Chapter 2: อาจารย์สอนพิเศษ
"เป็นอะไร”
ภรัณยูถามคนที่นั่งเงียบมาตลอดทาง ไม่ได้อยากจะสนใจหรอกนะ แต่อยู่เงียบๆแบบนี้แล้วมันรู้สึกอึดอัด
“ผมไม่ชอบให้ใครมายัดเยียดเพื่อนให้”
คนที่นั่งหน้าบูดอยู่ที่นั่งข้างคนขับตอบแล้วเอนหัวพิงหน้าต่างรถ
“แล้วทำตัวแบบนี้จะหาเพื่อนได้มั้ย”
“ถ้าจุดประสงค์ของพี่มีแค่ต้องการจะกำจัดผม พี่ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ครับ”
คนฟังฉุนกึก ตีไฟฉุกเฉินแล้วดึงรถเข้าจอดข้างทาง ไม่รู้ทำไม ทั้งที่นั่นเป็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขา แต่ภรัณยูกลับรู้สึกไม่พอใจที่ได้ยินมันออกจากปากอีกฝ่าย
“ผมมีชีวิตของผม...” ร่างโปร่งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่ที่ใช้เหตุผลเหนืออารมณ์ “คุณขอโอกาสจากผม ผมก็ไม่ได้ห้ามอะไร แต่การที่คุณใช้อำนาจของท่านประธานมาทำให้ผมต้องหยุดงานของตัวเองเพื่อมาเป็นพี่เลี้ยงคุณแบบนี้ บอกตามตรงผมรับไม่ได้"
“….”
“ถ้าอยากจะให้ผมเปิดใจ คุณก็ต้องเข้าใจด้วยว่านี่คือตัวตนของผม ถ้าคุณไม่พอใจ ผมก็ไม่ได้รั้งคุณไว้ คุณทินกร”
ร่างโปร่งใส่เกียร์เดินหน้า เลี้ยวรถกลับเข้าสู่ท้องถนนอีกครั้ง โชคดีที่วันนี้รถไม่ติด ทำให้เขาไม่ต้องอยู่กับเจ้าเด็กเอาแต่ใจนี่มากเกินความจำเป็น เมื่อมาถึงคฤหาสน์ของตระกูลทรัพย์ดำรง ภรัณยูปลดล็อกรถให้อีกฝ่ายแต่คนที่นั่งอยู่ข้างๆกลับไม่ยอมลงจากรถเสียที
“ทำไมยังไม่ลงปะ....”
ริมฝีปากอุ่นประกบลงมาอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว คนถูกจู่โจมหลับตาลงรับสัมผัสของอีกฝ่ายอย่างเผลอไผล มือใหญ่ของอีกฝ่ายประคองใบหน้าเรียวไว้อย่างทะนุถนอม ก่อนที่ทินกรจะถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง
“ผมบอกแล้วนะครับ ว่าถ้าเรียกผมแบบนั้นอีกผมจะทำอะไร”
รอยยิ้มจางๆที่ไม่ได้เห็นมาทั้งวันที่ไม่ได้เข้ากับแววตาเจ็บปวดในดวงตาสีควันบุหรี่เลยพาหัวใจของภรัณยูเต้นผิดจังหวะไปวูบหนึ่ง
“ผมขอโทษนะครับที่พี่คิดแบบนั้น....แต่วันนี้ผมดีใจมากจริงๆนะ ที่พี่ยอมมากับผม”
เด็กหนุ่มปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วเปิดประตูรถ ร่างสูงหันกลับมามองคนอายุมากกว่าเป็นครั้งสุดท้ายด้วยแววตาเศร้าสร้อย
“ผมสัญญา เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก”
หลังจากวันนั้นภรัณยูก็ถูกเรียกตัวกลับไปทำงานตามปกติ
ส่วนลูกชายคนเล็กของเจ้าของบริษัทก็เตรียมตัวสำหรับการรับน้องและการเปิดเทอมของมหาวิทยาลัย ทำให้หมู่นี้พวกเขาไม่ค่อยเจอกันเท่าไหร่ รู้ตัวอีกทีก็ผ่านไปเป็นเดือนแล้วที่เขาไม่มีเด็กหนุ่มร่างสูงมาคอยก่อกวน แต่ในหัวของเขากลับสลัดภาพรอยยิ้มสุดท้ายของทินกรก่อนจะลงไปจากรถในวันนั้นไม่ได้เสียที
ก็ดีแล้วล่ะ...
