43
พรุ่งนี้ก็จะถึงวันจัดงานเลี้ยงฉลองที่โบตั๋นเรียนจบแล้ว เธอไม่ได้ตื่นเต้นเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ที่เธอตื่นเต้นเพราะเธอจะได้ไปเกาลูนมากกว่า ตั้งแต่จำความได้ เธอก็มีเจ่เจ้และหยกคอยดูแลมาตลอด การไปเกาลูนครั้งนี้เธอไม่ได้ไปเที่ยวเล่น แต่เธอจะไปหาความจริงเกี่ยวกับเมฆาขาว และคนตระกูลเหมิ๋น
ถึงตอนนี้เธอจะรู้สึกสนุกกับการใช้เมฆาขาวก็ตามที แต่มันก็ให้ทั้งคุณและโทษในเวลาเดียวกัน มันทำให้ครอบครัวของเธออยู่มาหลายชั่วอายุคน แต่ในทางกลับกันมันก็ทำให้พ่อแม่ของเธอต้องมีอันเป็นไปเช่นกัน
ตอนนี้เธอจะช่วยแบ่งเบางานที่เจ่เจ้วางแผนเอาไว้ตั้งแต่ต้น และเพื่อความสุขของหยก พี่ชายคนเดียวของเธอ เธอยอมทำทุกอย่างเพื่อเขา
“คุณโบตั๋น จะเข้าห้องเสื้อของคุณภาเลยไหมครับ” พี่ต้นที่คอยรับส่งเธอตลอดหลายวันเอ่ยถาม หลังจากที่ขับรถออกนอกรั้วมหาวิทยาลัยแล้ว
“ค่ะพี่ต้น ไม่รู้ทางพี่ภากับเจ่เจ้เป็นยังไงบ้างนะคะ”
“เห็นต้ามันบอกว่า คุณภาออกมาจากบ้านคุณหญิงแล้ว ส่วนคุณหงส์ยังอยู่ที่นั่น ต้ามันเฝ้าอยู่ ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกครับ”
“แต่น่าแปลกนะคะ เจ่เจ้ไปที่นั่นจะอาทิตย์หนึ่งแล้ว ยังไม่เคยเห็นนายหื่นนั่นเข้าไปที่บ้านแม่ตัวเองเลย”
“เท่าที่ผมทราบจากคี มันว่าความสัมพันธ์ระหว่างยายหลานไม่ค่อยจะดีเท่าไรน่ะครับ”
“ทำตัวทุเรศ ๆ แบบนั้น ยายไม่รักก็ดีแล้วล่ะคะ แล้วแม่เขาล่ะคะ?”
“รายนั้นทั้งรักทั้งตามใจเลยล่ะครับ”
“เอาเข้าจริง ๆ ไม่รู้ว่าแผนการของพี่ภาจะได้ผลไหม?”
“ผมว่า คุณโบตั๋นอย่าเพิ่งกังวลไปเลยครับ”
“นั่นสินะ อาทิตย์หน้าตั๋นฝากพี่ต้นดูแลเจ่เจ้ด้วยนะคะ ห่วงก็แต่หยก”
“คุณพยัคฆ์ดูแลเองเกือบจะ 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว คุณโบตั๋นไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกครับ”
“เหมือนฝากปลาย่างไว้กับแมวเลย”
“ฮ่าๆๆ คุณโบตั๋นยังไม่ชินอีกหรอครับ ว่าแต่เดี๋ยวผมต้องไปร้านคุณกันต์สัก 3-4 ชัวโมงนะครับ คุณโบตั๋นอยู่ร้านกับคุณภา ถ้าจะออกไปไหนต้องโทรบอกผมก่อนนะครับ”
“ไปทำไมค่ะ”
“คุณพยัคย์มีเรื่องจะไปคุยกับเหล่าฝู่น่ะครับ”
ไม่บอกเธอก็รู้ว่าพี่เสือไปหาเหล่าฝู่ทำไม ในใจของพี่เสือมีแต่เรื่องความปลอดภัยของหยก เธอหวังว่าสักวันหยกจะรู้ใจตัวเองสักที เธอกับพี่ภาลุ้นจนตัวโก่งไปหมดแล้ว
.........................................................................
