"รถคุณโปรดนี่ครับ" พี่ธานพูด ผมหันไปเห็นรถยนต์ของไอ้โปรดจอดอยู่ที่ฝั่งโรงจอดรถของบ้านผม
"มันมาทำไมแต่เช้า" ผมบ่น ปกติไอ้โปรดเป็นคนตื่นสาย ยิ่งถ้าเป็นวันหยุด เอาเถอะครับ..ไม่บ่ายโมงมันไม่ตื่นหรอก ผมเดินเข้าไปในบ้าน แม่บ้านนำผ้าขนหนูมาให้ผมเช็ดตัวเพราะตัวมีแต่เหงื่อเต็มไปหมด พอได้ยินเสียงคุยกันดังมาจากห้องนั่งเล่นเลยเดินเข้าไปดู
"กลับมาแล้วเหรอ" ไอ้โปรดทัก มันกำลังนอนด้วยท่าทางสบายสุดขีดอย่างกับเจ้าของบ้านอยู่บนโซฟา มันโบกมือยิ้มทักทาย เท้ากระดิกไปมาน้อย ๆ
"เอาอีกแล้วนะ" ผมบ่นทันทีที่เห็นสภาพของพายุในขณะนี้ วันนี้ไอ้โปรดก็เอาสินค้ามาส่งให้พายุแต่เช้าอีกแล้ว พอไอ้โปรดมีบินไปในสถานที่ ๆ พายุหมายตาทีไรเป็นต้องเป็นแบบนี้ทุกที
"ก็พายุบังคับให้กูซื้ออ่ะ" ไอ้โปรดบ่นด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ คล้ายเป็นความผิดของน้องชายผม
"เอาเงินให้พี่โปรดด้วยนะเฮีย" พายุเงยหน้าบอกผม ไอ้โปรดอมยิ้มนอนมอง ผมถอนหายใจแรงและนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับไอ้โปรด
"ไม่" ผมตอบ พายุมองหน้าผมไม่วางตา หน้าของมันดูผิดหวังเล็กน้อย เราต่างเงียบลง ผมหันหน้าหนี พอหันไปมองพายุอีกที มันก็ยังเอาแต่จ้องผมไม่ไปไหน
"ไม่" ผมย้ำคำเดิมตาขวางใส่ รู้สึกไม่ชอบใจ
"แต่ว่า.." พายุเอ่ยจะแก้ตัว
"เงินมึงมี มึงก็ต้องใช้เงินมึง..บริหารเอาเอง เดือนนี้ไม่ให้แล้ว" ผมพูดตัดบทเสียงแข็ง ที่สำคัญคืออย่าไปสบตามันครับ เดี๋ยวมันอ้อน
พายุมักจะได้เงินจากผมทุก ๆ เดือนเป็นประจำ และได้เงินจากโรงเรียนของมันด้วยอีกทางหนึ่ง ในส่วนของเงินมรดกของมันที่พ่อยกให้ ตอนนี้มันยังไม่มีสิทธิ์ได้ใช้เพราะมรดกอยู่ในความดูแลของแม่มันอยู่ตามที่พ่อได้เขียนพินัยกรรมไว้ เมื่อพายุเรียนจบมันถึงจะสามารถจัดการด้วยตนเองได้ แม่ของพายุได้บอกกับผมเองว่า ถ้าพายุมีสิทธิ์เรื่องมรดกที่พ่อยกไว้ให้มันเมื่อไหร่ ครึ่งหนึ่งแม่อนุญาตให้ผมเป็นคนจัดการแทนมันทั้งหมด นั่นหมายถึงพายุจะได้เงินไปครอบครองเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
