สมุดกระจก
มันต้องเป็นสามวันสองคืนที่โคตรน่าเบื่อแน่นอนเลย
นั่นคือความคิดแรกที่แล่นเข้ามาตอนเห็นป้ายผ้าดิบระบายสีตรงหน้า ไล่อ่านตั้งแต่ชื่อค่ายสุดเห่ยไปจนถึงผู้จัด แล้วด้านล่างสุดก็เป็นจำนวนวันที่ผมต้องติดแหงกอยู่
ถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ตั้งแต่ลืมตาตื่น หรือต้องบอกว่าตั้งแต่รู้ว่ามีชื่อของตัวเองติดอยู่ในรายชื่อผู้ได้เข้าร่วมกิจกรรม
คือไม่ได้อยากมาเลยไง ตอนเขียนใบสมัครแทบจะกรอกตามใจชอบเลยนะ
"ใครยังไม่ได้ลงทะเบียนมาตรงโต๊ะซ้ายสุดเลยนะครับ"
ขยับตัวไปต่อแถวในช่องตามที่บอก ถอนหายใจอีกสักครั้งให้อาการหงุดหงิดทั้งหมดนี่ลดลงไปบ้าง คณะของผมมีข้อบังคับเรื่องกิจกรรมสาธารณะหนึ่งครั้งในระยะเวลาสี่ปีของการเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ซึ่งเหมือนว่าจะขัดต่อสิทธิและเสรีภาพพื้นฐานอยู่เล็กน้อย แต่ทำยังไงได้ล่ะ
ในเมื่อคนมีสิทธิตะโกนเท่าไหร่ คนใส่หูฟังตอนเขียนข้อบังคับก็ไม่ได้ยินอยู่ดี
"น้องชื่ออะไรนะ"
"ดินทร์"
"อะไรนะ?"
"ดิน เติมทอรอทัณฑฆาต"
"...อีกรอบ"
กลอกตามองบน เกลียดชื่อของตัวเองก็เวลาอย่างนี้นี่แหละ "เขียนแค่ดินไปก็ได้"
"โอเค"
มองรุ่นพี่ปีสาม (ดูจากป้ายชื่อ) เขียนชื่อแบบตัดตอนของผมลงไปในป้ายกระดาษโฟโต้แต่งลายเป็นธีมค่ายของปีนี้ ตามด้วยแฮชแท็กที่มีเลขหนึ่งต่อท้ายเพื่อบอกชั้นปี
"อันนี้ร้อยไว้กับกระเป๋า เอาไปวางรวมตรงมุมห้อง แล้วจะเรียกรวมตอนสิบโมง"
อันนี้ที่ว่าคือกระดาษแข็งสีฟ้าตัดเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าเขียนชื่อของผม ด้านบนเจาะรูร้อยเชือกสีขาวแดงเอาไว้ พยักหน้ารับทราบพลางหยิบทั้งป้ายชื่อ ป้ายร้อยกระเป๋า แล้วก็เอกสารประกอบความเข้าใจมาไว้ในมือ ดูไร้มารยาทนิดหน่อยตอนนึกได้ว่าลืมพูดขอบคุณ คงยังเบลออยู่ล่ะมั้ง แค่แหกตาตื่นมาทันขึ้นรถทัวร์พัดลมตอนตีสี่ครึ่งนี่ก็บุญมากแล้วเถอะ
ทำทุกอย่างเสร็จตามที่บอกแล้วก็เหลือเวลาให้แกร่วอีกเกือบครึ่งชั่วโมง มองซ้ายขวาก็เจอกับเพื่อนร่วมรุ่นหน้าคุ้นหลายคนอยู่ ค่ายห้องสมุดคือค่ายที่หลายคนแย่งชิงกันมาเพราะระดับความลำบากในการทำงานน้อยที่สุด จากการรีวิวของรุ่นพี่หลายต่อหลายรุ่นแนะนำว่านี่คือตัวเลือกในการทำกิจกรรมสาธารณะที่ดีที่สุด
