Chapter 4: เอาภัทรขี้เมาหนึ่งที่ครับ
ถามว่าเมื่อคืนพวกเขาได้นอนด้วยกันมั้ย
หลังจากคำชวนที่ออกจากปากโดยไม่ผ่านสมองหลุดออกไป ภรัณยูก็ฝากรอยรักลงบนกระโหลกของเขาด้วยกำปั้นดังโป๊กเบ้อเริ่ม
‘อูย…’
‘สมน้ำหน้า เจ็บแล้วจะได้จำ’ ร่างโปร่งกอดอกมองคนที่ตนเพิ่งประทุษร้ายด้วยแววตาพึงพอใจ
‘ผมแค่กลัวพี่เดินทางลำบาก มันดึกแล้ว’ ทินกรรีบแก้ความเข้าใจผิด แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่เชื่อซักนิด
‘ไปอาบน้ำนอนได้แล้ว พรุ่งนี้มีเรียนแต่เช้าไม่ใช่เหรอ’ ชายหนุ่มคว้าประเป๋าของตัวเองมาสะพายไว้ที่ไหล่แล้วเปิดประตูห้อง ภรัณยูยืนนิ่งราวกับชั่งใจอะไรบางอย่างอยู่ ก่อนจะหันกลับมาหาเขา
‘ฝันดี’
‘ฝันดีครับพี่ภัทร’
ร่างสูงยิ้ม มองตามร่างของคนอายุมากกว่าเดินลงบันไดไปจนลับตา แล้วทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างเหนื่อยล้า ดวงตาสีควันบุหรี่เหม่อมองเพดานห้อง
วันนี้...พี่ภัทรมาง้อเรารึเปล่านะ
ไม่ใช่หรอกมั้ง?
“เฮ้อ..."
“จะถอนหายใจอีกนานมั้ย สร้างมลพิษให้โลก”
พายุ อัครพันธุ์ ลูกชายเจ้าของไร่ผลไม้ทางภาคเหนือ เพื่อนคนเดียวที่เขารู้จักในคณะที่นั่งกอดเข่าอยู่ข้างๆเขาถาม แต่สายตาของเด็กหนุ่มผิวเข้มให้ความสนใจกับรุ่นพี่ที่กำลังอธิบายกิจกรรมรับน้องของคณะที่ดูอย่างไรก็เหมือนรับน้องมหาวิทยาลัยที่ซอยย่อยให้มีคณะน้อยลงมากกว่าทางโทรโข่งอยู่หน้าแถวของเด็กปีหนึ่งคณะบริหารที่นั่งเรียงกันเป็นแถวตอนจนเต็มพื้นที่
“น้องๆคะ อย่างที่ทราบว่าคณะของเราต้องพบปะกับผู้คนมากมาย ก่อนหน้านี้พวกเราไปร่วมกิจกรรมกับคณะอื่นๆมาเยอะแล้วเนอะ รู้กันนะเด็กๆว่าต้องทำตัวยังไง วันนี้เราจะทำกิจกรรมร่วมกับคณะแพทย์นะคะ ดูแลเพื่อนๆหมอกันด้วยน้า”
ฮิ้วววว
เสียงโห่แซวจากนักศึกษาชายดังไปถึงบริเวณข้างๆของโถงคณะ พี่ๆปีสองที่ยืนล้อมเด็กคณะแพทย์ส่ายหน้าอย่างระอา บางคนก็โห่แซวสาวบริหารกลับมาบ้างพอให้ได้หัวเราะกัน ด้วยความที่เป็นคนตัวสูง ซันจึงมองข้ามหัวคนอื่นไปได้ไกลพอสมควร สายตาของเด็กหนุ่มพลันเหลือบไปเห็นร่างที่คุ้นตาอีกร่าง มีนานั่งอยู่ท้ายแถว ร่างเล็กนั่งเหม่อไม่สนใจที่รุ่นพี่ของตนกำลังประชาสัมพันธ์ ไม่ได้คุยกับเพื่อนหรือเล่นโทรศัพท์เหมือนคนอื่น ดูแตกต่างกับเด็กอัธยาศัยดีที่เขาเจอในวันมอบตัวอยู่มากโข
