ตอนที่ 10 ผู้คาดหวังในรัก
ภูวรินทร์อยู่ในห้องพักของอินทนิลอยู่นาน จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าเดินใกล้เข้ามา ประตูห้องเปิดออกเบาๆ ปรากฏเป็นร่างของอินทนิลเดินมาในห้อง ด้วยสีหน้าง่วงงุน พร้อมกับป้าษอรที่เดินตามเข้ามาทีหลัง
“อินน์มีไข้ค่ะ”ป้าษอรบอกเขา ชายหนุ่มปิดแฟ้มลงก่อนจะเก็บมันเข้าที่ อินทนิลเดินเข้ามาในห้อง
“งั้นผมดูแลอินน์เองครับ”เขาบอก เธอมองเขาอีกครั้ง มีความกังขาแสดงอยู่บนใบหน้าของเธอ “ป้าให้อินน์ทานยาแล้วค่ะ เหลือแค่เช็ดตัวเท่านั้นค่ะ...”เธอบอกเขาด้วยท่าทีนิ่งๆ จากนั้นเดินจากห้องออกไปพร้อมปิดประตูให้ เขามองทิศทางที่เธอเดินออกไปอยู่นาน ก่อนจะหันกลับมามองอินทนิลเดินไปนอนบนเตียงอย่างเงียบเชียบ
“เกิดอะไรขึ้น”เขาถาม
“อืม เมื่อวานเย็นอินน์ไปที่สุสานมา”อินทนิลตอบน้ำเสียงราบเรียบ ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างตัวเองจนถึงหน้าอก เขานั่งลงบนเตียงมองอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิด
“...ทำไมล่ะ”ภูวรินทร์ถามอย่างไม่เข้าใจนัก เด็กหนุ่มมักทำเรื่องที่เขาไม่คาดไม่ถึงมาก่อน ส่วนมากมาจากความอ่อนไหวของตัวเองทั้งนั้น
“ไม่รู้สิครับ...มณีเป็นคนทำร้ายท่าน อินน์เลยเกลียด”เจ้าตัวทำหน้ายับย่น แววตาเย็นชาฉายออกมาทุกครั้งเวลาที่เอ่ยถึงมณี
“เรื่องมันนานมาแล้ว เธอเองเป็นคนนอกนะอินน์”เขาบอก เรื่องมณีกับคุณแก้ว ควรปล่อยให้เป็นเรื่องของฝ่ายนั้นไปเถอะ อินทนิลมองเขาแล้วส่ายหน้า
“ไม่ได้หรอก อินน์เชื่อมโยงกับท่าน ไม่ยุ่งไม่ได้”เจ้าตัวแย้ง
“แต่เธอป่วยอยู่”ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง มองร่างของอินทนิลที่ดูซูบผอมลงไปบ้าง ใบหน้าซีดเซียวฉายแววอ่อนล้าออกมาให้เห็น อินทนิลยิ้มบางๆออกมา
“คุณห่วงอินน์เหรอ”เจ้าตัวถาม หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน เขามองทุกอากัปกิริยาของอินทนิล ก่อนจะพยักหน้าตอบไปสั้นๆ
“ใช่สิ”คำตอบของเขา ทำให้อินทนิลยิ้มกว้าง เจ้าตัวขยับร่างนอนตะแคงมาทางเขา “...แล้วห่วงท่านไหม”ภูวรินทร์นิ่งไป เขาไม่ตอบ ไม่คิดว่าอินทนิลจะยึดติดกับคุณแก้วมากถึงขนาดนี้ ทุกครั้งเจ้าตัวจะต้องพูดถึงคุณแก้วอยู่เสมอ ราวกับว่าเป็นส่วนหนึ่งของสำนึก เด็กหนุ่มนอนนิ่งอยู่บนเตียง ใบหน้าแนบหมอนกำลังจับจ้องเขา
“...ไม่หรอก ท่านไม่ใช่คนนี่นะ ไม่มีร่างด้วยซ้ำ เขาใช้ร่างของเธอ...”เขาพูดนิ่งๆ พูดถึงคุณแก้วแล้วพาลไปนึกถึงใบหน้าเศร้าโศกเต็มไปด้วยย้ำตาของฝ่ายนั้นตลอด
“ใช่ครับ...แต่อินน์ไม่ได้ต่อต้าน”อินทนิลพูดยืนยันเสียงแข็ง ท่าทางเหมือนไม่ได้ถูกบังคับให้ยินยอม ชายหนุ่มจ้องเด็กหนุ่มอย่างไม่วางตา มองเข้าในนัยน์ตากลมใสทั้งสองคู่นี้อย่างค้นหา มีเพียงความจริงใจของอีกฝ่ายปรากฏให้เห็น เขาถอนหายใจอย่างอดทน
