ตอนที่ 15
............เฮ้อ......
.....คิดแล้วก็.....เฮ้อ......
....ดูปฎิทิน............เฮ้อ......
.....เห็นเชียร์ลีดเดอร์แล้วก็.....เฮ้อ......
....มองแป้นบาสแล้วยิ่ง......
"เฮ้อ....."
"เฮ้ย! ไอ้เม้งมรึงมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?" เจือกมานั่งเฮ้อๆ รดต้นคอตรูอีก
"ก็ตั้งแต่มรึงถอนหายใจครั้งที่สามนั่นแหละ เป็นอะไรอีกล่ะวันนี้?"
"กรูกลุ้มใจก็ถอนหายใจดิวะ หรือจะให้กรูถอนสายบัวเลย"
"โหย! มุข N - O แล้วก็ O - K.....เก่าแสรดดดด อย่าไปเล่นมุขนี้กับใครนะเดี๋ยวเขานึกว่ามรึงอายุ 30"
จะไม่กลุ้มได้ไงตอนนี้ผมสับสนไปหมดแล้ว จากทีแรกตั้งใจจะเอาเหรียญทองเพื่อกริชแต่กลายเป็นว่าผมนัดเจอเขาในเย็นวันแรกของกีฬาสี
แน่นอนว่าตอนนั้นบาสชายม.ปลายยังแข่งไม่จบแหงๆ ....ยังไงก็เถอะผมตั้งใจแล้วว่าวันนั้นผมจะบอกความจริง.....แต่ไม่มีเหรียญนี่สิ......
"เฮ้อ..."
"ขอบใจเม้ง ช่วยกรูประหยัดแรงถอนหายใจได้เยอะเลย"
ผ่านมาได้เกือบสามสัปดาห์แล้ว มีแค่บางคืนที่ได้โทรคุยกับกริชแต่ก็แค่สั้นๆ อย่างน้อยผมก็ดีใจที่เขามีเพื่อนอยู่รอบตัวตลอดเวลา
ผมนึกถึงคำที่กริชเคยพูด "....อิจฉาเพื่อนต้นจัง ได้อยู่กับต้นตลอดเวลาเลย....." ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าเขารู้สึกยังไง อีกไม่นานความรู้สึกนี้ก็จะจบลง
แต่จบแบบไหนผมก็ไม่รู้ จะคิดมากไปก็เท่านั้น
บางทีชีวิตคนเรามันเหมือนเจ้าลูกบาสในมือนี้....ทำใจให้ว่าง มุ่งมั่นกับของตรงหน้า คิดว่าแป้นบาสมันกว้างมาก แล้วก็ชู๊ต.....
เมื่อทำให้สุดความสามารถ มองโลกในแง่ดีนิดหน่อยแล้วที่เหลือก็ปล่อยให้โชคชะตาทำงานของมันไป คนเราคาดหวังให้ทุกอย่างเป็นอย่างที่หวังไม่ได้หรอก
"อะแฮ่ม! เป็นสามคะแนนที่เจ๋งมาก ....แต่นี่วิชาตะกร้อนะ!"
".....แหะๆ ขอโทษคร้าบอาจารย์"
ดูเหมือนเรื่องที่ต้องทำสุดความสามารถในตอนนี้คือซ้อมเดาะตะกร้อสามสิบทีก่อนไม่งั้นตกวิชาพละแน่
พอจบคาบพละก็ต้องรวบรวมลูกตะกร้อมาใส่รถเข็นไว้สำหรับคาบถัดไป ก็ห้องของเจ้าวิงนั่นแหละ
"ต้น เห็นอาจารย์เดินมาแล้วนะจะไปยัง?"
"......เออๆ ไปละ" ผมกวาดตามองรอบสนามอีกทีแต่ก็ไม่เจอ...
"เออต้น! ยังไม่เห็นผลการแบ่งสายกีฬาเลย ไหนพี่โจ้บอกว่าจะติดกระดานวันนี้วะ?"
"อ๋อ.....เออ....คงบ่ายๆ มั้ง ฝากดูด้วยละกันนะเม้ง" อยากไปดูเองแต่คนคงมุงกันเยอะแยะมันเสี่ยงเกินไป เม้งก็พยักหน้าเงียบๆ
.......
.......
"......เม้ง"
"หืม?"
"ขอโทษนะ"
"ขอโทษเรื่องอะไรวะ?"
"กรูทำให้มรึงต้องย้ายสีตามกรูมาแต่...."
ปีที่แล้วผมกับเม้งยืนดูบอร์ดและคุยกันได้เป็นวันๆ ว่าเจอสีไหนจะวางแผนยังไง คุยกันได้เป็นวันๆ เลยแต่ตอนนี้ผมได้แต่หลบอยู่ในห้อง
"ถ้ามรึงยังอยู่สีเขียว มรึงคงสนุกมีเพื่อนคุย----โอ๊ย!!!" ตบหัวตรูทำไมวะ! แต่มันหัวเราะชอบใจใหญ่
"กรูตบให้นิสัยห่วงแต่คนอื่นกระเด็นออกจากหัวมรึงไง ต้นมรึงคิดว่ากรูอยู่กับมรึงเพื่อความสนุกเหรอวะ?"
"แล้วเพื่ออะไรล่ะ?" ผมมองตามัน
"เออ...ฮะฮะ! ไม่รู้ว่ะ"
*********************************
ทานข้าวเที่ยงเสร็จเม้งก็ไปดูบอร์ดที่โรงยิมซึ่งคนมุงเยอะเหมือนทุกปี ผมซื้อขนมโมจิถุงนึงกลับมากินแก้เครียดที่ห้องระหว่างรอฟังผล
และสาหร่ายซองที่เม้งชอบกินอีกสองซองเป็นของง้อมัน พอเดินขึ้นบันไดมาก็เจอเจ้าวิงกระเป๋านักเรียนกำลังเดินขึ้นตึกพอดี
"วิง เมื่อเช้าไปไหนมา? เพิ่งมาเหรอเนี่ย?"
"หวัดดีต้น เราเป็นหวัดนิดหน่อยเลยไปหาหมอน่ะ แล้ววันนี้พละสอนอะไรบ้างเหรอ?"
"วันนี้ซ้อมเดาะตะกร้ออย่างเดียว นายเป็นอะไรมากมั๊ย?" เอามืออังหน้าผากมันก็ไม่ร้อนนี่นา
"เฮ้ย! ต้นอย่าใกล้เรามากเดี๋ยวนายไม่สบายไปด้วย"
"ฮะฮะ คนบ้าน่ะไม่เป็นหวัดหรอก อย่าห่วงเลย"
"มาทำอะไรประเจิดประเจ้อตรงบันไดวะ?" เม้งพาหมาในปากมาเดินเล่น
"วิงมันไม่สบายว้อย เอาสาหร่ายไปกินแก้เหงาปากซะมรึง"
"นายไม่สบายเหรอวิง?"
"อืม แต่ดีขึ้นแล้วล่ะ เม้งจะไปเล่นบอลเหรอ?"
ในมือเม้งมีลูกบอลพลาสติกใหม่เอี่ยมสินค้า OTOP อีกอย่างประจำโรงเรียนนี้ ลูกบอลพลาสติกที่ไม่ชอบพุ่งเข้าโกล์แต่พุ่งขึ้นไปค้างบนหลังคาตึก
"ซื้อมาเล่นกับไอ้ต้นน่ะ" .....เม้ง...เพื่อนที่แสนดี....
"วันๆ มันเก็บตัวอยู่แต่ในห้องจนน้องชายหมกมุ่น" ....ขอถอนคำพูดได้ไหม....
"ต้นเป็นน้องคนสุดท้องไม่ใช่เหรอ?" หัวเราะกลบเกลื่อนไปก่อน อย่าให้บอลเข้าเท้าตรูเชียว
"งั้นเราไปเล่นบอลละนะใกล้จะหมดพักเที่ยงแล้ว เออ..ว่าแต่จะทำไงกับโมจิดีล่ะเนี่ย?"
"เก็บไว้กินในห้องดิ กรูจะได้กินด้วย"
"ไม่เอาเดี๋ยวมดขึ้น กินมดหนึ่งตัวโง่ไปเจ็ดวันนะมรึง"
"วิงเอาไปกินต่อทีดิ เราเพิ่งกินชิ้นเดียวเอง" ผมไม่รอมันตัดสินใจ จับยัดใส่มือเลยจะได้ไม่ต้องถามเรื่องน้องชายอีก
"ขอบใจนะต้น แล้วเย็นนี้เราไปหาที่สนามบาสนะ"
"ได้ๆ แล้วตอนนี้นายหายดีแน่นะ?"
"อืม" เจ้าวิงตอบสั้นๆ แล้วเดินขึ้นบันไดไป ผมก็ยังอดห่วงนิดๆ ไม่ได้เพราะเห็นมันคลำหน้าผากป้อยๆ สงสัยจะปวดหัวมั้ง
"ตกลงทีมเราได้บายมั๊ยเม้ง?"
"ตรงกันข้ามเลยว่ะ ต้องแข่งตั้งสามรอบแน่ะ"
เม้งเขี่ยบอลไปมา เล่นหลังตึกเรียนแบบนี้เสียงดังมากไม่ได้ไม่งั้นเจออาจารย์ด่าแน่ ดีที่ยังอยู่ในช่วงพักเที่ยง
"แล้วนัดแรกเจอสีอะไรเหรอ?"
"สีม่วง แข่งวันพฤหัสหน้านี่แหละ"
"แล้วครั้งต่อไป?"
"ต่อไปเจอสีเหลืองว่ะแข่งวันที่สองของกีฬาสี ส่วนรอบชิงแข่งวันที่สาม" ....เหอะ สงสัยกรูจะตายตั้งแต่รอบสอง....
ก็ยังดีที่ครั้งแรกไม่ได้เจอสีเขียวของเม้งหรือสีฟ้าของเจ้าวิง ผมล่ะไม่อยากเห็นใครทำหน้าเศร้าเลย
"ทำหน้าแบบนั้นอีกแล้ว เดี๋ยวเจอเบิร์ดกระโหลกอีกหรอก" เผียะ!
"ไอ่แสรดดด คำว่าเดี๋ยวของมรึงมันแปลว่าเดี๋ยวนี้เรอะ!" บงบอลไม่ต้องเล่นแล้ว เล่นจี้เอวไอ้เม้งแทนละกัน
"เหงื่อเต็มเลยเข้าห้องไม่ได้แน่ ไปนั่งพักก่อนเหอะต้น"
"ก็ดีเหมือนกัน"
ผมเอนตัวลงนอนบนหญ้าใต้ร่มเงาต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ ปกติคงโดนอาจารย์มาไล่แน่แต่ใกล้ช่วงกีฬาสีมีคนทำกิจกรรมกันเยอะแยะ ตรงไหนพอจับจองที่ได้
ก็จะมีคนอยู่ไปหมด ด้วยประสบการณ์ในโรงเรียนสามปีทำให้รู้จักมุมลับตาสุดๆ นอนเอกเขนกได้สบาย อย่าว่าแต่กริชเลย อาจารย์ก็ยังหาไม่เจอ
"ไม่ได้ทำแบบนี้นานแล้วว่ะต้น"
"อืม....จำได้มั๊ยตอนม.2 เจอรองผอ.เรียกไปสวดยับเลย"
"มรึงน่ะเจือกชวนกรูโดด แถมเสล่อไปนั่งให้'จารย์เห็นอีก"
"วันแรกมีแต่จดจุดประสงค์การเรียนรู้ จดไปก็ไม่ได้อ่านอยู่ดีแหละ"
เม้งนอนเอามือหนุนหัวอยู่ข้างๆ จ้องมองไปต้นไม้ข้างบน "บางกิ่งมันเริ่มออกดอกแล้วล่ะ"
อีกไม่กี่เดือนต้นนี้จะออกดอกสีชมพูเต็มต้นสมชื่อ เป็นสัญญาณของฤดูหนาวและเป็นช่วงเวลาที่โรงเรียนจะสวยที่สุด
ผมฝันจะเดินกับกริชผ่านต้นไม้ประจำโรงเรียนนี้คงบรรยากาศดีสุดๆ
"คงจะได้เห็นพร้อมกับมรึงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วว่ะต้น"
ผมเด้งตัวขึ้นทันที "แสรด พูดอะไรไม่มงคลเลยมรึง"
"กรูหมายถึงปีหน้าไม่มรึงก็กรูคงได้เข้ามหาลัยตะหาก มรึงคิดมากเกินไปรึเปล่า? นอนลงมาดิเดี๋ยวอาจารย์เห็น" ...เออวุ้ย! ลืมตัว....
"ไม่รู้ล่ะ ห้ามพูดแบบนั้นอีก"
แต่ไอ้เม้งก็ยังขำได้ "เพราะแบบนี้แหละกรูถึงได้เป็นเพื่อนมรึงไง"
เสียงออดดังแล้ว นักเรียนส่วนใหญ่ทยอยเข้าห้องแต่พวกสต๊าฟกีฬาสียังทำกิจกรรมซ้อมเชียร์ต่อไป
".....ขึ้นคาบห้าแล้วนะเม้ง มรึงจะโดดเหรอไอ้เลว?"
"ว่าแต่กรู มรึงยังไม่ยอมลุกเลย"
.......
.......
"ต้น โดดกันเหอะ"
"ไม่ต้องบอกกรูก็โดดอยู่แล้วนี่ไง โดดครั้งสุดท้ายแล้วต่อไปต้องตั้งใจเรียนนะไอ้เม้ง"
"ลอกคำพูดพ่อเรามาเลยนะเนี่ย"
ไหนๆ ก็ว่างตั้งคาบนึงเราเลยคุยเรื่องสมัยม.ต้นไปเรื่อยๆ จากนั้นก็นอนดูแสงที่ส่องลอดร่มไม้เงียบๆ
เม้งคงคิดเหมือนผม เมื่อตารางแบ่งสายออกมาแล้วการฝึกต้องหนักขึ้นแน่ทั้งตอนเย็นและเสาร์อาทิตย์ ไหนจะเรื่องเตรียมตัวเอ็นท์ฯ
ถ้าใครสักคนหรือเราทั้งสองคนเอ็นท์ฯได้ก็คงไม่ได้โดดมานอนใต้ต้นไม้ประจำโรงเรียนแบบนี้อีกแล้ว
......
......
"ต้น กรูขออะไรอย่างนึงได้มั๊ย?"
"อย่าขอหมอนของกรูละกัน กรูหวง นอนมาตั้งแต่เด็กๆ"
"มุขโบราณอีกแล้วมรึง ....ขอหมอนใบนั้นที่เธอฝันยามหนุน....อยากรู้จริงๆ นอกจากกรูแล้วใครจะรับมุขมรึงได้"
"แล้วตกลงจะขออะไรล่ะเม้ง?"
"ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นมรึงต้องแข่งบาสกับกรูครั้งนี้นะ"
เม้งพูดทั้งที่หน้ายังแหงนมองขึ้นไปบนยอดไม้ เหมือนมันพยายามมองว่าจะเกิดอะไรที่ทำให้เราสองคนไม่ได้แข่งกีฬาสีด้วยกันได้บ้าง
"ขออะไรประหลาดๆ"
"เห็นมรึงพยายามหลบหน้าใครคนนั้นมานาน ไม่รู้สิ....อาจจะมีเรื่อง....กรูกลัวจะไม่ได้เล่นบาสกับมรึงนะต้น"
"...ขอบใจนะ..."
จริงๆ ผมก็กลัวจะไม่เป็นอย่างที่ตั้งใจ แต่พอเม้งพูดแบบนี้ทำให้ความกลัวลดลงไปได้อย่างประหลาด
"คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก ชมพูพันธุ์ทิพย์ออกดอกเร็วแบบนี้น่าจะเป็นลางดีว่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ซื้อช้างไม้มาถวายศาลพระภูมิด้วยดีกว่า"
ทั้งที่เตรียมใจไว้แล้วว่าตั้งแต่วันนี้ไปพี่โจ้คงให้ซ้อมหนักขึ้นแต่นี่ล่อไปสองทุ่ม ขาแทบจะก้าวไม่ออก
"ต่อไปเตรียมยานวดกับยาทากันยุงมาด้วยนะทุกคน" ไอ้พี่โจ้จะให้ซ้อมบาสหรือไปเข้าค่ายนรก
"ต้นเม้ง เลิกแล้วเหรอ?"
"วิงนายยังอยู่อีกเหรอเนี่ย ดึกแล้วนะ"
"เราอ่านหนังสือไปด้วยน่ะ ยังไงตอนนี้ที่บ้านก็ไม่มีใครอยู่"
"ไปกินแมคกันก่อนมั๊ยแล้วค่อยกลับบ้านกัน?" เม้งเสนอสิ่งที่ไม่สนองกระเป๋าสตางค์ตรูซักเท่าไหร่ แต่ก็ไปอยู่ดี
ต้องรีบกินรีบกลับเพราะร้านแมคก็เป็นร้านยอดนิยมร้านหนึ่งในละแวกโรงเรียน กริชอาจโผล่มาก็ได้
"ไปละนะต้นวิง พรุ่งนี้เจอกัน" คนอยู่หอใกล้โรงเรียนนี่สบายจริงๆ แต่ไม่รู้ทำไมมันมาสายบ่อยๆ
"เรากลับบ้านกับวิงนะ" เจ้าวิงทำหน้าเอ๋อๆ เล็กน้อยที่เห็นผมเดินตามมา
"ต้นกลับอีกทางไม่เร็วกว่าเหรอ?"
"ดึกขนาดนี้กลับคนเดียวเหงาๆ .....เออแล้วไม่ได้เอากีตาร์มาแล้วเหรอ?"
รถสองแถวแล่นออกตัวด้วยความเร็วกว่าเต่าเล็กน้อย ผมกับวิงขยับหาราวจับเหมาะๆ
"พรุ่งนี้วันศุกร์เดี๋ยวเราเอามา แล้วต้นฝึกได้บ้างยัง?"
"ยังเลยไม่ค่อยมีเวลา โทษนะนายอุตส่าห์ซื้อท่ออะไรนั่นให้"
"ไม่เป็นไร ต้นต้องซ้อมบาสดึกทุกวันนี่นา"
"แล้วนี่นายหายดียัง?"
"อืม หายแล้ว"
"พี่คะ หนูช่วยถือกระเป๋าให้นะคะ" น้องโรงเรียนเอื้อมมือมาที่กระเป๋าเจ้าวิง ท่าทางน้องเขาจะอยู่ม.3
น้องจะรับกระเป๋าผมไปช่วยถือด้วยแต่ผมแกล้งไม่ได้ยิน เจ้าวิงเลยต้องยื่นกระเป๋าให้น้องน่ารักคนนั้นไปเต็มๆ
"ขอบคุณครับน้อง" ท่าทางมันเก้ๆ กังๆ ตลกดี เจ้าวิงคงรู้ตัวหันมาสบตาผม
(การคุยกันทางสายตา)
.....ต้น นายจงใจใช่มั๊ย?....
.....ปล๊าววววววว.....
....เปล่าแล้วยิ้มทำไม....
....ยิ้มอิจฉาคนเสน่ห์แรงน่ะ....
มันเถียงด้วยสายตาไม่ได้เลยหันหลบไป ผมก็จ้องๆๆ รอเจ้าวิงก็หันมา สักพักมันก็หันมาจนได้
.....ไอ้วิงหื่น น้องม.ต้นก็ไม่เว้น.....
.....ไม่ได้คิดอะไรว้อย....
.....แล้วหน้าแดงทำมายย....
รถวิ่งมาเรื่อยๆ จนถึงตลาดสดเราสองคนถึงได้ลงรถ
"ร้ายนะต้น"
"พูดเรื่องอารายยยย"
"ฝากไว้ก่อนเถอะ" อาฆาตแต่ยังยิ้มไม่หุบ หน้าก็ยังแดงนิดๆ .....เจ้าวิงยังคงแกล้งง่ายเหมือนเดิม ตรูนี่เลว
.....แกร๊บ....แกร๊บ....แกร๊บ.....เสียงเบาๆ เหมือนเสียงถุงพลาสติกยับ
"วิง ใส่อะไรไว้ในกระเป๋าน่ะ? ได้ยินเสียงแกร๊บๆ ในนั้น"
"ม...ไม่มีอะไรหรอก จะสามทุ่มแล้วต้นรีบกลับบ้านเถอะเดี๋ยวรถสองแถวหมด"
"เออจริงด้วย งั้นเราไปก่อนนะวิง พรุ่งนี้เจอกัน"
ความสนใจเรื่องเสียงประหลาดนั่นถูกกลบหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อต้องแวะร้านสังฆภัณฑ์ซื้อช้างไม้ 7 ตัวเตรียมไปไหว้ศาลพระภูมิที่โรงเรียน
"จะเอาช้างพลายกี่เชือก ช้างพังกี่เชือกจ๊ะ?"
"ช้างพังแล้วจะเอาไปไหว้ได้เหรอครับคุณป้า?"
"ช้างพังคือช้างตัวเมียน่ะหนู ราคาถูกกว่า 1 บาท" ....ความรู้ใหม่....
"แล้วต่างกันยังไงเหรอครับ?"
"ช้างตัวเมียก็ไม่มีงาไง" ว่าแล้วป้าก็หยิบตุ๊กตาช้างพลายมาดึงงาออกกลายเป็นช้างพัง ....ความรู้ใหม่อีกแล้ว วิธีแปลงเพศช้างต้องตัดงาออก....
"เอาแบบไหนก็ได้ครับ เอาเจ็ดตัวครับ"
"จะเอาตัวผู้ตัวเมียกี่ตัวล่ะ มันไม่ครบคู่นะ" ....ความรู้ใหม่อย่างที่สาม ซื้อตุ๊กตาช้างต้องวางแผนครอบครัวให้ดี
............................................