"เข้าไปข้างในนั้นเป็นอะไร" ผมถาม ตอนนี้ผมกับไอ้เด่นออกมายืนข้างนอกรถ บริเวณที่ผมยืนอยู่นี้ส่วนมากเป็นอาคารพาณิชย์เก่า ๆ และตึกที่อยู่อาศัยแบบทาวน์เฮ้าส์ที่แต่ละบ้านก็เปิดกิจการขายของเป็นของตัวเอง บางตึกก็ทรุดโทรมบ้าง ส่วนบางตึกก็ดูเหมือนจะได้รับการซ่อมแซมบ้างแล้ว
"สลัมครับ ลึกเข้าไปในนั้นย่านสลัม" ไอ้เด่นตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจ ผมพยักหน้า ยืนเท้าเอวมอง ไอ้เด่นเป็นคนที่เก่งเรื่องจำทางมากที่สุดในทีมลูกน้องคนสนิทของผม มันรักการอ่านแผนที่มาก และชำนาญแทบทุกตรอกซอกซอยอย่างกับมีแผนที่อยู่ในหัวมันอย่างนั้น ผมพยักหน้าพลางอมยิ้มหน่อย ๆ เมื่อนึกถึงความหลังสมัยที่ผมเจอไอ้เด่นและไอ้เข้มครั้งแรก ในตอนนั้นสภาพของพวกมันผิดจากตอนนี้ลิบลับ
"ขวามือเป็นโรงเรียนของชุมชนนี้ ซ้ายมือเข้าไปสุดซอยห้านั้นเป็นวัดครับ" ไอ้เด่นอธิบายให้ฟัง ตรงบริเวณนี้คงจะไม่เลวร้ายเท่าไหร่ แต่จากที่ระยะสายตาสามารถมองเห็นไปตรง ๆ ได้ เพียงไม่ถึงสี่ร้อยเมตรก็เหมือนเปลี่ยนจากโลกที่สองไปเป็นโลกที่สี่ หรืออาจดูหลุดโลกไปเลยเพราะไม่น่าเฉียดตัวเข้าไปใกล้ด้วยซ้ำ บ้านเรือนแถบบริเวณนั้นสร้างด้วยไม้เก่า ๆ ที่เห็นความสกปรกวุ่นวายได้มากอย่างชัดเจน
"ย่านนี้ใช่ย่านปล่อยของ ๆ เสี่ยทรัพย์รึเปล่า" ผมพูดเมื่อนึกขึ้นได้คับคล้ายคับครา ผมรู้จักเสี่ยทรัพย์แต่ก็ไม่ได้สนิทมากนัก แน่นอนว่าธุรกิจของเสี่ยแกทั้งเรื่องค้ายา ค้าแรงงาน คนในวงการธุรกิจใต้ดินก็ทราบกันดี แต่เพื่อความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของแต่ละคน เราก็ต่างคนต่างอยู่ ใครจะดำ ใครจะขาว หรือเทา ๆ เราที่อยู่ตรงจุดนี้ต่างก็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ หลังจากที่ผมได้ลองเข้าไปในวงการมืดและวางมือมาได้หลายปี ผมได้ตัดสินใจกับตัวเองไว้แล้วว่า ผมจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวหรือช่วยเหลือตำรวจ หรือใครก็ตามเพื่อความยุติธรรมที่เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เหมือนอย่างพ่ออีก ใครจะทำมาหาแดกผิดกฎหมายหรือถูกกฎหมายอย่างไรก็เชิญ แต่อย่างมายุ่งเกี่ยวธุรกิจและครอบครัวของกันและกันก็พอ
"ครับ" ไอ้เด่นพยักหน้าตอบ
"ขอโทษนะครับนาย นายมาตามใครครับ" ไอ้เด่นถามด้วยสีหน้าเหมือนอึดอัดมานาน ไอ้นี่มันสอดรู้ผิดพี่ชายของมัน
"เดี๋ยวมึงก็รู้" ผมอมยิ้มตอบ ไอ้เด่นอมยิ้มเล็กน้อย ผมเหลือบดูนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง
"หิวไหม" ผมถามเพราะตอนนี้บ่ายสามกว่า ๆ แล้ว และใช้เวลาน่าจะอีกประมาณเกือบสองชั่วโมง ถ้าเวลาที่พี่ธานให้ผมมามันจะไม่ผิดเพี้ยนไปน่ะนะ
"ขับกลับไปถนนใหญ่ กูเห็นมีร้านกาแฟอยู่" ผมบอกเพราะจะให้นั่งรออยู่ที่ร้านแถวนี้คงไม่ไหว ไม่มีที่ไหนติดแอร์เลยสักที่เดียว ไอ้เด่นพยักหน้า มันเดินมาเปิดประตูรถฝั่งด้านหลังให้ผมก่อนขับรถไปที่หมาย ผมกับไอ้เด่นเข้าไปนั่งในร้านกาแฟติดแอร์ธรรมดา ๆ สั่งเครื่องดื่มและอาหารกินเล่นมากินฆ่าเวลา
"เอ๊ะ..หรือว่านายมาตามผู้หญิงเหรอฮะ" อยู่ ๆ ไอ้เด่นก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ผมที่กำลังดื่มกาแฟอยู่ถึงกับชะงักแล้วเหลือบมองหน้ามันอย่างปราม ๆ อาการสอดรู้ของมันที่เริ่มมากเกินไป
"ขอโทษครับ ก็นายดูจริงจังนี่ครับ" ไอ้เด่นยิ้มเจื่อนเล็กน้อย
"ถ้ากูจะมีเมีย กูต้องมาหาแถวนี้ว่างั้น" ผมแสยะมุมปากพูดกวนมันเล่น
"หึหึ" ไอ้เด่นหัวเราะเขิน ๆ
"กูไม่ใช่มึงนะ" ผมย้อน
"นายอ่า" มันทำเสียงอ่อนลง
"ซาลาเปาร้านนี้อร่อยว่ะ" ผมเท้าแขนลงและอดชมไม่ได้เพราะเป็นเพียงร้านกาแฟเล็ก ๆ ที่บริการอาหารเพียงไม่กี่เมนูเท่านั้นแต่กลับมีซาลาเปาที่ถูกปากมาก
"ใช่ครับ..ผมยังคิดเลยว่าไส้หมูสับคล้ายกับร้านประจำตอนที่นายพาไปกินที่ฮ่องกงเลย" ไอ้เด่นพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นขึ้นมาทันที
"ลูกเท่าไหร่วะ" ผมขมวดคิ้วแล้วคว้าเมนูมาดูด้วยความอยากรู้ เมื่อเห็นว่าลูกละยี่สิบบาทในคุณภาพขนาดนี้นี่ก็อดแปลกใจไม่ได้
"นายชอบสินะ" ไอ้เด่นยิ้มกรุ้มกริ่ม
"อะไร" ผมกลอกสายตาถามอย่างไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร
"ก็..อารมณ์ผ้าขี้ริ้วห่อทองไงครับ" ไอ้เด่นตอบ
"หึ" ผมหัวเราะ
"รู้ดีนะมึง ฉลาดกว่าไอ้กังฟูหน่อยนึงแล้ว" ผมชม
"โห่..นายอ่ะ" ไอ้เด่นทำหน้าน้อยใจที่ผมดันเอามันไปเปรียบเทียบกับหมาอีกแล้ว
"กังฟู"..ที่ผมพูดถึงคือบอดี้การ์ดสุดรักสุดหวงของพายุ เป็นหมาพันธุ์ Doberman ที่เกิดจากพ่อพันธุ์ Doberman รุ่น Champion และแม่พันธุ์ Doberman แท้ เกิดที่เยอรมนีที่พายุถึงกับบินไปซื้อตัวมาในราคาหลายแสนบาท ค่าเดินทางไปนำกลับมาและค่าเทรนเนอร์ เรียกว่าหมดกับไอ้กังฟูไปเหยียบล้าน ซึ่งคงเรียกได้ว่าเป็นบอดี้การ์ดที่พายุมันรักของมันที่สุดและแน่นอนว่ากังฟูก็รักเจ้านายของมันมากเช่นกัน ทั้งฉลาดและรักเจ้านาย อีกทั้งดุมากอีกด้วย นอกจากผมแล้วมันก็แทบไม่ไว้ใจใครให้เข้าใกล้พายุได้ง่าย ๆ เลย ดุมากถึงขนาดที่ลูกน้องผมถึงกับมาขอร้องให้ผมไปบอกพายุว่าให้มันเก็บหมาของมันให้เป็นที่เป็นทางกว่านี้หน่อย ไม่อย่างนั้นพวกมันไม่เป็นตาทำงานกันแน่ ๆ
