บทที่ 17 แบ่งเบา 100%
***คำเตือน เนื้อหาในตอนนี้มีความรุนแรงภายในครอบครัวนะคะ นักเขียนไม่ได้ต้องการชี้นำหรือชักจูงและส่งเสริมให้ใช้ความรุนแรงในครอบครัว โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะ***
ร่างบางของภีมพลนั่งอยู่ที่ม้านั่งใกล้ๆ กับห้องปกครอง เขากำลังคิดวิตกเกี่ยวกับเรื่องที่ได้ยินมาเมื่อตอนเที่ยง เรื่องพวกนั้นมันวิ่งอยู่ในหัวของเขาตลอดเวลาในช่วงบ่าย ภีมพลโทรไปขออนุญาตแม่แล้วว่าอาจจะกลับดึกหน่อยแต่เขาสามารถกลับเองได้ เขาอ้างว่าต้องอยู่ทำงานกลุ่มช่วยเพื่อนที่โรงเรียน แต่ความเป็นจริงคือรอพบใครอีกคนต่างหาก
คนที่ไปมีเรื่องเมื่อตอนเที่ยงนั่นแหละ
ตั้งแต่เขารู้จักกับจารณน์มาเกือบจะหนึ่งเดือน อีกฝ่ายก็เริ่มที่จะเข้ามามีผลกระทบกับชีวิตเขามากยิ่งขึ้น เกือบจะทุกคืนที่เราพูดคุยกันผ่านการโทรหา บางคืนก็นอนหลับคาสายโทรศัพท์ เขาสามารถเล่าทุกเรื่องให้อีกคนฟังได้ เวลาที่เขาไม่สบายใจ จวิ้นจะเป็นคนคอยรับฟังเขาเสมอๆ แต่เขากลับไม่เคยรู้เรื่องอะไรของอีกคนเลย
ไม่ใช่เขาไม่รู้ว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้คืออะไร
แต่เขาแค่ยังไม่แน่ใจ เพราะมันเหมือนยังไม่มีอะไรชัดเจน
ตากลมของภีมพลเหลือบไปเห็นประตูห้องปกครองที่ถูกผลักออกมา ร่างสูงของใครอีกคนปรากฏขึ้นในครรลองสายตาของภีมพล ใบหน้ายับเยินจากการถูกต่อย ยังคงมีเรื่องรอยฟกช้ำอยู่อย่างเห็นได้ชัด ขายาวของจารณน์ก้าวเดินไปยังกรงจอดรถของนักเรียนเพื่อไปรับไอ้แดงลูกรักของเขากลับบ้าน
เขาเหนื่อยเป็นบ้า
หลังจากมีเรื่องกับไอ้เปรมในห้องน้ำตอนเที่ยงก่อนถูกคุณครูฝ่ายกิจการนักเรียนเรียกพบในห้องปกครอง ถูกเรียกผู้ปกครอง
แต่เขาก็ไม่มา
ผมควรจะชินได้แล้ว ในเมื่อมันก็เป็นแบบนี้ทุกครั้งเขาไม่เคยสนใจผมเลย ไม่เคยรับรู้เลยว่าผมจะเป็นตายร้ายดียังไง ผลสุดท้ายเรื่องก็จบที่ผมโดนทัณฑ์บนไปเพราะนี้เพิ่งจะเป็นความผิดครั้งแรกที่ผมก่อ นิ้วเรียวควงที่ห้อยกุญแจรูปชินจังวนๆ ไปมา เหมือนความคิดของเขาที่กำลังวนไปวนมาอยู่ในหัว
ตึก ตึก ตึก
ร่างสูงหยุดเดินทันทีที่เขาหลุดจากภวังค์ความคิด เขาได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตามเขามาเรื่อยๆ เมื่อเขาหยุดมันก็หยุด เมื่อเขาออกเดิน มันก็เดินตาม จนในที่สุดเขาก็รู้สึกว่ามันกำลังเดินตามเขามาใกล้เรื่อยๆ
!!!
