หนูพุกสูดหายใจลึก ประโยคที่ว่า ‘ถ้าอยากเป็นมากกว่าเลขาก็กล้า ๆ หน่อย’ สะกิดให้เขาฮึดสู้ขึ้นอีก จริง ๆ ชายหนุ่มก็พอจะเข้าใจอยู่บ้างว่าบรรยากาศจากภาพยนตร์จะช่วยให้ใกล้ชิดกันได้มากขึ้น
ร่างเพรียวบางเดินกลับเข้าไปที่หน้าโซฟา เขาแอบชะโงกหน้าดูหน่อยแล้วก็พบว่าพี่ภูยังไม่ออกมาจากห้องน้ำ หนูพุกกำรีโมทโทรทัศน์ไว้แน่นราวกับต้องรวบรวมความกล้าที่มีทั้งชีวิตมาเพื่อเปิดดูหนังผี
โทรทัศน์แขวนผนังขนาดสี่สิบนิ้วดูกว้างขึ้นกว่าที่เคยตอนที่หน้าจอกลายเป็นสีแดงของห้องล้างฟิล์มทั้งหมด แม้จะยังไม่มีอะไรมากมายนักหากเสียงปึงปังกลับทำให้หนูพุกสะดุ้งสุดตัวจนเผลอยืดขาไปกระแทกโต๊ะกระจกเตี้ยจนแก้วน้ำหกระเนระนาด โชคดีที่มันไม่หกไปลงพรมไม่อย่างนั้นคงต้องทำความสะอาดเป็นการใหญ่
“หนูพุก!”
ต้นตอของเสียงประตูปิดรุดเข้ามาหาเขา ดวงตาคมมองจอโทรทัศน์และเจ้าของห้องสลับกันแล้วก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ คีรินทร์ส่งเสียงหัวเราะในลำคอ แล้วทรุดตัวลงช่วยหนูพุกเก็บแก้วน้ำสองใบขึ้นวางตั้ง ใช้ทิชชู่ซับน้ำเปล่าที่หกเลอะเทอะจนหน้าโต๊ะแห้งสนิท
“เพิ่งเริ่มก็กลัวเล้วเนี่ยเรา” ชายหนุ่มโคลงศีรษะ ทอดมองหนูพุกที่หดขากลับขึ้นไปบนโซฟาเเล้วเริ่มม้วนตัวเองเป็นก้อนอย่างนึกเอ็นดู
“พี่ภูเคยดูแล้วเหรอครับ” เลขาหนุ่มหันมามองตาปริบ ๆ รู้สึกถึงแผนการที่ล่มสลายลง
“เคยดูตอนม.ปลาย นานมากแล้ว ไม่นึกว่ายังเอากลับมาฉายอีก… เรายังไม่เคยดูเหรอ” ร่างกายใหญ่โตทรุดนั่งลงข้างกันทำให้หนูพุกสัมผัสถึงเบาะที่ยวบลงและกลิ่นครีมอาบน้ำลอยมาเตะจมูก
“ยังครับ นี่ครั้งแรก”
“งั้นก็ดูด้วยกัน.. .เดี๋ยวพี่ไปปิดไฟให้” คีรินทร์ลุกไปกดปิดสวิตช์จนไฟทั้งห้องมืดสนิท เหลือเพียงแสงจากหน้าจอโทรทัศน์เท่านั้น
“....” บรรยากาศระหว่างคนทั้งคู่เป็นไปอย่างเงียบเชียบ คีรินทร์นั่งพิงพนักนุ่มด้วยอากัปสบาย ๆ แต่อีกคนกลับนั่งกอดหมอนอิงจนตัวกลมปุ๊ก
หนูพุกรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเย็นลงทุกขณะ ใจเต้นแรงขึ้นอีกในตอนที่หนังเงียบลง ที่สุดแล้วร่างกายผอมบางก็สะดุ้งสั่นเพราะเสียงรถชน
เขากลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ แผนของเมษาที่ให้ค่อย ๆ ขยับเข้าชิดพี่ภูยังรบกวนอยู่ในสมอง หนูพุกพยายามอย่างยิ่งที่จะขยับเข้าหาอย่างเนียน ๆ ในจังหวะที่รถยนต์ในจอหมุนคว้าง ดวงตาเรียวลอบมองอีกคนที่จดจ่อกับภาพยนตร์อย่างจริงจังแล้วก็สบโอกาสขยับเข้าไปอีก
...ผีก็กลัว ยังจะต้องอ่อยอีก…
