]|เรื่องไม่สั้นและไม่เล่า|[ กระดานดำหลังรั้วโรงเรียน ... ชาย (ภาค 2: เม้นแรก)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ]|เรื่องไม่สั้นและไม่เล่า|[ กระดานดำหลังรั้วโรงเรียน ... ชาย (ภาค 2: เม้นแรก)  (อ่าน 1554815 ครั้ง)

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ทักทาย :[/ize] นิยายเรื่องนี้ เป็นเรื่องไม่สั้น ที่ไม่ใช่นิยายคำบรรยายสวยๆหรูๆ ไม่ใช่เรื่องเล่าสั้นๆห้วนๆ แต่เป็นอะไรที่อยู่ตรงกลางๆ (คนที่เคยอ่านเมฆกับซันคงจะรู้ดี) เป็นเรื่องใหม่เกี่ยวกับเด็กมัธยมกรุบกรอบ (ฮา) ในโรงเรียนชายล้วน (ฮากเปว่า) โดยเริ่มตั้งแต่มอสามไปเรื่อยๆ ดังนั้นต้นจึงคิดว่ามันคงจะยาวววมากกกกแน่ๆเลยครับ ตามสไตล์ยิ่งเขียนยิ่งยาวของไอ้ต้น แต่ก็คิดว่าคนที่หลงเข้ามาจะไม่รีบกดปุ่มกากบาททิ้งหนีน้องต่นต๊นกันไปก่อนนะครับ

แต่ก่อนอื่น.........


ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะจ๊ะ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ.........
แล้วมึงจะมานั่งอ่านอะไรอยู่ทำไมวะครับเนี่ย


สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด (เคยโดนมากะตัว เซ็งและเสียอารมณ์มาก)

2. ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม, ติดเรท x (ถ้าอยากโพส ส่งมาหลังไมค์ไอ้ต้นแทนได้), ทำให้กระทู้กลายพันธุ์ ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวบบอร์ด

3.ถ้าอยากเอานิยายเรื่องนี้ไปโพสต่อ กรุณาบอกไอ้ต้นก่อนด้วย

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม (ถ้าอยากแจกและตัวเองหน้าตาดี โปรดแจกมาหลังไมค์ไอ้ต้นได้เลยจ้ะ)

เวบไซต์ แห่งนี้เป็นเวบไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวบไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวบไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวบไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ สติสตัง ความรู้ และสามัญสำนึกของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชมด้วยนะจ๊ะ

จุ๊บๆๆ~

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่


ทิ้งท้าย : นิยายจริงๆจังเรื่องที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ของต้นนะครับ (แต่เป็นเรื่องแรกที่ไม่ใช่เมฆกับซัน) และก็เปลี่ยนแนวจากที่เคยเริ่มจากเรื่องเศร้า + รักหวานๆ เป็น หักมุม สืบสวน อกหัก ปนหวาน กลับมาเป็น เรื่องเล่าสบายๆ รักๆหวานๆ อ่านง่ายๆตามสไตล์ที่ต้นถนัดเหมือนเดิมและนะครับ หวังว่าจะชอบกันเน้ออ

สุดท้ายนี้ ขอกราบขอบพระคุณผู้ที่คลิกเข้ามาอ่าน ผู้ที่คลิกเข้ามาอ่านแล้วชอบ ผู้ที่คลิกเข้ามาอ่านแล้วชอบแล้วคอมเมนต์ ผู้ที่คลิกเข้ามาอ่านแล้วชอบแล้วคอมเมนต์และคอยติดตามผลงานของผมทุกๆคนนะครับ

และที่สำคัญ ขอบคุณพี่ป๋อมแป๋ม ที่ช่วยแปลและให้คำปรึกษา ขอบคุณพี่น้ำค้าง สำหรับกำลังใจและคำปรึกษาที่ให้มาโดยตลอด ขอบคุณพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆคนที่คงจะรู้ตัวว่าผมกำลังพูดถึงอยู่ที่ไม่สามารถเอ่ยชื่อออกมาได้หมดเพราะมีเยอะมากจริงๆ ขอบคุณมากๆๆๆๆครับ

ปล. ใครที่คิดถึงเมฆกับซัน เตรียมเจอเซอร์ไพรส์ได้เลยครับ


----------------------------------------------------------------------------------

ติดตามภาคต่อของเรื่องนี้ได้ที่นี่นะครับ >> http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=40878.0


----------------------------------------------------------------------------------
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-02-2014 17:51:12 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
NOTE ::: นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นโดยอ้างอิงมาจากสถานที่จริงบ้างแต่งขึ้นบ้าง มั่วบ้าง มโนเอาเองบ้าง แต่บุคคลและเหตุการณ์ที่ปรากฎ ล้วนมาจากจิตนาการอันบรรเจิดของผู้แต่งทั้งสิ้น รวมทั้งชื่อสถานที่บางที่ที่อาจจะมีอยู่จริง หรือไม่มีอยู่จริงปนๆกันไป กรุณาอ่านแล้วแยกแยะระหว่างความจริงกับนิยายให้ออก พึงนึกไว้ว่าไอ้ต้นมันบ้าๆบอๆ จะได้อ่านแล้วชิวๆไม่ซีเรียส ไม่ต้องนึกว่า “เฮ้ย นี่มันแถวบ้านกูนี่หว่า ทำไมไม่เห็นมีชื่อคอนโดนี้อย่างที่ไอ้ต้นบอกเลย แม่งมั่วนี่หว่า ไอ้ฟายยย!” เพราะ..........

ใช่ครับ...... กรูมั่วจริง 55555  :laugh:

อนึ่ง ที่ผ่านมาไอ้ต้นงานยุ่งโคตรๆ หลายๆท่านอาจจะทราบดี ทำให้ไม่ได้อ่านนิยายเรื่องไหนของใครเลยมานานกว่าปีนึงแล้ว ถ้าเหตุการณ์ในเรื่องมันไปคล้ายอะไรของใครเข้า ต้นต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย และขอยืนยันว่าไม่ได้ไปก๊อปอะไรใครมาแน่นอน ไอ้เรื่องแรงบันดาลใจมันก็มีกันบ้าง แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าไม่ได้เอามาจากเรื่อง “ไทย” เรื่องไหนแน่นอนไม่ว่าจะจากเวบไหนๆหรือในเล้าแน่นอนครับ ขอออกตัวไว้ก่อนเพราะเห็นว่าช่วงนี้นิยายในเล้ามันเยอะแสด และเห็นมีกรณีก๊อปนิยายกันให้ยุ่ง เลยไม่อยากให้มันเข้าตัว..... แต่ไม่ใช่ร้อนตัว

นิยายเรื่องนี้น้องต้นแบ่งการเล่าออกเป็น 2 Part นะครับ เพื่อให้เกิดความเข้าใจง่ายๆ ลองนึกถึงการ์ตูนเรื่อง สคูลรัมเบิ้ล ดูน่ะครับ แบบนั้นเลย.................... อ้าว งง งงล่ะสิ งงหนักกว่าเดิมอีก 5555  :jul3:

เอาเป็นว่า Part A ก็คือเนื้อเรื่องหลัก ส่วน Part b ก็คือเนื้อเรื่องรองนั่นเอง อ่านๆไปแล้วก็คงจะเก็ทกันเองนั่นแหละมั๊งครับ

ขอให้มีความสุขกับการอ่านนิยายในทุกๆเรื่องครับ (^_^)/~~


................................................................................................

25 มีนาคม 2552

ขอเข้ามา edit ข้อความตัวเองหน่อยนะครับ เพราะคิดไปคิดมาผมรู้สึกว่าผมน่าจะลองมาเล่าแนวความคิดของ นิยายผสมเรื่องเล่าขนาดไม่สั้น เรื่องนี้ให้ทุกคนได้รู้กันสักหน่อย นั่นก็คือ..... ผมรู้สึกว่า ถ้าเป็นเรื่องเล่า นิยาย หรือละครทั่วๆไปมันก็มักจะมีพระเอก นางเอก (หรือนายเอกในกรณีของเล้าเป็ดแห่งนี้) และตัวร้าย บวกกับเพื่อนๆคนอื่นๆของพระเอกและนางเอก

แต่ว่าบท "พระรอง" ล่ะ ทำไมต้องเป็นได้แค่พระรอง......