ตั้งแต่วันที่ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาซื้อขนมที่ร้านพี่กันต์ ผมก็ไม่เจอเธออีกเลย แต่เจ็กลู่ก็ยังคงไม่วางใจถึงขั้นจะให้ผมพักงานที่ร้าน จนกว่าเจ่เจ้จะกลับมาจากไปเที่ยวกับพี่ภาเลย ยังดีที่พี่เสือช่วยของร้องเจ็กลู่ให้ ผมถึงยังได้ทำงานต่อ แต่พี่เสือก็ดูเครียด ๆ ขึ้น จนบางทีผมก็ไม่สบายใจ
“พี่เสือทำหน้าตาน่ากลัวอีกแล้ว”
“พี่ทำให้หยกกลัวรึป่าว?”
“หยกแค่หยอกเล่นน่ะครับ เห็นพี่เสือดูเครียดๆ”
“พี่ขอโทษนะ ที่ทำให้เราไม่สบายใจ”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ หยกแค่...เป็นห่วงน่ะ” ผมพูดไปก็เขินไป แต่ก็คุ้มเพราะพี่เสือดูจะอารมณ์ดีขึ้นมานิดหน่อย
“พี่ดีใจจัง พี่หยกกล้าพูดมากขึ้น”
“ก็พี่เสือบอกให้หยกพูด”
“เด็กดี” พี่เสือพูดพร้อมละมือข้างหนึ่งจากพวงมาลัยรถ มาโคลงศีรษะของผม
“พี่เสืออย่าทำอย่างกับหยกเป็นเด็กสิ”
“ก็หยกน่ารัก น่าเอ็นดูนี่นา”
“หยกอายนี่” ผมตอบเสียงแผ่ว...
“หยกครับ เดี๋ยวพี่จะออกไปหาเหล่าฝู่ที่ร้านยานะ ระหว่างนี้ต้นจะมาดูแลหยกแทนพี่สักสองสามชั่วโมง”
“หยกอยากไปหาเหล่าฝู่ด้วยจัง”
“หยกจะไปไหมล่ะ เข้าไปลางานคุณกันต์ก่อนก็ได้ แล้วค่อยไปพร้อมพี่”
“ไม่ได้หรอก พรุ่งนี้หยกก็ต้องลางาน ไปเตรียมงานเลี้ยงกับป้าลัย ไปตอนเลิกงานไม่ได้หรอครับ”
“อาชาติเป็นคนนัดเหล่าฝู่ให้พี่นะสิ จะมาเปลี่ยนเวลาคงไม่ทัน”
“ครับ ไว้โอกาสหน้าก็ได้ครับ หยกอยากไปเยี่ยมเหล่าฝู่บ้าง”
“หยกไม่น้อยใจพี่ใช่ไหม ที่พี่ไม่อยู่น่ะ”
“ไม่น้อยใจหรอกครับ ว่าแต่...พี่เสือไปหาเหล่าฝู่ทำไมหรอครับ”
“จะถามเรื่องคุณลตาน่ะ ว่ายังไปป่วนเปี้ยนแถวร้านยาอีกไหม?”
“อ่อ ครับ” พี่เสือก็ยังคงไม่เชื่อที่ผมบอกอยู่ดี
“เย็นนี้พี่มารับน่ะครับ”
“ครับ”
ถ้าผมมีโอกาสได้เจอกับผู้หญิงคนนั้นอีก ผมก็อยากจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็น ว่าเธอไม่ได้คิดร้ายกับผมจริง ๆ ถึงผมจะไม่เก่งเท่ากับเจ่เจ้หรือโบตั๋นในการสัมผัสจิตใจใคร แต่ผมเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง
.........................................................................