"ไปสั่งกลับบ้านซิ..เอาไปฝากพวกคนที่บ้าน" ผมสั่ง
"ครับ..กี่ลูกดี"
"สัก..สามสิบลูกพอไหม" ผมถามเพราะลูกค่อนข้างเล็ก ส่วนลูกน้องผมแต่ละคนก็กินอย่างกับยัดนุ่น
"น่าจะพอนะครับ" ไอ้เด่นเห็นดี มันลุกไปสั่ง ผมได้ยินเสียงเจ้าของร้านดูเหมือนจะตกใจไม่น้อยที่พวกผมสั่งเยอะขนาดนี้
"นายครับ เจ้าของร้านบอกว่ามีแค่ยี่สิบห้าลูก" ไอ้เด่นกลับมาบอก
"ขอโทษด้วยนะคะ เหลือแค่ยี่สิบห้าลูกเองอ่ะค่ะ" เจ้าของร้านรีบกุลีกุจอมาบอกผมด้วยท่าทางร้อนใจ ผมเหลือบตาไปมองเธอ เธอชะงักทันทีที่เห็นหน้าผมก่อนยิ้มแหยออกมาเหมือนทำหน้าไม่ถูก
"ไม่เป็นไรครับ ยี่สิบห้า..ก็ยี่สิบห้า" ผมบอกเธอและพยายามจะยิ้มให้แต่สุดท้ายกลับยิ้มไม่ออก รู้สึกเหมือนหน้าถูกสต๊าฟชั่วขณะ
ผมไม่ใช่คนที่ยิ้มบ่อยและบางครั้งก็จะไม่ยิ้มหรือหัวเราะอย่างเปิดเผยกับคนที่เพิ่งรู้จักหรือไม่สนิท คนทั่วไปจึงดูจะเกร็ง ๆ เวลาที่อยู่กับผม และผมก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้ บางคนถึงกับบอกว่าผมน่ากลัวและมีรังสีที่บอกว่าผมไม่ต้องการให้ใครเข้ามาใกล้เกินความจำเป็น หลายครั้งผมก็พยายามยิ้มให้เป็นธรรมชาติแล้วแต่เพื่อนสนิทกลับมักพูดว่า..
"ถ้าเวลาที่มึงยิ้มจะดูเหี้ยขนาดนี้ กูว่าไม่ยิ้มน่าจะดีกว่า" แต่สำหรับผม ผมคิดว่าผมไม่ได้สุดโต่งขนาดนั้นหรอกนะครับ อย่างครั้งนี้..ผมก็ได้ยิ้มในใจให้กับเธอเจ้าของร้านไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
"ได้ค่ะ เดี๋ยวจะรีบไปจัดให้เลยนะคะ..รบกวนรอสักครู่นึงนะคะ" เธอก้มหัวยิ้มอย่างนอบน้อมก่อนรีบวิ่งกลับเข้าไปในส่วนของหลังร้าน ไอ้เด่นกลับมานั่งที่เดิมแล้วหยิบซาลาเปาลูกของมันกินต่อจนหมด ทั้งไอ้เข้มและไอ้เด่นเป็นคนที่กินได้ทุกอย่าง บางครั้งที่ผมหรือพี่ธานกินอะไรเหลือแล้วเรียกให้มันสองคนมากินต่อ พวกมันก็ไม่เคยอิดออดเลย บางครั้งดูดีใจมากด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่ามันจะดีใจกันทำไมทั้งที่ผมก็เลี้ยงอาหารมันดี ๆ อยู่ทุกมื้อ พวกมันไม่เคยเกี่ยงเรื่องกินและแทบกินหมดจนเกลี้ยง ผมไม่เคยเห็นข้าวสักเม็ดเหลือบนจานข้าวของมันทั้งคู่ ถ้าเลียได้มันคงเลียไปแล้ว มันสองคนแสดงให้ผมเห็นว่า มันเห็นคุณค่าของอาหารทุกจานมาก ๆ ถ้าวันไหนที่ต้องการกินนิดเดียวมันก็จะไม่ตักเยอะ ผมเคยแอบได้ยินไอ้เด่นพูดกับป้าอิ่มว่า..มันเสียดายเวลาที่จะต้องเทอาหารที่เหลือทิ้งไป เวลาที่ผมได้มองดูมันทั้งคู่กินก็สนุกดี เพลินตาเพราะมันกินน่าอร่อย เห็นแล้วก็เหมือนอิ่มไปด้วย