สังเกตกันมั๊ยครับว่า ไม่ว่าจะเรื่องแนวไหน ไม่ว่าพระเอกจะดีสุดขั้ว หรือชั่วได้ใจ แต่พระรองมักจะนิสัยดีเหี้ยๆสุดๆจริงๆ .... แต่ก็ยังเป็นได้แค่พระรอง  :laugh: ทำไมนะทำไม อิอิ

และถ้าเป็นชีวิตจริงล่ะครับ ทุกๆคนน่าจะเป็น "พระเอก" ในนิยายชีวิตของตัวเองใช่มั๊ยล่ะครับ เพราะฉะนั้น ผมจึงได้กำหนดให้ทุกๆตัวละครของผมเป็น "พระเอก" กันหมดทุกคน แต่จะมีก็แค่สองสามคนเท่านั้นที่จะโดดเด่นกว่าคนอื่นๆ แต่ประเด็นคือ แม้แต่ตัวผมเองก็ไม่ได้กำหนดไว้เลยนะครับว่าใครในบรรดาเหล่านี้คือ "พระเอกตัวจริง" กันแน่ เพราะผมยกหน้าที่นั้นให้ไว้กับผู้อ่านทุกๆคนแล้วล่ะครับ  :impress2:

เห็นหลายคนก็รักคนนั้นปลื้มคนนี้เชียร์คนนู้นสับสนคนนี้ไม่รู้จะเอายังไงกันดี ผมก็เลยขอฝากคำถามคำถามนึงไว้นะครับว่า

"ถ้าหากคนที่ได้รับความรักคือพระเอก ถ้าอย่างนั้นแล้วคนที่ผิดหวังจะเป็นพระเอกไม่ได้เลยหรือยังไงกัน......"

อิอิอิ

ลองดูกันต่อไปนะครับว่าสุดท้ายแล้ว พระเอกในใจของทุกๆคนนั้นจะเป็นใครกันแน่.......
  :bye2:

ขอบคุณมากครับ

ปล. ผมไม่ได้กำหนดพระเอก ไม่ได้หมายความว่าผมไม่ได้มีพล็อตเรื่องน้าา หุหิหุหิหุหิงุงิ
  :haun4:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-03-2009 21:05:09 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
บทที่ 1

Interlude



นนท์


ครั้งแรกที่ได้เห็นสถานที่แห่งนี้ผมก็รู้สึกทึ่งขึ้นมาในทันที ไอ้รู้น่ะผมก็รู้อยู่หรอกว่าที่นี่คือโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียงติดอันดับต้นๆของประเทศ........ เผลอๆจะดังเป็นอันดับหนึ่งเลยด้วยซ้ำ แต่ผมก็ไม่เคยรู้เลยว่าที่แห่งนี้มันจะสามารถใหญ่โตอลังการได้มากถึงเพียงนี้ ทั้งอาณาบริเวณอันกว้างใหญ่ไพศาล การแบ่งพื้นที่ภายในออกเป็นสองส่วนอันได้แก่ชั้นมัธยมต้นและมัธยมปลาย รวมทั้งจำนวนโรงยิมถึงสามอาคาร และหอพักนักเรียนสูงนับสิบชั้นอีกสองตึก นี่ยังไม่นับสวนสาธารณะขนาดย่อมๆที่แม่เพิ่งขับรถผ่านไปเมื่อครู่นี้อีกด้วย มันทำให้ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าโรงเรียนแบบนี้จะมีอยู่จริงในกรุงเทพแห่งนี้นี่เอง

และวันนี้ผมก็ต้องกลับมาที่นี่อีกครั้งเพื่อยืนยันสถานะของผมที่กำลังจะเปลี่ยนไปในอนาคตอันใกล้นี้.........

“ทำไมนนท์ถึงต้องมาเรียนที่นี่ด้วยล่ะครับ แม่บอกนนท์อีกทีได้มั๊ย” ผมหันไปถามแม่ที่กำลังขับรถพาเราไปยังลานจอดรถตามที่ยามหน้าประตูบอกทาง

“ทำไมล่ะ นนท์ไม่ชอบเหรอ” แม่หันมาถามผมด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความกังวล ผมเห็นแววตาเศร้าสร้อยและรอยคล้ำใต้ตาของแม่ที่ยังคงไม่จางลงเลยนับแต่วันนั้นมา ถึงแม่จะพยายามปกปิดมันเอาไว้ แต่ในบางครั้งผมก็ยังคงสามารถมองมันออกได้อย่างชัดเจนอย่างเช่นในเวลานี้นี่เอง แม่ในช่วงหลังมานี้ดูอ่อนแอและบอบบางยิ่งกว่าแม่ในตอนไหนๆที่ผมเคยรู้จักมาตลอดชีวิตของผมเสียอีก

“เปล่าครับ นนท์แค่รู้สึกว่ามันใหญ่โตมากเลย นนท์ว่านนท์ไม่จำเป็นต้องมาอยู่ที่แบบนี้เลยก็ได้นี่นา ไอ้เรียนน่ะ เรียนที่ไหนมันก็เหมือนๆกันไม่ใช่เหรอ”

“แม่รู้.........” แม่พยักหน้า “แต่พ่อของนนท์เคยบอกแม่ไว้ว่าเขาอยากให้นนท์มาอยู่ที่นี่ เพราะผู้อำนวยการของที่นี่เป็นเพื่อนคนนึงของพ่อ และเขาเชื่อว่าลูกจะอยู่ที่นี่ได้อย่างมีความสุขแน่นอนไง”

“นนท์อยู่ที่ไหนผมก็มีความสุขได้ แม่ก็รู้นี่ครับ ตราบเท่าที่นนท์อยู่กับแม่”

“แต่ว่านี่เป็นสิ่งที่พ่อเค้าต้องการ.........” แม่พูดโดยไม่ได้หันมามองหน้าผม

“ครับ นนท์เข้าใจ........ ขอโทษนะครับแม่” ผมก้มหน้าเล็กน้อย

แม่เอื้อมมือมาวางบนไหล่ผมเบาๆ “ไม่เอาน่า แม่รู้ว่านนท์คิดยังไง แต่แม่เองก็คิดเหมือนพ่อนั่นแหละว่านนท์จะต้องชอบที่นี่แน่ และที่สำคัญ ตอนนี้นนท์อายุ 15 แล้วนะ ใกล้จะโตเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้ว จะมาทำตัวติดแม่อยู่ตลอดไม่ได้หรอก”

“ใครบอกว่านนท์ติดแม่ แม่ต่างหากล่ะที่ติดนนท์” ผมหันไปหัวเราะเบาๆ ใจอยากจะบอกให้แม่รู้เหลือเกินว่าผมไม่ได้เป็นลูกแหง่ติดแม่ แต่เป็นเพราะผมเป็นลูกชายคนเดียวของแม่ที่รักและเป็นห่วงแม่มากกว่าใครๆต่างหาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาแบบนี้ด้วยแล้ว.........