โชคดีที่โซฟาในห้องขนาดค่อนข้างกะทัดรัด พอเข้าจังหวะบีบหัวใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ต้นแขนเล็กก็เเตะกับเสื้อยืดสีขาวของพี่ภูพอดี
“ทำอะไร ดูครึ่งจอเหรอ” คนตัวสูงกว่ามองเลขาหนุ่มยกมือตั้งการ์ดบังจอไว้ครึ่งหนึ่งแล้วหัวเราะขัน ไม่นึกเลยว่าจะได้เห็นท่าทีอะไรอย่างนี้จากชายหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ด
“เวลาผีมาจะได้ปิดตาทันไงครับ” หนูพุกหัวเราะแหะ ๆ
“ฉากนี้ยังไม่มีผีหรอก” คนแก่กว่าสปอย เห็นอีกคนเอามือเอาหมอนมาบังเป็นพัลวันแล้วก็มีแต่ความเอ็นดู น่าแปลกที่ไม่นึกรำคาญเลยแม้สักนิดเดียว
“พี่ภูไปไหน!” หนูพุกร้องเสียงหลงยามคีรินทร์ุกขึ้นจนเต็มความสูง มือน้อยเอื้อมดึงชายเสื้อเขาไว้อย่างเผลอตัว
“หนีแล้ว...” เขายิ้มพลางยกกำปั้นขึ้นมาแจกมะเหงกให้เบา ๆ ก่อนจะหายเข้าไปในห้องนอน ปล่อยให้หนูพุกนั่งมองโต๊ะใจสั่น
หรือพี่ภูจะรู้ตัวว่ากำลังถูกอ่อยแต่ไม่เล่นด้วย… หากเป็นอย่างที่คิดจริงก็เท่ากับว่าแผนการที่เมษาเพิ่งวางให้หมาด ๆ ล้มไม่เป็นท่า
ไม่ได้… หนูพุกจะไม่ยอมหน้าแตกเด็ดขาด!
”อ๊ากกก!”
ยังไม่ทันจะเก๊กท่าตั้งใจดูได้เหมาะ ๆ สะดุ้งอีกเพราะนิ้วมือที่โผล่ขึ้นจากอ่างน้ำ เสียงทุบประตูที่ดังออกมาทำเขาตัวแข็งทื่อ ยามมีสัมผัสนุ่มอุ่นมาแตะตัวหนูพุกเด้งผึง กอดหมอนไว้มือหนึ่ง รั้งพนักโซฟาไว้อีกมือหนึ่ง
“พี่เอง” สงสัยว่ากริยาองหนูพุกจะน่าตกใจมากจนพี่ภูหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง
“พุกนึกว่าพี่ภูหนีเข้าห้องไปนอนแล้วเสียอีก” หนูพุกยู่หน้า กางเเขนรับผ้าห่มนวมผืนใหญ่ที่อีกฝ่ายเข้าไปเอามาให้
“พี่ยังไม่ง่วง เดี๋ยวหนูพุกเจอผีคนเดียวล่ะแย่เลย” เขายกยิ้ม นัยน์ตาพราวระยับด้วยนึกชอบใจยามเห็นอีกฝ่ายเปิดเผยท่าทีโก๊ะกังโดยไม่เจตนา
“ผีอะไรครับ ไม่มีสักหน่อย” ดวงหน้าขาวนวลขึ้นริ้วสีแดงน้อย ๆ เลขาหนุ่มนึกขอบคุณความมืดที่โอบล้อมห้องนี้เอาไว้ที่ไม่ทำให้ตัวเองขายหน้าไปมากกว่านี้
“ไม่มีแต่กลัวจนตัวเย็นเลยนะ” ภูหัวเราะหึ ๆ ช่วยหนูพุกกางผ้าห่มคลุมไหล่เอาไว้เพราะลมจากเครื่องปรับอากาศแบบฝังฝ้าตกตรงนั้นพอดี
“คนละครึ่งครับ” ชายผ้าห่มสีขาวถูกส่งให้คนตัวใหญ่กว่า ซึ่งเขาก็รับมาคลุมแต่โดยดีทำให้หัวไหล่ของทั้งเจ้านายและลูกน้องเบียดชิด
เวลาล่วงไปพร้อมกับความระทึก สมาธิของหนูพุกจดจ่ออยู่กับหน้าจอจนลืมเลือนสิ่งที่เพื่อนติวให้ไปเสียสนิท เนื้อเรื่องของภาพยนตร์ชวนให้คิดตามกระทั่งเสียงค่อย ๆ เงียบลง จนเกือบจะเงียบสนิทกระทั่งซาวด์เอฟเฟกต์ดังขึ้น
“เหวอออ!”
