]|เรื่องไม่สั้นและไม่เล่า|[ กระดานดำหลังรั้วโรงเรียน ... ชาย (ภาค 2: เม้นแรก)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ]|เรื่องไม่สั้นและไม่เล่า|[ กระดานดำหลังรั้วโรงเรียน ... ชาย (ภาค 2: เม้นแรก)  (อ่าน 1704585 ครั้ง)

keang

  • บุคคลทั่วไป
 :a5: :a5: :a5:

นัทจิตใจเข้มแข็ง จริงๆ

 :m8: :m8: :m8:

 o9 โจ ใจร้าย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-11-2011 16:42:53 โดย keang »

ออฟไลน์ silverphoenix

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1182
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +347/-3

andy_kwan

  • บุคคลทั่วไป
ลูกโจของป้าไม่ต้องกินแห้ว  รอวันโจกินนนท์ในตอนพิเศษ  อิอิ  จะมีหรือเปล่านะ

ออฟไลน์ LittlePrince

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
อ่านแล้วสะเทือนใจ เพราะไม่ว่าจะผ่านมากี่ครั้ง เราก็ยังไม่เข้าใจซะทีว่าความรักจริงๆมันเป็นยังไง เหมือนตัวเองเป็นนนท์เวอร์ชั่นเข้าใจผิดตลอดชีวิต

ตอนถัดไปคงเป็นเหมือน epilogue หรือเปล่า ส่วนที่มักจะชอบและเศร้าที่สุด ขอบคุณนะคุณต้น

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
A 151


วันถัดมาโจก็ถูกปล่อยตัวออกจากโรงพยาบาลอย่างที่เขาต้องการ และแน่นอนว่าเขาก็ต้องไปพักผ่อนต่อที่บ้านอีกช่วงหนึ่งพร้อมกับยาอีกถุงใหญ่ เขาถูกกำชับจากหมอและพยาบาลว่าให้คอยสังเกตอาการและดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัด เพราะว่าคืนก่อนที่เขาจะออกจากโรงพยาบาลนั้นเขายังมีไข้ต่ำๆอยู่เลย ถ้าหากว่าเขาไข้ขึ้นอีก มีเลือดออกตามไรฟัน หรือเป็นอะไรขึ้นมา ผมกับแม่ก็ต้องพาเขากลับมาส่งที่โรงพยาบาลอีกครั้งทันที

ใช่แล้ว.... ผมกับแม่ต้องพาเขากลับมาส่งอีกครั้ง เพราะว่าเขากำลังจะกลับไปนอนที่บ้านของเรานั่นเอง

“แม่ง เสียเวลานอนโรงพยาบาลอยู่ซะอาทิตย์นึง ยังไม่ทันไรก็จะเปิดเทอมซะแล้ว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเซ็งๆในขณะที่วางกระเป๋าลงบนเตียงในห้องของตัวเอง “กูบอกว่ากูไม่เป็นไรแล้ว กูอยากออกมาตั้งนานแล้ว แม่งก็ไม่ยอมปล่อยตัวกูสักที”

“เอาเหอะน่ะมึง รอให้หายดีก่อนจะออกมาก็ดีแล้วไม่ใช่รึไงวะ บ่นมากเป็นคนแก่เลยนะมึงเนี่ย”

“อยู่ไหนแม่งก็รู้สึกไม่เหมือนอยู่บ้านว่ะ กูเบื่อ”

“อ้าว พูดงี้มึงจะกลับบ้านมึงมั้ยล่ะ”

“คำว่าบ้านของกูน่ะ กูหมายถึงหลังนี้ ไม่ใช่หลังอื่น” เขาหันมามองหน้าผม “บ้านหลังนี้แหละคือที่ๆกูอยู่แล้วมีความสุขที่สุด”

“อะเหรอออ ปากดีนะมึงเนี่ย” ผมแลบลิ้น “แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้แม่มึงก็จะมารับมึงกลับบ้านมึงแล้วนะ กูล่ะเสียใจด้วยจริงๆว่ะไอ้โจ”

“เออ กูรู้ว่ากูจะมารบกวนแม่มึงอยู่ตลอดไม่ได้หรอก ถึงแม้ว่าบ้านหลังนั้นจะเหี้ยแค่ไหน แต่ยังไงมันก็บ้านกูนี่นะ แม่กับน้องกูก็อยู่ที่นั่น และกูก็คิดถึงเจนนี่ด้วย”

เมื่อผมเห็นสีหน้าของเขาแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเดินลงไปนั่งข้างๆเขาบนเตียง “มึงไม่คิดว่ามึงกับพ่อจะกลับมาดีกันได้สักนิดเลยเหรอวะ ไอ้โจ.....”

“ไม่คิด” เขาตอบทันควัน “กูว่ากูกับเค้าก็คงเป็นแบบนี้ไปจนกว่าจะตายจากกันนั่นแหละ ไอ้เหี้ย ลูกที่เกิดมาโดยไม่ได้อยากให้เกิดแบบกูน่ะ จะเรียกร้องอะไรได้มากมายวะ และที่สำคัญ กูกับพ่อจะเป็นยังไงก็ไม่สำคัญแล้วล่ะว่ะ เพราะตอนนี้กูมีสิ่งอื่นที่ทำให้ชีวิตกูมันมีความหมายมากขึ้นกว่าแต่ก่อน จนทำให้กูใส่ใจเรื่องของเค้าน้อยลงแล้ว”

ตอนแรกผมก็ยังงงๆกับคำพูดของเขาอยู่ แต่เมื่อเห็นแววตาและรอยยิ้มของเขาที่กำลังส่งมาให้ผมอยู่แล้ว ผมถึงได้เข้าใจว่าเขากำลังหมายถึงผมอยู่นั่นเอง

“แต่ก็นั่นแหละว่ะ เดี๋ยวพอเปิดเทอมกูก็กลับไปอยู่หออยู่ดี” เขายืนขึ้น “และไหนยังจะกีฬาสีอีก แล้วยังเรื่องชมรม เรื่องน่าปวดหัวของพวกไอ้แม็กซ์ หรือแม้แต่ก่อนเปิดเทอมนี่แม่งก็ยังมีการบ้านที่ต้องทำเลย ใช่ว่ากูจะมีเวลามาสนใจเรื่องของพ่อได้มากมายสักเท่าไหร่”

“เออ จะว่าไปกูก็มีการบ้านเหมือนกันว่ะ” ผมเกาหัวแกรกๆ “ไม่เยอะหรอก แต่ขี้เกียจชิบหายเลยอะ แล้วกูก็ยังไม่ได้ซ้อมบาสเลยสักนิดนะเนี่ย จะไหวมั้ยเนี่ยกู”

“หึ ไหวอยู่แล้วสิวะ” เขาหันมายิ้มน้อยๆให้ผม “คนอย่างมึงน่ะ ถ้าทำอะไรเต็มที่แล้วล่ะก็ ไม่เคยเป็นรองใครหรอก กูรู้”

ผมมองหน้าเขาอึ้งๆ เขินๆ ไม่รู้จะตอบกลับไปว่าอย่างไรดี และในตอนนั้นเองที่โทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น

“ไอ้ยุโทรมาว่ะ” ผมบอกโจ

“ก็รับสิ”

ผมพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะกดรับสาย “ว่าไงวะไอ้ยุ มีไร.... เอ้อใช่ๆ มึงโทรมาก็ดีแล้ว กูจะบอกว่าไอ้โจมันออกจากโรงพยาบาบแล้วนะเว้ย”

“อ้อ อ๋อเหรอวะ เออก็ดีแล้ว......”

“เฮ้ย เป็นไรวะมึง มีไรป่าว ทำไมเสียงไม่ดีเลย”

“เรื่องสำคัญว่ะ ไอ้นนท์ คือ.....” เขาทิ้งช่วงไปครู่หนึ่ง ทำให้ใจของผมเริ่มเต้นแรงขึ้น นี่ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ และคงต้องเป็นเรื่องใหญ่มากด้วย เพราะผมยังไม่เคยเห็นวายุเป็นแบบนี้มาก่อนเลย “ไอ้คริสมันเพิ่งบอกกูว่ามันตัดสินใจจะไปอังกฤษว่ะ มันจะไปอยู่กับพี่แฟรงค์ที่นั่น”

“เฮ้ยย! ว่าไงนะ! แล้วมันจะไปเมื่อไหร่ จะไปนานแค่ไหน!”

“ไม่เกินกลางๆเทอมนี้มันก็คงบินไปแล้วว่ะ ตอนนี้มันกำลังคุยกับพวกอาไคล์อาพีอยู่ และมันบอกว่ามันจะไปอยู่ที่นั่นจนกว่ามันจะจบมอปลายเลยอะ” วายุถอนหายใจเบาๆ “กูบอกไอ้นัทแล้ว และกูก็เพิ่งโทรมาบอกมึงนี่แหละ”

“เฮ้ย..... แบบนั้นมันจะดีเหรอวะ แล้วมึงจะยอมให้มันไปจริงๆเหรอ ไอ้ยุ” ผมรู้สึกใจหาย

“กูไม่อยากให้มันไปเท่าไหร่หรอก แต่อีกใจกูก็รู้ว่านี่มันอาจจะดีที่สุดแล้วก็ได้ แต่ที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใดเลยนะเว้ย ไอ้นนท์ คือกูเคารพการตัดสินใจของมัน ยิ่งเป็นการตัดสินใจที่ไอ้คริสเลือกเองแล้วล่ะก็ กูก็อยากจะสนับสนุนมันให้ทำตามนั้นให้ดีที่สุด ไม่ใช่ไปรั้งมันไว้หรือทำมันไขว้เขวอะว่ะ” เขาถอนหายใจอีกครั้ง “นี่กูเพิ่งพิมพ์ไปในข้อความในเฟซบุ๊คและส่งบอกทุกคนแล้ว และกูก็กำชับไปแล้วด้วยว่าอย่าเพิ่งโวยวาย อย่าเพิ่งแสดงออกว่ารู้แล้ว และอย่าไปรั้งมันเอาไว้ ไรงี้อะว่ะ แต่ไอ้คริสมันฉลาดจะตายห่า กูว่ามันก็คงรู้แหละว่ากูบอกพวกมึงแล้ว”

“เฮ้ย ไอ้ยุ แต่แบบนี้พวกเราก็ไม่ได้เจอมันอีกนานเลยน่ะสิวะ.... แล้ว.....”

“ไม่เป็นไรหรอกมึง มันต้องอยู่ได้เอาตัวรอดได้อยู่แล้ว” เขาตอบกลับมาราวกับอ่านใจผมออก “ไปที่นู่นก็ใช่ว่ามันจะตัวคนเดียว ญาติพี่น้องเยอะแยะ ดีกว่าอยู่กับพ่อแม่อีก แถมถ้าเราคิดถึงกันเมื่อไหร่ก็แค่เปิดคอม เท่านี้ก็ได้เจอหน้ากันทุกวันแล้ว จริงปะล่ะวะ และที่สำคัญเลยนะ ไอ้นนท์ กูว่ามันไม่สำคัญหรอกเว้ยว่าไอ้คริสมันจะไปที่นั่นกี่ปี เพราะจะช้าจะเร็ว ยังไงมันก็ต้องกลับมาหาพวกเราแน่นอน แต่กูว่ามันสำคัญที่ว่า ช่วงเวลาที่เราเหลืออยู่เนี่ย เราต้องใช้ให้มันคุ้มค่ามากที่สุด ไม่ใช่มัวแต่จะมาเศร้าอยู่ จริงมั้ยวะ”

“อื้อออ....”

“งั้นกูไปละเว้ย เดี๋ยวคงต้องคุยกับมันอีกยาว ไงถ้ากูรู้อะไรอีกกูจะโทรบอกมึงก็แล้วกันนะ”

“โอเค ได้ๆ”

“อ้อ ลืมไปอย่าง ไอ้นนท์ พอเมื่อเช้ากูบอกไอ้นัทเรื่องนี้แล้ว มันบอกกูว่าถ้าอย่างนั้นมันอาจจะกลับให้เร็วขึ้นนะ อาจจะในอีกสองสามวันนี้ก็ได้”

“อ้า... เหรอวะ อืมๆ”

“หืมมม.... ฟังจากน้ำเสียงของมึงเนี่ย ดูท่าทางว่าคงจะมีอะไรเปลี่ยนไปแล้วและกูยังไม่รู้ใช่มั้ยวะ เอาเหอะๆ ยังไงเอาไว้ค่อยคุยกันอีกทีก็แล้วกัน แต่กูดีใจนะเว้ย ที่มึงสองคนเคลียร์กันได้สักทีน่ะ”

ผมเริ่มเชื่อจริงๆแล้วนะว่าวายุนี่ต้องเลี้ยงกุมารหรือรักยมเอาไว้แน่ๆเลยเนี่ย

“มีปัญหาอะไรรึเปล่าวะ ไอ้คริสมันตัดสินใจจะไปอังกฤษแล้วใช่มั้ย รึยังไง” โจถามขึ้นทันทีที่ผมวางสายลง

“ใช่ ก็แบบที่มึงได้ยินนั่นแหละว่ะ”

“เห็นมั้ย กูเคยบอกแล้วว่าแบบนี้แหละ ดีที่สุดสำหรับมันแล้ว” เขายักไหล่เบาๆ

ผมไม่ได้พูดอะไรตอบกลับเขาไป และเรื่องของคริสก็จบลงไปแต่เพียงเท่านี้ โดยที่วายุก็ไม่ได้โทรกลับมาหาผมอีกเลยทั้งวัน

วันต่อมา แม่ของโจก็มารับลูกชายของเขากลับบ้าน ส่วนนัทก็โทรมายืนยันกับผมว่าเขาจะบินกลับมากรุงเทพในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น พร้อมกับที่ผมและคนอื่นๆได้รับคำยืนยันจากตัวของคริสเองว่าเขาจะไปอังกฤษแน่นอนแล้วจริงๆ พวกเราทุกคนเลยตกลงกันว่า หลังจากที่นัทกลับมาถึงกรุงเทพแล้ว เราจะไปโยนโบว์ลิ่ง ร้องคาราโอเกะ ดูหนัง และกินข้าวด้วยกันอย่างเต็มที่หนึ่งวัน

เมื่อถึงวันที่เรานัดกัน ทุกคนก็ไปรวมตัวกันที่นัดหมายอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่มีใครไปสายสักคน ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่แปลกมากทีเดียว แต่นอกเหนือจากนั้นก็ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าแปลกไม่แพ้กันคือ แทบทุกคนที่เจอหน้าผม จะต้องถามทันทีว่า “โจไปไหน” หรือว่า “มันไม่มาด้วยเหรอ”

“มันอยู่บ้านมันน่ะ กูก็ชวนมันแล้วอย่างที่พวกมึงบอกนั่นแหละ แต่มันบอกว่าอยากให้พวกเราอยู่กันแค่นี้มากกว่าน่ะว่ะ” ผมตอบ

นัทหันมายิ้มให้กับผม “ว่าแต่มันหายสนิทดีแล้วใช่มั้ย นนท์”

“อื้ออ แต่จริงๆมันก็ดูไม่ได้เป็นอะไรมาตั้งแต่แรกแล้วน่ะนะ”

“มันไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” เขาเดินมาจับหัวผมโยกไปมาเบาๆ “เฮ้ย ไปกันเหอะพวกมึง ตกลงจะเริ่มจากทำอะไรก่อนวะ”

“กินข้าว!” ทั้งป๊อป เคน และเจย์รีบตอบอย่างพร้อมเพรียงกัน

หลังจากนั้นพวกเราก็กลับมาเป็นเราแบบเดิมอีกครั้ง นั่นคือเสียงดัง เจี๊ยวจ๊าว โหวกเหวก และดึงดูดความสนใจจากผู้คนรอบข้างได้ตลอดแทบจะทุกๆที่ที่เราไป แต่มีแค่เพียงสิ่งเดียวที่ผมคิดว่ามันต่างไปจากที่เคยเป็น นั่นคือดูเหมือนทุกคนจะเต็มที่กับช่วงเวลานี้มาก ทุกคนแลดูร่าเริงและเหมือนกับกำลังพยายามปลดปล่อยความไม่สบายใจที่มีอยู่ภายในออกมาอย่างเต็มที่ในรูปของเสียงหัวเราะ ซึ่งมันทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า แท้จริงแล้วเสียงหัวเราะของพวกเรานั้น มันคือการกลบเกลื่อนความเหงาและความเศร้าที่ซ่อนอยู่ลึกๆในใจของพวกเราทุกคนหรือเปล่า แม้แต่คริสเองที่ปกติจะเป็นคนเงียบที่สุดในกลุ่ม ก็ยังดูร่าเริงราวกับเป็นคนละคน แต่ผมคิดว่าแบบนี้ก็คงดีที่สุดแล้วล่ะนะ เพราะถึงยังไงวันนี้ก็ยังไม่ใช่วันสุดท้ายที่เราจะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันแบบนี้ และมันก็ไม่ใช่การจากลาที่เราจะไม่ได้เจอกันอีกเลยสักหน่อย

ผมยังจำคำพูดของวายุที่บอกว่าเราควรจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่าที่สุด สร้างความทรงจำดีๆเอาไว้ให้มากที่สุดได้อย่างดี และผมคิดว่าตอนนี้ พวกเราทุกคนก็กำลังทำแบบนั้นกันอยู่นั่นเอง

ในตอนเย็น ระหว่างที่เรากำลังร้องคาราโอเกะกันอยู่นั้น คริสก็ขอตัวออกไปเข้าห้องน้ำ และจากนั้นเจย์ก็เดินตามออกไปติดๆ เวลาผ่านไปอีกราวๆเกือบสิบนาที ทั้งสองคนก็ยังไม่กลับมา และผมก็เริ่มจะอยากเข้าห้องน้ำแล้วด้วยเหมือนกัน จึงขอตัวเดินออกจากห้องไปเป็นคนที่สาม และเมื่อผมเดินไปถึงหน้าห้องน้ำนั้น สิ่งที่ผมเห็นก็ทำให้ผมต้องชะงักและรีบเดินถอยกลับมาหลบอยู่ข้างผนังหน้าประตูทันที

ผมค่อยๆชะโงกหน้าผ่านขอบประตูไปดูในห้องน้ำแบบที่พยายามระมัดระวังไม่ให้คนข้างในเห็นผมมากที่สุด และสิ่งที่เห็นก็ทำให้หัวใจของผมต้องบีบแน่นด้วยความเจ็บปวด.....