“พายุ…มีนเป็นอะไรรึเปล่า”
ร่างสูงพยักเพยิดไปยังร่างที่ยังคงไม่สนใจสภาพรอบตัว
“จะไปรู้ได้ไง ไม่ได้นั่งทางในสื่อจิตถึงกันได้”
หลังจากที่ได้รู้จักกับพายุ ทินกรถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นหนึ่งในมนุษย์ที่ออดอ้อนบาทาได้อย่างน่ารักน่าเอ็นดูเป็นที่สุด ที่มันตีหน้านิ่งทำเป็นขรึมเพราะต้องการสร้างความประทับใจแรกที่ดีให้กับตัวเอง แต่แค่อยู่กับมันเกินสิบนาทีเขาก็รู้สึกว่าฝ่าเท้าคันยุบยิบไปหมด ทั้งที่ทินกรคิดว่าตนเป็นคนใจเย็นกว่าคนในครอบครัวพอสมควร
"ได้เวลาแล้ว น้องๆลุกมานั่งรวมกันเลยค่ะ มาทำความรู้จักกับเพื่อนๆแพทย์กัน~"
ทั้งสองคณะลุกขึ้นพร้อมกัน เดินตามพี่ที่ถือป้ายคณะไปอย่างไม่ค่อยจะเป็นระเบียบนักแต่ก็ยังเกาะกลุ่มกันดี ซันแทรกตัวผ่านกลุ่มคนไปทางที่เห็นร่างขาวของเพื่อนต่างคณะนั่งอยู่เมื่อครู่ มีนาที่หันมาทางเขาพอดีทำหน้างุนงงเมื่อเห็นร่างสูงเดินตรงมาหา
"ซัน..." เด็กหนุ่มทักเสียงเบา จำได้ว่าคนตรงหน้าไม่ค่อยชอบเขาเท่าไหร่นัก
"ไหวมั้ย นายดูเพลียๆนะ"
เด็กหนุ่มผมดำถามอย่างเป็นห่วง เดินไหลไปตามแถว เขาสังเกตว่าคนที่เดินอยู่ข้างๆนิ่วหน้าอย่างเจ็บปวดแทบทุกฝีก้าว กัดฟันแน่นเมื่อถูกคนเซมาชนจากการเบียด พายุที่เดินตามเขามายืนประกบไม่ให้ร่างเล็กโดนชนปลิวไป
"เป็นอะไร ทำหน้าอย่างกับคน..." ดวงตาสีควันบุหรี่ตวัดมองเพื่อนเป็นเชิงปราม พายุรีบเปลี่ยนคำพูด "...ไม่ได้นอน"
"คือ..เมื่อคืนเราตื่นเต้น เลยนอนไม่หลับน่ะ" มีนายิ้มเจื่อน "เราไม่เป็นไรหรอก"
"น้องๆไม่คุยกันนะครับ" รุ่นพี่ที่คุมแถวดุ โบกมือไล่ให้เด็กปีหนึ่งรีบๆนั่งให้เรียบร้อยเพื่อให้ทุกอย่างไปตามกำหนดเวลา ซันเลือกนั่งข้างคนตัวเล็กด้วยกลัวว่าเด็กหนุ่มจะเป็นลมล้มพับไปเสียก่อน
"มีน...ฉันถามอะไรนายตรงๆได้มั้ย"
คนที่นั่งเหม่ออีกครั้งหลังจากได้ที่นั่งเป็นหลักแหล่งหันกลับมาหาเขางงๆ
"เมื่อคืน...นายไม่ได้โดนทำอะไรที่นายไม่เต็มใจใช่มั้ย"
"!!!" ดวงตากลมโตเบิกกว้าง คนตัวเล็กกว่ามีท่าทีลนลานเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย "พูด...พูดอะไรน่ะ เราไม่เห็นรู้เรื่อง"
เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่เต็มใจจะพูด ทินกรจึงหยิบยาแก้อักเสบกับยาลดไข้ที่พกติดตัวไว้ออกมา
"กินก่อนจะเป็นอะไรไป เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก"
มีนรับแผงยาทั้งสองมาเงียบๆ แต่การกระทำของคนทั้งคู่ไม่อาจหลุดรอดสายตาพี่ๆที่คุมฐานไปได้
"ฮั่นแน่ สองคนทำอะไรกันเอ่ย ออกมาเล่าให้เพื่อนฟังซิ ออกมาๆๆ"
พี่ๆสันทนาการตีกลองบิวท์อารมณ์ ทินกรลุกขึ้นยืนอย่างช่วยไม่ได้ แต่เสียงร้องตกใจของพายุทำให้เขาหันขวับกลับไปมอง
"เฮ้ย! มีนเป็นไร" พายุเขย่าเพื่อนที่จู่ๆก็ล้มพับลงไป ดีที่เขารับอีกฝ่ายไว้ได้ทันก่อนศีรษะจะกระแทกพื้น
"พาไปห้องพยาบาลก่อน" ทินกรบอกพายุ เพื่อนผิวเข้มพยักหน้าแล้วช้อนตัวร่างเล็กที่ยังไม่ได้สติเดินไปยังโต๊ะฝ่ายพยาบาลโดยเด็กหนุ่มเคลียร์เส้นทางให้ท่ามกลางเสียงฮือฮาของเพื่อนๆจากทั้งสองคณะ
"โห เหงื่ออกเต็มเลย พี่ว่าไปโรงพยาบาลมั้ย"
พี่ที่ประจำฝ่ายพยาบาลบอกอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นร่างบางที่หน้าซีดเหงื่อกาฬแตกพลั่กอยู่ในอ้อมแขนของพายุ
"ไม่...ไม่เป็นไรครับ นอนพักก็น่าจะหาย"
มีนที่เริ่มรู้สึกตัวปฎิเสธเสียงอ่อน ซันที่เข้าใจว่าอีกฝ่ายไม่อยากถูกตรวจร่างกายจึงเอ่ยสมทบ
"ผมว่าให้กลับไปนอนบ้านดีกว่านะครับ นายมีใครมารับได้มั้ย?"
มีนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า
"ถ้างั้นน้องๆกลับเข้าไปทำกิจกรรมเถอะค่ะ เดี๋ยวพี่อยู่เป็นเพื่อนน้องเอง”
รุ่นพี่ประจำฝ่ายพยาบาลเอ่ยเป็นเชิงไล่ ทินกรกับพายุมองหน้ากัน ก่อนจะหันมาถามย้ำเป็นครั้งสุดท้าย
“มีคนมารับแน่นะ”
“อื้อ ไม่ต้องห่วงหรอก”
เด็กหนุ่มยิ้มให้เพื่อนทั้งสองสบายใจ แม้จะไม่รู้ว่าคนที่ว่าจะมารับได้จริงๆรึเปล่า
เมื่อเพื่อนทั้งสองกลับเข้าไปทำกิจกรรมต่อ คนป่วยหยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดที่ธีรเชษฐ์สั่งให้พกติดตัวไว้เมื่อเช้าออกมากดหาเบอร์โทรศัพท์เบอร์เดียวที่ถูกบันทึกไว้ในเครื่องภายใต้ชื่อ ‘Chase’
“สวัสดีครับคุณเชษฐ์...”
“ฉันบอกให้เลื่อนนัดลูกค้าไปไง!”
“ท่านประธานพูดเหมือนมันทำได้ง่ายๆอย่างนั้นแหละครับ!”
“ถ้าฉันจ้างเลขามาทำงานง่ายๆฉันจ้างเด็กประถมมาทำก็ได้!”
