“หวัดดีครับน้องฟ้า เย็นนี้ว่างไหมครับ พี่ว่าจะชวนเราไปกินข้าวน่ะครับ”
“เอ่อ....ขอโทษครับพี่น้ำ เผอิญตอนเย็นฟ้ามีธุระต้องไปทำ ไว้วันหลังละกันนะครับ” สายฟ้ารับโทรศัพท์ของรุ่นพี่หนุ่มก่อนจะปฏิเสธคำชักชวนไป
“ว้า...งั้นก็ได้ครับ เดี๋ยวเย็น ๆ พี่โทรหาอีกทีนะจ๊ะ”
“ครับพี่”
รุ่นพี่จอมตื๊อวางหูไปแล้ว พร้อมกับที่ทิวไผ่พาร่างค่อนข้าวสะบักสะบอมเข้ามาในห้อง
“ไผ่กลับมาแล้วหรอครับ นั่นหน้าไผ่ไปโดนอะไรมาครับ”
“....อุบัติเหตุนิดหน่อยนะครับ...” …ทำไมมันเหมือนโดนต่อยมามากกว่า ไปมีเรื่องกับใครมาหรือเปล่า...
“แล้วเป็นอะไรมากเปล่าครับเนี่ย”
“...แค่นี้ไกลหัวใจไม่ตายง่าย ๆ หรอกครับ”
“ต้นล่ะครับ เห็นบอกกลับบ้าน ไม่ได้กลับมาด้วยกันเหรอ”
“....... ต้นค้างที่บ้านน่ะครับ......” ทิวไผ่ นิ่งเงียบก่อนจะตอบไป เขายังไม่กล้าตัดสินใจบอกทุกอย่างกับสายฟ้า เพราะกลัวว่าจะพลอยทำให้หนุ่มร่างเล็กต้องพลอยเป็นทุกข์ กับเรื่องวุ่น ๆ นี้ไปด้วยอีกคน
“อืม...ครับ ไผ่ครับเดี๋ยวฟ้าออกไปธุระก่อนนะครับ ไผ่กินไรมายัง เดี๋ยวฟ้าจะซื้อมาฝาก”
“ไม่ล่ะครับ ขอบคุณครับ” ผมกินอะไรไม่ลงแล้ว เป็นห่วงต้นมากกว่า ลองโทรเบอร์ต้นดูซิ
.
.
“หวัดดีจ้ะ ลูกไผ่เหรอ”
“หวัดดีครับคุณแม่” โล่งออก...ยังดีที่เป็นคุณแม่รับ “ต้นเป็นไงมั่งครับ”
“เอ่อ...นอนอยู่บนห้องจ้ะ โดนคุณพ่อกักบริเวณ”
“คือ...ผมอยากคุยกับต้นน่ะครับ รบกวนคุณแม่....ได้ไหมครับ”
“อื้ม ๆ รอ แปบนะจ๊ะ แม่กำลังจะยกข้าวต้มขึ้นไปให้ต้นพอดี”
“ใครโทรมาน่ะคุณ”
“เอ่อ...ลูกสายฟ้าค่ะ เค้ามีเรื่องจะคุยกับเพื่อนเค้า”
“อืม คุณอยู่ฟังมันคุยกันด้วยละกัน เผื่อมีคนแอบอ้างโทรมา” ทำยังกับเป็นคุณพ่อหวงลูกสาวยังงั้นล่ะ
เกศสินีพึมพำขณะยกข้าวต้มขึ้นไปบนห้องนอนของลูกชายสุดที่รักของเธอ
“ลูกต้น ตื่นยังจ๊ะ หม่ามี๊เอาข้าวต้มร้อน ๆ มาให้ซดค่ะ”
ต้นข้าวนอนนิ่งอยู่บนเตียงแววตาเหม่อลอยอย่างไร้จุดหมาย “......ไม่หิวครับ ขอบคุณ” หนุ่มร่างบางตอบกลับมาอย่างเรียบเฉยแผ่วเบา
“มีคนอยากคุยกับลูกแน่ะ” ...พ่อละสิ....