ในห้องน้ำที่ไม่มีแขกคนอื่นอยู่เลยนั้น คริสกำลังยืนเอาหลังพิงผนังและร้องไห้ออกมาเบาๆ โดยเจย์ที่ยืนหันหลังให้กับผมนั้นกำลังคุยอะไรบางอย่างกับเขาอยู่ และต่อมาเจย์ก็วางมือลงบนหัวไหล่ของคริส ก่อนจะดึงตัวเพื่อนตัวเล็กของเขาเข้ามากอด ซึ่งดูเหมือนจะยิ่งทำให้คริสร้องไห้หนักมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก

“กะแล้วเชียวว่าไอ้คริสจะต้องทนไม่ได้”

ผมสะดุ้งเบาๆทันทีที่ได้ยินเสียงของคนๆหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังของผม ผมรีบหันขวับไปหาที่มาของเสียงทันที

“นัท!”

“ชู่วววว เบาๆสิ เดี๋ยวพวกมันก็ได้ยินหรอก” เขาจับหัวไหล่ของผมแล้วดึงตัวผมให้เดินออกจากหน้าห้องน้ำไปพร้อมกับเขา “ปล่อยมันสองคนไปก่อนเถอะ นานๆทีให้ไอ้เจย์มันได้อยู่ตามลำพังกับไอ้คริสบ้างก็ดีแหละ”

“แต่นนท์ปวดฉี่ว่ะนัท นนท์อยากเข้าห้องน้ำอะ”

“งั้นเราไปเข้าที่อื่นกันก็ได้ นะ” เขาหันมายิ้มให้กับผม

รอยยิ้มของเขาก็ยังคงอบอุ่นเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนจริงๆ

“นัท.... คือนนท์.....”

“พอเลยนะเว้ย ถ้านนท์ขอโทษอีก นัทจะโกรธจริงๆแล้วนา” เขารีบดักคอผมเอาไว้ก่อน

“เปล่า นนท์ไม่ได้จะขอโทษ แต่นนท์อยากจะขอบใจต่างหาก”

เขามีสีหน้าฉงนทันที “ขอบใจนัทเรื่องอะไร”

ผมยิ้มกว้าง “ก็ที่คอยช่วยเหลือนนท์มาตั้งแต่วันแรกที่นนท์เข้ามาเรียนที่นี่ ที่ยังคงยืนอยู่กับนนท์ตรงนี้ และที่จะเดินอยู่เคียงนนท์ตลอดไปไง”

เขาฉีกยิ้มกว้างและหัวเราะเบาๆ “จะไม่ให้ช่วยได้ไงล่ะวะ ก็เด็กบ้านนอกเพิ่งเคยมาเรียนที่เมืองกรุงครั้งแรกอะ เกิดนัทไม่ช่วยแล้วหลงทางหรือทำอะไรเปิ่นๆไปล่ะก็ ไม่น่าอายตายห่าเหรอ”

“โหๆๆ พูดงี้เดี๋ยวปั๊ดเตะกระเด็นเลยเหอะ!”

“และที่สำคัญนัทก็ยังเป็นหัวหน้าห้องด้วย ก็ต้องดูแลลูกน้องเป็นธรรมดาอยู่แล้ว จริงป่าววว” เขายักคิ้วกวนๆ

“เอ๊ออออ จะได้รู้ไว้ว่าที่แท้ที่ผ่านมา นัทก็แค่เห็นนนท์เป็นลูกน้องคนนึงเท่านั้นเอง”

“เปล่า แต่เห็นเป็นคนพิเศษที่สุดที่จะไม่มีใครมาแทนที่ได้ต่างหาก” เขาหยุดเดิน ทำให้ผมต้องหยุดฝีเท้าตาม จากนั้นเขาก็หันมามองหน้าผมตรงๆ “นัทรู้ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันแล้วว่านนท์มีอะไรบางอย่างในตัว ที่จะเปลี่ยนแปลงนัทไปได้ และนนท์ก็ทำแบบนั้นจริงๆ นนท์ทำให้นัทได้เรียนรู้ว่าอะไรคือความรัก และทำให้นัทรู้หัวใจตนเองดีขึ้น ทำให้นัทกล้าที่จะแสดงความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น ช่วงเวลาที่นนท์อยู่กับนัทมาตลอด ทำให้นัทมีความสุขมากจริงๆ เพราะฉะนั้น นัทก็จะไม่มีวันยอมสูญเสียความสุขของนัทไปง่ายๆแน่นอน และการที่จะเป็นแบบนั้นได้ นัทเชื่อว่าคำว่า ‘มิตรภาพ’ นี่แหละ ที่จะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดระหว่างเรา จริงมั้ย”

ผมยืนนิ่ง รอให้คำพูดนั้นซึมซับเข้าไปในใจเสียก่อนที่จะยิ้มออกมาจากเบื้องลึกของหัวใจ เพราะผมมั่นใจว่าคนๆนี้แหละ คือคนที่จะเป็นเพื่อนรักของผมไปจนเราแก่เฒ่าแน่นอน “อื้อ นนท์ก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะแบบนี้ไง นนท์ถึงได้บอกว่าขอบใจน่ะ และนัทก็แน่ใจได้เลยนะเว้ย ว่านนท์ก็จะไม่มีวันทิ้งนัทไปไหนด้วยแน่นอนเหมือนกัน”

“ก็ลองทิ้งดูเด้ รับรองนัทได้ตามไปแหกอกนนท์ถึงบ้านแน่!” เขาแยกเขี้ยว จากนั้นเราสองคนก็หัวเราะออกมาพร้อมๆกัน

หลังจากที่เราออกมาจากห้องน้ำและกลับไปที่ห้องคาราโอเกะแล้ว คริสกับเจย์ก็นั่งอยู่ที่นั่นแล้วด้วยเหมือนกัน ถึงบรรยากาศโดยรวมจะไม่ได้ต่างจากตอนแรกมากนัก แต่ผมคิดว่าคนอื่นๆก็คงจะพอดูออกและเดากันได้ว่าคริสเพิ่งจะร้องไห้มาและมีเจย์ไปช่วยปลอบ เพราะอย่างน้อยๆก็มีวายุคนหนึ่งล่ะ ที่น่าว่าคงจะดูออกแน่ๆ และไม่ใช่แค่เรื่องของเจย์กับคริส แต่เขายังทำหน้ามีเลศนัยให้ผมกับนัท เหมือนจะบอกว่า “กูรู้นะว่าพวกมึงไปทำอะไรกันมาน่ะ” อีกด้วย

“จริงๆมึงน่าจะอยู่จนจบมอสามก่อนนะเว้ย ไอ้คริส เสียดายว่ะ แม่งงงง” เคนพูดขึ้น

“กูยังไม่แน่เลยว่าจะได้ไปเมื่อไหร่น่ะ มันก็ต้องเตรียมตัวและทำเรื่องหลายอย่างว่ะ แต่พวกปู่กับย่าอยากจะให้กูรีบไปให้เร็วที่สุดน่ะ แรกๆกูอาจจะไปๆกลับๆ ยังไม่ได้เริ่มเรียนทันทีก็ได้”

“พวกมึงรู้อะไรปะ วันก่อนกูลองมาคิดๆนะเว้ยว่าเราน่าจะหาอะไรทำด้วยกันเป็นครั้งสุดท้ายสักหน่อยดีมั้ยวะ” วายุพูดขึ้น “ไหนๆไอ้คริสก็จะไปแล้ว แล้วนี่อีกไม่กี่วันก็จะเปิดเทอมแล้วด้วยอะ กูอยากให้กลุ่มของพวกเราได้มีอะไรหรือได้ทำอะไรร่วมกันเก็บไว้เป็นครั้งสุดท้ายอีกสักครั้ง เป็นที่ระลึกให้ไอ้คริสก่อนไปที่นั่นอะ ดีมั้ย”

“ทำอะไรวะ แล้วนี่พวกเราไม่ได้นัดมาเที่ยวกันแบบครบคนเป็นครั้งสุดท้ายอยู่หรอกเหรอวะ ไอ้ยุ” เคนถาม

“เปล่า กูไม่ได้หมายความว่าแบบนี้ดิ คือแบบนี้มันก็แค่เที่ยวอะมึง กูว่าแบบ…. ไม่รู้ดิ กูว่ามันแห้งๆอะว่ะ”

“อ๊าววว ก็เราเพิ่งไปทะเลมาด้วยกันไงมึง นั่นยังเปียกไม่พอเหรอวะ”

“ไม่ใช่แห้งหรือเปียกแบบนั้นสิเว้ย ไอ้เชี่ยป๊อป!”

“แล้วมันยังไงวะ ไอ้ยุ” เจย์ถาม “มึงคิดอะไรเอาไว้ในใจรึไง”

“คืออ…. ตอนแรกกูก็คิดจะให้พวกเราอะ ทำรูปหรืออัลบั้มไรเงี้ย ให้ไอ้คริสเก็บไว้เปิดดูตอนคิดถึงพวกเรา หรือเฟรนด์ชิพ หรืออะไรพวกนั้นอะว่ะ แต่แม่งงง เฟซบุ๊คก็มี แถมไอ้คริสแม่งเห็นรูปอะไรก็ไม่มีวันลืมอยู่แล้วด้วย กูก็ไม่รู้จะทำไปทำไม คิดไปคิดมา ก็เลยคิดออกแค่ว่ากูอยากทำอะไรกับพวกมึงสักอย่างอะว่ะ อะไรที่แม่งจี๊ดๆ อะไรที่เราไม่เคยทำและไม่คิดว่าจะทำ ไรเงี้ย”

“เซ็กส์หมู่เหรอวะ”

“ครวยยยยย!! ไอ้เชี่ยป๊อป! หัวแม่งมีแต่เรื่องพวกนี้รึไงวะมึงน่ะ!”

“แต่กูว่าเขียนเฟรนด์ชิพหรือทำรูปหมู่เป็นที่ระลึกอะไรแบบนั้นก็โอเคนะ” นัทพูดขึ้น

“เออ กูว่าแบบนั้นก็โอเคเหมือนกัน” ผมพยักหน้าเห็นด้วย

“เฮ้ย ไม่ต้องหรอกเว้ย พวกมึง” คริสพูดขึ้นบ้าง “จริงๆมันก็อย่างที่ไอ้ยุบอกนั่นแหละว่ารูปพวกมึงกูก็มีเยอะแยะแล้ว พอคิดถึงก็แค่เปิดเฟซบุ๊คเท่านั้นเอง พวกมึงไม่ต้องทำอะไรหรอกเว้ย แค่นี้กูก็ได้รับจากพวกมึงมาเยอะมากมายแล้วจริงๆว่ะ”

“ถ้าไม่ทำเฟรนด์ชิพเป็นเล่มๆ งั้นวาดลงผ้าใบใหญ่ๆแม่งไปเลยดีมั้ยวะ ฮ่าๆๆ” ป๊อปเสนอ

“เออออ ก็ดีนะ แล้วก็ให้ไอ้คริสคลุมไหล่เหาะไปอังกฤษแม่งเลย... ถุ๊ยย!” ตี๋เล็กหันไปทำท่าถุยน้ำลายใส่ป๊อป “เพื่อเหี้ยไรวะ ไอ้ป๊อป แล้วมึงคิดจะให้ไอ้คริสเอาผ้าใบไปใช้ทำอะไรที่อังกฤษวะ!”

“งั้นพ่นสีที่กำแพงมั้ยมึง กราฟฟิตี้แม่งเลย ลบไม่ออกง่ายๆด้วย เป็นอนุสรณ์ยาวเลย เอิ๊กๆๆ”

“กูว่ามึงหุบปากแล้วนั่งเคี้ยวน้ำแข็งไปเฉยๆดีกว่าว่ะ ไอ้ป๊อป!” เจย์หยิบก้อนน้ำแข็งขึ้นมาจากในแก้วแล้วปาใส่ป๊อป “แม่งเช็ด! แต่ละไอเดียของมึงนี่หาดีไม่ได้เลยนะ”

“ไม่เป็นไรหรอกเว้ย พวกมึง กูก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องทำอะไรหรอก เพราะถึงยังไงกูก็ไม่มีวันลืมพวกมึงอยู่แล้ว มึงก็รู้นี่หว่า” คริสยิ้มน้อยๆ

“ก็เพราะมึงเห็นอะไรแล้วไม่มีวันลืมนั่นแหละ ไอ้คริส กูถึงได้อยากจะทำอะไรสักอย่างด้วยกัน ให้มันเป็นสิ่งที่เราทำด้วยกัน จับต้องได้ และมึงจะไม่มีวันลืมเลย ถึงแม้ว่าสิ่งๆนั้นมันจะหาย จะพัง จะถูกลบ หรือจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แต่กูอยากให้มึงได้จดจำสิ่งที่เราได้ทำด้วยกันเอาไว้ไปตลอดจนกว่าเราจะเจอกันอีกครั้งน่ะเว้ย”

พวกเรานั่งเงียบกันลงไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าไม่มีใครสนใจที่จะร้องเพลงอีกต่อไปแล้วนะเนี่ย

“เฮ้ยนี่ พวกมึง พวกมึงเคยได้ยินเรื่องผีที่ตึกร้างเก่าในโรงเรียนเรารึเปล่าวะ” จู่ๆ นัทก็ถามขึ้น

“เคยๆๆ” ทุกคนตอบพร้อมกัน ยกเว้นผมคนเดียว

“หืออ เรื่องผีอะไรวะ” ผมหันไปถามนัท “นนท์ไม่เห็นเคยได้ยินอะ”

“อ้าว ไอ้นนท์ มึงไม่รู้เหรอวะ ตึกร้างตรงอาคารคนงาน อาคารหก ตึกที่คั่นฝั่งเรากับฝั่งมอปลายน่ะ มีข่าวลือว่าเคยมีเด็กกระโดดตึกตายที่นั่นเพราะทะเลาะกับแฟน แล้วก็เลยปิดไปเพราะผีแม่งดุมากอะ” เจย์เล่า

“เหออ เรื่องจริงเหรอวะ”

“เค้าก็ว่ากันแบบนั้นอะนะ แต่บางคนก็บอกว่าไม่ได้กระโดดตึก แต่เป็นกรีดข้อมือตายที่โต๊ะของแฟนเค้าอะ แบบไหนจริงกูก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่รู้แน่ๆคือผีแม่งเฮี้ยนมากกกก จนเค้าต้องปิดตึกไปเลยอะว่ะ”

“คือกูจะบอกว่าที่จริงแล้วแม่งเป็นข่าวลือมั่วๆของเด็กเราเองทั้งนั้นเลยนะเว้ย” นัทพูดขึ้น ทำให้พวกเราทุกคนหันมามองเขาพร้อมกันทันที “อาจารย์เค้าบอกกูว่า ที่จริงแล้ว ตึกตรงนั้นมันเป็นอาคารเก่าตั้งแต่สมัยโรงเรียนเปิดแรกๆ ตั้งแต่สมัยยังใช้พัดลมกับกระดานดำกันอยู่เลยอะ และที่เค้าปิดไปก็เพราะว่ามันเคยมีไฟไหม้เกิดขึ้นที่ห้องเรียนสองหรือสามห้องนี่แหละ แต่ไม่มีใครตายนะ เด็กรุ่นแรกๆสมัยนั้นเสือกเล่นอะไรกันแผลงๆ เอาหนังสือเรียนที่เรียนจบแล้วมาเผา และไฟมันเลยลาม แค่นั้นแหละว่ะ”

“โถ่เอ๊ยยยยย สรุปว่าจริงๆแล้วก็ไม่มีผีเหรอวะเนี่ยยย” เจย์พูดด้วยน้ำเสียงเหมือนผิดหวัง “แล้วที่กูเคยได้ยินว่าเด็กมอต้นมั่งมอปลายมั่งแอบเข้าไปในนั้นแล้วเจอผีหลอกกันมานี่มันยังไงวะเนี่ย”