ที่จริงแล้วมันก็ไม่ได้มีแค่กิจกรรมทำค่ายอะไรอย่างนี้หรอกที่รวมอยู่ในข้อบังคับเรื่องกิจกรรมสาธารณะ ถ้าทำงานบางอย่างในระดับคณะหรือว่าระดับมหาวิทยาลัยเองก็เอามาใส่ได้เหมือนกัน ต้องเข้าใจคนไม่ชอบขยับตัวอย่างผมหน่อย เรื่องอะไรต้องเอาตัวเองไปติดอยู่กับงานที่ต้องใช้เวลาทั้งปีในการทำ ทั้งที่สามารถจบได้ในสามวันสองคืนอย่างนี้ แล้วอีกอย่างคือมันเป็นค่ายแรกที่จัดตั้งแต่ช่วงเปิดเทอมไม่นานเลย ทำให้มันจบๆ เลยก็ดี
ค่ายห้องสมุดชื่อก็บอกแล้วว่ามาทำห้องสมุด ปีนี้คนจัดทำค่ายเลือกสถานที่ไม่ไกลตัวมหาวิทยาลัยอย่างที่ต้องนั่งรถข้ามคืน อันนี้แค่ประมาณสี่ชั่วโมงกว่าก็ถึงแล้ว
สนามหญ้าแห้งมีสีเหลืองเป็นหย่อม ความกว้างของมันเป็นสองเท่าได้เมื่อเทียบกับสนามสมัยมัธยมของตัวเอง ความแตกต่างของโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลกับสิ่งที่เคยคุ้นมากเสียจนเผลอเดินสำรวจพื้นที่อื่นไปอีกหลายส่วน ทั้งโรงอาหารที่มีเก้าอี้ยาวเพียงไม่กี่ตัว ห้องคอมพิวเตอร์ที่ยังเป็นแบบจอหนา แล้วก็ห้องเรียนที่รวมชั้นประถมสามกับสี่ไว้ด้วยกัน
ยังหาส่วนที่ต้องมาเปลี่ยนแปลงไม่เจอ ผมเคยเข้าเวิร์กชอปแล้วครั้งหนึ่งก่อนจะมา รู้คร่าวๆ ว่าต้องทำอะไรบ้าง สร้างชั้นวางของใหม่ ทาสีห้องโดยรอบ แล้วก็ทำสื่อการสอนที่ง่ายแก่การเข้าใจ
"อันนี้จะเป็นรายชื่อแผนกงานในวันนี้นะ ใครที่อยากแลกก็หาเอาเองเลย"
ตอนที่กลับมารวมกันเวลาสิบโมงถึงเห็นว่ามีสมาชิกมาร่วมเยอะมากเมื่อเทียบกับสเกลงาน ก็อย่างที่บอกล่ะนะ นี่เป็นเบสท์ชอยส์สำหรับคนที่ต้องการเก็บกิจกรรมส่วนนี้
"พี่ชื่อพี่ศาสตร์นะครับ เป็นประธานค่ายปีนี้"
ตามมาด้วยเสียงปรบมือ ผมจ้องหน้าประธานจัดค่ายพลางคิดถึงผู้ชายคนที่แหกปากปาวๆ ตอนวันเวิร์กชอป คนละคนนี่นา ส่วนมากคนที่มาเข้าร่วมกิจกรรมเป็นเด็กปีหนึ่งและปีสองเกือบทั้งหมด ปีสามเป็นทีมจัด ส่วนปีสี่แค่ดูแลความเรียบร้อยในภาพรวม
"ส่วนที่อยู่ข้างๆ นี่พี่แก้ม รองประธาน ที่กดเครื่องคิดเลขอยู่ชื่อพี่ย้ง เหค่าย" พี่แก้มเป็นผู้หญิงตัวเล็กที่มาพร้อมกับแว่นตากรอบเหลี่ยมอันใหญ่ ส่วนพี่ย้งก็ตี๋สไตล์จีนมาเลย "แล้วก็...อ้าว?"
พี่ประธานผู้มาพร้อมกับรัศมีผู้นำหันซ้ายขวามองหาบางคน ผมชื่นชมความ 'ดูดี' แม้แต่ยามที่ต้องตามหาบางคนนั้นเงียบๆ ผมยาวลงมาเป็นทรงเห็ด ใบหน้าตามแบบผู้ชายอบอุ่นแล้วก็ใจเย็น พูดออกมาจบประโยคก็ยิ้มตลอดจนเมื่อยหน้าแทน
"มีใครเห็นสามบ้าง" "เตรียมของอยู่กับพัสดุนะ"
เสียงนั้นมาจากอีกมุมหนึ่งของห้อง ยังคงจ้องหน้าคุณพี่ศาสตร์ที่ผงกหัวขึ้นลงก่อนอธิบายต่อ "แล้วก็มีอีกคนคือพี่สาม อยู่ฝ่ายสวัสดิการบวกกิจกรรมบวกพัสดุ"
ขอชื่อฝ่ายอีกรอบได้ไหมนะ...