ร่างสูงหันหลังกลับไปทันที เขาคว้าคอเสื้อของอีกคนได้และง้างมือพร้อมที่จะประเคนหมัดหนักๆ ลงบนมุมปากของคนที่ถือวิสาสะเดินตามเขามาอย่างนี้ แต่จารณน์ก็ต้องชะงักไปเมื่อคนที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเป็นคนที่เขารู้จัก อาจจะเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนคนเดียวของเขาในโรงเรียนนี้เลยก็ว่าได้
"กูเอง...ใจเย็นดิ ใจร้อนไปไหนวะ" ภีมพลผงะไปทันทีที่ร่างสูงหันมาคว้าคอเสื้อ แต่เมื่อรู้ว่าคนที่เดินตามมาคือเขา อีกคนก็ยอมปล่อย
"ตามมาทำไม" จวิ้นเอ่ยถาม
"มาหามึงไง" และภีมพลก็เอ่ยตอบอย่างฉะฉานชัดเจน ก่อนที่จะจูงมืออีกคนเดินไปที่รถมอเตอร์ไซค์ของอีกฝ่ายที่เขาจำป้ายทะเบียนได้ดี จวิ้นทำหน้างงๆ ส่งมาให้เขาเหมือนกำลังจะถามว่าเขาจะทำอะไร แต่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้เอ่ยปาก คนตัวเล็กกว่าก็ชิงพูดออกไปก่อน
"มึงยังไม่ทำแผลเลย ขึ้นรถเร็วพากูไปบ้านมึงจะทำแผลให้"
"มึงไม่ต้องหรอก กูทำเองได้ตอนนี้กูอยากอยู่คนเดียว" ภีมเสนอตัวที่จะไปทำแผลให้ร่างสูงแต่อีกคนก็ปฏิเสธหน้าตายกลับมา ภีมเห็นแบบนั้นก็หมั่นไส้จึงยกมือขึ้นไปดีดหูอีกฝ่ายให้รู้สึกเจ็บ
"โอ้ย! เจ็บ"
"ทำเป็นเก่งมึงอะ ตอนกูมีปัญหามึงช่วยกูตลอด ตอนนี้กูจะช่วยมึงบ้าง ห้ามปฏิเสธ" คนตัวเล็กยืนชี้หน้าสั่งสอนอีกคน จะมาทำเก่งอะไรตอนนี้ก็ไม่รู้ เป็นเพื่อนกันก็ต้องบอกต้องคุยกันได้ดิ
"มึงไม่ต้องกะ..." ร่างสูงกำลังจะเอ่ยปฏิเสธอีกครั้ง แต่ภีมพลไวกว่านั้น ขาเรียวตวัดขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซค์ของอีกฝ่าย ตอนนี้เขาย้ายร่างของตัวเองจากที่ยืนอยู่บนพื้นขึ้นมานั่งอยู่บนรถของอีกคนเป็นที่เรียบร้อย จารณน์พยายามดึงอีกคนลงมาจากรถ พยายามปฏิเสธความหวังดีที่เขาหยิบยื่นให้แต่คนตัวเล็กก็ตีหน้ามึนไม่สนไม่ฟังอะไรทั้งนั้น
เอาแต่ใจชะมัด
"เออ...จะไปก็ไป ดื้อจังวะ" ขายาวตวัดขึ้นมานั่งคร่อมมอเตอร์ไซค์ก่อนจะยื่นหมวกกันน็อกให้คนตัวเล็ก และบังคับให้ใส่
"ไม่ใส่...มึงเป็นคนขับก็ใส่ดิ" เรายื้อกันไปกันมาสุดท้ายก็เป็นภีมพลที่คว้าเอาหมวกกันน็อกไป แต่บังคับใส่ให้อีกคนจนจวิ้นยอมแพ้ ต้องตามใจอีกคนเพราะไม่อยากฟังเสียงแงวๆ นั้นบ่น เมื่อสวมหมวกกันน็อกแล้วเรียบร้อย มือหนาของจรณน์ก็เอื้อมไปทางด้านหลัง คว้าเอาข้อมือเล็กของอีกฝ่ายมาโอบรอบเอวสอบของตัวเอง ก่อนจะหันกลับไปกำชับกับคนตัวเล็กว่า
