12th Monday - 100%#เรื่องของคนที่เกลียดวันจันทร์
ทั้งที่คิดว่าอยากจะกลับบ้าน แต่จนถึงตอนนี้ผมยังไม่อยู่ในจุดที่ใกล้เคียงกับบ้านเลยครับ
หลังจากที่พวกเราออกมาจากตึกที่ทำงานแล้ว คุณพี่เมฆบอกว่ามันดึกแล้วเดี๋ยวเขาจะไปส่งผมที่ห้องเอง ตอนที่ผมคาดเข็มขัดเรียบร้อยนั้น เขาดันบอกว่าก่อนจะกลับบ้านเขาจะพาไปแวะทานข้าวก่อน เพราะเห็นผมยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เมื่อกี้ แถมมาบอกว่าเพราะผมเพิ่งร้องไห้ เขาจะไม่ปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวตอนนี้
มาด้วยเหตุผลแบบนี้แล้วผมจะปฏิเสธได้อย่างไรกัน
“อยากกินอะไรก็สั่งเลยนะ เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”
ผมมองเมนูอย่างงงๆ หันไปมองหน้าคนที่พามาอย่างงงๆยิ่งกว่า
“นี่มันที่ที่เขาจะพาคนเศร้ามาเลี้ยงปลอบใจกันเหรอครับ?” ผมกะพริบตามองหน้าคุณพี่เมฆ สลับกับมองป้ายร้านอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้มองผิดไป
“เบอร์เกอร์คิงเนี่ยนะครับ?”
ผมมองหน้าน้องพนักงานผู้หญิงที่มองมาหน้าทางผมแบบเริ่มหงุดหงิดที่ไม่สั่งสักที แล้วมองไปที่คุณพี่เมฆที่ยังยิ้มๆแบบเดิมอีกครั้ง นี่ก็ยิ้มตลอดเวลาอะไรขนาดนี้ ทำไมอารมณ์ดีเหลือเกิน นี่วันจันทร์นะทำไมถึงอารมณ์ดีล่ะ
“หรืออยากกินอย่างอื่น แม็ค? เคเอฟซี? หรือเอาพิซซะ---”
“ไม่ต้องครับคุณพี่เมฆ”
ผมรีบห้ามเมื่ออีกคนทำท่าจะดึงผมออกจากร้านจริงๆ โชคดีที่ร้านเบอร์เกอร์คิงที่เราอยู่ตอนนี้เป็นสาขาในปั๊มน้ำมัน (หนึ่งในปั๊มระหว่างทางกลับไปห้องผมจากที่ทำงานน่ะครับ) คนไม่ค่อยมีครับ พวกผมเป็นคิวเดียวที่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ เลยมีเวลามายืนเถียงกันแบบนี้
“ผมทานที่นี่ได้ แค่ไม่แน่ใจเฉยๆ”
“คุณลูกค้าสามารถดูโปรโมชั่นก่อนได้ค่ะ”
พนักงานหน้าหงิกพูดขึ้นมาแล้วเอาใบโปรโมชั่นมาวาง ผมเลยจิ้มๆอะไรสักอย่างแล้วฝากคุณพี่เมฆดูก่อนเพราะผมจะไปเข้าห้องน้ำ มานึกๆดูแล้วความจริงผมแทบไม่ได้เข้าห้องน้ำเลยครับวันนี้ น้ำก็กินน้อยมาก นอกจากลาเต้เมื่อเช้าผมกินน้ำไม่ถึงสามแก้วเลยด้วยซ้ำ ห้องน้ำนี่ไม่ต้องพูดถึง แทบไม่ได้เข้าเลยครับ
ถ้าเป็นแบบนี้บ่อยๆร่างกายต้องแย่แน่เลยแฮะ
ถ้าเป็นนิ่วขึ้นมาทำยังไง เป็นนิ่วแล้วจะเลือกตั้งได้มั้ย? ถ้าเป็นนิ่วแล้วคุณพี่เมฆจะเลิกชอบผมหรือเปล่า? ไม่ได้นะ! ผมจะต้องใส่ใจกับสุขภาพของตัวเองมากกว่านี้แล้ว
“คุณพี่เมฆสั่งเรียบร้อยแล้วใช่มั้ยครับ?”