ที่จริงพายุเป็นคนฉลาดใช้เงิน นอกจากเรื่องเสื้อผ้าแล้วมันจะรู้จักซื้อของและใช้ของอย่างรักษามาตลอด คงมีเรื่องนี้เรื่องเดียวที่มันอดไม่ได้ เพราะมันเป็นคนฉลาดใช้ ฉลาดเก็บ มันจึงฉลาดมาไถเงินผมอยู่อย่างที่เห็นนี่ไงละครับ
"เฮียอ่ะ" พายุลุกขึ้นมานั่งข้าง ๆ ผมทันที ไอ้โปรดนอนอมยิ้มสบายใจเฉิบ ผมมองตาขวางปรามนิสัยของมันที่มักนำหายนะมาให้กระเป๋าเงินผมตลอด ผมยังคงรักษาความเงียบเอาไว้ เรานั่งเล่นสงครามประสาทกันอยู่พักหนึ่ง พายุจับแขนผมไว้ไม่ปล่อย มันขยับปลายนิ้วบีบแขนผมนิด ๆ
"น้าเฮีย" มันพูดขอ ผมหันไปมอง พายุไม่ได้ยิ้มเพราะหน้ามันยังตายอยู่รูปแบบเดิม เห็นหน้ามันแล้วก็เหมือนสะท้อนเห็นตัวเอง ครอบครัวหน้าตาย
"เท่าไหร่" ผมหันไปถามไอ้โปรด
"แปดหมื่นสี่ กูคิดแปดหมื่นห้าแล้วกัน..ให้ค่าขนมไอ้น้ำที่ขับรถมาส่งกูหน่อย นี่ไม่ได้คิดค่าหิ้วนะ กูให้พิเศษ" ไอ้โปรดยักคิ้วบอกเอาดีเข้าตัว หน้าตาไม่ได้น่าไว้ใจเลยสักนิด ผมเบือนหน้าหนีพลางนึกในใจ..
"แพงฉิบหาย" รู้สึกเสียดายเงินแบบไม่รู้จะอธิบายยังไง ผมขยี้หัวตัวเองเซ็ง ๆ อยากเข้าไปกระทืบไอ้โปรดแต่ก็ขี้เกียจจะขยับตัว ไอ้โปรดปรากฏตัวที่บ้านผมแต่ละครั้ง ผมไม่เคยเสียเงินต่ำกว่าห้าหมื่นเลยจริง ๆ
"........." ผมเงียบนิ่ง พายุยังคงนั่งมองผมไม่วางตาเหมือนจะรอดูว่าผมจะเอายังไงกับมันแน่
"ถ้าภายในห้าเดือนนี้มึงฝากของไอ้โปรดซื้ออีก มึงต้องจ่ายเอง" ผมตัดใจพูดออกไป
"ได้!" พายุพยักหน้ายิ้มรับคำทันที มันกลับไปนั่งที่เดิมอย่างไร้เยื่อใย
"ที่สำคัญ.." ผมเอ่ย พายุหันมามอง มันเริ่มหุบยิ้มลงทีละนิดคงรู้ว่าผมยังพูดไม่จบ
"ถ้าเกินสี่หมื่น กูจะยึดรถมึง..หนึ่งเดือน" ผมขู่อย่างรู้นิสัยน้องชายตัวดี พายุขมวดคิ้ว อ้าปากพะงาบ ๆ อย่างเถียงไม่ออก ผมเขม่นมอง เป็นการเตือนว่าผมเอาจริง ไอ้โปรดหัวเราะเบา ๆ
"แล้วอย่าไปบอกไอ้ดินล่ะ" ผมเตือนก่อน เดี๋ยวมันน้อยใจอีก
"นี่ของไอ้ดิน แต่มึงไม่ต้องห่วง ราคาที่กูบอกเมื่อกี้คือรวมแล้ว" ไอ้โปรดพูดแกมหัวเราะ มันชี้นิ้วไปที่ถุง ALEXANDER WANG ผมมองนิ่ง กำลังรู้สึกเหมือนถูกหลอกยังไงชอบกล
"ผ่อนได้ไหมวะ เดือนละหมื่น" ผมหันไปถามไอ้โปรดอย่างเหนื่อยหน่ายพร้อมลูบหัวตัวเองเบา ๆ