"สรุปง่ายๆ คือมันอยู่ทุกฝ่าย เห็นมันว่างเรียกได้ แต่ใช้ให้ทำงานแทนไม่ได้นะ"
เสียงหัวเราะครืนมาจากทุกภาคส่วน คำอธิบายต่อจากนั้นคือพี่สามที่ว่าจะเป็นคนดูแลภาพรวมทั้งหมดของการทำกิจกรรมไม่ว่าทางไหน ความจริงพี่เขารับหน้าที่ดูแลแค่ส่วนของสวัสดิการ แต่อย่างอื่นเป็นการโดนลากตัวไปช่วยเสียมากกว่า
"แล้วอันนี้คือ
สมุดกระจกนะ จะมีชื่อของทุกคนไล่ไปตามชั้นปี กระดาษกับปากกาวางเอาไว้ข้างๆ ขอความร่วมมืออย่าเผลอเอาปากกาติดมือไปด้วย งบประมาณมีจำกัดครับ"
ความเป็นกันเองที่ส่งผ่านวิธีการพูดและท่าทางการอธิบายคลายความตึงระหว่างคนแปลกหน้าได้ไม่น้อย ผมมองตามมือของพี่ศาสตร์ที่ชี้ไปทางด้านหลังของห้อง บอร์ดกรอบไม้หนึ่งของห้องถูกคลุมด้วยกระดาษสีราคาถูก ที่ติดอยู่เรียงกันคือซองจดหมายสีน้ำตาลอ่อนขนาดประมาณเอห้าเขียนชื่อของสมาชิกเอาไว้
มองจากล่างขึ้นบนเพราะพี่เขาบอกเอาว่าเรียงตามชั้นปี ผมเจอชื่อของตัวเอง (แบบที่ไม่มีทอรอและทัณฑฆาต) อยู่ตรงริมขวาสุด เป็นมุมที่สังเกตได้ง่ายเหมือนกัน
"เผื่อว่าอยากคุยอะไรกับใครแล้วไม่กล้าก็หาเวลาว่างมาเขียน หรือจะเอาไว้ด่าตอนอู้งานก็ได้นะ"
มันเป็นส่วนน่าตื่นตาสำหรับผม ก็เป็นคนประเภทที่ไม่เคยไปไหนไกลว่าค่ายลูกเสือตอนมัธยมต้นเลยนี่นา อย่างค่ายรด. ก็คงไม่นับเนอะ...
"ตามตารางอีกไม่เกินห้านาทีก็น่าจะออกไปกินข้าวเที่ยงได้แล้ว หลังจากนั้นก็เริ่มงานภาคบ่ายได้เลยนะครับ อุปกรณ์มีเตรียมเอาไว้แล้วตามห้อง ถ้าขาดเหลืออะไรห้องพัสดุจะอยู่ชั้นหนึ่งติดกับบันได"
การขานรับดังมาจากทุกส่วน บางคนก็ลุกขึ้นขยับร่างกายเตรียมตัวสำหรับอาหารกลางวัน หรือไม่ก็หันมานั่งจับกลุ่มคุยกันเรื่องทั่วไป
ผมหันไปมองชื่อตัวเองที่เขียนไม่ถูกอยู่อย่างนั้น
รีบกินข้าวแล้วกลับมาแก้หน่อยแล้วกัน
ดินดิน ...แล้วไหงตอนที่ผมกลับมาตอนเย็นชื่อของตัวเองก็ถูกเปลี่ยนไปแล้วล่ะ
ใช้เวลาทานอาหารกลางวันง่ายๆ อย่างไข่พะโล้กับกะเพราะไก่สับเพียงไม่กี่สิบนาที บางคนเดินออกมาก่อนด้วยซ้ำ ผมนั่งทานอาหารกับเพื่อนรุ่นเดียวกันที่ไม่ได้สนิท เป็นการเริ่มต้นความสัมพันธ์โดยใช้เรื่องของชั้นปีมาเป็นตัวเชื่อม ไม่รู้ว่าตัวเองทานเร็วหรือพวกเขาอ้อยอิ่งขนาดผมรอสักพักแล้วยังทานไม่ถึงไหนเลย
จากนั้นก็ทำงานในส่วนที่ตัวเองได้รับมอบหมาย ไม่มีโอกาสได้เข้าไปแก้ไขชื่ออย่างที่ตั้งใจเอาไว้ เพราะพี่ศาสตร์มาประกาศว่าไม่อยากให้งานส่วนของคืนนี้เลิกดึก เลยขอความร่วมมือร่นระยะเวลาทานข้าวลงหน่อย
ผมต้องไปทำสื่อการสอนสำหรับเด็กประถมต้น เป็นตารางคำศัพท์เกี่ยวกับร่างกายแบบภาษาอังกฤษง่ายๆ หนึ่งความรู้ใหม่คือการเรียนของเด็กในพื้นที่ห่างไกลจากตัวเมืองบางครั้งมีบุคลากรน้อยเสียจนต้องเอามารวมห้องกันเพื่อให้สะดวกต่อการดูแล และการเรียนของพวกเขาก็แตกต่างไปจากที่ผมเคยผ่านมาพอสมควร
