แจ้งข่าว : 10 พฤษภาคม 2564 -
แจ้งข่าวไฟสมุทรขอบคุณค่ะ | เบบี้
.
.
ตอนที่ 1
..ไฟ..18 ปีก่อน
ท่าเรือ จังหวัดระนอง..
"หนีไปลูก.."
"ฮึก..ไม่~"
"พ่อบอกให้หนีไป!"
"พาแม่กับน้อง ..หนี ไป"
"พ่อ~"
"เฮ้ย! มันอยู่นี่!!"
"ฮื่อ พ่อออออ!" ปัง! ....ผมจำได้ดีว่า เสียงปืนยิงดังสนั่น ลูกของผู้ชายคนนั้นวิ่งหนีออกไปทั้งน้ำตา
"อึก" ผมได้แต่นั่งแอบเฝ้ามองอยู่ด้วยความกลัว เสียงปืนดังขึ้นอีกนัดหลังจากนั้น ทั้งพ่อและผมสะดุ้ง เราต่างตัวสั่นเทา แม้แต่สิ่งที่จะช่วยเหลือชีวิตเราตอนนี้ก็ไม่มี ไร้อาวุธแล้ว ถ้ามันเจอตัวพวกเราคงเป็นตายเท่ากัน
"พ่อ!!!" เสียงของเด็กผู้ชายคนนั้นร้องลั่นเมื่อหันกลับมาเห็นพ่อของตนที่นอนสิ้นลมทั้งที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ตนเอง "ลุงยอด"...พ่อของเด็กคนนั้นก็เสียชีวิตลงคาที่ สายตาของเขาจ้องมองไปที่ลูกชายตัวเองคล้ายกับว่าจะดูให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายนั้นไปแล้ว และปลอดภัยดี
"ไปตามจับมันมาให้ได้!" ทันทีที่คนของเสี่ยย้งหันกลับไปมองเขาพร้อมกับตะโกนหมายหัว อีกฝ่ายก็วิ่งหนีไปพร้อมกับกระเป๋าของลุงยอดที่กอดไว้ในอก รองเท้าแตะหูคีบไร้ราคาที่ดูจะใช้งานมาหนักมาก เสื้อผ้ามอมแมม เข่าเปื้อนเลือดคงเพราะหกล้มมาหรืออะไรสักอย่าง ใบหน้าคมเข้มตั้งแต่ยังเด็กเหมือนคนเป็นพ่อไม่มีผิด โตไปก็คงจะหน้าตาไม่ผิดเพี้ยนจากพ่อเขาเป็นแน่ เด็กคนที่ชื่อ.."สมุทร" ชื่อที่พ่อของผมบอกกับผมว่าพ่อเป็นคนตั้งให้อย่างตั้งใจ คนที่พ่อของผมบอกว่าเขาเองก็เกิดมาไล่เลี่ยกันกับผม ทั้งที่ควรจะได้เจอกันเร็วกว่านี้ ได้เจอกันแบบคนปกติทั่วไปแต่มันก็สายไปแล้ว
"ไอ้ยอด" พ่อร้องพึมพำด้วยอาการช็อกไม่ต่างจากผม แต่คงช็อกคนละความรู้สึก มือของพ่อที่กอดผมอยู่นั้นสั่นเทา น้ำตาของพ่อเหมือนจะไหลออกมาแต่ก็ไม่ พ่อจ้องไปที่ศพของลูกน้องที่จงรักภักดีไม่วางตา
"ระยำเอ๊ย" เขากัดฟันสบถอย่างเคียดแค้นแต่เสียงกลับสั่นไปหมด ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นผมจำได้เป็นอย่างดี ลูกน้องที่ยอมเสี่ยงตัวเองไปเป็นสายให้พ่อผมกลับถูกยิงตาย ลูกชายของเขาและครอบครัวก็หายตัวไป...
