Chapter 8: Perfect dream
ภรัณยูลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงของทินกร
ร่างโปร่งลุกพรวดขึ้นมาอย่างตกใจเมื่อสมองจดจำห้องที่ตนนอนอยู่ได้ ความทรงจำสุดท้ายของเขาคือเด็กหนุ่มเจ้าของห้องขู่ด้วยน้ำเสียงจริงจังว่าหากลืมตาขึ้นมาจะจูบ แค่คิดถึงใบหน้าของคนอายุมากกว่าก็ร้อนผ่าวอย่างควบคุมไม่ได้
“อ้าว พี่ภัทร ตื่นแล้วเหรอครับ?”
เสียงของเจ้าของห้องดังขึ้น ภรัณยูหันไปเจอคนที่ก้าวออกมาจากห้องน้ำโดยที่ไม่มีแม้แต่ผ้าขนหนูสักผืนอำพรางร่างกาย ผ้าขนหนูผืนเดียวที่อีกฝ่ายมีกำลังถูกใช้เช็ดผมสีดำสนิทที่เปียกลู่ติดศีรษะ
“เฮ้ย!”
ภรัณยูรีบเบือนหน้าหนีอย่างตกใจ ไม่เกี่ยวกับว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงหรอก ต่อให้ใครมายืนแก้ผ้าเดินโทงๆแบบนี้เขาก็ตกใจทั้งนั้น
“อะไรกันครับพี่ภัทร ทำเป็นไม่เคยเห็นไปได้”
ชีเปลือยตรงหน้าเขาเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะอย่างน่าไม่อาย เด็กหนุ่มเปิดประตูตู้เสื้อผ้าแล้วดึงเอากางเกงบ็อกเซอร์ลายการ์ตูนที่ไม่ควรจะดูดีได้ขนาดนี้ออกมาใส่ ก่อนจะหยิบเสื้อยืดและกางเกงขายาวออกมาสวมตามแล้วหยิบไดร์เป่าผมออกมาเป่าพอเป็นพิธี ภรัณยูเพิ่งจะกล้าหันหน้ากลับมาเมื่ออีกฝ่ายทิ้งตัวลงบนเตียงของตัวเองอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เล่นเอาคนที่นั่งอยู่บนเตียงตัวเด้งตามแรงสั่น
“กี่โมงแล้วเนี่ย” ร่างโปร่งถาม สมองยังไม่ตื่นดีจากการเผลอหลับไปอย่างไม่ได้คาดคิด
“เจ็ดโมงเช้าครับ” ทินกรยิ้มแฉ่ง แต่คำตอบนั้นทำเอาภรัณยูกระโดดแผล็วออกจากเตียงอย่างที่คนอืดอาดอย่างเข้าไม่เคยคิดฝันว่าจะทำได้แทบจะในทันที
“สายแล้วๆๆๆ” ชายหนุ่มพึมพำอย่างลุกลี้ลุกลนขณะมองหาโทรศัพท์และกุญแจรถของตัวเอง
“พี่ภัทร…” เสียงกลั้วหัวเราะดังขึ้นพร้อมกับเจ้าเด็กยักษ์ที่สวมกอดเขาจากด้านหลัง รวบแขนของคนที่ปัดนู่นยกนี่ไว้ไม่ให้ซุกซนไปมากกว่านี้ “วันนี้วันเสาร์ครับ”
คนลืมวันลืมคืนชะงัก ก่อนจะแถด้วยน้ำเสียงอับอาย
“ระ…รู้แล้วน่า วันนี้พี่มีธุระ…”
“ม่ายมีซ้ากหน่อย~” คนรู้ดีเอ่ยเสียงยานคาง “วีคที่แล้วพี่ภัทรบอกผมเองว่าเสาร์นี้พี่ภัทรว่างทั้งวัน”
ภรัณยูนึกย้อนไปถึงสัปดาห์ก่อนที่เจ้าเด็กจอมตื๊อโทรมาราตรีสวัสดิ์แล้วถือโอกาสตอนที่เขากำลังสะลึมสะลือง่วงนอนถามตารางชีวิตของเขา
‘เสาร์หน้าพี่ภัทรว่างมั้ยครับ?’
