พี่เก่ง กับ น้องตี๋ – ภาค II ตอนที่ 14 / สองเรา (จบภาค 2 แล้วครับ)
พี่เก่ง กับ น้องตี๋ – ภาค II ตอนที่ 14 / สองเรา (จบภาค 2 แล้วครับ)
วันรุ่งขึ้น เราขับมอเตอร์ไซค์เที่ยวทั่วหัวหิน ขับไกลไปจนถึง สวนสน บรรยากาศเงียบสงัด อากาศร้อน จึงไม่ค่อยแวะพักที่ใหนนานสักเท่าใดนัก เราเข้ามาในเมืองหาซื้อของฝากทางบ้าน
*ตี๋เล็ก จะกลับบ้านหรือเปล่าล่ะ*
-ไปอยู่บ้านมึงสักพัก แล้วค่อยกลับ ที่บ้านกูไม่มีอะไรมากหรอก-
*ถ้างั้นก็เตรียมซื้อของฝากกลับบ้านด้วยก็แล้วกัน จะได้ไม่เสียเที่ยว* ผมเตือนมัน
ขากลับ รถแวะให้นักท่องเที่ยวซื้อของฝากอีกครั้งที่เพชรปิ่นแก้ว ผมกับไอ้ตี๋แวะลงเพื่อซื้อขนมหลาย ๆ อย่างกลับไปฝากที่บ้าน ไอ้ตี๋รู้ใจผมซื้อทอดมันปลาเพชรบุรีมาให้กิน ส่วนผมซื้อน้ำตาลสดให้มัน ส่วนตัวผมไม่ดื่มเพราะผมไม่ชอบกินของหวาน
บนรถทัวร์ขากลับจากเพชรบุรี มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพ ในรถมีคนน้อย อาจเป็นเพราะเป็นวันกลางสัปดาห์ก็เป็นได้
*ตี๋เล็ก อ่ะให้* ผมยื่นของบางอย่างให้ตี๋เล็ก
-อะไรอ่ะ- มันรับมาอย่างงง ๆ
*ของขวัญวาเลนไทน์ จริง ๆ เตรียมไว้แล้วนะ แต่ของนั่นมันเก่าไปแล้ว แกะดูสิ*
ตี๋เล็กแกห่อที่หุ้มด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ออกมา มันยิ้ม เพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามันคือเปลือกหอยเล็ก ๆ สองอัน ลอยอยู่ในดิสเพลย์รูปครึ่งวงกลม ในนั้นมีน้ำสีฟ้าอ่อน ด้านล่างมีคำว่า “โปรดระลึกถึงความหลังครั้งมาเยือนหัวหิน”
-กูขอให้มึงจำเสียงคลื่น เสียงลม ไว้ให้ดี มันเป็นเหมือนเสียงลมหายใจ เหมือนเสียงเต้นของหัวใจกู เวลาที่มึงไม่มีกูแล้ว มึงลองเอาหูแนบกับของอันนี้ ลองฟังดู มึงจะได้ยินเสียงของคลื่น ของลมชายหาด ให้นึกถึงเวลาที่กูอยู่กับมึง แล้วกูก็จะอยู่กับมึงตลอดไป-
*กูกับมึงจะไม่จากกันไปใหนอีกแล้วนะ* ตี๋เล็กตาแดง ๆ ผมกุมมือมัน บีบกระชับเล็กน้อยเป็นสัญญา
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เราทั้งคู่กลับไปเก็บของที่หอพัก แล้วคืนวันเดียวกัน เราก็ออกเดินทางจากสถานีรถไฟหัวลำโพง จุดหมายปลายทางคือ บ้านเกิดของผม ผมโทรศัพท์บอกที่บ้านว่าไม่ต้องมารับ เพราะผมจะกลับเข้าไปเอง กำหนดการออกจากสานีรถไฟหัวลำโพงคือ 23.30 น. ผมจองที่นั่งในชั้น 2 ซึ่งจะเป็นที่นั่งคล้าย ๆ กับรถทัวร์ สามารถปรับเบาะนอนได้ เวลาที่ระบุในตั๋ว ผมจะถึงจุดหมายเวลา 06.45น.