"สัตว์!" ไอ้โปรดด่ายิ้ม ๆ
"กว่าจะครบแปดหมื่น กูไม่ต้องบินจนเหนียงยานเลยรึไง" มันบ่น
"เฮียเค็มเหมือนอาม้าเลย" พายุพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเบา ๆ เรียบ ๆ ไม่รู้พูดบอกใครแต่ตาไม่ได้มองพวกผม กำลังสำรวจสินค้าของตัวเองอยู่อีกโลกหนึ่ง
"กูก็เก็บไว้ให้พวกมึงใช้สบาย ๆ ตอนกูตายไง" ผมว่าแดก ไอ้โปรดหัวเราะชอบใจ ถ้าผมตายขึ้นมา เงินทั้งหมดจะไปตกอยู่ที่ใคร ก็ที่พวกมันนั่นแหละครับ พวกมันจะได้ใช้สบาย ๆ ไปได้อีกเป็นชาติแบบไม่ต้องทำมาหากินก็ยังได้เลย ผมหมายถึงถ้าไม่ใช้จนเกินฐานะน่ะนะ
"มึงไหวไหม แล้วจำเป็นต้องมาเช้าขนาดนี้เลยรึไง" ผมถาม
"กูลงจากเครื่องก็ให้ไอ้น้ำขับรถไปรับ ก็เลยตรงมาหามึงเลยทีเดียว..แต่ กูขอนอนพักนี่นะ ขี้เกียจกลับบ้านแล้วอ่ะ" มันทำหน้าอ้อนวอนส่งสายตามาทางผมก่อนเหลือบสายตามองไปทางประตูห้อง พี่ธานเดินเข้ามา
"หวัดดีครับพี่ธาน" ไอ้โปรดทัก
"หวัดดีครับ" พี่ธานยิ้มตอบ
"พี่ธาน หยิบสมุดเช็คให้ผมหน่อยสิ" ผมบอก
"ขอเงินสด" ไอ้โปรดพูดขึ้นเหมือนรู้ว่าผมกำลังจะทำอะไร
"ค-วย!" ผมสบถด่าทันควัน
"ฮ่า ๆ ๆ ๆ" ไอ้โปรดหัวเราะดังลั่นเหมือนสะใจที่ถูกผมด่าแบบนี้ พี่ธานยังคงยืนมองอยู่อย่างรอดูว่าตกลงผมจะเอายังไงกันแน่
"กูขี้เกียจไปขึ้นเงิน จะใช้เลย..เอาเงินสด!" ไอ้โปรดกระแทกเสียงเหวี่ยงยิ้ม ๆ ผมมองตาขวางเพราะไม่สบอารมณ์
"มึงน่ะ ใช้บัตรเครดิตซื้อของ..ได้ราคาพิเศษ ได้ทั้งสะสมคะแนน มึงอย่ามาทำหัวหมอกับกูไอ้โปรด..แล้วอย่าให้กูรู้นะว่ามึงบวกเพิ่มไปแล้วน่ะ ไอ้เหี้ย!" ผมสบถด่าอย่างรู้ไต๋ มันยังไม่หยุดหัวเราะอีก
"กูจะทำแบบนั้นได้ไง พายุก็เหมือนน้องกูเหมือนกัน" ไอ้โปรดลอยหน้าลอยตาเถียง ผมส่ายหัว ลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เซฟเงินสดที่ห้องทำงานอย่างตัดรำคาญ หยิบเงินออกมาแปดหมื่นห้าพอดีเป๊ะ ถือมาทั้งอย่างนั้นแบบไม่คิดจะใส่ซองให้เป็นระเบียบด้วยความหมันไส้
"เอาไป" ผมพูดห้วน ๆ แล้ววางเงินลงบนโต๊ะตรงหน้ามัน ไอ้โปรดเหลือบตานอนมองหน้าตาเฉย มันยังคงไม่ยอมขยับตัวลุกขึ้นมานับ หรือเก็บเงินใส่กระเป๋าไปดี ๆ ดูนิสัยมันสิครับ ไอ้นี่แม่ง..เห็นแล้วปวดกบาลฉิบหาย