“อือ ก็ว่างแหละ ทำไมเหรอ?” คนที่กำลังง่วงเหงาหาวนอนถาม
“พอดีผมมีเรื่องอยากวานให้พี่ภัทรช่วยหน่อย พี่ภัทรว่างทั้งวันเลยรึเปล่าครับ?”
“อือ…ก็ว่างทั้งวันแหละ เดี๋ยวไปเป็นเพื่อน”
คนที่เปลือกตาจะปิดอยู่รอมร่อตัดบท ปล่อยให้คนที่โทรมาได้บอกราตรีสวัสดิ์ให้เสร็จสรรพก่อนตัดสายด้วยการเรียนรู้จากประสบการณ์ว่าหากตัดสายก่อนทินกรก็จะโทรมารังควาญเขาอยู่ดี
ที่จริงภรัณยูก็มีส่วนผิด ทั้งที่ปกติเขาจะปิดโทรศัพท์ก่อนนอนทุกครั้ง แต่หลังจากคืนที่ทินกรโทรมาเพื่อบอกราตรีสวัสดิ์คืนแรก ร่างโปร่งก็มักจะ‘เผลอ’เปิดโทรศัพท์ไว้เสมอ
“ก็…นั่นแหละ ธุระของซันไง พี่จะรีบกลับไปอาบน้ำแต่งตัว” ร่างโปร่งแถต่อ
“ถ้าเป็นธุระของผม พี่ภัทรไม่ต้องกลับไปที่คอนโดหรอกครับ” ทินกรฉีกยิ้ม “ผมมีชุดให้ยืม”
“ซัน ให้เป็นแบบวาดรูปให้พี่ก็เข้าใจนะ แต่ทำไมพี่ต้องใส่ชุดแบบนี้ด้วยล่ะ”
ภรัณยูถามอย่างไม่เข้าใจ ตอนนี้เขาอยู่ในเสื้อยืดตัวหลวมและกางเกงบอลที่อีกฝ่ายให้ยืมใส่ นั่งขัดสมาธอกอดหมอนรูปพระอาทิตย์ขนาดใหญ่บนเตียงของเด็กหนุ่มที่ลงทุนแบกเอาอุปกรณ์วาดภาพและขาตั้งเข้ามาในห้องนอนของตัวเองทั้งหมด ทินกรยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากของตัวเอง
“อย่าเพิ่งขยับครับพี่ภัทร มุมกำลังได้เลย”
เมื่ออีกฝ่ายพูดแบบนั้นคนเป็นแบบจึงไม่กล้าซักถามอะไรต่อ ทินกรเลือกวิชาวาดภาพเหมือนเป็นวิชาเลือกเสรี และทุกสองสัปดาห์อาจารย์จะสั่งหัวข้อให้นักศึกษาไปวาดเพื่อเป็นคะแนนเก็บ แต่ร่างโปร่งไม่รู้ว่าหัวข้อในครั้งนี้คือหัวข้ออะไร ทินกรถึงได้ต้องจำเพาะเจาะจงให้เขาเป็นแบบให้อย่างนี้
“เรียบร้อย! ขอบคุณมากเลยครับพี่ภัทร”
ทินกรเอ่ยหลังจากนายแบบจำเป็นต้องนั่งค้างท่าไว้เกือบชั่วโมง ถึงแม้จะเป็นท่าที่สบาย แต่นั่งขัดสมาธิไปนานๆเขาก็แอบชาขาเหมือนกัน ภรัณยูเหยียดขาออกอย่างเมื่อยขบ รอให้อีกฝ่ายเก็บรายละเอียดรูปของตนแล้วหมุนขาตั้งให้เขาได้เห็นภาพ
ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างอย่างตกตะลึง เขาไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะมีพรสวรรค์ด้านการวาดรูปถึงขนาดนี้ รูปของเขาดูราวกับภาพถ่ายขาวดำของตัวเองที่นั่งอยู่บนเตียง ทินกรเก็บรายละเอียดได้จนถึงแววตาง่วงงุนและรอยยับของเสื้อผ้าของเขา รวมไปถึงข้าวของที่ฉากหลังซึ่งหากเก็บรายละเอียดอีกนิดคงจะได้คะแนนเต็มจากอาจารย์เป็นแน่
“โห สวยจัง” ร่างโปร่งชมอย่างจริงใจ เรียกสีเลือดฝาดบนใบหน้าเด็กหนุ่มลูกเสี้ยวรัสเซียได้เป็นอย่างดี “ตกลงเขาให้วาดหัวข้ออะไรส่งเหรอ?”