ภาพศพถูกพลิกมาต่อหน้าไม่ได้ทำให้หนูพุกคิดว่าสเต็ปต่อไปจะต้องจิกสื้อจิกแขนอะไรทั้งนั้น เขากรีดร้องเเละมุดเข้าซุกอกกว้างโดยไม่คิดหน้าคิดหลังเลยด้วยซ้ำ
“ไม่มีแล้ว… ไม่น่ากลัวแล้ว” ฝ่ามือใหญ่ตบลงบนแผ่นหลังของหนูพุกเบา ๆ แล้วก้มมองร่างผอมบางที่สั่นเทาจนเขาสัมผัสได้ ยามหนูพุกเงยหน้าขึ้นดวงตาเรียวรื้นน้ำจึงสบเข้ากับดวงตาสีนิลพอดิบพอดี
“อะ… ขอโทษครับ” หนูพุกสูดหายใจ ปรับสีหน้าให้เป็นปกติทั้งที่ก้อนเนื้อในอกเต้นไม่เป็นส่ำ พี่ภูเพียงแต่พยักหน้า ออกจะรักษาท่าทีได้มั่นคงสมชื่อเสียด้วยซ้ำ
ฉากจบทำให้หนูพุกขนลุกเกรียวไปตลอดทั้งร่าง ชายหนุ่มไม่กล้าแม้แต่จะยกมือปิดตาด้วยซ้ำเนื่องจากมันสอดคล้องกับเรื่องราวในหนัง
แค่ลองคิดว่าสัมผัสจากมือตัวเองเป็นมือของสิ่งลึกลับเขาก็ไม่โอเคแล้ว!
หนูพุกลอบกลืนน้ำลายเมื่อเห็นว่าคนแก่วัยกว่าปลดผ้าห่มลงเเละเริ่มใช้แขนขวานวดไหล่อีกข้าง เขาขยับบริหารคอไปเพราะความเมื่อยขบแล้วคนมองก็ตัวเกร็ง
“พี่ภู… เมื่อยไหล่เหรอครับ”
…ไม่ได้มีอะไรขี่คออยู่ใช่ไหม…
“เมื่อยสิ เป็นโซฟาตัวที่สองให้ใครก็ไม่รู้” ชายหนุ่มก้มลงมองชายเสื้อที่หนูพุกขยับเข้ามาชิดแล้วบิดเสียยับเป็นรอย เขาลุกขึ้นพลางสะบัดผ้าห่มเตรียมนำกลับไปไว้ในห้องนอน
“ดูหนังจบแล้วก็ไปอาบน้ำด้วยเราน่ะ”
“รู้แล้วครับ” หนูพุกเลี่ยงเข้าห้องนอนก่อน เพราะไม่อยากให้เขาเห็นหน้าแล้วสับสนว่านี่หน้าคนหรือลูกตำลึงสุก
ร่างผอมบางหายลับเข้าห้องไปแต่ก็ไม่กล้าปิดประตู เขาสบตากับตู้เสื้อผ้าซึ่งทำหน้าบานเป็นกระจกยาวเต็มแผ่นแล้วก็รู้สึกหวิว ๆ ขึ้นมาอีกรอบ
ถ้าเงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นว่ามีคนขี่คออยู่…เขาต้องกรีดร้องจนไม่เป็นผู้เป็นคนแน่ ๆ
“บ้าแล้วไอ้พุก” มือเรียวตบแก้มตัวเองเบา ๆ หากไม่สามารถสลัดเอาอาการขวัญเสียออกไปได้