“ใช่ๆๆ แล้วทำไมเค้าถึงไม่ปรับปรุง สร้างตึกใหม่ หรือรื้อมันออกไปอะวะ จะเหลือมันทิ้งไว้แบบนั้นทำไม” เคนถาม

“เออ จริงด้วย ถ้าไม่มีคนตายเลย แล้วทำไมกูเคยได้ยินว่าตอนที่ ผอ. คนปัจจุบันของเราเนี่ย เคยจะสั่งรื้อตึกเมื่อหลายปีก่อนแล้วกลับต้องล้มพับโครงการไปเพราะคนงานเจอผีหลอกกันถ้วนหน้าอะวะ” ตี๋เล็กถามต่อ

นัทยักไหล่ “กูก็ไม่รู้ว่ะ แต่ข่าวลือก็คือข่าวลือใช่มั้ยล่ะวะ ที่แน่ๆ ในบรรดาเพื่อนๆของเราเอง ที่เราอยู่กันมาสามปีเนี่ย ก็น่าจะยังไม่เคยมีใครเข้าไปพิสูจน์หรือเจอผีกับตัวจริงๆสักคนใช่มั้ยล่ะ มีแต่ไอ้พวกเด็กสายศิลป์ที่แม่งเก่งแต่ปาก และทำท่าจะเข้าไปที่นั่นแต่เสือกโดนจับได้ซะก่อน กับมีแต่ที่เราได้ยินมาจากพวกพี่ๆฝั่งมอปลายเป็นส่วนมากเท่านั้นเองอะ”

“ใช่ๆ กูว่าแม่งก็คงมั่วกันไปเองอะมั้งมึง ที่ไหนๆก็คงมีเหมือนๆกันแหละ ไอ้เรื่องผีๆเนี่ย” วายุเห็นด้วย

“อาจารย์เค้าเคยบอกกูว่าข่าวลืมมันถูกปล่อยจากพวกรุ่นพี่มัธยมปลายเพื่อแกล้งน้องสนุกๆน่ะ แล้วอีกอย่างก็คือเพื่อกันไม่ให้เด็กๆเข้าไปยุ่งกับแถวนั้นด้วย”

“อ้าว ถ้างั้นแบบนี้เรื่องผีแม่งก็ไม่มีจริงน่ะสิวะ ไอ้นัท”

“กูก็ไม่รู้ว่ะ แต่ถ้าเป็นกู กูคงบอกว่า ‘ไม่แน่’ ล่ะมั้ง” นัทยิ้มมุมปากน้อยๆ

“อ้าว ไหงงั้นล่ะวะ” เคนรีบถามทันที

“ก็อย่างน้อยๆเรื่องที่ว่าทำไมตึกนั้นถึงไม่ถูกรื้อออกไปหรือปรับปรุงใหม่มาเป็นสิบปีเนี่ย ก็เป็นเรื่องที่น่าสงสัย ใช่มั้ยล่ะ และที่สำคัญ ลุงยามที่เค้าก็นอนอยู่อาคารภารโรงตรงหน้าตึกนั้นพอดีอะ เค้าเคยบอกกูว่ามีอยู่คืนนึงที่เค้าเคยเห็นเงาคนตะคุ่มๆจากในตัวตึกตอนกลางดึกด้วยนะเว้ย..... และกูว่าอย่างลุงแกก็คงไม่มีอะไรต้องโกหกกูล่ะมั้ง”

“งั้นมึงคิดว่าตึกนั้นแม่งมีผีจริงๆอะเหรอวะ ไอ้นัท” คริสชะโงกหน้ามาถาม

“กูก็ไม่รู้หรอกว่ะ แต่ก็น่าคิดนะ เพราะตึกนั้นก็ไม่เคยมีใครเข้าไปดูแลเลยจริงๆ และส่วนมากเด็กเรามันก็ไม่ค่อยกล้าเข้าไปอยู่แล้วด้วย ที่จริงลุงเค้าแอบกระซิบกูว่าแม้แต่พวกยามเองยังไม่เคยขึ้นไปบนชั้นหกที่ลือกันว่าเป็นชั้นที่เด็กคนนั้นฆ่าตัวตายเลยนะเว้ยย”

“ไอ้เหี้ยยยยย! พูดแล้วขนลุกว่ะ ไอ้สาดดดดด” ป๊อปกอดอกแล้วยังตัวสั่นออกมาน้อยๆ

“เดี๋ยวก่อนเหอะ ไอ้นัท กูว่าประเด็นสำคัญเลยเนี่ย คือจู่ๆมึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาทำไมวะ” วายุหรี่ตามองเพื่อนของเขาราวกับกำลังคิดอะไรอยู่บางอย่าง “อย่าบอกนะว่ามึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพราะอย่างที่กูกำลังคิดอยู่น่ะ”

นัทยิ้มกว้าง “ก็ใช่น่ะสิวะ ทำไมล่ะ พวกมึงไม่อยากรู้ไม่อยากพิสูจน์เรื่องลึกลับอันดับหนึ่งของโรงเรียนด้วยตัวเองมั่งเลยรึไงวะ แล้ว ไหนเมื่อกี้พวกมึงยังเพิ่งพูดกันถึงเรื่องอยากทำอะไรด้วยกันสักครั้ง อยากทำอะไรเจ๋งๆ แบบที่พวกเราไม่เคยทำกันมาก่อนอยู่เลยไม่ใช่รึไง เพราะงั้นไหนๆไอ้คริสก็จะไม่อยู่แล้ว เราก็ลองไปล่าท้าผีด้วยกันสักครั้งทั้งกลุ่มเป็นไงเล่า”

ออฟไลน์ seendidi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อยากอ่านฉากหวานๆของนนท์กับโจจังเลย  :z1:

มาต่อเร็วๆน้ะค้ะ  :sad4:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วันศุกร์ลุยแปะรวดเดียวจบเลยดีกว่า เจอกันแน่นอนครับ

ออฟไลน์ mickeynut

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 557
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +69/-3
อัยย๊ะ นัทกลับมาแล้ว
มาอยู่บ้านพี่มั้ยน้อง

keang

  • บุคคลทั่วไป
อ่านตอนล่าสุดแล้วรู้สึกชอบจัง  o13

 :pig4: คนแต่ง  :pig4:

 ผีเด็กชั้น6  o22
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-11-2011 15:49:50 โดย keang »

ออฟไลน์ y33n

  • รักวายที่สุดในโลก จุ๊บุ =3=
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
จองไว้เดะมาอ่านค่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






PeeraDHa

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ jiki

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1567
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +175/-2
เซ็กหมู่. !!!ไอ้ป๊อปนี่ก็เอาฮาตลอดอ่ะ

กระดานดำ กระดานดำ กระดานดำ .... ทำอย่างนั้นใช่มะคุณต้น

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
A 152


“เอาล่ะ....” แม่จอดรถลงที่ริมฟุตบาทหน้าลานจอดรถหลังอาคารห้า “ตั้งใจ๋เฮียนนาลูก แล้ววันนี้ยังบ่ปิ๊กบ้านกันแม่แม่นก่อ บ่ต้องหื้อแม่มาฮับแน่นา”

“แน่กาครับ นี่นนท์เตรียมเสื้อเตรียมผ้ามานอนตวยโจขนาดนี้แล้วนา ไปทำเรื่องตั้งวันก่อนแล้วตวย แม่บ่ต้องห่วง นนท์บ่ยอมหื้อมันปล้ำง่ายๆแน่”

“แม่บ่ได้ห่วงเรื่องนั้นสักน้อยเลย เออๆ ไปๆ ลงไปได้ละ เดียวแม่จะต้องวนปิ๊กไปเอากระเป๋าตังค์ตี้บ้านแหม” แม่ก้มดูนาฬิกาข้อมือของตัวเอง “ผ่อโละ เพราะนนท์เฮ่งแม่นั้นเนอะ แม่เลยลืมกระเป๋าเลย”

ผมฉวยโอกาสนี้รีบชะโงกหน้าเข้าไปหอมแก้มแม่เบาๆ “นนท์ฮักแม่นะครับ”

“แม่ก่อฮักลูกเหมือนกั๋น” แม่หอมแก้มผมกลับ

“จะอั้นเอาไว้เลิกเฮียนแล้วนนท์โทรหานะครับ” ผมเปิดประตูรถออกแล้วก้าวเดินลงจากรถ “บ๊ายบายคร้าบบ”

ผมยืนมองรถของแม่ออกตัวอย่างช้าๆ จนกระทั่งมันเลี้ยวตรงหัวมุมลับสายตาไปแล้ว จึงเริ่มออกเดินตรงไปยังโรงอาหารตามกิจวัตรเดิมอย่างที่เคยทำมา

วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดเรียนเทอมสองของพวกเรา และเมื่อเช้าผมก็เป็นคนที่เร่งให้แม่มาส่งเร็วกว่าปกติจริงๆนั่นแหละ เพราะพวกเราตกลงกันเอาไว้ว่าจะมาโรงเรียนให้เร็วขึ้นกว่าเดิมด้วยเหตุผลหลายๆประการ เช่น บรรดาคนที่อยู่หอทั้งหลายไม่ว่าจะป๊อปกับตี๋เล็ก เคนกับเจย์ โจ แล้วก็นัท จะต้องรายงานตัวที่หอตอนเช้าทุกคน และมันอาจจะกินเวลานานได้ถ้าเด็กคนอื่นเริ่มมากันเยอะแล้ว นัทต้องเข้าประชุมกรรมการนักเรียนตอนเจ็ดโมง เราทุกคนต้องรีบมาจองโต๊ะที่โรงอาหารก่อนที่เด็กจะมากันจนล้น และยังต้องรีบขึ้นไปจองที่นั่งในห้องเรียนอีกด้วย พวกเขาบอกผมว่าวันเปิดเทอมวันแรกทีไร โรงเรียนของเราจะวุ่นวายกว่าปกติทุกครั้ง และนักเรียนส่วนมากก็จะมาโรงเรียนเช้ากันกว่าเดิมแทบทุกคนอีกด้วย

“ไอ้นนท์! ทางนี้ๆๆ!” ป๊อปกวักมือเรียกผม

“เฮ้ย นี่กูมาคนสุดท้ายเลยเหรอเนี่ย” ผมดูนาฬิกาข้อมือในขณะที่กำลังนั่งลงข้างๆนัท “ยังเพิ่งหกโมงครึ่งเองนี่พวกมึงมาถึงกันตั้งแต่กี่โมงเนี่ย!”

“พวกกูสี่คนมากันตั้งแต่เมื่อวานเย็นแล้ว ไอ้เจย์แม่งเสือกไปรับถึงหน้าบ้านอะ ก็เลยมากันก่อนเลย” ตี๋เล็กบอก “แล้วกูก็เอากระเป๋าไปวางจองที่ให้พวกเราทุกคนแล้วด้วย”

“ส่วนกูสองคนก็เพิ่งมาได้สักสิบนาทีนี่แหละว่ะ มาพร้อมๆไอ้นัทเหมือนกัน แต่ว่ากูยังไม่เห็นหัวไอ้โจเลยนะเว้ย” วายุพูดพร้อมกับหันมองไปรอบๆ

“มันบอกว่าเมื่อเช้าน้องเจนนี่ไม่ค่อยสบาย มันเลยอาจจะมาสายหน่อยอะว่ะ” ผมตอบ

“อ้าว แล้วน้องมันเป็นไรมากป่าววะ นนท์” นัทหันมาถามผม

“ไม่นะ เห็นว่าไข้รุมๆอะ แล้วก็มีน้ำมูก ก็เลยงอแงนิดหน่อย ไรเงี้ย”

“แล้วคืนนี้มันจะไปกับพวกเรามั้ยวะ ตกลง” เจย์ถามผมขึ้นอีกคน

“มันบอกว่าไปว่ะ” ผมพยักหน้า

“แล้วนี่ตกลงมึงก็จะนอนกับไอ้โจแน่ด้วยเหมือนกันใช่มั้ยวะ”

“ใช่” ผมพยักหน้าอีกครั้ง “กูเอาเสื้อผ้ามาแล้วนี่ไง และถ้าไม่งั้นมึงจะให้กูบอกแม่ว่านอนไหนล่ะ แต่ถึงงั้นก็เหอะ..... คืนนี้เราจะได้นอนกันแน่เหรอวะ”

“ไอ๊ย๊ะ! พวกมึงสองคนจะทำอะไรกันวะเลยจะไม่นอนเนี่ย อย่าบอกนะว่าจะ ‘โอ้บะบะ’ กันจนไม่หลับไม่นอนอะ!”

“โอ้บะบะเหี้ยไร ไอ้ป๊อปปป!! ก็ไหนพวกมึงเป็นคนบอกเองว่าคืนนี้เราจะอาจจะไม่ได้กลับมาจนกว่าจะรุ่งเช้าเลยไม่ใช่รึไงวะ!”

“ชู่ววววว!!!” ทั้งนัท วายุ ตี๋เล็ก และเจย์ ต่างก็รีบปรามผมพร้อมๆกัน

“เสียงดังทำเหี้ยไรไอ้นนท์! กลัวคนอื่นไม่ได้ยินรึไงวะ!” เจย์ขมึงตาใส่ผม

“โทษทีๆว่ะ กูลืมตัว” ผมนั่งตัวลีบ

“ถ้าไงกูขอเดินไปที่หอก่อนนะ เดี๋ยวค่อยกลับมาคุยกับพวกมึงอีกทีแล้วกัน” นัทพูดพร้อมกับยืนขึ้น และในตอนนั้นเองที่จู่ๆก็มีเสียงของคนๆหนึ่งกรีดร้องขึ้นไม่ไกลจากโต๊ะที่เรานั่ง

“แอร๊ยยยยยยยย!! นัทคะ! คิดถึงจังเลยยยยยยยยยย!!” เป้รีบวิ่งเข้ามากระโดดกอดแขนนัทอย่างรวดเร็ว

“อ้าว อีเป้ มึงมาช้าไปนะ ผัวมึงมันกำลังจะขึ้นตึกไปทำงานแล้ว” เจย์หัวเราะในลำคอเบาๆ

“ม่ายยยยย! ไม่จริงๆๆ แล้วเป้จะได้เจอนัทอีกเมื่อไหร่....!! ไม่เอาดีกว่า! เป้ว่าเป้ไปส่งนัทที่หอดีกว่าเนอะคะ คิดถึงจะแย่อะ ปิดเทอมนัทไม่เห็นจะโทรมาหาเป้หรือไปหาเป้ที่บ้านบ้างเลยยยย”

นัทหันมามองผมด้วยสายตาขอความช่วยเหลือแบบเดิม แต่ทว่าเป้ก็กึ่งเดินกึ่งลากเขาออกไปจากโต๊ะเสียก่อน

“หึ.... ไอ้สองคนนี้นี่เมื่อไหร่มันจะได้กันจริงๆสักทีวะ”

“อ้าว ไอ้โจ มาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” วายุหันไปถามโจที่เพิ่งวางกระเป๋าลงบนโต๊ะและกำลังจะนั่งลงข้างๆผมพอดี

“เมื่อกี้ ตอนที่ไอ้เป้มันกระโดดเกาะแขนไอ้นัทพอดีนั่นแหละ”

“แล้วไหงเมื่อเช้ามึงบอกกูว่าอาจจะมาสายหน่อยไง” ผมหันไปถามเขา

“ก็พอวางสายจากมึงแล้วแม่กูเค้าก็ให้คนขับรถอีกคนมาส่งกูเลย กูก็เลยมาเร็วน่ะ รถไม่ติดด้วย…. ทำไม กูมาเร็วหน่อยไม่ได้รึไงวะ”

“กูยังไม่ได้ว่าอะไรมึงสักคำ” ผมตบหลังหัวของเขาเบาๆ

“เล่นหัวกูนะมึง เดี๋ยวนี้กล้านักนะ ระวังเหอะ คืนนี้เกิดเจอผีขึ้นมามึงไม่ต้องมาเกาะแขนกูเลย กูไม่ช่วยมึงแน่”

“พอๆๆ มึงอย่าเพิ่งกัดกัน สรุปว่าคืนนี้คอนเฟิร์มนะเว้ย เดี๋ยวหลังเลิกเรียนเจอกันอีกทีใต้หอเพื่อนัดเวลาลุย โอเคปะ” วายุถาม

“โอเค” พวกเราทุกคนตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน

หลังจากนั้นเวลาในแต่ละคาบเรียนก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนเด็กๆทุกคนจะตื่นเต้นกับการเปิดเทอมและได้เจอเพื่อนอีกครั้งมากกว่าการสนใจสิ่งที่อาจารย์สอน และพวกผมเองต่างก็ตื่นเต้นกับความคิดที่นัทเสนอว่าคืนนี้พวกเราจะแอบเข้าไปในตึกร้างเพื่อพิสูจน์เรื่องผีด้วยกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผมเองก็ชอบเรื่องพวกนี้เป็นทุนเดิมและเคยคิดอยากจะลองเข้าไปในบ้านร้างหรือบ้านผีสิงจริงๆมานานแล้ว จึงทำให้สิ่งที่อาจารย์แต่ละคนพูดหน้าชั้นเรียนนั้นไม่ผ่านเข้าหูของผมเลยแม้แต่นิดเดียว ทุกครั้งที่มีเวลาว่าง พวกเราก็จะนั่งจับกลุ่มคุยกันเรื่องของคืนนี้เป็นหลัก ทั้งเรื่องของแผนการ เรื่องที่ว่าผีจะมีจริงมั้ย และเรื่องที่เรากำลังจะแหกกฎของโรงเรียนนับสิบข้อด้วย