“Perfect dream” ทินกรตอบพร้อมรอยยิ้ม
ความฝันที่สมบูรณ์แบบ…
คราวนี้ถึงตาภรัณยูได้หน้าขึ้นสีบ้าง ส่วนคนที่เพิ่งสารภาพกลายๆถึงภาพความฝันที่สมบูรณ์แบบของตัวเองอมยิ้มกับท่าทีขัดเขินที่มองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อของคนตรงหน้า
“ฝันแค่นี้ มักน้อยดีนะ” ร่างโปร่งพึมพำอย่างไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไร
“ฝันแค่นี้ผมยังไม่รู้เลยครับว่าจะเป็นจริงได้มั้ย”
ชั่วขณะหนึ่งภรัณยูเห็นแววเศร้าหมองในดวงตาทินกร ก่อนที่มันจะหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเด็กหนุ่มเอ่ยต่อเสียงใส
“พี่ภัทรหิวรึยังครับ? ลงไปดูกันดีกว่าว่าป้าแต้วทำอะไรกินเช้านี้”
ภรัณยูพยักหน้า เดินตามคนที่ทำเป็นยิ้มร่าเริงกลบเกลื่อนลงไปยังห้องอาหารชั้นล่างด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ
เด็กโง่… ขนาดนี้แล้วยังไม่รู้ตัวอีกรึไง
“ไม่มีใครอยู่บ้านเหรอ?”
ภรัณยูถามแล้วตักข้าวต้มหมูเข้าปาก นอกจากป้าแต้ว หัวหน้าแม่บ้านของที่นี่เป็นหญิงชราร่างท้วมที่เลี้ยงดูคุณหนูทั้งสามของบ้านทรัพย์ดำรงมาตั้งแต่เกิดที่เพิ่งกลับเรือนเล็กของตัวเองไปแล้ว ในบ้านใหญ่ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกจากทินกรและเขาเท่านั้น
“ครับ ปกติก็ไม่มีใครอยู่อยู่แล้ว”
ทินกรตอบอย่างไม่ใส่ใจ ภรัณยูมองไปรอบบ้านหลังใหญ่ที่มีเพียงเฟอร์นิเจอร์แต่ไม่มีบรรยากาศที่เหมาะจะให้เรียกว่าบ้านสักนิดแล้วหันกลับมาหาคุณหนูเล็กของบ้านที่ดูไม่ประหลาดใจกับสภาพแบบนี้
“ก่อนที่จะไปอเมริกาก็อยู่คนเดียวแบบนี้ตลอดเหรอ?”
“เปล่าครับ แต่ก่อนผมค้างที่โรงพยาบาลกับแม่” รอยยิ้มเศร้าปรากฏบนริมฝีปากของอีกฝ่ายวูบหนึ่งเมื่อพูดถึงมารดา “ผมติดแม่น่ะครับ”
ภรัณยูนึกย้อนไปถึงที่พนักงานในบริษัทเคยพูดกันว่าชีวิตวัยเด็กของทินกรหมดไปกับการนั่งเฝ้าข้างเตียงมารดา ทำให้ไม่เคยได้ไปเที่ยวเล่นเหมือนเด็กคนอื่นในวัยเดียวกัน
“นี่ ไว้ว่างๆเราหาเวลาไปเที่ยวต่างจังหวัดกันมั้ย?”
“เอ๊ะ…ได้เหรอครับ?” เจ้าตูบยักษ์หูหางกระดิกขึ้นมาทันทีที่ได้ยินดังนั้น ก่อนจะหรี่ตาลงอย่างจับผิดเมื่อฉุกคิดขึ้นได้ “ทำไมจู่ๆพี่ภัทรถึงได้ชวนผมล่ะครับ?”