“ทำไมกันล่ะ...ยิ่งเรื่องในวันนั้น...เธอก็รู้ไม่ใช่เหรอ คุณแก้วควบคุมเธอ”ภูวรินทร์ด้วยความอึดอัด เขาจำไม่ได้ นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก เหมือนความทรงจำโดนปิดผนึก ชายหนุ่มไม่ชอบความรู้สึกพวกนี้ และเขาก็ไม่เข้าใจอินทนิลด้วย เด็กหนุ่มมองเขา
“มันบอกไม่ถูกครับ...ที่บอกว่าไม่โกรธ ไม่ต่อต้าน เป็นความจริง อินน์แค่ยอมรับมันก็เท่านั้นเอง เพราะใจของอินน์ ไม่ใช่อินน์เพียงอย่างเดียว ...ถึงแม้ว่าอินน์อยากให้คุณมองเห็นแค่อินทนิล”เด็กหนุ่มพูดช้าๆ เสียงแผ่วเบาไม่ต่างจากกระซิบ ราวกับกลัวใครจะได้ยิน
“อืม เธอเป็นอินทนิลสำหรับฉันนะ”แม้ว่าเขาจะฉุกคิดไปถึงคุณแก้วอยู่บ้าง เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่นึกถึง ใบหน้าคล้ายคลึงกันขนาดนั้น
“คุณแก้วท่านน่าสงสารออก คุณไม่เห็นใจท่านเหรอ ไปไหนไม่ได้เพราะมณีแช่งไว้ ต้นเหตุมาจากที่ท่านอาไม่ซื่อสัตย์”อินทนิลเอ่ยออกมา เขาผ่อนลมหายใจเบาๆอย่างอดทน แม้แต่อินทนิลก็คิดแบบนี้งั้นหรือ
“เอาเถอะ ตอนนี้เธอพักผ่อนก่อนดีกว่า”ภูวรินทร์ถาม อินทนิลผงกศีรษะเบาๆ “...คุณภู”อินทนิลเอ่ยเรียกอย่างไม่มั่นใจ เขามอง ท่าทางของอินทนิลดูกล้าๆกลัวๆที่เปิดปากพูดออกมา เขาคิดว่าคงเป็นเรื่องสำคัญ ชายหนุ่มยิ้มใจดีให้อีกฝ่ายเบาใจ
“ว่าไงล่ะ”เขาถามเบาๆ อินทนิลเม้มปาก นัยน์ตาสีนิลขยับไหวไปมา ก่อนจะฉายแววแน่วแน่ออกมาเป็นครั้งสุดท้าย
“อินน์ว่า...อินน์ชอบคุณครับ”เด็กหนุ่มพูดเสียงเบา ใบหน้านั้นไม่มีความเขินอาย มีเพียงความขลาดกลัวต่อเขามากกว่า ภูวรินทร์ได้ฟังถึงกับเบิกตากว้าง เขาไม่ตกใจกับคำสารภาพนี้ แต่เขาประหลาดใจมากกว่าที่อีกฝ่ายกล้าพูดมันออกมาตรงๆ และเขาไม่ทันได้ตั้งสติ ชายหนุ่มกลับมาสงบเสงี่ยมก่อนจะค่อยๆพูด
“...เข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า อาจเพราะคุณแก้วทำให้เธอรู้สึกแบบนี้”ชายหนุ่มบอก หากว่าอินทนิลเป็นเด็กชายธรรมดา ก็คงไม่คิดมาพิศวาสเขาแน่ๆ ตั้งแต่เขามาอยู่ที่บ้านหลังนี้ไม่เคยแสดงท่าทีที่ให้อีกฝ่ายรู้สึกลึกซึ้งด้วยเลย
“มันก็มีส่วนครับ แต่แล้วยังไงล่ะ มันก็ปฏิเสธไม่ได้ อินน์รู้ว่าคุณจะมาที่นี่ ในตอนที่ใกล้ตาย ท่านมาช่วยอินน์ไว้ เวลานี้อินน์ยังไม่ตายแต่วิญญาณของเราผูกกันไว้แทน”อินทนิลพูดไม่ละสายตาไปจากเขา ใบหน้านั้นสะท้อนความจริงไม่ปกปิดอีกต่อไป อาจเป็นแววตาที่คาดหวังคำตอบที่ชโลมใจ
“ทำไมเธอถึงยอมรับง่ายๆล่ะ”เขาถามต่อ
“อินน์อาจอยู่ได้ไม่นาน”เด็กหนุ่มห่อไหล่ท่าทางเหมือนหนาวเหน็บขึ้นมา ชายหนุ่มหายใจติดขัด ข้อเท็จจริงนี้เขาเองก็เคยเก็บเอามาคิดเช่นกัน
