บทที่ 9 : ของพังๆ
“น..จิน จิน!”
ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำคุ้นหูดังขึ้น เรียกสติตัวผมให้กลับมาหลังจากเดินไปในงานเรื่อยๆอย่างไร้วิญญาณจนเกือบเดินชนคนนั้นคนนี้
“เป็นอะไร เหม่อจัง ใส่ชุดแล้วร้อนเหรอ หน้าซีดเลย” เคย์จับไหล่ผมทั้งสองข้าง ยื่นหน้าเข้ามาสังเกตด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร…” ผมหลบตาเขา สะบัดไหล่ออกอย่างแรงแล้วจึงกลับไปเดินอยู่กับเรนเหมือนเดิม และเพื่อนผมก็ทำแค่มองหางตาแล้วพ่นลมหายใจพรูอย่างเบื่อหน่าย
“นั่นคุณจูจู แอคJJ3KกับคุณเรนแอคRainy_Cใช่มั้ยครับ” ผู้ชายถือกล้องเดินเข้ามาทักพวกเรา และเสียงของเขาก็ดังมากพอจะทำให้ตากล้องคนอื่นสนใจและเข้ามาร่วมแจมด้วย
“ขอร้องล่ะครับ! ช่วยโพสท่าคู่กันได้มั้ยครับ!”
“คุณเรนกับจูจูดูสนิทกันจังเลยนะครับ”
“แต่งคอสมาคู่กันด้วยเหรอครับ สุดยอดไปเลย ไหนๆแล้วก็ขอท่าคู่ได้มั้ยครับ”
ผมมองหน้าเพื่อนอย่างขอคำตอบ และแน่นอนว่าคนรักแสงสีอย่างหมอนี่ก็ต้องบังคับให้ผมโพสท่าด้วยอยู่แล้ว ท่ามกลางตากล้องที่ล้อมรอบตัวเราจนเป็นวงกลมอยู่ไม่ไกลไม่ใกล้
ผมโพสท่าแบ๊วๆอย่างการจับมือกับเรนอย่างที่ปกติคงไม่ทำ หรือกระทั่งโพสท่าต่อสู้อันเป็นท่าประจำตัวของคาแรคเตอร์ แต่ในระหว่างนั้นผมแอบเห็นตากล้องคนหนึ่งย่อตัวลงเพื่อถ่ายมุมเสย
ผมได้แต่แอบถอนหายใจในใจ ไม่ใช่ว่าไม่ชินกับการโดนถ่ายใต้กระโปรงหรอกนะ เพราะชินแล้วถึงได้ใส่อะไรไว้ข้างในให้มั่นใจว่าเซฟที่สุด แต่มันก็อดเซ็งไม่ได้จริงๆที่โดนคนพวกนี้ฉวยโอกาสหน้าด้านๆแอบถ่ายรูปแล้วไม่รู้ว่าเอารูปเราไปใช้ทำอะไร
ด้วยซ้ำ
แต่แล้วผมก็เห็นเงาร่างใหญ่ๆของเจ้าหมาเข้าไปยืนข้างหลังตากล้องคนนั้นแล้วคว้าหมับเข้าที่เลนส์กล้องเขาอย่างแรงจนร่างท้วมของตากล้องหื่นกามแทบเซล้ม
“เฮ้ย! อะไรวะ” เสียงช่างภาพโวยวายด้วยความโมโห เขาสะบัดตัวลุกขึ้นด้วยท่าทางทุลักทุเล
“…” เคย์ยืนเป็นยักษ์ปั่นหลันอยู่ตรงนั้น ใบหน้าภายใต้มาสก์ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรแต่คิ้วขมวดเสียจนแทบชนกัน ถึงมองจากตรงนี้ผมยังรู้สึกเลยว่าตาเขาแทบจะพ่นไฟออกมาได้ บวกกับรูปลักษณ์ที่โผล่ออกมายิ่งทำให้เขาเหมือนอันธพาลเข้าไปใหญ่
จริงๆเพียงแค่ยืนกอดอกโชว์กล้ามแขนซึ่งขึ้นเส้นเลือดที่เต้นตุบๆเพราะความโมโหอย่างนั้น ทุกคนก็ถอยหนีไปหมดแล้วเหลือเพียงช่างกล้องจิตวิปริตที่ยังยืนประจันหน้าแม้จะขาสั่น
“หาเรื่องกันรึยังไงวะ”
“คุณต่างหากที่ตั้งใจจะถ่ายเสยกระโปรงเลเยอร์น่ะ ยังจะมีหน้ามาถามผมอีกเหรอ”
เคย์คว้ากล้องจากตากล้องร่างท้วมอย่างแรงจนเขาเซตามแรงล้มพับแทบเท้าชายหนุ่ม ใบหน้าหล่อๆของเขาขมวดคิ้วแน่นขึ้นเรื่อยๆเมื่อกดดูรูป
ในที่สุดเคย์ก็กดจนพอใจ เขาดึงเมมโมรี่การ์ดออกมาจากกล้อง ชูมันขึ้นพูดกับคนที่ยังตั้งตัวไม่ได้
“ในนี้มีแต่รูปโสมมที่คุณพยายามถ่าย ไม่นับรวมที่คุณถ่ายใต้กระโปรงแฟนผม เลิกซะนะ …ถ้าไม่เลิกและถ้ากูเห็นมึงไปที่อีเว้นท์ไหนอีกก็ตาม ถ้ามึงยังพยายามจะถ่ายรูปแฟนกู กูจะเอามึงฝังลงดินไปพร้อมๆกับกล้องที่มึงรักหนักหนา เข้าใจมั้ย?”