“ก็…เห็นพี่แจนพูดว่าแต่ก่อนไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหน…” ภรัณยูตอบอ้อมแอ้ม ทั้งที่เป็นความจริงแท้ๆ ไม่รู้เขาจะลุกลี้ลุกลนทำไม “เขาวานพี่มานานแล้ว เพิ่งนึกได้”
“อ๋อ…” สีหน้าคนที่ดี๊ด๊าอยู่เมื่อครู่สลดลงทันตา ก่อนจะยิ้มให้เขาอีกครั้ง “ไม่เป็นไร แค่พี่ภัทรอยากไปกับผมผมก็ดีใจแล้ว”
“…ไม่ได้อยากไปซักหน่อย”
ทั้งที่รู้ว่าคำพูดนั้นจะทำร้ายความรู้สึกของอีกฝ่าย แต่รู้ตัวอีกทีก็เผลอแก้ตัวไปเสียแล้ว ภรัณยูเหลือบมองคนที่หงอยลงไปอีกครั้ง แต่เลือกที่จะหุบปากเงียบแล้วทานอาหารเช้าต่อ
เขาบอกแล้วไง…การที่ต้องใส่ใจว่าคนอื่นคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา มันไม่ใช่ทางของเขาสักนิด
“แต่…ถ้าอยู่บ้านคนเดียวแล้วเหงา จะไปกินกาแฟแถวคอนโดพี่ก็ได้นะ เดี๋ยวไปนั่งเป็นเพื่อน”
แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะเสนอออกไป ภรัณยูต้องยอมรับว่าตนรู้สึกอุ่นวาบในอกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าคมหล่อเหลาของเด็กหนุ่ม
“นั่งเป็นอย่างอื่นไม่ได้เหรอครับ?”
“ได้คืบจะเอาศอกนะเรา พอเลย”
ภรัณยูดันใบหน้าที่ยื่นมาใกล้ตนอย่างทะลึ่งทะเล้นไปให้ห่าง แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่เข้าใจสำนวนที่ตนใช้ แต่ใบหน้างุนงงของทินกรก็ดูน่ารักไปอีกแบบสำหรับเขา
“ผมไม่อยากเอาศอกซะหน่อย ผมอยากเอา…โอ๊ย!” คนอายุน้อยกว่าโอดครวญเมื่อโดนมะเหงกจากผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างๆ “…เอาใจใส่พี่ภัทร แค่นั้นเอง ทำไมต้องเขกหัวผมด้วยอ่า”
“พี่หมั่นไส้”
ภรัณยูตอบง่ายๆเบือนหน้าหนีรอยยิ้มรู้ทันของทินกรแล้วก้มลงทานอาหารต่อโดยไม่สนใจอีกฝ่ายอีก
“เหม่ออะไรของมึงนักหนาวะ? นี่กูเรียกมาช่วยไม่ได้เรียกมาเพ้อหาเมีย”
พายุบ่นเพื่อนตัวโตพอกันที่นั่งกอดกระเป๋าเป้ตัวเองยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เป็นสาวน้อยแรกรุ่น วันนี้เป็นวันถ่ายรูปติดโปสเตอร์ของเหล่าเฟรชชี่เดือนคณะเพื่อโปรโมทการประกวดเดือนมหาวิทยาลัย อันที่จริงคนที่ได้รับคะแนนโหวตมากที่สุดในคณะคือทินกร แต่เนื่องจากเจ้าตัวไม่อยู่ในวันที่ทำการโหวต เด็กหนุ่มจึงถูกตัดสิทธิ์ไปโดยปริยาย ซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องดีสำหรับร่างสูง เพราะสิ่งที่ทินกรเกลียดยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดคือการตกเป็นจุดสนใจ เคราะห์กรรมนั้นจึงไปตกกับเพื่อนที่ได้คะแนนโหวตเป็นอันดับสองอย่างพายุแทน ซึ่งถึงแม้เจ้าตัวจะไม่ได้ไม่พอใจอะไร แต่เด็กหนุ่มยังคงไม่ยอมให้ทินกรลืมบุญคุณที่ตนขึ้นมารับตำแหน่งแทนสักครั้ง
