“อ้าวนี่ไผ่ มากับต้นได้ไงครับ ดึก ๆ ดื่น ๆ แบบนี้ ไหนว่าตอนแรกต้นค้างที่บ้านไม่ใช่หรอ” สายฟ้ายิงคำถามเป็นชุดด้วยความสงสัย ขณะที่ต้นข้าวผวาเข้ากอดเพื่อนรักทันทีที่พบหน้า ก่อนจะสะอื้นไห้ปล่อยน้ำตาร่วงรินอย่างอัดอั้น “ต้นเป็นอะไรมากหรือเปล่า ต้นมีอะไรบอกเราได้ไหม” สายฟ้าพยายามถามไถ่ ขณะที่จิตใจกำลังว้าวุ่นอย่างหนัก
“เอ่อ...คือ เรื่องมันยาวน่ะครับฟ้า” ทิวไผ่ตอบแทนต้นข้าวที่กำลังสะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดของหนุ่มร่างเล็ก ก่อนจะก้มหน้าบอกเล่าเรื่องราวที่แสนเจ็บปวดรวดร้าวใจ “คือเราสองคนมีปัญหาทางบ้านน่ะครับ มีคนส่งรูปเราสองคนไปที่บ้าน แล้ว...” ทิวไผ่หยุดพูด ขณะที่สายฟ้าหัวใจหล่นวูบ ‘รูปพวกนั้นไปโผล่ที่บ้านต้นกับไผ่งั้นเหรอ พวกนั้นทำเกินคำสั่งมากไปแล้ว แต่ถ้าเราไม่คิดจะทำตั้งแต่แรก เรื่องยุ่ง ๆ ก็คงไม่เกิดขึ้น’
“...แล้ว ที่บ้านก็เรียกเราไปเคลียร์ ยื่นคำขาดให้เลิกติดต่อกัน แต่...เราสอง คน ยืนยันในความบริสุทธิ์ใจที่มีต่อกัน ก็เลย.....” สายฟ้าลุ้นรอฟังคำบอกเล่าจากปากหนุ่มหน้าเข้มตรงหน้า อย่างพะว้าพะวงต่อสิ่งที่จะได้ยินต่อไป
“....พ่อไล่ผมออกจากบ้าน” สายฟ้าทรุดฮวบอย่างอ่อนแรงจนต้นข้าวรู้สึกได้ “....ส่วนต้นจะต้องลาออกจากที่นี่ และถูกส่งไปอยู่กับอาที่ออสเตรเลีย” หนุ่มร่างเล็กปากสั่นสะท้าน หยดน้ำใส ๆ ร่วงรินด้วยความสำนึกผิดที่ตัวเองได้สร้างบาปมหันต์ จิตใจเย็นชาต่ำช้าทำร้ายได้แม้กระทั่งเพื่อนรักของตนและคนรัก
“ฟ้า เราอยู่นี่ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว พรุ่งนี้พ่อจะมาเซ็นลาออก และให้คนมาเก็บของออกจากหอ เราต้องไป เราจะไม่ยอมถูกบังคับอีกต่อไปแล้ว” ต้นข้าวละล่ำละลักทั้งยังสะอื้นอยู่
“...ต้น ...ไผ่ เราขอโทษ...” สายฟ้าก้มหน้าสะอื้นพร้อมกระชับอ้อมกอดเพื่อนรักแน่นขึ้น เขาพยายามกลั้นสะอื้นปริ่มใจจะขาดในสิ่งเลวร้ายที่สุดที่ได้ทำลงไป โดยที่ไม่สามารถที่จะแก้ไขความผิดพลาดใหญ่หลวงครั้งนี้ได้เลย
“เราขอโทษ ที่...ที่ไม่สามารถช่วยอะไรพวกนายได้เลย...”