“ใช่ครับ” เขายื่นแบงก์พันที่ผมยัดไว้ในมือเขาตอนที่สั่งอาหารเสร็จคืนมาให้ “อันนี้เงินเรา เก็บไปๆ”
“เฮ้ย ไม่เอา มื้อนี้ผมจะเลี้ยงคุณบ้าง”
ผมสั่นหัวหงึกหงักไม่รับเงินคืน
มันเป็นความตั้งใจของผมครับที่คิดว่ามื้อนี้จะเลี้ยงคุณพี่เมฆเขาคืนบ้าง ตั้งแต่รู้จักกันมาจนถึงขั้นชูวับชูวับไปแล้ว ผมไม่เคยจ่ายเงินเลี้ยงอะไรเขาเลย ทั้งที่ตัวเองก็ทำงานมีเงินเดือนเหมือนกัน มันรู้สึกไม่ค่อยแฟร์อย่างไรแปลกๆ อย่างเวลาผมไปไหนกับซุกซนเราหารกันตลอด
เฮ้อ ต่อไปนี้คงไม่มีคนให้หารค่าข้าวด้วยแล้ว
“เป็นอะไรครับแทนใจ ทำไมหางลู่หูตกอีกแล้วล่ะ”
ผมเหลือบตามองคุณพี่เมฆที่เท้าคางมองผมเหมือนกับวันที่ไปนั่งทานมื้อเที่ยงด้วยกันแล้วเขาเอาข้าวกะเพราแซลม่อนให้ผมทาน พอมาย้อนคิดแล้วก็กะยึกกะยักเล็กๆ วันนั้นผมเกือบตายเพราะข้าวกะปิของซุกซนแล้ว … พูดถึงซุกซน
“สมมุตินะครับ คุณพี่เมฆ”
“ครับ”
คุณพี่เมฆที่ทำท่าตั้งใจฟังประหนึ่งผมเป็นประธานผู้แทนการประชุมกลุ่มผู้นำด้านการต่อต้านวันจันทร์เพื่อสันติภาพ ท่าทางจริงจังของเขาทำให้ผมนั่งตัวตรง แล้วพยายามจริงจังไปด้วย
“สมมุติว่าคุณพี่เมฆเพิ่งเรียนจบ แล้วมาทำงาน แล้วคุณพี่เมฆมีเพื่อนในที่ทำงานที่สนิทกันมากๆ แบบมากๆเลยอะครับ มากกว่าค่าครองชีพขั้นต่ำอีก”
“...” คุณพี่เมฆพยักหน้าเหมือนกับว่ากำลังตั้งใจฟัง ให้ผมพูดต่อ
“ทีนี้อยู่มาวันหนึ่ง เพื่อนที่สนิทมากๆคนนั้นของคุณพี่เมฆเขาก็ลาออกน่ะครับ ออกแบบไม่บอกเลย ในขณะที่คนทั้งแผนกรู้กันหมดแล้วแต่คุณพี่เมฆกลับกลายเป็นคนที่รู้คนสุดท้าย เพื่อนจะไปไม่พอเพื่อนยังไม่บอกคุณพี่เมฆอีกต่างหาก มันแย่มากๆเลยเนอะ”
“...”
“ผมไม่อยากให้เขาออกเลย ผมเป็นคนไม่ค่อยสนิทกับใครเท่าไหร่ พอมีเพื่อนคนนี้มาผมก็รู้สึกดีมากๆที่จะมีคนหารค่าข้าวกลางวันด้วย มีคนเอาไว้บ่นลูกค้าด้วยกัน มีคนขี้เกียจเข้าประชุมเหมือนกัน”
“ตกลงว่าเรื่องสมมุตินี่จะเป็นของพี่หรือของแทนใจเนี่ย?”
ผมกะพริบตามองคุณพี่เมฆงงๆ ถึงได้เพิ่งรู้ตัวว่าเมื่อกี้ผมเผลอพูดเป็นเรื่องของตัวเอง แต่ยังไม่ทันทีผมจะแก้ตัวอะไร คุณพี่เมฆก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน
“แทนใจเสียใจที่ซุกซน--”
“คุณพี่เมฆรู้ได้ไงว่านี่คือเรื่องของผมกับซุกซน?”
