ไม่มีความจริงในความจริง
หนึ่ง แนะนำตัวหน่อย ชื่อปรัญ ชื่อเล่นปัน เป็นนักศึกษาโครงการทุนผู้มีศักยภาพประจำปีนี้ครับ
เด็กโครงการต้องทำอะไรบ้าง? เยอะแยะ แล้วแต่ว่าจะถูกเรียกไปใช้งานในส่วนไหน บางคนอยู่ห้องธุรการ ห้องฝ่ายการนักศึกษา อย่างเราก็ได้อยู่งานที่ปรึกษา
มีเก็บชั่วโมงการทำงานไหม? มีแต่เหมือนไม่มี คือปกติแล้วพอจบเทอมจะต้องให้หัวหน้าฝ่ายงานเซ็นต์ผ่านไง ถ้าไม่โผล่หน้ามาให้เห็นเป็นประจำก็เตรียมโดนริบทุนได้ ดีไม่ดีถูกเรียกเก็บย้อนหลังด้วย เหมือนว่าในสัญญาจะเขียนเอาไว้นะ
ดูเหมือนว่าจะเคร่ง? พอคิดว่าได้เงินค่าจ้างด้วยแล้วมันก็พอหักลบกันได้
ตั้งแต่ทำงานในโครงการมา มีเรื่องอะไรน่าสนใจไหม? (คิดนานมาก) มันก็มีแหละ...ทุกเรื่องเป็นอะไรที่ใหม่ น่าสนใจทั้งหมด
มีอะไรอยากจะฝากบอกเด็กที่จะเข้ามาในโครงการนี้ปีหน้าบ้าง? ก็ลองดูถ้าคิดว่าคุณสมบัติผ่าน ได้เรียนฟรีมีเงินใช้ แล้วมาเป็นมนุษย์แรงงานด้วยกันนะครับ (ยิ้มกว้าง)
กระดาษเอสี่ที่ข้างหลังเป็นแผ่นอนุมัติโครงการกิจกรรมภายในมหาวิทยาลัยเมื่อสามปีที่แล้วพร้อมกับแผ่นโพสต์อิทสีเขียวมะนาวที่เขียนข้อความว่า 'ให้ปันเปลี่ยนประโยคให้ดีกว่านี้' และสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ที่แทนอารมณ์โกรธถูกวางลงกับโต๊ะทำงานตัวเล็กข้างโน้ตบุ๊กรุ่นกลางของตัวเองที่ใช้งานมาได้นานพอสมควรแล้ว
"ก็บอกให้ตอบอย่างที่คิด นี่ก็ทำให้แล้วไง"
บ่นไปแบบที่ก็รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ ปรัญยังเขม่นตาใส่สิ่งไม่มีชีวิตอยู่อีกสักพักหนึ่งจึงรู้สึกตัวว่ากำลังโดนจ้องมองอยู่
ถอนหายใจแบบที่ดูแล้วแนบเนียนที่สุด เงยหน้าขึ้นไปส่งยิ้มที่เห็นนิดเดียวก็รู้ว่ามันไม่ค่อยจริงใจเท่าไหร่ให้กับคนมาใหม่ ผู้ชายที่อยู่ในชุดนักศึกษาถูกระเบียบพร้อมกับกระเป๋าใส่เอกสารแบบหนังสีน้ำตาลเข้ม มีตุ๊กตาช้างสีเขียวพาสเทลที่เคยเห็นแต่ไม่รู้จักชื่อคล้องเอาไว้ค่อยๆ หย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
คนมาใหม่หยิบแฟ้มที่เขียนไว้บนหน้าปกว่ารายชื่อผู้เข้ารับบริการพร้อมกับเปิดไปยังหน้าสุดท้ายเองเสร็จสรรพ ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีในการเขียนข้อมูลทั้งหมดลงไป