- - - - - - - - - - - - - - -
7 ปีก่อน
กรุงเทพ.."มันอยู่ข้างหลัง เบี่ยงซ้ายเลยครับ" เสียงคู่หูของผมบอกตำแหน่งที่ตั้งของเป้าหมายที่เราต้องการจับในตอนนี้ อันที่จริงจะใช้คำว่าจับมันก็คงจะไม่ถูกนัก ดูเหมือนตอนนี้ผมจะเป็นฝ่ายที่กำลังถูกจับมากกว่า เหมือนกับว่าพวกมันได้กลิ่นแปลก ๆ ว่าผมอาจเป็นสายให้ตำรวจ ที่จริงอยากบอกให้พวกมันรู้ว่าผมไม่ใช่สายตำรวจสักหน่อย เพียงแค่อยากหาอะไรสนุก ๆ เล่นฆ่าเวลา แต่ที่สำคัญในตอนนี้คือ ผมกำลังถูกต้อนเป็นหมูเลยทีเดียว
"เฮ้ย! จับมันให้ได้ กูจะเอากระดูกมันไปให้กัปตัน..ลูกกูกิน!" เสียงโวยดังขึ้นอย่างเหนือกว่า ผมแสยะยิ้มดุนลิ้นออกมาอย่างเคยชินเมื่อไหร่ที่ชอบใจปนหมันไส้ในการกระทำหรือคำพูดของใคร มือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อนอกแล้วหยิบลูกอมโอเล่ออกมาแกะกินอย่างใจเย็น
"คำเตือน โอเล่ทำให้ลิ้นแดง" ผมพูดยิ้ม ๆ พี่ธานไม่ได้ว่าอะไรแต่คิดว่าคงกำลังยิ้มพลางส่ายหัวอีกตามเคย
"ฮึ.." ผมหัวเราะในลำคอเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดูหวาดระแวง ผมที่ไร้แม้อาวุธในตอนนี้ กระทั้งไร้ความกลัวหรือกังวลโดยสิ้นเชิง การที่ผมล่อมันให้มาที่นี่ได้ก็เพราะรู้ว่าคนของผมต้องอยู่รอผมอยู่ที่นี่แน่นอนอยู่แล้ว
"ให้ผมเดา ไอ้เหี้ยนี่..ขนตูดมันต้องเยอะแน่ ๆ ลามไปทั้งตัว" ผมเบะปากพูดบอกคู่หูที่ปลายสายเมื่อเห็นเงาศัตรูที่สะท้อนให้เห็นทางตู้อีกฝั่งหนึ่งของห้อง ขนหน้าอกมันเยอะลามขึ้นไปจนแทบจะถึงคอ
"พี่ธาน"..คู่หูที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของตึกร้างพร้อมกับสไนเปอร์คู่ใจนอนอยู่บนหลังคาฝั่งตรงข้ามหัวเราะในลำคอเบา ๆ คล้ายกับเห็นด้วยกับผม
"พุงมันปิดไข่แทบมิดเลยพี่เห็นไหม..เกิดมานี่มันแดกควายเข้าไปแล้วกี่ตัว ถ้ามันโดนยิง ไขมันคงจะกระเด็นไปถึงโลกหน้าแน่..อุบาทว์ฉิบ" ผมว่าอย่างรู้สึกขยะแขยงความทุเรศทุรังของหน้าตามัน
"หึหึ" ปลายสายหัวเราะชอบใจอย่างไม่มีปากเสียงตามเคย
"เข้าซอกตึกขวามือครับ" พี่เขาบอกที่หลบซ่อน ผมรีบทำตามในทันที สิ่งที่จะช่วยป้องกันชีวิตตัวเองในตอนนี้ไม่มีเลยแม้สักอย่างเดียว ในมือมีเพียงของสำคัญที่ไม่ว่ายังไงผมก็จะไม่ยอมตายง่าย ๆ แน่ถ้าสิ่งนี้ยังไม่ถึงมือตำรวจ เอามายากลำบากขนาดนี้ ใครจะไปยอมตายง่าย ๆ กัน