ทั้งภาพทั้งเสียงยังรบกวนความคิดของหนูพุกไม่เลิกรา ความอ่อนไหวต่อสิ่งลี้ลับเป็นเหตุให้เขาไม่ยอมดูหนังสยองขวัญหรือแม้กระทั่งฟังเรื่องผีมาตั้งแต่เด็กจนโต
“ทำไมวันนี้อาบน้ำช้าจัง” คนที่ใช้เตียงเดียวกันมาหลายวันนิ่วหน้า ปกติหนูพุกค่อนข้างจะฉับไวในระดับหนึ่ง แต่วันนี้กลับยังนั่งเลือกชุดนอนไม่เลิก
“ดะ… เดี๋ยวก็ไปแล้วครับ”
เหมือนแผนดูหนังผีของเมษาท่าจะไม่เวิร์ค เขาไม่มีสติพอจะรู้ด้วยซ้ำว่าการ ‘อ่อย’ อย่างที่ว่านั้นสัมฤทธิ์ผลแค่ไหนเพราะมัวแต่ปิดหูปิดตากลัว แถมดูท่าแล้วคงต้องหลอนไปอีกทั้งคืน
เลขาหนุ่มกัดริมฝีปากตัวเอง พยายามจะทำลืม ๆ ความหวาดกลัวที่เกาะอยู่ในห้วงความคิด หากเป็นเด็ก ๆ หนูพุกคงจะเลือกมุดเตียงนอนเลยด้วยกลัวจนไม่กล้าอาบน้ำ
...ภาพมือที่โผล่ขึ้นพร้อมน้ำล้นจากอ่างมันยังติดตาอยู่เลย…
“นี่… อย่าบอกนะว่ากลัวจนไม่กล้าอาบน้ำ” คีรินทร์หรี่ตาจับผิดท่าทีลุกลี้ลุกลน จากหน้าตู้เสื้อผ้าไปห้องน้ำไม่ถึงสิบก้าวด้วยซ้ำแต่หนูพุกก็ลุก ๆ นั่ง ๆ ไม่ยอมเข้าห้องน้ำไปเสียที
“ปะ เปล่านะครับ ไม่ได้กลัวสักหน่อย!”
คนตัวเล็กกว่าเบิกตาสู้ กะจะอวดความเข้มแข็งผ่านแววตา หากอีกฝ่ายกลับหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง ด้วยในแววตารื้นน้ำคู่นั้นมีเพียงความหวั่นใจฉายอยู่เท่านั้นเอง
“ตอนส่องกระจกระวังนะ… ช่วงนี้ปวดไหล่ปวดคอหรือเปล่า” ตาคมพราวระยับ ภูขับเข้าชิดและก้มกระซิบเสียงพร่า
“พี่ภู!” คราวนี้หนูพุกยกมือตีเขาดังเผียะ ลืมสิ้นแล้วเรื่องความเป็นเจ้านายหรือลูกน้อง
“แกล้งแบบนี้ พุกไม่อาบน้ำแล้ว นอนเน่า ๆ แบบนี้แหละ” คนโมเมวางเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัวไว้บนโต๊ะหน้ากระจก
อย่างน้อยเขาก็กำจัดปัญหากลัวผีตอนอาบน้ำไปได้ โยนความผิดให้พี่ภูไปแบบนี้แหละ ทนไม่ได้ก็ออกไปนอนโซฟาเลย! แกล้งกันอยู่ได้!