"ไม่ใส่ก็กอดแน่นๆ อย่าปล่อย"
รถมอเตอร์ไซค์คันโปรดจอดรถหน้าบ้านทาวน์โฮมหลังหนึ่งในซอยที่ไม่ได้ใกล้หรือไกลจากโรงเรียนของพวกเขามากนัก ร่างเล็กลงจากมอเตอร์ไซค์ยืนรออีกคนไขกุญแจเปิดประตูเหล็กหน้าบ้าน ก่อนที่จะจูงรถเข้ามาจอดที่ด้านใน ภีมจึงเดินตามอีกคนเข้ามา สายตาของเขาสอดส่องไปรอบๆ บริเวณบ้านที่เหมือนจะทรุดโทรมไปหน่อย มีซากของพืชที่แห้งและเหี่ยวเฉาจนกลายเป็นสีน้ำตาล น่าจะตายมานานแล้วคงเพราะอาจไม่มีเวลาดูแลพวกมัน เขายืนรอให้จวิ้นไขประตูบ้านที่กุญแจถูกซ่อนอยู่ที่กระถางซากต้นไม้ข้างประตูนั้นเอง
ทันทีเปิดได้เขาก็เดินตามอีกคนเข้าไปข้างในทันที สภาพภายในบ้านเองก็ทรุดโทรมไม่ต่างจากสภาพภายนอกเท่าไหร่ แต่ก็ยังดูดีมากกว่าอยู่นิดหน่อย ร่างสูงเดินไปวางกระเป๋าที่โซฟาสีครีมก่อนที่จะเอ่ยกำชับให้เขานั่งรอเจ้าตัว จวิ้นเดินหายไปชั้นบนของบ้านอีกฝ่ายคงจะไปค้นเอากล่องปฐมพยาบาลมาให้เขาช่วยทำแผล
รอไม่นานอีกคนก็เดินลงมาพร้อมกับกล่องใสๆ ขายาวก้าวมาหยุดที่โซฟาก่อนที่จะวางมันลงที่โต๊ะ และเอ่ยปากพูด
"เอ้า...จะทำให้ก็รีบทำ" ภีมพลปรายสายตามองท่าทางน่าหมั่นไส้นั้นก่อนที่จะดึงกล่องใสมาไว้กับตัวเองและเปิดหยิบเอาอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำความสะอาดแผลขึ้นมา
"โอ้ย!! กูเจ็บ" จารณน์ร้องเสียงหลงออกมาทันที เมื่อมือเรียวกดเน้นลงบนแผลที่ขอบปากของเขา ก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่อเห็นเขามีปฏิกิริยาแบบนั้น
"สมน้ำหน้า ขี้เก๊กเอง หมั่นไส้"
"รีบทำ จะได้ไปส่ง ไม่อยากให้กลับดึก" หลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงใดๆ ดังขึ้นมาระหว่างสองคน มันมีเพียงความเงียบที่ลอยวนอยู่ในอากาศตอนนี้ ภีมพลบรรจงทำแผลให้อีกคนอย่างเบามือ เขาทำไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองเขาอยู่ตลอด
"มึง กูถามอะไรบ้างได้ป้ะ" คนตัวเล็กเอ่ยถามอีกคนในขณะที่กำลังทำแผลที่คิ้วให้ร่างสูง
"ตอบได้จะตอบ"
"ทำไมมึงถึงไปมีเรื่องกับไอ้เปรมได้ว่ะ" ภีมพลผละมือออกจากการทำแผล เขาใช้สายตาของตัวเองมองสบเข้าไปในดวงตาเรียวตี๋ของอีกฝ่าย พยายามอ่านความหมายของมันและส่งผ่านความห่วงใยที่เขามีต่อร่างสูงออกไปในเวลาเดียวกัน