จุ้ยเถิงเห็นรถที่เขาจับตามองมาหลายวันเข้ามาจอดเทียบที่หน้าร้านอาหารผ่านกล่องส่องทางไกลตัวจิ๋ว แทนที่จะเป็นด้านหลังร้านเหมือนอย่างเคย เขาเห็นฝู่หยงเดินลงจากรถมาเพียงคนเดียวโดยที่คนขับรถไม่ได้ตามลงมาด้วย ก่อนที่ชายคนนั้นจะขับรถแล่นออกไป
หลังจากวันที่เขาออกจากร้านอาหารนั่นมา เขาก็ให้ลตาสืบหาข้อมูลของชายคนนั้น ซึ่งที่แท้แล้วเขาก็เป็นเจ้าของบริษัทรักษาความปลอดภัยระดับต้น ๆ ของที่นี่ การที่เจ้าของลงมาคุ้มกันฝู่หยงด้วยตัวเอง แสดงว่าฝู่หยงต้องมีความสำคัญอะไรบ้างอย่าง ซึ่งหากเขาเดาไม่ผิด หยกประจำตระกูลฝู่ต้องอยู่กับฝู่หยงแน่นอน
เขาถอยออกจากหน้าต่างบานใหญ่ที่เขายืนเฝ้าสังเกตุอยู่ ก่อนจะเดินออกจากสำนักงานชั่วคราวที่เขาเช่าทิ้งไว้เพื่อคอยจับตาดูฝู่หยง ลูกน้องของเขาทำทีจะตามออกไปด้วย แต่เขาห้ามไว้ ก่อนจะลงลิฟท์แล้วเดินไปยังร้านอาหารตรงข้าม
เมื่อเขาเข้ามาถึงในร้านก็พบว่าต้องรอคิวอีกเกือบ 10 คิว ซึ่งเขาคิดว่าเป็นการดี ที่จะได้จับตาดูฝู่หยงอย่างใกล้ชิด จากที่เขาคอยเฝ้าสังเกตจากด้านนอกมา 2-3 วัน ร้านนี้มักจะมีลูกค้ามากช่วงเวลาที่ฝู่หยงเขามาทำงาน อาจจะเป็นเพราะอำนาจของหยกนั่นก็เป็นได้ ที่ดลใจให้ลูกค้าต่างพากันเข้ามา
“ผมขอขึ้นไปนั่งบนนั้นได้ไหม?” เขาถามพนักงานคนหนึ่งที่เดินผ่านมา เป็นภาษาอังกฤษ
“ต้องขอโทษด้วยครับ โต๊ะนั้นมีคนจองเอาไว้แล้ว”
โต๊ะนั่งบนชั้นลอย ตำแหน่งที่บอดี้การ์ดคนนั้นนั่งอยู่เป็นประจำ ถึงแม้เข้าตัวจะไม่มาเฝ้า ก็ยังกันที่นั่งไว้ได้ หรือว่าร้านนี้อาจจะมีความสัมพันธ์อะไรแอบแฝงกับฝู่หยง เขาลอบมองไปยังฝู่หยงที่ดูตั้งใจทำงานของตัวเอง ท่าทางมีความสุขกับงานตรงหน้า มันดูมีเสน่ห์น่ามองอย่างประหลาด
“คุณลูกค้าเชิญทางนี้ครับ” พนักงานคนหนึ่งเดินมาพาเขาไปยังโต๊ะว่าง ไม่ห่างจากตำแหน่งของฝู่หยงมากนัก แต่ก็เป็นมุมที่มองไม่ถนัด “ไม่ทราบว่าจะรับอะไรดีครับ”
“ผมของเอาเพรสโซ่ กับคุกกี้สัก 2-3 ชิ้น”
“วันนี้เรามีคุกกี้มะพร้าว บาราวนี่คุกกี้ และคุกกี้ช็อกโกแลตชิพ ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าต้องการคุกกี้แบบไหนดีครับ”