แม่ยกมือขึ้นมาขยี้หัวผมเบาๆ ก่อนจะหันกลับไปเลี้ยวรถเข้าจอดในลานจอดรถหน้าอาคารสูงตึกหนึ่งที่ด้านหน้ามีป้ายเขียนเอาไว้ว่า “อาคาร ๑”

“ที่นี่แหละ” แม่พูดขณะดับเครื่อง “วันก่อนแม่ก็มาที่นี่อีกครั้งเพื่อมาทำเรื่องเอาไว้ให้ก่อนแล้ว แต่วันนี้อาจารย์ผอ.ท่านอยากจะพบนนท์และคุยกับเราสองแม่ลูกสักหน่อยน่ะนะ เอาล่ะ พร้อมรึยัง” แม่หันมามองหน้าผมและยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาวางบนแก้มทั้งคู่ของผมเบาๆ “หล่อไม่เบาเลยนะเนี่ย ลูกแม่ หล่อเหมือนพ่อไม่มีผิด”

ผมยิ้มกว้าง “นอกจากแม่แล้ว คนในกระจกก่อบอกนนท์จะอี้กู่วันเหมือนกั๋น ฮู้ก่อ”

แม่ตบแก้มผมเบาๆอย่างเอ็นดู ก่อนจะหันไปเปิดประตูรถฝั่งตัวเองออก และผมก็ทำแบบเดียวกันด้วยเช่นกัน ผมหันไปมองรอบๆตัวแล้วก็ต้องรู้สึกทึ่งกับบรรยากาศโดยรอบของโรงเรียนอันร่มรื่น ถ้าไม่มีคนบอกผมก่อนว่าที่นี่คือโรงเรียนชายล้วนระดับมัธยมแล้วล่ะก็ ผมคงคิดว่ามันเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนขนาดย่อมๆแห่งหนึ่งเลยแน่ๆ ทั้งความร่มรื่น ความกว้างใหญ่ และความสวยงามของอาคารเรียนรวมทั้งการจัดแต่งสถานที่อื่นๆ มันทำให้ผมเชื่ออย่างที่เขาว่ากันเลยว่าที่นี่คือหนึ่งในโรงเรียนเอกชนที่มีราคาแพงที่สุดของประเทศไทย

วันนี้เป็นวันเสาร์และไม่ควรที่จะมีนักเรียนมาเรียน แต่ผมก็ยังเห็นเด็กวัยรุ่นในชุดไปรเวทเดินและนั่งกันอยู่ตามจุดต่างๆกันอยู่ประปราย ซึ่งพวกเขาก็คงเป็นนักเรียนที่นอนประจำอยู่ที่หอพักของที่นี่นั่นเอง อย่างน้อยๆผมก็เดาเอาว่าอย่างนั้นน่ะนะ

ผมออกเดินตามหลังแม่ตรงไปยังทางเข้าตึก และอีกไม่กีนาทีถัดมา เราสองคนก็เข้ามาอยู่บนชั้นสามของอาคารหนึ่ง และกำลังนั่งรอพบกับผู้อำนวยการอยู่ตรงโซฟาหน้าห้องเรียบร้อยแล้ว ป้ายสลักสีทองหน้าห้องบอกชื่อของผู้อำนวยการว่า ผอ. วิสุทธิ์ เอกพิสุทธิ์

ผมกับแม่นั่งรอกันอยู่เงียบๆได้สักราวๆห้านาที ประตูห้องก็ถูกเปิดออก

“สวัสดีครับ” ชายร่างท้วมอายุราวห้าสิบปีก้าวออกมาจากห้องแล้วยกมือไหว้ต้อนรับเราสองคน

“สวัสดีค่ะท่านผู้อำนวยการ” แม่ผมลุกขึ้นยืนและไหว้กลับ และตัวผมเองก็ทำเช่นเดียวกัน “นี่ลูกชายค่ะ นนท์ ที่จะมาฝากไว้ให้ช่วยดูแลด้วย”

“ครับ เชิญข้างในก่อนครับ ต้องขอโทษด้วยนะครับ พอดีเมื่อครู่ผมติดสายอยู่ มาๆ เชิญเลยครับ” ผู้อำนวยการเดินนำเข้าไปในห้องเปิดทางให้เราสองแม่ลูกเดินเข้าไป หลังจากที่เราสองคนเดินเข้าไปในห้องแล้ว เขาก็ปิดประตูลงและเดินมานั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานของตัวเองพร้อมกับส่งสัญญาณให้เรานั่งลงได้ “ผมติดต่อกับกิตเขามาสักพักใหญ่ๆแล้ว เขาก็เคยบอกผมอยู่ว่าอยากให้ลูกชายมาเรียนต่อที่นี่ตอนมอปลาย แต่สุดท้ายก็จำเป็นต้องเลื่อนกำหนดการให้เร็วขึ้น.......”

“ค่ะ” แม่ของผมพยักหน้าและเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังแทบจะไม่ได้ยิน

“ผมต้องขอแสดงความเสียใจด้วยจริงๆนะครับ กิตเป็นคนดีมากจริงๆ เขาไม่น่าจะมาด่วนจากไปแบบนี้เลย........” ผู้อำนวยการกล่าวด้วยน้ำเสียงเสียใจอย่างเป็นทางการ เป็นทางการเสียจนผมไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างนั้นจริงๆหรือแค่พูดตามมารยาทกันแน่ แต่ที่แน่ๆ ผมยังไม่อยากได้ยินเรื่องพวกนี้เลยจริงๆ ไม่ใช่ว่าผมยังทำใจไม่ได้ แต่ว่าผมไม่อยากให้แม่ของผมต้องรู้สึกถูกตอกย้ำด้วยคำพูดเหล่านี้อีกต่อไปแล้วต่างหาก

“ขอบคุณค่ะ”

“แล้วนี่คุณแม่จะย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพถาวรเลยรึเปล่าครับ”

“ตอนนี้ก็คิดไว้แบบนั้นล่ะค่ะ ดิฉันคิดว่าถึงเวลาที่จะต้องเริ่มใหม่อะไรหลายๆอย่างแล้วเหมือนกัน แต่ยังไงก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือเจ้าลูกชายตัวดีนี่แหละค่ะ” แม่วางมือลงบนตักของผม

“ไม่ต้องห่วงนะครับ เราจะดูแลลูกชายของคุณแม่อย่างดีที่สุดครับ ผมรับรองเลย” ผู้อำนวยการส่งยิ้มรับประกันให้กับแม่ จากนั้นก็หันมายิ้มให้กับผม “นนท์ ใช่มั๊ย”

“ครับ” ผมพยักหน้า

“ครูเห็นผลการเรียนที่ผ่านมาของเราแล้วนะ ถือว่ายอดเยี่ยมมากเลยนี่ แบบนี้คงเรียนได้อย่างไม่มีปัญหา แรกๆอาจจะต้องปรับตัวเรื่องเพื่อนใหม่หรือเรื่องสถานที่บ้าง แต่ครูเชื่อว่ามันคงไม่ใช่ปัญหาสำหรับเด็กเก่งอย่างนนท์อยู่แล้วล่ะ จริงมั๊ย”

“ครับ....... ก็อาจจะ”

“อย่างที่คุณแม่ทราบนะครับ” ผู้อำนวยการหันกลับไปพูดกับแม่ของผมอีกครั้ง “ว่าโรงเรียนของเราแบ่งออกเป็นสองฝั่งคือทางฝั่งตะวันออกของเด็กชั้นมัธยมต้น และฝั่งตะวันตกของเด็กชั้นมัธยมปลาย เนื่องจากโรงเรียนของเรามีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง ทั้งนี้ก็เพื่อการจัดระเบียบการดูแลให้ง่ายขึ้นและทั่วถึง และนอกจากนั้นเรายังมีหอพักรองรับนักเรียนที่ต้องการนอนประจำที่นี่ด้วย เราเองก็เห็นแล้วใช่มั๊ย นนท์ ตึกสิบสองชั้น ตึกที่สูงที่สุดของทั้งสองฝั่งโรงเรียนน่ะ”

ผมพยักหน้ารับอีกครั้ง “ครับ”

“เนื่องจากโรงเรียนของเราค่อนข้างอยู่ห่างออกมาจากตัวเมืองพอสมควร ทำให้ผู้ปกครองบางท่านอาจจะมีปัญหาเรื่องการรับส่งบุตรหลานของตัวเอง เราจึงจัดให้มีหอพักที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเพื่อรองรับความต้องการของทั้งเด็กและผู้ปกครองน่ะครับ ระบบของเราที่นี่จะคล้ายๆกับเด็กมหาวิทยาลัยเลยทีเดียว เพื่อที่จะทำให้เด็กมีอิสระและรู้จักการดูแลตัวเองภายใต้กฎระเบียบของโรงเรียนที่ค่อนข้างเข้มงวด ทั้งนี้ก็เพื่อฝึกระเบียบวินัยให้กับทุกๆคนเพื่อที่พร้อมจะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า โดยถ้าสำหรับเด็กชั้นมัธมยมหนึ่งกับสี่ เราจะบังคับให้ทุกคนต้องนอนหอน่ะครับ” ผู้อำนวยการพูดด้วยความคล่องแคล่วราวกับท่องมาเป็นอย่างดี ผมนึกสงสัยอยู่ใจไม่รู้เหมือนกันว่าการเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนแบบนี้ ในชั่วชีวิตนึงของเขา เขาจะต้องพูดประโยคเหล่านั้นซ้ำๆกันสักกี่หนกันนะ “เราจะมีรถรับส่งฟรีไปยังโบสถ์และวัดใกล้ๆ รวมถึงข้างในตัวเมืองบางจุดที่สำคัญๆ แต่จะไม่มีรถรับ-ส่งจากบ้านของนักเรียนน่ะครับ มันเป็นนโยบายของโรงเรียนเราที่มีมานานแล้ว”