เมื่อเสียงออดคาบเรียนสุดท้ายดังขึ้นในตอนเย็น พวกเราก็ไปรวมตัวนั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่ที่ม้าหินหน้าหอพัก ซึ่งโจเองก็นั่งอยู่กับพวกเราด้วย เพราะว่าเขาเองก็จะเป็นส่วนหนึ่งในแผนการคืนนี้ด้วยเหมือนกัน

“หึๆ กูยังไม่อยากจะเชื่อเลยนะ ไอ้นัท ว่าคนอย่างมึงจะเสนอให้ทำอะไรแบบนี้ขึ้นมาได้น่ะ” เจย์พูด

“เออ กูก็ว่างั้นอะว่ะ ยิ่งเด็กเรียนดีเป็นกรรมการนักเรียนแบบมึงมาทำแบบนี้แล้วโดนจับได้นี่เรื่องใหญ่เลยนะเว้ย” เคนเห็นด้วย

“ก็อย่าให้จับได้ดิวะ” นัทยิ้ม “เอาเหอะน่าาา บอกตรงๆว่ากูเองก็กลัวเหมือนกัน แต่ช่างมันเหอะ กูไม่แคร์หรอกว่ะ ยังไงก็จะจบมอสามแล้ว และที่สำคัญไอ้คริสมันก็จะไม่อยู่แล้วด้วย ผลลัพธ์มันจะออกมาเป็นยังไงก็ช่างมันเหอะ กูรู้สึกเฉยๆแล้วว่ะ กูแค่อยากทำอะไรสนุกๆ แรงๆ กับพวกมึงสักครั้งก็เท่านั้นเอง”

“เออ และที่สำคัญ ต่อให้โดนจับได้พ่อแม่กูก็ไม่ว่าอะไรเหมือนกันด้วยว่ะ” เจย์ยักไหล่เบาๆ

“แต่แม่กูต้องฆ่ากูแน่ๆเลยว่ะมึง” ผมพูดขึ้นบ้าง ใจจริงผมก็รู้สึกหวั่นๆเหมือนกันนะ เพราะที่ผ่านมาผมยังไม่เคยแหกกฎระเบียบหรือทำอะไรผิดกฎเลยสักข้อเดียว

“แต่กูไม่ได้ห่วงเรื่องพวกนั้นไปมากกว่าเรื่องผีเลยนะเว้ยยย” เคนพูดขึ้น “คืนนี้กูขอลาป่วยไม่ได้เหรอวะ สาดดดด ฮืออๆๆ”

“ไม่ได้เด็ดขาด ไอ้เคน จะไปก็ไปกันให้หมดนี่แหละ และที่สำคัญ กูว่าแม่งไม่มีจริงหรอกว่ะ ผีเผอห่าอะไรเนี่ย”

“ครวย ไอ้เชี่ยยุ มึงไม่กลัวผีมึงก็พูดได้ดิวะ ไอ้สาดดด”

“อะไร มึงเองก็ป๊อดด้วยเหมือนกันเหรอวะ ไอ้ป๊อป ห้ามเปลี่ยนใจนะเว้ย ถ้ามึงไม่ไปแล้วใครจะดูแลไอ้ตี๋แฟนมึงล่ะวะ”

“กูไม่ได้ป๊อดเว้ย ไอ้เชี่ยเจย์” ป๊อปตีหน้าบึ้ง “แต่กูเกรงใจคุณผีเค้าต่างหาก เรากำลังจะไปรบกวนเค้าอยู่นะเว้ยมึง ทำไมไม่ให้เค้าพักผ่อนดีๆไปวะ สาดแม่งงงง ดึกๆดื่นๆจะเสือกไปปลุกเค้ามาทำไมวะ ครวยยยย”

“เอาน่ามึง ยังไงเค้าก็รุ่นพี่เรา เค้าคงไม่ว่าอะไรเราหรอก” วายุหัวเราะเบาๆ

“แต่กูเองก็รู้สึกกลัวโดนจับได้มากกว่ากลัวผีอีกนะเว้ย แม่งงง” ตี๋เล็กพูดขึ้นอีกคน “สำหรักูอะ ผีแม่งมีจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ เจอหรือไม่เจอจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ แต่ถ้าเกิดเจออาจารย์ ภารโรง หรือยามก่อนเจอผีเนี่ย กูว่าพวกเราแม่งตายยยย”

“ใจเย็นน่ามึง พวกมึงก็อย่าคิดว่าจะโดนจับได้สิวะ ถ้าเราทำได้อย่างที่เตี๊ยมกันเอาไว้ ไม่พลาดอะไร ก็ไม่มีปัญหาหรอก และถ้าเป็นอย่างที่ไอ้นัทบอกว่าให้เราหลบไปในช่วงเวลาที่ยามไม่ค่อยตรวจเข้มแล้วล่ะก็ใครมันจะจับได้ล่ะวะ” วายุพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “และที่สำคัญ ยิ่งวันเปิดเทอมวันแรกแบบนี้แม่งก็ยังวุ่นๆกันอยู่ จะตรวจตราอะไรก็ยังหละหลวมกันอยู่ด้วย เพราะงั้นวันนี้เลยจะเป็นแค่โอกาสเดียวของเราเลยนะเว้ย”

“เออ ไอ้ยุพูดถูก” โจพูดเสริมขึ้น “ถ้ามึงคิดจะทำอะไรสักอย่างแล้วเสือกปอดแหกตั้งแต่ยังไม่เริ่มอะ พวกมึงก็เลิกคิดซะเหอะว่ะ แม่งอ่อน”

“เฮอะ! แล้วใครมันจะไปเชี่ยวชาญเรื่องเหี้ยๆได้เท่ามึงกับเพื่อนๆมึงล่ะวะ ไอ้สัตว์โจ” เจย์ยืนขึ้นแล้วจ้องหน้าโจเขม็ง

“หึ มึงพูดซะมึงดีตายห่าเลยนะ ไอ้เจย์ เมื่อกี้เพิ่งบอกอยู่หยกๆว่าพ่อแม่มึงเค้าคงไม่ว่าอะไร ก็คงเพราะเค้าชินและรู้สันดานลูกตัวเองดีอยู่แล้วล่ะสิ ใช่มั้ยวะ”

“มึงว่าไงนะ! ไอ้...!!”

“พอๆ!! นี่พวกมึงจะกัดกันอีกสักกี่รอบกี่หนถึงจะพอใจวะเนี่ย!” วายุลุกขึ้นยืนขวางทั้งสองคนเอาไว้

ดูท่าทางว่าทั้งเจย์กับโจนี่คงจะได้เป็นคู่กัดกันไปอีกนานแน่ๆ เพราะถึงว่าเขาจะเริ่มสนิทสนมหรือยอมรับกันและกันมากขึ้นแค่ไหน แต่ผมก็ยังไม่เห็นทีท่าว่าพวกเขาจะสามารถลงรอยกันได้เลยสักที

“เออ พูดถึงเรื่องไอ้แม็กซ์ สรุปว่ามันยังไงมั่งวะ ไอ้ยุ” ตี๋เล็กถาม “กูหมายถึงตั้งแต่กลับมาจากทะเลอะ”

“อ้อออ เออ กูยังไม่ได้เล่าให้พวกมึงฟังเลยนี่นะ.....”

“เฮ้ย นั่นๆๆ พวกไอ้แม็กซ์เว้ยๆ!” จู่ป๊อปก็โพล่งขึ้นพร้อมชี้ไปทางหน้าหอ “อยู่กันครบเลยด้วยว่ะ”

พวกเรามองตามไปยังจุดที่ป๊อปชี้พร้อมๆกัน ที่นั่น แม็กซ์ ติ๊ก เค และเอก กำลังเดินตรงไปยังม้าหินตัวที่ว่างอยู่ข้างๆกับทางเข้าหอ ซึ่งที่จริงแล้วก็ไม่ได้อยู่ห่างจากพวกเราเท่าใดนัก

“ขาดก็แต่มึงอะ ไอ้โจ ทำไมมึงไม่ไปนั่งกับเพื่อนมึงหน่อยวะ” เจย์เริ่ม

“พวกมันไม่ใช่เพื่อนกู”

“หืมมมมม” เจย์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

“กูว่าแม่งคงเห็นพวกเราแล้วว่ะ” ตี๋เล็กพูด

“ช่างแม่งสิ แคร์เหรอวะ” ป๊อปยักไหล่

“อ้าว แม่งลุกเลยอะ มันเป็นเหี้ยอะไรวะน่ะ” เคนพูดขึ้นบ้าง

“คงไม่อยากเห็นหน้าพวกเรามั้ง” วายุหัวเราะในลำคอเบาๆ “และกูว่าแม่งก็คงเลี่ยงพวกเราไปอีกพักใหญ่ๆอะว่ะ ดีแล้วล่ะ จะได้ต่างคนต่างอยู่ สงบๆสักที”

“ทำไมวะๆ ไหนมึงเล่าต่อดิ๊ ไอ้ยุ” เคนเร่ง

“ปะป๊าเค้าบอกกูว่า เค้าไปคุยกับพ่อของไอ้แม็กซ์มาแล้วอะว่ะ แต่คือ ก็ไม่ได้คุยตรงๆหรอกนะ เพราะเค้าบอกว่าเค้าพยายามแล้ว แต่เข้าไม่ถึงตัวอะว่ะ คราวนี้บังเอิญพอดีว่าป๊ากูเค้ามีญาติผู้พี่คนนึงที่ช่วยเหลือเรื่องนี้ได้ และปรากฏว่าพ่อไอ้แม็กซ์อะ ก็เสือกรู้จักญาติคนนี้ของป๊าด้วย แถมยังกลัวเค้าอีกต่างหาก กูก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะว่ะ แต่กูว่าเค้าคงเป็นคนที่ใหญ่มากๆ และแบบว่า มีอำนาจมากๆอะไรแบบนี้เลยล่ะมั้ง”

“อ้าว มึงพูดแบบนี้ก็แปลว่ามึงไม่รู้จักญาติของอาเมฆคนนี้เหรอวะ ไอ้ยุ” ผมถาม

“ไม่รู้ว่ะ คือกูไม่ค่อยได้ยินชื่อเค้าเท่าไหร่ด้วยน่ะ ไม่เคยเจอเลยด้วย แต่ทุกๆปีเค้าก็ส่งของขวัญวันเกิดมาให้กูอะนะ ปะป๊ากับพ่อเล็กบอกว่า เค้าเป็นคนที่มีบุญคุณกับทั้งสองคนมาก แต่ว่าเค้าไม่คลุกคลีและไม่ชอบสุงสิงกับใครเท่าไหร่น่ะ เห็นว่าเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากๆคนนึง แล้วก็มีอำนาจพอๆกับหรือเผลอๆอาจจะมากกว่านักการเมืองหลายๆคนอีกนะเว้ย ลูกน้องเยอะ คุมนักเลงอยู่หลายคน อะไรแบบนี้อะ ก็อย่างที่บอกว่ากูก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก และป๊าเองก็ไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรกูด้วย แค่บอกว่าพวกเค้าจัดการให้แล้ว และหลังจากนี้ไอ้แม็กซ์มันก็ไม่น่าจะมายุ่งอะไรกับพวกเราอีก ถ้าหากว่ามันมาทำอะไรอีกล่ะก็ ให้กูบอกป๊าได้เลย แล้วคราวนี้พ่อของไอ้แม็กซ์ได้นั่งไม่ติดเก้าอี้แน่ๆอะว่ะ”

“เอ่อออ จริงๆแล้วกูก็ยังงงๆอะนะ แต่สรุปคือป๊ามึงมีคนรู้จักเป็นคนที่ใหญ่มากๆ มากเหี้ยๆ ซึ่งรู้จักกับพ่อของไอ้แม็กซ์ แล้วเค้าก็เลยไปจัดการเคลียร์ให้พวกเรามาแล้ว แบบนั้นใช่มั้ยวะ” เจย์ถามซ้ำ

“ใช่ ก็แบบนั้นอะว่ะ แต่ป๊าเค้าก็กำชับกูนะว่าอย่าไปหาเรื่องอะไรมันก่อนล่ะ เพราะถ้าไม่อย่างนั้นอาจจะเป็นเรื่องใหญ่กว่าเดิมก็ได้”

“เออ ช่างเหอะ กูเองก็ไม่ได้คิดอยากจะยุ่งวุ่นวายครวยไรกะสวะอย่างพวกแม่งอยู่แล้วว่ะ” เจย์พ่นลมหายใจออกทางจมูกเบาๆ

ผมเหลือบไปเห็นโจกำลังนั่งเหม่อมองไปทางที่พวกแม็กซ์เดินจากไปด้วยแววตาที่ดูแฝงความหมายบางอย่างอยู่ จึงกระทุ้งศอกใส่สีข้างของเขา

“เฮ้ย คิดอะไรอยู่วะ อย่าบอกนะว่าคิดจะหาทางแก้แค้นอะไรพวกมันน่ะ” ผมพูดเบาๆ

“แล้วทำไมวะ เพราะถึงไงกูก็ไม่ได้ชื่อว่าอยู่กลุ่มพวกมึงอยู่แล้วนี่หว่า ถ้ากูจะทำอะไรก็ไม่ได้กระทบกระเทือนพวกมึงสักหน่อย”

“มึงคนเดียวเนี่ยนะ ไอ้ห่าเอ๊ยย และที่สำคัญ มึงพูดมาได้ไงวะว่ามึงไม่ได้อยู่กลุ่มพวกกูน่ะ มึงลองมองไปรอบๆตัวดีๆอีกสักทีซิวะว่ามึงกำลังนั่งอยู่ตรงไหน และคนพวกนี้คือใคร ถ้าไม่ใช่ ‘เพื่อน’ ของมึงน่ะ”

เขากวาดตามองหน้าของทุกคนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะแล้วจึงหันหลบไปอีกทาง เขาคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมาหาผมอีกครั้ง “.....แต่ถ้ามึงไม่อยากให้กูยุ่งกับพวกมัน กูก็จะไม่ทำอะไรก็ได้”

ผมยิ้มกว้าง “กูไม่อยากให้มึงไปยุ่งกับพวกมันอีก”

“แต่ถ้ามันมายุ่งกับมึงก่อนก็ถือว่าเป็นอีกเรื่องนึงนะ”

“เออ โอเค ก็แล้วแต่มึงละกัน แต่จะทำอะไรน่ะ ปรึกษาพวกกูก่อนนะเว้ย สัญญาได้ปะล่ะ”

เขาอึกอักนิดหน่อย ก่อนจะพยักหน้าออกมาเบาๆ “เออ สัญญาก็ได้วะ”

“ว่าง่ายดีมากกกก” ผมหัวเราะในลำคอเบาๆ

“โอเค!” เจย์พูดขึ้นเสียงดัง “ถ้างั้นเอาของขึ้นไปเก็บที่ห้องกันเหอะว่ะ แล้วเดี๋ยวเอาไว้ลงมาเจอกันตามเวลาและสถานที่นัดกันไว้พร้อมของที่บอกให้เตรียมนะเว้ย ทุกคน”

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนหน้าตอนสุดท้ายจริงๆแล้ว จะแปะคืนนี้แหละ คันมือคันตีน ขอเม้นด้วย เกิดมาไม่เคยขอเม้นเยอะๆ (ยกเว้นตอนนิยายจะจบ) และไหนๆเรื่องโคตรยาวเรื่องนี้ก็จะจบแล้ว ก็ช่วยเม้นหน่อยเด่ะ จะรอให้โพสตอนสุดท้ายก่อนทำไม คอมเม้นมันคือกำลังใจนะเว้ยเฮ้ย (มาโหมดแอ๊บถ่อย)

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
A 153


ด้วยความช่วยเหลือของนัทและเพื่อนที่เป็นกรรมการนักเรียนที่พวกเราไว้ใจได้อีกสองคน ทำให้การทำเอกสารเรื่องของหอเป็นเรื่องที่ง่ายมากขึ้นอีกเยอะ นั่นคือเราจัดการทำให้ตัวตนของพวกเรายังไม่ได้เข้ามาลงชื่อเข้านอนที่หอ ซึ่งก็หมายความว่าคืนวันนี้และพรุ่งนี้เช้า จะไม่มีใครคาดหวังว่าเราจะต้องนอนอยู่ในห้องนอนของตัวเอง จะไม่มีอาจารย์คนไหนสงสัยถ้าหากว่าไม่พบเราอยู่ในห้อง แต่ทว่านั่นก็หมายความว่าเราจะไม่สามารถกลับมาเข้าห้องนอนของตัวเองในตอนกลางคืนได้ด้วยเช่นกัน เราจำเป็นจะต้องรออยู่ที่ตึกร้างจนถึงรุ่งสาง จึงจะแอบกลับมาที่หอพักได้ตามที่ตกลงกับเพื่อนสองคนนั้นเอาไว้ โดยที่พวกเขาจะรอเปิดประตูและแอบพาเรากลับเข้าตึกให้เอง

พอถึงเวลาสามทุ่ม พวกเราก็ทยอยกันเดินออกจากหอทีละคนสองคน ไม่ได้เดินออกมาพร้อมกันทั้งกลุ่มเหมือนปกติ และเราจงใจเว้นช่วงเวลาของแต่ละคนให้ห่างกันพอสมควร จนกระทั่งสี่ทุ่ม ซึ่งเป็นเวลาที่ประตูหอปิดพอดี พวกเราทุกคนก็มารวมตัวกันได้เกือบครบที่บริเวณหลังห้องพยาบาล อันเป็นสถานที่เหมาะที่สุดในการนัดรวมตัว เนื่องจากว่าไม่ค่อยมีคนเดินผ่านและยังมีที่ซอกตึกเล็กๆที่ถูกบังด้วยพุ่มไม้สูงและต้นไม้อีกจำนวนหนึ่ง สำหรับให้พวกเราใช้หลบยามและอาจารย์ที่อาจจะบังเอิญเดินมาแถวนี้ได้อีกด้วย แต่ทว่าเมื่อเข็มนาฬิกาเดินเลยเลข 10 ไปเกือบ 10 นาทีแล้ว พวกเราก็เริ่มวิตกกันมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าตอนนี้เราขาดก็แต่ป๊อปเพียงคนเดียว

“ไอ้เหี้ยเอ๊ยยย สี่ทุ่มกว่าแล้วนะเว้ย ทำไมไอ้ป๊อปมันยังไม่มาอีกวะ!” เจย์พูดเบาๆด้วยความหงุดหงิด

“แม่งโดนกักตัวไว้รึเปล่าวะ” ตี๋เล็กพูดด้วยความกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“เฮ้ยย ถ้าแม่งโดนจับได้ขึ้นมาจะทำไงวะเนี่ย” เคนพูดด้วยน้ำเสียงตื่นๆ “พวกเราจะพลอยโดนจับได้ไปด้วยมั้ยวะ”

“ไม่หรอกมึง ไอ้ป๊อปมันไม่บอกคนอื่นและมันไม่เอ่ยชื่อพวกเราหรอกน่า” วายุพูด

“แต่ถ้าเกิดว่า......”