ผมเหลือบดูนาฬิกาอีกครั้ง ตอนนี้ก็ได้เวลาเต็มทีแล้ว ผมกับไอ้เด่นเดินทางกลับไปที่เดิมอีกครั้งหนึ่งโดยให้ไอ้เด่นจอดรถไว้ข้างทางที่ซอยห้า คนแถวนั้นหันมามองที่รถเราและเราสองคนเป็นระยะด้วยสายตาสงสัยบ้าง อยากรู้อยากเห็นบ้าง ผมเลือกที่จะเข้าไปนั่งในร้านกาแฟโบราณที่หน้าปากซอย เป็นร้านที่เปิดใต้ตึกของที่พักอาศัยของตัวเอง คนขายเป็นคุณตาแก่ ๆ คนหนึ่งที่ต้อนรับขับสู้ลูกค้าเป็นอย่างดี ผมสั่งโอเลี้ยง ส่วนไอ้เด่นสั่งชามะนาว สั่งแบบต่างคนต่างไม่รู้ว่าควรจะสั่งอะไรดีเพื่อไม่ให้เสียมารยาทที่เข้ามานั่งเอื่อยเฉื่อยรอเวลาแบบนี้ อีกอย่างผมก็อิ่มมาจากร้านกาแฟเมื่อกี้นี้แล้วด้วย
"พ่อหนุ่มสองคนมาหาใครเรอะ เห็นมาสองรอบแล้ว" คุณตาเจ้าของร้านถามด้วยสีหน้าเป็นมิตร
"อ๋อ..เปล่าหรอกครับ มาดูที่น่ะครับ" ไอ้เด่นทำหน้าที่ตอบแทนผมทันที
"อ่า..งั้นเหรอ แต่..ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกแล้วกันนะ ตามสบาย ๆ" คุณตายิ้มบอกพร้อมกับทำมือปัดไปมาก่อนเดินจากไป ผมหยิบรูปถ่ายที่พี่ธานให้ไว้มาดูอีกครั้ง เป็นรูปถ่ายปัจจุบันของครอบครัวสมุทร ผมต้องการจดจำรายละเอียดเพื่อที่ว่าเมื่อเห็นตัวจริงจะได้ไม่ผิดตัว เหลือบดูนาฬิกา บอกเวลาสี่โมงครึ่งโดยประมาณ
"มานั่นแล้ว" ผมพูดขึ้นพร้อมกับถอดแว่นตากันแดดออกเพื่อให้เห็นได้ชัดขึ้น เด็กผู้หญิงในชุดนักศึกษา แต่งตัวเรียบร้อยตั้งแต่หัวจรดเท้า กับเด็กผู้ชายที่สวมใส่ชุดนักเรียนของโรงเรียนรัฐเดินจับมือมาด้วยกัน ไอ้เด่นหันไปมองตาม ผมหยิบเงินวางไว้บนโต๊ะหนึ่งร้อยบาทก่อนพยักหน้าส่งสัญญาณให้ไอ้เด่นลุกตามออกมา ผมแอบเดินตามหลังทั้งสองคนไปห่าง ๆ ดูเหมือนสองคนก็ไม่ทันได้สังเกตเห็น ไอ้เด่นเดินทิ้งหลังตามผมมาเหมือนรอให้ผมตัดสินใจว่ามันควรจะทำอะไร วันนี้ผมเพียงแค่ต้องการมาสังเกตการทั้งหมดเท่านั้น ดังนั้น ก็ไม่คิดจะทำเรื่องอะไรให้เกินกว่านี้
น้องผู้หญิงที่ชื่อดาว น้องสาวแท้ ๆ ของสมุทร หน้าตาติดไปทางคม ๆ ให้อารมณ์เดียวกับพี่ชาย แต่แม้จะไม่จัดว่าเป็นคนสวยเท่าไหร่แต่ก็มีดวงตาที่มีเสน่ห์มากทีเดียว รูปร่างเล็กดูบอบบาง เธอไม่ค่อยสูงเท่าไหร่นักถ้าให้เทียบกับพี่ชายที่ดูเป็นคนสูงมาก น้องสาวก็ควรจะมีความสูงที่มากกว่านี้ ส่วนไอ้ตัวเล็ก ท่าทางผอมแห้งแรงน้อยและผิวค่อนข้างขาวซีดผิดกับพี่ชายและพี่สาวทั้งสองคน หน้าตาน่ารักทีเดียว ผมมองตามและกำลังคิดว่าทั้งสองคนคงจะไม่อาศัยอยู่ด้านในย่านสลัมนั่นหรอกมั้ง อะไรคงจะไม่โชคร้ายขนาดนั้นและถ้าเป็นอย่างนั้นจริงมันก็คงจะทำให้ผมรู้สึกผิดไม่น้อย
