-15-
สี่ปีต่อมา โรงเรียนเด็กเล็ก “มัฟฟิ่น... คุณพ่อมารับแล้วค่ะ” คุณครูที่ดูแลเด็กส่งเสียงเรียกเข้าไปในห้องเรียน
“ค้าบ...” เสียงตอบรับนำมาก่อน พร้อมร่างอุ้ยอ้ายอ้วนกลมสะพายกระเป๋าเดินตรงมาหา
“ปะป๊า...อุ้ม...อุ้ม...” มาถึงลูกจ๋าก็อ้าแขนแล้วออกคำสั่งทันที หมอยิ้มรับโน้มตัวลงอุ้มลูกชายขึ้นในอ้อมแขนแล้วหอมแก้มขาวนั้นฟอดใหญ่
“เอ่อ... ครูครับ มัฟฟิ่นคงไม่ได้มาโรงเรียนประมาณหนึ่งอาทิตย์นะครับ พอดีมีโปรแกรมจะขึ้นเหนือ” หมอหันไปบอกคุณครูสาว
“อ้อ...ค่ะ” เธอรับคำยิ้มหวานให้
“กลับก่อนนะครับ” หมอลาแล้วหมุนตัวอุ้มเจ้าตัวอ้วนกลมเดินไปที่รถ
หนักจัง... สงสัยมัฟฟิ่นคงน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีกแล้ว เขาดูสมบูรณ์พูนสุขจนไม่น่าเชื่อเลยว่าเป็นเด็กคลอดก่อนกำหนดจริงๆ ตอนที่คลอดเขาตัวเล็กมากเพราะร่างกายยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ จนหมอเป็นกังวลมากว่าลูกจะไม่รอด แต่หลังจากอยู่ในตู้อบสามเดือน พระเจ้าก็อวยพรให้พวกเขาปลอดภัย แต่ไม่ว่ายังไงเด็กที่คลอดก่อนกำหนดก็ต้องได้รับการดูแลมากกว่าเด็กทั่วไปอยู่ดี
หมอเปิดประตูเข้าบ้าน รู้สึกได้ว่ามีกลิ่นบางอย่างอวลเตะจมูก จนต้องพยายามสูดกลิ่นเข้าปอดลึกๆ
“ฟิ่น.. อย่าวิ่งครับ” หมอปราม เมื่อมัฟฟิ่นวิ่งนำหน้าหมอตรงไปยังที่มาของกลิ่นโดยไว หมอเร่งฝีเท้าตามเข้าไปตรงมุมครัวที่มีร่างเล็กในชุดกันเปื้อนยืนถือตะหลิวอยู่หน้าเตา
ปึ่ก!! ร่างอ้วนกลมวิ่งเข้ากอดซูกัสอย่างแรง
“เบาๆ สิครับเดี๋ยวมี้ก็ล้ม..” หมอดุ ส่ายหน้ากับความแสนซนอย่างกับลูกลิงของเจ้าลูกชาย
“พี่ว่านมาเอาลูกไปที เดี๋ยวน้ำมันกระเด็นใส่ กัสทอดหมูอยู่” ซูกัสยกแขนขวาที่ถือตะหลิวกางออกเพราะกลัวน้ำมันหยดใส่ลูกจนดูตลก หมอเดินเข้าไปแงะขนมก้อนกลมนั่นออกจากเอวซูกัส
“ทั้งทอด.. ทั้งหมู.. ไขมันเพียบ แค่นี้มัฟฟิ่นก็กลมจนกลิ้งได้แล้วซูกัส” หมอแซวขำๆ แต่พอหันไปหาลูกหมูจอมซนที่หมอจับไหล่อยู่นั้นก็พบว่าเขาทำปากยู่หน้างอน
“โป้ง... ไม่ลักป๊าแย้ว...” เขาบอกเบ้หน้าดิ้นออกไป หมอหัวเราะไล่หลังเด็กขี้งอนเดินต้วมเตี้ยมออกจากครัวไป
“งอนเก่งเหมือนแม่...” หมอว่าเหล่ตาไปยังคุณแม่ข้างๆ
“พูดอย่างงี้สงสัยคุณหมอจะอยากอดข้าวเย็นแล้วมั้ง” ซูกัสขู่ ตักหมูทอดกระเทียมใส่จานแล้ววางลงที่โต๊ะทานข้าว
“ถ้าไม่ให้กินข้าว จะกินลูกอมแทนนะครับ” หมอบอกแล้วกอดเอวเขาแทนที่ลูกชาย
“อย่าครับ อายลูกบ้าง...” ซูกัสเอ่ยขึ้นเขินๆ ทั้งที่มัฟฟิ่นเดินหายไปตั้งนานแล้ว
“แค่พ่อกับแม่รักกัน มีอะไรต้องอายล่ะหืม?” หมอถามกลับ ไม่ยอมปลดปล่อยร่างเล็กนั่นออกจากอ้อมกอด ทั้งยังฝังจมูกลงที่ซอกคอกรุ่นกลิ่นแป้งนั้นซ้ำลงไปอีกจนอีกฝ่ายเอียงคอหัวเราะคิก...