"พี่ธานไปไหน" ผมถาม
"อาบน้ำ" ไอ้โปรดตอบ
"ตกลงว่ากูนอนนี่" ไอ้โปรดเปลี่ยนเรื่อง ผมเหล่มองและไม่ตอบรับ
"นะพายุ..พี่นอนนี่นะ" ไอ้โปรดหันไปหาแนวร่วม
"..ห้องเยอะแยะ เลือกเอาเองเลยครับ" พายุตอบอย่างไม่สนเพราะกำลังสนใจของที่ตนซื้อมา ผมส่ายหัว คนอย่างไอ้โปรดนี่นะจะนอนห้องอื่นที่ว่างอยู่
"พายุอนุญาตแล้ว..งั้นกูนอนห้องมึงนะ มึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบกลิ่นห้องที่ไม่มีคนอยู่อ่ะ" มันบอกพร้อมทำตาปริบ ๆ
"เดี๋ยวกูต้องออกไปข้างนอกแล้ว" ผมบอกแล้วเอื้อมหยิบน้ำมาดื่ม
"มึงก็ไปสิ กูไม่นั่งเทียนทับมึงไว้สักหน่อย..กูแค่จะนอนห้องมึงต่างหาก" มันบ่นด้วยคำทะลึ่งจนพายุหัวเราะออกมา ผมส่ายหัว
"เออ ๆ งั้นอย่าทำห้องกูเลอะล่ะ" ผมขมวดคิ้วเตือน เพราะไอ้โปรดมันไม่ใช่คนระเบียบเรียบร้อย ซึ่งผมไม่ชอบเอาซะเลย
"กูออกจะสะอาด" ไอ้โปรดยิ้มกว้างพูดรับปาก
"เฉพาะการแต่งตัวของมึงน่ะสิ" ผมว่าแดก
"หึหึ" พายุหัวเราะอีก
"แล้วนี่ไอ้น้ำไปไหน" ผมถามถึงลูกน้องของมัน
"ไม่รู้อ่ะ พอมาถึง..กูก็บอกมันว่า อยากไปไหนก็ไป" ไอ้โปรดตอบ ผมถอนหายใจกับนิสัยไม่สนโลกของมัน
"ไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน อยากกินอะไรก็บอกแม่บ้านแล้วนะ..ไอ้ยุ ดูแลพี่ไม่เอาไหนของมึงด้วย" ผมสั่งเสีย
"ค้าบ" ทั้งพายุและไอ้โปรดขานรับแกมหัวเราะ ซึ่งเป็นการขานรับที่ไร้พลังของความรับผิดชอบเสียมาก ๆ
- - - - - - - - - - - - - - -
14:30 น. ย่านมารัต ซอย6
ผมยืนมองสมุทรที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะหน้าบ้านของเขา พี่ธานได้โทรเช็กไปที่โรงพยาบาลให้ว่ายายของเขาได้ออกโรงพยาบาลไปแล้วเมื่อเช้านี้ ดูเหมือนวันนี้สมุทรจะลางานหรือเปล่าแต่คงไม่ใช่ เพราะเขายังคงใส่เสื้อเชิ้ตและกางเกงสแล็คอยู่ หรืออาจจะเลิกงานครึ่งวันก็น่าจะเป็นไปได้ อากาศที่ร้อนระอุกับอีกฝ่ายที่นั่งขีด ๆ เขียน ๆ อะไรสักอย่างด้วยท่าทางที่ดูไม่น่ามีปัญหากับความร้อนในตอนนี้เลย เมื่อมีลูกค้ามาซื้อขนม เขาก็รีบลุกไปแทบจะทันที ผมยืนดูอยู่อย่างนั้นอยู่พักใหญ่ ๆ พี่ธานกับไอ้เด่นก็ไม่ได้เอ่ยปากบ่นอะไร