“กูแต่งหน้าไม่เป็น ให้มีนแต่งสิ” ทินกรโบ้ยไปยังเพื่อนต่างคณะตัวเล็กที่โดนเด็กคณะจอมเอาแต่ใจลากมาหลังทานอาหารกลางวันเสร็จอีกราย
ร่างเล็กสะดุ้งแล้วส่ายหน้าพรืด
“ระ…เราก็ทำไม่เป็น…”
“แค่ลงรองพื้นกับแป้งเองค่ะน้อง เดี๋ยวที่เหลือพี่ไปทำต่อ ช่วยพี่หน่อยนะลูก แค่แต่งหน้าดาวพี่ก็จะไม่ทันแล้วเนี่ย”
รุ่นพี่ที่แต่งหน้าให้ดาวคณะมือเป็นระวิงหันมาขอร้องอีกแรง คนขี้เกรงใจอย่างมีนาจึงทำได้เพียงพยักหน้าอย่างจำยอมแล้วลุกไปหยิบขวดรองพื้นกับแปรงแต่โดยดี
“เอ่อ…ซัน…”
ร่างเล็กหันมาขอความช่วยเหลือจากทินกรทางสายตา เด็กหนุ่มลูกเสี้ยวรัสเซียลุกมาช่วยเพื่อนพิจารณาวิธีใช้ ก่อนจะไหวไหล่
“คงเหมือนทาสีบ้านแหละมั้ง ให้มันเป็นสีเดียวกันก็พอ“
มีนาพยักหน้าอย่างเคลือบแคลงใจ แต่ก็บีบครีมรองพื้นเฉดสีผิวของพายุแล้วใช้นิ้วแต้มไปตามใบหน้าของเพื่อนตัวโตที่นั่งอยู่บนเก้าอี้แต่งหน้า ถึงแม้อีกฝ่ายจะนั่งอยู่ แต่ช่วงขายาวๆที่ขวางอยู่ทำให้มีนาต้องโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อแต้มครีมสีเนื้อเข้มลงบนใบหน้าร่างสูง พายุเดาะลิ้นอย่างขัดใจ แยกขาออกแล้วดึงให้เพื่อนตัวเล็กเข้ามาใกล้จนแทบจะนั่งอยู่บนตักของตนเพื่อให้สะดวกต่อการแต่งหน้า
“โฮ่ เดี๋ยวนี้ช่างแต่งหน้าเขาเซอร์วิสกันถึงที่แบบนี้เลยเหรอ?”
เสียงของรุ่นพี่หัวทองดังขึ้นจากด้านหลังของพวกเขา ทินกรและเพื่อนทั้งสองหันกลับไปไหว้พี่ปีสามของคณะบริหารทั้งสองคนที่เพิ่งเดินเข้ามา ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นลุงรหัสของทินกรและเป็นเดือนมหาวิทยาลัยเมื่อสองปีก่อน ส่วนอีกคนที่ย้อมผมสีทองและมีรอยยิ้มกวนๆเป็นเอกลักษณ์ประดับอยู่บนใบหน้านั้นชื่อเหนือฟ้า เป็นลุงรหัสของพายุ
“พี่กล้า พี่เหนือ สวัสดีครับ”
กวินภพ หรือต้นกล้า อดีตเดือนมหาวิทยาลัยพูดน้อยต่อยหนักยกมือรับไหว้น้องๆ แต่ดวงตาสีรัตติกาลกลับมองเลยข้ามหัวพวกเขาไปเสียอย่างนั้น ด้วยความสงสัย ทินกรจึงหันไปมองตามสายตาของลุงรหัส ที่อีกฟากของห้อง ในโซนของคณะแพทยศาสตร์ เดือนคณะลูกครึ่งหัวทองตาฟ้าพิมพ์นิยมของคนชอบฝรั่งนามว่าแทนไทยกำลังนั่งคุยกับเด็กหนุ่มร่างเล็กอีกคนซึ่งสวมแว่นหนาเตอะปิดบังใบหน้าไปเสียครึ่ง แถมทรงผมกาละครอบที่เขาไม่เห็นใครทำหลังจากเขามหาวิทยาลัยยิ่งทำให้อีกฝ่ายดูจืดชืดเมื่อยืนอยู่ท่ามกลางดงดอกไม้งาม
โฮ่ สเป็กพี่กล้าเป็นเด็กลูกครึ่งเหรอเนี่ย?