"เข้าไปได้เลยใช่ไหม"
"ได้ วันนี้โล่ง"
"ขอบคุณ"
และนั่นคือบทสนทนาทั้งหมดของเรา ผู้ชายคนนั้นเดินตรงเข้าไปด้านในส่วนที่กั้นเอาไว้เป็นห้องสำหรับการพูดคุยส่วนเขาเองก็นั่งอยู่ที่เดิม
มันก็เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาแต่ถามว่าชินไหมคงบอกตามตรงว่าไม่ เด็กโครงการผู้รับหน้าที่เป็นฝ่ายต้อนรับของแผนกให้คำปรึกษาเอื้อมมือไปหยิบเอาแฟ้มที่ยังเปิดค้างเอาไว้ที่หน้าสุดท้ายมาไว้กับตัว หมุนเก้าอี้ออกไปทางด้านขวาที่มีอุปกรณ์
อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในงานราชการเท่านั้นตั้งอยู่ ขยับเมาส์เพื่อรันโปรแกรมจากการพักหน้าจอจากนั้นก็เข้าไปยังส่วนบันทึกประวัติ
คือไม่เข้าใจมากกับการให้คนมาใช้บริการเขียนชื่อตัวเองลงในเล่มเพื่อให้นักศึกษาอย่างเขากรอกเข้าไปในเซิฟเวอร์อีกรอบ กลัวว่าจะไม่มีงานทำจนไม่คุ้มกับค่าจ้างหรือไง
กดไปตามส่วนต่างๆ ของแบบฟอร์ม ตั้งแต่ประเภทของผู้ใช้งาน วันเดือนปีที่เข้ารับบริการ รหัสนักศึกษา
"เอื้อม...อา...รัญ"
ทำเป็นท่องไปอย่างนั้นแหละ นิ้วที่พรมอยู่บนคีย์บอร์ดนี่ขยับไปตามความเคยชินแล้ว เขาเติมนามสกุลลงไปข้างท้ายก่อนที่จะตรวจเช็กความเรียบร้อยอีกครั้งก่อนที่จะกดส่งข้อมูลไป
ยังว่างอยู่เลยไล่สายตาดูว่าในรอบเดือนที่ผ่านมามีผู้เข้าใช้บริการมากเท่าไหร่ ส่วนที่เตะตาคงไม่พ้นลายมือตวัดแบบเฉียงอ่านยากที่โผล่มาถึงสามครั้งในรอบสามสัปดาห์ก่อนหน้า ก็คนที่เข้ามาใช้บริการคนล่าสุดนี่แหละ
นักศึกษามหาวิทยาลัยกับโรคทางจิตเวชเป็นเรื่องปกติ นั่นคือสิ่งที่อาจารย์ประจำห้องบอกเมื่อเข้าเทรนและทำความเข้าใจเนื้องานวันแรก จะบอกว่าโชคดีกว่าเพื่อนที่ถูกส่งไปยังห้องฝ่ายการนักศึกษาก็พูดได้ไม่เต็มปาก ขณะที่เพื่อนเหล่านั้นต้องวิ่งวุ่นกับปัญหาสารพัดตลอดทั้งปี บางวันเขาสามารถนั่งแกร่วอยู่ตรงโต๊ะตัวนี้ได้โดยเจอผู้เข้าใช้บริการเพียงหนึ่งราย
แต่ความง่ายมันก็มักมาพร้อมกับเงื่อนไขที่ต้องเจอกับอะไรที่เสี่ยงชีวิตกว่าหน่อย
ถ้าพูดถึงโรคทางจิตเวชที่เกิดขึ้นบ่อยกับนักศึกษามันก็คงไม่พ้นโรคซึมเศร้า โรคเครียด อะไรทำนองนั้น ส่วนมากแล้วมีปัจจัยตั้งต้นแตกต่างแต่สุดท้ายแล้วคือไม่สามารถจะจัดการกับมันได้ด้วยตัวเองจนต้องมาหาที่ปรึกษา มันเป็นนโยบายของทางมหาวิทยาลัยที่อยากให้มีห้องรับฟังแบบที่ยังไม่ต้องถึงกับการต้องไปโรงพยาบาล ประมาณว่าอยากให้มันเป็นพื้นที่ที่สร้างความสบายใจให้นักศึกษามากกว่าทำนองนั้น