"รออยู่ที่นี่นะ" ผมหันไปบอก ทั้งสองคนมองหน้าผมนิ่ง
"ครับ" ทั้งคู่พยักหน้ารับและไม่ท้วงอะไร ผมก้มลงมองของสำคัญในมืออีกครั้งก่อนตัดสินใจเดินเข้าไปหาเขา
"........." เมื่อผมเดินไปหยุดยืนอยู่ตรงโต๊ะที่วางขายของอย่างเงียบ ๆ ดูเหมือนเจ้าของร้านจะตั้งหน้าตั้งตาทำงานเกินไปจนแทบไม่ได้ยินว่ามีคนมา ผมไม่คิดจะเอ่ยปากเรียก อยู่ ๆ ก็รู้สึกปากหนักขึ้นมากะทันหัน จนเวลาผ่านไปสมุทรเงยหน้าขึ้นพอดี อีกฝ่ายแทบผงะ เราสบตากันอยู่ครู่ใหญ่ ๆ ก่อนที่เขาจะเหสายตาลงช้า ๆ สมุทรวางปากกา ก้มหน้าลงและนิ่งไป ความเงียบที่เกิดขึ้นระหว่างเรา ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร
"สมุทร~" เสียงของยายเรียกเครือจากในบ้าน
"ครับ" สมุทรขานตอบแล้วรีบลุกขึ้นวิ่งเข้าบ้านไปอย่างรวดเร็ว ผมยืนอยู่อย่างนั้นอยู่ประมาณสิบนาทีเห็นจะได้ เหงื่อเริ่มไหลลงกลางหลังอย่างช้า ๆ จนรู้สึกได้ทุกเม็ด สมุทรเดินออกมาอีกครั้ง เขาเดินเข้ามายืนประชันหน้าผม ห่างกันระยะเกือบเมตร สายตาและท่าทางไม่ใช่การหาเรื่อง ใบหน้าที่เรียบนิ่งและปนความสุภาพทำให้ผมอ่านไม่ออกด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดอะไร
"เรื่องค่ารักษาพยาบาลน่ะ" สมุทรเอ่ยขึ้นเสียงเบา
"นายจ่ายไม่ไหวหรอก" ผมบอก แม้จะนอนพักแค่คืนเดียว แต่ทั้งการรักษาเบื้องต้นและตรวจร่างกาย อย่างละเอียดรวมไปถึงค่าพยาบาลพิเศษ ราคาก็ยังเป็นราคามาตรฐานของเอกชนอยู่ดี
"ผมมีจ่าย" เขาตอบอย่างหนักแน่น
"ฉันไม่เอา" ผมย้อนตอบด้วยน้ำเสียงเดียวกันกลับให้ เราต่างเงียบลงอีกครั้ง ครั้งนี้เราพากันเบือนหน้าไปคนละทางคล้ายระงับอารมณ์โดยไม่มีใครมองหน้าใคร เหมือนต่างฝ่ายต่างพยายามที่จะใช้สติในการพูดให้ได้มากที่สุด
"คุณต้องการอะไรกันแน่" สมุทรพูดเชิงถาม สายตาที่เขามองมาทางผมเหมือนต้องการคำตอบซื่อ ๆอย่างไม่อ้อมค้อมอะไรจากผม
"ฉันอยากให้นายไปทำงานกับฉัน" ผมพูดตามจริง พ่อจะให้ผมช่วยยังไงผมไม่สน อย่างที่บอก..นี่คือการช่วยเหลือในแบบของผม ลูกน้องของผมทุกคนได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากผม ไม่ว่าแม่ใครจะป่วย พ่อใครจะตาย ถ้าลูกน้องผมเป็นคนดี พฤติกรรมดี ซื่อสัตย์และกตัญญู ผมถึงไหนถึงกันหมด ซึ่งถ้าสมุทรมาเป็นหนึ่งในนั้น ผมเองก็คงจะไม่ตะขิดตะขวงใจที่จะช่วยเหลือเท่าไหร่ เขาอาจจะได้สิทธิพิเศษมากกว่าลูกน้องคนอื่น ๆ เสียอีก
