เพื่อป้อม(อดีต)ที่ร้ากกกกก
+1ให้คนที่มาเม้นท์ทุกคนเยย
++++++++++++++++++++++++++++++++++
บทที่ 8ผมบอกกับน้อย แต่ก็ถือเหมือนกับถือโอกาสพูดกับเดียร์ทางอ้อม เด็กหนุ่มหน้าเจื่อนลง เขาเม้มริมฝีปากแน่น แววตาหม่นหมอง คงรู้สึกสะเทือนใจกับคำพูดของผม ช่างปะไร ถ้าเขารู้สึกเจ็บปวด เขาจะได้รู้ว่า ความหวังของเขาที่มีต่อตัวผม มันไม่อาจจะเป็นจริงได้ เขาจะได้หมดกำลังใจแล้วเลิกตอแยผมเสียที
“แต่ความสำเร็จย่อมเป็นของคนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆนะครับเรียว”
เสียงเด็กหนุ่มตอบกลับมา ท่าทีของความมั่นอกมั่นใจกลับมาหาเขาอีกครั้ง
“อื้อ นั่นสินะคะ น้อยก็ว่างั้นแหละ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น”
น้อยเสริมคำพูดของเด็กหนุ่ม ผมมองคนทั้งสองด้วยสายตาที่บอกความเบื่อหน่าย นี่จะเล่นกันเป็นทีมเลยหรือไง ยังไง ยังไง ก็จะพยายามโน้มน้าวใจผมให้ได้ใช่ไหม
“บางทีความพยายามในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ก็อาจจะทำให้ผิดหวังนะครับ”
“ผมก็ว่ายังดีกว่าที่จะไม่ทำอะไร แล้วก็ต้องมานั่งเสียใจทีหลังว่าทำไมไม่พยายามทำดู หากเราทำจนกระทั่งสุดความสามารถแล้ว ก็ยังไม่เกิดผล ผมก็เตรียมใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นครับ”
น้ำเสียงของเด็กหนุ่มแสดงออกถึงความตั้งใจที่เด็ดเดี่ยว ดวงตาที่มองมายังผมฉายแววมุ่งมั่น เขามีท่าทางที่จริงจังจนผมนึกกลัว
“เอาเถอะ จะทำอะไรก็ทำไป คงจะห้ามอะไรไม่ได้หรอก แต่ก็ต้องคำนึงถึงจิตใจของคนอื่นด้วย ว่าเขายินยอมพร้อมใจที่จะให้เราทดลองความพยายามของเราหรือเปล่า บางทีเราคิดว่าเราจะต้องพยายามทำสิ่งที่เราต้องการให้ได้ แต่อีกฝ่ายหนึ่งอาจจะไม่ชอบใจที่เราไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของเขามากไป บางทีนอกจากจะไม่ชอบแล้ว อาจจะรำคาญก็ได้ หรืออาจจะส่งผลในทางตรงกันข้ามกันเลยก็ได้”
ผมไม่อยากให้เขาคาดหวังอะไรจนมากเกินไป แต่ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นผู้ที่ไม่ยอมล้มเลิกสิ่งที่ตัวเองทำง่ายๆ แววตาของเขาฉายแววดื้อดึง ขณะที่ตอบกลับผม
“ไม่ว่าอย่างไร ผมก็จะพยายามทำมันให้ดีที่สุดครับ”
ผมเบือนหน้าหนี หันเหความสนใจไปจากเด็กหนุ่ม ไม่อยากเห็นสีหน้าและแววตาที่เขามองมา มันทำให้จิตใจผมหวั่นไหว ผมไม่อยากสงสารเขาไปมากกว่านี้ ผมจึงชวนน้อยคุยด้วยเรื่องทั่วๆไป เช่นเรื่องร้านของเขา เรื่องเกี่ยวกับการชกมวย เพื่อเบี่ยงเบนประเด็นไม่ให้มาเข้าใกล้ตัว