ตั้งแต่อยู่ประจำที่นี่มาตั้งแต่เปิดเทอมหนึ่งจนเข้ากลางเทอมสองแล้วปรัญได้เจอเรื่อง 'น่าระทึกใจ' หลายครั้ง ที่ยังตราตึงได้มาจนถึงตอนนี้คือผู้ชายที่เดินยิ้มแย้มเข้ามาก่อนที่จะใช้ปากกาหัวแหลมแทงช่วงขาของตัวเองระหว่างการปรึกษา ทั้งต้องช่วยเข้าไปดึงสติแล้วยังต้องพยายามตามหาคนเข้ามาเสริมทัพ กลับห้องไปทั้งที่ควรหลับเป็นตาย แต่จังหวะการยิ้มคืนให้และรอยเลือดมันก็ตามหลอกหลอนจนนอนไม่หลับอยู่ดี
อยากจะรู้เหรอว่าแล้วคนที่ชื่อเอื้อมอารัญเข้ามารับคำปรึกษาในเรื่องอะไร บอกเลยก็ได้ว่าไม่รู้หรอก อาจารย์ไม่เคยเอาเรื่องของนักศึกษาที่เข้ารับบริการออกมาเล่าให้ฟังอยู่แล้ว ไม่กล้าฟันธงไปเองเพราะเขาไม่รู้เลยว่าใต้ใบหน้าที่มักประดับด้วยยิ้มมุมปากเล็กๆ มันซ่อนอะไรเอาไว้บ้าง
มาบ่อยจนเป็นขาประจำ บางครั้งก็แค่ไม่กี่นาทีส่วนหลายครั้งก็กินเวลาเป็นชั่วโมง บางครั้งด้วยตารางการเรียน เขายังต้องเคยต้องไปเรียนก่อนที่อีกฝ่ายจะออกมาจากห้องด้วยซ้ำไป
"แม่ง ...เกือบลืมไปเลยว่ามีเจ้ากรรมนายเวรอยู่"
ค่อนข้างออกประเด็นไปมากจนเกือบลืมว่ามีภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่รออยู่ ปกติแล้วทุนในโครงการนี้จะเปิดเป็นโครงการแรกๆ ของมหาวิทยาลัยจึงต้องเร่งในเรื่องของการประชาสัมพันธ์เสียหน่อย เขาก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วล่ะว่าบทสัมภาษณ์จะถูกเอาไปลงในแผ่นพับ ก็ตอนนั้นบอกเองว่าตอบให้เป็นตัวของตัวเอง นี่ก็จัดให้แล้วไง
ไล่ดูว่าควรจะตัดคำไหนบอกบ้าง แน่นอนว่ามนุษย์แรงงานคือสิ่งแรก ส่วนคำว่าเรียนฟรีมีตังค์ใช้มันมีคำอื่นที่สื่อความได้เหมือนกันแต่ว่าเป็นระดับภาษาที่สุภาพมากกว่านี้ไหมนะ
"ทำงานหาประสบการณ์ในยามเรียนพร้อมกับได้ค่าตอบแทน..."
แต่มันก็ไม่ได้หาประสบการณ์อะไรสักหน่อย
"เติมเต็มชีวิตนักศึกษาและได้เงิน..."
เติมเต็มด้วยความรู้น่าจะดีกว่า
"ใช้ทุนตามสัญญาก่อนที่จะถูกเรียกเบี้ยปรับ..."
แม่งเริ่มแปลกๆ เข้าไปทุกที
"ตอบแทนมหาวิทยาลัย" "..."