“พูดอะไรแบบนั้น มันเป็นลางไม่ดี”ชายหนุ่มบอกอย่างไม่ใส่ใจ เจ้าตัวมองเขา แววตาสีนิลหม่นลง จากนั้นก็พูดพึมพำออกมา
“อินน์แค่อยากใช้ชีวิตบ้างก็เท่านั้นเอง”เจ้าตัวมองไปทางบานหน้าต่างที่ติดกับเตียงนอน แววตานั้นเหมือนโหยหาอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มเงียบ เขาคิดตามที่เด็กหนุ่มพูด อยากใช้ชีวิตงั้นเหรอ หมายถึงแบบไหนกันล่ะ ไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องในอดีตน่ะเหรอ
“ใช้ชีวิต...”เขามองคนพูดอย่างตั้งใจ อินทนิลนัยน์ตาสั่นไหว “ครับ อินน์ไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่เพียงแค่เป็นร่างให้ท่านยืมใช้ ไม่ได้ต้องการให้คุณภูมองเห็นเป็นแค่เด็กน้อยที่น่าสงสาร อยากให้มองอินน์เป็นคนธรรมดาเท่านั้น ต่อให้จะมีท่านหรือไม่ก็ตาม”อินทนิลพูดออกมาจนหมดเปลือก เขามองเด็กหนุ่มด้วยใจลังเล เข้าใจในสิ่งที่อินน์ต้องการเช่นกัน บางคราวหากว่าหลุดพ้นจากเรื่องนี้ได้จริงๆ เขาก็อยากไป‘ใช้ชีวิต’อย่างที่ใจปรารถนา
“ไม่ใช่ว่าฉันมองเธอเป็นอย่างอื่น เธอก็ยังเป็นอินทนิล”เขาตอบ
“ชีวิตมันไม่มีอะไรแน่นอนหรอกครับ... ต่อให้เราจะมีสายเลือดเดียวกัน แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงไม่ใช่เหรอ ถึงคุณจะไม่ชอบอินน์ก็เถอะ”เด็กหนุ่มพูดช้าๆ มองเขาอย่างผิดหวัง ภูวรินทร์ถึงกับส่ายหน้า เขายิ้มให้กับความคิดของเด็กหนุ่ม
“...ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่เธอยังเด็กนะ”เขาพูด มันคงแปลกที่เขามาชอบเด็กอายุสิบห้าปี อายุห่างจากเขาตั้งเท่าไหร่ เรื่องศีลธรรมมันกำลังกัดกินใจของตนอยู่ ไม่นับที่อีกฝ่ายเป็นญาติพี่น้องของตนอีก
“นั่นสิ คุณภูอายุใกล้สามสิบแล้ว อินน์คงต้องเรียกคุณว่าคุณอาแทน”อินทนิลพูด ใบหน้าของเจ้าตัวเรียบเฉยขึ้นมา ชายหนุ่มนิ่งไป เขาแสลงใจกับคำว่าอา มันทำให้คิดวกกลับไปที่ท่านอา.....อดีตชาติของเขา ...ชะตาไม่แปรเปลี่ยน ภูวรินทร์ปรับสีหน้าให้ยิ้มแย้ม
“อย่าเลย เรียกชื่อฉันเหมือนเดิมเถอะ”เขาบอก อินทนิลเผยยิ้ม “ก็ได้ครับ”ขยับตัวนอนอย่างสบายใจขึ้น ร่างกายไม่เกร็งต่อเขา
“แล้วจะอาบน้ำหรือว่าจะเช็ดตัว”เขาถาม เพราะป้าษอรทิ้งท้ายไว้แบบนั้น เขามองเด็กหนุ่มนิ่งๆ
“...เช็ดตัวดีกว่าครับ”อินทนิลตอบ แววตากระวนกระวาย จากนั้นก็มีท่าทีอึกอักขึ้นมา “เรียกษอรมาก็ได้ครับ”เจ้าตัวรีบพูด เขายิ้มออกจางๆ ไม่คิดมากกับเรื่องดูแลคนป่วย
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันช่วย”ภูวรินทร์บอก ก่อนจะลุกขึ้นยืน เดินออกไปบอกลุงชมให้เอาน้ำอุ่นมาให้ ลุงชมมองเขาก่อนจะรับคำ อินทนิลแววตาเป็นประกายขึ้นมา “...ขอบคุณครับ”
ภูวรินทร์มองเด็กหนุ่มเงียบๆ เขาบอกไม่ถูกว่าชอบอินทนิลในแบบไหน แต่ถ้าเกิดอันตรายกับอินน์ เขาคงยอมไม่ได้เหมือนกัน หลังจากที่ภูวรินทร์เช็ดตัวให้อินทนิลเสร็จเรียบร้อยแล้ว อินทนิลเริ่มจะเคลิ้มหลับไปเต็มแก่ ชายหนุ่มหยิบขวดแก้วใบเล็กออกมายื่นให้อีกฝ่ายดู
“เธอจำได้ไหมว่าไปเอามันมาจากไหน”เขาถาม อินทนิลเพ่งสายตามองขวดแก้วใบเล็กก่อนจะเอื้อมมาจับขวดแก้วไปมองอย่างชัดๆ คิ้วขมวดมุ่นอย่างพิจารณา
“อืม... มันอยู่กับอินน์มาตั้งแต่เด็กๆแล้ว...”เจ้าตัวพูด แล้วยื่นมันให้เขาตามเดิม
“คุณแก้วรู้ด้วยไหม”ชายหนุ่มถาม เขามองอินทนิลส่ายศีรษะ แววตามึนงง “ไม่รู้นะครับ เพราะพวกขวดแก้วเก่าๆพวกนี้ก็อยู่รวมกับพวกของใช้ในห้องอินน์มานานแล้ว...มีอะไรเหรอครับ”อินทนิลถาม
“ไม่มีอะไรหรอก เธอนอนได้แล้ว”ชายหนุ่มยิ้มตอบ อินทนิลหายใจเข้าออกช้าๆ ก่อนจะรั้งตัวเขาไว้ด้วยถ้อยคำนี้ “คุณจะไม่ไปไหนใช่ไหมครับ”อินทนิลมองเขา เอื้อมมาจับมือเขาไว้ สัมผัสนั้นอุ่น ชายหนุ่มยิ้ม
“ไม่หรอก ฉันอยู่ที่นี่แหละ”เขาบอก ยอมจับมือผอมนั้นไว้ อินทนิลคลี่ยิ้ม แววตามีชีวิตชีวาขึ้น มือนั้นกระชับแน่นไม่ปล่อย ...เขายอมรับในชะตาของตัวเองแล้ว แต่เขากลับจุกในอกมากกว่า... การติดอยู่ที่บ้านหลังนี้ อาจจะเป็นหนทางที่ดีแล้ว
หลังจากที่อินทนิลหลับไปได้สักพัก ภูวรินทร์ถึงค่อยเดินออกจากห้อง พอเปิดประตูก็เจอเข้ากับลุงชมกับป้าษอรที่ยืนรออยู่ด้านนอก ชายหนุ่มทำหน้านิ่งเฉย ไม่กระโตกกระตากอะไร จะว่าไปเท่าที่สังเกตมา ในระยะหลัง ป้าษอรดูไม่ไว้ใจเขาเท่าไหร่ คงเพราะเป็นห่วงอินทนิล ไม่ก็...อาจรู้เรื่องที่คุณแก้วทำก็ได้
“อินน์นอนแล้วล่ะครับ”เขาบอกอีกฝ่าย ก่อนจะเดินกลับไปทางห้องครัว แต่เสียงพูดจากป้าษอรทำให้เขาหยุดเดินจนได้
“อินน์จะไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ”เธอพูด ภูวรินทร์เครียดขึ้นมาทันที เขาหันกลับไปมองสองคนนั้นอย่างลังเลใจ ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ไม่นี่ครับ”
“คุณก็น่าจะรู้ว่าป้าหมายถึงอะไร ถึงป้าจะไม่ใช่แม่แท้ๆ แต่ก็เลี้ยงมากับมือไม่ว่าจะตอนมีหรือไม่มีคุณแก้ว”ป้าษอรเอ่ย สองมือกุมกันแน่นอย่างกังวลใจ ชายหนุ่มนิ่งคิด ก่อนจะยิ้มออกมาให้พวกเขาสบายใจ
“ครับ ผมเข้าใจ”
“ป้าอยากขอร้องคุณ อยากให้ช่วยอินน์ อย่างน้อยก็ขอให้คุณดูแลอินน์ให้ปลอดภัย”เธอพูดต่อ เป็นคำขอที่หนักหน่วง เขายืนนิ่ง ความปลอดภัยงั้นเหรอ...ดูเป็นเรื่องยาก ถ้าทำได้เขาก็อยากทำ
“ครับ...ผมจะทำ”ชายหนุ่มบอก ก่อนจะเดินกลับเข้าไปทางประตูห้องครัว รู้สึกอัดอึดเหมือนจะระเบิดออกมา เมื่อเดินมายังห้องอาหาร บนโต๊ะอาหารมีสำรับอาหารของเขาตั้งรอไว้เช่นเคย
ภูวรินทร์ฝัน คราวนี้เป็นฝันในอดีต เขามองเห็นสวนหน้าบ้าน ทุกอย่างล้วนคงเดิมแต่ทว่าบ้านยังใหม่เอี่ยม เหมือนเขามองเห็นความเป็นไปของบ้านนี้
‘ตอบมาสิคะ!’เสียงของผู้หญิงดังขึ้นจากทางเรือนปั้นหยา ทำให้เขาเดินเข้าไป ไม่สิ เขาไม่มีร่าง คล้ายกับเป็นมุมมองจากคนนอก มณี เธอเป็นผู้หญิงสวย มองปราดแรกก็ต้องอุทานว่างดงามอย่างไทย ใบหน้าเรียว เรือนผมสีเข้มเป็นลอนถึงบ่า เธอกำลังทุ่มเถียงกับท่านหมื่นนรินทร์ที่มีสีหน้าเคร่งเครียด ขณะเดียวกันในบริเวณเฉลียงบ้าน มีแก้วนั่งอยู่ที่เก้าอี้หน้าเฉลียงเรือน อายุอานามคงยี่สิบปีหรือมากกว่านั้นไม่มาก ข้างกายมีแม่บัวคนรับใช้ที่กำลังจ้องมองสองสามีภรรยาราวกับรอชมละคร
‘...มณี ฟังฉันก่อน เรื่องนี้มีคำอธิบาย’ท่านหมื่นเอ่ยอย่างประนีประนอม คงกลัวว่าภรรยาจะสติแตกไปซะก่อน
‘ท่านหมื่นจะแก้ตัวเรื่องแก้วว่าอย่างไร ที่เขาพูดมันจริงหรือไม่คะ’มณีถามเสียงดัง ท่าทางเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้ หมื่นนรินทร์ขยับเดินเข้าหามณีช้าๆ
‘...มณี’หมื่นนรินทร์พยายามจะเกลี้ยกล่อมให้ภรรยาตนคลายอารมณ์ที่พร้อมจะระเบิดทุกสิ่ง
‘ไม่อย่างนั้น อิฉันจะบอกคุณพ่อ และเด็กคนนี้จะไม่ใช่ลูกของท่านอีกต่อไป’เธอขู่ ใบหน้ามีน้ำตาวาววับ ท่านหมื่นดูตกใจกับคำพูดของมณี ถึงกับหยุดนิ่งไป
‘หมายความว่ายังไง เรื่องนี้จะถึงหูผู้อื่นไม่ได้นะ’
‘คิดว่าอิฉันจะยอมรับเรื่องเช่นนี้ งั้นเหรอ ท่านมีอิฉันไปเพื่ออะไรคะ... หรือต้องการเพียงทายาทเท่านั้น’มณีเค้นเสียงถาม มือของเธอกุมท้องที่กลมโป่งออกมาจากชุดกระโปรงลูกไม้สีฟ้าอ่อนอย่างโกรธเคือง ไม่ทันที่ท่านหมื่นจะอ้าปากตอบ เสียงหนึ่งก็แทรกออกมาแทน
‘ถูกต้อง ท่านนรินทร์ต้องการเพียงลูกสืบสกุลเท่านั้น แม่มณีไม่เห็นหรือว่าลูกของพี่หญิงชายของเราล้วนอยู่ที่อื่นหมดแล้ว ไม่อุปการะเลี้ยงดูไว้ในบ้าน’แก้วเป็นฝ่ายพูดออกมา น้ำเสียงที่ใช้ฟังแล้วเหมือนกำลังเยาะเย้ยมณีอยู่
‘แก้ว หยุดพูดเดี๋ยวนี้!’ท่านหมื่นทำอะไรไม่ถูก
‘คุณพี่!’มณีกรีดร้อง ก่อนจะมองไปที่หนามตำใจของเธออย่างไม่อยากเชื่อสายตา แม้คนรับใช้ในบ้านจะมองเธอแปลกๆ แต่ก็ไม่เก็บมาคิดมาก ได้ยินคำพูดติฉินนินทาท่านหมื่นมาโดยตลอดแต่ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องน่าอับอายถึงเพียงนี้ เธอกุมท้อง ในใจรู้สึกสะอิดสะเอียน สามีที่เธอร่วมเตียงเคียงหมอนมาเกือบปี ไม่ใช่อย่างที่เธอคาดฝัน....
‘แม่มณี เห็นแล้วนี่ว่าเราถูกกักขัง เราผู้เป็นหลานแม้จะชังหน้าท่านอา แต่เรากลับไม่ไปไหน เท่านี้ก็น่าจะบอกอะไรคุณได้บ้าง ...อีกอย่าง ลูกของท่าน หากเติบโตมา รู้ว่าบิดามีหลานชายเอาไว้คลายกำหนัดจะรับได้หรือ’แก้วพูดจายุแยงอีกฝ่ายอย่างสบายใจ
‘คุณพี่คะ...’