ทินกรเอียงคออย่างประหลาดใจ ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าคนอย่างแทนไทยไม่น่าใช่สเป็กของลุงรหัสของเขากันนะ
“อย่ามอง”
เสียงเข้มของกวินภพที่มักจะพยายามพูดจาดีๆกับเขาเสมอเอ่ยห้วนๆ ทำเอาทินกรที่ยืนเหม่ออยู่สะดุ้งแล้วรีบหันกลับมาทันที
แค่มองก็หวง…พี่เราน่ากลัวไปไหนเนี่ย
“เอ้าๆ ไอ้กล้า น้องหัวหดหมดแล้วเนี่ย” เหนือฟ้าเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ “งี้แหละไอ้พวกหมาหวงก้าง ระวังเถอะแมวจะคาบไปแดกซักวัน”
ทินกรแอบชำเลืองมองไปทางแทนไทยอีกครั้ง ร่างสูงนั่งหลับตาให้ช่างแต่งหน้าลงเครื่องสำอางค์ แต่เด็กหนุ่มร่างเล็กที่ยืนอยู่ข้างกันกำลังมองตรงมาทางกวินภพที่หันกลับไปคุยกับเหนือฟ้า เมื่อดวงตาภายใต้กรอบแว่นหนาเตอะสบกับทินกร เด็กคนนั้นรีบเบือนหน้าหนีสายตาใคร่รู้ของเขาอย่างมีพิรุธ
หืม…น่าสนใจ
ทินกรเลิกคิ้ว ก่อนจะรีบหันกลับมาเมื่อได้ยินเสียงเหนือฟ้าเรียกชื่อตัวเอง
“ซัน ไอ้ยุ เดี๋ยวพรุ่งนี้พวกพี่พาไปเลี้ยงชาบูหน้ามอนะ ห้ามเบี้ยวนะเว้ย”
คนที่ชอบเบี้ยวนัดเลี้ยงสายจนรุ่นพี่เอือมระอายิ้มเจื่อนพร้อมพยักหน้า ยังไงเสียพรุ่งนี้เขาก็ไม่มีธุระอะไรอยู่แล้ว
“งั้นพวกพี่ไปละ แค่มาให้กำลังใจไอ้คุณเดือนคณะ”
เหนือฟ้ายีผมที่ยังไม่จัดทรงของพายุอย่างหมั่นไส้ สายรหัสนี้สนิทสนมกลมเกลียวกันเสียจนให้ความรู้สึกเหมือนเป็นพี่น้องที่คลานตามกันมา
ไม่สิ ถ้าจะเปรียบแบบนั้น คงไม่สามารถใช้วลีนั้นกับคนในบ้านของเขาได้…
“สวัสดีครับพี่”
เด็กหนุ่มทั้งสองรวมถึงมีนายกมือไหว้รุ่นพี่ ก่อนที่ร่างเล็กที่เพิ่งเกลี่ยรองพื้นได้เนียนจนเป็นที่พอใจของตัวเองจะลงแป้งฝุ่นให้เพื่อนอย่างขะมักเขม้นแล้วผละออกจากคนที่ใช้แขนรั้งเอวบางไว้หลวมๆเพื่อไม่ให้หงายตกลงจากตักของตนพร้อมเอ่ยขอตัว
“งั้นเราไปก่อนนะ พอดีมีนัดต่อ…”
“โห่ เหม็นความรักว่ะ”
พายุล้อ คนโดนแซวสะดุ้ง ปฎิเสธด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“กะ…ก็บอกว่าไม่ใช่ไง…”
“งั้นเดี๋ยวฉันไปด้วย ว่าจะออกไปซื้อน้ำพอดี”
ทินกรเอ่ย ก้มลงซ้ายขวาตบขากางเกงเพื่อหากระเป๋าเงินและโทรศัพท์ของตน จากหางตา เขาสังเกตว่ามีนาพยักหน้าอย่างเกร็งๆ ดูไม่เต็มใจที่จะให้เขาเห็น‘คนที่ไม่ใช่แฟน’ที่ว่านี้เท่าไหร่
“ซัน…”
มีนาเอ่ยเรียกร่างที่เดินอยู่ข้างตัวเองอย่างกล้าๆกลัวๆ เขายังไม่มั่นใจว่าทินกรเป็นเพื่อนของตน หรือเพียงแค่ยอมให้มีนาติดไปไหนมาไหนด้วยเพราะเห็นแก่พายุ ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่ได้สนิทกับร่างเล็กขนาดนั้น
“หืม? ว่าไงเหรอ?”
ทินกรหันมาหาคนตัวเล็กข้างๆ ถึงแม้ความแตกต่างระหว่างความสูงของคนทั้งคู่จะไม่ได้ยิ่งใหญ่เท่าของธีรเชษฐ์กับมีนา แต่ร่างสูงก็ยังคงต้องก้มหน้าคุยกับอีกฝ่ายอยู่ดี
“ซันเป็นลูกครึ่งอะไรเหรอ?”