“เอางี้ เดี๋ยวกูไปดูให้ก็แล้วกัน” นัทลุกขึ้นยืน “พวกมึงหลบกันอยู่ตรงนี้ดีๆก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวกูแอบไปดูมันให้ ยังไงกูก็หนึ่งในกรรมการนักเรียนเว้ย โดนจับได้ขึ้นมาก็ยังพออ้างโน่นอ้างนี่ได้”

“เฮ้ย จะดีเหรอวะ ไอ้นัท กูรู้สึกไม่ค่อยดีเลยอะ” คริสพูดเสียงสั่นๆ แต่จริงๆคริสก็ดูเป็นคนที่กลัวและตื่นเต้นกับเรื่องนี้มากที่สุดตั้งแต่แรกอยู่แล้วน่ะนะ

“ไม่เป็นไรหรอก พวกมึงรอกันตรงนี้เถอะ”

“เดี๋ยว นัท” ผมดึงชายเสื้อของเขาเอาไว้ “นนท์ไม่อยากให้นัทไปเลยว่ะ นนท์ว่าเรารอมันอยู่ที่นี่อีกสักพักก่อนเถอะ เกิดออกไปกันเยอะๆ มันจะมีแต่ยิ่งเสี่ยงให้ถูกจับได้มากขึ้นนะเว้ย”

เขาก้มลงมองหน้าผมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจนั่งลงเหมือนเดิม “ก็จริงนะ.... ถ้างั้นเราลองรอมันอีกหน่อยก็แล้วกัน”

“ชู่ววว!!” เจย์ที่นั่งอยู่หน้าสุดจุ๊ปากส่งสัญญาณให้พวกเราเงียบ จากนั้นจึงพูดต่อด้วยเสียงกระซิบ “กูได้ยินเสียงคนกำลังเดินมา.....”

ผมนั่งตัวแข็งเกร็งขึ้นทันที วายุรีบปิดไฟฉายที่ถืออยู่เอาไว้ และพวกเราทุกคนต่างก็นั่งเงียบพร้อมกับจ้องมองไปยังพุ่มไม้ที่อยู่ตรงมุมตึกข้างหน้า โจที่นั่งอยู่ข้างๆผมเลื่อนมือมาวางลงบนมือของผมเบาๆ

ในขณะที่ผมกำลังจะหันไปมองหน้าของเขาอยู่นั้น พุ่มไม้ก็สั่นไหวขึ้น ตามมาด้วยร่างของคนๆ หนึ่งที่แทรกตัวผ่านเข้ามา

“เฮ้อออ…!! โทษทีๆ ไอ้เหี้ย กูเกือบออกมาไม่ได้แล้วมั้ยล่ะ!”

“ไอ้เชี่ยป๊อป! ทำไมมาช้านักวะ!” เจย์รีบลากตัวของป๊อปเข้ามาข้างใน

“ก็กูเกิดปวดขี้อะ เลยกลับไปขี้ก่อน เสียเวลาแค่ห้านาทีเอง แม่งงง แต่พอลงลิฟท์มาแล้วเสือกเจออาจารย์เข้าพอดี เค้าก็ถามว่ากูจะไปไหน ประตูจะปิดแล้ว กว่ากูจะออกมาได้ก็เล่นเอาแย่เหมือนกัน”

“แล้วนี่คงจะไม่มีใครตามมึงมาหรือถามหามึงใช่มั้ยวะ ไอ้ป๊อป” วายุถาม

“ไม่มี๊ไม่มี กูแอบออกมาไม่มีคนเห็นเลย ไม่มีปัญหาหรอก”

“งั้นทุกคนพร้อมนะ” เจย์หันมาหาพวกเรา “หลังจากนี้เราต้องค่อยๆย่องไปนะเว้ย ตามกันมาดีๆล่ะ คอยดูไว้ด้วยว่ามียามหรืออาจารย์เดินอยู่ตรงไหนรึเปล่า โอเค๊”

“โอเค” เราทุกคนรับคำพร้อมกัน

หลังจากนั้น พวกเราก็ค่อยๆเดินออกจากซอกตึก แล้วเดินเลียบตามต้นไม้ผ่านข้างสนามบอลไปเรื่อยๆ เราเกือบโดนยามจับได้ครั้งหนึ่ง ตอนที่อยู่ดีๆเคนก็ดันจามออกมาตอนที่ยามกำลังเดินอยู่อีกฝั่งหนึ่งของสนามพอดี แต่โชคดีที่เรารีบวิ่งไปหลบกันอยู่หลังสแตนด์เชียร์ได้ทันก่อนที่เขาจะเดินมาสำรวจตรงที่พวกเรายืนกันอยู่เมื่อก่อนหน้า หลังจากนั้นแล้วเราก็ค่อยๆเดินกันต่อไปได้อย่างไม่เจอปัญหาอะไร แต่กว่าที่เราจะมาถึงตึกร้างอันเป็นเป้าหมายได้ก็กินเวลาไปถึงเกือบหนึ่งชั่วโมง จากที่ถ้าเดินปกติคงใช้เวลาแค่ไม่เกินสามสิบนาทีเท่านั้นเอง

เมื่อมาถึงที่ตึกร้าง ผมถึงเห็นว่าทางเข้าตึกที่ชั้นหนึ่งนั้นถูกปิดตายด้วยลูกกรงและแม่กุญแจตัวใหญ่ แต่ทว่าเมื่อผมขอยืมไฟฉายมาจากโจแล้วส่องผ่านเข้าไป ผมก็ยังเห็นว่า ถึงแม้ประตูห้องเรียนทุกห้องในชั้นหนึ่งจะถูกปิดเอาไว้ด้วยแม่กุญแจ แต่บันไดขึ้นไปยังชั้นบนนั้นก็ยังคงสามารถใช้การได้และไม่ได้มีอะไรมาปิดขวางกั้นเอาไว้เลยแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นการจะขึ้นไปยังชั้นบนก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ปัญหาหลักก็คือพวกเราจะเข้าไปในนั้นได้อย่างไรต่างหาก

“เอาไงล่ะทีนี้..... ยังไงต่อวะ ไอ้นัท” วายุถามขึ้น

“กูบอกแล้วไงว่ามันมีทางเข้า ไม่งั้นมึงคิดว่าคนอื่นๆมันจะเคยเข้าไปได้ยังไงวะ” นัทตอบ

“อ้าว กูก็นึกว่ามันแค่โม้กันบ้างไรบ้าง ไรเงี้ย” ป๊อปพูดขึ้นอีกคน “แล้วแบบนี้จะเข้าทางไหนวะ มึง”

“พวกมึงตามกูมา....” นัทออกเดินนำพวกเราอ้อมไปยังด้านหลังตึก

ในขณะที่ผมกำลังเดินตามคนอื่นๆอยู่นั้น ผมก็ก้มๆเงยๆ หันซ้ายหันขวาสำรวจรอบตัวอาคารไปด้วย ที่จริงแล้วตึกแบบนี้ก็ดูไม่ต่างจากตึกที่โรงเรียนเก่าของผมมากนัก และที่จริง ผมว่ามันก็คงไม่ได้ต่างจากตึกโรงเรียนอื่นๆของประเทศไทยสักเท่าไหร่นัก เพียงแต่ว่าตัวผนังอาคารนั้นเก่าและทรุดโทรมมาก มีรอยเปื้อนเป็นคราบที่ผมดูไม่ออกว่ามันคืออะไรอยู่เยอะ และมีพืชจำพวกไม้เลื้อย กิ่งไม้ ใบไม้ เลื้อยพันระเกะระกะอยู่โดยรอบ แต่นอกจากนั้นแล้วผมก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันดูน่ากลัวหรือให้ความรู้สึกเป็นตึกผีสิงอย่างที่เขาเล่าลือกันขนาดนั้นเลย...... แต่ดูท่าทางว่าคนอื่นอาจจะไม่ได้คิดแบบผมกันไปหมดทุกคนซะแล้ว

“เฮ้ย!! เสียงอะไรวะ!” ป๊อปร้องออกมาเบาๆพร้อมกับสาดไฟฉายออกไปทางซ้ายมือของพวกเรา

“อะไรวะไอ้ป๊อป!” ตี๋เล็กดึงแขนของป๊อปเอาไว้ “มึงอย่าสาดไฟฉายไปมามั่วซั่วดิวะ เดี๋ยวยามหรือใครก็เห็นเข้าหรอก”

“แต่ ก... ก... กูได้ยินเสียงจริงๆนะเว้ย!”

“กูไม่เห็นได้ยินอะไรเลย มึงหลอนไปเองแล้ว ไอ้ป๊อป” เจย์จุ๊ปากแล้วส่ายหน้าเบาๆ “มึงกลัวอะดิ ไอ้เตี้ย เลยประสาทหลอนไปเองอะ”

“แต่... แต่....”

“ไปกันต่อเหอะมึง จะถึงแล้ว” นัทพูดขึ้นพร้อมกับออกเดินต่อ

ดูท่าทางว่าป๊อปจะกลัวมากจริงๆ เพราะนอกจากคริสที่เดินตัวติดอยู่กับวายุแล้ว ก็มีป๊อปอีกคนนี่แหละที่เดินเกาะแขนและจับมือกับตี๋เล็กไว้แน่น แถมยังหันรีหันขวางอยู่แทบจะตลอดเวลา

“ไงวะ กลัวรึไง” โจกระซิบลงที่หูของผมเบาๆ

“เหออ เปล่าสักหน่อย”

“กูเห็นมึงเดินล่อกแล่กไปมาตั้งนานแล้วนะ ถ้ากลัวแล้วอยากจะจับมือกูเหมือนไอ้ป๊อปกับไอ้ตี๋มันบ้างกูก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะเว้ย” เขายิ้มมุมปากพร้อมกับยื่นมือมาสะกิดข้อมือของผมเบาๆ

“ไม่ต้องเลย! กูบอกแล้วไงกูไม่ได้กลัวสักหน่อย!” ผมกระทุ้งศอกใส่เอวของเขา

“ถึงแล้ว..... ห้องนี้แหละ” นัทพูดขึ้นหลังจากที่หยุดอยู่ตรงหน้าต่างไม้เก่าๆผุๆบานหนึ่ง “พวกมึงถอยไปหน่อย แล้วช่วยดูด้วยนะว่ามีคนมารึเปล่าน่ะ” เขาบอกพวกเรา ก่อนที่ค่อยๆใช้มือทั้งสองข้างไล่และออกแรงกดไปตามขอบหน้าต่าง จากนั้นจู่ๆเขาก็กระทุ้งกำปั้นทั้งสองข้างลงไปที่มุมล่างซ้ายของบานหน้าต่างแรงๆ

เสียงดัง “ตึง!!” สะท้อนไปทั่วความมืดมิดรอบตัวพวกเรา ทำให้เราต่างก็หันรีหันขวางกลัวว่าใครจะได้ยินกันทันที แต่หลังจากนั้นอีกแค่ไม่กี่วินาที เสียงสะท้อนนั้นก็ค่อยๆแผ่วเบาลงไป และในที่สุดความเงียบก็เริ่มกลับเข้ามาปกคลุมค่ำคืนของพวกเราดังเดิม

“กูเคยถามพวกที่เคยโดนอาจารย์จับได้ว่าจะแอบเข้ามาที่นี่แล้วว่ามันคิดจะเข้ามายังไง” นัทหันมาอธิบายให้พวกเราฟังพร้อมกับเปิดบานหน้าต่างออก “มันบอกว่าจริงๆก็มีทางเข้าหลายทางแหละ แต่ทางอื่นก็โดนอาจารย์กับภารโรงตามปิดไปหมดแล้ว ล่าสุดก็เหลือแค่หน้าต่างบานนี้บานเดียวแหละที่พี่มอปลายมันเคยมางัดเอาไว้แล้วอาจารย์ยังไม่ได้ปิดน่ะ..... มาเร็วๆ ไปกันเถอะ”

“มึงนี่มันร้ายยยยยว่ะ ไอ้เชี่ยนัททท” เจย์พูดด้วยน้ำเสียงชอบใจ

“ถ้ามึงเป็นกรรมการนักเรียนอย่างกู มึงจะรู้ว่าพวกกูอะ รู้เรื่องอะไรเหี้ยๆกว่าที่มึงคิดเยอะ ไอ้เจย์ ไม่งั้นกูจะตามไอ้เด็กพวกนั้นทันเหรอวะ และที่สำคัญ มึงไม่รู้ซะแล้วว่าเด็กมอปลายน่ะ แม่งเหี้ยกว่าเด็กฝั่งเราเยอะเหอะ” นัทปีนขึ้นไปบนขอบหน้าต่าง แล้วจากนั้นเขาก็กระโดดหายเข้าไปในห้องเรียน

เจย์ดันหลังให้เรากระโดดตามนัทเข้าไปข้างในทีละคน และเมื่อผมข้ามหน้าต่างเข้าไปยืนอยู่ในห้องเรียนแล้ว ผมก็ต้องทำจมูกย่นเพราะฝุ่นที่คลุ้งขึ้นเต็มไปหมด แต่ทว่าคราวนี้คนที่ดูเหมือนจะมีปัญหามากกว่าคนอื่นกลับไม่ใช่ป๊อปหรือคริสอีกต่อไป แต่เป็นวายุต่างหาก เพราะว่าเขากลัวแมงมุมมาก และเขาก็กำลังยืนบิดไปบิดมาอยู่ข้างๆผม พยายามปัดหยากไย่ออกจากตัว หัว และกระเป๋าเป้ที่สะพายมาอย่างทุลักทุเล ผมจึงต้องช่วยเขาด้วยอีกแรง

หลังจากที่เจย์กระโดดตามเราเข้ามาในห้องแล้ว เขาก็ปิดหน้าต่างลง นัท วายุ ตี๋เล็ก และโจ ก็เริ่มฉายไฟฉายไปรอบๆห้อง ทำให้ผมเห็นว่าห้องเรียนนี้ยังอยู่ในสภาพที่ปกติเรียบร้อยแทบทุกอย่างเหมือนกับห้องเรียนทั่วๆไป ไม่ว่าจะโต๊ะไม้ที่มีเก้าอี้วางกลับหัวทับอยู่ด้านบนอย่างเป็นระเบียบ กระดานดำที่ถูกลบจะสะอาดเกลี้ยงพร้อมกล่องใส่ชอล์กที่วางอยู่มุมหนึ่งของรางใส่ชอล์ก และยังโต๊ะของอาจารย์ที่ว่างเปล่า แต่ทว่าสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าห้องนี้ร้างคนมานานแล้วก็คงเป็นฝุ่นและหยากไย่จำนวนมหาศาลที่เกาะอยู่ตามพื้นห้อง มุมห้อง และโต๊ะเรียนนั่นเอง