“ไม่เป็นไรหรอกครับฟ้า ต้องขอบคุณฟ้ามากนะครับที่เป็นห่วงเราสองคน” คำขอบคุณอย่างจริงใจของทิวไผ่ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกผิดให้ติดแน่นในจิตใจ ‘ถ้าเค้ารู้ว่าเราเป็นคนทำ ยังจะดีกับเราอย่างนี้อีกมั้ยนะ’
“เราจะต้องไปจากที่นี่ในคืนนี้” ทิวไผ่เอ่ยขึ้น
“ไปไหน...” สายฟ้าถามขึ้นอย่างสงสัย
“ยังไม่รู้ แต่จะต้องไป” พูดจบทิวไผ่ก็ลงมือจัดการเก็บเสื้อผ้าและของใช้ที่จำเป็นทั้งของตัวเองและคนรัก แพ็คใส่กระเป๋าทันที สายฟ้าไม่เห็นด้วยนักที่สองหนุ่มจะเดินหนีปัญหา แต่ทำไงได้ เมื่อเขาไม่อาจจะมีหน้าไปทัดทานหรือเสนอทางออกที่ดีไปกว่านี้ได้อีกแล้ว เพราะสมองก็มืดแปดด้านด้วยความรู้สึกผิด แถมตัวเองยังเป็นตัวต้นเหตุทั้งหมดของเรื่องอีกด้วยซ้ำ
.
.
“เดี๋ยวไง นายสองคนเซ็นใบรักษาสภาพนิสิตระหว่างพักการเรียนไว้นะ เดี๋ยวเราจะไปยื่นเดินเรื่องให้ ยังไงถ้าทุกอย่างลงตัวแล้วจะได้กลับมาเรียนต่อได้ จะได้ไม่เสียเวลาที่ผ่านมาไปโดยเปล่าประโยชน์” นี่คงเป็นข้อเสนอให้ความช่วยเหลือที่สายฟ้าสามารถจะทำให้เพื่อนได้อย่างหนึ่ง ถึงมันจะช่วยไถ่โทษที่เขาได้ทำไปแล้วไม่ได้เลยก็ตามที
สามหนุ่มล่ำลากันอย่างอาลัยอาวรณ์ โดยเฉพาะเพื่อนรักทั้งสองคนต่างห่วงหาอาทร กันเป็นพิเศษ เพราะเรียนด้วยกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม หนุ่มร่างเล็กนั้นต้องมีตราบาปแห่งความรู้สึกผิดติดข้องหมองมัวไปอย่างที่เจ้าตัวเองก็ไม่อาจรับได้กับการกระทำของตนเองในฐานะคนทำลายชีวิตทั้งชีวิตของเพื่อนรักถึงสองคนในคราวเดียวกัน
“ได้ที่อยู่แล้วยังไงก็ติดต่อมาบ้างนะต้น ส่วนทางนี้เราจะคอยรายงานผลให้ทราบเอง ไผ่ดูแล้วต้นดี ๆ นะครับ ถือซะว่าหนีความวุ่นวายไปซักพัก อะไร ๆ ดีขึ้นแล้วค่อยกลับมา ไม่ใช่ไปแล้วไปลับซะหน่อย”
“ขอบใจนายมากนะ” ต้นข้ามพูดกับเพื่อนรัก ก่อนที่สามหนุ่มจะสวมกอดกันเป็นการล่ำลาครั้งสุดท้าย
ทิวไผ่กับต้นข้าวแอบย่องออกจากหอขณะที่ยามหน้าหอเผลอโดยมีสายฟ้าคอยดูต้นทางให้
...
สายฟ้ากลายเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งไปทันที ในฐานะมีส่วนรู้เห็น เมื่อเพื่อนร่วมห้องทั้งสองคนหายออกจากห้องไป แถมยังเป็นเพื่อนรักที่สนิทคุ้นเคยกัน จนญาติผู้ใหญ่ของทั้งฝ่ายต้นข้าวและสายฟ้าให้ความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน สายฟ้าเองก็ได้แต่แก้ตัวว่าวันนั้นเขาทำกิจกรรมที่คณะมา ด้วยความเพลียจึงหลับสนิทไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย ไม่รู้ว่าทิวไผ่กับสายฟ้าย่องออกจากห้องไปตอนไหน และไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะเรื่องทางบ้านของต้นข้าวกับทิวไผ่เอง เขาก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ ถึงมันจะเป็นการโกหกสร้างเรื่องอย่างที่ไม่ควรทำ แต่ทำไงได้ล่ะ ในเมื่อเขาไม่อยากจะเป็นคนทำลายชีวิตและความรักของเพื่อนเป็นครั้งที่สองอีกแล้ว ครั้งที่ผ่านมาเพราะความเห็นแก่ตัวและความอิจฉาริษยาของเขาแท้ ๆ เชียว ที่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายบัดซบนี่ขึ้นมา
‘นี่ก็จะครบหนึ่งสัปดาห์เข้าไปแล้ว ต้นกับไผ่ทำไมยังไม่ติดต่อมาซักทีนะ เป็นยังไงกันบ้างก็ไม่รู้ ชักเป็นห่วงแล้วสิ’
“น้องฟ้าครับ น้องฟ้า.....”