ทั้งสองคนเดินจูงมือกันตรงไปเรื่อย ๆ ซอยข้างหน้าเป็นซอยสุดท้ายแล้ว และถ้าสองคนนั้นไม่เลี้ยวแสดงว่าจะต้องตรงไปในย่านสลัมนั่นเท่านั้น ผมชะงักฝีเท้าเล็กน้อยเพื่อหยุดมองดู ทั้งสองเดินเลี้ยวซ้ายเข้าซอยไป ผมอมยิ้มอย่างพอใจแล้วรีบจ้ำเท้าเดินตามไปในทันที
"ว่าไงจ๊ะน้องดาว..กลับมาแล้วเหรอ" ผมหยุดเดินในทันทีที่ได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวดังมาจากในซอยนั่น เมื่อมองเข้าไปก็เห็นวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งซึ่งมีกันหกคน บางคนยืนอยู่บ้าง บางคนนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซด์บ้าง น้องสาวกับน้องชายของสมุทรชะงักเมื่อถูกพวกนั้นดักไว้ทางด้านหน้า เมฆผู้เป็นน้องชายกอดเข้าที่แขนของพี่สาวของตนเองในทันทีด้วยท่าทางหวาดกลัว ผู้ชายหนึ่งในนั้นแสยะยิ้มพร้อมเดินตรงเข้าไปหาดาวมากขึ้น เธอไม่มีท่าทางตอบโต้แต่ก็ไม่มีท่าว่าจะถอยกลับเช่นกัน
"หึ..พี่รอตั้งนานแน่ะคนสวย" อีกฝ่ายแสยะยิ้มด้วยท่าทางน่าขยะแขยง เนื้อตัวดูสกปรก บวกกับรอยสักอุบาทว์ ๆ ไร้ความเป็นศิลปะที่อยู่บนตัวมันทำให้รู้สึกอยากจะอ้วก มันเอื้อมมือไปจะแตะแก้มดาวแต่ถูกเธอปัดมือออกอย่างแรง ฝ่ายที่ถูกปัดมือหัวเราะอย่างชอบใจ
"วันนี้พี่สมุทรของพวกน้องไม่ได้กลับมาด้วยกันเหรอคะ ว่าไง..ไอ้เมฆ! ว้า..งั้นก็ไม่มีใครคุ้มกันแล้วสินะ น่าสงสารจัง" มันเบะปากยิ้มพูด
"ทางโล่งงงงง..เลยเพ่~" พวกมันพากันหัวเราะว่าเป็นเสียงเดียวกัน ดาวเงยหน้าขึ้นมองหน้าอีกฝ่ายเงียบนิ่ง เธอทำท่าจะเดินหนีแต่ก็ถูกมันต้อนดักไว้หมดทุกทาง ทุกคนยืนขึ้นเหมือนพยายามที่จะรุกหนัก สายตาของพวกมันจับจ้องไปที่เธอเหมือนกับโหยหาเหยื่ออย่างนั้น ผมถอนหายใจอย่างเซ็ง ๆ เพราะไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น คิดแค่เพียงว่าจะตามมาดูอย่างเงียบ ๆ แค่นั้น
ผมหันกลับไปมองไอ้เด่นที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่เช่นเดียวกัน แล้วพยักหน้าส่งสัญญาณให้ไอ้เด่นเข้าไปจัดการซะ อีกฝ่ายพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
"อย่าเอิกเกริกล่ะ" ผมเตือนไว้ก่อน