ผมกับแม่พยักหน้า สำหรับแม่จะคิดยังไงผมก็ไม่รู้หรอกนะ แต่ผมคิดว่ามันคงเป็นเพราะเขาอยากจะเน้นให้ผู้ปกครองเห็นความสำคัญและความจำเป็นของการนอนหอมากกว่า และแน่นอนว่านั่นก็หมายถึงเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่จะบินมาเข้าโรงเรียนแห่งนี้เพิ่มมากขึ้นด้วย

“ถ้านนท์มาเรียนที่นี่ นนท์จะได้เพื่อนหลากหลายมากมายแน่ๆ ครูรับประกันเลย เพราะว่าเรามีนักเรียนต่างชาติอยู่หลายคนและหลายเชื้อชาติมาก แต่ทุกคนก็สามารถพูด อ่าน และเขียนภาษาไทยได้นะครับ เพราะเราไม่ใช่โรงเรียนอินเตอร์หรือแม้แต่โรงเรียนสองภาษา เพียงแต่จะเน้นหนักเรื่องภาษาอังกฤษมากขึ้นเท่านั้นเอง เพราะเรารู้ดีว่าโรงเรียนสองภาษาน่ะ เด็กจะค่อนข้างอ่อนด้านวิชาการ ดังนั้นเราจึงต้องการจะอุดจุดอ่อนตรงนี้โดยการเน้นเรื่องวิชาการไม่ให้แพ้โรงเรียนรัฐบาลชื่อดังหลายๆที่ แต่ก็มีวิชาภาษาอังกฤษที่มากขึ้นและเข้มข้นขึ้นเพื่อศักยภาพของนักเรียนของเราในด้านภาษาด้วย”

ผมฟังสิ่งที่อาจารย์ผอ.พูดไปด้วยและมองไปรอบๆห้องไปด้วย จนกระทั่งสายตาของผมไปหยุดอยู่ที่บรรดาถ้วยรางวัลและประกาศณียบัตรจำนวนมากมายที่ถูกวางและแขวนอยู่บนผนังห้องข้างหนึ่ง และดูท่าทางว่าผู้อำนวยการวิสุทธิ์ก็จะเห็นด้วยเช่นกันว่าผมกำลังมองอะไรอยู่

“ใช่แล้ว นนท์ ทางนี้คือบรรดาเหรียญรางวัล ถ้วยรางวัล และประกาศณียบัตรต่างๆสำคัญๆที่โรงเรียนเราได้รับมาจากบรรดาเด็กๆทางแผนกมัธยมต้น” ท่านผอ.เดินไปหยุดอยู่ตรงชั้นวางถ้วยรางวัล และเริ่มอธิบายว่า “เขา” ได้รับรางวัลเหล่านี้มาได้อย่างไรทีละชิ้นๆ “โรงเรียนของเราขึ้นชื่อเรื่องกีฬาว่ายน้ำมากน่ะครับ ในการแข่งขันใหญ่จะต้องมีนักเรียนของเราได้เหรียญติดมือกลับมาด้วยทุกครั้ง ไม่ว่าจะทางฝั่งมัธยมต้นหรือมัธยมปลาย”

ผมมองไปที่รูปถ่ายของเด็กผู้ชายสามคนซึ่งดูจะรุ่นราวคราวเดียวกับผมที่ยืนยิ้มอยู่บนแท่นรับเหรียญรางวัล คนที่ยืนอยู่บนตำแหน่งที่หนึ่งและสองนั้นสะดุดตาผมแทบจะในทันทีเพราะทั้งสองคนหน้าตาดีมาก โดนเฉพาะคนที่ถือเหรียญรางวัลที่หนึ่งอยู่ในมือ รอยยิ้มที่ได้ชัยชนะที่แฝงไปด้วยความมั่นใจนั้นแทบจะแผ่พุ่งให้ทุกๆคนที่เห็นรับรู้ได้ในทันทีเลยทีเดียว และเหนือสิ่งอื่นใด ทั้งสองคนนั้นใส่กางเกงว่ายน้ำสีเดียวกันลายเดียวกันเสียด้วย ซึ่งก็ตรงกับที่ผู้อำนวยการกำลังเล่าพอดีว่าในการแข่งครั้งนั้นโรงเรียนของเขาคว้ามาได้ทั้งรางวัลที่หนึ่งและที่สองพร้อมๆกัน

นอกจากว่ายน้ำแล้ว ผู้จัดการก็ยังเล่าให้ฟังถึงรางวัลเกี่ยวกับวิชาการและการกีฬาอย่างอื่นอีกหลายชนิดที่พอหลังๆผมก็แทบจะไม่ได้ใส่ใจฟังอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่ผมทำก็มีเพียงแค่กวาดสายตามองไปยังบรรดารูปถ่ายของเด็กหนุ่มนับสิบคนตามรูปภาพต่างๆเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นรูปบนสนามบาสเก็ตบอล สระว่ายน้ำ หรือในสนามฟุตบอล

“นนท์เรียนสายวิทย์มาใช่มั๊ยครับ”

“ใช่ค่ะ” เสียงของแม่ดึงให้ผมหลุดออกมาจากภวังค์อีกครั้ง “และเมื่อตอนที่ดิฉันมาที่นี่ครั้งที่แล้ว เจ้าหน้าที่ที่ตรวจดูผลการเรียนและประวัติก็บอกว่านนท์สามารถเข้าเรียนต่อสายวิทย์ของที่นี่ได้เลยเหมือนกัน”

“ใช่ครับ แต่ว่าถ้าจะต่อมอสี่ที่นี่ ก็ต้องสอบเลือกสายอีกครั้งนะครับ”

“ค่ะ ไม่มีปัญหาค่ะ”

“นนท์คิดยังไงกับโรงเรียนบ้างล่ะ หืม” ผู้อำนวยการหันมาถามผม “เท่าที่เห็นๆนี่รู้สึกชอบมั๊ย”

“อ่า ครับ” ผมพยักหน้า “แต่มันใหญ่มากเลยครับ ไม่รู้ว่าผมต้องใช้เวลาเท่าไหร่ถึงจะจำทางหรือเดินได้ทั่ว”

ผู้อำนวยการหัวเราะ “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก อยู่ๆไปเดี๋ยวก็ชินเองนั่นล่ะ แต่ว่าสิ่งสำคัญมีเพียงอย่างเดียวคือ เราอยากจะเดินสำรวจทางฝั่งนี้สักเท่าไหร่ก็ได้ ไม่มีใครว่า แต่ทว่าห้ามเข้าไปในฝั่งของมัธยมปลายโดยไม่ได้รับอนุญาตเด็ดขาด เข้าใจมั๊ยครับ”

ผมพยักหน้ารับอย่างงงๆ “ครับ”

“จริงๆก็ไม่ใช่ว่าเราจะเข้าไปไม่ได้เลยหรอก แต่มันมีกฏระเบียบเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยนิดหน่อยน่ะ อีกเดี๋ยวเราก็รู้เองนั่นล่ะ แต่ว่าถ้าเป็นอย่างเช่นบริเวณสวนกลาง โรงยิมร่วม หรือห้องสมุดใหญ่ เราก็สามารถเข้าไปได้นะ” ผู้อำนวยการยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน ก่อนจะหันกลับไปคุยกับแม่ต่อ “เดี๋ยวหลังจากนี้ผมจะให้เลขาฯของผมพาคุณแม่กับลูกชายเดินดูรอบๆก็แล้วกันนะครับ ผมบอกเขาเอาไว้ก่อนแล้ว แต่ก่อนหน้านั้น คุณแม่มีอะไรสงสัยจะถามผมอีกมั๊ยครับ”