“บอกเค้าด้วยครับ ไม่มีอารมณ์คุยด้วย” ...ผมเกลียดพ่อ พ่อใจร้ายพ่อทำร้ายไผ่ แถมจับผมมาขังไว้อีก อย่าหวังว่ามาง้อเรา แล้วจะให้อภัย หึ...
“อืม...ได้จ้ะ....”
“ฮัลโหล ลูกไผ่จ๊ะ”.....ไผ่.... ต้นข้าวตาลุกวาว
“คือต้นเค้าบอกว่าไม่มีอารมณ์คุยด้วยน่ะค่ะ.....”
“แม่ ต้นจะคุย” ต้นข้าวกระวีกระวาดลุกขึ้นจากเตียงวิ่งมารับโทรศัพท์ที่มารดาถือรออยู่อย่างดีอกดีใจ
‘....ถึงลูกจะเป็นยังไง คนเป็นแม่ก็ยอมรับได้เสมอ ขอเพียงลูกมีความสุข แม่ก็ดีใจและมีความสุขด้วยแล้ว แต่ขอเวลาปรับตัวนิดนึง....’
เกศสินี อมยิ้มที่มุมปาก เธอวางถาดข้าวต้มไว้ที่โต๊ะมุมห้องก่อนจะกลับลงไปเตรียมกับข้าวมื้อเย็นที่ทำค้างคาไว้ในครัว โดยไม่ได้ใส่ใจคำพูดกำชับของสามีเลยแม้แต่นิด
“ไผ่หรอ... ตอนนี้ไผ่อยู่ไหน เป็นไงมั่งอ่ะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า เลือดหยุดไหลหรือยังครับ” ต้นข้าวยิงคำถามมากมายทันทีด้วยความดีใจและเป็นห่วง
“...เดี๋ยว ๆ ทีละคำถามครับ ต้น....”
“เหอะๆ ก็คนเป็นห่วงนี่นา อยู่ดี ๆ โผล่มาให้คนใจร้ายต่อยหน้าเอา เดี๋ยวหมดหล่อพอดี” หนุ่มหน้าใสพูดอย่างเขินอาย
“ตอนนี้ผมอยู่หอครับ สบายดี ไม่เจ็บตรงไหนแล้วล่ะ (ขี้จุ๊... ยังปวดกรามหมุบ ๆ อยู่เลย) แค่โดนคุณพ่อตาซ้อมมวยให้แค่นี้เองจิ๊บ ๆ จะได้มั่นใจว่า ลูกเขยคนนี้จะปกป้องลูกสาว เอ้ยลูกชายของแกได้ไงครับ” ทิวไผ่พูดหยอกล้อปลายสายอย่างยิ้มกริ่ม แต่ตัวเองกลับเอามือลูบรอยบวมแดงบนใบหน้าและริมฝีปากม่อย ๆ
“อ๋อเหรอ...ทำปากเก่งไปเหอะ เลือดกบปากขนาดนั้น เดี๋ยวช่วยซ้ำรอยเดิมให้อดพูดไปเลยนี่”
“อ๊า...ใจร้าย ผมล้อเล่นน่า...” เวลาแบบนี้ยังมีหน้ามาทำอารมณ์ดีให้เรายิ้มได้อีก แล้วจะไม่ให้รักได้ยังไงเล่า.... “แล้วต้นเป็นไงบ้างครับ คงไม่....โดนคุณพ่อตีอีกนะครับ” ทิวไผ่ชั่งใจก่อนจะตัดสินใจถามออกไป
“ไม่แล้วล่ะ แต่โดนจับขัง ออกไปไหนไม่ได้เลย” ต้นข้าวทำเสียงละห้อย จนคนปลายสายอดสงสารไม่ได้ ทิวไผ่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาเองโดนไล่ออกจากบ้าน ต้นข้าวก็มาโดนกักบริเวณอีก ทำไมความรักของพวกเขาถึงมีอุปสรรคใหญ่หลวงอย่างนี้นะแล้วแบบนี้เขาจะทำยังไงต่อไปดี....