"ส่วนประโยคหลังคิดไม่ออก ใช้คำว่า 'เรียนรู้คุณค่าของเงิน' ก็เชยไปหน่อย"
"ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ"
ทำได้เพียงแค่กล่าวขอบคุณคนที่ยืนค้ำหัวอยู่ในเวลานี้ เอื้อมอารัญผงกหัวเล็กน้อยแล้วเดินตรงไปยังประตูกระจกที่กั้นเป็นสัดส่วนของห้องนี้ไว้ เขามองจนแผ่นหลังนั้นกลืนหายกลายเป็นส่วนหนึ่งฝูงชนจึงจรดปลายปากกาที่อยู่ในมือลงกับส่วนของแผ่นกระดาษที่ว่างอยู่
บรรจงเขียนข้อความที่ได้ยินทั้งหมดลงไป ทำการตัดแต่งให้คำพูดดูไม่อลังการแต่ก็ยังทำให้ประทับใจอยู่ลงไปจนครบ ตั้งใจว่าพอครบชั่วโมงทำงานแล้วจะแวะเอาไปส่งให้เพื่อนเลยจะได้หมดสิ้นภาระติดตัวสักที
เอาเข้าจริงแล้วไอ้ที่เขาชอบตามหาชีวิตการเป็นนักศึกษาที่คุ้มค่าตลอดช่วงสี่ปีมันเป็นอะไรที่เข้าใจยากไม่น้อย อย่างปรัญเองก็ต้องทำงานสัปดาห์ล่ะหลายชั่วโมง นอกจากนั้นแล้วก็ทุ่มให้กับงานอดิเรกอย่างการเข้าโรงหนังไปดื่มด่ำกับงานภาพยนตร์ใหม่ๆ เสมอ
จะให้ไปมีเวลาทำนู่นนี่นั่นเพิ่มเติมเป็นเรื่องที่เรียกได้ว่าแทบเป็นไปไม่ได้
"แต่มึงก็ควรจะทำตัวให้เข้ากับเพื่อนฝูงบ้าง อย่างน้อยศุกร์นี้ก็ไปก๊งกันหน่อยไหม"
"บอกแล้วว่าไม่ใช่แนว ขี้เกียจเก็บศพพวกมึงด้วย"
เคยไปรอบหนึ่งช่วงได้เป็นนักศึกษาใหม่ๆ เลย ทั้งไม่เข้าใจว่าเสียงเพลงดังอย่างนั้นฟังรู้เรื่องด้วยเหรอแล้วยังต้องลำบากเก็บซากของเพื่อนกลับห้องจนครบด้วย
"นักบุญปัน"
"เลิกเรียกชื่อนั้นสักทีน่า"
ชื่อที่ถูกเรียกมาตั้งแต่ชั้นมัธยมต้น ก็เรียนโรงเรียนคริสต์มาเลยได้รับอิทธิพลพวกเรื่องเล่าแล้วก็การใช้คำไม่น้อย เขาก็ไม่ได้ทำตัวประเสริฐเลิศเลออะไร ทำไมถึงต้องเรียกด้วยชื่อนี้ก็ไม่รู้
"ตราบใดที่มึงยังเป็นคนดีผิดที่ผิดเวลาอย่างนี้กูไม่เลิกหรอก"
ได้ยินบ่อยจนเบื่อแล้ว เพื่อนรอบตัวเขาชอบบ่นลอยๆ เรื่องความใจดีไม่เข้าเรื่องหลายครั้ง อย่างเรื่องที่ยังทำงานอยู่ส่วนของห้องที่ปรึกษาก็เหมือนกัน อาจารย์บอกว่าเจอเรื่องน่าประสาทเสียแบบนั้นบ่อยเข้าส่วนมากเทอมเดียวก็ขอหนีกันแล้ว มีแต่ปรัญนี่แหละที่บอกว่าเต็มใจจะอยู่ต่อ
คือต่อให้เหมือนจะเป็นคนดีแค่ไหนมันก็ยังมีลิมิตของการยื่นมือเข้าไปช่วยอยู่แล้ว เขาจะประเมินก่อนเสมอว่าการแทรกเข้าไปมันจะส่งผลดีหรือร้ายมากกว่ากัน
"กูจัดการชีวิตได้"