“หะ หา.... ว่าไงครับพี่น้ำ” สายฟ้าตื่นจากภวังค์อย่างเงอะงะ เหมือนคนไม่มีสติอยู่กับเนื้อกับตัว เมื่อถูกรุ่นพี่หนุ่มเรียกขาน
“พี่เห็นเรานั่งเขี่ยข้าวในจานเล่นอยู่นานแล้วนะครับ ทำไมไม่กินหรอ รึว่าไม่อร่อย”
“เปล่าหรอกครับพี่ ก็อร่อยดีนี่ครับ”
“พักนี้พี่เห็นเราซึม ๆ เหม่อลอยแบบนี้อยู่บ่อย ๆ นะ มีอะไรหรือเปล่าครับ ปรึกษาพี่ได้นะครับ เห็นเราเป็นแบบนี้แล้วพี่ไม่ค่อยสบายใจเลย” สายชลถามไถ่หนุ่มร่างเล็กด้วยความเป็นห่วง
“แล้วเพื่อนเราสองคนพักนี้พี่ก็ไม่ค่อยเห็นหน้าเลยนะครับ อืม...ชื่อ... ต้นกับไผ่น่ะ ที่รู้สึกว่าเป็นเมทเรา เค้าไปไหนกันหรอครับน้องฟ้า รึว่าช่วงนี้มีค่ายนอกสถานที่” สายฟ้ารู้สึกจุกที่ลำคอจนแน่นหน้าออกไปหมด น้ำตาเจ้ากรรมกำลังเอ่อท้นที่ขอบตา เขาพยายามก้มหน้านิ่งและสกัดกั้นมันอย่างสุดฤทธิ์
“ฟ้าขอตัวแป๊บนะครับพี่น้ำ” สายฟ้ารีบลุกขึ้นเดินกึ่งวิ่งตรงไปยังห้องน้ำหลังร้านทันที โดยมีรุ่นพี่หนุ่มมองตามหลังไปด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะตัดสินใจลุกตามไปในที่สุด
สายฟ้าเท้าแขวนที่ขอบอ่างล้างหน้า ก้มหน้าปล่อยให้น้ำตาร่วงรินไหลอาบแก้มอย่างสุดที่จะห้ามไว้ได้ สายชลรู้สึกตกใจที่เห็นรุ่นน้องคนรักของเขายืนสะอึกสะอื้นอยู่ ก่อนเดินไปยืนข้าง ๆ และตบที่ไหล่หนุ่มน้อยเบา ๆ เชิงปลอบโยน
“น้องฟ้า เป็นอะไรมากรึเปล่าครับ”
“พี่น้ำ....ฮือออ.... ฟ้ามันเลวฟ้ามันแย่ที่สุด” สายฟ้าปรี่เข้าสวมกอดรุ่นพี่ไว้แน่น ก่อนพร่ำเพ้อความอัดอั้นตันใจออกมา สายชลยืนนิ่งก่อนจะค่อย ๆ ยกมือขึ้นกอดตอบพลางลูบที่หลังและที่ศีรษะ หนุ่มน้อยในอ้อมอกเบา ๆ อย่างอ่อนโยน
“น้องฟ้าอย่าว่าตัวเองแบบนั้นสิครับ เกิดอะไรขึ้น มีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า บอกพี่ได้ไหม”
“ฟ้า... ฟ้าทำให้เพื่อนต้องหนีออกจากบ้าน ฟ้าทำร้ายแม้กระทั่งเพื่อนตัวเอง ฮือ ๆ” สายฟ้าสะอื้นไห้ปริ่มใจจะขาด น้ำตาเอ่อนองจนเสื้อของสายชลเปียกชุ่มไปหมด
“มีเรื่องอะไรกันหรอ บอกพี่ได้ไหม”
“ฟ้ากลัว...ถ้าบอกแล้วพี่น้ำจะเกลียดฟ้า ฮึ่ก ๆ ฮือออ...”