“ค่ะ ก็มีเรื่องเรียนอีกนิดหน่อย แล้วก็...........” เสียงของแม่ค่อยๆจางหายไปจากโสตสัมผัสของผมทีละน้อยๆ ถัดจากนั้นอีกราวๆสิบห้านาทีแม่กับผู้อำนวยการคนนั้นก็คุยกันต่อไปถึงเรื่องรายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับโรงเรียนและอื่นๆอีกมากมายซึ่งมันแทบจะไม่เข้าหัวของผมเลยสักนิดเดียว นานๆทีทั้งสองคนก็จะเรียกชื่อผมบ้าง ถามความเห็นของผมบ้าง ซึ่งผมก็ได้แต่ตอบว่าครับ หรือไม่ก็พยักหน้าส่งๆไปเท่านั้นเอง

สายตาของผมไล่มองไปรอบห้องอย่างเลื่อนลอย นานๆทีมันก็จะไปหยุดอยู่ที่รูปถ่ายของนักกีฬาว่ายน้ำคู่นั้นบ้าง รูปหมู่ของนักกีฬาบาสเก็ตบอลและฟุตบอลบ้าง ซึ่งผมสาบานได้เลยว่าผมเห็นคนในทีมฟุตบอลอยู่คนนึงที่หน้าตาเหมือนกับคนในทีมบาสเก็ตบอลอย่างกับแกะจนผมนึกแปลกใจ หรือว่าบางทีพวกเขาอาจจะเป็นฝาแฝดที่ชอบเล่นกีฬากันคนละอย่างก็เป็นได้ และนอกจากนั้นผมยังรู้สึกสะดุดตากับนักเรียนบางคนในรูปถ่ายเหล่านั้นอีกด้วย

ผมเลื่อนสายตาไปจับจ้องอยู่ที่ด้านหลังของผู้อำนวยการ ด้านนอกกระจกหน้าต่างด้านหลังเก้าอี้ของผู้อำนวยการเป็นวิวของบริเวณสวนสาธารณะขนาดย่อมๆที่ผมกับแม่เพิ่งขับรถผ่านกันมาเมื่อครู่นี้ ส่วนอาคารที่อยู่ติดกันก็คือโรงยิมขนาดใหญ่ และที่เลยไปอีกนิดก็คงเป็นอาคารที่ผมเดาจากการที่ผมสังเกตจากป้ายบอกทางเมื่อตอนเข้าโรงเรียนมาเมื่อครู่ว่าน่าจะเป็นห้องสมุดของที่นี่นั่นเอง หรือว่ามันอาจจะเป็นหอประชุมก็ไม่รู้สิ ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ส่วนบริเวณภายในสวนรอบๆบ่อน้ำขนาดใหญ่นั้นมีนักเรียนหลายคนกำลังนั่งจับกลุ่มคุยกัน อ่านหนังสือ หรือไม่ก็กำลังเดินเล่นกันอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งผมเห็นว่ามีทั้งเด็กวัยเดียวกับผมหรือเล็กกว่า รวมทั้งเหล่าวัยรุ่นที่เห็นได้ชัดเจนว่าคงเป็นเด็กมอปลายอยู่ด้วย แปลว่าที่แห่งนั้นก็คงจะเป็นบริเวณสวนกลางที่ท่านผอ.เพิ่งบอกผมเมื่อครู่ว่านักเรียนทุกระดับชั้นสามารถเข้าไปได้แน่นอน

สิ่งถัดมาที่ผมรู้สึกตัวก็คือเมื่อตอนที่แม่ของผมลุกขึ้นยืนและกล่าวขอบคุณกับผู้อำนวยการเรียบร้อยแล้ว ผมจึงรีบยืนขึ้นและทำอย่างเดียวกัน

“ขอบคุณมากค่ะท่าน”

“ไม่เป็นไรครับ ผมต้องขอโทษด้วยที่ไม่สามารถพาไปเดินด้วยตัวเองได้เพราะว่ายังติดงานเอกสารอยู่อีกนิดหน่อยน่ะครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ เท่าที้ก็กรุณามากแล้ว ถ้าอย่างนั้นดิฉันกับลูกขอตัวก่อนนะคะ”

ผมยกมือขึ้นไหว้ผอ.อีกครั้ง ก่อนจะเดินออกจากมากห้องพร้อมกับแม่ และเมื่อเปิดประตูห้องออกมา ด้านนอกก็มีผู้หญิงมีอายุใส่แว่นคนหนึ่งยืนรอเราสองคนอยู่แล้ว

“นี่ค่ะ ระเบียบการเพิ่มเติม แผนที่ และรายละเอียดอื่นๆของโรงเรียน” ผู้หญิงคนนั้นที่ผมเดาเอาว่าน่าจะเป็นเลขาฯของผู้อำนวยการยื่นเอกสารปึกหนึ่งให้แก่ผม “งั้นเราไปกันเลยมั๊ยคะ”

“ค่ะ” แม่ของผมพยักหน้าแล้วก็ออกเดินตามผู้หญิงคนนั้นไป

“ไปไหนอ่ะแม่” ผมกระซิบถาม

“อ้าว ก็ไปเดินดูหอพักไง”

“หอพัก ดูทำไมอ่ะครับ หอพัก”

“อ้าว แล้วนนท์จะมานอนที่นี่โดยไม่อยากรู้เลยเหรอว่ามันหน้าตาเป็นยังไงน่ะ” แม่หัวเราะเบาๆ “อย่าบอกนะว่าลืมไปแล้วว่าตัวเองตอบตกลงเองว่าจะมานอนที่นี่น่ะ”

ชิบหายแล้ว ในห้องนั้นเมื่อกี๊นี่ผมพลาดอะไรไปมั่งเนี่ย


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2009 12:01:35 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
A 1


“หวังว่าจะชอบโรงเรียนแห่งนี้นะคะ โชคดีค่ะ” คุณครูเลขาฯกล่าวส่งท้ายก่อนที่เราสองคนจะเดินกลับมาขึ้นรถ

“เป็นอะไร ทำไมทำหน้าเป็นตูดอย่างนั้นล่ะ” แม่ผมหันมาถามขณะที่กำลังจะสต๊าร์ทรถ

“ก็แม่อ่ะ นนท์ไม่ได้อยากมานอนหอที่นี่สักหน่อย ทำไมมันกลายมาเป็นแบบนี้ไปได้เนี่ย”

“อะไร ก็นนท์เป็นคนตอบตกลงเองตอนที่แม่ถามตอนอยู่ในห้องของผอ.น่ะ”

“คือ นั่นมัน........” ผมอึกอัก จะพูดออกไปว่าผมไม่ได้ฟังอยู่แต่แค่พยักหน้าส่งๆไปเท่านั้นเองก็ไม่ได้ซะด้วย “ไม่รู้อ่ะ ก็นนท์ไม่อยากอยู่นี่ นี่เราก็เพิ่งย้ายลงมาจากเชียงใหม่ได้ไม่กี่วัน นนท์จะต้องย้ายมาเข้าหอที่นี่แล้วซะงั้นน่ะเหรอ และที่สำคัญ แม่ล่ะจะอยู่กับใคร บ้านหลังตั้งเบ้อเริ่มขนาดนั้น”

“พอเลยนนท์ อย่าเอาแม่มาอ้างนะ เรามานอนที่นี่ก็แค่อาทิตย์เดียวเอง มาเพื่อจะได้เคยชินกับโรงเรียนแล้วก็เพื่อนๆไง ก็เหมือนหิ้วเสื้อผ้าไปเที่ยวบ้านเพื่อนแค่อาทิตย์เดียวนั่นแหละ และจากนั้นก็กลับมานอนบ้านเหมือนเดิม เดี๋ยวคอยดูเถอะ พอเริ่มได้เพื่อนแล้วจะขี้คร้านไม่อยากกลับมาอยู่กับแม่”

“เหอะๆ บ่มีทาง”

“ยะหยังน่ะ บ่ชอบหอตี้นี่กะ แม่ว่ามันก่อโอเคอยู่นา ดูดีจะต๋าย”

“มันก่อใจ้........” ผมยอมรับ “แต่อันนั้นมันบ่ใจ้ประเด็น”

“จะอั้นอะหยังคือประเด็น ว่ามาโละ แล้วก่อบ่ต้องอ้างเรื่องของแม่เลยตวย ตี้บ้านก่อมีป้าๆ ลุงๆ อยู่กั๋นแหมเป็นสามเป็นสี่ เพราะงั้นห้าม!”