ผมนิ่งอึ้งไปกับสรรพนามที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆตามอารมณ์โกรธของเจ้าตัวที่ไม่ได้เห็นบ่อยนัก เรนผิวปากแสดงความชอบใจเมื่อเคย์ทิ้งกล้องในมือลงอย่างไม่ใยดีให้เจ้าของต้องเอาตัวเสือกไปกับพื้นเพื่อรับมัน
ไม่พอ เขายังหักเมมโมรี่การ์ดจนพังแล้วโยนทิ้งไว้หน้าช่างภาพร่างท้วมแล้วเดินเข้ามาหาผม พร้อมทั้งถอดเสื้อกันหนาวตัวใหญ่ของตัวเองไว้ใส่ทับให้ผม
ชายของมันยาวจนถึงหัวเข่า ความอบอุ่นของร่างกายเคย์ถ่ายทอดมาถึงผมได้อย่างง่ายดายเหมือนตัวเขากำลังโอบรัดผมอยู่ ทดแทนคืนที่ไออุ่นของใครบางคนหายไปได้อย่างรวดเร็วเหมือนมันไม่เคยมีอยู่
ผมกระชับเสื้อกันหนาวของเขาไว้แน่น ดึงชายเสื้อเขาเบาๆแล้วเขย่งตัวขึ้นไปกระซิบข้างหู
“ขอบคุณ”
ผม เรนกับเคย์ยังคงเตร็ดเตร่ในงานจนเย็น แม้ผมจะอยากลากตัวกลับห้อง โยนซากร่างอันห่อเหี่ยวของตัวเองทิ้งลงบนเตียงที่เคยอบอุ่นเพราะมีคนสองคนนอนเบียดกันอยู่บนนั้นเหมือนเด็กตัวเล็กๆ
สาเหตุก็คือคนสองคนที่เดินคุยกันไม่หยุดตั้งแต่เมื่อกี้ ซ้ำยังหัวเราะต่อกระซิกเหมือนเรื่องมันสนุกหนักหนา ผมพยายามทำเป็นไม่สนใจ แถมยังย้ำกับตัวเองซ้ำๆว่าการที่เพื่อนกับรูมเมทของผมเข้ากันได้ดีเป็นเรื่องน่ายินดี
ผมได้ยึดครองเสื้อกันหนาวเขาแค่สิบนาที เรนก็ร่ำอยากจะขอยืมเหมือนกันเพราะเจ้าตัวบ่นว่าแอร์หนาว ซ้ำคนตัวสูงยังหยิบมันออกจากตัวผมไปให้เขาอย่างเต็มใจ
ทั้งๆที่มันเพิ่งจะดีขึ้นแล้วแท้ๆ…
ตลอดเวลาที่ผมมองทั้งสองคนคุยกัน มันมีความรู้สึกเสียดแทงขึ้นมาจากภายในอก เจ็บแปลบเหมือนมีคนทิ่มเข็มเล็กๆเข้ามานับไม่ถ้วน
หางตาผมยังคงเหลือบไปเห็นเสื้อฮูดสีดำที่คลุมตัวเรนไว้ มันแสลงตาเหมือนกับเป็นของที่ไม่น่าดูที่สุดบนโลกทั้งๆที่เมื่อครู่มันยังให้ความอบอุ่นแก่ผม
ผมกดหน้าอกตัวเอง พยายามดันความรู้สึกแบบเด็กๆที่กำลังเอ่อล้นขึ้นมา
ไม่พอใจ…เหมือนเวลาเด็กที่กำลังจะโดนแย่งของเล่น
แต่ผมไม่ใช่เด็ก และเคย์ไม่ใช่ของเล่น เมื่อมันเป็นความสมัครใจของเขาที่จะคุยกับใคร ผมก็จะปล่อยให้เป็นอย่างนั้น
จะโวยวายไม่ได้ เพราะผมโตแล้ว
ผมกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ ความเจ็บแล่นขึ้นมาตามเส้นประสาท ส่งสัญญาณมาถึงสมองให้หยุดทำร้ายตัวเอง แต่ผมทำไม่ได้ ตอนนี้ผมโกรธ และผมต้องการระบายอารมณ์
“ฮึก” ผมได้ยินเสียงเด็กร้องมาจากข้างหลัง ถึงแม้จะห้ามตัวเองซ้ำๆไม่ให้หันกลับไป แต่สุดท้ายแล้วผมก็ต้องหันกลับไปมองเศษซากจากอดีตของผมให้เต็มตา
เด็กผู้ชายตัวเล็กจากในอดีตยืนอยู่ตรงนั้น เขางอแงกับโลกนี้ ร้องไห้โวยวายโทษคนอื่นไม่เปลี่ยน
ตอนนี้เด็กผู้ชายคนนั้นโทษเรนที่ทำเหมือนว่าหนาวแล้วแย่งเสื้อไปจากตัวเอง โทษเคย์ที่ควรจะเห็นผมสำคัญที่สุดเหมือนอย่างที่เจ้าตัวทำมาตลอด โทษทั้งสองคนที่เอาแต่คุยกันจนลืมใครบางคนที่เดินอยู่ด้วย
และที่ยังเหมือนเดิมอีกอย่างคือไม่ว่าเมื่อไรก็ไม่เคยมีใครฟังเขา
จนกว่าเด็กผู้ชายคนนั้นจะงอแงจนเหนื่อยไปเอง
ผมเองก็ทำเหมือนคนอื่น เลือกที่จะเมินเด็กผู้ชายซึ่งร้องไห้โวยวายเพราะโดนแย่งคนโปรด
“เฮ้ย! ฟังอยู่ป่ะเนี่ย” มือขาวผ่องของใครบางคนโบกไปมาหน้าผม ซึ่งตัวผมที่สติกลับคืนมาแล้วก็เงยหน้าขึ้นมองก่อนจะพบว่าเป็นเรนที่ก้มตัวลงมามอง
“หะ…มีอะไร”
เรนถอนหายใจเหมือนหัวเสีย ชายหนุ่มในร่างสาวสวยขาเรียวยาวตบหน้าตัวเองเบาๆอย่างไม่ห่วงเมคอัพ
“ถามว่าเหนื่อยยัง เจอแฟนๆกับคนที่อยากเจอครบแล้ว จะพอมั้ย”
“อ้อ…”
ผมเหลือบไปมองเคย์เพื่อขอความเห็นก่อนจะพบว่าเขาจ้องมองมาอยู่แล้ว แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้จ้องในตาเขาเพื่อหาคำตอบบางอย่าง เขาก็หลบตาผมอย่างรวดเร็วแล้วหันไปมองพื้นเหมือนพรมสีแดงเลือดหมูนี่น่าสนใจหนักหนา
สุดท้ายผมก็เบือนหน้ากลับมามองคนที่กอดอกจ้องผมอยู่ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
“…พักเลยก็ได้”
“ดี เคย์ พวกผมไปเปลี่ยนเสื้อในห้องน้ำก่อนแล้วกันนะครับ”
รูมเมทผมสะดุ้งเมื่อชื่อเขาถูกเมนชั่นเข้ามาในบทสนทนา เขาพยักหน้ารับรัวๆ
“ครับ งั้นผมไปรอข้างหน้านะเรน”
“อือ!”
ผมมองรอยยิ้มสดใสของทั้งสองคนที่มีให้กันเหมือนตัวเองเป็นคนนอก
พลันมีคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว
ถ้าผมไม่ได้คอสเพลย์ ถ้าเราไม่ได้เข้าใจผิดในวันนั้น เขาจะยังยิ้มให้ผมอย่างนี้ พูดกับผมแบบนี้ เราจะได้เข้าใจกันแบบนี้หรือเปล่า
แล้วมันต้องเป็นผมเท่านั้นเหรอ
เป็นเรนได้มั้ย แล้วถ้าเป็นเรนที่เป็นรูมเมทเขาแทนที่จะเป็นผม
…คนที่เขาชอบจะเป็นเรนหรือเปล่า
ผมจินตนาการว่าถ้าหากเอาเรนมาแทนที่ผม ทุกอย่างก็คงจะลงล็อคเหมือนเดิม
แล้วถ้าอย่างนั้นเราจะรู้สึกได้ยังไงว่าความรู้สึกนี้เป็นของจริง ไม่ใช่สิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาเพราะความชิดใกล้
ในใจผมยังคิดถึงคำถามนี้จนกระทั่งเปลี่ยนเสื้อเสร็จแล้ว เพื่อนสาวตัวสูงขายาวที่บัดนี้เปลี่ยนลุคกลายเป็นหนุ่มหล่อหน้าหวานเหล่มองผมซ้ำแล้วซ้ำอีก
“เฮ้ย ฟังนะไอ้เตี้ย กูกำลังจะถามคำถามหนึ่งที่ทำให้มึงดิ่งกว่าเดิม”
“…กูไม่อยากให้มึงถาม หุบปากไปซะ”
“ไม่ทันแล้ว” เขาแลบลิ้น “ตกลงผู้ชายหน้าหล่อคนนั้นเป็นอะไรกับมึง”
“รูมเมท”
“แล้วเป็นเจ้าของรอยที่คอด้วยหรือเปล่า”
ผมชะงัก ยกมือจับคอตัวเองด้วยใบหน้าแดงก่ำ เรนถอนหายใจด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย
“อีกข้าง”
“เอากระจกมา!”
ผมเปิดกระจกพับส่องข้างลำคอตัวเอง ก่อนจะเห็นรอยแดงช้ำจ้ำใหญ่ที่ข้างๆซึ่งเป็นมุมที่ค่อนข้างเห็นได้ยากหากไว้ผมยาว
แต่เนื่องจากผมได้ถอดวิกออกไปแล้ว มันเลยเห็นค่อนข้างชัด
“เจ้าบ้านั่น!”
“สรุปเป็นแฟนใช่มั้ย”
“ไม่ใช่!”
เรนถอนหายใจ
“ส่วนที่ปากอย่างใจอย่างของมึงเนี่ยน่ารำคาญที่สุดรู้มั้ย”
ผมคว้าคอนซีลเลอร์มาแต้มรอยที่คอ โบกหนาพอสมควรถึงจะปิดมันได้ พอเสร็จแล้วผมก็หมุนฝาเกลียวปิดมัน เหม่อมอง
รอยแดงจางๆบนลำคอ
“กู…ไม่คิดว่าเขาเป็นแฟนจริงๆ”
“หา?”
“มันเร็วเกินไป สับสนเกินไป”
“อ้อ ช่วงสับสน” เรนพูดเหมือนกับเข้าใจ
“เคยผ่านช่วงนี้มาหรือไง”
“ใครๆก็เคยผ่านทั้งนั้น” เขายักไหล่
“….”
“ไหนมึงไม่มั่นใจเรื่องอะไร เล่าให้กูฟังสิ”
“….เคย์กำลังรออยู่”
“เคย์รอได้น้า เขาใจดีจะตาย โอ๊ะ…มึงตาขวางใส่กูเพราะไม่พอใจที่กูทำเหมือนรู้เรื่องของเขาเหรอ”
ผมล่ะเกลียดที่เขาเดาความรู้สึกผมเก่งจนเหมือนพยาธิในท้องเสียจริง
“กูไม่เข้าใจ กูพูดไม่ถูกเหมือนกัน”
“งั้นก็เอาไปตกผลึกกับตัวเองก่อนแล้วค่อยเอามาพูดกับกู” เขารวบของใส่กระเป๋าแล้วออกเดิน ผมเดินออกจากห้องน้ำข้าง
กับเขา มือที่ถือกระเป๋ารู้สึกว่าน้ำหนักมันเบาหวิวเพราะหัวใจผมถูกถ่วงจนเจ็บไปหมด
“…มันจะสายเกินไปหรือเปล่า” ผมถามอย่างไม่แน่ใจ ดวงตาหลุบมองพื้นอย่างที่ปกติไม่เคยทำ
จะแน่ใจได้อย่างไรในเมื่อปฏิกิริยาวันนี้ของเขามันชัดเจนว่าความสำคัญของผมในใจเขามันลดอย่างที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
“…”
“ช่วงนี้เขาไม่กลับห้องเท่าไร ไม่รู้ไปค้างที่ไหน กูแค่…”
ผมแค่กลัวกับความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ทั้งยังตกใจกับความคุ้นชินที่ตัวเองมีหมาตัวใหญ่วิ่งไปวิ่งมาอย่างร่าเริงอยู่
รอบๆกาย แม้จะเหนื่อยหน่ายกับนิสัยของมันสักหน่อยแต่เมื่อมันหายไปแล้ว ผมก็ได้แต่กวาดตามองหาทุกครั้งที่เดินออกไปข้างนอก
“กูไม่ใช่ที่ปรึกษาทางด้านความรักที่ดี แต่แนะนำให้รีบคุยกันซะ มึงน่ะ มีเรื่องอะไรในใจก็เล่าๆออกมาให้ฟังบ้าง ไม่ใช่
เอาแต่อมพะนำ เก็บเงียบเพราะไม่อยากทำตัวเหมือนกับเรียกร้องความสนใจ ทำเหมือนไม่อยากได้ความรักจากใคร เหมือนกับ
ว่ามึงอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียว”
“…”
“กูจะพูดให้มึงฟังไว้อย่างนะ…ไม่มีมนุษย์คนไหนอยู่ตัวคนเดียวบนโลกนี้ได้ มันกว้างเกินไป”
“กู…”
“มนุษย์ต้องการความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะระดับไหน ครอบครัว เพื่อน คนรัก มันเป็นพื้นฐานในการอยู่รอดของมนุษย์”
“คนเราต้องการปัจจัยที่5ต่างหาก” ผมแย้ง
“มีปัจจัยทั้ง5จนล้นฟ้ามึงก็จบชีวิตตัวเองได้ถ้ามึงไม่มีความสุข”
“…”
“มึงต้องก้าวออกมาจากอดีตของพ่อกับแม่มึงได้แล้ว อย่าให้มันฉุดรั้งชีวิตมึงให้ต้องจมไปกับซากเรือที่พวกเขาก่อไว้”
“กูออกมาแล้ว กูมูฟออนได้แล้ว”
“มึงยังทำไม่ได้จิน”
“มึงต่างหากที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย!”
เหมือนเขาจี้ใจผมอย่างแรงเมื่อเขาพูดถึงเริ่องที่ผ่านมาของครอบครัวผม เรนทำเหมือนกับรู้ดีไปซะทุกอย่าง ทั้งๆที่เขาก็แค่
เผอิญอยู่ด้วยในเหตุการณ์ต่างๆก็เท่านั้น
เขาเป็นคนเดียวที่ทำเหมือนกับว่าผมมีปัญหา หมอนั่นมองทุกอย่างเกี่ยวกับผมออกเสมอ และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผม
เกลียดเขาเหลือเกิน
เรนใช้ปลายนิ้วชี้แปะปากผมไว้ไม่ให้พูด เขาส่งเสียงชู่วเบาๆ
“moving on is not running away มึงไม่ได้กำลังก้าวต่อ…มึงกำลังวิ่งหนีอยู่ต่างหาก”
วิ่งหนี…? ผมน่ะเหรอกำลังวิ่งหนี
ผมนิ่งคิดสิ่งที่เขาพูด
ก็อาจจะถูก
บางทีผมอาจจะกำลังวิ่งหนีความรู้สึกไม่แน่นอนที่อาจจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ผมไม่ต้องการ และเพราะความกลัวนั้นมันผลักดันให้ผมปิดหูปิดตาออกวิ่งโดยไม่รู้ทิศทาง
“กูไม่อยากคิดเรื่องนี้” ผมหลบสายตา จ้องมองไปข้างหน้า เห็นร่างสูงเด่นยืนพิงกำแพงอยู่ แม้เคย์จะทำเพียงกอดอกจ้องไปเบื้องหน้า แต่เขายังสามารถเรียกสายตามากมายให้มองตามได้เหมือนเดิม
เรนเหม่อมองตามผมเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนๆเหมือนกำลังพูดกับเด็กห้าขวบ
“…หันกลับไปมองสิ่งที่มึงวิ่งหนีให้เต็มๆตา เข้าไปรู้จักกับมัน และอย่าก้าวออกมาจนกว่ามึงจะเข้าใจมันจริงๆ”
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เรนไม่เข้าใจ
“แล้วถ้ากูทำมันพังล่ะ” ผมถามไปอย่างไม่ต้องการคำตอบ เหมือนแค่รำพึงกับตัวเอง ผมแทบเห็นจุดจบทั้งๆที่มันไม่ได้เริ่ม
ผมทำพังตลอด ความสัมพันธ์เมื่อถลำลึกเกินไปมันมักจะพังลงมาไม่เหลือซากเหมือนครั้งที่ผ่านๆมา
ถ้าทั้งความรู้สึกของผมกับเขามันพังในวันที่ผมแน่ใจในตัวเอง ผมจะทำยังไง
บางทีที่เป็นอยู่นี่อาจจะเป็นเซฟโซนสำหรับเรา ถ้าผมก้าวขาออกนอกพื้นที่นี้ อาจจะโดนระเบิดลงตายทั้งๆที่ยังไม่ทันได้ออกไปเต็มตัว
เรนหันมายิ้มให้กับผม มันเป็นรอยยิ้มน่าขนลุกที่ไม่น่ามีเรื่องดีเกิดขึ้น
“ไม่ต้องห่วงจิน กูว่าจากที่กูเห็น มึงก็ใกล้ทำมันพังแล้วล่ะ”
คำพูดของเพื่อนก้องในหัวไม่หยุดกระทั่งตอนที่ทั้งผมและเคย์เดินมาถึงรถแล้ว
“เออ…” ผมมองคนตัวสูงที่กำลังจะเดินไปด้านคนนั่งตามความเคยชินพร้อมกับยื่นกุญแจรถให้ “วันนี้ขับให้หน่อย…ได้มั้ย”
ชายหนุ่มมีเครื่องหมายคำถามบนหน้าอย่างเด่นชัดเมื่อผมพูดอย่างนั้น แต่พอเขาเห็นผมกำลังขมวดคิ้วหน้าซีด เคย์ก็เดินมารับโดยไม่พูดอะไร
รูมเมทผมหมุนพวงมาลัยอย่างคล่องแคล่วพาพวกเราออกมาจากลานจอดรถ ผมที่นั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับได้แต่เสมองออกนอกหน้าต่างรถอย่างไม่รู้จะพูดอะไร
แล้วผมก็รู้สึกถึงลมเย็นที่ถูกเป่ามาโดนหน้า ผมหันไปมองก่อนจะพบว่าเคย์กำลังปรับใบพัดกับแอร์ให้ผมอยู่
“…”
แย่แล้ว ขนาดจะพูดทักเขา ผมยังไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
ความเป็นธรรมชาติตอนนั้นมันหายไปไหนกันนะ
“จะเป็นลมหรือเปล่า ทำไมสีหน้าดูไม่ดีทั้งวันเลย” เขาใช้มือเช็คลมแอร์ว่าพัดมาถึงผมจริงๆ คิ้วคมๆนั่นขมวดมุ่นไปหมดจนเกิดรอยยับย่นที่หน้าผาก
ผมเหม่อมองหน้าเขานานเหมือนกับเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
หันกลับไปมองเสื้อกันหนาวสีดำที่นอนนิ่งอยู่ตรงเบาะหลัง ผมไม่คิดว่ามันแสลงตาเหมือนเดิมอีกต่อไป
ถ้าหากกลับมาอยู่ด้วยกันแบบนี้ เขาก็ยังเป็นเคย์คนเดิมที่เอาใจใส่ผม
ิ ผมรู้สึกได้ว่าเสี้ยวนึงในใจรู้สึกโล่งอก หัวใจเบาลงเมื่อเขาไม่ได้ทำตัวเย็นใส่ผมอีกต่อไป
พวกเราจอดติดไฟแดงเมื่อขับรถออกมาจากพารากอนได้สักพัก เขาใช้มือถูจมูกเห็นได้ชัดว่าไม่รู้จะทำอะไรกับสถานการณ์ระหว่างเราเช่นกัน
“เดี๋ยวขึ้นทางด่วนไปรังสิตเลยแล้วกันนะ”
“อ้อ ก็ได้”
“อือ”
เคย์ออกรถเมื่อสัญญาณไฟเขียวมาถึง เขาขับรถอย่างชินทาง เลี้ยวขึ้นทางด่วน ไปต่อยาวจากสยามถึงรังสิต มือของเขาเลื่อนมากดวิทยุทั้งๆที่ตายังคงมองถนน ผมเห็นดังนั้นจึงเอื้อมไปช่วยเขาเปิด
จังหวะที่ผมกดหน้าจอวิทยุ มือเราสัมผัสกันเพราะชายหนุ่มปัดป่ายมือมาโดนผม เขาชะงัก รีบเก็บมือไปขับรถเหมือนเดิม
ความรู้สึกหนักๆในอกมันกลับมาอีกแล้ว
ผมพยายามมองเมินมัน เชื่อมวิทยุเข้ากับบลูทูธของเครื่องแล้วเล่นเพลงแรนด้อมในเพลลิสต์
ตอนนี้กรุงเทพถูกปกคลุมด้วยความมืด ยิ่งออกมาไกลจากเมืองเท่าไรยิ่งมืดลงเท่านั้น แต่กระนั้นมันก็สว่างเกินกว่าจะเห็นแสงดาว
ผมจ้องมองไฟถนนสีส้มที่สาดเข้ามาจนทำให้เห็นเสี้ยวหน้าของคนที่นั่งอยู่ตรงคนขับ เขาเหมือนภาพลางๆ เป็นเหมือนฝันตื่นหนึ่งที่เพียงผมโบกมือผ่านแล้วจะหายไป
แสงไฟตามบ้านเรือนไม่มีอีกแล้วเมื่อเราขับออกมาไกลจากเมืองมากขึ้นทุกที ภาพวิวภายนอกเลือนรางเพราะความมืด มีเพียงเสียงเพลงดังขึ้นด้วยทำนองทุ้มต่ำที่ชัดเจน
Such a funny thing for me to try to explain
How I'm feeling and my pride is the one to blame
ทำไมความสัมพันธ์ถึงต้องพัฒนากันด้วยนะ ทำไมเราไม่หยุดอยู่ตรงที่เราพอใจกันทั้งสองฝ่าย
ทั้งๆที่ถ้าเริ่ม มันก็จะจบแท้ๆ
Cause I know I don't understand
How your love can do what no one else can
ผมไม่ได้แคร์เรื่องเพศ มันไม่ใช่เรื่องพรรค์นั้น
ผมก็แค่พอใจกับตำแหน่งที่เป็นอยู่ และผมทนไม่ได้ถ้าสักวันเขาจะแทนที่ผมด้วยใครเพียงเพราะว่าผมไม่สามารถตอบรับความรู้สึกได้อย่างเต็มปาก
Got me looking so crazy right now
Your love's got me looking so crazy
ทั้งแม่และพ่อ เมื่อก่อนก็เคยรักกันขนาดนั้นแท้ๆ ในรูปที่พวกเขาถ่ายด้วยกันในวันแต่งงาน ทั้งคู่ดูมีความสุข มีรอยยิ้มให้แก่กัน มองกันเหมือนเขาไม่สามารถมองใครด้วยสายตาแบบนั้นได้อีกแล้ว
แต่ตอนนี้ผมกลับเห็นแต่ซากของสิ่งที่เคยเป็นความรักของคนทั้งคู่
มันพัง แหลกสลายและไม่เชื่อใจในความสัมพันธ์ที่เรียกว่ารักอีก
Looking so crazy, your love, you got me looking
Got me looking so crazy, your love
ผมที่เคยถูกเรียกว่าพยานรักของพ่อและแม่ ตอนนี้เป็นได้เพียงเศษซากที่เหลืออยู่ของความรู้สึกที่ทั้งคู่เคยมี
“ทำไมวันนี้ไปงานคอสเพลย์คนเดียว ไม่บอกกูก่อน” เขาถามขึ้นในจังหวะที่เราเลี้ยวรถขึ้นหอพัก สายตาคมยังคงมองตรงไปข้างหน้า ไม่แม้แต่จะเหลือบตามามองคู่สนทนาอย่างผม
“ทำไมกูจะต้องบอกมึงด้วย” ด้วยความรู้สึกตึงๆในหัวใจ ผมเลือกใช้คำที่น่าจะทำร้ายเขาไปได้มากที่สุดทั้งๆที่คนโดนทำร้ายจนหัวใจขาดวิ่นนั้นมันคือผมเอง
“วันนี้ก็เห็นอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น ยังจะกล้าไปคนเดียวอีก อย่างน้อยก็บอกกูบ้าง ถ้าไม่ได้กลับห้องมาเห็นโน้ตแล้วจะทำยังไง”
“แล้วมึงจะยุ่งทำไม”