"พร้อม..รึยังครับนายน้อย" ปลายสายถามความพร้อมและยังทิ้งท้ายด้วยคำพูดไม่รื่นหูต่อผม ผมเหลือบมองไป เห็นพี่ธานที่ซุ่มอยู่พร้อมกับสไนเปอร์ที่สังหารมาแล้วหลายต่อหลายชีวิต ดูท่าเขาจะพร้อมเต็มทีแล้ว ผมพลิกนาฬิกาข้อมือดูเวลา ใกล้เวลาที่ผมจะต้องไปรับน้องชายที่สนามบินเต็มแก่ ถ้าผิดนัดคราวนี้อีกผมคงไม่มีความเชื่อใจอะไรเหลือให้น้องผมอีก
"หวังว่าสไนเปอร์ของพี่คงจะไม่ทำให้ผมผิดหวังหรอกนะ" ผมพูดแกล้งกลับบ้าง ปลายสายยังคงหัวเราะในลำคอที่ถูกผมประชดเอาได้
"ชู่ Barrett คุณไฟเค้าล้อเล่นน่ะ ไม่คำรามสิ" อีกฝ่ายเย้าหยอกกับสไนเปอร์เหมือนย้อนผมกลับจนผมอดอมยิ้มไม่ได้ สไนเปอร์ Barrett M82 หนึ่งในสไนเปอร์ขึ้นแท่นว่าดีที่สุดในโลกคือของสำคัญของพี่ธานที่น่าจะได้วางมือเร็ว ๆ นี้
"เจอกันข้างล่าง" ผมสั่งเสียงเย็นเพราะเลือดสูบฉีดเต็มที่เตรียมพร้อมหนี ตอนนี้เพียงหนีให้ได้ไวที่สุดโดยไม่ให้อีกฝ่ายหนึ่งจับได้ว่าผมเป็นลูกเต้าเหล่าใครมาจากไหน ไม่ให้ใครเดือดร้อนแม้กระทั่งคู่หูของผมในวันนี้ที่ต้องเข้ามาเสี่ยงชีวิตด้วยทั้งที่ไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ เราทั้งสองที่ขัดคำสั่งเด็ดขาดของพ่อของผมว่าห้ามมายุ่งเกี่ยวกับวงการนี้อีก สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้คือการรักษาชีวิตตัวผมเองให้กลับออกไปเพื่อนำหลักฐานที่รับปากเพื่อนสนิทไว้นี้ไปให้พี่ชายของมัน และไปรับน้องชายที่สนามบินให้เร็วที่สุดด้วยก็เท่านั้น
ฟิว! ...เสียงยิงเป้าหมายเบาอย่างกับลมเพียงกระทบผ่านหู เร็วและแรงจนเป้าหมายแทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองนั้นตายแล้ว เสียงกระจกแตก พวกมันยืนอึ้งตาค้างที่เห็นคนของตัวเองตายเพียงเสี้ยววินาที หลังจากนั้นเสียงปืนดังกระหน่ำไม่ยั้งจนตึกแทบสั่นไหว เสียงคนเริ่มโหวกเหวกโวยวายจากทางด้านล่าง ทำให้ผมคาดการณ์ได้ว่ามันคงยกพวกมาเยอะเป็นแน่ พวกมันยิ่งกระวนกระวายที่ยังหาผมไม่พบแต่เพื่อนพวกมันกลับตายไปทีละคน
"หึหึหึหึหึ" ผมหัวเราะขึ้นเสียงดังลั่น เสียงปืนเงียบลงทันที
"จุดห้าศูนย์ แม่นยำระดับพระกาฬ" ผมบ่นพึมพำยิ้ม ๆ แล้วก้าวเท้าเดินออกไปอย่างช้า ๆ เพราะพวกมันไม่ทันสังเกตเห็นผมเสียด้วยซ้ำ
"ไอ้.." พวกมันมามองผมอึ้ง ๆ ผมนำซีดีข้อมูลของพวกมันปิดไว้ที่หน้าของผมเพื่อไม่ให้พวกมันได้เห็นว่าผมเป็นใคร
"โอ้โฮ..กลางกระบาลเพื่อนมึงทีเดียวสองคนเลย คนของกูเจ๋งโคตรเลยใช่ไหมล่ะ มึงหาคนฝีมือแบบนี้ในประเทศไทยไม่ได้อีกแล้วนะ..ดูเอาไว้เป็นบุญตาซะ" ผมพูดพลางหัวเราะเยาะ
"มึงเป็นใครวะ!"