“เปล่าครับ บ่มีอะหยัง” ผมยอมแพ้ นึกย้อนไปถึงสิ่งที่เพิ่งได้ยินและไปเห็นมาเมื่อครู่นี้

อาคารหอพักของฝั่งมัธยมต้นคืออาคารสูงสิบสองชั้น แต่ละชั้นตั้งแต่ชั้นสองขึ้นไปมีทั้งหมดสามสิบห้อง และแต่ละห้องจะสามารถนอนได้ตั้งแต่หนึ่งถึงสามคน แต่โดยมากแล้วถ้าห้องไม่เหลือ ทางโรงเรียนจะไม่อนุญาตให้นักเรียนนอนเพียงคนเดียวเด็ดขาด ในห้องที่เลาขาฯผอ.พาพวกเราไปดูนั้นเป็นห้องว่างเพียงห้องเดียวที่เหลืออยู่บนชั้นสิบสอง ในห้องนั้นมีเตียงขนาดนอนคนเดียวอยู่สองเตียง มีตู้เสื้อผ้าแบบบิวท์อินสองตู้ โต๊ะเขียนหนังสือพร้อมเก้าอี้สองตัว กระจกบานใหญ่หนึ่งบาน ห้องน้ำในตัว เครื่องปรับอากาศ และนอกจากนั้นยังมีระเบียงที่กั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อนซึ่งยื่นออกไปยังด้านนอกอีกด้วย ซึ่งมันทำให้ผมต้องยอมรับเลยว่าผมค่อนข้างประทับใจกับการออกแบบและความสะดวกสบายของมันมากทีเดียว นี่ยังไม่รวมบรรดาห้องคอมม่อน ห้องคอมพิวเตอร์ และห้องอื่นๆในชั้นล่างของหอพักอีกด้วยซ้ำไป

“สรุปวันพูกแม่จะมาส่งนนท์หื้อได้ปะเปื้อนใหม่คนแรกของนนท์ก่อแล้วกั๋น”

“ครับๆ” ผมถอนหายใจ

เย็นนั้นผมเอาคู่มือสำหรับนักเรียนใหม่มาเปิดอ่านดู ด้านหน้าเป็นรูปของป้ายโรงเรียนพื้นแดงเลือดหมูและมีตัวหนังสือสีทองตัวใหญ่เขียนเอาไว้เป็นภาษาไทยว่า “โรงเรียน วัชรชัย” ส่วนบรรทัดล่างก็เป็นชื่อโรงเรียนในภาษาอังกฤษว่า “WATCHARACHAI COLLEGE” ซึ่งเนื้อหาภายในนั้นจะพูดถึงประวัติโรงเรียนและอื่นๆอีกหลายอย่าง แต่ที่ผมสนใจจริงๆก็คือแผนที่ภายในโรงเรียน กฏระเบียบ และสังคมภายในนั้นเท่านั้นเอง โดยเฉพาะชีวิตของเด็กหอที่นั่นที่จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ แต่ถึงยังไงผมก็ใกล้จะได้สัมผัสมันด้วยตัวเองในวันพรุ่งนี้แล้วอยู่ดีนั่นล่ะนะ

เฮ้ออ....... แม่นะแม่

ผมเปิดดูหนังสือเล่มเล็กเล่มนั้นแล้วก็รู้สึกเห็นด้วยอย่างที่ผู้อำนวยการคนนั้นพูดว่าโรงเรียนแห่งนี้ค่อนข้างอยู่ไกลพอสมควรเลยทีเดียว เพราะไอ้การจะสร้างหรือขยายโรงเรียนจนมีขนาดใหญ่โตเท่านี้ได้คงจะทำในตัวเมืองกรุงเทพแคบๆแห่งนี้ไม่ได้แน่นอน นอกเสียจากว่าจะอยู่ในเขตชานเมืองแบบนั้นเท่านั้น แต่จะว่าไป คำว่าไกลก็อาจจะใช้ได้ไม่ค่อยถูกต้องนัก เพราะจริงๆแล้วกรุงเทพมันก็มีขนาดเล็กแค่นิดเดียว แต่การจราจรนรกแตกนี่ต่างหากล่ะที่ทำให้มันยิ่งดูไกลมากขึ้นไปอีก นั่นคงเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้พ่อแม่หลายๆคนตัดสินใจตัดภาระเรื่องการดูแลรับส่งลูกของตัวเองให้โรงเรียนเป็นผู้ดูแล และเท่าที่ผมอ่านระเบียบการ คู่มือ และรายชื่อกฎระเบียบข้อห้ามต่างๆหลายสิบข้อของนักเรียนชั้นมัธยมต้นดูแล้ว ผมก็ต้องยอมรับเลยว่าท่าทางโรงเรียนแห่งนี้จะเข้มงวดไม่น้อยอย่างที่ผมกับแม่ถูกบอกมาเมื่อตอนกลางวันจริงๆ

ผมโยนหนังสือคู่มือทิ้งลงข้างเตียงแล้วก็นอนลืมตานึกถึงเหตุการณ์มากมายที่ผ่านมา เมื่อเช้าแม่บอกผมว่าผมหน้าเหมือนพ่อไม่มีผิด แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาในแว่บหนึ่งว่าแท้จริงแล้วแม่หมายถึง “พ่อ” คนไหนกันแน่นะ.......

ผมมองไปรอบๆห้องของตัวเองที่แทบไม่เคยเป็นของผมเองเลย แต่ในตอนนี้มันกำลังจะกลับมาเป็นของๆผมเองจริงๆแล้วอีกครั้ง เท่าที่ผ่านมาผมกับแม่จะอาศัยบ้านหลังโตนี้เป็นเพียงบ้านพักในเวลาที่กลับลงมายังกรุงเทพแค่ชั่วคราวเท่านั้น แต่นับจากนี้ไป ผมคงจะต้องเริ่มทำตัวให้ชินกับการเรียกบ้านหลังนี้ว่า “บ้าน” จริงๆซะแล้ว

“น้องนนท์คะ คุณแม่ให้มาตามค่ะ” เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นพร้อมกับเสียงเรียกของป้ายวน แม่บ้านของเรา

“ครับป้า บอกแม่ว่ารอแป๊บนึงนะครับ” ผมดีดตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง จากนั้นก็ลุกไปหยิบกางเกงขาสั้นมาสวมทับบ๊อกเซอร์ที่ใส่อยู่ จากนั้นก็เดินลงไปหาแม่ที่ชั้นล่าง แต่เมื่อผมเดินไปถึงห้องนั่งเล่นและเห็นคนที่นั่งอยู่ ผมก็ต้องสะดุ้งจนสุดตัวแล้วรีบวิ่งกลับขึ้นไปบนห้องอีกครั้งโดยมีเสียงหัวเราะของแม่ดังไล่หลังมาติดๆ ผมคว้าเสื้อยืดที่แขวนอยู่บนราวแขวนผ้าในห้องนอนมาสวม จากนั้นก็เดินกลับลงไปที่ห้องนั่งเล่นอีกครั้ง

“แค่นี้ก็ต้องอาย ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่” แม่หัวเราะเบาๆ

“ก็แล้วใครบอกว่านนท์อายแม่เล่า” ผมหน้าแดง จากนั้นก็หันไปหาเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆแม่ เธอคนนั้นก็กำลังยิ้มอายๆด้วยใบหน้าที่แดงก่ำเช่นเดียวกัน “หวัดดี พลอย”

“ไง นนท์” พลอยยกมือขึ้นทักผมแล้วหัวเราะคิกคักเบาๆ

“วันนี้ไม่ไปไหนเหรอ” ผมถาม

“เปล่า วันนี้อยู่บ้านน่ะ แล้วก็ตั้งใจจะมาเยี่ยมนนท์กับคุณป้าด้วย”