เราซื้อของกินขึ้นไปบนรถบ้าง ซื้อนิตยสาร หนังสือพิมพ์ที่มีคนขายมาขายบ้าง ไอ้ตี๋เล็กไม่เคยขึ้นรถไฟเลยในชีวิต มันดูตื่นเต้นเล็กน้อย ชั้นสองที่ผมนั่ง ไม่ค่อยมีคน ผู้คนบางตามาก อาจเป็นเพราะไม่ใช่สุดสัปดาห์ และก็เป็นตั๋วชั้น 2 ที่แพงกว่าชั้นธรรมดาด้วย
พอรถไฟเริ่มออกตัว ตี๋เล็กตื่นเต้นมองดูสองข้างทางที่ไม่มีอะไรให้ดูมากนักเพราะเป็นกลางคืน ในที่สุดก็ยอมแพ้นอนแผ่ลงมา ผมนอนซบไหล่ตี๋เล็กไปสุดทาง ถึงสถานีชุมทางถนนจิระเป็นเวลาตีสามกว่าแล้ว สถานีนี้เป็นสถานีรถไฟของโคราช รถจะจอดนานมาก ราว ๆ ½ ชมได้ เราสองคนตื่นล้างหน้า คิดว่าคงไม่นอนต่อแล้ว เราคุยกันไปเรื่อยถึงเรื่องราวที่ผ่านมา
ผมสังเกตุเห็นคนมาขายของคนหนึ่งเดินผ่านไป ผมเรียกไว้แล้วซื้อ ไข่ปิ้ง ให้ตี๋เล็กกับผมคนละ 3 ใบ ผมอธิบายว่า เวลาทำจะต้องเจาะเปลือกไข่เป็นรูเล็ก ๆ เอาไข่ออกมาให้หมด ผสมกับส่วนผสมแล้วใส่เข้าใหม่ก่อนจะเอาไปนึ่งสักพักแล้วนำมาปิ้ง โอ้โห 3 ใบ 5 บาท ไอ้ตี๋เล็กอุทาน เขาน่าจะได้เงินมากกว่านี้ เพราะกรรมวิธีดูยุ่งยากมากเลย ผมดีใจที่คนที่ผมรัก มองคนและปฏิบัติต่อคนที่ด้อยกว่าเราด้วยท่าทีที่ดี เพราะการรู้จักใครสักคน เราสามารถรู้ถึงจิตใจคนคนนั้น ผ่านวิธีที่เขาปฏิบัติต่อคนอื่นที่ด้อยกว่า
เราฟังเทปจากซาวด์อะเบ้าท์ไอว่า ของไอ้ตี๋มันคนละหูฟังไปสุดทาง ท้องฟ้าเริ่มสว่างแล้ว ในที่สุดก็มาถึงสถานีที่เราจะลง ผมพาตี๋เล็กไปเข้าห้องน้ำ แล้วลงมาสูดอากาศบริสุทธิ์กัน 7.00น เวลาบ้านนอกนะครับ เป็นเวลาที่ผู้คนเริ่มตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตประจำวัน บรรยากาศไม่วุ่นวายเหมือนในเมืองใหญ่ ผมพาตี๋เล็กหิ้วเป้คนละใบ ในมือมีของฝากทางบ้านหิ้วคนละสองถุงเดินข้ามทางรถไฟไปที่คิวรถบุญเยี่ยมระหว่างทางมีผู้คนทักผมบ้างประปราย ผมเดินมาหยุดอยู่ที่ร้านของอาพล สั่งไก่ย่าง ตับปิ้ง หมูปิ้ง ข้าวเหนียว มานั่งกิน
ผมสาธยายให้ไอ้ตี๋ฟังว่า ตอนที่พวกนั้นมาก็มากินที่นี่เหมือนกัน แถมยังสั่งส้มตำมากินกันตั้งแต่เช้าด้วย ไอ้ตี๋บ่น น่าจะบอกตั้งนานแล้ว ว่าแล้วมันก็หันไปสั่งส้มตำเผ็ด ๆ ของโปรดมากินตอน 7.15น. นั่นเอง
ระหว่างที่เรานั่งกินข้าว ลุงรัก ผู้ใหญ่บ้านในหมู่บ้านผมมาซื้อไก่ย่างพอดี ลูกชายเขาเรียนชั้นเรียนเดียวกับผมสมัยยังเด็ก ผมยกมือไหว้สวัสดี
-ไง เก่ง พ่อเขาบอกว่าเรียนเก่งมากเลยนะ เรียนวิศวะซะด้วย-