"..." แต่ร่างสูงก็ยังไม่ตอบ แถมยังเบือนสายตาหนีเขาไปอีกที ทำให้ภีมต้องใช้มือเรียวไปล็อกคางของอีกฝ่ายให้หันกลับมาจ้องตากัน
"กูถาม...ตอบมา" เขาเค้นถามอีกคนด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกครั้ง
"มัน...มันกวนตีนกู" ร่างสูงเอ่ยตอบเขามาด้วยเสียงเบาๆ มันทำให้ภีมไม่ได้เชื่อคำพูดของอีกคนร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ไม่ว่าจะถามยังไง อีกคนก็ยังจะตอบแต่ว่าเพราะเปรมไปกวนอีกฝ่าย จึงเกิดการแลกหมัดกันเกิดขึ้น ทำให้ภีมล้มเลิกที่จะอยากรู้สาเหตุของการทะเลาะวิวาทครั้งนี้ เขาไม่ได้ถามอีกฝ่ายและลงมือทำแผลต่อก่อนที่จะบ่นอีกฝ่ายไปด้วยในเวลาเดียวกัน
"มึงน่ะ ใจร้อนเกินไป เย็นลงบ้างก็ได้เถอะ ไม่ต้องไปให้ค่าคนแบบไอ้เปรมมันหรอกเขารู้กันทั้งโรงเรียนว่ามันเป็นคนยังไง โตๆ แล้วนะเว้ย อย่ามีเรื่องกันเลย กูเสียดายแอลกอฮอล์ทำแผลว่ะ...อื้อ! สกปรก ไอ้สัส!" คนตัวเล็กร้องโวยวายทันทีที่มือใหญ่เอื้อมมาบีบปากของเขา บีบมาได้ไงวะ เค็มก็เค็ม ล้างมือยังก็ไม่รู้
ไอ้ตี๋ยักษ์โว้ย!!!!
"พูดมากมึงอะ กูรำคาญ" จวิ้นที่ฟังอีกฝ่ายบ่นมานาน ก็เลยเกิดความรำคาญขึ้นมาหน่อยๆ แต่ภีมพลคงจะไม่ทันสังเกตว่าคำบ่นของภีมพลเรียกรอยยิ้มจากร่างสูงได้มากขนาดไหน
"เอ้า...คนมันเป็นห่วงไหมวะ ไอ้นี้" ปากเล็กก็ยังคงขยับบ่นร่างสูงไปเรื่อย
"หรอ ห่วงกูหรอ" จารณน์เอ่ยหยอกอีกคนออกไป
"พ่อแม่มึงก็เป็นห่วงเหอะ ทำตัวดีๆ หน่อย"
"..." ทันทีที่ภีมพลพูดจบประโยคก็เกิดขึ้นเป็นความเงียบที่เข้ามาแทรกซึมในบทสนทนานี้อีกครั้ง ภีมพลที่รู้สึกได้ถึงความผิดปกติจึงเงยหน้าขึ้นไปสบตากับอีกคน ที่ตอนนี้นั่งเงียบอยู่เฉยๆ เขาเริ่มคิดว่าบางทีเขาอาจจะพูดอะไรที่ไปกระทบกับจิตใจของอีกคน อย่างเช่นในเรื่องของครอบครัว
"มึง...กูขอโทษ กูไม่รู้" เขาเอ่ยเสียงแผ่วขอโทษอีกคนจากใจจริง แต่ร่างสูงก็ทำแค่เพียงส่ายหน้าแล้วบอกว่าช่างมันเถอะ ก่อนที่จะลุกเอากล่องปฐมพยาบาลที่เรียบร้อยแล้วขึ้นไปเก็บไว้ข้างบนบ้าน ทิ้งให้ภีมพลนั่งหงอยๆ รออยู่ข้างล่าง เขาเงยหน้ามองนาฬิกาที่ติดอยู่บนผนังบอกเวลาเกือบจะหนึ่งทุ่มแล้ว ดวงอาทิตย์หายลับขอบฟ้าไปแล้วเรียบร้อย เขาเองคิดว่าอาจจะต้องรีบกลับบ้านแล้วเหมือนกัน ภีมคิดว่าตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้อีกคนเป็นแบบนี้และจวิ้นเองอาจจะกำลังโกรธเขาอยู่ เขาคิดว่าเขาต้องเดินทางกลับบ้านเอง