“นั่นสินะ เมื่อวันก่อนที่เจอกันก็ยังแทบไม่ได้คุยอะไรกันเลยด้วย” ผมนั่งลงบนโซฟาข้างๆแม่

“เอางี้สิ วันนี้พลอยกินข้าวเย็นกับป้านะ อีกเดี๋ยวก็คงเสร็จแล้วล่ะ หิวแล้วรึยังล่ะจ้ะ” แม่หันไปถามพลอย

“เอ่ออ พลอยว่าพลอยไม่รบกวนดีกว่าค่ะ เกรงใจ แล้วเดี๋ยวแม่จะว่าเอาด้วย”

“เกรงจงเกรงใจอะไรกัน มาเถอะนะ กินข้าวด้วยกันป้าจะได้ไม่นั่งเหงาอยู่กับนนท์แค่สองคนไง เดี๋ยวป้าโทรไปบอกที่บ้านให้เอง และเดี๋ยวพอเย็นๆค่ำๆแล้วค่อยให้เจ้านนท์มันเดินไปส่ง”

พลอยหันมามองหน้าผม ผมจึงพยักหน้าเบาๆ

“งั้นก็ได้ค่ะ งั้นพลอยขอรบกวนมื้อนึงนะคะ”

“เยี่ยมเลย งั้นพลอยเอาเบอร์ที่บ้านมา เดี๋ยวป้าโทรไปให้เดี๋ยวนี้เลย”

พลอยบอกเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองให้กับแม่ จากนั้นแม่ก็ลุกขึ้นออกไปเดินโทรศัพท์ข้างหน้าระเบียงบ้าน ผมเลยหันไปชวนพลอยออกไปเดินเล่นที่สวนหน้าบ้านด้วยกันเป็นการฆ่าเวลารออาหารเย็นพร้อม

“ถ้าไม่นับเมื่อสองวันก่อนเนี่ย เราสองคนก็ไม่ได้เจอกันมานานเท่าไหร่แล้วนะ นนท์” พลอยพูดขึ้นเมื่อเราสองคนนั่งอยู่บนชิงช้าในสวน

“ไม่รู้สิ........ ก็คงราวๆเดือนนึงมั๊ง ล่าสุดก็ในงานศพพ่อกิตน่ะ”

“อุ๊ย พลอยไม่ได้ตั้งใจจะทำให้นนท์คิดถึงเรื่องนั้นขึ้นมานะ” พลอยรีบหันมามองหน้าผมด้วยสีหน้าเป็นกังวล “พลอยขอโทษ”

“ไม่เป็นไร” ผมส่ายหน้า “นนท์ไม่ได้คิดอะไรหรอก แต่ถ้าพลอยหมายถึงว่าไม่นับงานศพของพ่อกิตล่ะก็ เราก็ไม่ได้เจอกันมาเกือบปีนึงเต็มๆแล้วล่ะมั๊ง เพราะช่วงนั้นนนท์แทบไม่ได้กลับลงมากรุงเทพเลย และพอลงมาก็ไม่ได้เจอพลอยเลยสักครั้ง คลาดกันตลอด”

“นั่นสินะ ทั้งๆที่สมัยก่อนตอนที่นนท์อยู่ที่นี่ เรายังได้เจอกันแทบทุกวันเลยแท้ๆ” พลอยยิ้ม

พลอยคือเพื่อนเล่นของผมมาตั้งแต่สมัยผมยังเด็กและยังอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้อยู่ และนั่นก็นับเป็นเวลาตั้งแต่ผมเริ่มจำความได้จนกระทั่งมาถึงตอนที่ผมอายุได้เจ็ดขวบ จากนั้นด้วยความจำเป็นอันน่าเศร้า ผมกับแม่จึงจำต้องย้ายออกจากบ้านหลังนี้กลับไปอยู่ที่เชียงใหม่กันสองคนเพื่อหลีกหนีจากความทรงจำอันเจ็บปวด และเพื่อรักษาบาดแผลที่คงไม่มีวันจางหายไปได้......... บาดแผลจากการที่พ่อของผมต้องจากไป โดยสิ่งที่เหลือทิ้งเอาไว้ให้แม่กับผมก็มีแต่เพียงบรรดารูปถ่าย ความทรงจำดีๆ และกองสมบัติมรดกจำนวนมหาศาลที่เราสองคนไม่เคยต้องการเลยแม้แต่นิดเดียว สิ่งที่เราต้องการจริงๆนั้นมีอยู่แค่เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือผู้ชายอันอบอุ่นและเป็นคนที่เรารักมากที่สุดในโลกคนเดิมเท่านั้นเอง

หลายปีถัดมาแม่ก็ตัดสินใจแต่งงานใหม่อีกครั้ง และสุดท้ายมันก็จบลงด้วยโศกนาถกรรมของชีวิตรักของแม่อีกเช่นเคย และครั้งนี้มันก็ทำให้แม่ต้องบอบช้ำมากโดยที่ผมไม่สามารถช่วยอะไรแม่ได้เลย ถึงแม้ภายนอกแม่จะทำตัวเข้มแข็ง แต่ทุกครั้งที่ผมมองตาของแม่ ผมก็รู้ได้ในทันทีว่าแม่นั้นรู้สึกอย่างไร

“แล้วโรงเรียนใหม่เป็นยังไงบ้างล่ะ นนท์” พลอยถาม

“ก็ดีมั๊งนะ ไม่รู้สิ สงสัยชีวิตนนท์คงได้พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือก็คราวนี้แหละ พลอย นนท์ว่าโรงเรียนนั้นมันดูเว่อร์มากเลย แถมยังเป็นโรงเรียนชายล้วนอีกต่างหาก” ผมถอนหายใจแล้วยักไหล่ “แถมนี่แม่ก็ยังจะให้นนท์ไปนอนกับใครก็ไม่รู้ตั้งอาทิตย์นึงเพื่อให้นนท์ปรับตัวได้ด้วยนะ”

“ก็ดีแล้วนี่ เรียนโรงเรียนชายล้วนน่ะ” พลอยหัวเราะเบาๆ

“ตรงไหนกัน”

“ก็นนท์จะได้ไม่มีผู้หญิงคนอื่นมาจีบไง”

ผมรู้สึกตัวเองหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย แต่พลอยเองก็กำลังหน้าแดงเพราะคำพูดของตัวเองอยู่ด้วยเช่นกัน จริงๆแล้วพลอยมีอายุเท่ากับผม แต่เขากำลังเรียนอยู่ชั้นมอสี่ ซึ่งสูงกว่าผมหนึ่งปี และผมต้องยอมรับเลยว่าทุกครั้งที่เราสองคนได้เจอหน้ากัน ผมจะต้องรู้สึกประหลาดใจกับความเปลี่ยนแปลงในตัวของพลอยอยู่ตลอดเวลาเลยทีเดียว พลอยจะดูสวยขึ้น และเป็นสาวขึ้นทุกๆครั้งที่ผมเจอ อย่างเช่นในวันนี้ พลอยที่รวบผมหางม้า ใส่เสื้อยืดและกางเกงขาสั้นดูสบายๆนั้นก็ดูน่ารักมากจริงๆ ถึงแม้ว่าผมจะยังไม่รู้ว่าผมคิดยังไงกับเธอก็เถอะนะ แต่ผมก็ต้องยอมรับเลยว่าพลอยเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักมากจริงๆ

โอเค ผมจะไม่ปฏิเสธว่าผมไม่ได้คิดอะไรกับพลอยเลย แต่ผมเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้คำว่า “คิด” น่ะ มันควรจะคิดยังไงกันแน่ เพราะผมเองก็รู้ตัวดีอยู่แล้วว่าผมรู้สึกชอบมองผู้ชายมากกว่าผู้หญิงมาตลอด เพียงแต่ว่าผมยังไม่เคยคิดอะไรเกินเลยไปมากกว่าคำว่ามองเลยแม้แต่นิดเดียว แม้แต่การมีแฟนผู้ชายผมก็ยังไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำ และพูดตามตรงแล้วผมเองก็ไม่อยากจะคิดอะไรแบบนั้นสักเท่าไหร่หรอก ผมยังคงรู้สึกชอบผู้หญิง รู้สึกว่าเขาเป็นเพศที่บอบบางและต้องการคนดูแล การมีเค้าอยู่มันทำให้เรารู้สึกว่าเราจะต้องเป็นลูกผู้ชายที่เข้มแข็งขึ้นเพื่อใครสักคน เพราะงั้นที่ผ่านมาผมถึงได้เคยมีแฟนผู้หญิงอยู่กับเขาคนนึงเหมือนกัน แต่ทว่าสุดท้ายเราก็ต้องเลิกรากันไปเพราะเธอคนนั้นหันไปเลือกคนอื่นที่เธอให้เหตุผลว่าเขาคนนั้น “ดี” กว่าผม..........