*ปกติธรรมดาครับลุงไม่ถึงกับเก่งมาก*
-กลับเข้าบ้านพร้อมลุงมั้ย จะได้ไม่ต้องรอรถนาน-
ผมกลับเข้าไปในหมู่บ้านซึ่งห่างจากตัวเมืองราว ๆ 10 กม กับลุงรัก แกมีรถกะบะครับ วิ่งสบายเลยระหว่างทางลูกรัง ผมอธิบายให้ตี๋เล็กฟังเมื่อรถผ่านตรงที่ผมกับพ่อรถมอเตอร์ไซค์ล้ม และตรงที่ผมเคยถีบจักรยาน BMX มาเรียนในเมืองกับพวกรุ่นพี่มัธยม ตอนนั้นผมอยู่ ป 4 เอง ทั้งหมู่บ้านเรียนโรงเรียนประจำหมู่บ้านกันหมด มีผมคนเดียวที่ต้องมาจักรยาน พวกพี่ ๆ มัธยมก็จะเอาใจเด็กน่ารัก ๆ เรียนเก่งอย่างผม คอยดูแลเป็นพิเศษ
ผมชี้ให้ดูบ่อน้ำเล็ก ๆ ที่เป็นความหวังของพวกเราระหว่างการปั่นจักรยานมาเรียน หรือกลับบ้าน โดยเฉพาะตอนขากลับหิวน้ำ ต้องฝากท้องไว้กับบ่อน้ำเล็ก ๆ เหล่านี้ บางทีน้ำแห้งขอดบ่อ มีปลาตัวเล็ก ๆ ดิ้นขลุกขลักอยู่ในโคลน ตี๋เล็กถามว่า ไม่กลัวท้องเสียเหรอ ผมตอบว่า ไม่เคยท้องเสียสักที อาจจะเป็นเพราะว่า ธรรมชาติสร้างภูมิต้านทานของคนบ้านนอกมันสูงกระมัง จึงไม่ค่อยเจ็บป่วยอะไร
ถึงกลางทางเจอรถกะบะพ่อสวนมา คงกำลังจะออกไปทำงาน ผมยื่นหัวออกนอกรถ โบกมือให้ พ่อกับแม่โบกมือตอบกลับมาเหมือนกัน ขับไปสักพัก เจอรถพี่เต้ยอีก คราวนี้หยุดจอดคุยกันสักพัก พี่เต้ยบอกว่าเดี๋ยวตอนเย็นที่บ้านจะทำกับข้าวมื้อใหญ่ต้อนรับ พี่เต้ยหันมามองไอ้ตี๋ที่กำลังทำหน้าไม่ถูก แวบหนึ่งก่อนพูดขึ้นว่า
*บ้านนอกยินดีต้อนรับพวกมึงทั้งสองตัวว่ะ* แล้วแกก็หัวเราะ ไอ้ตี๋กับผมหัวเราะออกมาได้ในที่สุด
ผมพาไอ้ตี๋เก็บของแล้วไปไหว้ย่า อา ของผม แล้วเอามอเตอร์ไซค์ที่บ้านผมพาไปที่โรงเรียนเก่าก่อนผมจะย้ายไปเรียนในเมือง ผมชี้ให้ดูเกรียติบัตรเรียนดีที่ผมได้รับในฐานะที่ทำคะแนนสูงสุดของกลุ่มโรงเรียนในอำเภอ รางวัลการอ่านในใจยอดเยี่ยม การอ่านทำนองเสนาะยอดเยี่ยม รูปภาพที่ผมแสดงในงานต่าง ๆ ที่ทางโรงเรียนจัดขึ้น หรือว่าเป็นตัวแทนส่งไปร่วมแสดง ผมชี้ให้ดูว่า ของรุ่นผมนี่เก่ามาก ๆ เพราะกระดาษกรอบเป็นสีเหลืองแล้ว ไม่เหมือนรุ่นใหม่ ๆ ที่ยังดูใหม่ขาวสะอาด อีกไม่นานคงต้องเอาออก เพราะทางโรงเรียนคงจะเอาของเด็กรุ่นใหม่ ๆ ขึ้นบ้าง
ตี๋เล็กแซวว่าเด็กเรียนแบบนี้ไม่มีรางวัลด้านกีฬาเหรอ ผมดึงมือมันไปที่หน้าห้องพักครูใหญ่ ชี้ให้ดูในตู้กระจกที่อยู่ตรงกลาง อ่านให้ฟังหน่อยสิ ผมบอกมัน