“ภัทร มาหาพี่หน่อยซิ”
เจนจิรากวักมือเรียกคนที่กำลังง่วนอยู่กับงานกองโตเข้าไปในห้องทำงาน ภรัณยูปิดแฟ้มเอกสารหนาเตอะบนโต๊ะของตัวเองแล้วเดินตามเข้าไปอยย่างงงๆ
หัวหน้ามีอะไรจะคุยกับเขา? ปิดงบโปรเจคก็เพิ่งเสร็จไปไม่ใช่เหรอ หรือว่างานมีปัญหาอะไร
“ภัทร พี่ถามจริงๆนะ ภัทรกับคุณทินมีปัญหาอะไรกันรึเปล่า”
สาวใหญ่ในชุดสูทเปิดประเด็นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เปล่านี่ครับ ทำไมเหรอครับ”
เจ้าเด็กนั่นไปฟ้องอะไรอีกล่ะ
“ก็ท่านประธานโทรมาขอให้พี่เรียกตัวภัทรกลับมาทำงาน แถมยังกำชับด้วยว่าทีหลังให้เลือกคนที่เขาอยากจะทำงานจริงๆ
โดนสวดยกใหญ่เลย พี่เลยคิดว่าภัทรไม่ชอบหน้าคุณทินซะอีก” สาวใหญ่ถอนหายใจเฮือก ก้มลงเปิดลิ้นชักหยิบแฟ้มเอกสารสีดำสนิทออกมาเปิดอ่าน “แต่ถ้าไม่มีอะไรพี่ก็สบายใจ สงสัยเห็นภัทรเงียบๆคุณทินเขาอาจจะคิดมากว่าภัทรไม่ชอบรึเปล่า รายนั้นน่ะยิ่งขี้กังวลอยู่”
“พี่แจนครับ คุณทินกรเขาไม่ได้สั่งให้ผมไปดูแลเขาเหรอครับ” ภรัณยูอดถามไม่ได้
“อย่างคุณทินเนี่ยนะ” เจนจิราเงยหน้าขึ้นมองคนอายุน้อยกว่ากึ่งขบขัน “อย่าว่าแต่สั่งอะไรพี่เลย ขนาดลุงยามหน้าบริษัทเข้าใจผิดนึกว่าเป็นเด็กยกของยังเลยตามเลยไปช่วยเขาขนของอยู่เลย”
เพล้ง
ภรัณยูถึงกับไม่กล้าก้มเก็บเศษหน้าที่ไม่รู้ว่าชาตินี้จะต่อติดรึเปล่าเลยทีเดียว
“ภัทร ไม่สบายเหรอ หน้าซีดๆนะ” เจนจิราถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“เปล่าครับ อากาศมันร้อน” ภรัณยูตอบ ไม่ใส่ใจเสียงแอร์ที่กำลังทำงานอย่างแข็งขันราวกับจะให้เขาได้ยินความลำบากของ
มัน หญิงสาวมองพนักงานหนุ่มรุ่นน้องอย่างงุนงงแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร หยิบแฟ้มเอกสารเล่มหนายื่นให้ร่างโปร่ง
“ถ้างั้นพี่รบกวนภัทรติดต่ออาจารย์สอนพิเศษภาษาไทยให้คุณทินหน่อยได้มั้ย รายชื่ออยู่ในนี้แหละ สกรีนให้พี่หน่อย พี่ต้องไปประชุมกับท่านประธานต่อ”
“อาจารย์ภาษาไทย?” ภรัณยูทวนคำงงๆ
“ใช่ คุณทินเธออยากเรียนน่ะ ถึงคณะจะสอบเป็นภาษาอังกฤษ สไลด์เป็นภาษาอังกฤษ แต่พวกรายงานกับเอกสารบางอย่างก็ยังเป็นภาษาไทย คงกลัวตัวเองจะไม่เข้าใจล่ะมั้ง”