“ก็ซุกซนมันลาออกแล้วนี่”
“แม้แต่คุณพี่เมฆก็ยังรู้อะ”
ผมไถลตัวลงไปบนโต๊ะอย่างเซ็งๆ ซึ่งคุณพี่เมฆเองยังคงทำหน้านิ่ง หรือตอนนี้ทำหน้าหล่อก็ไม่รู้เพราะผมหันหน้าไปทางกระจกข้างๆครับ ทำไมซุกซนถึงไม่บอกผมแต่บอกคนอื่นหมดเลยล่ะ
“แทนใจครับ ฟังพี่เมฆนะครับ”
คุณเมฆเรียกผมเลยหันหน้ากลับไปหาเขา ยิ่งมองหน้าเขาผมก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาหน้าตาดี อะไรวะเนี่ย
“ในช่วงชีวิตของคนเราน่ะ เราจะต้องเจอคนเยอะแยะ บางคนเข้ามาแป๊บเดียวมาแค่ชื่อ บางคนมาอยู่นานๆ ทิ้งไว้ให้เราคิดถึง แต่สุดท้ายแล้วก็จากไป เดี๋ยวคนนั้นเข้ามาเดี๋ยวคนนี้ออกไปเป็นเรื่องปกติ”
“...”
“อยางเพื่อนสมัยอนุบาล หรือมัธยมน่ะ ยังอยู่ในชีวิตเราครบทั้งห้องหรือเปล่า?”
ผมส่ายหัวเป็นการปฏิเสธ คุณพี่เมฆเขายิ้ม ลูบหัวผมพร้อมกับพูดต่อ
“เห็นมั้ยล่ะ”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับพูดกับเด็ก มันดูต่างจากเวลาที่เขาคุยกับลูกค้า หรือเวลาที่คุยกับเคุณกฤติ คุณโน้ต หรือแม้กระทั่งซุกซนก็ตาม อยู่ดีๆก็คิดขึ้นมาว่า ถ้าคุณพี่เมฆมีลูกเขาต้องเป็นพ่อที่เท่ แบบที่พ่อผมทำให้รู้สึกเหมือนเป็นฮีโร่ของผมตอนเด็กแน่นอน
“เดี๋ยวคนเข้ามาก็ออกไป คนที่อยู่เดี๋ยวก็หายแล้วก็จะมีคนใหม่ๆเข้ามาเรื่อยๆแบบนี้แหละ”
“...”
“อย่าไปยึดติดกับความสัมพันธ์มากเกินไป”
“...”
“เข้าใจมั้ยครับ?”
เป็นช่วงเวลาพอดีกับที่อาหารมาเสิร์ฟ ผมเลยต้องแงะตัวเองขึ้นมาจากโต๊ะเพราะว่าไม่อย่างงั้นจะไม่มีที่วางถาดอาหารครับ ตอนนี้โต๊ะเลยเต็มไปด้วยอาหารเพิ่มแก้มครับ ทั้งเฟรนช์ฟรายส์ เบอร์เกอร์ โค้ก ต่างๆมาหมด ผมหยิบนักเก็ตชิ้นหนึ่งขึ้นมาทานในขณะที่คุณพี่เมฆเริ่มจัดการกับแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นยักษ์ตรงหน้า
ผมทานนักเก็ตอย่างใจลอย คุณพี่เมฆนี่สามารถจัดการกับปัญหาได้ทุกอย่างเลยหรือเปล่านะ?
“คิดอะไรอยู่เนี่ยเรา ทำไมทำแก้มยืดอีกแล้ว คิดถึงเรื่องพี่อยู่เหรอครับ?”
รู้ได้ไงอะ!
คุณพี่เมฆที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพูดขึ้นทำเอาผมตกใจ ความคิดแรกที่พุ่งเข้ามาคือ เขารู้ได้ไงวะว่าผมกำลังคิดถึงเขา!!! คุณพี่เมฆมีตาทิพย์เหรอ
“อ้าว คิดถึงพี่อยู่จริงๆเหรอเนี่ย”
คนฝั่งตรงข้ามหัวเราะ แล้วก้มลงดูดน้ำ พลางส่งสายตาเป็นเชิงล้อเลียนมาทางผม ที่ตกใจจนเผลอทำนักเก็ตตกซอสกระจายเลย แล้วตัวต้นเหตุที่ทำก็นั่งขำครับ ผมทำได้แค่เอาทิชชูมาเช็ดๆส่วนที่เลอะ แล้วก็บ่นคุณพี่เมฆในใจเท่านั้น คอยดูนะ ถ้ามีชื่อคุณพี่เมฆในการเลือกตั้งบริษัท ผมจะไม่เลือกเลย!