"อยากรู้..ก็ขยับไขมันจับกูให้ได้สิ ไอ้หมีแพนด้า" ผมพูดเสียงทุ้มต่ำพร้อมเลื่อนแผ่นซีดีลงให้เหลือเห็นเพียงระดับคิ้วก่อนยักคิ้วกวนตอบให้ ไม่ทันให้พวกมันได้คิดทัน เสียงปืนดังขึ้นอีกนัด เพื่อนมันร้องโหยหวน ผมใช้จังหวะที่กำลังชุลมุนนี้วิ่งหลบหนีออกมาในทันที
"ไอ้สัตว์ ยืนเซ่ออะไร! ตามมันไปสิวะ!" เสียงโวยดังมาจากด้านใน
"ตามมันไป!!!" สิ้นเสียงนี้เองผมก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกนอกจากเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ผมวิ่งผลัดกระโดดลงบันไดมาจากตึกสูงสิบกว่าชั้นอย่างรวดเร็ว เมื่อก้มลงมองสำรวจไปที่ชั้นล่างก็เห็นคนของพวกมันเต็มพื้นที่ไปหมด
"ฉิบ"
"คุณไฟ!" ผมหันไปมอง พี่ธานที่อยู่อีกตึกหนึ่งโยนกระบอกปืนมาอย่างแรงจนมันกระเด็ดมาทางฝั่งผม ผมเข้าไปคว้ามาถือไว้
"รถจอดอยู่ซ้ายมือข้างตึกฝั่งผมครับ" พี่ธานบอก ผมพยักหน้ารับแล้วรีบวิ่งหนีต่อเพราะได้ยินว่ามีเสียงฝีเท้าวิ่งตามลงมา เสียงปืนยิงต่อสู้กันดังสนั่น พี่ธานคงยิงสกัดไว้ให้ผมแล้ว คนด้านล่างร้องดังระงมไปหมด
"ว่าไงพี่!" ผมกดรับ เมื่อเห็นสายเข้าเป็นนายตำรวจที่รับคดีนี้อยู่ พี่เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของเพื่อนสนิทของผมเอง
"ลื้ออยู่ไหนวะ ใครบอกให้ลื้อลงมือ!" เสียงเหวี่ยงจากปลายสาย ฟังดูไม่ชอบใจอีกตามเคย ทำอะไรก็ไม่เคยถูกใจสักอย่าง เป็นผู้ชายที่โคตรเรื่องมากไปอีก
"ถ้ารอพี่ ผมคงไม่มีชีวิตมาวิ่งหนีกระสุนพวกมันอยู่อย่างนี้" ผมว่ากลับ ปลายสายจิจ๊ะเสียงให้ได้ยิน
"ตึกร้างนาร่า นี่พี่คิดว่าผมอยากทำนักรึไง..ถ้าพ่อรู้เอาผมตายแน่ พี่ก็ด้วย" ผมย้อนถึงสิ่งสำคัญ เรื่องบางเรื่องทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของเรา สุดท้ายก็เข้ามาพันแข้งพันขาจนจะสะบัดออกไปก็ไม่ทันซะแล้ว
"เออ ๆ"
"มาเก็บศพพวกมันด้วยล่ะ..ผมต้องไปรับพายุ ไม่มีเวลาคุย..ที่แน่ ๆ ผมได้ของแล้ว เตรียมตัวเลื่อนยศได้เลยครับคุณสารวัตรฐานทัพ" ผมแสยะยิ้มบอก เสียงสบถให้ได้ยินยังคงดูไม่พอใจ เมื่อถึงชั้นล่างได้ก็วิ่งตรงไปที่รถยนต์ที่ใกล้ที่สุดเพื่อเป็นที่หลบลูกกระสุน มองสำรวจไปรอบ ๆ ก็พบรถยนต์ของผมจอดอยู่อย่างที่อีกฝ่ายบอกไว้ การยิงต่อสู้ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ผมไม่มีแม้แต่เวลาที่จะหันไปมอง รู้เพียงว่าศพคงตายเกลื่อนถนน ผมยิงตอบกลับช่วยพี่ธานคู่หูของผมเพียงเพื่อหลบเลี่ยงแค่นั้น
ปึก!
"อะ" ผมร้อง ฝีเท้าถีบเข้ามาเต็มหลังไม่ทันตั้งตัว เมื่อตั้งหลักได้จึงหันกลับไปชกเข้าเต็มแรงทำให้อีกฝ่ายสลบคาที่ไปในทันที
"เวรเอ๊ย" ผมสบถเสียงอย่างเลือกไม่ได้ แม้จะเพียงไม่กี่วินาทีแต่อีกฝ่ายก็เห็นหน้าผมแล้ว มือจึงเหนี่ยวไกปืนยิงไปที่จุดที่คิดว่าอีกฝ่ายจะตายคาที่อย่างแน่นอนเพื่อกันความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า เสียงรถตำรวจดังมาใกล้ ๆ พวกมันเริ่มแตกตื่น ผมวิ่งจ้ำไปที่รถ พี่ธานวิ่งสวนออกมาจากตึกพอดี เราต่างฝ่ายต่างกระโดดขึ้นรถกันอย่างรวดเร็ว
"เร็วดีนี่" ผมอมยิ้มชมพี่ธาน อีกฝ่ายอมยิ้มไม่ได้ว่าอะไรและโยนสไนเปอร์ไปที่เบาะหลัง
"พี่ทัพกำลังมา ใช้ทางลัด..ไปสนามบิน" ผมสั่ง สิ้นคำสั่งผม เสียงล้อรถปัดกับพื้นถนนดังระงม เสียงลูกปืนยิงกระทบถูกรถตามมาไม่หยุดอีกสี่ห้านัด
"ระยำเอ๊ย" ผมหันหลังกลับไปกัดฟันสบถที่พวกมันยิงลูกรัก
"ทำสีใหม่อีกแล้ว!" ผมบ่นอย่างหงุดหงิด พี่ธานฉีกยิ้ม
"จบกันที" ผมพูดแกมบ่น
"เอาเป็นว่า..วันนี้ผมคงกินเคเอฟซีได้แล้วสินะ อืม..ไก่ทอดน้ำปลาก็อยากกิน" ผมหันไปบอกคู่หูที่ตอนนี้กลายเป็นคนขับรถไปเสียแล้ว เมนูสิ้นคิดที่ผมชอบมากทีเดียว
"หึ ถ้าไม่โดนใครบ่น..ผมก็ห้ามคุณไม่ได้อยู่แล้วนี่ครับ" อีกฝ่ายตอบทำให้ผมถึงกับอมยิ้มอย่างพอใจ
- - - - - - - - - - - - - - -
ปัจจุบัน
กรุงเทพ..ก๊อก ๆ ๆ "เข้ามา" ผมอนุญาต
"คุณไฟครับ ได้เรื่องแล้วครับ" พี่ธานเดินเข้ามา
"อาธาน"..เป็นมือขวาอันสงบนิ่งของผม แต่ก่อนก็เปรียบเสมือนคู่หูที่เป็นตายร้ายดีมาด้วยกัน ซื่อสัตย์ เป็นงาน ตรงไปตรงมาและเป็นคนที่ผมไว้ใจเหมือนกับพี่ชายแท้ ๆ เหมือนคนในครอบครัวคนหนึ่งเลยก็ว่าได้
"ว่า.." ผมถามกลับไปด้วยรู้สึกตื่นเต้นลึก ๆ กับข่าวคราวที่สืบหามานาน และคาดว่าวันนี้น่าจะได้เรื่องสักที
"ย้ายครอบครัวไปอยู่ที่สุโขทัยครับ โยกย้ายระหว่างสุโขทัย ลำพูน..เชียงใหม่ ตอนนี้ย้ายกลับมาอยู่ที่นี่แล้วครับ หลังจากที่แม่กับพ่อเลี้ยงเสียไปด้วยอุบัติเหตุเมื่อห้าปีก่อน..ตอนนี้กลับมาอยู่กับยาย แล้วก็น้องชายกับน้องสาว" พี่ธานเล่า
"น้องชายกับน้องสาว" ผมย้ำเสียงคิ้วขมวด
"ครับ" พี่ธานพยักหน้า