เจนจิรายิ้มขำ ก้มๆเงยๆรวบรวมเอกสารสำหรับการประชุมอย่างคล่องแคล่ว ส่วนคนที่ได้รับมอบหมายนั้นได้แต่ยืนมองด้วยกลัวว่าถ้าช่วยหยิบจับจะไปทำให้ลำดับเอกสารผิดพลาด
“คุณทิน...ภาษาไทยเขาแย่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“เรื่องฟังพูดน่ะไม่เท่าไหร่ แต่การเขียนเนี่ยเด็กประถมยังเก่งกว่าเลยจ้ะ เมื่อวานยังมาถามพี่อยู่เลยว่าเหงาอ่านว่า เหงา หรือ เห-งา” เจนจิราเสียบเอกสารใส่แฟ้มว่างแล้วเขียนหัวข้อการประชุมลงบนสัน “พี่ไปก่อนนะ ฝากด้วยนะจ๊ะ”
“เอ่อ...พี่แจนครับ”
ปากไปไวกว่าความคิด คนที่กำลังจะบิดลูกบิดประตูหันมามองคนเรียกเป็นเชิงถามว่ามีอะไร
“คือ….”
ว่ากันว่าคนเรามีความคิดฆ่าตัวตายเพียงไม่กี่วินาที
หากเลยช่วงเวลานั้นไปแล้ว ความคิดที่ยากจะฆ่าตัวตายของคนคนนั้นจะหายไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
น่าสียดายที่หลายคนเลือกที่จะจบชีวิตตัวเอง ก่อนที่เวลาไม่กี่วินาทีนั้นจะผ่านพ้นไป
ภรัณยูเชื่อว่าหากคนเหล่านั้นยังมีชีวิตอยู่ จะต้องรู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจในตอนนั้น
เหมือนกับที่เขากำลังรู้สึกในตอนนี้
ชายหนุ่มมองไปรอบๆห้องรับแขกของคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ผมเคยมาส่งลูกชายคนเล็กของเจ้าของบ้าน คนรวยนี่สมกับเป็นคนรวยจริงๆ บ้านทั้งหลังถูกตกแต่งด้วยโทนสีขาวทองดูหรูหรา แต่ก็ดูสบายตาไปในตัว โซฟาทรงหลุยส์นุ่มนิ่มนั่งสบายสีแดงเข้มเข้ากับโต๊ะไม้สักทรงเตี้ย เพดานห้องมีแชนเดอเลียคริสตัลอันใหญ่ที่ร่างโปร่งเงยหน้ามองทีไรก็อดหวาดเสียวไม่ได้ว่ามันจะตกลงมาทับหัวรึเปล่า หญิงชายร่างท้วมที่น่าจะอยู่ในวัยราวๆหกสิบปลายๆเจ้าของรอยยิ้มใจดียกน้ำหวานกับชมพู่หั่นซีกที่จัดเรียงอย่างสวยงามมาให้แขกที่นั่งรอคนในบ้านอยู่ร่วมยี่สิบนาทีแล้ว
“ขอบคุณครับ”
ภรัณยูยกมือไหว้ขอบคุณ แอบชำเลืองมองบันไดบ้านที่อยู่ด้านหลังของอีกฝ่ายเล็กน้อยไม่ให้เป็นที่สังเกต แต่หญิงชรากลับมองเขาอย่างรู้ทัน
“คุณทินกำลังช่วยคุณผู้ชายดูเอกสารอยู่น่ะค่ะ เดี๋ยวอีกซักพักคงลงมา”
ไม่ทันขาดคำเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากบนบันไดพร้อมกับเสียงพูดคุยที่ภรัณยูค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ใช่ภาษาไทย