“ปล่อยครับ... กัสจะไปอาบน้ำให้ลูกแล้ว เดี๋ยวจะได้มาทานข้าวกัน”
“ก็ได้... อาบให้ลูกแล้ว อาบให้พ่อด้วยนะครับ”
“โตแล้วก็อาบเองสิครับ”
“สัญญาก่อน ไม่สัญญาไม่ปล่อยจริงๆ นะ” หมออ้อนกับซอกคอนั้นต่อ และไม่ยอมปล่อยเอาจริงๆ อีกฝ่ายจึงไม่มีทางเลือก
“ครับ ก็ได้ครับ”
++++++++++
“มัฟฟิ่นหลับแล้วเหรอ?” หมอเอ่ยถามเมื่อซูกัสเปิดประตูเข้ามาหลังจากหายไปส่งลูกเข้านอนที่ห้องข้างๆ
“ครับ วันนี้นอนไว อ่านนิทานยังไม่จบเรื่องนึงเลย” ซูกัสตอบ เดินเข้ามายืนข้างๆ หมอที่พิมพ์เอกสารงานวิจัยของมหาวิทยาลัยที่หมอทำงานเป็นอาจารย์อยู่
“ถึงทางมหาวิทยาลัยจะอนุมัติให้วิจัยเกี่ยวกับมดลูกเทียมอย่างจริงจังแล้วก็ตาม แต่ผมว่าคงเป็นเรื่องยากที่ประเทศไทยจะออกกฎหมายรองรับทั้งเรื่องการแต่งงานในเพศที่สามและอนุมัติเรื่องที่ผู้ชายจะเป็นฝ่ายตั้งท้องให้แพร่หลายออกไป” เขาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหัวข้องานวิจัยที่หมอพิมพ์รายละเอียดอยู่นั้น
“เรื่องนั้นก็คงต้องรอกันต่อไปนั่นแหละ สักวันนึงอาจจะเกิดขึ้นจริงก็ได้” หมอตอบกลับไปเรียบๆ มือยังรัวแป้นลงบนโน้ตบุ๊กตัวเองต่อ วินาทีต่อมาร่างเล็กที่ยืนข้างๆ ก็โน้มตัวลงกอดคอหมอไว้ ทำให้หมอชะงักมือแล้วหันไปมองหน้าด้านข้างของเขาอย่างสนใจว่าเขาจะอ้อนอะไร..