ตลอดเวลาเหล่านั้น เด็กหนุ่มได้แต่นั่งนิ่งเงียบ มองหน้าผมตลอดเวลา สายตาของเขามา มีความปรารถนาลึกล้นอยู่ภายใน แม้ว่าผมจะแสร้งทำเป็นพูดคุยอย่างสนุกสนานกับน้อย แต่ก็รู้ดีว่าบรรยากาศการคุยไม่ได้เป็นอย่างที่ผมพยายามทำให้มันเป็น น้อยเองก็คงจะรู้เช่นกัน เพราะการถามคำถามของผม มันเป็นการถามแบบส่งๆ เหมือนไม่มีอะไรจะคุยกันมากกว่า
เรานั่งคุยกันร่วมชั่วโมง ผมก็คิดว่าน่าจะได้เวลากลับซะที อันที่จริงผมอยากจะให้เรื่องนี้มันจบลงโดยเร็ว อยากจะกลับบ้านจะแย่อยู่แล้ว ใจหนึ่งก็คิดว่าอยากจะขับรถกลับบ้านไปเลย ในเมื่อมีโอกาสแล้ว รถของเราก็อยู่นี่ ข้าวของที่ติดตัวมาก็อยู่ในรถหมด กระเป๋าเงิน ก็อยู่ที่กางเกง เด็กหนุ่มคนนี้แค่ต้องการจับตัวผมมาเท่านั้น ทรัพย์สินอื่นๆของผม เขาไม่แตะต้องเลย ยังอยู่ครบหมด แต่ผมก็กลัวว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะตามติดไปบ้านตามที่ได้พูดไว้ หากผมขับกลับกรุงเทพจริงๆ
ผมหันไปมองหน้าเด็กหนุ่ม แล้วบอกกับเขาว่าอยากกลับบ้าน เขายิ้มกริ่ม เหมือนรอคำพูดนี้จากปากผมอยู่ก่อนแล้ว เขาบอกให้น้อยคิดเงินค่าอาหาร แต่น้อยไม่ยอมคิดบอกว่าเพื่อนเก่ามาทั้งที ก็เลยขอโอกาสเป็นเจ้ามือเลี้ยง แม้ว่าเดียร์จะแสดงความเกรงอกเกรงใจด้วยการยัดเยียดเงินให้ แต่น้อยก็ส่งเงินคืนกลับไม่รับท่าเดียว ผมกับเดียร์ก็เลยกล่าวขอบคุณน้อยในความมีน้ำใจของเขา น้อยอาสาไปส่งพวกเราที่ลานจอดรถ ก่อนจะลาจากกัน ขณะที่เดียร์ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ น้อยก็แอบมาพูดกับผมว่า
“เรียวคะ อย่าหาว่าน้อยยุ่งเลยนะคะ แต่น้อยสงสารเพื่อนน้อยคนนี้ เดียร์น่ะ เขารักคุณมากเลยนะคะ เขาเอาแต่พูดถึงคุณตลอดเวลา เลยค่ะ เขาบอกว่าคุณมีพระคุณต่อเขามาก ช่วยชีวิตเขาไว้หลายครั้งจากอันตรายต่างๆ เขาปรารถนาจะตอบแทนคุณ อยากทำให้คุณมีความสุข เขาบอกกับน้อยว่าเขาจะไปหาคุณที่กรุงเทพ จะตามจนเจอ แล้วทำให้คุณคิดว่าเขามีความสำคัญให้ได้ นี่เขาตามเจอคุณแล้ว เขาคงบอกความในใจคุณแล้วใช่ไหมคะ น้อยอยากให้คุณเชื่อว่าทุกอย่างที่เขาพูดเป็นเรื่องจริง และเขาทำเพื่อคุณจริงๆ”
สาวร่างล่ำบอกกับผมด้วยท่าทางเกรงอกเกรงใจ ดูท่า น้อยคงจะรักเดียร์มาก ถึงอุตส่าห์ลงทุนมาพูดให้แบบนี้
“อย่าบอกเรื่องนี้ให้เขาฟังนะ ว่าน้อยมาพูดกับคุณ อันนี้เป็นความคิดน้อยเอง เขาไม่อยากให้น้อยมายุ่งเรื่องนี้ เขาไม่อยากให้คุณเข้าใจว่าเขาให้น้อยช่วยพูดให้ น้อยพูดเพราะเต็มใจอยากช่วยเพื่อน สงสารเขาน่ะค่ะ”
“สงสารแล้วทำไมไม่เป็นแฟนเขาเองล่ะ” ผมถามยิ้มๆ
“อุ๊ยตาย” น้อยยกมือขึ้นทาบอก
“ถ้าเขายอมก็ดีสิคะ น้อยจะดูแลเขาอย่างดีเลยล่ะ แต่ไม่ดีกว่า น้อยรู้ว่าในใจของเพื่อนน้อยคนนี้เขามีแต่คุณคนเดียวเท่านั้นค่ะ ”
“วัยเขายังเด็กอยู่นะครับ คงจะคลั่งไคล้ไปชั่วครู่ชั่วยาม แต่ถ้าเจอคนใหม่ที่เขาพร้อมจะเล่นด้วยกับตัวเอง ก็คงเปลี่ยนใจเองแหละ” ผมบอกกับน้อย
“คงไม่ใช่เพื่อนของน้อยแน่ค่ะ เขาพูดถึงคุณมาตั้งแต่ 4 ปีที่แล้ว ทุกวันนี้ก็ยังชอบพูดเรื่องคุณอยู่ ไม่ได้เข้าข้างเพื่อนนะคะ แต่น้อยพูดความจริง”
ผมพยักหน้าให้น้อยเป็นเชิงว่าผมเข้าใจในตัวเขา แล้วก็ยิ้มให้เขา เพื่อให้เขารู้ว่า ผมไม่ได้โกรธในสิ่งที่เขากำลังทำอยู่
“ครับ เชื่อครับ แต่ไม่อยากคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกแล้วนะครับ เพราะว่า ผมคงไม่เปลี่ยนใจแน่ อย่างไรก็ตาม ฝากคุณน้อยช่วยบอกให้เพื่อนเขาเตรียมตัวเตรียมใจไว้ด้วย บอกเขาว่า อย่าคาดหวังอะไรมาก หากไม่อยากที่จะพบกับความผิดหวังในภายหลัง”
น้อยขยับปากจะพูดกับผมต่อ แต่พอดี เดียร์เดินมาถึงตรงที่เราสองคนยืนคุยกันพอดี เขาทำหน้าเหรอหรา เมื่อเห็นน้อยมองหน้าเขา แต่น้อยรีบพูดกลบเกลื่อนแบบมีพิรุธ
“คุณเรียวเขาบอกว่าอาหารอร่อยน่ะเดียร์ คราวหลังถ้าคุณเรียวแกเกิดเปลี่ยนใจ อยากมาทานอีก นายก็พามาได้ทุกเมื่อเลยนะ เราจะลดให้เป็นพิเศษ”
“ถ้าเรียวชอบ ผมก็ยินดีพามานะครับ ถ้าอยากมากินอีกนะ” เด็กหนุ่มหันมายิ้ม ทำหน้าประจบประแจงใส่ผม”
ผมยิ้มตอบ ไม่พูดว่าไร เพราะไม่ได้อยากให้น้อยรู้สึกอึดอัดใจ อุตส่าห์มาพูดให้เพื่อน แล้วก็โกหกทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กลัวเพื่อนจะโกรธ หากผมไม่รับมุขเดี๋ยวเพื่อนสองคนนี้ก็จะผิดใจกันเปล่าๆ เดียร์เดินเข้าไปกอดน้อย พูดอะไรบางอย่างพอได้ยินกันสองคน แล้วเดินมาหาผม เราสองคนลาน้อยที่ตรงนั้น น้อยตะโกนไล่หลังมาขณะที่เราสองคนเข้าเดินไปขึ้นรถ
“วันหลังมาเที่ยว แล้วแวะมากินที่นี่กันอีกนะคะ”
“ครับ” ผมรับคำแล้วหันไปโบกไม้โบกมือให้ ก่อนจะขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ โดยมีเดียร์ก้าวขึ้นมานั่งด้านข้าง ผมขับรถออกไป โดยที่น้อยยืนมองพวกเราจนลับสายตา
“จะไปไหนต่อ.......กลับห้องพักเลยหรือเปล่า” ผมถามเขาเมื่อรถแล่นอยู่บนถนนใหญ่แล้ว
“เรียว อยากไปเที่ยวที่ไหนหรือเปล่าครับ” เขาย้อนถามผม ทำตาแป๋ว
“ทำไม จะพาไปเหรอ” ผมถามเขายิ้มๆ
“ครับ” เขาพยักหน้า
“ทำไมเกิดใจดีขึ้นมาล่ะ ขังฉันไว้ทั้งวัน คราวนี้เกิดจะตามใจให้ไปโน่นมานี่ได้ ไม่กลัวฉันหนีหรือไงล่ะ” ผมถามอีกด้วยความที่ไม่เข้าใจในเจตนาของเขา
“ไม่กลัวหรอก บอกแล้วไง เรียวไปไหน ผมไปด้วย ขอตามไปอยู่ใกล้ๆคุณน่ะครับ”
“มือเท้าฉันเป็นอิสระแล้ว ฉันหนี หรือสู้นายได้สบายมากเลยนะ ถ้าคิดจะจับฉันอีก คราวนี้ได้เจ็บตัวกันไปข้างแน่”
ผมแสร้งทำเป็นขู่ แต่เขาเอามือของเขามาแตะมือผมไว้ แล้วบอกว่า
“มือนุ่มนวลแบบเรียว คงจะสู้กับผมไม่ได้หรอกครับ แล้วผมก็ไม่อยากให้เรียวเจ็บด้วยนะ เรียวคงไม่คิดหาเรื่องแบบนั้นแน่ เพราะเราคุยกันดีๆก็ได้”
“งั้นฉันไม่กลับไปห้องพักนั่นอีกแล้วนะ ขับกลับกรุงเทพฯลยแล้วกัน”
ผมหยั่งท่าทีของเขา เด็กหนุ่มยิ้มหวานให้ผม
“ได้ครับ กลับเลยก็ได้ ที่ไหนก็ได้ที่มีเรียว ผมไปได้ทั้งนั้น”
“ไม่จับตัวฉันไว้แล้วแน่นะ”
เขาส่ายหน้า
“ไม่ครับ ผมไม่อยากทำให้เรียวอึดอึด ผมแค่อยากจะขอร้องคุณให้เป็นแฟนผม แค่อยากอยู่ใกล้คุณเท่านั้น ตอนนี้สิ่งที่ผมต้องการมันก็เป็นจริงแล้ว ไม่จำเป็นต้องมัดเรีเยวแล้วล่ะครับ”
“แล้วถ้าฉันพานายไปส่งตำรวจล่ะ แล้วแจ้งความว่านายลักพาตัว กักขัง หน่วงเหนี่ยวฉันไว้ นายติดคุกหลายคดีแน่”
ผมแกล้งพูดเพื่อให้เขากลัว ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกว่าผมสามารถทำตัวแบบสบายๆได้แล้ว ไม่มีการพันธนาการ ไม่มีการบังคับ หรือข่มขู่ มีแต่การเอาอกเอาใจอย่างสุดของเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆผม
“ถ้าเรียวจะทำ คงทำไปตั้งนานแล้วนะครับ เพราะเรียวมีโอกาสมากมายในการจะหนี หรือร้องให้คนช่วย แต่เรียวก็ไม่ทำ เพราะเรียวเป็นคนจิตใจดี แล้วก็คงรู้ว่า หากเรียวทำอย่างนั้น ผมก็คงหมดอนาคตแน่ ผมคิดว่าเรียวคงอยากจะทำให้ผมเป็นฝ่ายเปลี่ยนใจไปเองมากกว่า ใช่ไหมครับ”
เดียร์พูดยิ้มๆ ท่าทางเหมือนกับรู้เท่าทันความคิดของผมไปเสียทุกอย่าง ซึ่งความจริงสิ่งที่ เด็กหนุ่มพูดมาก็ถูก ผมรู้แน่แก่ใจดีว่าเขาไม่ได้ประสงค์ร้ายต่อตัวผม เด็กหนุ่มทำทุกอย่างลงไปเพียงเพราะรักและต้องการอยู่ใกล้ ก็แล้วไอ้การที่คนเราจะต้องมาติดคุกเพราะว่าเรารักใครคนหนึ่งมากจนเกินไป มันจึงดูเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่งในความคิดของผม ผมแค่รำคาญใจที่เขามาวอแว อยากสลัดเขาออกไปให้พ้นตัว แต่ผมก็ไม่ได้โกรธเคืองที่เขาจับตัวผมมา จนถึงขั้นที่จะเอาเขาเข้าตะรางหรอก
“นายต้องกลับไปเอาอะไรที่ห้องนั้นอีกหรือเปล่า”
ผมเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากให้เขาคิดว่าผมเป็นคนใจดี จนไม่กล้าทำอะไรเขา
“ไม่ครับ ผมไม่ได้เอาอะไรติดตัวมา นอกจากคุณ”
“ดีมาก ......งั้นกลับกันเลยดีกว่า บ้านนายอยู่ตรงไหน ฉันไปส่งให้”
“อื้อ เดี๋ยวบอกได้ไหมครับ อยากบอกเล่าเรื่องราวระหว่างผมกับคุณอีกสักเรื่อง แล้วดูว่าคุณจะตัดสินใจที่จะยอมรับผมเป็นแฟนได้ไหม”
ผมอยากจะร้องไห้ให้ตัวเองเสียเหลือเกิน เมื่อฟังเขาพูดจบ ถามเขาว่า
“นี่ยังจะพยายามอีกเหรอ”
เด็กหนุ่มพยักหน้า แล้วส่งรอยยิ้มที่อบอุ่นจริงใจมาให้ผม
“ครับ อยากทำให้เต็มที่ ไม่อยากยอมแพ้ง่ายๆ ไม่งั้นที่อุตส่าห์ลงทุนไปจับตัวคุณมา เสี่ยงต่อการที่คุณจะแจ้งความเอาผมเข้าคุก เสี่ยงต่อการที่จะเผลอทำร้ายคุณหากต่อสู้ขึ้นมา หากล้มเลิกง่ายๆสิ่งที่ทำไปก็จะสูญเปล่า ไม่มีความหมาย”
“ตื้อจริงๆเลยนะ เฮ้อ ไม่เคยเห็นใครดื้อรั้นดันทุรังแบบนายมาก่อนเลย”
ผมส่ายหัว ก่อนจะเบนรถเข้าไปสู่ถนนที่มุ่งสู่กรุงเทพ ผมได้ยินเสียงหัวเราะหึหึหึจากเขา
“ทำไมคุณไม่บอกเขาไปล่ะครับ ว่าคุณก็เคยไปดูคาร์บาเร่ต์โชว์คณะที่ผมเต้นอยู่มาแล้วครั้งหนึ่ง แล้ววันที่คุณไปวันนั้นผมก็เต้นด้วย”
อยู่ๆเขาก็พูดทำลายความเงียบขึ้นมา
“อะไร” ผมทำหน้างง
“ฉันเคยไปดูนายเต้นที่ไหนกัน ไม่เห็นรู้เรื่อง เพี้ยน จำคนผิดหรือเปล่า นายเนี่ย”
“ก็ที่คลับ..............ที่อยู่ตรงพัทยาเมื่อ ปีที่แล้วไงครับ”
เขาเอ่ยชื่อคลับสำหรับนักท่องเที่ยวมีชื่อที่พัทยา ผมทำท่านึก แล้วก็ร้องอ๋อ จำได้แล้ว เมื่อปีที่แล้ว ผมเคยพาเพื่อนๆที่ทำงานร่วมกันไปเที่ยวที่คลับแห่งนี้ แล้ววันนั้นเขาก็มีการโชว์แบบคาบาร์เร่ต์บนเวทีให้ดูด้วย ผมจำรายละเอียดการไปคราวนั้นได้ แต่ผมไม่ยักกับจำเรื่องเกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนนี้ได้
“ฉันไม่ยักกะรู้ว่าวันนั้นนายเต้นด้วย”
“คนดูทั่วๆไปอาจจะไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดในตัวคนที่มาเต้นหรอกครับ อีกอย่างวันนั้นผมก็ไม่ได้แต่งตัวเป็นผู้ชายตามปกติเหมือนอย่างทุกวันน่ะครับ คุณก็อาจจะจำไม่ได้ แต่คุณยังให้ทิปกับผมเลย แล้วก็ยังยืนคุยกับผมตั้งนานตอนที่เลิกการแสดงแล้ว”
เขาบอกผมด้วยแววตาเป็นประกาย ผมขมวดคิ้ว พยายามนึก
“อย่าบอกนะว่า นายคือน้องกระเทยคนนั้น” ผมร้องอุทานอย่างคาดไม่ถึง
“ใช่ครับ” เขายิ้มอายๆ
ภาพเหตุการณ์เมื่อหนึ่งปีที่แล้วผุดขึ้นมาในความคิดของผม ตอนนั้นผมมาตรวจเยี่ยมงานที่พัทยาอีกครั้ง เนื่องจากมีปัญหาเกิดขึ้น ผมทำงานอยู่บริษัทประกันชีวิต เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายพิจารณารับประกัน แต่ดูแลเรื่องการรับประกันชีวิตกับคนที่อยู่ทางภาคตะวันออกทั้งหมด โดยปกติงานที่ผมทำไม่มีความจำเป็นที่จะต้องออกต่างจังหวัด เพราะผมไม่ได้เป็นฝ่ายขาย แค่รอให้ตัวแทนไปขายประกันมา แล้วส่งงานเข้าบริษัทเท่านั้น
แต่บางกรณีตัวแทนไปขายประกัน แล้วเจอลูกค้าที่มีปัญหา เช่น ให้รายละเอียดเกี่ยวกับอาชีพไม่ชัดเจน หรือมีความเสี่ยงในแง่ของสุขภาพ หรือเสี่ยงต่อการเป็นโรคภัยไข้เจ็บร้ายแรง แล้วแถลงเข้ามาอย่างคลุมเครือหรือมีการปกปิด ผมและทีมงานฝ่ายตรวจสอบก็จะลงไปเยี่ยมเยียนพื้นที่ เพื่อดูว่าสิ่งที่แจ้งมามีความเป็นจริง น่าเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด แล้วก็ถือโอกาสลงไปพูดคุยให้ความรู้กับตัวแทนประกันชีวิต ให้เขาขายประกันได้อย่างถูกต้อง ซื่อสัตย์ และขายอย่างมีคุณธรรม ไม่เอารัดเอาเปรียบ หรือพยายามเข้าข้างลูกค้าจนเกิดเป็นกรณีทุจริตขึ้น
เด็กเดียร์นั่นพูดถูกอยู่บ้างตรงที่ผมเป็นคนชอบช่วยเหลือผู้อื่น เพราะตอนเด็กๆพ่อแม่ของผมจะพร่ำสอนเรื่องการทำความดีเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ตลอดเวลา พ่อผมเป็นหมอ ในขณะที่แม่ของผมเป็นครู แต่ผมน่ะไม่เลือกที่จะทำงานแบบพ่อกับแม่ เพราะเห็นว่าไม่มีอิสระ แล้วต้องวางตัวให้ดูดีน่าเคารพเชื่อถือตลอดเวลา ทำตามใจปรารถนาไม่ได้ ผมจึงเลือกที่จะทำงานอยู่ในแวดวธุรกิจประกันชีวิต เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายพิจารณารับประกันที่บริษัทแห่งหนึ่ง
ผมคิดว่าการที่เราจะช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนตกทุกข์ได้ยาก อยู่ตรงไหนก็สามารถทำได้ทั้งนั้น แต่การที่ผมเลือกทำงานนี้ เพราะผมเห็นว่าประกันชีวิตจะทำให้คนที่เดือดร้อนหลังจากการที่หัวหน้าครอบครัวต้องตายจากไปก่อนเวลาอันสมควรจะได้มีเงินจำนวนหนึ่งเลี้ยงตัวเองและลูกน้อยต่อไปจนกว่าจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตนเอง
เป็นเพราะผมรับผิดชอบในภาคตะวันออก ผมจึงต้องลงมาเยี่ยมเยียนพื้นที่แถบนี้อย่างน้อยก็ปีละ 2-3 ครั้ง เมื่อปีที่ผ่านมา ตัวแทนที่ส่งงานเข้ามา ไปขายประกันในวงเงินที่สูงมากให้กับนักธุรกิจคนหนึ่ง แต่เมื่อดูอายุและวงเงินพบว่า ลูกค้าคนนี้จำเป็นต้องตรวจสุขภาพ เพราะมีความเสี่ยงสูง แต่ลูกค้าไม่ยอมไปตรวจ
จากการสืบค้นพบว่า น่าจะมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น และตัวแทนไม่สามารถตอบปัญหาให้กับทางบริษัทได้ชัดเจน ผมและเพื่อนที่อยู่ฝ่ายตรวจสอบจึงลงมาพื้นที่เพื่อพบปะพูดคุยกับลูกค้าและตัวแทน แล้วก็เลยถือโอกาสออกเยี่ยมเยียนสาขาในภาคตะวันออกทั้งหมด จัดอบรมความรู้ให้กับตัวแทน
เราใช้เวลาเดินสายอยู่ที่นี่อาทิตย์หนึ่ง โดยไล่มาตั้งแต่ ตราด จันทบุรี ระยอง แล้วมาพัทยา ชลบุรี ก่อนจะกลับเข้ากรุงเทพ
วันที่ผมกับเพือ่นไปที่คลับนั้น เป็นช่วงสิ้นสุดการเดินทางอบรม และหลังจากที่เราเคลียร์ปัญหา จนทำให้ลูกค้ายอมไปตรวจสุขภาพได้แล้ว พวกเราก็เลยจะแวะมาพักผ่อนหย่อนใจกันที่พัทยา ก่อนจะกลับในวันรุ่งขึ้น เพื่อนผมอยากดูการแสดงของสาวประเภทสอง เพราะเห็นว่าที่พัทยามีคณะโชว์ดีๆหลายคณะด้วยกัน เราตระเวนท่องราตรีมาเรื่อยๆ ดื่มกินกันมาพอกรึ่มๆ ก็มาเจอคลับแห่งนี้ ผมกับเพื่อนเลยแวะเข้าไปดื่มกินพร้อมกับดูโชว์ไปด้วย ไม่ยักรู้เลยว่า ที่นี่จะเป็นสถานที่ที่ทำให้ผมได้พบกับเดียร์อีกครั้ง
เด็กหนุ่มยิ้มกว้างให้ผมอีก ผมปรายตามอง แล้วก็หันไปจ้องมองถนนเบื้องหน้า ไม่อยากจะเห็นรอยยิ้มกับตาแป๋วๆนั่น ไม่รู้เป็นไร ตั้งแต่รู้ว่าเขาไม่ได้คิดร้ายผม และที่ทำลงไปก็เป็นเพราะว่าเขารักผมมาก มันทำให้ผมรู้สึกใจอ่อนยวบยาบเมื่อเห็นแววตาและรอยยิ้มแบบนั้นจากเขา
“นั่นเป็นการเต้นที่ผมแต่งตัวเป็นผู้หญิงครั้งแรก และเป็นครั้งสุดท้ายด้วยที่ผมเต้น และทำงานให้กับที่นั่นครับ”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ แล้วทำไมอยู่ดีๆนายถึงไปแต่งเป็นผู้หญิงแบบนั้นได้”
ผมถามเขา ใจคิดไปถึง นักแสดงสาวประเภทสองรูปร่างสูงใหญ่ ในชุดราตรีสีแดงเพลิง ดูสวยสง่าเตะตา คนที่ผมได้คุยด้วยหลังจากที่เลิกการแสดงแล้ว และอะไรบางอย่างที่ผมได้ทำร่วมกับเขา แต่ยังนึกไม่ออกในตอนนี้
“วันนั้นตัวแสดงสาวประเภทสองคนหนึ่งเกิดป่วย หัวหน้าคณะเลยขอให้ผมแสดงแทน ผมเห็นว่า ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่เดินไปเดินมาเฉยๆบนเวที เพราะเพลงมันช้าอยู่แล้ว ผมไม่ต้องเต้นด้วย ก็เลยยอมครับ ก็เขินอยู่เหมือนกันนะ ที่ต้องใส่ชุดราตรีสีแดงขนาดนั้น ต้องใส่วิก แต่งหน้าทาปากเข้มให้ดูเหมือนผู้หญิง ต้องยัดสิลิโคนที่หน้าอก เพื่อหลอกว่ามีนม ใช้สเตย์รัดหน้าท้องให้กิ่ว จะได้ดูมีทรวดทรงองค์เอว แถมซ้ำยังต้องใส่ส้นสูงเดินด้วย เมื่อยขาชะมัดเลยครับ”
เขาหัวเราะอย่างขำตัวเอง ที่ทำแบบนั้นไปได้
“โชคดีที่การแสดงชุดนั้นเป็นชุดก่อนที่จะถึงชุดสุดท้าย แล้วผมก็ไม่ต้องออกมาเต้นต่อ ไม่งั้นคงจะเต้นไม่ไหวแน่ ตอนที่การแสดงจบลงแล้ว แล้วเขาให้พวกนักแสดงออกมายืนคอยส่งแขกที่มาเที่ยว ผมรู้สึกตื่นเต้น ใจสั่นไปหมดเลย ตอนที่เห็นคุณเดินออกมาจากข้างใน ไม่คิดว่าคุณจะไปเที่ยวที่นั่นด้วย
อุตส่าห์ยืนยิ้มให้คุณ พยายามส่งกระแสจิตไปหา ให้คุณมองกลับมาบ้าง อยากจะเข้าไปทัก แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะผมกำลังอยู่ในระหว่างการทำงาน อีกอย่างคุณก็กำลังยืนพูดคุยหัวเราะกับเพื่อนอย่างสนุกสนาน คุณก็เลยไม่ได้หันมามองทางผมเลย แต่วันนั้นผมก็พยายามมองนะว่า แฟนคุณคนนั้นมาด้วยกันหรือเปล่า แต่ไม่ยักกะเห็น”
“อ๋อ แซนดี้น่ะเหรอ เลิกกันหลังจากที่กลับมาจากพัทยาคราวนั้นน่ะแหละ วันที่ฉันบังเอิญไปช่วยนาย แล้วพาส่งโรงพยาบาลน่ะ แซนดี้เขาเกิดกลัวบ้าอะไรขึ้นมาไม่รู้ ทะเลาะกับฉันใหญ่โตเลยว่าเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับพวกนักเลงโต เดี๋ยวจะมีเรื่องเดือดร้อนตามมาทีหลัง เขากลัวว่าเขาจะถูกคนปองร้าย เลยพาลหาเรื่องเลิกกับฉันน่ะ”
“เหรอครับ ผมขอโทษนะครับ ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น แต่แหม ไม่อยากจะบอกเลยว่า ผมไม่รู้สึกเสียใจเลย ที่คุณเลิกรากับแฟนสาวคนนั้น ดีเสียอีกที่หมดคู่แข่งไปได้”
เขาหัวเราะอย่างร่าเริง จนผมอดรู้สึกหมั่นไส้ ไม่ได้ เลยขอต่อว่าสักหน่อยพอให้หายเคือง
“เอ้าหัวเราะเข้าไป ดีใจเข้าไป เรื่องความทุกข์ร้อนใจของคนอื่นนี่ชอบฟังจังนะ รู้สึกว่าการเห็นคนอื่นร้าวฉานกัน จะเป็นสิ่งที่ทำให้นายพึงพอใจใช่ไหม ฉันขอแช่งให้นายไม่สมหวังในเรื่องของความรัก รักใครก็ขอให้เขาไม่รักตอบ นายจะได้รู้ว่าความผิดหวังมันเป็นอย่างไร”
“อ๊า อย่านะครับ อย่าพูดจาอย่างนั้นสิ ไม่ดีนะ เดี๋ยวเข้าตัว เรียวนี่ ยังไงกันนะ ทำไมมาแช่งให้รักของเราไม่สมหวังล่ะ ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้เลยนะ แล้วอย่าพูดอย่างนี้อีกรู้ไหม ถ้าไม่อยากให้รักของเราจบลงในแบบที่ไม่ต้องการ”
ผมหยุดรถกะทันหัน อยากจะหัวเราะให้กับคำพูดแบบคิดเอง เออเองของหมอนี่ อีกทั้งรู้สึกหมั่นไส้ และระอาใจ กับความไม่รู้สึกรู้สาอะไรของเขา ไม่ว่าผมจะพูดว่าอะไรออกไป ก็ไม่ได้ทำให้เขากระทบกระเทือนแม้แต่นิดเดียว ยังคงมุ่งมั่นแน่วแน่กับสิ่งที่ตัวเองทำ
เด็กหนุ่มหัวเราะขำหน้าตาของผม มันคงจะดูประหลาดๆในสายตาของเขา ผมเหลือบมองหน้าตัวเองในกระจกมองหลัง เห็นใบหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งกำลังจ้องมองตอบกลับมา
“หัวเราะก็ได้ครับ”
เด็กหนุ่มทำหน้าทะเล้น ผมมองหน้าเขา แล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
เขาเองก็ประสานเสียงหัวเราะไปกับผมด้วย
“นายนี่ ไม่ไหวเลยนะ คิดไปเองฝ่ายเดียวก็เป็นด้วย” ผมยังไม่หยุดขำ
“ก็แหม จะมัวแต่คิดว่าเรื่องนั้นเรื่องนี้มันไม่มีทางเป็นไปได้ ได้อย่างไรเล่าครับ ตัดกำลังใจตัวเองหมด สู้คิดว่ามันต้องทำได้ ต้องเป็นไปได้ดีกว่า จะได้มีพลังใจที่จะทำ”