ร่างสูงของท่านประธานและลูกชายคนเล็กเดินลงมาพร้อมกับหนังสือหลายเล่มในมือ ทินกรพูดอะไรบางอย่างในภาษาที่เขาไม่เข้าใจด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ท่านประธานที่กำลังจะตอบหันมาเจอพนักงานในบริษัทเสียก่อน สีหน้าดุดันของคุณธีรเชษฐ์แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มรับแขกอย่างรวดเร็ว
“สวัสดีครับท่านประธาน คุณทินกร”
ภรัณยูลุกขึ้นยกมือไหว้อย่างนอบน้อม อีกฝ่ายพยักหน้ารับ ส่วนคนที่ยืนอยู่ข้างหลังนั้นยืนอึ้งมองคนตรงหน้าเหมือนเห็นเอเลี่ยนกำลังแพลงกิ้งอยู่บนยอดเสาไฟฟ้า
“ภรัณยู ขอโทษด้วยนะที่เจ้าลูกไม่ได้เรื่องของฉันไปสร้างความเดือดร้อนให้”
“เอ่อ...ไม่ใช่นะครับ” ภรัณยูรีบปฎิเสธ ยิ่งรู้สึกผิดที่ว่าทินกรไปแบบนั้น
“แจนบอกเธอจะพาครูสอนพิเศษมาส่ง...” ท่านประธานเลิกคิ้ว “ไปไหนซะล่ะ”
พี่แจนนะพี่แจน เล่นอะไรของเขาเนี่ย
“คือ…ผมขอพี่แจนมาสอนน่ะครับ”
ภรัณยูยกกระเป๋าที่มีหนังสือแบบเรียนภาษาไทยอยู่จนแทบปริให้ดู ราวกับจะให้มันช่วยไขข้อข้องใจให้อีกฝ่าย ท่านประธานมีสีหน้าประหลาดใจ ก่อนจะยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“ถ้าอย่างนั้นก็ฝากด้วยแล้วกัน” ก่อนจะหันไปหาลูกชายที่ยังคงยืนนิ่ง“วันนี้พ่อมีประชุมยาว จะค้างที่คอนโด ไม่ต้องรอนะ”
ทินกรพยักหน้ารับ ยังคงไม่ละสายตาราวกับกลัวว่าร่างโปร่งจะหายไปหากไม่จับตาดูไว้ตลอด
ท่านประธานออกไปประชุมแล้ว แต่ซันยังคงยืนนิ่งไม่พูดอะไรจนอาจารย์สอนพิเศษจำเป็นเริ่มรู้สึกอึดอัด “จะจ้องอีกนานมั้ยครับ เริ่มเรียนได้แล้ว”
“พี่ภัทร...ไม่โกรธผมแล้วเหรอครับ?”
“จะเรียนที่ไหนครับ” ภรัณยูแกล้งทำเป็นหูทวนลม “ที่นี่หรือว่ามีห้องอื่น”
ทินกรมองหน้าอีกฝ่ายด้วยแววตาไม่เข้าใจ ร่างสูงเอื้อมมือมาดึงกระเป๋าหนังสือของคนอายุมากกว่าไปถือทั้งที่ตัวเองก็หอบหนังสือมามากมาย “ไปข้างบนแล้วกันครับ”
“นี่ คุณทิน ผมถือกระเป๋าเองได้ เดี๋ยวก็ตกหรอกครับ”
ร่างสูงที่เดินนำแขกของบ้านขึ้นบันไดมายังคงเดินต่อไป ทินกรใช้ไหล่ดันประตูห้องที่อยู่ใกล้กับบันไดที่สุดให้เปิดออกแล้วเดินเข้าไป กองข้าวของทั้งหมดลงบนโต๊ะเขียนหนังสือตัวยาวที่อยู่ติดกับประตูห้อง ไม่สนใจร่างโปร่งที่เดินตามมาแม้แต่น้อย
“คุณทิน...อื้อ!”