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
หลังจากที่เราเข้ามายืนอยู่ในอาคารเรียนแล้ว ผมก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปทันที ภายในห้องนี้นั้นทั้งมืด เงียบ และให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกกว่าภายนอกมากจนผมรู้สึกประหลาดใจ และดูเหมือนแม้แต่วายุก็จะรู้สึกแบบเดียวกันกับผมด้วยเหมือนกัน เพราะว่าเขายืนตัวห่อและหันรีหันขวางด้วยสีหน้าที่ต่างไปจากตอนอยู่ข้างนอกอย่างสิ้นเชิง

“เฮ้ยย.... มึงก็รู้สึกเหมือนกูเหรอวะ ไอ้ยุ” ผมกระซิบถามเขา

เขาหันมามองหน้าผมทันที “มึงนั่นแหละ ที่รู้สึกเหมือนกูด้วยเหรอวะ ไอ้นนท์”

“เออ กูก็ว่ามันแปลกๆว่ะ” ผมมองไปรอบๆ “พอเข้ามาในนี้แล้วก็รู้สึก..... แปลกๆชอบกลยังไงไม่รู้อะ..... เนี่ยกูขนลุกเลยนะเว้ย”

“เออ กูก็ลุก ไอ้เหี้ย แม่งหันไปทางไหนก็มีแต่หยากไย่ ใยแมงมุม นี่ถ้ามีตัวเป็นๆโผล่มาเกาะกูเมื่อไหร่นะ กูจะกรี๊ดจริงๆด้วย!” เขาตัวสั่นน้อยๆ แล้วจึงออกเดินตามหลังนัทไป

นัทเขย่าประตูประตูห้องเรียนเบาๆจนกระทั่งมันเปิดออก จากนั้นเขาเดินนำพวกเราออกไป และในระหว่างที่พวกเราต่างก็ค่อยๆคืบคลานไปตามระเบียงหน้าห้องเรียนอยู่นั้น ผมถึงได้สังเกตเห็นว่าประตูแต่ละบานของแต่ละห้องเรียนนั้นไม่ได้ถูกปิดตายเอาไว้ด้วยแม่กุญแจทุกห้องอย่างที่ผมคิด จนกระทั่งเมื่อเราไปถึงบันไดที่จะพาขึ้นไปยังชั้นบน ผมมองดูนาฬิกาข้อมือแล้วก็เห็นว่ามันเป็นเวลาเกือบจะเที่ยงคืนพอดี

ในขณะที่เรากำลังอยู่ระหว่างการเดินขึ้นไปยังชั้นบนสุด ซึ่งก็คือชั้นหกอยู่นั้น จู่ๆก็มีลมเย็นๆ พัดเข้ามาปะทะหลังของพวกเราอย่างแรง เสียงของสายลมที่พัดผ่านช่องบันไดแคบๆนั้นส่งเสียงหวีดแหลมราวกับเสียงคนร้องโหยหวน จนทำให้ป๊อปร้องจ๊ากออกมาทันที

“ไอ้เหี้ยยย!! เมื่อกี้มันเสียงคนรึเปล่าวะ!” ป๊อปกระซิบผ่านไรฟันด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก “มึงก็ได้ยินใช่มั้ย ไอ้ตี๋!”

“เสียงลมน่ะ ไอ้ป๊อป มึงอย่าคิดมากน่าาาา” ตี๋เล็กส่ายหน้าเบาๆ

“แล้วทำไมจู่ๆแม่งมีลมเย็นๆแบบนั้นได้ล่ะวะมึง!! กูว่าเรากลับเหอะ!”

“กูเห็นด้วยๆๆ ไอ้เหี้ยยย เยี่ยวกูจะราดแล้วเนี่ยยย” เคนสนับสนุนความเห็นของป๊อป

“เฮ้ยๆๆ อย่ามาเยี่ยวแตกตรงนี้นะมึง ไอ้เคน ไม่งั้นกูฟ้องพี่แม็ทจริงๆด้วย”

เคนถมึงตาใส่วายุและชูนิ้วกลางกลับไปอย่างรวดเร็ว

“แล้วมึงอะ ไอ้คริส กลัวป่าววะ” เจย์หันไปถามคริสที่เกาะแขนวายุแน่น “.....เอออ กูไม่น่าถามเนอะ หน้าแม่งซีดซะขนาดนี้ ฮ่าๆๆ”

“แล้วมึงไม่กลัวเลยรึไงวะ ไอ้เจย์ ไอ้เหี้ย” ป๊อปถาม “ไอ้พวกไร้สามัญสำนึกไร้ความรู้สึกไร้ความละเอียดอ่อน ไอ้หัวครวย!”

“ครวยเหอะ จะให้กูกลัวเหี้ยไรอะว่ะ ก็แค่ลมพัดธรรมดากับเสียงลม ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลย”

“ไอ้เจย์! นั่นเงาคนอยู่ตรงหน้ามึงอะ!!” วายุร้องขึ้นพร้อมกับชี้ไปที่ข้างหน้าของเจย์

เจย์รีบหันขวับกลับไปตรงหน้าตัวเองพร้อมกับป๊อปและเคนที่ต่างก็กรีดร้องกันออกมาเสียงหลง แต่ทว่าเราก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรอยู่ตรงหน้าของเจย์เลยแม้แต่นิดเดียว

“ม... ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่หว่า! ไอ้เชี่ยยุ!”

“จะมีได้ไงวะ ไอ้เชี่ยหมี ก็กูล้อเล่นอะ ฮ่าๆๆๆ แหม เสียงสั่นเลยนะมึง”

“พ่อมึงตายเหอะ!! เดี๋ยวกูเอาแมงมุมยัดปากเลย ไอ้ครกแตกเอ๊ย!!”

“พอได้แล้วพวกมึง เสียงดังมากเดี๋ยวภารโรงก็ตื่นกันทั้งตึกหรอก” นัทปราม จากนั้นก็ออกเดินนำพวกเราทุกคนขึ้นไปยังชั้นต่อไป

ผมหันไปมองโจที่เดินอยู่ข้างๆผม เขาเป็นคนเดียวที่แทบไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยนับตั้งแต่มาถึง ถึงแม้ว่าคริสจะพูดน้อยแล้ว แต่ทว่าคืนนี้โจกลับพูดน้อยยิ่งกว่าคริสเสียอีก

“หรือว่าที่จริงแล้วมึงกลัวผีวะ ไอ้โจ”

“เฮอะ อะไรนะ” เขาเงี่ยหูมาทางผม

“เปล่า ไม่มีอะไร ช่างมันเถอะ กูแค่สงสัยน่ะว่าที่มึงพูดน้อยๆเนี่ย จะเป็นเพราะมึงกลัวผีรึเปล่า”

“หึ.... กูไม่กลัวหรอก กูว่าคนเรานี่แหละ แม่งน่ากลัวกว่าผีเยอะ”

“รวมถึงกูด้วยเหรอ ที่น่ากลัวกว่าผีเนี่ย”

“เออ โดยเฉพาะมึงนี่แหละ ตัวดีเลย” เขามองผมด้วยหางตา

“เอ๊าา มึงมากลัวอะไรกูวะ”

“ก็กลัวมึงไม่รักน่ะสิ” เมื่อพูดจบเขาก็คว้ามือของผมไปกุมเอาไว้ทันที

ถ้าเป็นปกติผมคงจะเขินและหาทางแก้เก้อด้วยการปัดมือเขาออกไปแล้ว แต่ว่าด้วยน้ำเสียงและสิ่งที่เขาพูด มันทำให้ผมรู้สึกได้ว่า ผมคงจะโกหกตัวเองจนเกินไปถ้าหากผมไม่ยอมรับความรู้สึกของตัวเอง และมันคงจะเป็นการทำร้ายความรู้สึกของเขาต่อไปเรื่อยๆด้วย ถ้าหากว่าผมทำเฉยชาใส่เขามากจนอาจจะติดเป็นนิสัยไปถึงในอนาคต

“....คืนนี้คืนเดียวนะมึง” ผมพึมพำเบาๆ

โจเองก็น่าจะได้ยินสิ่งที่ผมพูด เพราะเขายิ้มที่มุมปากน้อยๆพร้อมกับบีบมือของผมเบาๆ

พวกเราเดินกันต่อไปจนถึงชั้นหก และนัทก็เดินนำพวกเราไปจนถึงห้องที่เขาลือกันว่ามีเด็กฆ่าตัวตายที่นี่ ไม่ว่าจะด้วยการกรีดข้อมือหรือกระโดดตึกก็ตาม แต่ทว่าภายในห้องเรียนห้องนั้นก็ยังคงดูปกติทั่วไปเหมือนกับห้องเรียนที่เราปีนเข้ามาไม่มีผิด พวกเราออกเดินสำรวจรอบๆห้อง ไม่มีคราบเลือด ไม่มีซากศพ ไม่มีสิ่งน่าสงสัย ไม่มีอะไรเลยนอกจากโต๊ะ เก้าอี้ กองหนังสือเก่าๆ เศษโปสเตอร์ขาดๆ และฝุ่นกับหยากไย่ทั่วเกือบทั้งห้องเท่านั้นเอง

พวกเราปูผ้าที่เตรียมมาลงลบพื้นหน้ากระดานดำแล้วนั่งจับกลุ่มกันโดยใช้แสงไฟจากเทียนไขที่เตรียมมาเป็นสิ่งให้ความสว่าง ในตอนแรกก่อนที่เราจะมาที่นี่ เจย์ก็เสนอความคิดให้เล่นผีถ้วยแก้วหรือลองพิสูจน์ว่าที่นี่มีผีจริงหรือเปล่าอยู่เหมือนกัน แต่ความคิดนั้นก็ถูกป๊อป ตี๋เล็ก เคน และคริสแย้งและยื่นคำขาดว่าถ้าหากเจย์เล่นอะไรแบบนั้น พวกเขาจะไม่มาด้วยแน่นอน ดังนั้นความคิดของเจย์จึงต้องถูกพับเก็บไป พวกเราเลยตั้งใจที่จะแค่ผลักกันไปเดินสำรวจห้องเรียนต่างๆเป็นการพิสูจน์ความกล้าและนั่งคุยกันไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงเช้าเท่านั้นพอ เพราะสุดท้ายเราก็เห็นพ้องตรงกันว่าถ้าหากผีมีจริง ถึงเราไม่ต้องเรียก เขาก็คงจะต้องอยากปรากฏตัวออกมาให้เราเห็นบ้างสักนิดนั่นแหละน่า

“แล้วถ้าปวดเยี่ยวกูจะทำไงวะ” เคนถามขึ้นหลังจากที่พวกเรานั่งลงกันเรียบร้อยหมดแล้ว

“ห้องน้ำไงมึง หรือมึงจะเยี่ยวในห้องเรียน”

“ครวยเถอะ ไอ้เจย์.....” เคนหันไปมองหน้าเจย์แล้วดึงแขนเสื้อเพื่อนของเขาเบาๆ “มึงไปเป็นเพื่อนกูหน่อยดิ กูปวดเยี่ยวจริงๆนะเว้ย”

“เออๆ ไปก็ไป ไหนๆก็ไหนๆแล้ว งั้นไปเดินสำรวจชั้นอื่นๆด้วยเลยแล้วกันนะ ไอ้แป้น” เจย์ยืนขึ้น

“เฮ้ยยย จะดีเหรอวะ กูแค่ปวดเยี่ยวเองหนาาา”

“มาเร็ว! หรือมึงจะไปคนเดียว”

“ก็ได้วะ ฮือออ แต่มึงห้ามทิ้งกูนะเว้ย ไม่งั้นกูเลิกคบมึงจริงๆด้วย”

“เออออออออ”

ทั้งสองคนเดินออกจากห้องไป และอีกแค่ไม่ถึงสิบนาทีถัดมา พวกเขาก็เดินกลับมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องอีกครั้ง

“เฮ้ย พวกมึง มานี่ดิ มาดูไรนี่” เจย์กวักมือเรียก

“อะไรวะ”

เราทุกคนลุกขึ้นจากพื้นและเดินตามเจย์ไปยังห้องเรียนที่อยู่สองห้องถัดไป

“ก็เมื่อกี้กูพาไอ้แป้นมันไปเยี่ยวใช่มั้ยล่ะ แล้วตอนแรกพวกกูก็ว่าจะเดินสำรวจชั้นอื่นๆห้องอื่นๆแบบที่เราคุยกันไว้อะ แต่พอกูเห็นห้องนี้แล้วกูก็เลยไปเรียกพวกมึงมานี่แหละ”

หลังจากที่เดินเข้าไปในห้องแล้ว สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของพวกเราทุกคนไปยังจุดเดียวกันก็คือกระดานดำหน้าห้องเรียนที่แตกต่างจากห้องที่เราเห็นมาสองห้องอย่างเห็นได้ชัดเจน เพราะกระดานดำของห้องนี้ถูกขีดเขียน วาดรูป และระบายด้วยชอล์กสีต่างๆจนเต็มกระดาน ผมไล่สายตาอ่านและดูรูปภาพต่างๆไปเรื่อยๆ บนกระดานนั้นมีทั้งชื่อของกลุ่มเพื่อนที่สร้างสรรค์สิ่งๆนี้ขึ้นมา ชื่อของเพื่อนที่เรียนอยู่ด้วยกัน ตัวหนังสือ ประโยคสั้นๆถึงเพื่อน คำพูดระบายความรู้สึกดีใจที่เรียบจบแล้ว ความเสียใจที่ต้องจากเพื่อนๆและโรงเรียนแห่งนี้ไป การแสดงความขอบคุณมิตรภาพที่ตนได้รับ รูปภาพการ์ตูนเด็กผู้ชาย และยังอื่นๆอีกมากมาย แต่ทว่าสิ่งที่ผมรู้สึกสะดุดตามากที่สุดก็คือปี คศ. ที่ถูกเขียนเอาไว้ตรงมุมล่างของกระดานดำต่างหาก

“เฮ้ยย นี่มันเพิ่งเมื่อปีก่อนนี้เองนี่หว่า” ผมพูดขึ้นพลางชี้ไปที่ปี คศ. ที่ผมเห็น

“ไม่ใช่แค่ตรงนั้น ไอ้นนท์ นี่ๆ พวกมึงมาดูนี่ดิ” วายุเรียกพวกเราให้ไปดูตรงกลางกระดานดำ “นี่ มึงคุ้นๆชื่อคนพวกนี้รึเปล่าวะ ไอ้เหี้ยยย”

“เฮ้ยยยย!” ป๊อปโพล่งออกมา “นี่มันพวกพี่โป้งนี่หว่า ใช่มั้ยวะ!”

“เออ” วายุหัวเราะเบาๆ “ตอนแรกกูก็สงสัยอยู่นะ แต่มึงดูนี่ดิ” เขาชี้นิ้วลงไปตามชื่อต่างๆ “เอาที่พวกเราสนิทและรู้จักนะ นี่ ชื่อพี่โป้ง นี่พี่อเล็กซ์ พี่ฟอง พี่บรีซ แล้วก็พี่ไก๋ ไอ้เหี้ยยยย มากันครบเลยมึง”

“พี่โป้งที่เป็นประธานสีอะนะ ที่หน้าตาดีๆ ดูเรียบร้อยๆหน่อยนั่นอะนะ” ผมถามขึ้นด้วยความแปลกใจ เพราะผมเองก็ยังจำพี่โป้งได้ดี ตั้งแต่ตอนที่โรงเรียนเราเปิดฝั่งให้นักเรียนฝั่งมัธยมปลายข้ามมาเกณฑ์รุ่นน้องไปเป็นนักกีฬาของสีนั่นแหละ

“น้อยไปดิ ไอ้นนท์ พี่โป้งแม่งแสบจะตายห่า เห็นแบบนั้นก็เหอะ แม่งร้ายพอๆกับไอ้ยุเลยนะเว้ย” เจย์หัวเราะในลำคอเบาๆ

“อ้าว ไอ้เหี้ย เกี่ยวอะไรกับกูด้วยล่ะวะ กูแสบกูเลวกูร้ายตรงไหนนนน”

“แต่แบบนี้ก็แปลว่าปีที่แล้วพวกพี่เค้าก็ต้องเคยแอบเข้ามาที่นี่แบบพวกเรานี่อะดิวะ” นัทพูดขึ้นบ้าง “แหมเว้ย แล้วพวกแม่งก็ปิดกันเงียบเลยนะ ร้ายจริงๆ”

“สงสัยเค้าจะไม่อยากให้ใครรู้มั้ง เพราะถ้าเกิดว่ามีใครรู้หรือจับได้ว่าพี่เค้าเคยแอบเข้ามาที่นี่ล่ะก็ พี่โป้งแม่งโดนปลดจากตำแหน่งแน่ๆเลยว่ะ” ตี๋เล็กพูด

“แล้วแม่งทิ้งหลักฐานไว้ขนาดนี้ ใครมันจะไม่รู้ล่ะวะ” ป๊อปแย้ง

“แต่ถ้าเกิดมีใครรู้ว่าพี่โป้งมาที่นี่ ก็แปลว่าคนๆนั้นก็ต้องเข้ามาที่นี่ด้วยเหมือนกัน ใช่มั้ยล่ะวะ” คริสพูดขึ้นบ้าง

“กูถึงว่าไงว่าแม่งร้ายยยยย” เจย์หัวเราะ “และเผลอๆ กูว่าหน้าต่างบานที่มึงใช้เข้ามาอะ ไอ้นัท ก็คงเป็นพวกพี่โป้งนี่แหละว่ะ ที่แม่งสะเดาะเอาไว้น่ะ”