“อาทิตย์หน้าจะถึงวันเกิดลูกแล้วนะครับ” ซูกัสเอ่ยเตือน หมอยิ้มแล้ววางมือไว้บนมือเขา
“ครับ พี่ลาพักร้อนแล้วล่ะ”
“จริงเหรอครับ ลากี่วัน ฉุกละหุกแบบปีที่แล้วไม่เอานะ” น้ำเสียงร่าเริงขึ้นมาและเอ่ยดักคอเพราะปีที่แล้วหมอลาได้สามวัน กว่าจะไปกว่าจะกลับเหนื่อยน่าดู
“5 วัน จันทร์ถึงศุกร์ รวมเสาร์อาทิตย์ด้วยก็ 9 ฉุกละหุกพอไหม?” หมอตอบยิ้มๆ
“โหย.. แจ๋ว ผมจะรีบเก็บเสื้อผ้าเลย” แล้วซูกัสก็รีบกุลีกุจอไปเก็บของโดยเร็ว
“ใจเย็นๆ ก็ได้ครับ พี่จองตั๋วเครื่องบินไว้พรุ่งนี้” หมอหันไปบอกแต่ดูเหมือนซูกัสจะไม่สนใจฟังเลยสักนิด
++++++++++
เราสามคนพ่อแม่ลูกนั่งในรถตู้ที่แคนดี้ส่งมารับที่สนามบินตั้งแต่บ่าย สามปีแล้วที่แคนดี้ย้ายมาอยู่เชียงรายกับสามีใหม่ที่เป็นเจ้าของรีสอร์ทขนาดใหญ่ที่นี่ และเมื่อถึงวันเกิดของลูก หมอก็จะพาซูกัสและมัฟฟิ่นนั่งเครื่องมาเพื่อฉลองวันเกิดที่นี่ เพื่อที่เราจะได้ใช้เวลาอยู่พร้อมหน้า
“มัฟฟิ่น ตื่นได้แล้วครับ ถึงบ้านแม่แล้วลูก” เสียงซูกัสเอ่ย หันไปเขย่าร่างหมูตอนที่นอนหลับนั่น
“ให้ลูกหลับต่อก็ได้เดี๋ยวพี่จะอุ้มลงไปเอง” หมอบอกซูกัส ทำให้มือเล็กผละออกแล้วหันไปสนใจบรรยากาศนอกกระจกรถอีกครั้ง
ทันทีที่รถตู้จอด... ซูกัสก็รีบเปิดประตูลงไป หมอค่อยๆ อุ้มร่างเจ้าเด็กขี้เซาไว้ในอ้อมแขนแล้วก้าวลงจากรถตู้ หันไปอีกที ซูกัสก็ยืนอยู่ข้างๆ แคนดี้ ในอ้อมแขนของซูกัสมีเด็กชายที่มีหน้าตาใกล้เคียงกับมัฟฟิ่นในอ้อมแขน แต่ดูเหมือนจะผอมกว่ามัฟฟิ่นนิดหน่อย
“ชิฟฟ่อน... คิดถึงมี้ไหมครับ?” ซูกัสถามหอมแก้มลูกชายฝาแฝดคนพี่ซ้ำๆ ไปมา
“คิดถึงคับ” คำตอบนั้นไม่ชัดนัก แต่หมอมองภาพนั้นด้วยความเอ็นดู เดินเข้าไปสมทบ
“สวัสดีค่ะพี่หมอ” แคนดี้ทักทาย
“สวัสดีครับ”
“เข้าบ้านไปทานอะไรเย็นๆ ข้างในก่อนเถอะค่ะ” เธอชวน
หมอเดินตามแคนดี้และซูกัสเข้าบ้านและมัฟฟิ่นงัวเงียตื่นขึ้นพอดี
“อ้าวตื่นแล้วเหรอฟิ่น ไหว้แม่ดี้ก่อนครับ” หมอบอก เด็กน้อยลืมตาขึ้นมองแคนดี้งงๆ แต่ก็ยกมือไหว้อย่างว่าง่าย
“ตื่นแล้วเหรอครับ ไหนมาหาแม่ก่อนครับ” เธอบอกและอ้าแขนออก หมอส่งตัวลูกชายให้แคนดี้ไปอุ้ม
จะว่าไปแล้วความสัมพันธ์ในครอบครัวเราค่อนข้างซับซ้อน ตั้งแต่ที่ซูกัสคลอดลูก ทั้งสองก็อ่อนแอมาก พวกเขาต้องดื่มนมแม่ให้นานที่สุดเพื่อชดเชยในส่วนที่ขาดหายของการคลอดก่อนกำหนด (หมอต้องขอรับบริจาคนมแม่ทั้งที่คลินิกและจากโรงพยาบาล) ถ้าหากกฎหมายมีการรองรับการตั้งครรภ์ของผู้ชายล่ะก็ หมอคงแจ้งชื่อในสูติบัตรไปตามความจริงว่าซูกัสเป็นแม่ของพวกเขา แต่เพราะไม่สามารถทำได้หมอกับซูกัสจึงต้องขอร้องให้แคนดี้แจ้งว่าเป็นแม่ของเด็กทั้งสองแทน แต่เพราะหมอและแคนดี้มิใช่คู่สมรสที่จดทะเบียนกันตามกฎหมาย หมอจึงรับรองบุตรได้เพียงแค่ทางพฤตินัย (เลี้ยงดูและให้ใช้นามสกุล)แต่ไม่สามารถจดทะเบียนรับรองบุตรได้ ลูกทั้งสองก็จะถือเป็นบุตรนอกสมรสของหมอ ซึ่งกว่าจะดำเนินการจดทะเบียนรับรองบุตรได้ต้องรอให้ลูกทั้งสองอ่านออกเขียนได้เสียก่อน (หมอไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอายุสี่ขวบนี่โตพอหรือยัง) ส่วนซูกัสหมอคิดไว้ว่าเมื่อลูกทั้งสองโตขึ้นอีกหน่อยจะจดทะเบียนให้ซูกัสเป็นพ่อบุญธรรม แม้จะดูวุ่นวายและทำให้ตัดสิทธิ์การปกครองของพ่อแท้ๆ ก็ต้องยอมเพราะเราทั้งสองมิได้ต้องการกฎหมายคุ้มครองมากนัก นอกเสียจากต้องการให้ลูกทั้งสองมีสิทธิ์รับมรดกของเราในอนาคตเท่านั้นเอง ในส่วนที่ลึกซึ้งมากกว่านี้ หมอคิดว่าจะปรึกษาทนายอีกครั้ง...
ส่วนที่พล่ามไปทั้งหมดนั้นก็ไม่ใช่เหตุผลหลักที่ซูกัสยอมให้แคนดี้อุปการะชิฟฟ่อนมาตลอดตั้งแต่อายุครบปีอยู่ดี แต่เป็นเพราะความรักพี่สาวของซูกัสต่างหาก ครึ่งปีต่อมาแคนดี้ก็แต่งงานใหม่และต้องย้ายมาอยู่กับสามีที่นี่ แคนดี้คงรู้สึกเหงาที่ต้องจากน้องชายและหลานทั้งสองจึงเอ่ยปากขอหลานมาเลี้ยงด้วยคนหนึ่ง ทั้งหมอและซูกัสต่างก็รู้ว่าแคนดี้เคยสูญเสียลูกสาวมาก่อนและเธอก็ยังช่วยเหลือครอบครัวเรามาตลอด จุดเริ่มต้นของการอยากมีลูกของซูกัสก็เพื่อแคนดี้ ดังนั้นถึงเวลานี้ที่แคนดี้เอ่ยปากซูกัสไม่มีทางที่จะปฏิเสธอยู่แล้ว หมอและซูกัสจึงตัดสินใจยกชิฟฟ่อนให้แคนดี้เลี้ยง
เนื่องจากแคนดี้เป็นเจ้าของใข่ที่ใช้ ดังนั้นแคนดี้จึงมีศักดิ์เป็นทั้งแม่และป้าของมัฟฟิ่นและชิฟฟ่อน ซึ่งหมอคิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเราจะไม่ปกปิดสายสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงระหว่างเรา ดังนั้นหมอจึงให้ลูกทั้งสองเรียกแคนดี้ว่า “แม่ดี้” เรียก หมอว่า “ปะป๊า” และเรียกซูกัสว่า “มี้กัส” ถ้าหากพวกเขาโตมากพอจะเข้าใจหลักการผสมเทียมแล้วล่ะก็หมอจะเลกเชอร์วิชานี้ให้ลูกๆ อย่างแตกฉานแน่นอน...
“แล้วนี่คุณชัชไม่อยู่เหรอครับ” หมอถามถึงสามีแคนดี้ ถือว่าเขาเป็นผู้ชายที่อัธยาศัยดีมากทีเดียวและยังยอมรับความสัมพันธ์อันซับซ้อนของเราได้ง่ายๆ อีกด้วย
“ยังไม่กลับหรอกค่ะ รายนั้นน่ะบ้างาน ถ้าดี้ไม่มีชิฟฟ่อนล่ะก็เหงาตายเลย”
“ผู้ชายก็อย่างนี้แหละครับ ยังหนุ่มยังแน่นก็ต้องอยากทำงานขยันขันแข็งให้ลูกเมียสบาย” หมอบอกพยายามเข้าข้างพี่เขยของภรรยา
“ดี้เข้าใจค่ะ แค่บ่นไปอย่างนั้นเอง” เธอตอบในระหว่างที่มัฟฟิ่นพยายามดิ้นออก “จะไปไหนคะ?”
“ฟิ่นจะไปหามี้...” แคนดี้ปล่อยมัฟฟิ่นลงจากตักแล้วมัฟฟิ่นก็วิ่งไปรวมกับชิฟฟ่อนและซูกัสจนมองดูหวานไปทั้งระเบียง
“ว่าแต่คราวนี้จะมาอยู่กันสักกี่วันคะเนี่ย”
“รอบนี้ ลาได้ตั้ง 5วัน คงต้องรบกวนนานเลย” หมอบอกแสดงสีหน้าเกรงใจ
“ดีจัง มาอยู่นานๆ ก็ดีนะคะ” แคนดี้บอกด้วยอารมณ์แจ่มใส “ซูกัสคงคิดถึงชิฟฟ่อนมาก”
แคนดี้บอกแล้วมองออกไปนอกระเบียงบ้านที่ซูกัสอุ้มชิฟฟ่อนออกไปชมวิวไร่สตรอเบอร์รี่ที่ออกผลอยู่ประปรายด้านล่างมีมัฟฟิ่นไปเรียกร้องความสนใจอยู่ข้างๆ
“พี่หมอคะ”
“ครับ...”
“ดี้ท้องได้สามเดือนแล้วค่ะ”
“จริงเหรอครับ? ยินดีด้วยนะครับ” หมอหันมายิ้มให้เธอ พยายามสะกดความดีใจนั้นลง นี่ถ้าหากซูกัสรู้ล่ะก็เขาคงตื่นเต้นดีใจมากกว่าคนท้องเสียอีก เพราะถ้าหากแคนดี้มีลูกของตัวเองแล้ว แคนดี้คงจะคืนชิฟฟ่อนให้เราตามที่เคยบอกไว้
ช่วงต้นปี...อากาศเย็น หมอพาซูกัสมากางเต็นท์อยู่นอกบ้าน ต่างคนต่างใส่เสื้อกันหนาวหนาๆ เพื่อป้องกันความเย็นที่จะเพิ่มขึ้นอีกเมื่อใกล้เช้า กลางดึกคืนนี้ดวงดาวเกลื่อนฟ้า ขนมสองก้อนสิ้นฤทธิ์หลับปุ๋ยอยู่กลางเต็นท์ไปสักพักแล้ว หมอโอบร่างเล็กที่ใช้เวลาเกือบปีหลังคลอดในการลดน้ำหนักให้กลับมาเท่าเดิมนั่นไว้แน่นระหว่างแหงนเงยขึ้นมองท้องฟ้าและแสงดาวเจิดจรัส
“พี่ว่านรู้หรือยังเรื่องที่พี่แคนดี้ท้องแล้วน่ะ” เขาถามอย่างตื่นเต้น
“กำลังคิดเลยครับว่าต้องต่อเติมบ้านไหมเนี่ย แค่มัฟฟิ่นคนเดียวก็กลมเต็มบ้านแล้ว” หมอเย้าซูกัสเมื่อเห็นเขายิ้มหน้าบานเมื่อรู้ว่าแคนดี้ตั้งท้องลูกของตัวเองเสียที และเมื่อแคนดี้คลอดหมอคงต้องมารับชิฟฟ่อนมาอยู่ด้วยกันที่บ้าน
“พี่ว่านอ่ะ ชอบบ่นว่าลูกอ้วนทุกที”
“ก็มันจริงนี่นา... ก็เพราะใครบางคนแถวนี้ทำอาหารเมนูไม่สุขภาพเลย แล้วยังชอบซื้อขนมมาตุนอีกต่างหาก”