"มึงแม่งชอบสงสารคนไปเรื่อยอะ อย่างเรื่องเงินเนี่ย แค่ที่กูรู้ลูกหนี้ที่ชักดาบหายไปก็เท่าไหร่แล้ว"
"ก็มันไม่ค่อยจำเป็น"
ค่าเรียนฟรี แถมมีเงินใช้จากการทำงานหลายส่วน พ่อแม่นี่แทบจะไม่ต้องส่งเงินค่าใช้จ่ายรายเดือนมาให้แล้ว
"เก็บไว้บ้าง เลิกใจดีก็ดี"
เมื่อได้ยินในเรื่องที่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ก็เลยเอาแค่พอให้ผ่านหู "ถ้าให้กูแก้ตรงไหนอีกก็บอกมา ไปล่ะ"
"โธ่ ทีอย่างนี้ล่ะมาหนี"
ถ้าเป็นสมัยที่ยังเลือดร้อนอยู่คงได้ตีกันสักตั้ง แล้วที่ผ่านมาเราก็แลกหมัดกันไปแล้วหลายครั้งอยู่จนเรียนรู้ว่ามันไม่ช่วยอะไร
"จะไปเตรียมตัว เดี๋ยวเย็นนี้มีงาน"
"แล้วจะรอรีวิว ...โอ๊ะ คุณเอื้อมนี่"
ไม่ได้หันหน้าไปตามทิศที่สายตาอีกคนจ้องมองอยู่ในทันที ชื่อที่เพิ่งผ่านหูและผ่านตามาไม่ถึงสามชั่วโมงดีสร้างหนึ่งคำถามขึ้นมาว่าคนชื่อ 'เอื้อม' นี่จะมีสักกี่คนกันเชียว
เบนหน้าตามไปเพียงเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เป็นการแสดงออกว่ากำลังสนใจมากจนเกินไป ที่เห็นอยู่คือขอบกระเป๋าถือกับตุ๊กตาตัวใหญ่ห้อยเอาไว้เด่นบนโต๊ะม้าหินห่างออกไปสี่ตัว ส่วนเจ้าของเห็นแค่แผ่นหลังเท่านั้นเอง
"ส่งไปให้ฮิวดูดีกว่า เจอเพื่อนรักโดยบังเอิญ"
ชื่อที่ออกมานั่นก็เพื่อนในแวดวงเดียวกันนี่แหละ มาจากต่างโรงเรียนแต่ว่า 'คลิ๊ก' เลยสนิทกันมาเรื่อยๆ
"มึงไม่คิดว่าการแอบถ่ายอย่างนี้มันละเมิดสิทธิส่วนบุคคลบ้างเหรอ?" ว่าจะไม่พูดแล้วแต่อดไม่ได้จริงๆ เขาไม่เคยเข้าใจและคิดว่าต่อให้ได้รับคำอธิบายที่สวยหรูแค่ไหนมันก็ยังมาจบตรงที่เป็นการละเมิดอยู่ดี คนสมัยนี้คิดแต่ความสะดวกของตัวเองไม่เคยสนว่ามันทำให้คนอื่นเดือดร้อนหรือไม่
"ขำๆ ไม่เห็นมีอะไร"
"แล้วถ้ามีคนมาแอบถ่ายมึงบ้างล่ะ"
"ไม่มีหรอก คิดมาก"
ปรัญถอนหายใจออกมาเสียงดัง และสิ่งที่ได้รับคืนมามีเพียงแค่เสียงหัวเราะขบขันน่ารำคาญหู
"คนดังอย่างเอื้อมมันคงชินกับอะไรอย่างนี้แล้วล่ะ"
"ดังขนาดนั้น?"
คงเพราะว่าเจอกันหลายครั้งแล้วล่ะมั้งเลยคิดว่าการได้รู้จักตัวตนของเอื้อมอารัญเพิ่มเติมมันคงไม่ได้มีอะไรแปลก เผื่อว่าจะมีข้อมูลที่บอกได้ด้วยว่าเพราะอะไรถึงกลายเป็นสมาชิกหน้าคุ้นของห้องที่ปรึกษา
"ในทางที่ไม่ค่อยโอเคนะ เห็นฮิวบอกว่าชมรมออเคสตรารู้วีรกรรมดีว่าขี้โกหกแค่ไหน เหมือนพวกเด็กเลี้ยงแกะไม่ก็พิน็อคคิโอ"
"โกหก?"