“ไม่หรอก ยังไงถ้าฟ้าคิดว่าตัวเองทำผิดแล้วสำนึกผิด ก็ควรที่จะให้อภัยนะ เดี๋ยวเราไปคุยกันต่อข้างนอกดีกว่าตรงนี้คงไม่สะดวกเท่าไหร่”
สายชลปลอบหนุ่มรุ่นน้อง ก่อนที่สายฟ้าจะปราดน้ำตาทิ้งและล้างคาบตาออก แต่ดวงตาก็ยังแดงก่ำให้เห็นอยู่เนื่องจากการร้องไห้มาอย่างหนัก
ระหว่างทางกลับหอสายฟ้าเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้รุ่นพี่หนุ่มฟังอย่างหวาดหวั่นว่าสายชลจะไม่เกลียดเขาอย่างที่รับปากไว้หรือเปล่า เพราะรุ่นพี่หนุ่มเอาแต่นิ่งเงียบระหว่างที่สายฟ้าบอกเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่คิดที่จะให้อภัยตัวเองซะด้วยซ้ำ
สายชลเองรู้สึกน้อยใจตัวเองอยู่ลึก ๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาทุ่มเททุกอย่าง แต่เขาไม่สามารถพิชิตใจสายฟ้าได้เลยหรือ หนุ่มน้อยคนนี้กลับไม่สนใจใยดีเขาเลย แถมยังคงอาลัยอาวรณ์คนที่ตนแอบรักเขาอยู่ข้างเดียว มันคงเหมือนกับตัวเขาตอนนี้ มิตรภาพที่ได้รับกลับมาคงเป็นความเกรงใจระหว่างรุ่นพี่กับรุ่นน้องกระมัง แต่ยังไงซะ ต่อไปนี้เขาก็ควรจะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสสินะ เพราะไม่มีศัตรูหัวใจอีกต่อไปแล้ว
รถเคลื่อนมาหยุดอยู่หน้าหอพัก สายชลยิ้มอย่างให้กำลังใจก่อนจะเอื้อมมือไปลูบผมหนุ่มน้อยอย่างเอ็นดูและโน้มศีรษะมาจุมพิตที่หน้าผากเบา ๆ หนึ่งครั้งช่วยให้สายฟ้าใจชื้นขึ้นมาบ้าง
“เดี๋ยวพี่ว่าเรามาช่วยกันคิดหาทางช่วยเหลือไผ่กับต้นให้ครอบครัวเค้าเข้าใจและยอมรับกันดีกว่านะ”
“ยังไงหรอครับพี่ ฟ้ามือแปดด้านมองไม่เห็นหนทางเลย” สายฟ้าพูดอย่างยอมจำนน
“นั่นน่ะสิ คงยากน่าดูแต่ไม่ลองไม่รู้นะ มันต้องมีหนทางดี ๆ ซักทางสิน่า เอาไปคิดเป็นการบ้านละกัน ในฐานะการทำคุณไถ่โทษ” สายฟ้าก้มหน้านิ่ง จนสายชลรู้สึกผิดในสิ่งที่พูดออกไปเมื่อสักครู่ “เอ่อ....เดี๋ยวพี่ช่วยคิดอีกแรงนะ”
“แต่เอ....แบบนี้ทั้งห้องเราก็อยู่คนเดียวน่ะสิ เหงาแย่เลย ไงเดี๋ยวพี่มานอนเป็นเพื่อนดีกว่า” สายชลยิ้มกริ่มส่งสายตาหยาดเยิ้มอย่างมีเลศนัย จนสายฟ้าหน้าแดงอย่างเอียงอาย ช่วยเปลี่ยนให้บรรยากาศซีเรียสหมดไปอย่างได้ผล
“ไม่ต้องเลย ฟ้าอยู่คนเดียวได้ ขืนพี่มาอยู่ด้วยมีหวังฟ้าโดนพรากเวอร์จิ้นกันพอดี”
“อ๊ะอ๊า...คิดอารายอยู่ พี่แค่จะมาอยู่เป็นเพื่อน ไม่ได้คิดอะไรซักหน่อย เอ... แบบนี้ ครายหื่นกันแน่น้า...” สายชลยั่วเย้าจนหนุ่มร่างเล็กเขินอายหนักเข้าไปอีก
“บ้าสิ ไปแล่... ขอบคุณที่มาส่งและขอบคุณที่ยืนเคียงข้างฟ้าครับ” สายฟ้าก้าวลงจากรถ ก่อนโบกมือลารุ่นพี่ แล้วเดินขึ้นหอไปอย่างสบายใจขึ้นมาอย่างมากที่ได้ระบายความอึดอัดในใจที่เก็บงำมาคนเดียวตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาออกไป และยังมีคนพร้อมที่จะยืนเคียงข้างเขาหาทางแก้ไขในสิ่งผิดพลาดที่เขาได้ทำลงไป
...