ตอนนี้ยังเลือกตั้งนายกไม่ได้ ก็เลือกตั้งตัวแทนพนักงานไปก่อนครับ คล้ายๆกัน
“พี่แทนใจ?”
ทั้งโต๊ะหันไปมองตามเสียง เมื่อเห็นว่าเป็นใครเรียกผมก็ยิ้มกว้างเลยครับ ตัวเล็กๆหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตาแบบนี้มีคนเดียว
“น้องล้งเล้ง”
ผมเช็ดมือแล้วลุกขึ้นไปกอดตอบน้องที่พุ่งเข้ามาหาครับ ล้งเล้งเป็นน้องคณะผมครับ ความจริงแล้วตัวผมไม่ใช่คนที่ชอบทำกิจกรรมเท่าไหร่ เลยไม่ค่อยรู้จักรุ่นน้องมากนัก (ความจริงรุ่นเดียวกันก็ไม่ค่อยรู้จักครับ รุ่นพี่ก็ไม่รู้จัก เป็นมนุษย์หลืบ) แต่ตอนที่ผมขายสัญญาหอเพราะจะเรียนจบ น้องเป็นคนที่มาซื้อต่อพอดี
น้องเป็นคนคุยเก่งครับ พอรู้ว่าผมอยู่คณะเดียวกับน้องเขาเลยคุยกันเยอะมากๆ จนสนิทกันแบบงงๆนี่แหละ
“พี่แทนใจเป็นไงมั่งครับ คิดถึงจังเลย พี่บอกจะไปหาผมที่มอฯก็ไม่ไป”
“คิดถึงเหมือนกัน”
ผมก็อยากเจอน้องนะ แต่พอเรียนจบมันนัดยากมากเลย ยิ่งน้องสอนพิเศษอีก เลยไม่ได้นัดสักที ก็ประหลาดดีเหมือนกันแค่กับคนที่คุยกันนิดหน่อยแต่ผมดันรู้สึกเอ็นดูน้องมากเลยครับ
“ผมได้เอกอังกฤษแล้วนะพี่แทนใจ”
น้องพูดพร้อมยิ่งแฉ่งมาให้ คณะผมเรียนภาษา แต่ตอนที่แอดฯเข้าไปจะยังไม่เลือกวิชาเอกครับ เราจะไปเลือกกันทีหลัง ซึ่งตอนนั้นน้องล้งเล้งอยากเรียนเอกอังกฤษแล้วก็กลัวเข้าไม่ได้ เลยถามผมค่อนข้างเยอะหน่อย ซึ่งผมก็ตอบไปเท่าที่ทำได้ครับ พอปีสี่มันก็ลืมๆไปแล้วว่าทำไมมอหกถึงได้อยากเรียนมหาลัยขนาดนี้ เข้ามาตายชัดๆ
“เก่งมากเลย พี่รู้แล้วว่าเราทำได้”
“ใช่มั้ยล่ะ! เพราะพี่แทนใจเลยนะเนี่ย”
“ก็เวอร์ไป” ผมหัวเราะ “ถ้าเราเข้าเอกอังกฤษไม่ได้อะนะ คนทั้งโลกก็เข้าไม่ได้แล้ว!”