"ครับ" ไอ้เด่นรับคำแล้วเดินเข้าไปในซอยทันที ผมยังคงยืนมองอยู่ที่เดิม ไอ้เด่นเดินเข้าไปเงียบ ๆ ก่อนชักปืนออกมาทำให้เด็กวัยรุ่นหนึ่งในนั้นหันกลับมาเห็นพอดี มันชะงักตาเบิกโตก่อนสะกิดบอกเพื่อนตนเองทำให้ทุกคนรู้เห็นต่อสถานการณ์ตรงหน้า
".........." ความเงียบครอบงำในซอยเพียงครู่ ไอ้เด่นเพียงยืนแช่นิ่งพร้อมพเยิดหน้าเป็นการขู่บอกฝั่งนั้นว่าให้หยุดการกระทำออกไปดี ๆ ทั้งสองฝ่ายต่างยืนจ้องหน้ากันนิ่งคล้ายลองเชิงโดยที่ทั้งดาวและเมฆไม่ทันได้หันกลับมาเห็นทางด้านหลังด้วยซ้ำว่ามีไอ้เด่นอยู่ ไอ้เด่นนำมือที่ถือกระบอกปืนอยู่ไขว้มาทางด้านหลังตนเองเหมือนต้องการจะซ่อนไว้เพียงครู่เดียวเพื่ออ่านเกมและคล้ายเตือนให้เด็กวัยรุ่นพวกนั้นได้มีทางเลือก ถึงแม้ว่าไอ้เด่นจะเป็นคนพูดมากและทะเล้น แต่มันก็ฉลาดดี เหมือนรู้ว่าผมไม่ต้องการให้ฝ่ายที่ถูกช่วยรับทราบเช่นกัน
เด็กวัยรุ่นพวกนั้นกระจายตัวหลีกทางออกอย่างเงียบ ๆ และรักษาท่าที ดาวและเมฆรีบเดินจ้ำเท้าหนีไปอย่างรวดเร็วอย่างไม่เหลียวหลัง ผมหยิบปืนที่พกมาด้วยออกมาแล้วนำกระสุนออกจากกระบอก พร้อมเดินตรงไปหาวัยรุ่นพวกนั้น ไอ้เด่นตามประกบหลัง ผมเดินตรงดิ่งไปหาเด็กผู้ชายที่ดูจะเป็นหัวโจกที่สุดในกลุ่ม ผมจ้องมัน มันเองก็มองหน้าผมไม่วางตา สายตาของมันที่ดูน่าขยะแขยงเมื่อครู่นี้ตอนนี้ดูน่าชวนอาเจียนมากกว่าเดิม สายตาที่ดูหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัดเพียงแค่ได้เห็นกระบอกปืนแค่นั้น
"ฮึก!" มันสะดุ้งเฮือกเมื่อผมชักปืนออกมาไม่ทันให้มันได้ตั้งตัวพร้อมกับแตะจ่อไปที่หน้าผากมัน พวกเพื่อนมันแตกฮือไปคนละทาง
แกรก~ ...เสียงปืนที่ลั่นไกแบบไร้กระสุนทำเอาอีกฝ่ายสะดุ้งตาโตแทบถลน ผมแสยะยิ้มให้ หึ..ชอบที่ได้เห็นเวลาที่คนเหี้ย ๆ แสดงสีหน้าแบบนี้จริง ๆ หน้าตาที่ทำแบบเดียวกันทุกคนเวลากลัวตาย รายไหนรายนั้น
"เพื่อนมึงดูรักมึงทุกคนเลยนะ" ผมแสยะยิ้มพูดประชด
"ถ้ากูเห็นว่ามึงมายุ่งกับคนบ้านนั้นอีก รอบหน้า..มึงจะไม่มีแม้แต่มือเอาไว้ชักว่าว เข้าใจไหม..น้องชาย" ผมยิ้ม ไม่ขู่เปล่า นำลูกกระสุนที่อยู่อีกมือแทงเข้าที่หน้าผากมันแทนปากกระบอกปืนในทันที อีกฝ่ายตัวสั่นตาโต ตาดำกลอกมองไปที่กระสุนที่อยู่บนหน้าผากตนเอง
"ไม่ยิงสุ่มสี่สุ่มห้าหรอก กระสุนแพงน่ะ แพงกว่าชีวิตมึงอีก..หึ" ผมพูดแกมหัวเราะ