แกร๊ก
ในตอนที่เขากำลังสะพายกระเป๋าและลุกขึ้นยืนเพื่อเตรียมตัวจะกลับ ประตูบ้านทาวน์โฮมที่ปิดเอาไว้ก็เปิดออก ปรากฏร่างสูงกำยำของหนุ่มวัยกลางคนหนึ่งคน หน้าตาคมเข้มมีเสน่ห์ ผิวสีแทน ซึ่งดูต่างจากจารณน์ลิบลับ กำลังเดินเข้ามาภายในบ้าน ทันทีที่เขาเห็นอีกฝ่าย ภีมพลก็รีบยกมือไหว้ในทันที ก่อนจะแนะนำตัวออกไป
"สวัสดีครับชื่อภีมครับ เป็นเพื่อนของจวิ้น" คนตรงหน้าส่งยิ้มกลับมาหาเขาก่อนที่จะเดินเข้ามาหาคนตัวเล็กทีละนิดๆ
"น้าชื่อเขื่อนนะเป็นพ่อของจวิ้นเขา หนูภีมนี้เพื่อนที่โรงเรียนใหม่ใช่ไหม" ร่างสูงผิวแทนเอ่ยถามเขา ก่อนที่เจ้าตัวจะวางกระเป๋าของตัวเองลงที่โซฟา
"ครับ...ปะ เป็นเพื่อนที่โรงเรียนใหม่" ภีมพลเริ่มรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยจึงถอยหลังออกห่างจากร่างกำยำ แต่อีกคนก็เดินเข้ามาเรื่อยๆ
"หรอ...เพื่อนที่โรงเรียนใหม่ของจวิ้นน่ารักจัง" มือใหญ่หยาบกำลังเอื้อมหมายจะมาจับต้นแขนของเขา
หมับ!
"ทำอะไร" เป็นเสียงของจารณน์ที่เอ่ยรั้งเอาไว้พร้อมทั้งเอื้อมของตัวเองไปกอบกุมข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้ด้วย
"ถามว่าทำอะไร" เมื่อไม่มีเสียงตอบ จวิ้นก็เอ่ยเค้นออกมาอีกครั้งพลางกำข้อมือของใครอีกคนแน่นขึ้นไปอีก
"พ่อก็แค่ทักทายเพื่อนใหม่ลูก ยังไม่ได้ทำอะไรไม่ดี" แต่ก้านก็ไม่ยอมแพ้เด็กชายตรงหน้าเขาหันไปจ้องตากับอีกคนก็จะสะบัดมือออกจากการกอบกุม ร่างใหญ่หันกลับไปหยิบกระเป๋าและเดินขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน ภีมพลมองตามหลังอีกฝ่ายก่อนที่จะกลับมาทิ้งสายตาไว้ที่ใบหน้าตี๋ของใครอีกคนที่มองตามหลังของเขื่อนเช่นเดียวกับเขา แต่ในแววตาเรียวรีในมันกลับเต็มไปด้วย
ความโกรธและเกลียดชัง
รถมอเตอร์ไซค์ของจวิ้นมาจอดลงที่หน้าบ้านหลังใหญ่ของภีมพล คนตัวเล็กตวัดขาเรียวก้าวลงจากรถก่อนที่จะหันไปขอบคุณร่างสูงที่มาส่งเขาถึงบ้าน
"ขอบคุณนะมึง...กลับดีๆ นะ" คนตัวเล็กเอ่ยบอกอีกคนด้วยความเป็นห่วง
"อืม"
"กูขอโทษนะ เรื่องที่กูพูดแล้วทำให้มึงไม่สบายใจ"
"..."