ทุกอย่างถูกเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้วไม่ว่าจะเป็นแผ่นพีพีบอร์ด กระดาษสี แบบตัวอย่างที่ให้ตัดแปะ แล้วก็วิธีการใช้งานหากไม่เข้าใจ โดยเฉพาะส่วนล่างสุดที่บอกว่าหากเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาให้ติดต่อพี่สามได้เสมอ
"พี่สามนี่เก่งขนาดนั้นเหรอ"
ตั้งแต่เช้าที่มีคนเรียกหาเขาแล้ว ผมไม่ค่อยได้เข้าสังคมในคณะเท่าไหร่น่ะ
"ทำได้หลายอย่างอะ"
"ดูเป็นที่รักของทุกคนดี"
กวาดตาเร็วๆ ก็เห็นว่านอกจากชื่อของตัวเองแล้วของคนอื่นก็ถูกแก้ไขเพิ่มเติมเหมือนกัน อย่างเช่นของพี่ศาสตร์นี่มีคนเอาออกจนเหลือแค่คำว่า 'สาส' อยู่เด่นหรา พี่ย้งก็กลายเป็นยุ่ง
กระดาษที่วางเอาไว้ให้สำหรับเขียนใส่ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่เมื่อทุกคนดูมีความสุขกับการเขียนไปบนหน้าซองเลยมากกว่า ผมเห็นลายเซ็นต์ของพี่ศาสตร์ประธานค่ายพร้อมคำว่าขอบคุณอยู่บนมุมขวาบนของทุกซอง ตราปั๊มยางลายนกฮูกของพี่แก้ม แล้วก็ข้อความย้งมาเยือน ที่เห็นของสามคนนี้ก่อนคงเป็นเพราะพวกเขามีหน้าที่ดูแลภาพรวมเลยมีเวลาพอที่จะแวะมาก่อนที่จะเจองานหนัก
ไล่ดูชื่อเล่นใหม่ของทุกคนไปจนครบ เลยเพิ่งเห็นว่าพี่ที่ชื่อสาม
...กลายเป็น 'สามี <3 ' ไปแล้ว
"งั้นคืนนี้เอาไว้แค่นี้ แยกย้ายไปอาบน้ำได้เลยครับ"
คุยปัญหาที่เกิดขึ้นรวมถึงทำความเข้าใจงานในวันรุ่งขึ้นเสร็จก็ได้เวลาพักผ่อน เรานอนรวมกันในห้องเรียนหนึ่งซึ่งถูกปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นห้องนอนชั่วคราว เสื่อยาวเป็นเมตร ผ้าห่มผืนบางกับหมอนสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก ของอภินันทนาการจากวัดที่ห่างออกไปไม่ไกล
บางคนคงเป็นตัวเซียนในการมาค่าย เลยเตรียมพร้อมทั้งถุงนอนแล้วก็หมอนผ้าห่ม เสียงพูดคุยกันดังเป็นระยะต่างจากโลกในเมืองที่มักจะเป็นการคุยผ่านตัวอักษร เรื่องที่คณะผู้จัดย้ำเตือนมาตั้งแต่ก่อนเริ่มค่ายว่าเรามาทำประโยชน์ให้เขา ไม่ควรจะทิ้งภาระใดๆ ไม่ว่าทางตรงแล้วก็ทางอ้อม อย่างเรื่องการชาร์จโทรศัพท์ก็เหมือนกัน เรื่องง่ายที่หลายคนมักมองข้ามกันไป
เราตกลงให้ผู้หญิงเข้าไปอาบน้ำก่อนตามความรู้สึกอย่างที่ควรจะเป็น ตอนนี้ผมมีเพื่อนเพิ่มขึ้นมาอีกสองคนแล้วนะ เราทำงานฝ่ายเดียวกันในวันนี้ แล้วพรุ่งนี้ก็ยังบังเอิญได้ทำเหมือนกันอีก พวกเขาเป็นเพื่อนกันมาก่อนค่ายแล้วเลยรู้จักกันพอสมควร และความเป็นกันเองนั้นก็ช่วยให้ผมเข้าเป็นส่วนที่สามได้ง่าย
"ไปดูสมุดกระจกกันไหม?"
คงจะเบื่อกันแล้วมั้ง พอคิดอย่างนั้นผมก็เลยคิดได้ว่าที่ไปดูครั้งก่อนตัวเองลืมตรวจข้างในซองไปเสียสนิท ก็เอาแต่มองปฏิบัติการปรับเปลี่ยนชื่อของคนอื่นจนลืมไปเลยว่ามันมีข้างในด้วย
สมาร์ตโฟนของตัวเองมีประโยชน์ที่สุดก็ตอนนี้แหละ ตอนที่ใช้เป็นไฟฉายพาพวกผมจากส่วนห้องนอนไปยังห้องทำงานส่วนกลาง เราไม่ได้ล็อกห้องเอาไว้เพราะคงไม่มีใครหลบเข้ามาขโมยกองหนังสือเป็นตั้งอย่างนี้ เป็นพื้นที่ส่วนกลางที่เปิดรับคนแปลกหน้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยล่ะ