‘ฟังนะมณี ฉันแต่งกับเธอเพราะผูกรักสมัครใจ ไม่ใช่เพราะเรื่องไร้สาระที่แก้วพูด เชื่อฉันนะ’ท่านหมื่นพูดอย่างใจเย็น น้ำเสียงปลอบประโลม
‘...ท่านยังมีสัมพันธ์กับแก้วอีกเหรอคะ’เธอเอ่ยถามผู้เป็นสามีด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อถือนัก สีหน้าคล้ายคนร่ำไห้
‘....ใจเย็นก่อนสิมณี’หมื่นนรินทร์รีบเอ่ย แม้ใจจะอยากปลอบภรรยาทว่าไม่อาจหาคำพูดอื่นใดออกมาได้ เพราะความเป็นจริงนั้นกำลังทำลายตนทีละนิด
‘แม้จะมีอิฉันแล้วหรือ’มณีแทบยืนไม่อยู่ เรื่องอัปยศเพียงนี้เธอรับไม่ได้จริงๆ มองไปที่ท่านหมื่น สามีที่กินนอนด้วยกันมาหลายปีแล้วก็ยิ่งช้ำใจ
‘ย่อมใช่ เธอท้องไม่ใช่หรือ ท่านหมื่นจะไปหาหญิงนอกบ้านอีกทำไม ในเมื่อมีของเก่าอยู่ใกล้ๆ’แก้วพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน แม่บัวคนรับใช้ข้างกายไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่ก้มหน้าต่ำๆไม่อยากมองเห็นสายตาของผู้เป็นนาย อย่างหมื่นนรินทร์
‘ขอร้องนะแก้ว หยุดพดเถอะ อย่าทำลายครอบครัวฉัน’ท่านหมื่นพูด ยังคงทำอะไรไม่ถูก ควรเข้าไปกอดปลอบภรรยา หรือควรเข้าไปห้ามแก้วดี ทางไหนก็มีแต่ไม่ช่วยให้ดีขึ้น
‘พูดมาได้นะ ครอบครัวหรือ ท่านทำลายคำว่าครอบครัวมานานแล้ว เราเองก็ไม่ใช่ครอบครัวท่านหรือ’แก้วพูดอย่างไม่พอใจ
‘คุณพี่ยังอยากให้อิฉันอยู่ด้วยหรือไม่คะ’มณีถามขึ้นมา ทำเอาหมื่นนรินทร์ถึงกับพูดไม่ออก
‘มณี เธอเป็นภรรยาของฉันนะ’
‘แล้วคุณพี่ทำแบบนี้ได้เช่นไร ตอบมาสิคะ ว่าที่แก้วพูดไม่จริง’เมื่อมณีเห็นปฏิกิริยาของท่านหมื่นแล้ว มณีแทบไม่ต้องการคำยืนยันอะไรอีกต่อไป เธอมองไปทางแก้วอย่างรังเกียจ
‘นั่นหลานของคุณนะคะ ซ้ำยัง...’ เธอส่ายศีรษะ ‘หากอิฉันไม่รู้เข้า คุณพี่จะหลอกลวงกันไปจนตายเลยหรือ แล้วลูกของเราละคะ ท่านทำผิด ท่านทำเรื่องผิดธรรมเนียมต่ออิฉัน’มณีตะโกนใส่ท่านหมื่นก่อนจะวิ่งกลับไปทางประตูรั้วบ้านไป ท่านหมื่นรีบตามภรรยาไป
‘แก้ว...นี่เธอ!’ก่อนหันกลับมามองหลานชายด้วยความโกรธเคือง เหมือนในอกสุมไฟไว้ จากนั้นก็วิ่งตามมณีไป ส่วนแก้วกับแม่บัวเพียงแค่นั่งนิ่ง ไร้ความรู้สึกใด
‘ไม่เกรงว่าท่านหมื่นจะกลับมาทำร้ายคุณหรือคะ’บัวถามอย่างกังวลใจ
‘ไม่หรอก ถึงเขาจะเลว แต่ไม่มีทางทำร้ายเราหรอก’
‘มั่นใจรึคะ ยามโมโหคราวก่อน ท่านหมื่นก็ไม่ยอมปล่อยให้คุณออกจากห้อง มัดไว้อย่างกับไม่ใช่คน’บัวเอ่ยอย่างไม่พอใจนัก
‘ใช่สิ เกรงว่าสำหรับท่านอา เราคงไม่ใช่คนอีกต่อไปแล้ว...คงเป็นเพียง...’แก้วเงียบไปพร้อมกับก้อนสะอื้น ร่างนั้นแค่สั่นไหว ไม่มีเสียงร่ำไห้ออกมา
ฉับพลันเรือนปั้นหยาก็มืดลงคล้ายกับเวลากลางคืน ฝันนี้คงไม่ใช่ฝันที่ต่อเนื่องนัก ภายในเรือน แก้วนั่งหวีผมอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งที่เบื้องหลังมีร่างสูงของหมื่นนรินทร์ยืนจ้องอย่างไม่พอใจ ส่วนแม่บัวนั่งอยู่ที่ริมห้องไม่กล้าขยับไปไหน