"แต่ถ้ามึงมีอะไร มึงระบายกับกูได้เลยนะเว้ย มึงคอยฟังกูมาเยอะแล้ว ให้กูได้ฟังมึงบ้างได้ไหม" ภีมพลเอ่ยบอกด้วยความจริงใจที่ไม่อยากให้ร่างสูงแบกรับอะไรเก็บไว้คนเดียว เขาแค่ต้องการแบ่งเบาสิ่งที่อัดอั้นในใจของจารณน์บ้างก็แค่นั้น
"กูไม่ได้โกรธมึง แค่หงุดหงิดนิดหน่อย" ร่างสูงเอ่ยจริงจังเพราะกลัวว่าคนตัวเล็กจะเข้าใจผิดว่าเขาโกรธอีกฝ่าย
"อื้อ...งั้นกูเข้าบ้านแล้วนะ" ภีมพลเอ่ยพร้อมกับกำลังหมุนตัวจะเดินเข้าไปในบ้าน
"ฝะ..." จวิ้นเอ่ยพึมพำบางอย่างจนฟังไม่ได้ศัพท์
"มึงพูดว่าอะไรนะ" ภีมเดินเข้าไปใกล้ร่างสูงอีกครั้งเนื่องจากเขาได้ยินไม่ถนัด
"ขอบคุณ" จารณน์ก้มหน้าตาก้มซ่อนแก้มที่เริ่มมีสีแดงไม่ให้อีกฝ่ายเห็น ภีมพลหมั่นไส้คนขี้เก๊กเลยเอื้อมมือไปยีหัวอีกคนทันที จนเจ้าตัวโตสะดุ้งก่อนที่จะหันมาล็อกตัวของภีมพลไว้ในอ้อมกอดและยีผมเขาเพื่อเป็นการเอาคืน เสียงหัวเราะของทั้งสองดังประสานกันไปอย่างมีความสุข จนกระทั่ง
"ภีม..." เสียงเอ่ยของพัดดังขึ้นจากประตูหน้าบ้าน
"แม่" ภีมพลหันไปเจอเข้ากับผู้เป็นแม่ก็รีบผละตัวออกจากร่างสูงทันที จวิ้นเองเมื่อเห็นว่าอีกคนเป็นมารดาของภีมพลก็ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม พลลภัตม์เองก็รับไหว้และสำรวจอีกคนที่มาส่งลูกชายของตัวเองไปด้วย
"เพื่อนใหม่ภีมหรอแม่ไม่เคยเห็นหน้าเลย ชื่ออะไรอะเรา" พัดเอ่ยถามอีกคนที่ลงมาจากมอเตอร์ไซค์และมายืนข้างกับลูกชายของตัวเอง
"ชื่อจวิ้นครับ" จวิ้นเอ่ยตอบกลับไปอย่างเสียงมั่นใจ
"หน้าไปโดนอะไรมาละ ช้ำมากเลยนะ"
"มีเรื่องที่โรงเรียนนิดหน่อยครับ" พัดเอ่ยขอบคุณร่างสูงที่มาส่งภีมที่บ้านก่อนจะบอกให้ภีมบอกลาเพื่อนและกลับเข้าบ้าน เด็กหนุ่มทั้งสองบอกลากันเสร็จเรียบร้อยภีมก็เดินกลับเข้ามาในบ้านตามมาด้วยพัดที่เดินตามมา ในขณะที่ภีมกำลังจะเดินเอาของไปเก็บบนห้องเขาก็โดนผู้เป็นแม่เอ่ยรั้งเอาไว้ซะก่อน
"ภีม...เดี๋ยวก่อน"
"แม่มีอะไรครับ"
"ทำไมถึงไปคบกับเพื่อนคนนี้ได้ แม่ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่เลย" พัดเอ่ยปรามลูกทันทีที่กลับเข้ามาในบ้าน เข้าสังเกตเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายมีรอยชกเต็มไปหมด แถมอีกคนยังบอกว่ามีเรื่องที่โรงเรียนอีก เขากลัวๆ ว่าจวิ้นจะพาลูกของคนเสียคนไปด้วย
"แม่...มันเป็นคนดีนะ"
"แต่เขามีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งที่โรงเรียนไงภีม แค่นี้ก็บอกแล้วว่าเป็นคนยังไงอารมณ์ร้อนขนาดไหน" พัดเอ่ยย้ำเหตุผลให้ลูกของเขาฟังอีกครั้ง ปกติเขาไม่เคยคิดจะห้ามลูกคบเพื่อนแต่เด็กคนนี้มีอะไรบางอย่างที่เขากลัวว่ามันจะมาทำร้ายลูกของเขา
"แม่ไม่เคยห้ามลูกคบใคร แต่คนนี้แม่ขอนะภีมอย่าไปยุ่งกับเขาเลยลูก" พัดเอ่ยพลางเดินเข้าไปหาลูกชายแต่ภีมพลกลับถอยหนี
"แม่ก็ดีแต่บังคับ ไม่เคยถามผมสักคำว่าผมจะรู้สึกยังไง จวิ้นเป็นเพื่อนผมและมันเป็นคนดี แม่เพิ่งเคยรู้จักมันอย่ามาตัดสินดีกว่า" เด็กชายเอ่ยบอกผู้เป็นแม่เสร็จก็หันหลังเดินกลับขึ้นไปบนบ้านทันที
จวิ้นกลับมาถึงบ้านในเวลาเพียงไม่นานเขาเดินกลับเข้ามาในบ้านก่อนที่จะเห็น ร่างกำยำนั่งรับประทานอาหารอยู่หน้าโซฟา พร้อมทั้งดูทีวีไปด้วย จวิ้นไม่ได้สนใจผู้ชายตรงหน้า เขากำลังจะเดินหนีอีกคนขึ้นห้องไปแค่ก็ถูกเสียงทุ้มทักไว้ซะก่อน
"เห้ย...เพื่อนมึงน่ารักดีนะ วันหลังพามาอีกดิ" เขื่อนวางจานข้าวที่ทานเสร็จลงกับโต๊ะก่อนที่จะกระดกน้ำในขวดตามไปด้วย
"ห้ามยุ่งกับมัน" เสียงทุ้มต่ำของจารณน์ส่งกลับไปให้อีกฝ่ายพร้อมทั้งสายตาที่สั่งสมความเกลียดชังและความโกรธเอาไว้ตลอดเวลา ผู้ชายคนนี้น่ารังเกียจ
"หวงของเหรอวะ แบ่งๆ กันหน่อยดิ ขาวๆ แบบนั้นกูก็ชอบนะเว้ย"
"บอกว่าห้ามยุ่งกับมัน!" อารมณ์ที่กำลังเพิ่มพูนของจวิ้นก็ได้ปะทุออกมาในที่สุด เขาตะคอกใส่หน้าของคนที่อ้างชื่อว่าเป็นพ่อ ร่างกำยำที่ได้ยินเสียงตะคอกนั้นก็ลุกขึ้นมาเดินไปคว้าคอด้วยสองมือหนาพร้อมทั้งออกแรงบีบ
"มึงกล้าตะคอกใส่กูหรอ ไอ้เนรคุณ!" เขื่อนเองก็ระบายอารมณ์ของตัวเองลงไปบนฝ่ามือทั้งสองข้าง เขาบีบจนสุดแรง ผ่านไปไม่นาน หน้าของจารณน์ก็เริ่มที่จะแดง เขื่อนจึงคลายมือออกก่อนที่จะผลักร่างเด็กชายให้ล้มลง
"มึงจำไว้อย่าขึ้นเสียงใส่พ่อแบบกูอีก"
"คะ...แค่กๆ"
"ล้างจานให้กูด้วย" ร่างสูงเดินก้าวข้ามลำตัวของเด็กชายที่นั่งอยู่บนพื้นขึ้นบันไดไปด้านบน โดยไม่หันกลับมามองสิ่งที่เขาเพิ่งจะทำร้ายจิตใจและร่างกายลงไป จวิ้นปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาเงียบๆ โดยไม่มีเสียงสะอื้น เขาแค่เจ็บแต่ไม่ได้เสียใจ
เพราะมันชินไปแล้ว
...
- TBC -
ชื่อตอนแบ่งเบา...พอจะเบามั้ยคะทุกคนนนนน
ฝากกดไลก์กดแชร์กดคอมเมอนท์ให้ด้วยนะค้าบ
พูดคุยใน #เกมนอกใจ ในทวิตเตอร์ได้นะค้าบ
ทวิตเค้าเอง >>
https://twitter.com/lopittupp