"เก็บหน้าหล่อ ๆ ของน้องเค้าไว้หน่อยซิ" ผมพูดยิ้มอย่างเป็นมิตร ไอ้เด่นนำโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพร้อมกับเข้าไปล็อกหน้าอีกฝ่ายทันที ไอ้เด็กคนนี้พยายามจะขืนแรงมันแต่มีหรือที่แรงคนที่ตัวเล็กแถมท่าทางอย่างกับคนขี้ยาจะไปสู้แรงคนที่ออกกำลังกายและฝึกโหดแทบทุกวันอย่างไอ้เด่นได้ ไอ้เด่นยิ้มกว้างให้อีกฝ่ายเมื่อจัดการถ่ายรูปหัวโจกเสร็จเรียบร้อย
ผมกวาดตามองไปที่พวกมันอีกเป็นครั้งสุดท้าย ไม่มีการพูดอะไรจากเราทั้งสองฝ่าย พวกมันก็รีบแยกย้ายกันอย่างกับผึ้งแตกรัง ผมหันกลับไปในทางที่ดาวและเมฆเดินไปในซอย คาดว่าทั้งสองคนคงจะกลับบ้านเพราะมันน่าจะเป็นทางเดียวกับที่พี่ธานได้เขียนแผนที่ไว้ให้ เมื่อเดินลึกเข้าไปในซอยอีกประมาณสี่ห้าร้อยเมตร ระหว่างทางถัดจากปากซอยเมื่อกี้นี้ ตอนนี้ทางก็ไม่เปลี่ยวเท่าไหร่แล้ว มีตึกรามบ้านช่องทั้งสองข้างทางและบางบ้านก็เป็นร้านขายของชำกับพวกผักสดสลับกันไป ทุกคนต่างมองมาที่ผมเหมือนสงสัยและแปลกตา ทั้งที่วันนี้เพื่อไม่ให้ผิดสังเกตผมก็แต่งตัวธรรมดาที่สุดแล้ว เสื้อโปโลสีดำกับกางเกงยีน มีแต่ไอ้เด่นนั่นแหละที่แต่งตัวสุภาพดูดีเกินผมซะอีก
ผมว่าไอ้เด่นคงจะชินกับการแต่งตัวแบบนี้ เพราะนอกจากที่พวกมันจะถูกฝึกร่างกายโดยครูอาจารย์ที่ผมจัดไว้ให้แล้ว เรื่องมารยาทก็ถูกฝึกโดยพี่ธาน และเรื่องการแต่งตัวก็ถูกปลูกฝังโดยพายุ ทุกครั้งที่พวกมันต้องติดตามผม ถ้าจะใส่กางเกงยีนก็ต้องใส่คู่กับเสื้อโปโลหรือเสื้อเชิ้ตซึ่งสีเสื้อจะต้องผ่านตากรรมการอย่างพายุ และถ้าต้องการใส่กางเกงสแลคก็ต้องคู่กับเสื้อเชิ้ตสีขาวหรือสีดำเท่านั้น แต่ถ้าจะต้องออกงานก็ต้องมีสูทเป็นงานเป็นการแล้วแต่โอกาสไป ทุกอย่างพายุเป็นคนจัดการทั้งหมด
"ยาย..หนูกลับมาแล้ว!" เสียงดาวตะโกนบอกคนในบ้านทำให้ผมกับไอ้เด่นหยุดยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของบ้านหลังนั้นในทันที ผมไม่ได้เข้าไปยืนที่หน้าบ้านเพราะมันจะดูจงใจเกินไปและอีกฝ่ายอาจจะคิดได้ว่าผมเป็นคนไม่น่าไว้ใจก็ได้ ผมเลือกที่จะยืนอยู่หน้าร้านกล้วยทอดที่อยู่เยื้อง ๆ กัน แม่ค้ามองผมกับไอ้เด่นอย่างสงสัย ไม่ใช่สงสัยสิ..สายตาของเธอน่าจะกำลังระแวงพวกเรามากกว่า
"กล้วยทอดยี่สิบครับ" ผมบอกเธอลวก ๆ เพื่อไม่ให้เธอจับผิดว่าผมแปลกหน้า หันกลับไปมองที่หน้าบ้านของสมุทรอีกครั้งพร้อมสำรวจทางด้านนอก เป็นบ้านแบบตึกแถวสามชั้น ด้านหน้าตั้งร้านขายขนมไทยเล็ก ๆ มีโต๊ะกับเก้าอี้อยู่ประมาณสามชุดเหมือนไม่ได้ตั้งใจเปิดให้นั่งเป็นงานเป็นการนัก หรืออาจเพราะว่าพื้นที่หน้าบ้านไม่พอตั้งร้านที่ใหญ่กว่านี้ก็ได้ บ้านถูกปิดด้วยประตูมุ้งลวดจึงไม่สามารถมองเข้าไปด้านในได้ถนัด ประตูบ้านอีกชั้นยังเป็นแบบเหล็กยืดเก่า ๆ อยู่เลย แถมมีสนิมขึ้นตามสภาพอายุบ้านด้วย