"น้องสาว..เป็นน้องสาวแท้ ๆ ที่เกิดจากลุงยอด ส่วนน้องชาย..เป็นลูกที่เกิดจากพ่อเลี้ยง ประมาณน่าจะเจ็ดแปดปีให้หลัง ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่" พี่ธานอธิบายด้วยสีหน้าไม่ค่อยมั่นใจ ผมพยักหน้ารับ เราต่างเงียบลงครู่หนึ่ง พี่ธานมองหน้าผมเหมือนรอการตัดสินใจ
"แล้ว..ชีวิตเป็นไง" ผมถามถึง พี่ธานหลบสายตาเล็กน้อยก่อนเหลือบมาสบตาผมอีกครั้ง
"ตอนที่มีพ่อใหม่ชีวิตก็ดีขึ้นบ้างนะครับ แต่ว่าแม่ก็มาป่วยลง..เห็นว่าสมุทรต้องออกไปทำงานมาช่วยแบ่งเบาภาระอยู่พักใหญ่ จนพ่อกับแม่ประสบอุบัติเหตุระหว่างทางกลับจากต่างจังหวัด เอ่อ..สืบมาว่าหลังจากกลับจากโรงพยาบาลน่ะครับ" พี่ธานเล่า ผมพยักหน้ารับ
"..หลังจากทั้งสองคนเสีย สมุทรได้เงินส่วนหนึ่งจากประกันของพ่อกับแม่..ก็เลยขายบ้านที่อยู่ที่นั่น เป็นของพ่อเลี้ยงน่ะครับ นำไปใช้หนี้ที่แม่กู้เพื่อส่งสมุทรกับน้องเรียนไป..แล้วย้ายกลับมาอยู่ที่นี่กับยาย"
"เอ่อ เห็นว่ายายนำบ้านไปจำนองไว้กับเจ๊หยก..เอาเงินไปช่วยลูกชายคนโตที่อยู่ต่างจังหวัดน่ะครับ แต่สมุทรใช้หนี้ให้หมดเรียบร้อยแล้ว" พี่ธานเล่าถึง "เจ๊หยก"..ผมไม่เคยเห็นหน้าค่าตาสักที แต่กิติศัพท์ที่ได้ยินมาถึงความโหดนั้นก็ไม่เบาทีเดียว
"อายุเท่าคุณ..จบปวส.ช่างก่อสร้าง เป็นนักกีฬาโรงเรียนมาตลอด ตั้งใจเรียนดี ตอนนี้ทำงานเป็นพนักงานควบคุมงานก่อสร้างอยู่ที่บริษัทรับเหมาก่อสร้าง THE TRUST Company ครับ ทำมาได้หลายปีแล้ว" พี่ธานบอก
"ไม่เรียนต่อเหรอ" ผมขมวดคิ้ว
"ไม่ครับ" พี่ธานผงกหัวเล็กน้อย ผมพยักหน้าเข้าใจ
"แค่นี้.." ผมเลิกคิ้วเชิงถามอีกครั้งถึงข้อมูลที่หามาได้
"แล้วก็..หลังจากกลับจากทำงาน ต้องกลับมาช่วยยายขายขนมที่บ้าน แล้วก็อยู่ค่ายมวยด้วย"
"อยู่ค่ายมวย" ผมย้ำเสียงอย่างสนใจ
"ครับ..เจ้าของค่ายมวยที่เป็นเพื่อนเก่าของลุงยอดไงครับ สมุทรเป็นนักมวยอาชีพของค่ายศรไกร"
"ศรไกร..ศรไกร" ผมพึมพำ มือขยับปากกาคล้ายกับให้ช่วยคิด พยายามนึกเพราะคุ้นหู
"อ้อ..ค่ายมวยชื่อดังสมัยก่อนที่ใกล้เจ๋งแล้วน่ะนะ" ผมแสยะหัวเราะ น่าขำ..เป็นนักมวยอยู่ในค่ายแบบนั้นแล้วจะไปมีประโยชน์อะไร
"ครับ" พี่ธานพยักหน้า
"งั้นก็ห่วยน่ะสิ" ผมเดาอย่างอดดูถูกไม่ได้ แม้พ่อของเขาจะฝีมือดีขึ้นชื่อแต่ลูกไม้หล่นไกลต้นก็มีนี่ครับ