“เอามาอย่างละชิ้นก็แล้วกัน”
“ครับ รอสักครู่นะครับ” พนักงานเดินไปยังเคาน์เตอร์เพื่อสั่งเครื่องดื่มกับคุกกี้ให้กับเขา ฝู่หยงเหลือบมองเขาเล็กน้อยก่อนที่จะลงมือชงเครื่องดื่มต่อไป
“ผมต้นครับ ไม่ทราบว่าโต๊ะของผม โต๊ะไหนครับ” พนักงานพาคนมาใหม่ที่ไม่ต้องต่อคิวเหมือนอย่างเขาขึ้นไปยังโต๊ะตัวที่เขาถามเมื่อครู่นี้
นายคนนี้ดูท่าทางเหมือนพนักงานออฟฟิตทั่วไป ไม่เหมือนบอดี้การ์ด หรือว่าเขาจะเข้าใจผิดเรื่องที่มาที่ไปของร้านนี้ เขาเฝ้าสังเกตฝู่หยงตลอดเวลาที่เขานั่งอยู่ เขาสบตากับฝู่หยงหลายต่อหลายครั้ง จนเขาเองต้องแปลกใจ ทั้งที่เขาไม่ได้มีพิรุธอะไร ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนกับว่า ฝู่หยงรู้ตัวว่ากำลังโดนเขาจับตามองอยู่
.........................................................................
เมฆเข้ามาที่ออฟฟิตของเจ้เปิ้ล เพื่อส่งงานตามที่รับปากไว้ เมื่อมาถึงเขาก็เจอยัยโอ๋นั่งอยู่ที่โต๊ะรับรองแขกหน้าห้องของเจ้เปิ้ล เขาจึงเดินเข้าไปทักทาย
“ช่วงนี้ฉันเจอแกที่นี่บ่อยนะ ยัยโอ๋ ไม่มีกองไหนเขาจ้างงานแกรึไง”
“ปากเสียนะอิเมฆ ฉันมาที่นี่เพราะเจ้เปิ้ลนัดฉันมาหรอกน่า”
“เจ้เปิ้ลมีงานหรอ แล้วใครเป็นช่างภาพล่ะ แกพอรู้ไหม?”
“ไม่ใช่งานถ่ายภาพนิ่ง งานแฟชั่นโชว์ต่างหาก”
“อ่อ อย่างนั้นหรอ?”
“อืม”
“แกได้เป็นช่างแต่งหน้างานนี้ด้วยหรอ พัฒนาขึ้นนี่หว่า...”
“ไม่ใช่หรอก งานใหญ่ ๆ แบบนี้ทางแบรนด์เขาใช้ช่างแต่งหน้าระดับประเทศเท่านั้นย่ะ”
“อ่าวแล้วแกมาทำไม”
“ก็ฉันมารับบรีฟงานแทนน้องโบตั๋นน่ะสิ”
“อย่าบอกนะว่าแกเป็นผู้จัดการส่วนตัวของน้องโบตั๋นจริง ๆ”
“ไม่ใช่เฉพาะน้องโบตั๋นเท่านั้นนะ น้องหยกของฉันก็ด้วย”
“เฮ้ย...จริงดิ!!”
“ฉันจะโกหกแกให้ได้อะไรขึ้นมา”
“เอ่อๆๆ ก็แค่ไม่คิดว่าน้องหยกจะรับงานอีกน่ะ”
“ให้รู้ซะมั่งว่าฉันเป็นใคร”
“ถ้าฉันมีงาน ฉันติดต่อน้องหยกผ่านแกได้ใช่ไหม”
“ก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วสิ แกไม่รู้อะไร ตอนนี้ฉันสนิทกับบ้านนี้เขาจะตาย คุณหงส์เธอก็ใจดี....”
เมฆฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ขณะที่โอ๋พูดพร่ามไปเรื่อย เขาเองก็คิดแผนการอะไรขึ้นมาได้
.........................................................................
พยัคฆ์สอบถามเรื่องของคนในตระกูลฝู่คนอื่น ๆ ที่อยู่ในฮ่องกงจากเหล่าฝู่ จึงได้รู้ว่า คนส่วนใหญ่ที่ยังทำงานอยู่ในบริษัทฯ ล้วนเป็นลูกหลานของคนเก่าคนแก่ ที่รับใช้ตระกูลนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับสามพี่น้องฝู่เลย
แต่เพราะว่าตระกูลฝู่มีบุญคุณและไม่เคยทอดทิ้งบริวารของตนแม้แต่คนเดียว ทำให้คนที่ทำงานอยู่ตอนนี้ล้วนทำงานด้วยใจภักดิ์ และหวังให้ทายาทที่แท้จริงกลับไปสืบทอดธุรกิจของตระกูลและกอบชื่อเสียงในด้านดีๆ กลับคืนมา
“เพราะเหตุนี้ใช่ไหมครับเหล่าฝู่ ทำให้ทุกคนยังคงตามหาหงส์กันอยู่ ทั้ง ๆ ที่สามารถแจ้งทางการได้ว่าหงส์หายสาบสูญไปแล้วก็ได้”
“ใช่แล้ว พวกจุ้ยเองก็พยายามจะหุบกิจการทั้งหมด แต่ถ้าไม่มีเมฆาขาว พวกนั้นก็ไม่สามารถทำอะไรได้”
“แต่ถ้าพวกมันปลอมแปลงเอกสาร ก็...”
“มันปลอมไม่ได้หรอก เพราะถึงปลอมยังไง ก็ไม่สามารถปลอมลอยประทับจากเมฆาขาวได้”
“การที่จะลอกลวดลายปั๊ม ก็แค่หาตราประทับเก่าๆ มาลอกเลียนก็ได้ไม่ใช่หรือครับ”
“คุณจำได้ไหมว่าเมฆาขาวดูดซับเลือดของคุณตระกูลฝู่”
“ครับ ผมจำที่อาชาติเล่าได้”
“ดังนั้น เมฆาขาวทั้ง 3 ชิ้น เมื่อจุ่มลงในน้ำผึ้งอุ่น ๆ แล้วเอาไปประทับบนกระดาษ มันก็จะเกิดตราประทับสีฟ้าครามที่ไม่สามารถลอกเลียนสีหมึกได้”
“แค่จุ่มกับน้ำผึ้งอุ่นนี่นะครับ?” เป็นไปได้ยังไงที่แค่น้ำผึ้งจะทำให้เกิดสีหมึกขึ้นมา
“ใช่แล้วล่ะ”
“เหลือเชื่อจริง ๆ”
“สีไม่ได้เกิดจากน้ำผึ้งหรอกนะ”
“สีนั่น!!...สีที่เกิดขึ้นมันมาจาก...”