พอถึงจุดหมายต่างคนก็แยกย้ายไปตามชื่อของตัวเอง ผมมองซองสีน้ำตาลของตัวเองเทียบกับที่อยู่ในความทรงจำว่ามีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง เหมือนมีชื่อของใครก็ไม่รู้เซ็นต์เพิ่มเติมตรงส่วนล่าง นอกนั้นก็ยังเป็นซองของ 'ดินดิน' คนเดิมไม่มีอะไรอีก
"ใครแม่งเริ่มวัฒนธรรมนี้วะ"
เห็นจากหางตาว่าชื่อของเพื่อนถูกเปลี่ยนไปจนต้องกลั้นขำ คนที่ทำก็สร้างสรรค์ดีเหมือนกันนะ
"กูชอบของพี่ศาสตร์ที่สุดล่ะ"
จากชื่อพี่ย้งที่เป็นยุ่ง ก็มีเติมต่อท้ายจนกลายเป็น 'ยุ่งกับเงิน' ตำแหน่งเหรัญญิกตรงบรรทัดถัดมาบอกผมว่าที่มาของชื่อนั้นคืออะไร ต้องขอบคุณที่ตัวเองยังไม่เป็นที่รู้จักของใคร ไม่อย่างนั้นล่ะคงมีเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดกันบ้าง
ชอบที่สุดตอนนี้คงเป็นพี่กรปีสอง กลายเป็นกูปรีไปแล้ว มีบางอันแอบแรงนิดหน่อยเลยไม่ค่อยอยากจะเอามาออกอากาศ
ดูชื่อที่เปลี่ยนไปแบบไม่เต็มใจของทุกคนแล้วกลับมาเปิดซองของตัวเองว่าข้างในจะมีกระดาษส่งมาทักทายไหม กลายเป็นเด็กเด๋อที่ตื่นเต้นกับทุกอย่างไปแล้วสิ
สัมผัสของเศษกระดาษในถุงพาให้ใจเต้นแรง ผมล้วงซ้ายขวาในถุงจนมั่นใจว่ามันไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่แล้วถึงดึงมือออกมาดูว่าข้อความที่เขียนอยู่บนนั้นมีอะไรบ้าง
หล่อจังเลย
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ค่ายห้องสมุดค่ะ
สรุปแล้วชื่อน้องเขียนว่ายังไงอะ ยอมรับก็ได้ว่าไม่ค่อยคุ้นกับการที่ได้อ่านอะไรอย่างนี้เลย ดูจากการลงท้ายชื่อและชั้นปีเอาไว้หลายแผ่นเป็นการกล่าวคำต้อนรับจากรุ่นพี่ปีสามที่เป็นรุ่นจัดงาน คนที่ถามว่าชื่อของผมเขียนยังไงต้องเป็นคนที่รับลงทะเบียนผมในตอนเช้าอย่างแน่นอน ส่วนคนที่ชมว่าผมหล่อนี่ยังเดาไม่ออก
ส่วนมากมันก็เป็นการทักทายง่ายๆ จนกระทั่งสองแผ่นประหลาดสุดท้ายที่ไม่ลงชื่อผู้ส่งเอาไว้
ยินดีต้อนรับครับ ; D
ข้าวเย็นอร่อยไหม? ...แปลกใจเหมือนกันนะตอนที่เห็นกระดาษสองแผ่นนี้
ลายมือคล้ายกันจนบอกได้ว่ามาจากบุคคลปริศนาเพียงคนเดียว ผมไม่กล้าเดาไปเองว่ามันเป็นของใครกัน คนมาร่วมค่ายก็ตั้งหลายสิบชีวิตจะให้ไปตามหาคงไม่ง่าย
แล้วถามอย่างนี้จะตอบได้ไงล่ะ ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนถามนี่นา
"กลับไปอาบน้ำกันได้แล้ว เดี๋ยวยิ่งหนาวไปกว่านี้นะ"
ยังไม่ทันได้เก็บรายละเอียดมากไปกว่านั้นก็ต้องเก็บเศษกระดาษทั้งหมดลงซองไว้อย่างเดิม เร่งฝีเท้าเดินกลับไปยังส่วนของห้องนอนที่แน่นอนว่าไม่มีทางได้สัมผัสคำว่าเครื่องปรับอากาศ ส่วนอาบน้ำไม่ได้เป็นห้องอาบน้ำเสียด้วยซ้ำ มันเป็นแผงผ้าพลาสติกแบบสีที่ถูกผูกขึ้นมาเป็นที่กั้นเอาไว้ ข้างในมีถังน้ำกับขันเตรียมไว้พร้อม
"น้องๆ น้ำพอไหมมม"
"พอครับพี่สาม"