ด้วยโครงหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับธีรเชษฐ์จนน่าตกใจ มีนาคิดว่าอย่างน้อยที่สุดคนทั้งคู่อาจจะมีเชื้อสายเดียวกัน ถึงแม้ใบหน้าของทินกรจะอ่อนโยนกว่าคนอายุมากกว่าอยู่มาก แต่มีบางมุมที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรมีนาก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายดูคล้ายกับธีรเชษฐ์อย่างบอกไม่ถูก
“ลูกเสี้ยว” ทินกรครุ่นคิดก่อนตอบ “เสี้ยวรัสเซียกับเสี้ยวจีน แต่ส่วนใหญ่ก็มีแต่คนทักว่าหน้าฝรั่งอ่ะนะ”
“อ๋อ…”
มีนาพยักหน้าเข้าใจ อาจเป็นไปได้ว่าธีรเชษฐ์ก็มีเชื้อสายของหลายชาติเช่นกัน ทำให้คนทั้งคู่หน้าตาคล้ายกัน
“นี่ มีน…” ทินกรขมวดคิ้วเมื่อคนที่ถูกเรียกชื่อสะดุ้งเล็กน้อยอย่างตื่นๆ “ไม่ต้องเกร็งเวลาอยู่ใกล้เราขนาดนั้นก็ได้นะ เราไม่กัดหรอก”
ข้อเสียอีกอย่างของความคล้ายคลึงของคนทั้งสองทำให้บางครั้งมีนาก็รู้สึกเกร็งเมื่ออยู่ใกล้ทินกร ยิ่งสีหน้าไม่สบอารมณ์ของร่างสูงในครั้งแรกที่เจอกับเขายิ่งไม่ช่วยให้มีนาสบายใจเมื่ออยู่กับอีกฝ่ายสักนิด
“ขะ…ขอโทษ…”
“ฉันสิต้องขอโทษ คงทำให้มีนกลัวตั้งแต่วันแรกเลย” ทินกรโอบไหล่ร่างบางเข้ามาใกล้พร้อมรอยยิ้มกว้าง “ต่อไปนี้ไม่ต้องกลัวแล้วเนอะ เพื่อนกันๆ”
มีนาพยักหน้าอย่างขัดเขินกับท่าทีสนิทสนมของเพื่อนตัวโต แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า หากธีรเชษฐ์ยิ้ม ทุกสิ่งรอบตัวร่างสูงจะดูสดใสเหมือนกับที่เกิดขึ้นกับทินกรในตอนนี้หรือไม่
Rrrrrr
“อ๋า พี่ภัทรโทรมา”
เด็กหนุ่มตัวโตผละออกจากมีนาทันทีที่โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงสั่น โบกมือลามีนาแล้วเดินแยกเข้าไปในโรงอาหาร หากโลกดูสดใสเมื่อทินกรยิ้มก่อนหน้านี้ แสงสว่างจากรอยยิ้มของร่างสูงในตอนนี้คงสามารถแผดเผาคนมองจนไหม้เป็นจุณได้
ปริ๊น!
เสียงบีบแตรสั้นๆจากรถสปอร์ตคันหรูที่เพิ่งเลี้ยวเข้ามาในเขตมหาวิทยาลัยเรียกความสนใจจากมีนาไปจากแผ่นหลังของร่างสูง เด็กหนุ่มรีบเปิดประตูรถเข้าไปนั่งข้างในทันทีด้วยกลัวว่าคนที่ผ่านไปมารวมถึงทินกรจะสังเกตเห็น
“ช้า”
เจ้าของรถเอ่ยสั้นๆ เสียงเข้มฟังดูหงุดหงิดใจอย่างไม่ปิดบัง แค่ฟังดูก็รู้แล้วว่าที่ทำงานของอีกฝ่ายคงมีอะไรที่ไม่ได้ดั่งใจร่างสูงตามเคย มีนาพึมพำเอ่ยคำขอโทษแม้จะรู้ดีว่าเมื่อครู่ไม่ใช่ความผิดของตน รถยนต์คันหรูแล่นออกจากมหาวิทยาลัยเช่นทุกวัน มีนาคุ้นชินกับอารมณ์แปรปรวนของชายหนุ่มพอสมควรแล้วจึงไม่รู้สึกตกใจอะไรกับสีหน้าบึ้งตึงของอีกฝ่ายนัก
“กินอะไรมารึยัง?”