"ผมไม่ทำ" สมุทรตอบแทบจะทันควัน เขาจ้องผมตาไม่กะพริบเลยทีเดียว ผมอมยิ้มออกมาเล็กน้อย ใบหน้าอีกฝ่ายเต็มไปด้วยบาดแผลจากเหตุการณ์เมื่อคราวก่อนที่ยังไม่หายดี
"..ครอบครัวของผม จะไม่มีทางไปยุ่งเกี่ยวกับพวกคุณอีกต่อไปแล้ว" สมุทรพูด ผมฉีกยิ้มที่ได้ยินความจริงลึก ๆ จากเขา คำพูดธรรมดา ๆ ที่ฟังแล้วรู้สึกจุกดี
"ผมอยากให้มันจบแค่นั้น" เขาบอกพร้อมทำท่าจะเดินหนีไป
"ฉันขอโทษ" ผมพูดขึ้น อีกฝ่ายหยุดนิ่งทันที
"ขอโทษแทนพ่อฉัน ขอโทษ..ที่ตอนนั้นช่วยอะไรไม่ได้" ผมบอก สมุทรหันกลับมาช้า ๆ พร้อมรอยยิ้ม เขาอมยิ้มด้วยสีหน้าเศร้า ๆ แบบที่ผมไม่คาดว่าจะได้เห็น
"ผมไม่เคยโกรธแค้นอะไรพ่อคุณหรอก" สมุทรพูดขึ้น
"อีกอย่างมันก็ไม่ใช่ความผิดของพ่อคุณสักหน่อย ไม่เคยมีความรู้สึกนั้นเลย..สาบานได้ครับ คนจะถึงฆาต..รั้งไว้ให้ตายก็ไปอยู่ดี" เขาพูดพลางอมยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มของเขาดูจริงใจจนผมไม่คิดจะตีความเป็นอื่น
"งั้นแล้วทำไม.." ผมขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
"ผม..มีความสุขดี" สมุทรพูดแทรกทันทีด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ เขาเหสายตาต่ำลง ผมได้แต่ยืนเงียบอย่างพูดไม่ออก ไอ้บ้าที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมนี่มันกำลังคิดอะไรอยู่กัน
"มันอาจจะดูเหมือนมันทุกข์ แต่ผมขอยืนยันว่า..ใจผมยังคงมีความสุขดี" สมุทรเงยหน้าย้ำพูด เราเงียบลงครู่เดียว
"ฉันไม่ได้จะให้นาย.." ผมพยายามจะพูดอะไรในแง่มุมของผมบ้าง
"ชีวิตแบบคุณนี่มันสนุกเหรอ" อีกฝ่ายพูดแทรกขึ้น สีหน้าคล้ายเค้นเอาความ ผมเงียบลงทันใด ทั้งผมและสมุทรพากันยืนนิ่งไปครู่ใหญ่ เรามองหน้ากันไม่วางตา อากาศร้อนระอุ ความเงียบและไร้เสียงรบกวนรอบข้าง ปกติผมคงจะเดือดไปแล้วที่ถูกใครมาต้อนด้วยคำพูดแบบนี้ แต่นี่กลับไม่มีอารมณ์แบบนั้นอยู่เลย มันค่อนข้างว่างเปล่าทีเดียว..