“โหย นี่ก็เวอร์ไปเหมือนกันอะ ฮ่าๆ”
ผมกับน้องคุยงุ้งงิ้งกันอยู่สักพักจนมีเสียทักจากคนที่ขับรถพาผมมากินข้าวครับ
“แทนใจ เดี๋ยวพี่ไปห้องน้ำแป๊บนึงนะครับ”
“เออใช่ ลืมแนะนำเลย” ผมพูดสิ่งที่เพิ่งจะนึกขึ้นได้ เนี่ยอะนิสัยเสียของผม เวลาทำอะไรแล้วลืมอีกอย่างไปเลย ครั้งนี้ลืมคุณเมฆครับ
“คุณพี่เมฆครับ นี่น้องล้งเล้ง น้องคณะผม” ผมผายมือไปที่น้องที่กำลังยกมือไหว้อีกคนที่รับไหว้แบบเท่ๆ คือผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมแค่รับไหว้ต้องดูดีและดูใจดีขนาดนี้ด้วย
“ล้งเล้ง นี่คุณพะ… เอ่อ คุณเมฆ” ผมพยายามไม่สนใจสายตาที่มองมาตอนที่ผมเรียกเขาว่าคุณเมฆ โอ๊ย มองทำไมเล่า อย่ามองสิ “เป็นเพื่อนที่ทำงานของพี่เอง”
ทั้งสองคนทักทายกันพอเป็นพิธีก่อนที่คุณพี่เมฆจะเดินหายเข้าไปที่ห้องน้ำทางด้านหลังร้าน ทิ้งผมไว้กับน้องล้งเล้งที่ยังมองตามคุณพี่เมฆอย่างสนอกสนใจ
“โหยพี่แทนใจ พี่เมฆโคตรเท่เลยอะ”
น้องหันมาพูดกับผมครับ เหมือนน้องจะชอบคุณพี่เมฆมากเลย อาจจะเพราะคณะเราไม่ค่อยมีเพศชายเท่าไหร่ ยิ่งเป็นเพศชายที่หล่อด้วยนี่หายากกว่าลูกค้าที่ไม่เรื่องมากอีกครับ
“อิจฉาว่ะ ผมนะอยากสูงๆ ดูดีแบบนั้นบ้างจัง ทุกวันนี้เพื่อนแม่งทำเหมือนผมเป็นหมากระเป๋า ไม่คูลเลย”
“ล้งเล้งเป็นแบบนี้ก็ดีแล้วนะ”
ผมพูดชมอีกคน ไม่ได้พูดไปเรื่อยนะครับ ผมชอบน้องที่เป็นแบบนี้ ดูสดใสดี สดใสจนผมอยากจะแบ่งความอารมณ์ดีของน้องมาใช้ตอนเช้าๆวันจันทร์บ้างเลยครับ
“ว่าแต่มาทำอะไรแถวนี้เนี่ย ไม่ได้ใกล้มหาลัยฯเลยนะ ไม่มีเรียนหรือไง”
“ผมมาหาน้องที่สอนพิเศษน่ะ”
“สอนพิเศษ?” ผมทวนคำ “สอนไกลไปป่าว คุ้มค่ารถเหรอเนี่ยถามจริง?”
ผมไม่ได้เวอร์นะ มหาลัยน้องผมอยู่แทบชานเมืองครับ แถวทุ่งรังสิต ส่วนตรงนี้คือเขตบางนา คนละซีกโลกเลยนะ บ้าไปแล้ว แค่คิดผมก็เหนื่อยแล้วครับ ถ้านั่งแกร็บนี่น่าจะ 500-600 บาทขึ้นแน่ๆ บ้าไปแล้วน้องผม
“ไม่ๆ คือผมสอนสยามพี่ แต่ตอนกำลังขึ้นรถตู้กลับเพิ่งรู้ว่ากุญแจหอติดมากับมัน โคตรซวย นี่ต้องขอเขาลงแล้วรีบขึ้นรถมาหามันที่นี่เนี่ย ยืนรอก็โคตรนานกว่าจะได้ขึ้นรถตู้ แถมแม่งต้องมาไกลถึงนี่”
น้องผมบ่นยาวเป็นปืนกลเลยครับ ซึ่งผมเข้าใจนะ ถ้าเป็นผมๆก็บ่น
“นี่เจอน้องยัง?”
“ยังเลยพี่ เนี่ยผมมารอมันทำงานบ้านเพื่อนอะไรก็ไม่รู้” น้องบ่นด้วยท่าทางหงุดหงิด มีเสียงฮึดฮัดให้รู้ด้วยครับว่ากำลังเหม็นเบื่อคนที่พูดถึงอยู่จริงๆ “ไม่รู้มันจะทำงานถึงชาติหน้าหรือเปล่าเนี่ยพี่ เอาเถอะ ช่างแม่ง ผมยังไงก็ได้ขอให้ได้ของละกัน เพราะถ้าน้องมันทำกุญแจหายนะ ผมจะเอาดิกฯอังกฤษไทยฟาดหน้ามันไปมาจนกว่าปกจะหลุด คอยดู”
ผมหัวเราะกับท่าทางจริงจังของน้องครับ ล้งเล้งเป็นเด็กอารมณ์ดี เพราะแบบนี้ผมเลยสนิทกับน้องได้ทั้งที่ไม่ได้เรียนหรือทำกิจกรรมอะไรด้วยกันเหมือนกับคู่ซุกซนกับพี่กุ๊กกิ๊กด้วยซ้ำ
“พี่แทนใจ”
“ว่าไง?”
“ว่าแต่ พี่เมฆนี่แฟนพี่เหรอ?”
“เฮ้ย!!!”
ผมสะดุ้งเมื่ออยู่ๆน้องถามอะไรแบบนี้ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่อีกคนเดินถือถาดที่มีน้ำอัดลมวางอยู่มาทางนี้พอดี
ไอ้คุณพี่เมฆนี่ก็นะ ทีตอนที่พวกผมคุยเรื่องไร้สาระดันไปซื้อของกินเพิ่ม ทีอย่างงี้ล่ะดันเดินมาพอดี บ้าไปแล้วบ้าไปแล้ว ทำไงอะ ผมควรตอบยังไงดี
“ไม่ใช่ๆ พี่เขาเป็นเพื่อนร่วมงาน”
“ใช่ครับ เป็นเพื่อนร่วมงาน”
ขาเดินมาวางถาดเอาไว้บนโต๊ะ โชคดีที่โต๊ะของพวกผมเป็นแบบสองโต๊ะต่อกันครับ เพราะงั้นเลยมีที่พอวางของบนโต๊ะทั้งหมด
“ตอนนี้ยังเป็นเพื่อนร่วมงานอยู่ ไว้อีกสองเดือนค่อยมาถามใหม่นะ”
“ไอ้คุณพี่เมฆ!!!!”
“ฮ่าๆๆๆ”
ผมเหวออกมาทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น ส่วนน้องล้งเล้งก็น่ารักมากครับ มีการหัวเราะแล้วพูดทำนองว่า ‘โหย พี่เมฆแม่งโคตรได้ว่ะ’ ซึ่งสิ่งเดียวที่ผมทำได้คือพยายามทำให้แก้มหายร้อนด้วยการถูๆครับ ฮือ บ้าไปหมดแล้ว เมื่อไม่มีใครเข้าข้างผมก็เปลี่ยนเรื่องมันเลยแล้วกัน
“นี่คุณพี่เมฆยังไม่อิ่มเหรอครับ? ซื้ออะไรมาเพิ่มอีกเนี่ย”
“ไม่ใช่ๆ พี่ซื้อให้น้องเราน่ะ”
ผมขมวดคิ้วนิดหน่อยในขณะที่น้องผมพยายามปฏิเสธแต่สุดท้ายก็ต้องรับของ นี่ก็เลี้ยงคนอื่นเขาไปทั่วเลยนะ ไหนว่าจะพาผมมาเลี้ยงไง!
“พี่ล้งเล้ง”
เสียงเรียกของเด็กหนุ่มที่ท่าทางจะอยู่มัธยมปลายยืนโบกมือมาจากหน้าร้าน ล้งเล้งน้องผมเลยลาจากตรงนี้ไป พอดีกับที่คุณเพี่เมฆเหมือนจะมีโทรศัพท์เข้า ผมที่ไม่อยากฟังอะไรเกี่ยวข้องกับงานอีกแล้วถึงแม้จะไม่ใช่งานตัวเองก็ตาม เลยอาสาเดินไปส่งน้องเขาครับ
“พี่”
น้องเรียกให้ผมหยุดก่อนที่จะถึงประตูร้าน ผมหันมามองหน้าเขาพลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ล้งเล้งทำหน้าคิดนิดหน่อย ท่าทางน้องเหมือนไม่แน่ใจว่าควรจะพูดดีมั้ย แต่สุดท้ายแล้วยอมเปิดปาก
“พี่ได้คุยกับน้องกายบ้างมั้ย?”