‘ต้องการเช่นนี้หรือ แก้ว’
‘ท่านทำลายเรา เราก็จะทำลายท่าน’แก้วเอ่ยอย่างไม่หยี่ระต่อความโทสะของท่านอา เพียงแค่มองสบตาผ่านกระจกเงาเบื้องหน้าแทน
‘แก้ว...เพราะเหตุใดกัน’หมื่นนรินทร์อดกลั้นความโกรธ เอ่ยถามออกไป แก้วแค่ยิ้ม
‘ยังกล้าถามคำถามนี้กับเราหรือ ท่านทำผิดต่อเรา... ใยถึงได้ทำเป็นไม่รู้’
‘ขอโทษ แต่...ฉันกำลังสร้างครอบครัว อย่าให้ฉันต้องโหดร้ายกับเธอ’ท่านหมื่นพูดช้าๆ มองหลานชายผ่านกระจก
‘ทำไมหรือ จะฆ่าเรา หรือจะไล่เราไป’
‘ไม่หรอก ฉันไม่ไล่ หากฉันย่อยยับ เธอก็ต้องไปพร้อมกับฉันแก้ว เพราะเธอเป็นต้นเหตุ’ชายผู้เป็นอาเดินไปยังด้านข้างของคุณแก้ว จับไหล่ผอมบางนั้นเอาไว้ราวกับบีบให้แตกสลายไปกับมือ คุณแก้วจ้องตากลับอย่างไม่ยอมลดละ
‘คำขู่ของท่าน เราจะรับไว้เป็นคำบอกรักก็แล้วกัน’แก้วยิ้มกว้าง ใบหน้าไม่น่ามองเท่าไหร่ ท่านหมื่นกระซิบลอดไรฟันอย่างขุ่นเคือง
‘แก้ว...’
‘ท่านหมดรักเราไปแล้วจริงๆ ...ในตอนนี้เราคงเป็นกระโถนของท่านสินะ โยนสิ่งเน่าเหม็นมาให้เรา ในตอนนี้ก็คงถูกเมียท่านชังน้ำหน้าไปซะแล้ว คำพูดรื่นหูคงใช้กับนางได้สินะ’แก้วหัวเราะเบาๆ หมื่นนรินทร์ส่ายศีรษะ มองหลานชายอย่างผิดหวัง
‘ถึงฉันหมดรัก แต่ใช่จะไม่มีเยื่อใย’ไม่อย่างนั้นตนคงเอาแก้วไปตีให้ตายไปตั้งแต่ตอนที่อาละวาดในบ้านคราวนั้นหรอก
‘อ้อ ท่านกำลังบอกว่าหวังดีกับเราแล้วหรือ แม้จะนอนเรือนเดียวกับท่านยังทำไม่ได้’แก้วเอ่ยด้วยใจที่สงบนิ่ง แม้จะเสียใจอยู่ ทว่าในตอนนี้ตนนั้นชาชินไปเสียแล้ว
‘เพราะเธอดื้อรั้นไม่ใช่เหรอ’
‘เพราะผิดต่อเราต่างหาก ท่านคิดว่าจะอยู่เป็นสุขหรือ’
‘จะแช่งชักฉันงั้นเหรอ’หมื่นนรินทร์เอ่ยถาม มองตาคุณแก้วอย่างไม่หลบหนี
‘หึ ไม่ต้องแช่งหรอก คำสาบัตย์สาบานที่เราเคยกล่าว มันจะย้อนมาทำลายท่านเอง เราก็แค่จะรอดูท่านพินาศอยู่ตรงนี้ มองครอบครัวของท่านล่มจมด้วยน้ำมือท่านเอง’แก้วลุกจากเก้าอี้ แล้วเดินไปนั่งที่เตียงอย่างไม่สะทกสะท้านอะไร ท่านหมื่นเดินตาม แม้ใจอยากจะตะโกนใส่อีกฝ่ายให้คลายโทสะ
‘ถ้าเธอทำร้ายครอบครัวฉันล่ะก็ ฉันจะไม่ปล่อยเธอไว้ จำเอาไว้ให้ดี’ผู้เป็นอาเอ่ยอย่างเย็นชา
‘เราจะจำไว้ให้ขึ้นใจ’แก้วรับคำด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แน่นอนว่าในใจช้ำเลือดช้ำหนอง หมื่นนรินทร์มองหน้าหลานชายอยู่นาน เขาไม่คิดจะทำร้ายแก้ว หลังจากได้บ้านมา เขาอยากทำดีไถ่โทษ แต่แก้วทำตัวไม่น่ารัก หากเขาไม่ระงับไว้ทันท่วงที ป่านนี้ชีวิตของตนก็คงแหลกเหลว แก้วคิดจะทำลายเขานับแต่วันทีประกาศแต่งงานกับมณี
‘ฉันให้เธอไม่พอหรือ’ผู้เป็นเอ่ยถามด้วยใจที่เจ็บแปลบทีละน้อย การเอ่ยเช่นนี้เท่ากับเขาทำร้ายความรู้สึกของหลานรัก
‘นั่นควรเป็นเราที่ถามมากกว่านะท่านอา...’แต่ก่อนที่เคยคิดว่าขอเพียงได้อยู่เคียงข้างไปตลอดก็เป็นสุข แต่มาบัดนี้ มันแหลกสลาย เหมือนเป็นภาพฝันเลือนราง อดีตที่ดีต่อกัน แก้วถวิลหายิ่งนัก แต่ภาพจริงเบื้องหน้าคือท่านอามีภรรยาและไมต้องการตนอีกต่อไปแล้ว
‘...เพียงขอให้เธออยู่เงียบๆ ฉันก็ยังเอ็นดูเธอเหมือนเดิมนะแก้ว’
‘อยู่เงียบๆรึ ต่อจากนี้คิดว่าเราจะอยู่อย่างสงบสุขหรือ ท่านอา’แก้วขมวดคิ้ว จ้องมองผู้เป็นอาอย่างไม่พอใจอยู่ลึกๆ หลังจากนี้ตนไม่มีทางอยู่อย่างสงบสุขได้
‘...ฉันขอโทษ’หมื่นนรินทร์พึมพำ ไม่ใช่ว่าเขาจิตใจต่ำช้าจนไม่รู้ถูกผิด
‘เรื่องทายาท ท่านนำลูกของท่านพี่เรามาอุปการะไม่ได้หรือ’แก้วถามอย่างอดทน
หมื่นนิรนทร์เงียบเสียงไป แก้วมองผู้เป็นอาด้วยแววตาเสียใจ แม่บัวแต่ก้มหน้าต่ำไม่กล้ามองผู้เป็นนาย ‘ดูแลนายของเธอให้ดี อย่าให้ออกมาอาละวาดอีก’ท่านหมื่นหันมาพูดกับคนรับใช้
‘ค่ะ ท่านหมื่น’
‘ส่วนเรื่องเรือนเพาะ ฉันไม่ได้ห้ามหรอก แต่ก็ระวังไว้บ้าง อย่าให้มีพืชประหลาดโผล่ออกมาอีก’หมื่นนรินทร์ทิ้งท้ายกำชับกับแม่บัว หล่อนผงกศีรษะรับ หมื่นนรินทร์เหลียวมองหลายชายอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกจากเรือนไปเงียบๆ เหลือเพียงใบหน้าว่างเปล่าของแก้ว ที่นั่งไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
‘คุณแก้วคะ อิฉันว่าส่งจดหมายหาคุณกิ่งดีหรือไม่ อย่าทนอยู่ที่นี่เลยค่ะ’แม่บัวเอ่ยน้ำตานองหน้า เดินเข้าไปหาคุณแก้วที่เตียงก่อนจะจับมือของคุณชายเอาไว้ แก้วคนนี้ เธอเลี้ยงมากับมือ เป็นทั้งแม่นม เป็นทั้งคนรับใช้ ตลอดชั่วชีวิตของเธอนั้นปรารถนาให้ผู้เป็นนายมีความสุข เธอไม่เคยขัดยามที่คุณแก้วปลูกต้นรักกับอาของตน เพียงมีความสุข เธอก็สนับสนุน
แต่หลังจากท่านอาได้บ้านไป จวบจนมีภรรยา ชีวิตของคุณกลับทุกข์ทน หล่อนก็เจ็บปวดไปด้วย
‘คิดว่าเราไปแล้วจะเป็นสุขหรือ เรายังห่วงที่นี่ สมบัติของเจ้าคุณพ่อ’แก้วพูดน้ำเสียงเจือความเศร้า
‘ช่างมันเถอะค่ะ ของนอกกายพวกนี้ มีแล้วทำให้ทุกข์ก็ปล่อยไปเถอะ’แม่บัวพูด
‘เจ้าคุณพ่อฝากฝังบ้านหลังนี้ไว้กับเรา แต่เรายกมันให้ผู้อื่น เพราะความโง่เขลา ตามืดบอด เหลือเพียงเรือนเล็กหลังนี้ แม้จะไม่ใหญ่โตโออ่า แต่ยังมีมุมสวยงาม... เราอยากเขียนพินัยกรรม’
‘ต้องเรียกทนายมา... หมื่นนรินทร์คงทราบแน่ๆ’
‘เราจะเขียนเอง...บัวไปหาคนที่ไว้ใจได้มาให้เราอีกคนหนึงก็พอ...’แก้วบอก
‘ได้ค่ะ อิฉันจะเรียกใช้นางษุมาเป็นพยานให้ค่ะ’แม่บัวรับปาก สองตาจ้องมองผู้เป็นนายด้วยสายตาเห็นใจ ก่อนจะหวนนึกถึงคนที่ทำให้คนตรงหน้าเจ็บช้ำน้ำใจ พลางคิดอย่างโกรธเคือง
หมื่นนรินทร์ท่านต้องไม่ตายดีแน่