“เลือดของคนสกุลฝู่”
“ถ้าพวกจุ้ยแย่งเมฆาขาวไปได้ ก็จะสามารถปลอมเอกสารได้”
“ใช่แล้ว และทายาทต้องเป็นคนประทับตราเท่านั้นนะ เพียงแต่พวกนั้นไม่รู้เรื่องนี้และเรืองสีของหมึก ถึงพยายามลอกเลียนสีแค่ไหน ก็ไม่เหมือน พวกมันคิดว่าเราใช้สีสูตรพิเศษ”
“แต่การที่แม่ของหงส์ไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ พวกนั้นก็ไม่จำเป็นต้องตามหาหงส์หรือเมฆาขาวก็ได้นี่ครับ ตามกฏหมายทรัพย์สมบัติก็จะตกเป็นของทายาทที่ใกล้ชิด ไม่ใช่หรือครับ”
“ไม่ใช่ว่าอีไม่อยากทำ แต่อีทำไม่ได้ต่างหาก และการที่อีไม่สามารถทำพินัยกรรมได้ ก็ต้องยึดเอาพินัยกรรมฉบับก่อนหน้าเป็นหลัก”
“พินัยกรรมฉบับก่อนหน้า”
“ทายาทสกุลฝู่ทุกรุ่น เมื่ออายุครับ 25 ปี ต้องทำพินัยกรรมเอาไว้”
“แล้วทำไมแม่ของหงส์ถึงทำพินัยกรรมไม่ได้”
“อีไม่สามารถทำรอยประทับจากเมฆาขาวได้ยังไงล่ะ”
“เพราะเมฆาขาวไม่รับเลือดแม่ของหงส์”
“ใช่”
“หงส์รู้เรื่องนี้ไหมครับ”
“รู้”
“ผมสงสัย ว่าทำไมต้องรอให้อายุครบ 25 ปี ถึงจะทำพินัยกรรมได้”
“คนเก่าคนแก่เล่าขานกันมาว่า ทายาทที่อายุครบ 25 ปี เมื่อประทับตราจากเมฆาขาว สีถึงจะปรากฎออกออกมาให้เห็น”
“แสดงว่าตอนนี้ หยกและโบตั๋น ไม่สามารถสร้างตราที่เกิดจากเมฆาขาขึ้นมาได้”
“ใช่แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น ที่หงส์เร่งเดินทาง เพราะต้องการจะไปจัดการเรื่องพินัยกรรม”
“ใช่ เพราะถ้าพ้นปีนี้ไปแล้ว นายน้อยก็จะอายุครับ 25 ปี ทางจุ้ยก็จะยิ่งต้องการตัวนายน้อยมากกว่าเดิมเป็นแน่”
“แต่ทางนั้นไม่เรื่องเรื่องความวิเศษของเมฆาขาวนี่ครับ”
“คุณหนูใหญ่ถึงต้องรีบจัดการอะไรต่อมิอะไรในตอนนี้ยังไงล่ะ”
“ถ้าหงส์ทำพินัยกรรมขึ้นมาใหม่ ทุกอย่างก็จะสิ้นสุดลงอย่างนั้นหรอครับ”
“อืม...ใช่แล้ว เมื่อคุณหนูใหญ่ตัดสินใจอะไรลงไป ทางจุ้ยก็ไม่สามารถขัดขืนได้”
“ถ้าเป็นแบบนั้น อันตรายก็จะตกมาอยู่ที่หงส์สิครับ”
“ไม่หรอก เมื่อหงส์จัดการทุกอย่างเสร็จ อำนาจของตระกูลก็จะกลับคืนมาที่จุดศูนย์รวมดังเดิม”
“แล้วคนอื่น ๆ ของฝู่ล่ะครับ”
“พวกเราทำหน้าที่ของเราเพื่อตอบแทนบุญคุณ ดังนั้นไม่ว่าทายาทคนไหนจะตัดสินยังไง พวกเราก็น้อมรับ และพร้อมจะทำตาม”
พยัคฆ์ได้ฟังเหล่าฟู่เล่าก็อดอัศจรรย์ใจไม่ได้ ทั้งยังปลื้มใจแทนพี่น้องทั้งสามที่คนภักดิ์กับพวกเขาถึงขนาดนี้ ทั้งที่ไม่ได้พบหน้ากับมากว่า 20 ปี ระหว่างที่คุยกับเหล่าฝู่อยู่ ข้อความจากแอพพลิเคชั่นก็เด้งขึ้นมา
Yok : พี่เสือ
Yok : มีคนจับตามองหยกอยู่ พยัคฆ์อ่านข้อความยังไม่ทันจบดี ก็ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ทันที เขายังไม่ทันพูดอะไรออกมา เหล่าฝู่ก็พยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงรับรู้ เขาจึงรีบออกจากตึกตรงไปยังจุดที่เขาจอดรถอยู่ทันที
To Be Continue