แทนกาย
ชื่อน้องชายทำให้ผมนิ่งไปชั่วครู่ สีหน้าผมคงเปลี่ยนชัดเจนเพราะน้องล้งเล้งถอนหายใจเหมือนกับว่าตัวเองก็ลำบากใจเช่นกันที่ต้องพูดเรื่องนี้
น้องกายเป็นเด็กเก่ง น้องไม่มีปัญหาวิชาไหนเลยนอกจากอังกฤษ เพราะน้องมักจะมาให้ผมสอนเพิ่มเสมอ ซึ่งตั้งแต่ทำงานผมไม่ค่อยว่างเท่าไหร่ เลยฝากฝังน้องกับครูพี่ล้งเล้งแทน
“คุยสิ เมื่อเย็นยังคุยกันอยู่เลย”
ผมตอบน้องไปพลางส่งยิ้มให้อีกคน ซึ่งมันคงเป็นยิ้มเหนื่อยๆเพราะวันนี้ผมแทบจะหมดแรงแล้วครับ เรื่องนั้นเรื่องนี้เยอะเกินไป ตั้งแต่คนขับแกร็บไบค์ ลิฟต์เสีย เพื่อนลาออก ทะเลาะกับน้อง ไฟดับ และล่าสุดผมยังต้องมาคิดเมนูเบอร์เกอร์คิงเนี่ย วันบ้าอะไร
“พี่แทนใจดูแปลกๆนะ ปกติพี่ต้องพูดถึงน้องกายเยอะกว่านี้ มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ” ล้งเล้งพูดพร้อมกับมองอย่างเป็นห่วง เซนส์ดีชะมัด ทำไมถึงได้ฉลาดกว่าพี่ร่วมคณะอย่างผมเนี่ย
“พี่เผลอดุน้องไปน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
ผมตัดสินใจตัดบทแค่นั้น เพราะว่ายังรู้สึกแย่ที่ตวาดน้องอยู่
“เดี๋ยววันพุธนี้ผมมีสอนน้อง ให้ผมช่วยพูดกับน้องมั้ย?”
“ไม่เป็นไรหรอกๆ พี่แค่… กลัวน้องจะโกรธน่ะ”
“น้องไม่โกรธพี่หรอกครับ น้องกายรักพี่จะตาย รักมากกว่าที่พี่สาวรักผมอีกมั้ง”
ผมหัวเราะออกมานิดหน่อยเมื่อล้งเล้งทำหน้าตาจริงจังกับสิ่งที่ตัวเองพูดออกมา บ้านน้องมีพี่สาวครับ จบมหาลัยเดียวกับพวกผมเนี่ยแหละแต่ว่าคนละคณะกัน
“ช่วงนี้น้องแทนกายค่อนข้างเครียดน่ะพี่...”
ล้งเล้งทำท่าเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่เพราะเด็กที่น้องเขามาเอาของด้วยเดินมาทางนี้ (คงเพราะเห็นพวกผมไม่เดินไปสักที) เลยเหลือแค่พูดทิ้งท้าย
“พี่ไปหาน้องมันบ่อยๆหน่อย น้องไม่โกรธพี่หรอกจริงๆ เชื่อผม”
พวกเราคุยกันอีกนิดหน่อยก็แยกกันครับ พร้อมกับที่ผมสัญญาว่าจะหาเวลาเข้าไปเลี้ยงข้าว(และเหล้า)น้องที่มหาลัยเร็วๆนี้ ผมเดินกลับไปหาคุณพี่เมฆที่ตอนนี้เลิกคุยกับลูกค้าเปลี่ยนมาจิ้มมือถือแทนแล้วครับ
“ขอโทษทีนะครับ แค่เดินไปส่งน้องดันคุยซะนาน”
“ไม่เป็นไรหรอก พี่เข้าใจ”
ผมส่งยิ้มขอบคุณให้คนที่เลิกเล่นมือถือแล้วหันมาส่งยิ้มให้ผม ตอนนี้อาหารตรงหน้าพร่องลงไปมากเลยครับ เหลือแค่นักเก็ตของผมกับเฟรนช์ฟรายส์ครึ่งหนึ่งจากตอนแรก น้ำสองแก้ว และถาดที่เมื่อสักครู่พนักงานถืออาหารมาเสิร์ฟ
“คุณพี่เมฆครับ” อีกคนเลิกคิ้วส่งยิ้มมาให้เมื่อผมเรียก “สมมุตินะครับ ถ้า--”
“เรื่องสมมุติอีกแล้วเหรอครับ?”
“อื้อ ไม่ใช่เรื่องจริงนะ”
“เรื่องสมมุติเราเยอะนะเนี่ย”
“นี่คุณพี่เมฆจะฟังมั้ยครับ?” ผมขมวดคิ้วเมื่ออีกคนกวนประสาทเหลือเกิน นี่เรื่องสมมุติไง เชื่อกันบ้าง! ผมไม่น่าเชื่อถือตรงไหนกัน!
“ถ้าสมมุติคุณพี่เมฆมีน้องชายที่รักกันมากๆ สนิทกันมากๆ อยู่มาวันหนึ่งพี่เผลอตวาดน้องไป แบบไม่ได้ตั้งใจเลยนะพี่ แค่เผลอหลุดปากเพราะว่าเหนื่อยง่ะ…”
ผมถอนหายใจ ตอนนี้คุณพี่เมฆกลับมาเท้าคางมองผมเหมือนกับเมื่อตอนที่คุยกันเรื่องซุกซนแล้วครับ เขาเงียบแต่ส่งยิ้มบางๆเป็นสัญญาณให้พูดต่อไปครับ
“ผมรู้สึกผิดมากเลย… คุณว่าน้องจะโกรธผมมั้ย?”
“อันนี้ยังเรื่องสมมุติเหมือนเดิมเนอะ”
“คุณพี่เมฆ ทำไมวันนี้กวนประสาทจังเลย”
“เห็นเราทำหน้าบึ้งไงเลยอยากให้อารมณ์ดี ดูสิแก้มเบี้ยวแล้วเนี่ย”
ผมตกใจมาก รีบเอามือจับแก้มตัวเองทันที เอ๊ะ แต่แก้มคนเราเบี้ยวเพราะหน้าบึ้งได้ด้วยเหรอวะ? … โดนหลอกอีกแล้วแน่ๆ ยิ่งเห็นว่าอีกคนกำลังส่งยิ้มน้อยๆมาให้ผม ในขณะที่ผมกำลังจะอ้าปากบ่นเขาเหมือนเคย เสียงนุ่มๆของอีกคนก็ขัดขึ้นมาก่อน
“แทนใจ”
“ครับ?”
“เราตวาดน้องเพราะอะไร?”
“...ผมรู้สึกว่าน้องเอาแต่ใจ”
“แล้วน้องเอาแต่ใจจริงมั้ยครับ?”
“นิดนึงครับ” ผมตอบคำถาม “แต่วันนี้ผมเหนื่อยมากๆแล้วอะ น้องยังตื๊อจะมาหาอีก ทั้งที่มาดึกๆมันอันตรายจะตายไป น้องชายทั้งคนนะ น้องกายของผม ถ้าโดนแท็กซี่จับไปจะทำยังไง?”
“เราเป็นห่วงน้องใช่มั้ยล่ะ พี่ว่าถ้าพูดดีๆน้องก็น่าจะเข้าใจนะ”
“...”
“เรารักน้องอย่างไรน้องก็รักเราแบบนั้นแหละ รอใจเย็นๆก่อนแล้วก็โทรไปหาน้องซะ ดีไม่ดีน้องชายเราอาจจะรอสายจากเราอยู่ก็ได้นะ”
ผมปล่อยให้คำพูดสุดท้ายของคุณเมฆลอยวนอยู่รอบตัวโดยไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพราะมัวแต่พยายามห้ามไม่ให้หัวใจเต้นตึกตังตึกตัก แต่มันยากมากๆ ยากกว่าตื่นเช้าไปทำงานแบบไม่ให้สายอีก
ทั้งสายตา ทั้งคำพูด ทุกอย่างของคุณเมฆที่อยู่กับผมมาตั้งแต่เช้ายันเย็นมันดีมากจริง
“ขอบคุณนะครับ”
ผมพูดออกไปอย่างที่ใจคิด อีกฝ่ายยิ้มรับพร้อมกับเอามือมาลูบหัวผมอย่างที่ชอบทำ แย่มากๆ ตอนนี้มันร้อนหน้าไปหมดเลย แต่ถึงแม้หน้าจะร้อนแต่ผมก็ดีใจนะที่มีเขาอยู่ช้างๆในวันที่แย่มากแบบนี้ ถ้าหากเขาอยู่กับผมไปเรื่อยๆ ทุกๆวันจันทร์ได้ก็คงดี …
และวินาทีนั้น คำพูดเมื่อสักครู่ของผู้ชายฝั่งตรงข้ามก็ลอยเข้ามาในหัว
‘คนที่อยู่ในชีวิตเราเข้ามาแล้วก็ออกไป คนที่อยู่เดี๋ยวก็หาย อย่าไปยึดติดกับความสัมพันธ์มาก’
แล้วคุณพี่เมฆล่ะ ผมยึดติดกับเขาได้มั้ย? เดี๋ยวเขาก็จะหายไปด้วยหรือเปล่า?
------- TBC -------
เราขอสัญญา จะขอเวลาอีกไม่นาน
แต่ตอนนี้งานทำร้ายมากค่ะ
แงงแงแงงแงแงแงแงแงแงงแงแงแงแงแงแง้
Babybaphomet
[/color]