"อืม บอกว่าตัวเองนั่นนู่นนี่แต่คนที่อยู่โรงเรียนเดียวกันมาก็บอกว่าไม่เคยได้ยิน พอเข้ามหาลัยก็ยังไม่เลิกสร้างเรื่องสารพัด ไปให้ฮิวเล่าสิ"
"ไม่ล่ะ"
"ทำไม จะค้านบอกว่าก่อนที่จะตัดสินใครควรจะทำความรู้จักเขาให้ดีก่อนหรือไง"
ชักจะอารมณ์เสียกับการคุยกับคนที่มีทัศนคติไม่ตรงกันแล้วล่ะ เขาก้มลงมองหน้าปัดนาฬิกาข้อมือตัวเองเพื่อพบว่านี่มันเป็นเวลาที่สมควรจะออกเดินทางแล้ว ถ้าไม่อยากเจอรถติดอีกสามชาติเศษก็จงหนีออกไปก่อน
"ก็ด้วย ไปแล้วนะ ไว้เจอกัน"
ไม่สนใจเสียงที่ไล่หลังตามมา จากจุดที่นั่งอยู่ตั้งแต่แรกถ้าจะออกไปทางถนนใหญ่จะต้องผ่านโต๊ะตัวที่เอื้อมอารัญนั่งอยู่คนเดียว กวาดสายตาเพียงชั่วครู่ระหว่างเดินผ่านเพื่อพบว่าอีกฝ่ายกำลังก้มหน้าไม่สนใจสิ่งรอบตัว หน้าจอโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดของแบรนด์โชว์หน้าแรกของเฟซบุ๊กอยู่
มองว่ามันเป็นเรื่องที่ธรรมดา และอดคิดต่อไปไม่ได้ว่าความสะดวกสบายมันกำลังทำลายสิ่งที่เรียกว่าการเคารพความเป็นส่วนตัวเข้าไปทุกที
"...ขี้โกหกอย่างนั้นเหรอ"
ทำไมปรัญถึงกลับคิดว่าคนที่ยิ้มจางไม่จริงใจเสมออย่างนั้นไม่น่าจะสร้างเรื่องอะไรได้เลย
ตั้งแต่ทำงานมาไม่เคยมีสักครั้งที่เขาต้องเจอกับสถานการณ์อย่างนี้ อะไรคือการที่อาจารย์ประจำวันต้องรีบออกไปกะทันหันเพราะลูกสาวมีปัญหากับทางโรงเรียน แล้วไม่สามารถหาใครมาแทนได้ทันจนต้องขอให้เขาคอยนั่งประจำที่เอาไว้เผื่อว่าถ้ามีใครมาหาจะได้บอกว่าให้ไปทางโรงพยาบาลดีกว่า
บรรยากาศข้างในห้องนี้มักจะเงียบอยู่แล้ว มันเป็นการเข้าออกสม่ำเสมอไม่มีการค้างอยู่นาน การต้องอยู่คนเดียวมันเหงาเสียจนต้องเปิดยูทิวบ์เข้าไปหาเพลงฟังฆ่าเวลา
อีกตั้งเกือบสองชั่วโมงกว่าจะหมดเวลาทำงาน
เข้าหน้าจอท่องเที่ยวอินเทอร์เน็ตพร้อมกับเปิดไปยังส่วนที่ดูประจำ ทริลเลอร์ของหนังที่จะเข้าฉายในอีกไม่ช้า ช่วงนี้ไม่รู้ว่าเป็นอะไรถึงรู้สึกไม่ตื่นเต้นหรือว่ารอคอยการมาถึง ทั้งที่ปกติแล้วมันเป็นความสุขไม่กี่อย่างในชีวิตของเขาด้วยซ้ำไป
สลับไปยังส่วนของทวิตเตอร์ เช็กดูฟีตแบกของรีวิวที่เพิ่งลงไปเมื่อคืน ตอบกลับบางข้อความที่ถามเกี่ยวกับรายละเอียดของเรื่องและทักทายกับชื่อสมาชิกประจำ
กราฟค่าการวิเคราะห์ผู้เข้าเยี่ยมชมเป็นสีเขียวที่ควรจะพึงพอใจ ยังไม่รวมกับยอดรีทวิตที่ขยับขึ้นสูงทุกครั้งที่เข้ามาตรวจสอบ เขาไม่เข้าใจเลยว่าทั้งที่ทุกอย่างกำลังดำเนินไปในทางที่ดีแต่ทำไมถึงห่อเหี่ยวได้เบอร์นี้
นี่มันแย่เกินไปแล้วนะ
ข้อความจากช่องเมจเสจของเฟซบุ๊กแจ้งขึ้นมาว่ามีการทักทายจากคนคุ้นเคย เนื้อหาที่บอกว่ายินดีด้วยที่บทสัมภาษณ์เวอร์ชันแก้ไขได้ผ่านการตรวจสอบของกองบรรณาธิการแล้วช่วยให้เขายิ้มขึ้นมาได้ อย่างน้อยก็ไม่ต้องปวดหัวกับเรื่องการประดิษฐ์คำอีก
พิมพ์ตอบคืนไปพร้อมกับส่งภาพเคลื่อนไหวตลกๆ เมื่อไม่มีเครื่องหมายที่แสดงว่าอีกฝ่ายอ่านแล้วเขาจึงปิดมันลง ตั้งใจว่าจะกลับเข้าไปเช็กทวิตเตอร์อีกครั้งเผื่อว่ามีอะไรให้อ่านเพิ่มเติม
"วันนี้ไม่เป..."
เตรียมท่องประโยคเดิมเป็นครั้งที่สามเมื่อเห็นว่าประตูกระจกเปิดออกอีกครั้ง คำว่าไม่เปิดให้บริการออกมาไม่ได้เต็มประโยคเพราะช่วงหน้าที่เต็มไปด้วยรอยลังเลของคนตรงนั้น
"อ้อ ...ขอบคุณครับ"
"แต่ว่าถ้าอยากจะนั่งพักก็ได้นะ"
คำนั้นออกไปเร็วกว่าที่สมองจะทันได้ประมวลอะไร ตามปกติแล้วไม่ค่อยมีใครใช้ที่นี่เป็นแหล่งพักพิงหรอก เพราะว่าตัวห้องแล้วก็ลักษณะของผู้เข้าใช้บริการนี่แหละ
ที่กล้าเสนอไปอย่างนั้นคิดว่าส่วนหนึ่งก็มาจากการใบหน้าที่แสดงความรู้สึกแตกต่างจากทุกครั้ง ต่อให้เป็นการขยับมุมปากขึ้นที่ดูเสแสร้งแต่ว่ามันไม่เคยมีครั้งไหนที่เขามาพร้อมกับอาการ 'เคว้ง' เท่านี้ อีกอย่างเอื้อมอารัญเองก็เรียกได้ว่าเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาของที่นี่
แล้วมันก็ไม่ได้มีกฎที่ห้ามใช้ที่นี่เป็นห้องนั่งเล่นสักหน่อย
"ผมอยู่คนเดียว โซฟาข้างในว่าง"
ให้คำสนับสนุนคนที่ยังลังเล คุณเอื้อมของเพื่อนเขาละล้าละหลังอยู่ตรงนั้นอีกสักพักใหญ่ก่อนที่จะยอมพาตัวเองเข้ามาอยู่ด้านใน
"ขอบคุณ"
ใครกันที่บอกว่าเอื้อมอารัญเป็นพวกชอบโกหก
รอยร้าวข้างในนัยน์ตาคู่นั้นบอกหมดทุกอย่างเลยต่างหาก
จากที่อยู่คนเดียวโดดเดี่ยวก็เหมือนว่าจะคลายความเหงาไปได้หน่อย สมาชิกที่เพิ่มขึ้นมาแบบไม่ได้ตั้งใจส่งยิ้มเล็กมาให้ยามที่ก้าวเท้าผ่านเข้าไปยังส่วนในของห้อง เขารอจนกระทั่งแผ่นหลังกว้างกำลังดีลับหายไปตรงมุมกำแพงถึงกลับมามองหน้าจอโน้ตบุ๊กต่อ
กวาดตาไล่ตามการอัปเดตไปอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ ไม่ค่อยได้สัมผัสความรู้สึกว่างงานเช่นนี้มากเท่าไหร่เลยไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรดี เอื้อมอารัญน่าจะอยากอยู่คนเดียว การเข้าทักทายคงรบกวนอยู่ไม่น้อย
ช่วงเวลาที่เหลือถูกใช้ไปแอปพลิเคชันสำหรับดูภาพยนตร์ เขากดปุ่มหยุดเมื่อเหลือบไปเห็นว่าอีกสิบนาทีก็จะหมดเวลาทำงาน ยกแขนขึ้นเหยียดสูงเป็นการบิดขี้เกียจก่อนเริ่มงานชิ้นต่อไป
คว้าเอาแก้วน้ำเซรามิกส่วนตัวตรงมุมโต๊ะทางขวามาไว้ในมือ ลุกขึ้นเตรียมพร้อมสำหรับการล้างและเก็บมันเอาไว้ให้เรียบร้อย เพราะคิดว่าคงจะครอบครองส่วนนี้อีกนานเลยซื้อเก็บเอาไว้ใช้งานในระยะยาว เป็นแก้วลายภาพยนตร์หลายภาคที่ได้มาเป็นของฝากจากเพื่อนในกลุ่มที่ไปเที่ยวต่างประเทศ
จากตรงโต๊ะต้อนรับจะต้องผ่านส่วนของโซฟาก่อนที่จะเจอห้องครัวขนาดเล็กด้านหลังสุด เขาพยายามเดินโดยกำกับจังหวะการก้าวไม่ให้ส่งเสียงดังรบกวนอีกคน เอื้อมอารัญนั่งก้มหน้าจดอะไรบางอย่างลงไปในกระดาษแผ่นใหญ่ตรงตัก เข้าใจดีว่ามันเป็นการเสียมารยาทที่จะจ้องนานๆ เลยบังคับให้มองแต่ทางข้างหน้าเท่านั้น