ภรัณยูชะงักมือที่กำลังจะเคาะประตูห้องของท่านประธาน เสียงทะเลาะของธีรเชษฐ์และเลขาหนุ่มที่มีข่าวลือหนาหูถึงความสัมพันธ์ที่เกินเลยไปมากกว่าคำว่าเจ้านายกับลูกจ้างทำให้ภรัณยูไม่กล้าที่จะรบกวน โชคดี(?)ของเขาที่ประตูห้องถูกเปิดออกโดยมธุวันซึ่งทำหน้าบอกบุญไม่รับมากกว่าปกติก่อนที่เขาจะได้ตัดสินใจว่าควรทำอย่างไร
“มีอะไรครับ” เสียงเย็นประดุจน้ำแข็งขั้วโลกเหนือถาม ถึงแม้อีกฝ่ายจะเด็กกว่าเขาเป็นสิบปี แต่สายตาของอีกฝ่ายในตอนนี้ทำให้ภรัณยูแทบจะก้มลงไปกราบขอขมาที่ตนมายืนขวางหูขวางตาชายหนุ่ม
“เอ่อ...เอกสาร...”
“วางไว้ที่โต๊ะผมครับ” ชายหนุ่มบอกสั้นๆแล้วเดินไปยังลิฟต์ส่วนตัวของท่านประธานด้วยรังสีอำมหิตที่ทำให้คนเดินสวนถอยกรูดชิดผนังเป็นแถบ
“คุณภัทร”
เจ้าของชื่อหันกลับมาหาเจ้านายของตน ธีรเชษฐ์ที่มีสีหน้าไม่สบอารมณ์อย่างสูงยัดแฟ้มเอกสารหนาเป็นปึกสองเล่มใส่มือเขาแล้ววางซองเอกสารสีน้ำตาลปึกหนาทับลงมาอีกทีอย่างรีบร้อนโดยไม่สนใจคนที่เซวูบเพราะกะน้ำหนักไม่ทันเลยแม้แต่น้อย
“บ่ายสองไปรับทินกรที่มหาลัยแทนผมให้ที วันนี้เขามีคุยงานลูกค้ากับผม แต่ผมมีธุระ”
“เอ๊ะ แล้วรายละเอียดงาน...”
“อยู่ในนั้นนั่นแหละ ฝากด้วยนะ” ร่างสูงเดินจ้ำอ้าวไปยังลิฟต์ที่มธุวันเข้าไปก่อนหน้านี้ ในมือกำโทรศัพท์มือถือไว้แน่น ร่างโปร่งได้แต่มองตามอีกฝ่ายไปอย่างมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วก้มมองนาฬิกาข้อมือของตนที่ถูกเอกสารนับร้อยแผ่นบังอยู่อย่างทุลักทุเล
“เฮ้ย!บ่ายโมงครึ่งแล้ว!” ภรัณยูรีบหอบข้าวของทั้งหมดวิ่งไปยังลิฟต์พนักงานอย่างรวดเร็ว
จะทันมั้ยเนี่ย?!
มีนาไม่มั่นใจว่าตัวเองทำถูกหรือไม่ที่โทรเรียกธีรเชษฐ์ออกมาแบบนี้
‘ถ้ามีเรื่องฉุกเฉินก็โทรหาฉันแล้วกัน’ ชายหนุ่มสั่งเขาไว้แบบนี้เมื่อเช้า
อย่างนี้มันเข้าข่ายเรื่องฉุกเฉินมั้ยนะ?