โดนจูบอีกแล้ว...
คราวนี้ภรัณยูตั้งสติได้เร็วกว่ารอบที่แล้ว ดันไหล่อีกฝ่ายออกไปจนสุดช่วงแขน
“นี่คุณ! เลิกทำแบบนี้ซะทีได้มั้ย!”
“ผมบอกแล้วว่าให้เลิกเรียกผมแบบนั้น”
เจ้าของชื่อกดเสียงต่ำ ทั้งที่เป็นแค่เด็กแท้ๆแต่ไม่รู้ทำไมสีหน้าของอีกฝ่ายดูน่ากลัวกว่าท่านประธานเวลาโมโหเสียอีก
“….จะเรียนตรงไหน”
ภรัณยูที่ทำตัวไม่ถูกแกล้งหันไปมองสำรวจห้องนอนของเด็กหนุ่ม ห้องนอนขนาดใหญ่พร้อมห้องน้ำในตัวอัดแน่นไปด้วยชั้นหนังสือบิวท์อินกินพื้นที่ส่วนใหญ่ของผนัง แต่นอกจากนั้นเฟอร์นิเจอร์ในห้องมีเพียงตู้เสื้อผ้าแบบวอล์คอิน ตู้เย็นขนาดกลาง โต๊ะเขียนหนังสือตัวยาวและโทรทัศน์จอแบนกับชุดเครื่องเสียงที่ติดอยู่กับผนัง กับเตียงนอนขนาดคิงไซส์สไตล์เรียบๆที่เห็นได้ตามร้านขายเฟอร์นิเจอร์ทั่วไป ที่เหลือเป็นเพียงพื้นที่โล่งมากพอที่จะเอาเตียงเข้ามาวางอีกตัวแล้วยังคงมีทางเดินได้สะดวก
ไม่เหมือนกับที่คิดไว้เลยแฮะ
ไม่สิ...ทำไมเขาถึงต้องคิดถึงห้องนอนของทินกรด้วยล่ะ?!
“บนเตียงก็ได้ครับ”
เจ้าของห้องตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลีย หยิบกระเป๋ากับสมุดเปล่าและปากกามาวางบนเตียง
“พี่ภัทรจะทานอะไรมั้ยครับ”
ภรัณยูส่ายหน้า นั่งลงบนเตียงของอีกฝ่ายอย่างถือวิสาสะแล้วเปิดซิปกระเป๋า ทินกรเดินไปที่ตู้เย็นแล้วหยิบน้ำขวดเล็กออกมาสองขวดก่อนจะกลับมานั่งลงบนเตียงอีกฝั่ง เด็กหนุ่มยื่นขวดน้ำให้ร่างโปร่งแล้วหยิบสมุดของตัวเองขึ้นมาเปิด
“พี่ภัทรครับ”
“หืม?”
เจ้าของชื่อหยิบแบบเรียนภาษาไทยที่เพิ่งซื้อมาเมื่อวานกับแบบฝึกหัดที่มีหน้าปกเป็นรูปการ์ตูนสีสันสดใสออกมา
“ทำไมพี่ถึงมาสอนผมล่ะครับ?”
“….” ร่างโปร่งยื่นหนังสือทั้งสองเล่มให้คนตรงหน้า “ถ้าอยากให้เป็นคนอื่น ผมไปก็ได้นะ”
เด็กหนุ่มส่ายหน้าอย่างรุนแรงจนคนมองเกือบจะหลุดขำออกมา
น่ารัก...