"ยี่สิบบาทจ้า" แม่ค้าบอกพร้อมกับยื่นถุงกล้วยทอดมาให้ ผมจ่ายเงินแล้วรับถุงกล้วยมาก่อนจะยื่นไปให้ไอ้เด่นส่ง ๆ เพื่อให้มันจัดการกล้วยทอดจำเป็นนี่ซะ
"ป้าครับ..ค่ายมวยศรไกรไปทางไหนครับ" ผมถาม
"อ๋อ มาหาค่ายมวยหรอกเหรอจ๊ะ" เธอยิ้มคล้ายกับโล่งอก ว่าแล้วว่าพวกผมต้องดูไม่น่าไว้ใจ คิดว่าบางครั้งการแต่งตัวที่ดูดีก็ไม่ได้ช่วยให้หน้าตาดูน่าไว้ใจขึ้นมาได้บ้างเลย สงสัยคนเราคงมีออร่าบางอย่างที่เจ้าตัวเองก็ไม่สามารถสัมผัสได้อย่างคนนอกเห็นแน่ ๆ
"เดี๋ยวพ่อหนุ่มออกไปทางซอยนี้นะจ๊ะ เลี้ยวขวา เข้าซอยสี่..ตรงไปเรื่อย ๆ ค่ายของตาศรอยู่ก่อนถึงวัดนาสิงห์เลยจ้ะ" ป้าแกอธิบายด้วยท่าทางตั้งใจเต็มเปี่ยม
"ขอบคุณครับ" ผมยิ้มบอก
"เดี๋ยวไง..ผมขอนั่งกินตรงนี้พักสักได้ไหมครับ" ผมชี้มือไปที่เก้าอี้ไม้หินอ่อนที่อยู่หน้าบ้านใครสักคน มันว่างอยู่พอดี ป้าแกมองหน้าผมเหมือนความระแวงยังไม่หมดไปจากใจ
"พอดี หลงทาง เดินมาเหนื่อยน่ะครับ..จะได้นั่งกินกล้วยด้วย" ผมยิ้มหน่อย ๆ เสแสร้งไปอย่างนั้นเพราะอันที่จริงแล้วขี้เกียจจะฉีกปากยิ้มเอามาก ๆ
"ได้เลย ๆ ตามสบาย" ป้ารีบบอก ผมพยักหน้าให้ไอ้เด่นมันนั่งตามเพราะปกติมันจะไม่กล้านั่งถ้าผมไม่อนุญาตก่อน ผมเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ ไอ้เด่นถึงหย่อนก้นลงนั่งข้าง ๆ
"นายจะลองหน่อยไหมครับ" ไอ้เด่นกระซิบถามผมพร้อมกับแหวกถุงกล้วยทอดให้ผมดูด้วย
"อร่อยไหมล่ะ" ผมถามมันเพราะเห็นว่ามันกินไปนิดนึงแล้ว อีกมือนึงยังถือกล้วยอยู่เลย ส่วนตัวผมแล้วผมไม่อยากกินเพราะอากาศร้อน ถ้ากินเข้าไปคงจะยิ่งหิวน้ำและไม่อยากมือเปื้อนอีกด้วย
"ก็..พอได้ กล้วยนี่ฝาดติดคอเลยฮะ" มันตอบยิ้ม ๆ ผมหัวเราะเบา ๆ ที่กระทั่งคนที่ไม่ค่อยติเรื่องรสชาติอาหารอย่างไอ้เด่นกลับติได้ สงสัยรสชาติคงเกินเยียวยาจริง ๆ ผมหยิบกล้วยมากินเพราะสังเกตเห็นว่าป้าคนขายกล้วยทอดยังแอบมองดูพวกเราอยู่ ผมจึงแกล้งเหลือบส่งสายตาไปทางป้าแกเพื่อให้เธอได้รู้ว่าผมรู้ว่าเธอแอบมองผมอยู่ และมากไปกว่านั้นป้าควรหยุดเสือกเรื่องชาวบ้านได้แล้ว เธอชะงักทันทีด้วยความตกใจก่อนจะฉีกยิ้มกว้างมาให้ผม ผมยิ้มให้เธอเพียงนิดเดียวแต่ตาไม่ได้ยิ้มด้วยเพราะรู้สึกไม่ชอบใจที่เห็นรอยยิ้มตอแหลที่ป้าแกประดิษฐ์ขึ้นมาเมื่อกี้นี้ ผมหันกลับมาสายตาก็มองเข้าไปในบ้านหลังนั้นอีกครั้ง...
........ไฟ........