล่อยให้สัตว์พวกนี้มันมีชิวิตอยู่กับธรรมชาติ ช่วยให้ระบบนิเวศสมบูรณ์สวยงาม กลับมาทำลายมันให้หมดคุณค่าเพียงเพราะแค่ผลประโยชน์ทางการค้าเท่านั้น เจ้าหน้าที่ควรจะกวดขันจับกุมคนพวกนี้ให้มากขึ้น หนทางที่จะตัดวงจรการค้าของพวกนี้คือ เลือกที่จะไม่อุดหนุนมันซะ ไม่ใช่ว่าซื้อไปเพราะความสงสารเพราะมันยิ่งจะเป็นการส่งเสริมให้พวกพ่อค้าลักลอบจับสัตว์เหล่านี้มาขายมากยิ่งขึ้นไปอีก....ต้นข้าวครุ่นคิดในใจ พลางจ้องมองสัตว์เหล่านั้นด้วยความเวทนา
ขณะที่ทิวไผ่เข้ามายืนเบียดอยู่ข้าง ๆ เขาค่อย ๆ สอดมือหนาแกร่งกุมมือเรียวสวยนั้นไว้ ก่อนจะสวมแหวนวงที่ซื้อมาที่นิ้วนางข้างซ้ายของต้นข้าวอย่างนุ่มนวล
“หือ...” ต้นข้าวยกมือขึ้นมาดู ก่อนจะมองหน้าหนุ่มหน้าเข้มที่ยืนยิ้มอวดลักยิ้มที่แสนมีเสน่ห์น่าหลงใหลอยู่
“ไผ่ซื้อมาทำไม มันแพงออกนะ เรายิ่งต้องประหยัดกันอยู่” หนุ่มร่างบางต่อว่าคนตรงหน้าด้วยสีหน้าเครียด ๆ
“ก็เห็นต้นอยากได้นี่นา” ทิวไผ่หน้าสลดลงทันที เชิงน้อยใจนิด ๆ ที่ไม่ได้คำขอบคุณจากคนรักแถมยังโดนต่อว่าเข้าให้อีก
“แต่...”
“ลูกแม่!!!....” หญิงคนหนึ่งร้องขึ้นอย่างสุดเสียง ทุกคนในบริเวณนั้นหันไปมองทางต้นเสียงเกือบจะพร้อมกัน
หนูน้อยคนหนึ่งวิ่งออกไปเก็บลูกโป่งที่ปลิวออกไปกลางถนน ขณะที่รถสองแถวคันหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็วสูง ทิวไผ่ตัดสินใจกระโดดออกไปดึงตัวหนูน้อยเข้ามาทันที แต่เขา
เอี๊ยดดดดดดดดด!!!!!!!!......... โครมมมมมม!!!!!!!!
“ไผ่ผ่ผ่ผ่ผ่ผ่!!!!!!.........”
ร่างของทิวไผ่ลอยละลิ่วขึ้นไปบนอากาศตามแรงปะทะก่อนจะตกลงกระแทกกับพื้นถนนอย่างแรง ต้นข้าวผวาวิ่งเข้าสวมกอดร่างที่เปียกชุ่มไปด้วยเลือดสด ๆ สีแดงฉานของเขาไว้
“ไผ่...ทำใจดี ๆ ไว้ เราจะพาไผ่ไปหาหมอแล้ว....” ต้นข้าวพูดด้วยเสียงสั่นเทาปนสะอื้น มือข้างหนุ่มกุมมือหนาแกร่งของเขาไว้แน่น
“ต ต ต้นนน...ผม รัก ต้น!” ทิวไผ่พยายามสะกดกั้นความเจ็บปวดไว้ พูดออกมาอย่างยากเย็น แล้วสำลักเลือดสด ๆ ออกมา ก่อนแน่นิ่งไป
“ไม่ ไผ่ ตื่นสิ .... ไผ่ นายต้องไม่เป็นอะไร ถ้ารักเราก็ต้องอยู่กับเราสิ นายจะทิ้งเราไม่ได้นะไผ่ ไผ่....ไม่ม่ม่ม่!!!!!......” ต้นข้าวกรีดร้องอย่างสุดเสียงปริ่มจะขาดใจ พลางกอดกระชับร่างนั้นไว้แนบแน่น
.
.
หลายชั่วโมงผ่านไป ต้นข้าวยังคงนั่งนิ่งอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน เขานั่งจ้องแหวนวงที่ทิวไผ่พึ่งซื้อให้ในนิ้วนางข้างซ้ายของตัวเอง แหวนที่เขายังไม่ได้เอ่ยปากขอบคุณคนซื้อเลยแม้แต่คำเดียว แล้วดวงตาบวมเป่งเจ้ากรรมก็ปล่อยให้ธารน้ำตาไหลลงอาบสองแก้มอีกหนหนึ่ง ต้นข้าวสะอื้นด้วยความเจ็บปวดทรมานใจอย่างแสนสาหัส พลันหยดน้ำใส ๆ ก็หยดติ๋งลงที่แหวนวงนั้นพอดี พร้อมกับประตูห้องฉุกเฉินเปิดออก
“ไผ่เป็นไงบ้างครับคุณหมอ” ต้นข้าวปรี่เข้าถามอาการของหนุ่มหน้าเข้มทั้งน้ำตา
“เอ่อ...คือ หมอพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มความสามารถนะครับ แต่...คนไข้เสียเลือดมาก มีอาการสมองบวมและอวัยวะภายในได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก....”
ต้นข้าวรอคอยคำพูดของคุณหมออย่างใจจดใจจ่อ
“เรากำลังระดมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอยู่ หมออยากแนะนำให้คุณ ทำใจ” ....ทำใจ....คำพูดนี้มันชั่งบีบคั้นจิตใจและความรู้สึกคนฟังด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวยิ่งนัก
“คุณหมอคะ ตอนนี้คนไข้ช็อกหัวใจหยุดเต้นค่ะ!” เสียงพยาบาลสาวหน้าตาตื่นออกมารายงาน ก่อนคุณหมอจะรีบกลับเข้าไปในห้องฉุกเฉินทันที
สิ่งที่ได้ยินเมื่อซักครู่ ต้นข้าวรู้สึกเหมือนถูกกรีดขั้วหัวใจด้วยมีดคมกริบ ก่อนมันจะถูกควักกระชากออกจากร่างไปอย่างเจ็บปวดรวดร้าวสุดแสนจะทานทนได้ ทันใดหนุ่มร่างบางก็รู้สึกวูบ หน้ามืดอย่างฉับพลัน แล้วหมดแรงทรุดฮวบลงกับพื้นแน่นิ่งไปอีกคน
………………………………………………………………………………………………………….