“ขอบคุณนะครับที่มา”
“อืม” ภรัณยูเอื้อมไปเปิดหนังสือในมือของร่างสูง เขยิบเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นเพื่อให้สะดวกต่อการสอน “ถ้าเป็นเด็กดี พี่อาจจะมีรางวัลให้ก็ได้นะ....ซัน”
เจ้าของชื่อหูผึ่ง หันขวับมามองคนพูดด้วยดวงตาระยิบระยับเหมือนสุนัขตัวโตที่เพิ่งได้รับรางวัลจากเจ้าของเป็นครั้งแรก
“มองอะไรเล่า จะเรียนไม่เรียน”
“เรียนครับๆ”
เด็กหนุ่มก้มลงอ่านหนังสือในมืออย่างขะมักเขม้น คลาดกับรอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนริมฝีปากของภรัณยูอย่างห้ามไม่อยู่เพียงเสี้ยววินาที
ตอนที่ได้ยินเจนจิราพูดว่าคุณทินกรอ่านภาษาไทยได้แย่กว่าเด็กประถม ภรัณยูคิดว่าเขาแค่พูดให้มันฟังดูเกินจริงเฉยๆ
ตอนนี้เขารู้แล้ว ว่าเคสนี้มันเกินเยียวยาจริงๆ
“ตำรวจทำวิ เอ่อ...วิสาขบูชา?”
“วิสามัญฆาตกรรม”
ภรัณยูออกเสียงช้าๆชัดๆอย่างอดทน ทินกรขมวดคิ้วมองริมฝีปากปากสีชมพูระเรื่อนั้นอย่างไม่เข้าใจ ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะมองไม่เห็น คนสอนจึงยื่นหน้าเข้าไปใกล้
“วิ-สา-มัญ-”
“พี่..พี่ภัทรเขยิบออกไปหน่อยได้มั้ยครับ” เด็กหนุ่มขัด เบี่ยงตัวหนีเล็กน้อย
“ทำไม? ปากเหม็นเหรอ?”ภรัณยูรีบเอามือปิดปากอย่างตกใจ นี่เขาเพิ่งแปรงฟันมานะ
“เปล่าครับ...คือ...มันใกล้ไป ผมไม่มีสมาธิ”
เด็กหนุ่มหลุบตาลงต่ำ ชายหนุ่มมองตามสายตาของอีกฝ่ายลงมาที่ขาของตัวเองซึ่งแทบจะเกยตักอีกฝ่ายอยูรอมร่อ
“โทษๆ” คนลืมตัวรีบขยับตัวออกมานั่งที่เดิม “พี่ว่า...เราลองเปลี่ยนวิธีเรียนดีมั้ย”
“ครับ?” ทินกรปิดสมุด สีหน้าของร่างสูงดูไม่มีความสุขกับการเรียนจนน่าสงสาร ภรัณยูลุกขึ้นจากเตียงเพื่อยืดเส้นยืดสาย แล้วไล่ดูแผ่นหนังที่วางเรียงกันอยู่บนชั้นลอยอย่างสนใจ
“ซันชอบหนังแบบไหนเหรอ?”
“ผมเหรอครับ? จริงๆผมก็ดูได้ทุกแนวนะ แต่ส่วนใหญ่ผมจะชอบพวกหนังสยองขวัญ”
คนที่ยังคงนั่งอยู่บนเตียงตอบ
“พี่ชอบหนังตลก”
คนที่กำลังสำรวจชั้นวางพูดโดยไม่หันกลับไปมองอีกฝ่าย พยายามทำเหมือนคำแทนตัวเองที่เปลี่ยนไปของตนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เมื่อเจอหนังโรแมนติกคอมเมดี้ที่ไม่รู้ว่าหลงเข้ามาอยู่ในชั้นนี้ได้อย่างไรเลยดึงออกมาดู “เรื่องนี้สนุกดีนะ”
“ครับ?” ทินกรยังคงตามไม่ทัน ภรัณยูกดเปิดเครื่องโฮมเธียเตอร์แล้วใส่แผ่นเข้าไป ก่อนจะกลับมานั่งข้างอีกฝ่ายบนเตียงเช่นเดิม
“ปกติซันใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักใช่มั้ย” ร่างโปร่งหันไปถามเพื่อความมั่นใจ
“ครับ"
“พี่จะเปิดซับไตเติ้ลภาษาไทย พี่อยากให้ซันอ่าน แล้วฟังไปด้วยว่าคำคำนั้นแปลว่าอะไร ถ้าคำไหนไม่ได้ก็กดปุ่มหยุด แล้วถามพี่ ตกลงมั้ย”
เด็กหนุ่มพยักหน้า ดูสนอกสนใจความคิดนี้ไม่น้อย อาจารย์พิเศษกดปุ่มเล่นแล้วเอนตัวพิงหมอนใบใหญ่ที่กองกันเป็นภูเขาทั้งที่มีคนนอนแค่คนเดียว ฟังอีกฝ่ายอ่านซับไตเติ้ลของหนังอย่างตั้งใจ แม้จะมีผิดบ้างถูกบ้าง แต่ก็นับว่าทำได้ดีกว่าการอ่านตำราก่อนหน้านี้มาก
“จบแล้วครับ”
ทินกรหันมายิ้มให้คนที่เลื้อยลงไปนอนฟังบนเตียงนุ่มตั้งแต่กลางเรื่อง
“ไม่เลวนี่” ภรัณยูชันตัวขึ้นนั่ง กระดิกนิ้วเรียกให้อีกฝ่ายเขยิบเข้ามาใกล้ๆ “อยากได้รางวัลอะไรล่ะ”
“อะไรก็ได้เหรอครับ?”เด็กหนุ่มทำท่าเหมือนไม่รู้ว่าควรจะระแวงหรือควรจะตื่นเต้นดี
“อืม…อะไรก็ได้”
“ถ้างั้น...” ใบหน้าคมโน้มลงมาใกล้ ร่างโปร่งหลับตาลงรอรับสัมผัสของริมฝีปากได้รูปอย่างรู้ทัน
ว่าแล้วว่าต้องมาไม้นี้ไอ้เด็กลามก
ริมฝีปากอุ่นทาบลงบนหน้าผากอย่างแผ่วเบา แต่กลับส่งกระแสไฟฟ้าให้วิ่งพล่านไปทั่วร่าง ภรัณยูลืมตาขึ้นพบกับใบหน้าหล่อเหลาแต่งแต้มที่ด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างมีความสุขในระยะประชิดจนเลือดลมสูบฉีดดีเกินความจำเป็น
“ขอบคุณครับ”
ก่อนจะรู้ตัวว่ากำลังทำอะไร คนอายุมากกว่าก็โน้มตัวเข้าไปแตะริมฝีปากลงบนริมฝีปากเรียวอย่างไม่ให้คนตรงหน้าตั้งตัว ซันเบิกตากว้างเมื่ออีกฝ่ายผละออกมา
“อันนี้แถม"
ภรัณยูง้อใครไม่เก่ง
เขาไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยคำขอโทษที่เข้าใจอีกฝ่ายผิด
แต่รอยยิ้มที่กว้างขึ้นจนแทบฉีกถึงใบหูของอีกฝ่ายทำให้ชายหนุ่มอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่าทินกรรับรู้ถึงการขอคืนดีของเขาแล้ว
“พี่ภัทรครับ”
“ว่าไง?” ชายหนุ่มถาม เก็บข้าวของบนเตียงไปวางบนโต๊ะหนังสือแก้เขิน
“คืนนี้นอนที่นี่นะครับ”
“!!!!!”
---------
ตอนหน้าเตรียมพบกับน้องมีนและคุณเชษฐ์ซะที55555