"เดี๋ยวจะปิดแล้วนะ"
หรือที่จริงต้องบอกว่าต้องปิดแล้วตอนนี้ เขานึกว่าการที่เดินผ่านเข้าไปล้างแก้วแล้วเดินออกมาอีกรอบจะเป็นสัญลักษณ์ที่บอกถึงการหมดช่วงเวลาให้บริการ แต่นี่ออกไปเก็บของทุกอย่างใส่กระเป๋าเรียบร้อยแล้วก็ยังนั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหนเลย
ปรัญเว้นระยะห่างของตัวเองกับอีกคนแบบที่คิดว่ากำลังดี คือไม่ได้ใกล้จนชิดแต่ก็ไม่ได้ห่างจนให้อารมณ์ของคนน่ารังเกียจ นักศึกษาที่เป็นคนไข้ขาประจำวางปากกาในมือลง ปิดแฟ้มอันใหญ่ในเสีย เขาเพิ่งสังเกตว่ามันไม่ใช่สมุดที่เย็บมาให้แล้ว แต่เป็นแบบที่สามารถสอดใส่กระดาษเพิ่มเข้าไปได้เอง ตอนแรกมองแค่ผ่านเลยไม่รู้
"อือ..."
เพราะมองไม่เห็นหน้าเลยจ้องแต่ส่วนของช่วงแขนและฝ่ามือ ปลายนิ้วเรียวสวยดูสุขภาพดีแบบคนดูแลตัวเองเสมอบรรจงเก็บอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ลงแฟ้มหนังใบใหญ่ เขายังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมรอจนแขกขยับตัวลุกออกไปทางด้านหน้า ตรวจสอบอะไรให้เรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้ายจึงตามไป
ที่เหลือก็ให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายรักษาความปลอดภัย นี่ก็เป็นเรื่องที่แบ่งฝ่ายกันได้ประหลาด ที่บอกว่าปิดประตูคือแค่ปิดประตูจริงๆ ไม่ได้มีการเข้าไปตรวจสอบความเรียบร้อยภายในเลย ถ้ามีใครแอบอาศัยอยู่ต่อก็ยังได้
"คิดว่าอาจารย์หมอน่าจะไม่มีธุระอะไรด่วนแล้ว ยังไงถ้าอยากได้คำปรึกษาก็ลองมาพรุ่งนี้อีกทีนะ"
ยังคงทำหน้าที่เป็นเด็กทำงานใช้ทุนที่ดีจนวินาทีสุดท้ายก่อนปิดประตูลง
"ขอบคุณมากนะ ขอบคุณที่ให้อยู่ในห้องด้วย"
"เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว"
"นายชอบเครื่องดื่มอะไร กาแฟ? ชา?"
คิดว่าไม่ใช่เรื่องแย่ที่จะสานต่อบทสนทนา "โกโก้"
"ศุกร์นี้เข้างานเวลาเดิมใช่ไหม เดี๋ยวซื้อมาให้"
"เฮ้ย ไม่ต้องหรอก" ปฏิเสธพัลวัน ยกไม้ยกมือขึ้นมาประกอบท่าทางว่าไม่ต้องการรับสินน้ำใจใดๆ เอื้อมอารัญขยับช่วงคอเล็กน้อยแบบที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันหมายถึงอะไร กลับหลังหันพลางเอ่ยคำลา
"ไว้เจอกันนะ"
ก็เลยทำได้เพียงเปลี่ยนไปเป็นการโบกมือลาเท่านั้นเอง
***
ตั้งโจทย์ให้ตัวเองว่า ต้องไม่หนักค่ะ (ฮา) แต่จะทำได้ไหมนี่ต้องดูอีกทีนะคะ
ฝากเนื้อฝากตัวอีกครั้งค่ะ
#ไม่มีความจริง