“....เดี๋ยวคุณพ่อก็คงอารมณ์เย็นลงนะครับ กินอะไรรึยังครับ”
“แม่เกดพึ่งยกข้าวต้นขึ้นมาให้เมื่อกี้เองครับ แล้วไผ่ล่ะ”
“ผมแค่ได้ยินเสียงต้น แค่รู้ว่าต้นสบายดีก็อิ่มอกอิ่มใจอย่างบอกไม่ถูกแล้วล่ะครับ” ...แน้ หยอดเข้าไป.....
…………………………………………………………………………………………………………
“นึกว่านายจะเบี้ยวซะแล้ว ว่าไง ให้เรารอนานเลยนะ”
“ไม่ได้คิดจะเบี้ยวหรอกน่า แค่หาโอกาสออกมาไม่ได้เท่านั้นเอง อ่ะนี่ 2,500 ครึ่งที่เหลือ เอาไป ขอบใจมากนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก เราก็ไม่ค่อยชอบหน้าไอ้ขี้เก๊กนั่นเหมือนกัน หมั่นไส้ว่ะ อยากป๊อบดีนัก คอยดูซิว่า พวกผู้หญิงที่กรี๊ดกร๊าดคลั่งไคล้ไอ้นั่นรู้ว่าขวัญใจตัวเอง ชอบไม้ป่าเดียวกันจะเฮิร์ตแตกกันขนาดไหน แล้วไอ้สองคนนั่นมันคงเต้นอยู่ไม่สุขกับผลงานของเราสองคนชัวร์ หึหึหึ รับรองมันต้องถูกใจนายแน่ ๆ”
“เฮ่ย...ขนาดนั้นเลยหรอ เราไม่อยากให้พวกเค้าเดือดร้อนกันขนาดนั้น แค่คบกันต่อไม่ได้ก็พอแล้ว” หนุ่มตัวเล็กออกอาการหวั่น ๆ
“เออน่า เดี๋ยวก็รู้ คงไม่หนักหนาสาหัสเท่าไหร่หรอกมั้ง แค่อาจจะต้องเลิกคบกันอย่างถาวรเลยล่ะ” ... ‘ให้ไอ้ขี้เก๊กนั่นมันเด้งออกจากคณะไปได้สิยิ่งดี บังอาจมาทำให้แฟนเราไปหลงแอบปลื้มมันอีกคน’.... คนพูดทำสีหน้าเหี้ยมเกรียม
“อืม อย่าให้รู้นะว่านายสองคนทำอะไรนอกเหนือคำสั่ง อีกอย่าง ต่อไปเราไม่เคยรู้จักกันอีกนะ แล้วหวังว่าเรื่องนี้คงจะเป็นความลับตลอดไป ถ้าเรื่องแดงขึ้นมา พวกนายสองคนก็ต้องเดือดร้อนกับเราแน่”
“รับรองได้น่า... นายไม่ต้องห่วง เราก็ห่วงตัวเองเหมือนกัน ถ้าเกิดเรื่องถึงอาจารย์หรือตำรวจ มีหวังพวกเราทั้งหมดโดนไล่ออก แถมต้องย้ายบ้านเข้าไปอยู่ซังเตแน่ ๆ”
“เออ ขอบใจ งั้นไปล่ะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าจะสงสัยเอา” พูดจบก็หันหลังเดินออกจากมุมมืดตรงลานจอดรถไปอย่างรวดเร็ว
.
.
.
‘เอ๊ะ...! นั่น….. มืด ๆ ค่ำ ๆ มายืนคุยกับใครอยู่ตรงนั้น ไหนบอกมีธุระจะไปทำไม่ใช่เหรอ....’ สายชล ชะลอรถมองตรงไปยังบริเวณมุมลานจอดรถหน้าตู้เอทีเอ็มอย่างแปลกใจ
“ดีครับน้องฟ้า จะกลับหอเหรอครับ ปะ พี่ไปส่ง” รุ่นพี่หนุ่มเข้าไปทักทาย หลังจากสายฟ้าเดินออกมาจากลานจอดรถ สายฟ้ามีอาการตกใจนิด ๆ แต่ก็พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติอย่างรวดเร็ว
“หวัดดีครับพี่น้ำ ขอบคุณครับ” สายฟ้าเปิดประตูรถเก๋งคันหรูขึ้นไปนั่งข้างคนขับ
“เมื่อกี้ยืนคุยกับใครอยู่ตรงมุมลานจอดรถนั่นหรอครับ”....แย่แล้วสิพี่น้ำเห็นซะแล้ว ซวยแล้วมั้ยล่ะ...