“ขี้งอน… ไปอาบน้ำเลย” คีรินทร์โคลงศีรษะ มือไวพอรั้งตัวคนจะมั่วนิ่มโผลงเตียงไว้ได้
“ตอนแรกพุกก็ไม่กลัวผีนะ… พอพี่ภูแกล้งพุกก็กลัวขึ้นมาเลย” ท่าทางของเลขาหนุ่มตอนนี้มันน่าเอานิ้วดีดหัวเหม่งสักทีสองที กลัวผีจนไม่กล้าอาบน้ำเขาก็เคย แต่มันก็แค่ตอนเด็ก นึกไม่ถึงว่ารายนี้จะยังเป็นอยู่
“ไปอาบ เดี๋ยวพี่นั่งเฝ้า”
“ฮะ… คือ… มะ ไม่สิ พี่ภูเข้าไปนั่งเฝ้าไม่ได้นะครับ!” หนูพุกยกสองมือขึ้นปรามเขา
“นั่งเฝ้าอยู่ข้างนอกสิ พี่จะเข้าไปด้วยทำไม บ๊อง” จากที่คิดเฉย ๆ นิ้วชี้ใหญ่ก็เคาะลงบนหน้าผากเด็กอกุศลไปทีหนึ่ง
“อะ… อ๋อ คือ งั้นเฝ้าด้วยครับ ห้ามหนีไปนอน พะ… พุกจะเช็คชื่อทุกสองนาที” ถึงจะเขินจนหน้าดำหน้าแดงไปหมด เจ้าของห้องก็ยังหาทางไปได้ด้วยการสั่งเสียงเข้ม
หนูพุกปิดประตูห้องน้ำลงโดยไม่ต้องให้พี่ภูไล่อีกเป็นครั้งที่สาม สัมผัสได้ว่าหัวใจของตัวเองเต้นแรงมาก ทั้งยังรู้สึกเขินอายจนทั้งร่างแทบสลายกลายเป็นน้ำได้ง่าย ๆ ที่ปล่อยไก่ให้เขาเห็นว่าคิดลามกอะไรอยู่ในหัว เเรื่องผีสางถึงได้หลุดออกจากห้วงความคิดไปได้ชั่วขณะ เขากดโฟมล้างหน้าใส่มือ พยายามหลับหูหลับตาล้างโดยไม่ส่องกระจกแต่ก็เผลอสบตาตัวเองในเงาสะท้อนอยู่เรื่อย
...ถ้าบนไหล่เขามีใครนั่งอยู่...
“พี่ภู!”
“ครับ!” .
หากมีคนมาเห็น คีรินทร์พนันเลยว่าร้อยทั้งร้อยคงขำจนฟันร่วงแน่ ๆ ที่มีการเช็คชื่อคนเฝ้าหน้าห้องน้ำจริง ๆ มือใหญ่พลิกหน้าหนังสือเกี่ยวกับงานดีไซน์ที่หนูพุกซื้อมาไปด้วย ฟังเสียงน้ำฝักบัวไหลกระทบเชาเวอร์บูทไปด้วย
อยู่มาสามสิบปี… ก็เพิ่งจะต้องมานั่งทำอะไรอย่างนี้ครั้งแรก
“พี่ภู!”
“...” คนขี้แกล้งปิดปากเงียบ เขาอยากรู้ว่าหนูพุกจะทำอย่างไร หากเจ้าตัวคิดว่าไม่มีใครนั่งเฝ้าอยู่ที่เดิม
ภูได้ยินเสียงหลังประตูบานใหญ่ดังขลุกขลักอยู่สักพัก คนด้านในก็รีบเปิดประตูออกมาอย่างรวดเร็ว หนูพุกเพียงแต่สวมเสื้อผ้าลวก ๆ โดยที่ชายเสื้อยืดยังไม่ถูกดึงลงมาให้พ้นเอวจนเรียบร้อยทั้งหมดด้วยซ้ำ
“ถ้ามีแข่งอาบน้ำโอลิมปิก จะให้เราไปเป็นตัวเเทนประเทศไทย” พี่ภูกระตุกยิ้มเมื่อเห็นว่าคนตัวบางใช้เวลาแค่สามนาทีถ้วนในการอาบน้ำ ล้างหน้า แล้วยังอุตส่าห์สระผมได้ด้วย
“แล้วตอนเรียกทำไมไม่ตอบล่ะครับ”
หนูพุกนั่งลงบนเก้าอี้ ใช้ผ้าขนหนูขยี้ผมตัวเองให้พอหมาดแล้วจึงเปิดไดร์เป่าผมตัวเล็กไดร์ให้ผมแห้งเร็ว เนื่องจากนี่ก็ปาเข้าไปเกือบตีหนึ่งแล้ว กลัวว่าพรุ่งนี้จะได้ไปสายกันทั้งเจ้านายทั้งเลขา
ร่างสูงใหญ่ล้มตัวลงนอนบนเตียงเมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลา คราวนี้หนูพุกประจำที่ซ้ำยังขอยืมหมอนข้างที่พยายามจะใช้กั้นกลางมาตลอดมาวางไว้ริมอีกฝั่ง เขากระตุกยิ้ม นึกสงสารหมอนข้างอันนั้นที่คงมีชะตาไม่ต่างจากทุกคืน ภูไม่รู้ว่าหนูพุกรู้ตัวมากแค่ไหนว่าตัวเองก็นอนดิ้นใช่ย่อย ขนาดหมอนข้างกั้นกลางอีกฝ่ายยังถีบมันตกเตียงได้เสมอ และเป็นเขาเองที่ต้องลุกขึ้นมาเก็บมันทุกคืน ซ้ำยังต้องคอยคลุมผ้านวมให้คนชอบถีบผ้าห่มด้วย
“ทำไมไม่ยอนอนสักที หือ” ภูตาจะปิดอยู่รอมร่อ แต่อีกฝ่ายเอาแต่นอนพลิกไปพลิกมาทั้งที่ปกติหัวถึงหมอนก็หลับคร่อกทุกที
“ก็มันกลัวนี่ครับ ไม่กล้าหลับตาเลย ต่อไปไม่ดูแล้ว”
ต่อไปนี้… ถ้ามีหนังผี ต้องไม่มีหนูพุก!
“แล้วตอนเด็ก ๆ เราทำยังไง อย่าบอกนะว่าไม่นอน” คีรินทร์เลิกคิ้ว เดาเอาว่าหนูพุกคงจะใช้มาตรการเดียวกันกับการไม่อาบน้ำ
“คนเราจะอยู่ยังไงถ้าไม่นอนล่ะครับ… ก็แค่หม่าม้าจะเล่านิทานให้ฟังจนกว่าพุกจะหลับ” แต่นั่นมันก็ตอนเด็ก… ตอนนี้จะกลัวผีที่พญาไทแต่กลับไปให้แม่โอ๋ที่พระรามสองก็ใช่ที่
“โอเค งั้นฟังนิทาน” ภูสรุป ถึงแม้จะง่วงแต่หากคนนอนข้าง ๆ หลับไม่ลงเขาก็ไม่แฮปปี้
“คือ… พี่ภูจะเล่า?” สายตาที่มองมานั้นมีแต่ความคลางแคลงใจ ปกติหนูพุกก็เห็นว่าเขาเป็นพวกไม่ค่อยจะหืออืออะไร กลับห้องมาก็กางโน้ตบุ๊กทำงานบ้าง อ่านหนังสือนิยายวิทยาศาสตร์หรือเปเปอร์บ้าง
เห็นดูจริงจังแบบนั้น หนูพุกไม่คิดว่าคีรินทร์ก็มีมุมเเบบนี้กับคนอื่นเขาบ้างเหมือนกัน
“ฟังอะไรดี… ลูกหมูสามตัวไหม” คนห่างไกลจากอะไรทำนองนี้นึกถึงนิทานสามัญประจำบ้านออกอยู่แค่เรื่องเดียว
“....” หนูพุกอมยิ้ม ฟังชายหนุ่มตัวใหญ่ดัดเสียงเล็กลงสำหรับบทลูกหมูทั้งสาม และยังทำเสียงใหญ่เป็นหมาจิ้งจอก
“พอลูกหมูสองตัววิ่งหนีมาที่บ้านอิฐ เจ้าหมาป่าก็วิ่งตามมาด้วย มันบอกว่า….” คีรินทร์ทอดมองคนที่ทำท่าจะนอนไม่หลับหากตอนนี้ปิดเปลือกตาทอดลมหายใจสม่ำเสมอ
“ลูกหมูตัวที่สามหลับแล้ว” คีรินทร์กระซิบแผ่ว ดวงตาคมอ่อนแสงลงเมื่อมองคนขี้กลัว
ในคืนนี้ หนูพุกดูต่างไปจากทุกครั้ง เขาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าคนตัวเล็กเท่านี้จะทนทานกับปริมาณงานที่แม้กระทั่งเขาก็ยังเอาไม่อยู่ในบางหน ไหล่ของอีกฝ่ายแคบแค่นี้ หากเป็นที่ให้เขาได้พึ่งพิงอยู่ทั้งในเวลาทุกข์ร้อนเรื่องงาน หรือกระทั่งช่วยซับน้ำตาในวันที่เสียใจโดยไม่ปริปากบ่นเลยสักคำเดียว
ภูไม่แน่ใจเลยว่าความเอ็นดูที่ไหล่บ่าราวกับแม่น้ำสายใหญ่นี้มีตาน้ำต้นกำเนิดอยู่ที่ใด
เพราะวันนี้ไม่มีหมอนข้างกั้นกลางอย่างเคย ผิวเนื้อนวลของคนหลับไม่รู้ตัวจึงแนบชิดกับอีกคน ศีรษะของหนูพุกตกลงมาซบบนไหล่กว้าง
ภูก้มหน้าลงหมายจะสังเกตใบหน้าผ่องใสอย่างใกล้ชิด หากอีกคนยังดูจะหาท่าทางที่นอนสบายไม่ได้กลับพลิกตะแคงมาหาทั้งตัวโดยไม่ให้สัญญาณ ในครั้งนี้ เขาได้กลิ่นครีมอาบน้ำและแชมพูแบบเดียวกันชัดยิ่งกว่าที่เคย
“...”
รอยประทับบนริมฝีปากโดยไม่ได้เจตนานั้นทำคีรินทร์สะดุ้งราวกับแตะถูกของร้อน เขาไม่คิด… ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าในชีวิตคนเราจะมีเหตุบังเอิญอันไม่ส่งผลรุนแรงแก่ร่างกาย ทว่ากลับสั่นคลอนไปถึงข้างใน
จากที่เคยง่วงนอน ตอนนี้กลับตื่นเต็มตา ภูแตะปลายนิ้วโป้งลงบนริมฝีปากได้รูปซึ่งสัมผัสกันเมื่อครู่และเพ่งพิศมันอย่างจริงจัง
เหตุใดจึงไม่มีร่องรอยของความรังเกียจ หรือแม้กระทั้งรู้สึกแปลกประหลาดทั้งที่อีกฝ่ายเป็นผู้ชายเหมือน ๆ กัน
อย่างไรก็ตาม การที่เขาไม่ได้รู้สึกอะไรไม่ได้หมายความว่าเลขาหนุ่มจะรู้สึกอย่างเดียวกัน อีกฝ่ายอาจจะนึกเดียดฉันท์จนมองหน้ากันไม่ติดก็ได้ ซ้ำแล้วหนูพุกยังเป็นลูกน้องใต้ปกครอง จะบังเอิญหรือไม่ เรื่องนี้ก็ไม่ควรเกิดขึ้น
------------------------------------------------------
ตอนนี้ไม่ค่อยได้แอคทีฟเท่าไหร่ ถ้ายืดหรือมีตรงไหนประหลาดติได้เลยนะคะ เราจะเอาไปแก้ไขค่ะ
ปล.มาไม่เคยตรงนัดเลย ไม่กล้านัดแล้วค่ะ ;-; ขอโทษด้วยนะคะ