"รู้ได้ไงว่าเป็นพี่ที่ชื่อสาม" เลิกคิ้วขึ้นถาม ผมยังไม่เห็นตัวของพี่เขาเลยด้วยซ้ำตั้งแต่มาถึง "ได้ยินแต่เสียงเนี่ยนะ"
"รู้อะ ไม่รู้ดิ มันมีเซ้นส์ที่บอกว่านั่นคือพี่สาม"
"เก่งจัง"
"กูจำพี่เขาได้ตั้งแต่วันแรกแล้วอะ ที่ให้มานั่งฟังประวัติคณะ คนที่เป็นเอ็มซีไง"
นึกตามเรื่องเล่าของเพื่อน วันแรกเหรอ ประวัติคณะ ทำไมผมถึงไม่คุ้นว่าตัวเองเคยผ่านประสบการณ์อะไรอย่างนั้นมาล่ะ
"อ้อ ไม่ได้มา" จำได้แล้ว ตอนนั้นผมยังนอนเล่นเกมอยู่บนเตียงนอนอยู่เลย
"หืม?" เสียงในลำคอมีคำถามอื่นตามมาด้วย "เขาบังคับไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่มาต้องไปซ่อมปีหน้า"
ยักไหล่ขึ้นเล็กน้อย กวักน้ำอีกขันมาทำความสะอาดส่วนแขน "กูมีเส้น"
"ไรว้า รุ่นพี่แม่งโคตรขู่จนกูไม่กล้าโดดอะ ถ้ารู้งี้ไม่มาหรอก"
"น่าเบื่อขนาดนั้นเลยเหรอ"
"โดยรวมก็ใช่ แต่มันก็มีข้อดีอยู่แหละ เช่นการได้เจอพี่สามเป็นต้น"
ถ้าพื้นที่ตรงนี้มีแสงไฟสว่างกว่านี้หน่อยคงเห็นผมมองบนไปแล้วล่ะ ทำไมทุกคนถึงได้ดูอวยและเทิดทูนบูชาพี่เขาขนาดนี้
"กูชอบตอนเขาเล่นมุกกับพี่เอ็มซีอีกคน ตลกดี"
"ลองไปคุยกับพวกผู้หญิงสิ พวกนั้นน่าจะให้ข้อมูลได้ดีกว่า"
"พี่เขาน่ารักดี แต่เห็นว่ามีแฟนแล้วนะ"
ฟังเพื่อนใหม่ทั้งสองคนคุยกันโดยไม่เข้าไปแทรก ก็ผมไม่มีความรู้ในเรื่องที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่เลยนี่นา
ที่จริงแล้วก็ใช้เวลาไม่นานในการอาบน้ำ ไปหนักตรงที่เอาแต่คุยกันทั้งที่ยังตัวเปียกอยู่นั่นแหละ ถ้าเป็นหวัดก็ไม่ต้องสืบเลยว่ามาจากไหน ทั้งอากาศแล้วก็สภาพการแต่งกาย เอื้ออำนวยต่อการทักทายของเชื้อไวรัสสุดๆ
การพูดคุยของเราต้องลดระดับเสียงลงเมื่อเข้าสู่ส่วนของห้องนอนชั่วคราว มีบางส่วนหลับสนิทไปแล้ว และบางคนก็นั่งเล่นโทรศัพท์ โดยรวมแล้วถึงไฟในห้องจะยังเปิดสว่างแต่ก็ไม่มีใครส่งเสียงออกมารบกวนกันจนคิดว่าตัวเองกำลังอยู่ในโซนเงียบของห้องสมุด
จัดการเก็บเสื้อผ้าที่ใส่แล้วในวันนี้ยัดลงถุงพลาสติก เตรียมของให้พร้อมสำหรับการหยิบจับในวันพรุ่งนี้ ความรู้ใหม่อย่างหนึ่งที่ผมได้จากเพื่อนคือคนส่วนใหญ่มักจะไม่อาบน้ำตอนเช้าเวลามาทำค่าย เพราะมันเปลืองเวลาแล้วการไปเผชิญกับน้ำเย็นอย่างนั้นมันก็ไม่ดีเท่าไหร่ เลยมักจะตื่นขึ้นมาอาบน้ำแปรงฟันเปลี่ยนชุดแล้วก็ทำงานเลย
คือผมก็ไม่ได้รู้อะไรมาก แต่ถ้าเขาว่ากันอย่างนั้นก็จะเชื่อก็ได้
"ไว้เจอกันตอนเช้า อย่ากรนนะ"
วันแรกจบลงไปแล้ว มันก็ไม่ได้น่าเบื่ออะไรนี่นา
และผมก็ได้เห็นหน้าพี่สามในช่วงเช้าของวันที่สอง
หลังจากที่ได้หลับพักผ่อนมาตลอดคืน (พร้อมเสียงกรนและเสียงละเมอของบางคน) ในช่วงเวลาหกโมงกว่านาฬิกาปลุกมนุษย์ก็ทำงาน โทรโข่งที่ทำหน้าที่กระจายเสียงปฏิบัติงานอย่างแข็งขันจนผมคิดว่าบางทีก็ไม่ต้องเร่งเสียงให้มากขนาดนั้นก็ได้
สภาพของแต่ละคนตอนตื่นนอนบอกเลยว่าโคตรตลก ผู้ชายก็มาพร้อมกับหัวทรงรังนกที่แตกต่างกันไปตามท่านอน ส่วนผู้หญิงนี่เหมือนจะใช้ตาทิพย์เดิน แล้วคือพอไปรวมกับชุดนอนที่แตกต่างกับไปตามสไตล์แล้วเหมือนกับเรากำลังเป็นม็อบซอมบี้อะไรสักอย่าง
ส่วนเหตุผลในการปลุกขึ้นมาน่ะเหรอ
ออกกำลังกายยามเช้าไง
ตอนที่ทุกคนได้ยินอย่างนั้นเสียงร้องประท้วงนี่ดังระงมเลยล่ะ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะเดินมาถึงสนามแล้ว พวกปีจัดคงวางแผนมาแล้วว่าตอนเช้าอย่างนี้คงยังไม่มีใครมีสติพอที่จะลุกขึ้นมาทำตัวเป็นหัวหน้าหน่วยประท้วงเลยมัดมือชกเอาเสียเลย
"เพื่อให้ร่างกายพร้อมสำหรับการทำงาน เรามาขยับกันหน่อยเนอะ"
ผู้ชายที่ยืนอยู่บนเวทีขนาดเล็กดูสดใสเหมือนอากาศยามเช้ารอบตัว ผมหรี่ตา (ที่ไม่ใช่เพราะยังง่วงอยู่) เพื่อดูว่าพี่ที่กำลังยืนอยู่ตรงนั้นคือคนที่ผมคิดเอาไว้หรือไม่
"พี่สามแม่งดีดแต่เช้าเลย"
แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ ผมยังไม่ได้เห็นหน้าพี่เขาเต็มๆ หรอกแต่ว่าคุ้นเสียงอยู่ ตอนแรกไม่แน่ใจเพราะว่าเสียงที่ออกผ่านลำโพงมันไม่เหมือนเสียงจริงสักเท่าไหร่
"ยังไม่ได้นอนอะดิ"
"ไม่นอน?" หันไปถามทันที ทำไมต้องทำร้ายร่างกายตัวเองขนาดนั้นกันด้วย "มีงานอะไรที่ต้องทำเยอะมากเลยเหรอ"
"บางทีก็ต้องมีการแบ่งเวรเฝ้ากลางคืนอะ เผื่อมีอันตราย"
"เหรอ..." ผมไม่ค่อยเข้าใจวัตถุประสงค์หรอก จะมีอันตรายอะไรที่มากไปกว่าการที่ต้องตื่นขึ้นมาตอนเช้าเพื่อทำงานต่ออีกเหรอ "แปลกดี"
"แต่นี่มันค่ายห้องสมุด ไม่ค่อยน่ากังวลหรอก"
"ก็จริง"
บทสนทนาของเราจบลงเมื่อเสียงเพลงดังผ่านลำโพง ผมทำหน้าแบบคนที่ยังไม่อยากจะยอมรับความจริงอะไรมากนักเมื่อจับจังหวะได้
คือเพลงแม่งอนุบาลเด็กน้อยมากอะ
"ต่อไปยกแขนขวาขึ้นครับ"
พี่สามแม่งเป็นผู้นำสันทนาการที่โคตห่วยแตก นอกจากท่าการนำเป็นอะไรที่เคยขยับครั้งสุดท้ายเมื่อชั้นประถมแล้วตัวคนนำเองยังลืมบางท่าอีก
"สาม กูง่วง ปล่อยกูไปนอน!"
พอเวลาผ่านไปสติก็คงกลับมาเข้าร่างกันมากขึ้น ตอนนี้รุ่นพี่คนที่เขียนชื่อของผมไม่ถูกก็ตะโกนขึ้นมากลางเพลงเพื่อประท้วงการหลอกลวงในครั้งนี้
"ไอ้สัตว์ นี่กูลงทุนไปดูวีดีโอการออกกำลังกายของกรมสุขภาพจิตมาเลยนะ"
"กรมสุขภาพจิตพ่อง นั่นไว้รักษาพวกมีอาการทางจิต"
"อ้าว แล้วกูไปดูของอะไรวะ"
เรียกได้ว่าสบโอกาสให้หนีก็ต้องใช้ เหล่าสมาชิกผู้ถูกหลอกให้มาขยับร่างกายในเวลาที่ควรจะได้นิทราต่างหันมาสบตากันแล้วพยักหน้าโดยไม่ได้นัดหมาย ถึงผมจะไม่ใช่พวกที่อ่านใจคนได้แต่ก็พอรู้แหละว่ามันมีความหมายว่าอะไร
ใครอยู่ต่อก็โง่
จากหนึ่งเป็นสอง และกลายเป็นอนุกรมแบบยกกำลัง ในช่วงเวลาที่พี่สองคนยังเถียงกันว่ากรมไหนเป็นคนดูแลเรื่องสุขภาพของคนไทยผมก็ถูกเพื่อนลากออกมาจากพื้นที่ตรงนั้นเสียแล้ว
ด้วยความที่ยังใหม่กับกลุ่มกิจกรรมการทำค่ายผมเลยอดหันหน้ากลับไปมองไม่ได้ว่าพี่เขาจะรู้สึกแบบไหนกับการที่ต้องรู้ว่ากิจกรรมที่ตั้งใจทำมันพังลงไปแล้ว
"..."
เลยเห็นว่าสายตาของพี่สามกำลังมองตรงมาทางนี้อยู่
"กลับไปนอนกันเถอะ"
"งั้นเราไปเดินเล่นนะ"
ผมไม่ใช่พวกที่ตื่นแล้วจะกลับไปนอนต่อได้ง่ายตั้งแต่เด็กแล้ว ถ้าตาสว่างเมื่อไหร่ไม่ต้องหวังว่าจะมีการนอนหลับรอบสอง ถ้ากลับห้องไปตอนนี้ก็คงเป็นพวกส่วนน้อยที่ทำได้แต่นั่งโง่ๆ มองซ้ายขวาไม่มีประโยชน์อะไร พอดีว่างแล้วก็หาเรื่องสำรวจสถานที่ไปแล้วกัน
ชุดนอนของผมไม่ได้ดูเน่ามากเท่าไหร่เมื่อเทียบกับบางคน น่าจะไม่มีปัญหากับการเดินร่อนไปมา โอเค มันไม่ใช่ชุดนอนที่ใส่ประจำเพราะไม่กล้าเสี่ยงว่าการต้องมานอนร่วมกับคนแปลกหน้าจะต้องเจออะไรบ้าง ผมเลยใส่เป็นกางเกงขาบานสีเทากับเสื้อยืดสีขาวตัวใหญ่ เซฟดี
มันเป็นบรรยากาศที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน สนามหญ้ากว้างใหญ่ ตึกเรียนที่มีเพียงสองชั้น อุปกรณ์การเล่นกีฬาที่ผ่านการใช้งานมาพอสมควร อากาศยามเช้าสดชื่นแบบที่หาไม่ได้ในเมือง
สำหรับผมแล้วแค่ได้เดินเล่นก็เป็นการชาร์จแบตที่ดียิ่งกว่าการต้องมายืนออกกำลังกายเมื่อครู่ ระหว่างทางเดินกลับห้องพักมันจะต้องผ่านส่วนของห้องกลางที่มีสมุดกระจกติดเอาไว้ คิดแล้วก็แวะเข้าไปดูหน่อยดีกว่า
ข้างในไม่มีใครอยู่สักคน คงกลับไปนอนกันหมด ผมเดินไปถึงซองที่มีชื่อของตัวเองแปะเอาไว้ นึกย้อนกลับไปถึงข้อความมีพิรุธเมื่อวาน ที่จริงก็ไม่ได้หวังว่ามันจะมีกระดาษแผ่นอื่นเพิ่มเติมหรอก ก็ช่วงเวลาตั้งแต่เมื่อคืนลากยาวมาถึงเช้าวันนี้มันไม่มีเวลาว่างสำหรับการทำอะไรอย่างนี้นี่
แต่มันก็ยังมีข้อความใหม่อยู่นะ อย่างเช่นกระดาษที่เขียนบอกว่ายินดีที่ได้เจอกันในค่ายจากเพื่อนคนที่ผมอยู่ด้วยในเวลานี้ แล้วก็มีขอเฟซด้วย
Good Night อย่าลืมสวดมนต์ก่อนนอนนะ ใครกันนะ...
นอกจากของเพื่อนแล้วมันก็มีแผ่นนี้นี่แหละที่เป็นของใหม่ ผมรื้อหาของเก่าเพื่อเอามาเปรียบเทียบลายมือ เป็นที่แน่ใจได้ว่ามันมาจากคนคนเดียวกัน เทียบจากความหวัดของตัวอักษรแล้วผมไม่คิดว่ามันเป็นลายมือของผู้หญิง
แต่ผู้ชายที่ไหนจะมาส่งข้อความหาผมอย่างนี้เนี่ย
เก็บความสงสัยเอาไว้ก่อน ก็ลองคิดแล้วมันไม่มีอะไรที่น่าจะเป็นคำใบ้พาให้ผมไปถึงจุดเฉลยได้เลยนี่นา ไว้รอหาช่องว่างระหว่างการทำงานดีกว่า หรือไม่ก็รออ่านลายมือของคนอื่นหน้าซองนี่แหละ
คิดว่าตัวเองเถลไถลพอแล้ว ได้เวลากลับไปห้องนอนสักที ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาจะตื่นกันอีกรอบหรือยัง นี่ก็ใกล้เวลาที่ตั้งเอาไว้ตามตารางการทำงานแล้วด้วยสิ ผมลากร่างอ่อนแรงเดินกลับไปอย่างยากลำบาก สงสัยเพราะเมื่อคืนได้นอนหลับไม่เต็มอิ่มด้วยแหละ ตาเริ่มปิดลงมาแล้ว
จากห้องกลางจะต้องผ่านห้องอุปกรณ์ก่อนจะเจอส่วนของห้องนอน ผมมองรุ่นพี่สองสามคนนำของออกมาวางจัดเรียงหน้าห้องด้วยความขยันขันแข็ง เป็นฝ่ายนี้ก็ใช่ว่าจะสบาย นอกจากต้องละเอียดแล้วยังต้องเด็ดขาดพอที่จะจัดสรรของให้พอดีกับงานอีก
"?"
ผมไม่รู้จักพี่คนอื่นแต่ว่าผู้ชายคนเดียวตรงนั้นเป็นคนเดียวกับที่นำออกกำลังกาย เขาก้มเงยอยู่อย่างนั้นสองสามครั้งก่อนจะพยักหน้าคล้ายกับการอนุญาตให้นำไปใช้ได้ และเมื่อหัวหน้าฝ่ายที่ทำทุกอย่างเห็นว่าผมกำลังมองอยู่ก็ส่งยิ้มมาให้
แล้วละแวกนี้มันก็มีแค่ผมอยู่คนเดียวด้วยสิ
***
(ต่อด้านล่างค่ะ)