“…ทานแล้วครับ” เขาไม่ได้โกหก เขาทานอาหารเที่ยงกับเพื่อนไปแล้วจริงๆ
มีนาไม่เคยมีความคิดที่จะอดอาหาร ที่เขาไม่ทานเป็นเพราะเขาไม่มีอะไรให้ทาน เงินทุกบาททุกสตางค์ที่เขาได้มา มีนาทุ่มไปกับค่ารักษาพยาบาลและค่าอาหารของยายและมารดา หากหญิงทั้งสองยังไม่อิ่ม มีนาก็จะไม่ยอมทาน
คนเราอดอาหารได้เจ็ดวันโดยไม่ตาย
ร่างเล็กถือข้อมูลนั้นในการดำรงชีวิตมาโดยตลอด ถึงแม้ในตอนนี้ทั้งแม่และยายของเขาจะมีมากเกินกว่าพวกเขาจะนึกฝันด้วยความเมตตาของธีรเชษฐ์ แต่มีนาก็ยังเลือกที่เก็บเงินทุกบาททุกสตางค์ที่สามารถเจียดได้ ทั้งที่ได้รับเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันจากร่างสูง เงินที่ขายพวงมาลัยได้ในตลาด และเงินที่เขาได้จากลูกค้าในตลาดที่เคยรู้จักกับมารดาแล้วอยากช่วยเหลือ ไว้ในบัญชีที่แม้ในตอนนี้จะมีอยู่เพียงน้อยนิด แต่เขาได้แต่หวังว่าก่อนเขาจะตายเขาจะมีเงินมากพอที่จะสามารถปลดหนี้และทดแทนบุญคุณที่อีกฝ่ายมีต่อเขาและครอบครัวได้
“วันนี้ฉันต้องกลับไปบริษัท นอนไปเลยก็ได้ ไม่ต้องรอ”
มีนาพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย ธีรเชษฐ์เลี้ยวรถเข้ามาจอดที่หน้าคอนโดของตัวเอง มีนาพนมมือไหว้ชายหนุ่มอย่างนอบน้อม แต่ก่อนที่จะเปิดประตูรถออกไป ร่างเล็กไม่รู้ว่าตนคิดอะไรอยู่ถึงได้เอื้อมมือไปแตะที่หลังมือของร่างสูงเบาๆ “ไปดีมาดีนะครับ”
ธีรเชษฐ์เลิกคิ้ว ก่อนจะพลิกหงายฝ่ามือแล้วดึงข้อมือเล็กให้คนตัวเล็กเซมาหาตน มีนาหลับตาลงเมื่อริมฝีปากได้รูปบดจูบลงบนริมฝีปากนุ่มหยุ่นรูปกระจับของตัวเอง ถึงแม้ธีรเชษฐ์จะดึงเขามากอดหรือกดจูบลงบนซอกคอขาวอยู่บ่อยครั้ง แต่นอกจากคืนแรกของพวกเขาแล้ว มีนาคิดว่าอีกฝ่ายไม่เคยจูบเขาแบบนี้อีก
ซึ่งร่างเล็กถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะเขาไม่มั่นใจว่าตัวเองจะสามารถทนความรู้สึกวาบหวามในช่องท้องขณะที่ลิ้นสากหยอกล้อกับลิ้นของเขาอย่างชำนาญได้อีกกี่ครั้ง
“ไปได้แล้ว ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจไม่ไปประชุม”
ธีรเชษฐ์กระซิบเสียงพร่า แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายเพียงแค่หยอกให้เขาตกใจเล่น แต่มีนาก็ยังคงรีบเปิดประตูลงจากรถเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ร่างเล็กกอดกระเป๋าเป้กลางเก่ากลางใหม่ของตนมองตามรถสปอร์ตคันหรูที่วิ่งออกไปด้วยหัวใจที่ยังคงเต้นไม่เป็นส่ำ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในคอนโดราคาหลายล้านที่เขาไม่เคยนึกฝันว่าจะได้ย่างกรายเข้ามาในชีวิต
--------