"อ้าว พี่น้ำอุ่น สวัสดีค่ะ มาทำอะไรคะเนี่ย"
หญิงสาวที่เอาพัดมานั่งพัดให้มีนอยู่นานสองนานยกมือไหว้ร่างที่เดินมาที่โต๊ะเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มีนเงยหน้ามองร่างสูงโปร่งเจ้าของรอยยิ้มสว่างไสวในชุดกาวน์ยาวสีขาวปักชื่อ'นศพ.ธารธารา ทรัพย์ดำรง' ด้วยด้ายสีเขียวอันเป็นสัญลักษณ์ของนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่สี่และห้า ชายหนุ่มมีเส้นผมสีน้ำตาลและดวงตาเรียวเล็กที่หยีเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวจากการยิ้มอยู่ตลอดเวลา
"สวัสดีครับ"
เด็กหนุ่มยกมือไหว้อย่างนอบน้อม คนตรงหน้ารับไหว้เขาพร้อมรอยยิ้มที่ไม่จางหายแล้วตอบคำถามของหญิงสาว
"พี่มารับรางวัลให้ชมรมน่ะ เดี๋ยวเค้ามีประกาศรางวัลตอนเย็น"
"โห ได้รางวัลอีกแล้วเหรอคะ พี่อุ่นเก่งจัง" คนพูดทำเสียงเพ้อเหมือนมีหัวใจอยู่ในดวงตา
"งานชมรมต่างหาก" ชายหนุ่มเขาคิดว่า 'น้ำอุ่น' น่าจะเป็นชื่อเล่นนั่งลงข้างๆมีนา "อีกอย่าง...พี่มาส่องน้องปีหนึ่งแหละ เผื่อได้ลากเข้าชมรม"
"ปีสี่แล้วยังไม่ทิ้งงานชมรมอีกเหรอคะ" รุ่นพี่ประจำฝ่ายพบายาลถามเสียงกลั้วหัวเราะ ชายหนุ่มเพียงแต่ส่ายหน้ายิ้มๆแล้วหันมาหามีนที่นั่งเงียบอย่างไม่รู้จะพูดอะไร
"แล้วนี่เป็นอะไรมาครับ?"
"น้องเป็นลมน่ะค่ะ นี่รอผู้ปกครองมารับอยู่"
หญิงสาวรายงานแทนก่อนมีนาจะได้พูดอะไร น้ำอุ่นไล่สายตาสำรวจเด็กหนุ่ม ก่อนจะสะดุดกับรอยรักสีกุหลาบที่กระจายอยู่ตามลำคอขาวเนียน มีนาที่เพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องอะไรอยู่ตะครุบคอของตัวเองอย่างรวดเร็ว หลบสายตาล่วงรู้ของอีกฝ่ายด้วยสีหน้าแดงก่ำ
"ถึงขั้นเป็นลมเลยเหรอ..."
ถ้าจะรู้กันทุกคนขนาดนี้ประกาศตามสายไปเลยมั้ย?!
น้ำอุ่นหันไปมองที่ถนนหน้าคณะเป็นเพื่อนเด็กหนุ่ม เมื่อรถสปอร์ตสีดำคุ้นตาเลี้ยวเข้ามาในเขตมหาวิทยาลัยด้วยความเร็วที่น่าจะเกินกำหนดสถานศึกษาไปไม่น้อย มีนารีบเก็บข้าวของลุกขึ้นทันที
"ผมกลับแล้วนะครับ"
เด็กหนุ่มยกมือไหว้ลารุ่นพี่สาวที่โบกมือให้เขา และรุ่นพี่ปีสี่ที่รอยยิ้มอันตรธานหายไปจากไปหน้าอย่างรวดเร็ว แม้จะเพิ่งเคยเจอกัน แต่มีนาค่อนข้างมั่นใจว่าสีหน้าแบบนี้ไม่ใช่เรื่องปกติของคนตรงหน้า เดาได้จากขนที่ลุกชันทั่วร่างกายของเขาในตอนนี้
นะ...น่ากลัว...
ร่างบางก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณ น้ำอุ่นหลับตาลงราวกับกำลังข่มอารมณ์ที่ใกล้จะระเบิดเต็มทน ก่อนที่รอยยิ้มจางๆจะย้อนกลับมาบนริมฝีปาก
แต่รอยยิ้มนั้นไปไม่ถึงดวงตาสีอัลมอนด์ที่จ้องตรงมาที่เขาอย่างเยือกเย็น
"รถคันนั้นเหรอ?"
"ครับ...ผะ ผมไปนะครับ"
มีนากอดกระเป๋าหันหลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังรถที่กำลังแล่นเข้ามา เขาไม่อยากอยู่ให้ตัวเองโดนรุ่นพี่หมายหัวตั้งแต่วันรับน้องหรอกนะ
ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าทำไมพี่น้ำอุ่นถึงมีท่าทีแบบนั้นก็เถอะ
--------