“เอ่อ....คือ ฟ้าเอาของมาให้เพื่อนน่ะครับพี่น้ำ” ...หวังว่าคงจะเชื่อนะ....
....เอาของมาให้ ทำไมต้องหลบยืนคุยกันในมุมมืดขนาดนั้นนะ..... “แล้วไม่ได้ไปธุระไหนหรอครับ”
“อ๋อ ไปมาแล้วล่ะครับ มีนัด consult group project กับเพื่อน ๆ น่ะครับพี่”
“ครับ ๆ แล้วนี่เรากินไรมารึยัง”
“เรียบร้อยมาแล้วครับ”
“พี่ซื้อโมจิมาฝากด้วยนะ เอาไว้กินยามหิวเวลาอ่านหนังสือตอนดึก ๆ ล่ะกัน”
“ขอบคุณครับ”
...
“ผมตัดสินใจแล้วนะคุณ เราจะให้ลูกลาออก” อรรณพพูดเปรยขึ้นกับภรรยาบนโต๊ะอาหารค่ำ
‘....ลาออก....’ ต้นข้าวใจหล่นวูบ เมื่อได้ยินคำพูดของบิดา ขณะเขาย่องลงมาเอาขนมที่ห้องครัว เพราะแม่ของเขาไม่ได้ล็อกห้องไว้ ก่อนจะแอบฟังพ่อกับแม่คุยกันต่อที่บันไดบ้าน
“หมายความว่าไงคะ อนาคตของลูกทั้งคนนะคะ คุณจะให้ลูกหยุดเรียนกลางคันไม่ได้ ชั้นไม่ยอมหรอกค่ะ”
“ฟังให้จบก่อนสิ ผมจะส่งตาต้นไปอยู่กับเจนภพที่ออสเตรเลีย พรุ่งนี้ ไปเก็บข้าวของลูกย้ายออกจากหอพักได้เลย”
‘....ออสเตรเลีย....’ หนุ่มหน้าใสเริ่มนั่งไม่ติด ทำไมพ่อใจร้ายกับเขาขนาดนี้ ต้นข้าววิ่งขึ้นห้องไปอย่างร้อนรน
“แล้วลูกจะไม่เสียเวลาไปเปล่า ๆ ตั้งหนึ่งปีเหรอคะ”
“เสียเวลาแค่นี้ ดีกว่าลูกเราเสียอนาคตเสียคนน่าคุณ” ...เกศสินีถอนหายใจอย่างจำนน เธอคงขัดขวางการตัดสินใจของสามีไม่ได้แล้ว....
“แล้วจะให้ลูกไปเมื่อไหร่คะ”
“อีก 2 อาทิตย์ หรือเร็วกว่านั้น ถ้าวีซ่าเสร็จเร็ว”
“ชั้นคงคิดถึงลูกต้นแย่เลย”
“เดี๋ยวเราบินไปเยี่ยมลูกบ่อย ๆ ก็ได้นี่”
.
.