"โทษที" สมุทรพูดขึ้นก่อน
"เป็นความคิดที่ไม่ควรพูดสินะ" สมุทรยิ้มนิดหน่อย ผมหัวเราะในลำคอไม่ได้ว่าอะไร
"พ่อฉัน..เลิกทั้งกิจการพวกนั้นไปหมดแล้ว แล้วก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอะไรเสี่ยง ๆ อย่างเคยแล้วด้วย" ผมพูดบ้าง
"หึ..คนที่ใช้ชีวิตไม่เสี่ยง เค้าไม่พกปืนกันหรอกครับ" สมุทรย้อนยิ้ม ๆ เหมือนกับไม่เชื่ออะไรที่ผมกำลังพูดบอกนี้เลย ผมยืนมองหน้าเขาเขม็ง ทั้งรู้สึกเถียงไม่ออกและในขณะเดียวกันก็รู้สึกแปลก ๆ อยู่ในอก
"พรุ่งนี้จะมาใหม่แล้วกัน เพราะฉันยังยืนยันคำเดิม" ผมตัดบทดื้อ ๆ เพราะจะให้ผมยืนต่อกลอนกันไปกันมานานกว่านี้ก็เท่านั้น ดูท่าอีกฝ่ายจะใจแข็งพอสมควร
"นี่คุณ!" สมุทรอุทานทันทีที่เห็นว่าผมไม่ยอมง่าย ๆ แล้วทำท่าจะเดินหนีเขาด้วย
"นี่คุณพูดไม่รู้เรื่องรึไง" เขาขมวดคิ้วว่าเหมือนเหลืออดต่อผม หึ..โกรธขึ้นนิดหน่อยซะแล้ว
"นายก็พูดไม่ฟังเหมือนกัน!" ผมหันไปย้อนกลับอย่างไม่แคร์
"ฉันมีงานให้นายทำเยอะแยะ ทั้งเงินเดือนและสวัสดิการ..ถ้านายคิดว่านายมีความสามารถมากพอ นายจะได้คุ้มแน่ ๆ" ผมบอก อีกฝ่ายหันหน้าหนีไปอีกทางเหมือนไม่ต้องการจะฟัง
"ความสามารถน่ะมีไหม" ผมกวนด้วยน้ำเสียงท้าทาย สมุทรนิ่งไป เราเงียบลงอีกครั้ง ผมจึงรีบสูดหายใจเข้าลึก ๆ
"ที่จริงฉันอยากได้นายมาเป็นเลขาฉันมากกว่าน่ะนะ" ผมแสยะยิ้มบอก
"ผมเป็นผู้ชาย" สมุทรย้อนเหมือนจะเตือนสติผม
"อ๋อ..ลูกน้องฉันทุกคนเป็นผู้ชาย ผู้หญิงมันยุ่งยากน่ะ" ผมยักไหล่กวน อีกฝ่ายมองผมด้วยสายตาเหมือนผู้ใหญ่มองปรามการกระทำเด็ก ๆ พร้อมกับถอนหายใจอีก ผมเบะปากรับ เขาอยากทำยังไงก็เชิญ
"ให้ผมทาย ลูกน้องคุณก็คงเหมือนกันหมด..พกปืน เป็นศิลปะป้องกันตัว" เขาอมยิ้มคล้ายดูหมิ่นผม
"จะบอกว่าฉันพกปืนแบบมีคุณธรรมนะงั้นเหรอ หึ..สุดท้ายก็นองเลือดเหมือนกันนั่นแหละ ใครสักคนก็ต้องตาย..อีหรอบเดิม" สมุทรยิ้มพูดพลางส่ายหัวอย่างรับไม่ได้
"แล้วมันไม่ดีตรงไหน นายยังไม่รู้จักพวกเราเลยด้วยซ้ำ" ผมอดว่าไม่ได้
"ก็ตรงที่ต้องอยู่กับเรื่องที่ไม่สบายใจตลอดเวลาไงล่ะ" เขาขึ้นเสียงแบบที่นาน ๆ จะได้เห็นที อีกฝ่ายมองผมตาโตอย่างเอาความ
"โอเค..ฉันไม่เถียง" ผมแสยะยิ้ม ยกมือขึ้นทั้งสองมือเป็นการยอมแพ้ถึงประเด็นนี้ที่เขาว่า
"เพราะความจริงที่ฉันอยากได้นาย ก็เพราะนายเป็นมวยนั่นแหละนะ" ผมหัวเราะ ทำเอาอีกฝ่ายมองค้อนทันควัน เราจ้องตากันไม่ละสายตา ต่างฝ่ายต่างเอาชนะ
"ถ้านายมีสติมากกว่านี้.." ผมพูดขึ้นเสียงเบาแล้วเดินเข้าไปใกล้เขามากขึ้น