“ก็กูเป็นห่วง!” เคย์กำพวงมาลัยแน่นจนเส้นเลือดที่แขนปูดโปน เขาขบกรามระงับอารมณ์ในขณะที่ตัวผมได้แต่คือแข็งค้างเมื่อเห็นเขาตะโกนออกมาอย่างนั้น
ในที่สุดชายหนุ่มก็ควบคุมลมหายใจหนักๆของตัวเองได้ เขาผ่อนลมยาวๆแล้วถามขึ้นมาใหม่
“คิดมากเรื่องที่กูบอกว่าชอบไปใช่มั้ย”
“…” ผมใช้ความนิ่งเงียบเข้าสู้ ทำเป็นเหมือนไม่รู้เรื่องอะไร
เคย์ถอยรถเข้าช่องจอด ใช้เวลาพอควรเพราะที่จอดรถตึกเรามีช่องที่แคบมาก ระหว่างนั้นพวกเราต่างก็เงียบ ต่างจมลงไปในความคิดและหาทางออก
“ไปกันเถอะ”
รูมเมทผมเป็นฝ่ายเปิดประตูลงไปก่อน ดังนั้นผมจึงตามลงไปบ้าง เคย์เร่งเท้าจนทิ้งห่างกับผม และเป็นตัวผมเองที่ตกใจกับระยะห่างนั้นจนต้องรีบเดินไปข้างๆเขา
ทันใดนั้นเขาหยุดเดินพร้อมกับหันมาเผชิญหน้ากับผม
ผมรู้ว่าเวลานี้มาถึงแล้ว เวลาที่เราต้องพูดสิ่งที่คิดออกไปให้หมด แต่ภายใต้ความคิดอื้ออึงในหัว ผมไม่สามารถเรียบเรียงอะไรออกมาเป็นคำพูดได้เลย
ผมไม่พร้อม มือชื้นเหงื่อขยับอย่างอึดอัดและกำมันแน่น จนกระทั่งเคย์ยกมือผมขึ้นมาคลาย ค่อยๆแกะนิ้วผมทีละนิ้วออกอย่างใจเย็น
“ทั้งหมดนั่น…เรื่องระหว่างเรา กูเป็นฝ่ายเริ่มเองทั้งๆที่มึงไม่ชอบ และอาจจะไม่ยินยอมด้วยซ้ำ กระทั่งครั้งต่อๆมา กูก็ยังบังคับมึงไม่เลิก ตอนนั้นที่กูบอกชอบ กูแค่อยากให้มึงตอบรับความรู้สึกกู กูแค่รู้สึกเหมือนเราใจตรงกัน”
เขาเริ่มพูดมันออกมาแล้ว ทั้งๆที่ตัวผมยังคงไม่สามารถเข้าใจตัวเองได้ ทุกคำพูดของเคย์หนักแน่น จริงจังจนเหมือนกับว่าความรู้สึกของเขาถูกส่งผ่านคำพูดมาด้วย
มันเศร้าสร้อย และหมดหวัง
“…”
“กูแค่ผิดหวัง…แต่กูรู้ว่ากูเป็นฝ่ายผิด กูแค่ขอเวลา”
เขาเงยหน้าขึ้นสบตาผม ผมมองเห็นดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเขารื้นน้ำตาน้อยๆทำให้ดวงตาเขาวาววับกว่าทุกที
“กูขอโทษ คงทำให้ลำบากใจสิน่ะ มึงไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้นหรอก กูผิดเอง เพราะกูเป็นฝ่ายยัดเยียดความรู้สึกให้มึงเอง”
เคย์ปล่อยมือผม เขาฝืนยิ้มครั้งหนึ่ง เป็นรอยยิ้มที่เหมือนพยายามกระตุกริมฝีปากเสียมากกว่า
ผมได้แต่ยืนนิ่ง มองดูเขาที่หันหลังเดินออกไป ความรู้สึกในหัวอื้ออึ้ง มันตีกันไม่หยุด เหมือนกับว่าผมมีล้านความคิดอยู่ในสมอง แต่กลับถ่ายทอดมันออกมาไม่ได้แม้ครึ่งค่ำ
หัวใจผมร่วงหล่นกระแทกพื้นตามจังหวะก้าวเดินของผู้ชายตัวสูง
เรนพูดถูก
ผมทำมันพังจริงๆ
---------------------------------------------------------------
เหมือนมีบางคนพึ่งเข้ามาอ่าน คือตอนสั้นๆที่เป็นชื่อชุดคือเป็นเรื่องหลังจากเรื่องหลักนะคะ แฮ่ จะมีประมาณ17ตอน ส่วนที่เหลือล้วนแต่เป็นตอนพิเศษที่เขียนเพราะอยากเขียนอะไรกามๆกับคอสเพลย์ค่ะ ฮา
นั่งไล่อ่านทุกคอมเม้นท์เลย นี่อยากตอบมากแต่โปรเจ็ครัดตัวจะตายแล้วค่ะ