ต้นข้าวนอนกระสับกระส่ายอย่างว้าวุ่นใจ ถ้าเขาต้องแยกจากไผ่ไกลชนิดไม่ได้มีโอกาสเจอกันได้เลยเขาคงขาดใจตายแน่ ๆ
....จะทำยังไงดี โทรหาไผ่ก็ไม่ได้ เพราะโทรศัพท์ก็ไม่มีเงินซักบาท แถมไผ่พึ่งจะวางหูไปหยก ๆ แต่ยังพอมีทางโทรศัพท์บ้าน แต่ว่ามันอยู่ในห้องรับแขกข้างล่าง โอ๊ย...หัวจะระเบิดตายอยู่แล้ว
เขาแอบย่องลงไปดูที่เชิงบันไดอีกครั้ง แต่ก็พบว่า พ่อกับแม่ยังนั่งคุยกันอยู่หน้าจอทีวีในห้องรับแขกเหมือนเดิม อ๊าก...ต้องจำใจเดินคอตกขึ้นมานอนเกลือกกลิ้งอย่างใจจะขาดอยู่บนเตียง เฝ้าภาวนาให้ไผ่โทรหา หรือ ไม่ก็ให้พ่อกับแม่รีบขึ้นไปนอนเร็ว ๆ ซักที ทันใดนั้น ‘ตึ้ด ๆ ๆ...’โทรศัพท์สั่น อ๊า...สวรรค์ทรงโปรด
“ฮัลโหลไผ่ แย่แล้วพ่อจะ...”
“ขอโทษครับ โทรผิด” ‘...ตู๊ด ๆ ๆ.....’
“ไอ่เจี้ย....” ต้นข้าวสบถอย่างหัวเสียสุดขีด
....เฮ่อ...หมดหวังแล้วสิ ม่ายยย....ขืนเป็นแบบนี้เราต้องใจขาดตายก่อนถูกส่งไปออสเตรเลียแน่ ๆ ... แอบย่องลงไปดูที่เชิงบันไดเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ แต่ก็ต้องเดินคอตกกลับมาในสภาพเดิม
“ไม่ไหวแล้ว...ฮือ ๆ ๆ...หัวเด็ด ตีนขาดยังไงเราก็จะไม่ไปออสเตรเลียเด็ดขาด...” ต้นข้าวซบหน้ากับหมอนปลดปล่อยสายน้ำแห่งความคับแค้นแน่นออกออกมาจนเปียกโชก
‘ตึ๊ด ๆ ๆ ๆ ....นี่ใช่ไหมคือความรัก ใช่หรือเปล่า ขอบฟ้าที่ดูสีเทา ๆ ดูสดใสขึ้นทันใด ชั้นไม่รู้เรียกว่ารักได้หรือเปล่า ยังไม่แน่ใจ เพียงแค่รู้ว่าเป็นไปเพราะเธอ....’
“ฮาโหล... ฮึ่ก ๆ”
“หวัดดีครับต้น ผมนอนไม่หลับน่ะ ก็เลยโทรหา เอ๊ะ...ต้นร้องไห้ ใครทำอะไรต้น บอกผมซิ...” ทิวไผ่ถามอย่างคาดคั้นสงสัยด้วยความเป็นห่วงเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นมาตามสายโทรศัพท์
“...พ่อจะส่งเราไปอยู่ออสเตรเลียกับอาภพ... ไผ่ เราจะทำยังไงดี เราไม่อยากไป เราจะอยู่กับนาย กับแม่ กับฟ้า แล้วก็เพื่อน ๆ ฮึ่ก ๆ ฮืออออ….”
“............” ....ออสเตรเลีย.... ไม่จริงใช่ไหม เขาหูฝาดไปแน่ ๆ....
“พรุ่งนี้พ่อจะให้คนไปเก็บของออกจากหอพักแล้ว ไผ่ ช่วยต้นด้วย...” ...อะไรจะรวดเร็วปานนี้....ไม่ได้การแล้ว ในเมื่อเข้าตามตรอกออกตามประตูไม่ได้ งั้นตายเป็นตายล่ะ...
“ต้น คุณ พ่อ กับคุณแม่นอนยัง”
“ไม่รู้...เมื่อกี้ยังนั่งคุยกันอยู่ข้างล่างอยู่เลย”
“เดี๋ยวผมไปหานะครับ อย่าพึ่งนอนล่ะ”
“เดี๋ยว...” ทิวไผ่วางสายไปแล้ว ...จะมาตอนกลางคืนเนี่ยนะ ถ้ามาเจอพ่อยังไม่นอนอีกจะทำไงเนี่ย คงไม่โดนยิงไส้แตกนะ....
………………………………………………………………………………………………………..