"นายก็คงจะรู้ว่า..จนถึงทุกวันนี้ที่ครอบครัวนายยังอยู่ได้อย่างสงบสุข ปลอดภัย ไม่ใช่เพราะพวกฉันงั้นรึไง" ผมอดเตือนสติไม่ได้ สมุทรยืนนิ่ง
"น้องนายที่ไม่ถูกข่มขืน บ้านห่วย ๆ ของนายที่ยังคงอยู่สุขสบายดี ยายนายที่หายป่วย ค่ายมวยกระจอก ๆ ของนายที่ยังอยู่ได้..นายคิดว่ามันเพราะนายมีบุญบารมีเก่าคอยคุ้มกะลาหัวนายอยู่รึไง" ผมแสยะหัวเราะต้อนอีกฝ่ายไม่หยุด เขาชักเริ่มมองผมตาไม่กะพริบ
"คุณหมายความว่าไง" สมุทรย้อนเสียงเย็น
"ฉันทำได้ทั้งนั้นแหละ" ผมพูด แสยะยิ้มมุมปากทีละเล็กอย่างชอบใจที่เห็นเขามีสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาซะแล้ว
"คุณนี่..ระยำกว่าที่เห็นเยอะนะ" สมุทรว่าพร้อมเบะปากนิด ๆ คล้ายเหลือเชื่อ
"หึ.." ผมหัวเราะชอบใจที่ได้ยินอีกฝ่ายด่าผมอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้ นานแล้วที่ไม่ถูกด่าด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งไร้ความเคียดแค้นอย่างที่ควร ควบคุมตัวเองได้ดีทีเดียว
"เอาเก็บไปคิดแล้วกัน พรุ่งนี้ฉันจะมาใหม่" ผมบอก สมุทรไม่ตอบอะไร ผมยื่นซองจดหมายสีขาวไปให้ตรงหน้าเขา อีกฝ่ายมองอย่างสงสัย
"จดหมายพ่อฉันน่ะ" ผมบอก สมุทรเงยหน้ามองผมทันที
"เค้าเสียไปเมื่อสามปีก่อน..พ่อฉันเขียนไว้ก่อนเสีย เค้าอยากให้ฉันเอาซองจดหมายนี้ให้แม่นาย" ผมบอก สมุทรก้มหน้ารับไป
"ส่วนเรื่องแม่กับพ่อเลี้ยงนาย..ฉันเสียใจด้วย" ผมบอก ผมเดินจากมาและไม่ได้หันกลับไปมองเขาอีก
"ผมว่า..." ผมพูดขึ้นเมื่อเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพี่ธานที่ยืนรอดูสถานการณ์อยู่ไกล ๆ
"ผมคิดถูกแล้วที่เลือกช่วยเขาแบบนี้" ผมแสยะยิ้มมุมปากออกมาทีละนิดด้วยรู้สึกชอบใจแปลก ๆ ที่จริงผมควรรู้สึกผิดบ้างไม่มากก็น้อยที่ไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือให้เงินครอบครัวสมุทรอย่างโต้ง ๆ ตรงไปตรงมา ปฏิกิริยาตอบกลับจากสมุทร ทำให้ผมรู้สึกว่าพ่อผมเลือกไม่ผิดที่มีลุงยอดเป็นลูกน้องและเพื่อนรัก เพราะขนาดลูกชายของเขาเองก็ยังทำให้ผมรู้สึกซาบซ่าในการต้อนเขานี้ได้ดีไม่น้อยทีเดียว..
เสร็จจากนั้น ผมให้ไอ้เด่นขับไปรอที่ร้านกาแฟที่โรงแรม RATIO ของภาคิน อีกเดี๋ยวเดียวลูกน้องผมจะเอาผลงานที่ผมรอคอยมาให้ วันนี้ไอ้คินไม่สามารถลงมาหาผมได้เพราะต้องไปต้อนรับแขกคนสำคัญ พี่ธานกับผมจึงนั่งคุยงานกันไปเพื่อฆ่าเวลา ส่วนไอ้เด่นก็นั่งสบายใจเฉิบ แชทคุยกับสาวเขินไปมาอยู่นั่น..