***** รางวัลชนะเลิศการแข่งขันเทเบิลเทนนิสชาย*****
*****การแข่งขันกีฬานักเรียนระดับประถมศึกษา อำเภอ .................*****
*** เด็กชาย ภ. พ. .........***
*ไม่น่าเชื่อเลยอ่ะ* ไอ้ตี๋เล็กส่ายหน้า
-งั้นมาลองทดสอบหน่อยมั้ย- ผมพามันเดินไปที่อาคารเอนกประสงค์ มีเด็ก ๆ มาเล่นในช่วงปิดเทอมหลายคน ผมเดินเข้าไปเด็ก ๆ วิ่งมาหาผมเกรียว
-พี่เก่งมาเมื่อไหร่ ...ฯลฯ – เสียงเซ็งแซ่ไปหมด ผมขอยืมไม้ปิงปองมา ขอแข่งกับไอ้ตี๋ โดยมีกองเชียร์ของเด็ก ๆ เชียร์กันใหญ่ ผมแกล้งแพ้บ้าง ชนะบ้าง แต่ท้ายที่สุดผมก็ชนะ เราสองคนเล่นกันอยู่ราว ๆ 1 ชั่วโมงก็เปลี่ยนที่หมายไปที่ฝายทดน้ำซึ่งห่างจากหมู่บ้านเราออกไปราว ๆ 3 กม
ผมขับรถไปที่กลางสะพานข้ามฝาย เบื้องล่างของเราเป็นน้ำที่ไหลซ่า ๆๆ ผ่านฝายน้ำล้นไปตลอดเวลา ผมจอดรถที่กลางสะพานเล็ก ๆ นั้น ยืนอยู่ข้างไอ้ตี๋ ผมรู้สึกปวดหัวขึ้นมาจี๊ด ๆ จนต้องเอสมือจับ ดูเหมือนว่าอากาศมันร้อน หรือว่าผมเริ่มจะไม่สบาย เที่ยวตะลอน ๆ ทั้งวัน สักพัก อาการปวดหัวหายไปแล้ว ผมสะบัดหัวแรง ๆ ไล่ความมึนงง
*ตี๋ มึงรักกูใหม* ผมถาม
-เมื่อก่อนกูต่างหากที่คอยถามมึง แต่มึงไม่ค่อยอยากจะตอบ จนกูไม่แน่ใจว่ามึงรักกูหรือเปล่า- ไอ้ตี๋ตอบ
*ถ้าปากกูบอกว่ารักมึง แต่ใจกูไม่รัก จะมีประโยชน์อะไรใหม แล้วมึงคิดว่าไง*
-กูเชื่อมึง ตั้งแต่มึงบอกว่า มีกูแล้ว มึงจะไม่มีใคร-
*กูก็ขอแค่อย่างเดียว ขอให้มึงเชื่อกู* ผมบอกมัน
-กูเชื่อมึง แล้วกูก็รักมึงมากด้วย-
*กูก็รักมึง* ผมบอกกับมัน
ผมจับมือมันไว้ มองดูสายน้ำข้างล่าง ที่ไหลจากฟากหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่งของฝายน้ำล้น วันพรุ่งนี้ยังมาไม่ถึง วันนี้สิคือของจริง วันที่เราสองคน ยืนอยู่ไกล้กันแบบนี้ ผมอยากเก็บวันเวลาที่ดีแบบนี้ ไว้ในความทรงจำของผมตลอดไป ........................
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เรื่องราวในภาค 2 ก็ขอจบลงอย่างหวาน ๆ ในตอนที่ 14 นะครับ ขอขอบคุณทุก ๆ คนที่ให้การสนับสนุนอ่านเรื่องราวของเก่งกับตี๋นะครับ ขอบคุณสำหรับอีเมล์ MSN ที่ alohasunkissอย่าแสดงเมลบนบอร์ด.sg นะครับ ที่เป็นกำลังใจในการถ่ายทอดเรื่องราวของผม สำหรับภาค 3 คงจะนำมาลงให้ได้อ่านกันต่อเร็ว ๆ นี้ อย่างไรช่วยติดตามอ่านและติชมกันด้วยนะครับ ไปทำงานก่อนล่ะครับ บายครับ
เก่ง 05/06/07
(แอบเขียนตอนพักกลางวัน)
13.30น
สิงคโปร์ (ไม่โตก)