“เออ กูก็กำลังคิดแบบนั้นอยู่เหมือนกัน” นัทหัวเราะเบาๆ

“เฮ้ย นี่ๆ พวกเราเอากันมั่งมั้ยมึง” วายุถามขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง “อ๊าวว พวกมึงอย่าทำหน้างงแบบนั้นดิวะ เฮ้ยยย ไหนๆเราก็ไม่มีอะไรทำกันจนกว่าจะเช้าอยู่แล้ว กูว่าเรามาทำแบบนี้กันมั่งดีมั้ย ก็นี่ไง ‘เฟรนด์ชิพ’ ของพวกเราไง เหมือนที่เราเคยคุยกันเลย แต่นี่เจ๋งกว่าแค่เขียนลงในสมุดตั้งเยอะ แล้วที่นี้เผื่อในอนาคตมีเด็กรุ่นน้องของเราคนไหนแอบเข้ามาที่นี่ได้ และมันมาเห็นของเราเหมือนที่เราเห็นของพวกพี่โป้งนี่ก็คงจะเจ๋งดีนะเว้ย”

“เห็นมะ กูบอกแล้วว่าแม่งร้ายยยย” เจย์กระทุ้งสีข้างผมเบาๆ

“งั้นเรากลับไปห้องเรากันเหอะ ปะ เอาไว้สักตีสองตีสามค่อยเดินสำรวจกันก็ได้นี่หว่า” วายุพูดอย่างกระตือรือร้นแล้วก็เดินนำพวกเราออกจากห้องไปทันที

“มีอะไรรึเปล่า นัท” ผมหันไปถามนัทที่ยังคงยืนส่องไฟฉายมองกระดานดำอยู่รั้งท้ายสุด

“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” เขาหันมายิ้มให้กับผม แต่ก็ยังคงไม่ออกเดินตามพวกเรามา

“งั้นกูไปก่อนก็แล้วกัน” โจพูดขึ้นพร้อมกับเดินตามทุกคนออกไป

ผมเดินเข้าไปหานัทแล้วมองดูกระดานดำที่อยู่ตรงหน้า “ไม่รู้ว่าตอนนั้นพวกพี่โป้งเค้าจะเข้ามาที่นี่กันกี่คนนะ”

“ก็คงพอๆกับพวกเรานี่แหละมั้ง นัทจำได้ว่ากลุ่มพี่เค้าก็มีประมาณหกหรือเจ็ดคนนี่แหละ แต่ว่ามีพี่คนนึงต้องไปเรียนต่อที่เมืองนอก แล้วก็อีกคนไปเรียนเตรียมฯ น่ะ”

“แปลว่าพวกนัทก็สนิทกับพวกพี่เค้าพอสมควรเลยอะดิ”

“ช่ายยย.... ก็ประมาณนึงอะนะ” เมื่อพูดจบ จู่ๆเขาก็ปิดสวิทช์ไฟฉายลง ทำให้ทั่วทั้งห้องมืดลงทันที

“เฮ้ย!! ปิดไฟทำไมอะ!” ผมสะดุ้งและรีบคว้าแขนของเขาเอาไว้อย่างรวดเร็ว

“หยอกเล่นเฉยๆน่า” เขาหัวเราะเบาๆพร้อมกับเปิดไฟฉายขึ้นอีกครั้ง “นัทว่ามันคงเป็นความทรงจำที่ดีนะ....”

“หืออ อะไรเหรอ”

“ชีวิตตอนเรียนมัธยม ตอนที่เราได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าน่ะ”

“อื้อออ.... ก็คงอย่างนั้นอะนะ”

“ถ้าเราได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ไปตลอดมันก็คงจะดี แต่น่าเสียดายที่มันเป็นไปไม่ได้.... ที่จริงนัทเคยคิดไว้นะว่ากลุ่มของเราจะมีกันและกันแบบนี้ไปจนจบมัธยมปลาย จนจบมหาลัย ไปจนถึงตอนทำงานเลย แต่ความเป็นจริงแม่งก็คงเป็นไปไม่ได้อะ สุดท้ายยังไงสักวันเราก็ต้องแยกจากไปกันอยู่ดี อย่างตอนนี้ไอ้คริสเองยังจะต้องไปก่อนใครเพื่อนเลย ใช่มั้ยล่ะ”

“แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีกสักหน่อยใช่มั้ยล่ะ ยังไงอีกไม่กี่ปีเดี๋ยวไอ้คริสมันก็กลับมาแล้ว”

“นัทรู้” เขาหันมายิ้มน้อยๆให้ผม จากนั้นก็เหยียดแขนออกมาโอบบ่าผมเอาไว้ “ไปกันเถอะ เดี๋ยวไอ้พวกนั้นจะรอนานนะ”

ผมอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาคงจะจับมือผมไปแล้ว ไม่ใช่แค่โอบไหล่แบบนี้ แต่ทว่าผมกลับรู้สึกดีกับการที่เขาทำอย่างนี้มากกว่า เพราะอย่างน้อยๆมันก็ช่วยเตือนให้ผมรู้ว่าระหว่างเราเป็นอย่างไรกัน และเขาเองก็กำลังพยายามทำทุกสิ่งให้เป็นปกติมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้อยู่ด้วยเช่นกัน

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
เมื่อเราเดินกลับไปยังห้องที่เรานั่งกันอยู่ตอนแรก เราก็เห็นว่าคนอื่นๆนอกจากโจ ต่างก็กำลังโชว์ฝีมือขีดเขียนวาดรูปลงบนกระดานดำกันอยู่อย่างสนุกสนาน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะลืมกันไปแล้วด้วยซ้ำว่าเจตนาที่เรามาที่นี่กันตอนแรกคืออะไร และที่แห่งนี้มีข่าวลือน่ากลัวอะไรอยู่บ้าง

“มึงจะใช้ด้านนั้นระบายได้ไงล่ะวะ ไอ้ป๊อป มึงต้องใช้แนวยาวสิวะ ไม่ใช่แนวตั้ง” คริสแย้งขึ้นเมื่อเขาเห็นว่าป๊อปกำลังใช้ชอล์กระบายสีลงบนรูปที่เขาวาด “นี่ แบบนี้ไง มึงอย่าจับเหมือนจับปากกา แต่ใช้แนวยาวของชอล์กวางทาบแล้วระบายแม่งลงไปเลย”

“อ๋อออออ อย่างนี้นี่เองงงงง” ป๊อปเลียนเสียงพิธีกรรายการทีวีแชมเปี้ยน

“มึงเขียนเหี้ยไรของมึงวะ ไอ้ป๊อป มึงวาดครวยไรลงไปน่ะ” เจย์สาดไฟฉายมาตรงรูปที่ป๊อปกำลังวาดอยู่

“ก็วาดรูปหัวใจแล้วใส่ชื่อกูกะไอ้ตี๋ลงไปไง ฮิ้วววววว”

“ไอ้ยุๆ มึงมาช่วยกูวาดรูปครวยหน่อย เอาหันปลายเจี๊ยวไปยิงลำแสงใส่หัวใจของไอ้เชี่ยป๊อปเลยนะ” เคนพูด

“ได้เล้ยยย ฮ่าๆๆ”

“เฮ้ยยย ไอ้ส้นตีนพวกนี้นี่!!”

“เฮ้ยๆๆ พวกมึงเบาเสียงหน่อยเว้ย อยากจะปลุกยามกับภารโรงกันทั้งตึกรึไง” นัทจุ๊ปากเบาๆ

“มึงเองก็อย่าเอาแต่คอยคุมคนอื่น ไอ้เชี่ยนัท ไอ้นนท์ก็ด้วย อยากจะเขียนอะไรถึงแฟนเก่าตัวเองก็มาเขียนซะ แล้วก็อยากเขียนอะไรให้ไอ้คริสก็มา เร็วๆ” เจย์กวักมือเรียกเราสองคน

เราสองคนหันมายิ้มให้กันน้อยๆ ก่อนจะกระโดดเข้าไปร่วมวงกับพวกเขาทุกคน

ในตอนแรกพวกเราต่างคนก็ต่างวาดอะไรที่แต่ละคนอยากจะวาด แต่สุดท้าย หลังจากที่เวลาผ่านไปได้เกือบหนึ่งชั่วโมง ก็ดูเหมือนว่าเราจะเริ่มหาข้อตกลงกันได้และเริ่มช่วยกันขีดเขียนและวาดภาพไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งมันก็คือรูปของชายหาดหน้าคอนโดของเจย์ที่เราเพิ่งไปด้วยกันมา มีทั้งหาดทราย ท้องฟ้า คอนโด ต้นมะพร้าว และสระว่ายน้ำ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ออกมาเหมือนของจริงมากสักเท่าไหร่ หากแต่มันก็เป็นหนึ่งในภาพความทรงจำที่พวกเราทุกคนต่างก็มีร่วมกันและคงจะไม่มีวันลืมเลือน

ก่อนที่เราจะหยุดมือลง พวกเราทุกคนต่างก็ลงชื่อ และเขียนข้อความสั้นๆบรรยายความในใจของเรากันเอาไว้ที่มุมหนึ่งของกระดานดำ และท้ายที่สุด งานศิลปะบนกระดานดำแบบกลุ่มครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของเราก็จบลงที่เจย์เป็นคนลงวันที่และเวลาเอาไว้ตรงมุมล่างขวาสุดของกระดาน

“เฮ้ย นี่ตีสามแล้วเหรอวะเนี่ย”

“ช่ายแล้ว ไอ้เคน ไม่รู้ตัวเลยใช่มั้ยล่ะมึง” เจย์ตอบพร้อมกับวางชอล์กลงและปัดฝุ่นชอล์กออกจากมือ จากนั้นเขาก็เดินกลับมานั่งลงบนพื้นที่เดิม

“ใครบอกล่ะ กูกำลังจะบอกว่าจริงๆแล้วกูแม่งโคตรง่วงมาตั้งนานแล้วต่งหาก ฮ.. ฮ้าวว..ว....วว”

“แล้วมึงล่ะ ไอ้นนท์ ง่วงรึยัง” โจถามผม

“ก็นิดหน่อยว่ะ” ผมมองหน้าเขา แล้วเหลือบไปมองกระดานดำที่สุดท้ายแม้แต่เขาเองก็ยังมาช่วยพวกเราลงสีและลงชื่อของตัวเองเอาไว้ด้วยเหมือนกัน “ที่มึงเขียนว่า ‘ขอบใจ’ ลงไปอะ มึงขอบใจใครวะ ไอ้โจ”

“ไม่บอก ไม่ใช่เรื่องของมึงสักหน่อย”

“อะน่ะ เขินอะดิมึง” ผมแกล้งแหย่

“เดี๋ยวกูตบหัวหลุดเลย!” เขาเคาะหัวผมเบาๆ

“เฮ้ยนี่ ไอ้คริส ถ้าเป็นแบบนี้มึงเองก็จะยังจำภาพและตัวหนังสือที่พวกเราเขียนกันบนกระดานดำนี้ไปได้ตลอดใช่มั้ยวะ” ตี๋เล็กถามขึ้น

“ใช่ และไม่ใช่แค่กระดานดำนี้หรอกนะเว้ยที่กูจะจำได้น่ะ แต่กูจะจำได้ทุกอย่าง ทั้งสิ่งที่พวกมึงพูด น้ำเสียง ท่าทาง อารมณ์และความรู้สึกที่เรามีกันในคืนนี้ด้วย.... ทุกอย่างเลย”

วายุวางมือลงบนหัวของคริสแล้วลูบเบาๆ “ไม่เอาน่ามึง อย่าทำเสียงแบบนั้นสิวะ มึงตัดสินใจแล้วไม่ใช่รึไง อีกไม่กี่ปีมึงก็กลับมาแล้ว กูว่าเผลอๆมึงแม่งเรียนจบมอปลายก่อนพวกเราอีกแน่ๆเลยด้วยว่ะ ไอ้คริส”

“สามปีแล้วนะ ที่พวกเรารู้จักกันมาน่ะ.... อ้อ ในกรณีของไอ้นนท์ก็อาจจะแค่สี่ห้าเดือนเนอะ แต่เวลาแม่งก็ไม่สำคัญหรอก กูว่าทุกๆวันที่กูอยู่กับพวกมึงเนี่ย เป็นช่วงเวลาที่กูมีความสุขที่สุดแล้วอะว่ะ”

“เฮ้ย! อย่า ไอ้เจย์ มึงอย่าเริ่มทำซึ้งนะเว้ย”

“กูไม่ได้จะทำซึ้งเว้ย ไอ้ตี๋ กูพูดจริงๆ กูมั่นใจนะเว้ย ว่าพวกมึงทุกคนจะเป็นเพื่อนตายของกูไปตลอดชีวิตแน่นอนอะ”

“กูก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ถึงแม้ในอนาคตเราอาจจะไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ไปตลอด แต่ว่าความเป็นเพื่อนของพวกเรามันจะต้องไม่เปลี่ยนไปนะเว้ย” วายุพูดเสริม

“เฮ้อออ ปีหน้าขึ้นมอสี่ พวกเราจะได้อยู่ห้องเดียวกันอีกรึเปล่าวะเนี่ย กูว่าแม่งคงยากว่ะ” ป๊อปเริ่มเอนหลังไปพิงตี๋เล็ก

“คงยากว่ะ แต่ถึงไงเราก็ยังอยู่โรงเรียนเดียวกัน ยังอยู่หอเดียวกันไม่ใช่เหรอวะ” นัทยิ้มน้อยๆ

“แล้วพอจบมอหก พวกเราจะกลับมาเขียนลงบนกระดานดำที่ตึกนี้กันอีกรอบมั้ยวะ คราวหน้ากูจะได้พูดได้เต็มปากว่ากูรู้จักพวกมึงมานานกว่าสามปีแล้วจริงๆสักทีไง” ผมพูดขึ้นบ้าง

“ระยะเวลามันไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก นนท์” นัทพูดขึ้น “แต่สิ่งที่สำคัญคือความทรงจำที่พวกเรามีร่วมกันต่างหาก.....” เขาเหม่อมองไปยังกระดานดำที่อยู่ตรงหน้า “กูว่าพวกเราเองก็เจออะไร ผ่านอะไรมากันเยอะนะเว้ย ทั้งเรื่องดีๆ เรื่องไม่ดี มีปัญหาทะเลาะกันก็ด้วย แต่สุดท้ายพวกเราก็ยังได้มานั่งกันอยู่ตรงนี้พร้อมหน้า แถมยังมีนนท์และไอ้โจมาเพิ่มอีก กูรู้สึกว่าเวลากว่าสามปีที่โรงเรียนแห่งนี้ แม่งให้อะไรกูมากจริงๆอะว่ะ”

“พ่อกูเคยบอกนะเว้ย เอ่ออ กูหมายถึง ‘พ่อ’ ของกูจริงๆน่ะนะ..... พ่อกอล์ฟเค้าเคยบอกกูว่า ถ้าหากเปรียบเปรยเด็กเล็กแบบในสำนวนไทยที่ว่าเหมือนผ้าขาว ชีวิตของเด็กๆในวัยมัธยมอย่างพวกเราน่ะ ก็คงเปรียบเหมือนกระดานดำอะว่ะ เค้าบอกกูว่า พวกเราทำผิดพลาดกันได้ง่าย และก็สามารถแก้ไขหรือลืมเลือนมันได้ง่ายเหมือนแค่เอาแปรงลบ แต่แค่จะลบได้สะอาดหรือเปล่าก็เท่านั้นเอง นอกจากนั้นพวกเราก็ยังสามารถขีดเขียน แต่งแต้มกระดานของพวกเราให้ออกมาเป็นได้อย่างที่เราต้องการอีกด้วย.... แต่ก็เพิ่งมีคืนนี้นี่แหละที่กูรู้สึกว่าคำพูดของพ่อไม่ได้เป็นแค่คำเปรียบเปรย แต่มันเป็นรูปธรรมจริงๆอะว่ะ พวกมึงลองคิดดูดิ ตอนแรกเราเองยังต่างคนต่างวาด ต่างเขียนเหี้ยอะไรกันเละเทะอยู่เลย แต่สุดท้ายเราก็เริ่มช่วยกัน ถึงจะต่างคนต่างความคิด แต่งเติมตรงนั้นตรงนี้เพิ่ม แต่สุดท้ายแล้วรูปภาพนี้แม่งก็ออกมาเป็นรูปภาพของ ‘พวกเรา’ ทุกคนจริงๆ เป็นภาพที่สะท้อนความทรงจำและความรู้สึกที่เรามีร่วมกันออกมาจริงๆ ใช่มั้ยล่ะวะ”

“เหยดดดดด ไอ้เชี่ยยุแม่งทำซึ้งงงง”

“ทำซึ้งครวยไรไอ้เชี่ยป๊อป กูก็แค่จำคำพูดพ่อกูมาพูดแค่นั้นเอง”

“เฮ้ยๆ ไอ้เคนแม่งจะหลับแล้วว่ะมึง ไอ้เจย์” ตี๋เล็กชี้ไปที่เคน

“ให้มันหลับไปเหอะ สงสารมัน เฮ้ออออ แล้วนี่ตกลงมันกะไอ้พี่ชายกูนี่จะคบกันจริงๆใช่มั้ยวะเนี่ย”

“ฮะๆๆ อะไรๆ กูกับพี่แม็ททำไมนะ” เคนดีดตัวกลับขึ้นนั่งหลังตรงทันที

“ไม่มีอะไรหรอก ไอ้เหี้ย กูก็แค่นึกสงสัยว่ามึงกับไอ้แม็ทจะคบกันจริงๆใช่มั้ยแค่นั้นเอง”

“แล้วมึงอนุญาตมั้ยล่ะ ไอ้หมี......”