"จากที่เห็น ก็ไม่นะครับ" พี่ธานอมยิ้มเล็กน้อย ผมเท้าคางแสยะยิ้มตอบให้ด้วยรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เพราะถ้าพี่ธานพูดขนาดนี้ก็คงอย่างที่พูดละมัง พี่ธานเองก็ถูกพ่อผมและอาจารย์ที่ฝึกผมได้ฝึกพี่เขามาเป็นอย่างดี ถ้าพี่ธานยอมรับ มันก็คงต้องได้เห็นของจริงกันสักหน่อย
"แล้วน้องสาวกับน้องชายที่ว่าล่ะ ใครเลี้ยง" ผมพยายามเก็บข้อมูลเข้าหัวให้ได้มากที่สุดทีเดียว
"สมุทรเลี้ยงครับ" พี่ธานตอบ
"คนเดียว" ผมถาม
"ครับ" พี่ธานพยักหน้า
"อายุเท่าไหร่ เรียนที่ไหน" ผมซัก
"ผู้หญิงชื่อดาวครับ เรียนอยู่ปีหนึ่ง มหาวิทยาลัย U สาขานาฏศิลป์..ได้ข่าวว่าเป็นเด็กเรียนดีนะครับ เลยสอบเข้าได้ ส่วนคนเล็กเพิ่งจะเก้าขวบครับ ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง"
"หะ!" ผมอุทานพร้อมเบะปาก
"ครับ" พี่ธานอมยิ้มเล็กน้อยเหมือนรู้ว่าผมอุทานทำไม
"เยอะแยะยั้วเยี้ยไปหมด" ผมบ่นอย่างนึกรำคาญแทน
"ค่อนข้างมีปัญหาทางด้านการเงินน่ะครับ" พี่ธานบอกอีก
"หึ..พอจะทราบ" ผมหัวเราะปัดไปทีก่อนเงียบลงอย่างใช้ความคิด
"คุณไฟจะเอายังไงต่อดีครับ" พี่ธานถาม ผมหันกลับไปมอง
"ผมว่า เค้าไม่น่าจะมาง่าย ๆ"
"ทำไม" ผมถามกลับเสียงเข้ม
"ผมว่าเค้า.. คล้ายลุงยอด" พี่ธานตอบด้วยคำตอบเฉียบคมแบบที่ผมไม่สามารถย้อนอะไรกลับไปได้อีก ผมแสยะยิ้มอย่างพอใจในคำตอบที่ได้รับ ก่อนพยักหน้าและปัดมือส่ง ๆ เพื่อบอกให้พี่ธานออกจากห้อง เขาก้มหัวให้เล็กน้อยรับคำสั่งก่อนจะเดินออกไป ผมได้แต่นั่งนิ่ง สมองโล่งเพราะคิดอะไรไม่ทันเสียด้วยซ้ำ
"มีแต่เรื่องยุ่งยาก" ผมอดบ่นไม่ได้ ได้แต่ถอนหายใจเซ็ง ๆ เพราะตอนนี้ยังไม่อยากคิดมากอะไร บอกปัดไม่ได้ว่านี่คือเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่พ่อสั่งเสียผมไว้ก่อนจากโลกนี้ไป ซึ่งผมไม่สามารถผิดคำพูดได้อย่างแน่นอน และคนอย่างผมจะต้องทำให้เรื่องมันหมดหน้าที่ไปเสียด้วย
ผมเดินลงมาที่ชั้นล่างของตัวบ้าน กะเวลาไว้แล้วว่าจะออกจากนอกบ้านกี่โมงเพราะมีนัดกับเพื่อนสนิท พอเดินลงมาก็เห็นว่าน้องชายตัวดีนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นพร้อมกับถุงของแบรนด์เนมเต็มไปหมด
"ไงมึง" ผมทัก
"อะ..ซื้อมาให้" น้องชายหันมายื่นถุงใบหนึ่งให้ส่ง ๆ เหมือนไม่ได้ตั้งใจจะสนใจผมเท่าไหร่นัก ผมรับมาดู ด้านในเป็นเสื้อเชิ้ตสองสามตัวและเป็นสีที่ผมชอบ เห็นอย่างนั้นก็เลยวางลงข้าง ๆ เพราะไม่มีอารมณ์จะใส่ใจ