“ก็ลูกอยากกินนี่ครับ จะให้กัสเลี้ยงเค้าแบบอดๆ อยากๆ ได้ยังไง”
“เดี๋ยวถ้าโตเป็นหนุ่มแล้วหาแฟนไม่ได้ขึ้นมาเมื่อไร เค้าก็ต้องบ่นว่า “พ่อแม่รังแกฉัน” คอยดูสิ”
“บ่นมากนัก เดี๋ยวจะให้ลาออกมาเลี้ยงลูกบ้าง กัสทำงานนอกบ้านเอง ดูซิว่าลูกจะผอมหรือกลมกว่าเดิม ชิ!” ซูกัสเชิดหน้าใส่ทำเอาหมอต้องหัวเราะตาม
“โอ๋ๆๆ ไม่บ่นแล้วก็ได้ อยากให้กลมแค่ไหนก็ตามสบายเลยครับ พี่ก็ยังยืนยันเหมือนเดิมแหละ ถ้าเป็นซูกัสกับลูกล่ะก็ถึงจะกลิ้งได้พี่ก็รัก” หมอบอกแล้วกอดคนตัวเล็กให้แน่นเข้า
“ตบหัวแล้วลูบหลัง...” เขาว่า
“จริงๆ นะครับ... ตั้งแต่วันที่ได้พบกับซูกัส พี่มีความทุกข์ทุกครั้งที่เห็นซูกัสทุกข์ กังวลใจทุกครั้งที่เห็นซูกัสโกรธ แต่ตั้งแต่วันนั้นจนถึงตอนนี้ไม่มีวันไหนเลยที่พี่ไม่รักซูกัส” หมอรีบแก้ตัวไม่อยากให้เข้าใจว่าพูดเพื่อเอาใจอย่างเดียว
ซูกัสหันคอมาหาแล้วจ้องตาหมอแล้วก็ค่อยๆ คลี่ยิ้ม
“กัสก็รักพี่ว่านเหมือนกัน ขอบคุณนะครับที่มอบลูกทั้งสองมาให้ ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาตลอด และขอบคุณที่จะอยู่กับกัสตลอดไป” และแล้วซูกัสก็ใช้สิทธิ์การเป็นผู้นำของบ้านออกคำสั่งอีกครั้ง แต่เป็นคำสั่งที่หมอเต็มใจมากที่สุด
“ยินดีที่สุดครับ” หมอตอบรับแล้วโน้มคอลงไปจูบที่ปากเล็กสีสดนั่นอย่างรักใคร่ กระชับกอดร่างเล็กนั่นให้แน่นขึ้นอีกเพื่อเป็นการถ่ายทอดความรักและคำสัญญา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า หมอจะยอมแลกกับทุกสิ่งทุกอย่าง... ขอเพียงแค่ได้อยู่ดูแลพวกเขาทั้งสามคนตลอดไป
...The end…เย้!! จบแล้วนะคะ จบไวเนอะ?
เป็นคู่ที่ไม่อยากอยากจะดราม่ามือที่สามเพราะเป็นแนวอบอุ่น ก็เลยเดินด้วยความรักและทฤษฎีมากหน่อย
ยืดมากก็กลัวจะเบื่อกัน เลยไม่มีอะไรให้เล่น ก็เลยจบไว
แล้วรู้สึกว่าจบแบบนี้เท่ดี ก็เลยจบเลยดีกว่า
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่นิแต่งจบแล้วตั้งแต่ก่อนโพสท์ค่ะ ก็เลยลงได้ไว
ที่จริงมีภาคต่อเป็นเรื่องของแม็กเพื่อนซูกัสอีกแต่เพิ่งจะเริ่มแต่ง
ก็เลยคิดว่าจะไม่ลงที่เล้าให้กระทู้บานปลายมากมาย
ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ ♥
ลงท้ายโปรโมตนิยายที่จะรวมเล่มนิดนึงค่ะ
เปิดจอง กระต่ายยักษ์กับจักรวาลอันอบอุ่น