“เอ๊า ถ้ามึงมีความสุขมึงก็คบกันไปดิว่ะ กูจะไปห้ามทำไม แต่ถ้าเมื่อไหร่พี่ชายกูมันทำมึงเสียใจนะ แม่งโดน!!”

“อะเคร.... แต๊งกิ้วเว้ย งั้นกูนอนก่อนละนะ ตาจะปิดดด” เมื่อพูดจบ เคนก็ล้มตัวลงนอนหนุนตักของเจย์ทันที

“เฮ้ย มึงส่งผ้ามาให้กูผืนนึงดิ๊ ไอ้โจ”

“เอ้า....” โจยื่นผ้าห่มผืนเล็กให้กับเจย์ จากนั้นก็หันมาหาผม “ง่วงรึเปล่า หนาวมั้ย เอ้านี่ผ้า ห่มไว้”

“แต๊งกิ้ว” ผมยื่นมือออกไปจะรับผ้าห่มจากเขา แต่ปรากฏว่าโจกลับเหวี่ยงมันขึ้นคลุมตัวเราทั้งสองคนเอาไว้ด้วยกันแทน

“เอ้านี่ ยาทากันยุง ทาๆกันซะ แล้วก็มึง ไอ้เจย์ ช่วยทาให้ไอ้เคนด้วย....” วายุยื่นขวดยาทากันยุงให้กับเจย์

หลังจากนั้นพวกเราก็เริ่มคุยกันน้อยลง และเริ่มทะยอยหลับกันไปทีละคนๆ จนในที่สุดผมก็ผล็อยหลับลงไปด้วยจนได้ และอีกไม่นานถัดมา ผมก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือของใครคนหนึ่ง เสียงจากโทรศัพท์นั้นดังแค่เพียงครู่สั้นๆ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ผมตื่นขึ้นมาเห็นภาพของเพื่อนๆที่นั่งพิงกันเองหลับสัปหงกกันอยู่รอบตัว ที่เหลืออยู่ก็มีแค่โจ เจย์และนัทเพียงสามคนเท่านั้นที่ตื่นกันอยู่ และคนที่ตื่นตามผมมาติดๆอีกคนก็คือวายุ

“ตีสี่ครึ่งแล้ว ได้เวลาเตรียมตัวกลับแล้ว ไอ้นนท์” โจกระซิบพร้อมกับลูบหัวผมเบาๆ “ตื่นไหวป่าววะ”

“ไหวๆๆ อึ๊ดดดดด!” ผมบิดขี้เกียจ “สุดท้ายก็ไม่มีใครนอกจากพวกเราโผล่มาเลยใช่มั้ยวะ”

นัทยิ้มที่มุมปากน้อยๆ “ไม่มีอะ ก็มีแค่พวกเรานี่แหละ ไม่ได้มีใครมาเพิ่มหรือหายไป ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่นอะไรแปลกๆหลุดมาทั้งสิ้น”

“กูว่าที่ภารโรงหรือยามเคยเห็นเงาคนกับแสงไฟ แม่งก็คงเป็นจากเด็กๆที่แอบเข้ามานี่แหละวะ บางทีแม่งมาจุดบุหรี่ดูดกันแล้วคนอาจจะเห็นไฟจากก้นบุหรี่ ไฟแช็ก ไฟฉาย หรือแม้แต่จากเทียนอะไรแบบนี้ก็ได้มั้ง” วายุพูดพร้อมกับอ้าปากหาวและบิดขี้เกียจ

“กูก็ว่างั้นอะวะ และไอ้เสียงคนร้องโหยหวนนั่นก็คงเป็นเสียงลมที่พัดผ่านช่องบันได แล้วคนที่ได้ยินก็ปอดแหกแบบไอ้ป๊อปไง เลยคิดว่าเป็นเสียงผี”

“อะรายๆ กูทำไม ไอ้เชี่ยเจย์ สาดดด กูได้ยินนะเว้ย” ป๊อปพูดขึ้นทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่

“ตื่นแล้วก็มาช่วยกันเก็บของได้แล้ว ไอ้ตูด” เจย์เหยียดขาออกไปถีบป๊อป “มึงก็ด้วย ไอ้เชี่ยตี๋ ตื่น!”

หลังจากที่พวกเราตื่นกันหมดแล้ว เราก็ช่วยกันเก็บของทำลายหลักฐานทั้งหมดให้เรียบร้อย และเดินกลับลงไปยังห้องที่พวกเราปีนหน้าต่างกันเข้ามาบนชั้นหนึ่ง ซึ่งหลังจากที่พวกเราปีนหน้าต่างกลับออกมานอกตึกกันเรียบร้อยหมดทุกคนแล้ว เจย์ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนๆหนึ่งเดินใกล้เข้ามาตรงหัวมุมตึก พวกเราจึงรีบวิ่งหลบไปยังปลายตึกอย่างรวดเร็ว และเจย์ที่แอบมองดูที่มาของเสียงฝีเท้านั่นให้ก็บอกว่าเป็นยามที่ออกมาเดินตรวจตรานั่นเอง

พวกเรารีบเร่งฝีเท้าเดินลัดต้นไม้และสวนหย่อมเพื่อกลับไปยังหอพักอย่างรวดเร็วที่สุด และในตอนที่เราเดินผ่านสนามฟุตบอลไปจนเกือบถึงห้องพยาบาลแล้วนั้นเอง ความมืดที่เคยปกคลุมตัวพวกเราก็เริ่มค่อยๆสว่างขึ้นทีละน้อยๆ และผมก็บังเอิญหันไปเห็นพระอาทิตย์ที่กำลังทอแสงอยู่ที่ปลายขอบฟ้าทางทิศตะวันออกเข้าให้พอดี

“เฮ้ยๆ พวกมึง พระอาทิตย์ขึ้นเว้ยยย ลองดูสีของก้อนเมฆกับท้องฟ้าดิ สวยมากเลยอะ” ผมเรียกทุกคนให้หยุดดู

ตอนแรกเจย์ก็ทำท่าจะต่อว่าที่จู่ๆผมก็หยุดฝีเท้าลง แต่เมื่อเขาหันไปเห็นความงดงามของท้องฟ้าในยามรุ่งอรุณแบบนี้แล้ว เขาก็จำต้องหยุดยืนเพื่อชื่นชมความงามของธรรมชาติที่เราไม่ได้เห็นกันบ่อยๆไปด้วยอีกคน

อาจจะเป็นเพราะไอน้ำในอากาศที่มีมาก ก้อนเมฆที่ก่อตัวเป็นก้อนสวยงามและหนาแน่นอยู่ตรงบริเวณพระอาทิตย์ขึ้นพอดี รวมกับท้องฟ้าสีเข้มที่กำลังจะเริ่มเปลี่ยนสีเพราะแสงอาทิตย์สีส้มอ่อนๆ ทำให้เกิดภาพของท้องฟ้า ก้อนเมฆ และดวงอาทิตย์ที่ทอแสงตัดกันอย่างสวยงามลงตัว มันช่างเป็นภาพที่งดงามจนผมไม่เคยคิดเลยว่าจะสามารถพบเห็นได้ง่ายในเมืองหลวงอย่างในกรุงเทพฯ นี่

วายุหยิบมือถือของตัวเองออกมาถ่ายรูปความสวยงามตรงหน้านี้เก็บเอาไว้ทันที

“กูต้องเอาไปฝากป๊ากับพ่อเล็กให้ได้เลย”

“เฮ้ยๆๆ หมดเวลาชื่นชมความงามแล้วเว้ยมึง! นี่มันเลยตีห้าครึ่งแล้วนะเว้ย! เดี๋ยวก็ไม่ได้กลับเข้าหอหรอก!! ชีวิตพวกเรายังไม่ได้จบแค่เช้านี้นะเว้ย ยังมีวันนี้ พรุ่งนี้ มะรืนนี้อีกเยอะแยะ เอาไว้ค่อยตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมกันอีกทีก็แล้วกัน ส่วนตอนนี้….. วิ่งได้แล้ว!!”

พวกเราทุกคนหัวเราะและรีบออกวิ่งตามเจย์อย่างสุดฝีเท้า

มันก็จริงอย่างที่เขาบอกนั่นแหละนะว่าวันนี้ไม่ใช่วันสุดท้ายที่พวกเราจะยังได้อยู่ด้วยกันสักหน่อย นับจากนี้ไปอีกไม่ว่าจะนานแค่ไหน ไม่ว่าอย่างไรเราก็จะยังได้เจอกัน ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน มีเรื่องให้พูดคุย หัวเราะ และร้องไห้อีกด้วยกันไปอีกนานแสนนาน เพราะว่าชีวิตวัยเรียนของเรามันยังไม่จบ และที่สำคัญ ชีวิตวัยเรียนของผมในรั้วโรงเรียนชายแห่งนี้ของผมก็เพิ่งจะเริ่มต้นเทอมสองได้แค่วันเดียวเท่านั้นเอง...... กระดานดำของผมยังมีเนื้อที่เหลืออยู่อีกมากมายเพื่อรอให้ผมได้เขียนถ่ายทอดประสบการณ์และความทรงจำที่มีร่วมกับผู้คนเหล่านี้ลงไปอีกตั้งเยอะแยะ จริงมั้ยล่ะครับ


(จบจริงๆแล้วจ้า)

หลังจากนี้ ถ้ามีอะไรอัพเดทเพิ่มเติมเรื่องนิยาย เรื่องสั้นใหม่ๆ ความเคลื่อนไหวต่างๆ รวมไปถึงโปรเจกต์ทำเมฆกับซัน collection set จะแจ้งไว้ที่แฟนเพจนะครับ http://www.facebook.com/ExecutionerNovel ใครยังไม่ได้กดไลค์ก็ไปกดกันซะนะครับ ตกข่าวไม่รู้ด้วยนะเอออ โดยเฉพาะใครชอบเมฆกับซัน ตอนนี้ผมกำลังแก้ไขและแต่งตนพิเศษอยู่ ถ้าทำออกมาจะทำแบบจำกัดจำนวนนะครับ ไม่มีรีปรินท์หรือใดๆอีกทั้งสิ้น เพราะงั้นคอยตามข่าวสารกันดีๆนะคร้าบบบ

สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณทุกๆกำลังใจครับ ขอบคุณจริงๆสำหรับคอมเมนต์ คำแนะนำ ติชมต่างๆ ทำให้นิยายเรื่องยาวเรื่องนี้จบได้ด้วยดี ต่อจากนี้ก็ขอฝาก love is ต่อหน่อยนะครับ เพราะถึงกระดานดำจะจบไป แต่ love is ยังมีต่อเรื่อยๆครับ และไม่แน่นะ อาจจะเจอใครในเรื่องนี้ไปเป็นตัวเอกหรือโผล่ในเรื่องนั้นตอนไหนสักตอนก็ได้นา เพราะผมเองยังอยากเขียนเรื่องของเคนกับพี่แม็ทต่ออีกเลย ^_____^

ขอบคุณจริงๆๆครับ ไว้เจอกันใหม่กับเรื่องยาวเมื่อมีเวลา 55555  :bye2:

ออฟไลน์ Magis

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
ในที่สุดก็จบแล้วสินะ อยากให้มีตอนพิเศษเหมือนกันแฮะ

ออฟไลน์ iiดาวพระสุขლii

  • คิดการใหญ่ ใจต้องเหี้ย(ม),,
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1690
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +746/-3
ในที่สุด  ก็มาถึงวันนี้จนได้  ฮิ้ววววววววววววววววว    :m4: :m4: :m4:
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีดีค่ะ   เอ้ย!! ไม่ใช่ละ     

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวสนุกๆจ้า    o13 o13  รวมเล่มเมื่อไหร่บอก  จะไปขออ่านฟรี   อิอิ :m13:



ปอลิง.  yes!!  โจสมหวัง!!!     จาก แฟนขับโจ  ฮ่าๆๆ

schteuben

  • บุคคลทั่วไป
ประทับใจไม่รู้ลืม อยากกลับไปวันวาน วันที่พวกเรามีแก๊งเป็นของตัวเองในช่วงแรกๆของชีวิต คิดถึงจริงๆ (แอบแก่นิดๆ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ขอบคุณคนเขียนที่จบเรื่องด้วยมิตรภาพที่สวยงาม น่าประทับใจจริง ๆ

ออฟไลน์ jiki

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1567
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +175/-2
ชอบไอเดียเฟรนชิพกระดานดำจัง
คุณต้นแต่งได้แบบ นิยายวัยรุ่นมากๆ
อ่านตอนที่ขึ้นไปตึกเก่า เรานี่ก็แอบนึกถึงนิยายอีกเรื่อง. แต่ถ้าเป็นเรื่องนั้น คงมีคนโดนผีจามหัวตายไปแล้วล่ะ - -"

แอบเหงาๆเล็กๆที่นิยายที่ตัวเองอ่านมานาน ขึ้นคำว่า "จบ" แต่ยังไง ความรู้สึกดีๆเวลาอ่านนิยายเรื่องนี้ก็จะย้อนกลับมาทุกครั้งที่เราหวนนึกถามแต่ละฉาก แต่ละตอน

ขอบคุณ คุณต้น ที่เขียนให้อ่านค่ะ :pig4:

ออฟไลน์ keem

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
อยากรู้ว่า แม็ก เป็นเกย์ไหม ที่ทำกับน้องคนนั้นแบบนั้น น่าจะให้มาชอบกัน แล้วเรื่อง ผีของพี่ที่เจอที่สระวา่ายน้ำด้วยอะ ยังไม่เคลียเลย อิอิ

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
อยากรู้ว่า แม็ก เป็นเกย์ไหม ที่ทำกับน้องคนนั้นแบบนั้น น่าจะให้มาชอบกัน แล้วเรื่อง ผีของพี่ที่เจอที่สระวา่ายน้ำด้วยอะ ยังไม่เคลียเลย อิอิ

เรื่องของแม็กซ์ เคยพูดไปแล้วในนิยายและในเบื้องหลังที่โพสลงในเฟซน่ะครับ

ส่วนผีที่เจอที่สระว่ายน้ำนี่อันไหนหว่าาาา????

toomztamz

  • บุคคลทั่วไป
ปิดฉากลงแล้วจริงๆเหรอ...รู้สึกเหงาๆยังไงไม่รู้อ่ะพี่ต้น

ประทับใจเรื่องนี้มาก อบอุ่น สดใส เฮฮา หลายความรู้สึกมาก

อ่านตอนจบแล้วคิดถึงเพื่อนๆขี้นมาเลย

น้ำตาซึมตลอด ....

ท้ายที่สุดคงบอกได้ว่า เป็นเรื่องที่แค่คิดถึงก็ทำให้ยิ้มได้จริงๆกับนิยายเรื่องนี้..

หัดดิน เอ้ยหัดกิน

  • บุคคลทั่วไป
จบแล้วจริงๆ หรอเนี่ย
ใจหายเหมือนกันนะครับ
อ่านมาตั้งหลายปีแล้ว แต่ก็ได้เห็นมิตรภาพดีๆ ของเด็กพวกนี้
ยังไงต้อขอบคุณพี่ต้นมากๆ ครับ ^^
แล้วจะติดตมผลงานต่อไปนะครับ

ปอลอ อยากเห็นตอนพวกนี้โตแล้วอ่ะครับ น่าจะสนุก

ออฟไลน์ KaorPaor

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +140/-4
ขอบคุณ คุณต้นมากสำหรับเรื่องราวดี เรื่องนี้มันจะถูกเก็บอยู่ในความทรงจำไปตลอด อ่านจบแล้วทำให้ย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องสมัยยังเป็นนักเรียนก้วยเหมือนกัน แม้จะไม่ได้บันทึกไว้บนกระดานดำแต่มันก็ฝังอยู่ภายในจิตใจเสมอมา

ออฟไลน์ 0nePiece

  • ++..ชีวิตไร้รัก..++
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
รออ่านตั้งแต่ค่ำ อิอิ
อ่านไปยิ้มไป มีความสุขจริงๆๆ
ขอบคุณสำหรับ เรื่องดีๆที่แต่งมาให้อ่าน
                ขอบคุณครับ
                        :3123:

ออฟไลน์ seendidi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
จบแล้วหรออรู้สึกใจหายจัง :sad4:
สุดท้ายนนท์ก็เลือกโจจริงๆด้วย ชอบจังเลยผู้ชายนิสัยแบบนี้ ดูแบ๊ดๆดี 55  :o8:
ถ้ามีภาค 2 จะติดตามเรื่อยๆเลยนะคะ  :z1:

ออฟไลน์ mickeynut

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 557
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +69/-3

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด