Chapter 13
“Behave well my big boy, see you” มือใหญ่ลูบลงบนศีรษะเด็กชายวัยสี่ขวบ ซึ่งเจ้าตัวก็นั่งนิ่งรอคอยการจูบหน้าผากเหมือนทุกทีที่บิดาจะไม่อยู่ด้วย
“See you then” ภูมองพี่ชายที่ยังไม่ละมือออกจากตัวลูก ทั้งที่เด็กน้อยก็ก้มหน้าก้มตาต่อเลโก้ชิ้นโตต่อไปด้วยท่าทีสบาย ๆ
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่างานนี้ลูกติดพ่อหรือพ่อติดลูกกันแน่
“ฝากน้องวินด้วย ถ้าดื้อก็ดุได้เลย” ร่างสูงใหญ่เลื่อนประตูกระจกกั้นระหว่างพื้นที่เล่นของลูกชายและห้องรับแขกปิดลง ตอนนี้เจ้าตัวดีคงคิดว่าคุณย่าจะมาอยู่เป็นเพื่อนอย่างทุกที
“อืม คนนี้ถนัดเลี้ยงเด็กอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง” คีรินทร์พยักหน้าพลางแตะไหล่คนรัก
แผนพาแฟนสาวเข้าบ้านครั้งแรกล้มครืน เมื่อคุณแม่วัยใกล้เกษียณของเขาดันติดสัมนาที่กรุงเทพด่วน ซ้ำร้ายพี่ชายก็ติดภารกิจฉุกเฉินระดับชาติที่เขาได้แต่สงสัยหากยังไม่ได้มีโอกาสซักถามอย่างเป็นจริงเป็นจัง ตั้งแต่เกิดมาภูไม่เคยเห็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวบ้านไหนเป็นเดือดเป็นร้อนต้องไปง้องอนพี่เลี้ยงเด็กแบบนี้มาก่อน
“ยังไงผมฝากคุณแพรด้วยนะ ฝากภูไม่น่าจะได้เรื่อง…” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยกระเซ้าน้องชายทั้งที่สีหน้าแทบไม่เปลี่ยนแปลง
“ขอบคุณค่ะ ไม่ต้องกังวลทางนี้นะคะ” แพรยิ้มจางให้คนที่คว้ากุญแจรถเดินลงบันไดไป หากเทียบกับภูแล้ว เธอว่าพี่ชายของอีกฝ่ายเป็นพวกที่จะทำให้คนอื่นเกร็งจนชักได้ง่าย ๆ
ตั้งแต่เมื่อเช้าที่เขาขับรถมารับทั้งภูและเธอที่โรงแรม ขอโทษที่ทำแผนการเที่ยวของเธอพังและขอความช่วยเหลือให้ช่วยดูลูกชายให้ด้วยสีหน้าเรียบเฉยอย่างนั้น เล่นเอาเสียคนมองเดาทางไม่ถูกเลย
“เกร็งเหรอ… อย่าไปคิดมากเลย พวกเสือยิ้มยากก็งี้” คีรินทร์ยักไหล่
ชายหนุ่มออกเดินสำรวจอาคารสามชั้นบนถนนนิมมานเหมินทร์อย่างสนอกสนใจ หกเดือนก่อนหน้าเขาแวะขึ้นมาที่นี่หนหนึ่งแต่การตกแต่งภายในยังไม่เรียบร้อยพร้อมอยู่ขนาดนี้
ชั้นหนึ่งถูกแบ่งเป็นร้านอาหารไฟน์ไดน์นิ่งและครัวขนาดใหญ่ซึ่งล็อกเอาไว้ไม่ให้เขาเข้าไปยลโฉม ส่วนพักอาศัยจริง ๆ คือชั้นสองและสามซึ่งแยกเป็นห้องนั่งเล่น ห้องครัวขนาดเล็ก และห้องอเนกประสงค์ ขึ้นไปที่ชั้นบนสุดจึงจะเป็นห้องนอนส่วนตัว
“What are you doing?” ชายหนุ่มนั่งลงบนพรมหนานุ่มที่เจ้าหลานชายตัวดีรื้อตัวต่อออกมาเกลื่อนไปหมด
“Uncle Pooh!” เด็กชายผมสีบรูเน็ตหากดวงตาสีเข้มเหมือนบิดาหันมาร้องเสียงดังอย่างตกใจ
“Yep, miss me?” ภูรวบตัวเด็กชายลูกครึ่งมานั่งตัก ฟัดแก้มหลานคนเดียวอย่างมันเขี้ยว ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่เดือนแต่ดูเหมือนว่าหลานชายจะตัวยืดขึ้นกว่าเดิมโข
“กึ๊ดเติงหาขนาดเลยคับ” คนฟังยิ้มกว้างอย่างชอบอกชอบใจกับคนที่พูดภาษาไทยกลางยังผันวรรณยุกต์ไม่ชัดแต่ข้ามขั้นมาอู้กำเมืองแล้ว
...แต้มความหลงหลานของเขาเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นพัน...
“ใครสอนน้องวินพูดเนี่ย แด๊ดดี้เหรอ” พอฟังแล้วก็พบว่าเป็นพี่เลี้ยงคนดีคนนั้นอย่างที่คิดไม่ผิด อันที่จริง...คุณอาหนุ่มแน่ใจว่าคงไม่ใช่พ่อเด็กแหง ๆ รายนั้นพูดภาษาไทยกับลูกแทบนับคำได้เลยด้วยซ้ำไป
“น้องวิน สวัสดีอาแพรก่อน”
“สวัสดีครับคนเก่ง ต่อสวยจังเลยครับลูก” สองมือเรียวยกขึ้นรับไหว้หลานชาย แล้วแตะลงเบา ๆ บนแก้มกลมนุ่มนิ่ม
“อาแพรต่อเครื่องบินกับวินไหม” หญิงสาวระบายยิ้ม เมื่อเด็กชายยื่นกระดาษที่พิมพ์แบบสำเร็จมาเสร็จแล้วมาให้ดูตัวอย่าง… อย่างน้อยที่สุด หลานของคีรินทร์ก็ดูเป็นเด็กอัธยาศัยดีมากทีเดียว
“น้องวินสอนอาแพรหน่อยครับ ทำยังไงบ้างเนี่ย” แพรวานั่งลงบนพรมหนานุ่มเคียงข้างกับหลานชายของคนรัก
ในขณะที่ชายหนุ่มเดินออกไปยังระเบียงหลังบ้านซึ่งเปิดให้เห็นสวนด้านล่างโดยรอบ รั้วล้อมด้วยพืชสวนครัวชนิดต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในการทำอาหาร ปลูกเป็นแนวตั้งไล่ขึ้นมา
ชายหนุ่มเลิกคิ้วเมื่อเห็นว่ามีชั้นอะลูมิเนียมรมดำวางอยู่ที่มุมหนึ่ง ชั้นล่างสุดมีดินถุงขนาดสองฝ่ามือ อุปกรณ์เพาะปลูกขนาดย่อมจำพวกส้อมพรวนดิน กระป๋องใส่ปุ๋ยธรรมชาติ และบัวรดน้ำเก็บเอาไว้ ชั้นบนสุดเป็นรางยาวเว้นเป็นหลุมสำหรับปลูกผัก ข้าง ๆ ยังมีถาดเพาะต้นอ่อนของอะไรสักอย่างอยู่ด้วยอีกสามใบ พร้อมทั้งแปะชื่อชัดเจนด้วยว่าของใครเป็นของใคร
เห็นแล้วเขาก็ได้แต่อมยิ้ม พี่เลี้ยงเด็กของหลานชายนี่ท่าจะเอาเรื่องอยู่เหมือนกันถึงทำให้พี่ชายเขายอมแบ่งพื้นที่ในบ้านให้พักอาศัย ทั้งที่หวงความเป็นส่วนตัวมากพอ ๆ กับจงอางหวงไข่
ชายหนุ่มก้าวไปในครัว ทุกอย่างถูกทำความสะอาดอย่างดีและเก็บจนเรียบร้อย บนผนังข้างตู้เย็นสองประตูมีบอร์ดแปะกระดาษขนาดย่อมที่ติดไว้ด้วย คีรินทร์ยิ้มออกมาน้อย ๆ เมื่อเห็นว่ามันถูกแบ่งออกเป็นสามช่อง คงจะระบายสีแบบปราณีตที่สุดตามความสามารถของเด็กอนุบาล
ตารางสามช่องนั้นแปะดาวจำนวนไม่เท่ากัน เขาเดาได้ว่าคงจะทำเหมือนที่มารดาเลี้ยงเขามาตั้งแต่ยังเด็ก หากใครมีแต้มดาวสูงจนถึงที่กำหนดไว้น่าจะขออะไรได้อย่างหนึ่ง
ชายหนุ่มเหลือบตามองคนรักที่เชียร์ให้หลานประกอบเลโก้ชิ้นสุดท้ายจนกลายเครื่องบินเต็มลำแล้วก็มั่นใจว่าแพรจะเป็นแม่ที่ดีได้แน่ เพียงแต่ในช่วงนี้เขายังไม่พร้อมที่จะสร้างครอบครัวด้วยอะไรต่อมิอะไรยังไม่ค่อยลงตัวก็เท่านั้น
“แพร ฝากดูของกินให้วินด้วยนะ มีพาสต้าในตู้เย็น แล้วก็อะไรกินได้ไม่ได้แปะอยู่ที่บอร์ดเล็ก” อาจารย์สาวมองคีรินทร์ที่ชะโงกหน้าออกมาจากโซนครัว ยามเห็นหน้าจอโทรศัพท์ในมือใหญ่เรืองแสงขึ้นแพรก็ขมวดคิ้วฉับ
...นี่มันวันหยุดไม่ใช่หรือไงกัน...
“ครับ… เหรอ… เดี๋ยวผมแก้เลยก็ได้… อีกสักประมาณชั่วโมงก็น่าจะได้ครับ ครับ...ไม่เป็นไรครับ”
ชายหนุ่มเดินออกจากครัว หายเข้าไปยังส่วนห้องทำงานที่กั้นเอาไว้ด้านหลังห้องนั่งเล่นเป็นสัดส่วน เขาเพิ่งจะรู้ว่าคนเป็นเชฟนี่เลือกใช้คอมพิวเตอร์สเป็คสูงเกินจำเป็นขนาดนี้ ภูละทิ้งความสนใจใคร่รู้ไปชั่วขณะ เขาส่งข้อความขอยืมคอมพิวเตอร์แล้วก็จัดแจงเปิดมันขึ้น โหลดโปรแกรมเขียนแบบมาใช้ไปก่อนเนื่องจากลูกค้าขอให้ปรับเปลี่ยนบริเวณก่อปูนและสร้างชานบ้านเพิ่มเติม
“ภู…เดี๋ยวแพรเอาออกมาอุ่นแล้วออกมากินด้วยกัน” คนถามนึกฉุนหน่อย ๆ ที่เขาตอบกลับมาทั้งที่ตายังไม่ละออกจากหน้าจอ
“แพรอุ่นกินก่อนเลย ไว้งานเสร็จแล้วภูออกไปกิน”
“โอเค… น้องวินครับ เดี๋ยวคุณอาอุ่นพาสต้าแล้วน้องวินเตรียมจานดีไหม” หญิงสาวกุมมือเด็กตัวจ้อย ตกลงกันแล้วเธอก็เห็นว่าน้องวินเป็นเด็กที่ถูกเลี้ยงดูมาให้ดูแลตัวเองได้โดยแท้จริง
เด็กชายตัวน้อยเปิดลิ้นชักเคาน์เตอร์หยิบจานเซรามิคออกมาสามใบและช้อนส้อมเข้าชุดกันออกมาวางเรียงไว้บนโต๊ะอาหารแล้วนั่งคอยคุณอาสาวที่กำลังมองหาว่าอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง ร่างเพรียวบางเดินผ่านบอร์ดไม้ซึ่งมีโพสต์อิทและบิลค่าใช้จ่ายต่างๆและกระดาษโน้ตติดเอาไว้ เธอหยิบกล่องทัปเปอร์แวร์ที่เรียงในตู้เย็นอย่างเรียบร้อยออกมาอุ่นและเตรียมน้ำดื่มให้ทั้งน้องวินและคีรินทร์
อาหารอิตาเลียนซึ่งทำเส้นจากข้าวไม่ขัดสีทำให้แพรนึกชอบใจมากทีเดียว มีทบอลในซอสโบลองเนสสีแดงก็หอมอร่อยถูกปาก แพรวามองกล่องทัปเปอร์แวร์แล้วโคลงหัวน้อย ๆ เมื่อย้อนนึกถึงอาหารของคีรินทร์ที่เล่นเอาเธอต้องแอดมิดไปสองวันเต็มเนื่องจากอาหารเป็นพิษ
“ภู… มากินก่อน เดี๋ยวปวดท้อง” หญิงสาวหย่อนจานของตัวเองและหลานชายลงในซิงค์สำหรับล้างจาน กระจกใสกรุผนังบานยาวในครัวทำให้เธอมองลงไปเห็นว่าด้านล่างเริ่มมีพนักงานครัวเข้ามาเริ่มเปิดร้านแล้ว
“ยังไม่เสร็จเลยแพร ฝากดูวินก่อนนะ” เสียงทุ้มตะโกนตอบ มือขวาขยับเม้าส์และมือซ้ายกดโค้ดลัดที่ช่วยทำให้แปลนบนหน้าจอเป็นรูปเป็นร่างขึ้นอย่างจริงจัง
“...”
อาจารย์สาวได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอเคยชอบคีรินทร์เพราะเขาเป็นชายหนุ่มไฟแรงที่มุ่งมั่นกับการทำงาน เธอชอบที่เขามักจะท้าทายขีดจำกัดความสามารถของตัวเองเสมอ ไม่นึกเลยว่าสิ่งที่เคยชื่นชอบกลับกลายเป็นสิ่งซึ่งเธอชิงชังมันมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยภูเจียดเวลาของเธอไปให้มันเสียมาก
“อาแพรครับ เล่นเกมกับวินไหม” เด็กน้อยวัยสี่ขวบเดินเข้ามาหาเธอ สำเนียงแปลกแปร่งแบบลูกครึ่งทำให้คนฟังอดเอ็นดูขึ้นมาไม่ได้ ในมือจิ๋วมีจอยสติ๊กสองอัน หนำซ้ำหน้าจอโทรทัศน์ก็ยังต่อเข้ากับเครื่องเล่นเกมเสียเรียบร้อย
“อาแพรไม่ถนัดเลยค่ะ… แต่ว่าถ้าน้องวินสอนก็น่าจะพอได้นะ”
แพรวาพยักหน้า แม้เธอจะไม่ถนัด ไม่ชอบใจหรืออะไรก็ตาม ทว่าเธอก็ยังรู้ว่าไม่ควรปฏิเสธเด็กที่ฝากเอาไว้กับคนไม่คุ้นเคย ดวงตากลมโตเหลือบมองไปที่นาฬิกาดิจิตอลบนผนัง ตัวเลขสีขาวฟ้องว่าเลยเที่ยงวันมาได้ครึ่งชั่วโมงแล้ว ไหนเจ้าของบ้านว่าไม่เกินเที่ยงก็คงกลับ
หญิงสาวนั่งลงบนโซฟา เห็นเด็กเอาหมอนอิงมารองศอกแล้วก็เอาบ้าง โชคดีในโชคร้ายของเธอวันนี้ก็คงจะเป็นน้องวินที่เลี้ยงง่ายกว่าที่คิดไว้
...คงต้องยกความดีความชอบให้พ่อเขา…
สมาธิของหญิงสาวไม่ได้จดจ่ออยู่กับเกมจูราสสิคเวิล์ดของเด็กชายเท่าที่ควร ใจหนึ่งพะวักพะวงกับเรื่องคนรักไม่ค่อยจะดูแลเรื่องปากท้องของตัวเองเท่าไหร่ อีกใจก็นึกหงุดหงิดที่เธอตกมาอยู่ในสภาพนี้อีกหน
...วันหยุดที่ไม่เคยได้หยุด…
“Wow! GG!” น้องวินหัวเราะคิกคักเมื่อเกมแรกจบลง ศัพท์แสงที่หลุดออกมาทำเอาคนแก่วัยกว่าที่ไม่ถนัดด้านนี้งงเป็นไก่ตาแตก
“What does it mean?” เสียงหวานเอ่ยขึ้น ยิ่งอยู่ด้วยยิ่งพอจะจับได้ว่าน้องวินพูดภาษาอังกฤษคล่องกว่าภาษาไทย
“It is a good game. Can we play this again?” เด็กชายเงยหน้าถาม โดยปกติแล้วแด๊ดดี้มักจะให้น้องวินเล่นเกมที่ต้องเพ่งจอแค่วันหยุดสุดสัปดาห์ ครั้งละสี่สิบนาทีเท่านั้นเอง
“sure, and this is for the winner!” เธอยิ้มกว้าง หยิบเอาลูกอมคาราเมลในกระเป๋าเสื้อมาแบ่งกันกินกับหลานชาย เป็นรางวัลให้คนชนะเกมแล้วชักชวนกันเล่นต่ออีกตา จนแทบลืมใครอีกคนที่จมลงไปกับงานแล้ว
“Will we go left of right?”
สองอาหลานช่วยกันทำมิชชั่นในเกมไปพลางปรึกษากันไปหากคราวนี้เสียงของหลานชายกลับดูแปลกแปร่งด้วยทั้งเเห้งทั้งแหบ เมื่อดวงตากลมละออกจากหน้าจอแล้วเธอก็ได้แต่ใจหาย
“ภู! ภู… น้องวินเป็นอะไรไม่รู้!”คุณอาสาวกรีดร้อง เมื่อเห็นว่าละสายตาไปเเค่พักเดียวก็ตัวเเดงเป็นกุ้ง ทั้งยังหายใจสั้นลงด้วย
“Win! Look at me and take a deep breathe!” เธอละล่ำละลัก ได้แต่บอกให้หลานนอนลงและสูดหายใจลึก ๆ
“เป็นอะไร… เฮ้ย! ทำไมเป็นแบบนี้ ให้กินอะไรเข้าไปหรือเปล่า” คุณอาหนุ่มถลันเข้ามาหา ใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม เมื่อเห็นหลานนอนตัวแดง หายใจหอบคล้ายจะหายใจไม่ออก
...เขาเองก็เคยเป็นมาก่อนใยกันจะไม่รู้...
“ก็กินพาสต้าในตู้เย็น แล้วเมื่อกี้ก็กินลูกอมของแพร… อันที่ภูชอบกินน่ะ”
“เรียกรถพยาบาลเดี๋ยวนี้เลยแพร” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว พูดเสียงเข้มแล้วส่งโทรศัพท์ตัวเองให้เธอ
หัวใจของภูเต้นระส่ำเมื่ออยู่ในสถานการณ์วิกฤติ ด้วยลูกอมที่น้องวินกินเข้าไปเป็นลูกอมคาราเมลผสมเนยถั่ว ซึ่งเจ้าตัวก็ดันเเพ้ถั่วขั้นรุนแรง ชายหนุ่มได้แต่ข่มใจ ไม่ทำกระโตกกระตากให้เด็กใจเสีย
“น้องวิน... Where is your Epipen?”
“It’s in the first aids box over there.” ใบหน้าคมสันพยักลงเป็นสัญญาณว่ารับรู้ เขาลุกไปรื้อลิ้นชักที่ใช้เก็บกล่องยาโดยเฉพาะเเล้วก็เจอกล่องผ้าสำหรับเก็บยาฉีดแก้ภูมิแพ้ชนิดรุนแรงแบบปากกาซึ่งเตรียมไว้พร้อม
เข็มนาฬิกาเดินไปเพียงนิดหากยาวนานเหลือเกินในความรู้สึก คีรินทร์เลิกชายกางเกงขาสั้นของน้องวินขึ้นแล้วปักปลายด้ามปากกาลงบนต้นขา
เด็กน้อยที่เริ่มจะหายใจไม่สะดวกทำให้เเพรวาใจเสียจนร้องไห้ออกมา เธอพูดโทรศัพท์แทบจะไม่เป็นคำ โชคยังดีที่ร้านอาหารแห่งนี้มีชื่อเสียงพอดู ซ้ำยังตั้งอยู่บนถนนเส้นใหญ่ที่ใคร ๆ ก็รู้จักดี จึงไม่ยากเย็นจนเกินไปนักกับการแจ้งพิกัด
ขณะที่อาจารย์มหาวิทยาลัยสาวโทรเรียกแอมบูแลนซ์ คีรินทร์ก็โทรหาพี่ชายไปด้วยและตกลงกันว่าจะไปเจอกันที่โรงพยาบาล ยามคีรินทร์อุ้มร่างเล็กป้อมลงมารอที่ด้านล่าง เหล่าพนักงานก็แตกฮือเป็นผึ้งแตกรัง คนครัวช่วยกันยกเอาเก้าอี้บุนวมนุ่ม ๆ มาต่อกันให้นอนคอยรถพยาบาล
ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายนี้ คีรินทร์นั่งเคียงแพรวาอยู่เงียบ ๆ นัยน์ตาคมแดงก่ำไม่แพ้กันกับเธอ อาจารย์สาวได้แต่บริภาษตัวเองซ้ำ ๆ ในความไม่รู้และไม่ทันระวัง เธอเหลือบตามองอีกคนที่นั่งนิ่งเงียบแทบไม่พูดอะไรเลย
“ขอโทษนะ… คือ แพรไม่รู้จริงๆ”
“ภูบอกแล้วใช่ไหมว่าให้ดูบอร์ดที่ติดไว้ก่อน… ทำไมสะเพร่าล่ะ” คีรินทร์สูดหายใจลึก รู้สึกว่ากล้ามเนื้อทุกมัดตึงเขม็ง ชายหนุ่มพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่เสียงดังหากเสียงทุ้มที่เอ่ยช้าชั้นสะท้อนชัดถึงอารมณ์
ในอกชายหนุ่มเหมือนมีลาวาเดือดปุดไหลวนจวนเจียนจะปะทุอยู่รอมร่อ… นั่นหลานชายคนแรกและคนเดียวของบ้าน…
ไม่มีอะไรเลยที่จะมีคุณค่ามากไปกว่าเด็กชายกาลวินทร์ของเขา
“ภู…” มือเรียวแตะลงบนต้นแขนล่ำสัน ตากลมรื้นน้ำจนเห็นได้ชัด
“ไว้หมอออกมาค่อยคุยกัน”
มือใหญ่ตบเบา ๆ ลงบนมือของคนรักแล้วละออก ชายหนุ่มถอนหายใจแม้จะมียาฉีดและพามาส่งถึงมือหมอได้ทันท่วงที หากภูยังไม่สิ้นกังวล หัวใจของเขาจะคลายลงได้เมื่อแพทย์ยืนยันว่าน้องวินปลอดภัยเท่านั้น
“ทำไมต้องทำเหมือนทั้งหมดนี้แพรผิดอยู่คนเดียว…” เสียงหวานสั่นพร่า ท้วงติงออกมายามเห็นว่าชายหนุ่มจงใจจะลุกออกไป แค่คิดว่าน้องวินจะปลอดภัยไหม พ่อเด็กจะว่าอย่างไรบ้างแพรก็หวั่นใจจนทำอะไรไม่ถูก
“ทำไมไม่ช่วยกันดูแลหลานบ้าง…” เพียงกระพริบตาหยดน้ำวาวใสก็กลิ้งหล่นลง ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเกิดจากความไม่ได้ตั้งใจของเธอ
แพรวาคิดว่าตัวเองพยายามอย่างเต็มที่แล้วกับทุกอย่างในวันนี้ เธอยอมถูกล้มแพลนเที่ยวเพื่อให้พี่ชายของคีรินทร์ได้ไปธุระ เธออยู่เป็นเพื่อนเล่นกับน้องวินตลอดเวลาทั้งที่เกมพวกนั้นมันแสนจะน่าเบื่อ เธอพลาดร้านอาหารที่จองมาตั้งแต่อยู่กรุงเทพเพื่อกินพาสต้าอุ่นไมโครเวฟ และอยู่กับคนรักที่ดูเหมือนว่าจะรักงานมากกว่าเธอเสียอีก
“เพราะภูไว้ใจแพรไง…”
คำพูดที่ไม่ต่างอะไรกับคมหอกนั้นทำให้ปราการความอดทนของอาจารย์สาวพังทลายลง เธอรู้ตัวดีว่าอันตรายถึงชีวิตเกิดขึ้นเพราะความไม่รอบคอบของตัวเอง หากสิ่งที่ยิ่งทำให้ความรู้สึกของเธอดิ่งลงเป็นทบทวีคือความคิดคาดหวังว่าคนรักจะอยู่เคียงข้าง จับมือเธอไว้ในตอนที่พลาดพลั้ง
...น่าเสียดายที่แพรวาคิดผิดไปถนัด...
..........................