แต่ผมก็ไม่ได้เสียใจหรือเจ็บใจอะไรเท่าไหร่หรอกนะ เพราะผมรู้ดีว่าตอนนั้นมันก็เป็นแค่ความรักในแบบ “ทดลอง” เท่านั้น ตอนนั้นผมยังเด็กอยู่มากและยังไม่คิดแม้แต่นิดเดียวที่จะอยากมีใครสักคนจริงๆจังๆ และที่สำคัญ ผมเองก็ยังไม่ได้รู้สึกลึกซึ้งอะไรกับเธอคนนั้นสักเท่าไหร่เลยด้วยซ้ำ........ ไม่ใช่ว่าเพราะเธอคนนั้นเป็น “ผู้หญิง” แต่ไม่ว่าจะกับคนเพศไหนหรือกับใคร ผมก็มักจะมีระยะปลอดภัยของผมอยู่เสมอๆ และนั่นก็เป็นช่องว่างที่ทำให้ผมยังไม่เคยปล่อยให้ความรู้สึกอื่นมากกว่าคำว่า “มิตรภาพ” ล่วงล้ำเข้ามาในห้องส่วนตัวของผมที่เรียกว่า “หัวใจ” ได้เลยสักครั้ง..........

แต่ในตอนนี้ผมรู้สึกตัวว่าผมกำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าบาดแผลที่เกิดขึ้น แต่ทุกๆช่วงเวลาที่เข็มนาทีเดินผ่านไปบนหน้าปัดเวลาแห่งชีวิตนี้ มันจะทำให้คนเราเติบโตขึ้นและเข้มแข็งขึ้นเสมอๆ ผมเชื่อแบบนั้น และยิ่งเมื่อพูดถึงเรื่องของความรัก ผมเองก็เริ่มรู้สึกอยากจะรู้แล้วด้วยเหมือนกันว่าท้ายที่สุดแล้ว หัวใจของผมนั้นมันควรจะเปิดออกให้แก่ใครคนไหนกันแน่.........

ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม

“คิดอะไรอยู่น่ะ นนท์” เสียงของพลอยดึงผมให้กลับมาสู่ปัจจุบันอีกครั้ง

“เปล่า....... ก็คิดเหมือนๆพลอยนั่นแหละมั๊ง นนท์ได้ยินว่าพลอยเองก็มีผู้ชายมาจีบเยอะแยะเลยไม่ใช่เหรอ”

“บ้า ไปได้ยินมาจากไหน” พลอยหัวเราะและตีหัวไหล่ผมเบาๆ แต่น่าแปลกที่เธอเองก็ไม่ได้ปฏิเสธคำพูดผมแม้แต่น้อย ผมจึงตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องสมัยเรายังเด็กๆ และเรื่องชีวิตในกรุงเทพที่ผมคงต้องปรับตัวให้เคยชินอีกหลายๆอย่างแทน

เราสองคนนั่งคุยกันอีกสักพักใหญ่ๆจนกระทั่งมีคนมาตามให้เราสองคนไปทานข้าวได้ ผมจึงเดินนำพลอยเข้าบ้านไปยังโต๊ะอาหาร มื้อเย็นในครั้งนี้ดูเหมือนว่าแม่จะมีความสุขมากขึ้นเล็กน้อยเพราะมีพลอยอยู่ด้วย และนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกดีมากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน แต่ในขณะเดียวกันเมื่อผมคิดถึงว่าแม่จะต้องกินข้าวคนเดียวบนโต๊ะอาหารเหงาๆนี่ไปอีกหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ ผมก็เริ่มรู้สึกแย่ลงไปในทันที

“จริงสิ เอางี้ดีมั๊ยครับแม่ ตอนที่นนท์ไม่อยู่ แม่ก็ชวนพลอยมากินข้าวเย็นที่บ้านเป็นเพื่อนสิ ไม่ต้องทุกวันก็ได้ แม่จะได้ไม่เหงาไงครับ” ผมเสนอความคิดขึ้นมากลางโต๊ะอาหาร

“ไม่ต้องเลย แม่รู้นะว่านนท์คิดอะไรอยู่น่ะ แม่บอกแล้วไงว่าแม่อยู่ได้ แถมพวกป้ายวนก็ยังอยู่ เวลาอาหารเย็นน่ะ ก็ควรจะเป็นเวลาที่พ่อแม่ลูกเค้าได้อยู่กันพร้อมหน้าสิ จะไปดึงพลอยมาแบบนั้นได้ยังไง”

“อ้าว และทีวันนี้แม่ยังชวนเค้ามา”

“ย้อนแม่เรอะ เดี๋ยวจะโดน ไอ้เผือก” ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แต่บางครั้งเวลาที่เราสองแม่ลูกทะเลาะกันเล่นๆแบบนี้ แม่มักจะชอบเรียกผมว่าไอ้เผือกทุกครั้ง

“ไม่เป็นไรค่ะ คุณป้า เดี๋ยวพลอยจะลองกลับไปถามพ่อแม่ดู ถ้าไม่ได้ทุกวันก็ไม่เป็นไร แต่พลอยจะพยายามมาให้ได้บ่อยๆค่ะ คุณป้าจะได้ไม่เหงา”

“จะดีเหรอ พลอย ป้าเกรงใจจัง”

“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่มีปัญหาแน่นอน พลอยมั่นใจ”

“งั้นเอาอย่างนี้ดีมั๊ย พรุ่งนี้พลอยชวนพ่อกับแม่มาทานข้าวเย็นกับป้าที่บ้านนะ ถือซะว่าป้าเชิญอย่างเป็นทางการเลยก็แล้วกัน ถือซะว่าเป็นการเลี้ยงขอบคุณที่ช่วยเป็นหูเป็นตาให้บ้านหลังนี้มานาน แล้วก็เลี้ยงเพื่อนบ้านใหม่หน้าเก่าคนนี้อีกสักทีก็แล้วกันนะ”

“ได้ค่ะ แล้วพลอยจะบอกพ่อกับแม่ให้นะคะ”

คืนนั้นหลังจากทานอาหารกันเสร็จ ผมก็เดินกลับไปส่งพลอยที่บ้านซึ่งจริงๆแล้วก็อยู่ห่างจากบ้านของผมไปอีกแค่ไม่กี่หลังเท่านั้นเอง และหลังจากที่ผมกลับมาที่บ้าน แม่ก็เริ่มเปิดประเด็นขึ้นมาทันที

“แม่ว่าพลอยน่าฮักขึ้นจั้ดนักเลยเนอะ นนท์ว่าก่อ”

“ครับ ก่อว่าอั้น”

“แถมยังอุตส่าห์บอกว่าจะหมั่นมาอยู่เป๋นเปื้อนแม่ตวย น่าฮักแต้ๆ”

“ครับ ก่อว่าอั้น” แต่จริงๆ ผมเป็นคนออกปากเองนี่หว่า

“แถมยังเฮียนดีตวยนา หันตะกี้เปิ้นบอกว่าเปิ้นไขอยากเฮียนเภสัชใจ้ก่อ”

“ครับ ก่อว่าอั้น”

“นี่ อู้กำอื่นบ่จ้างแล้วก๊ะ”

“ครับ ก่อว่า........”

“ปอๆๆ แม่บ่คุยตวยละ จะไปไหนก่อไปเลยไป๊”

“โอ๋ๆๆ ล้อเล่นคร้าบแม่” ผมเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆแม่แล้วก็กอดเอวแม่หนับ “แต่นนท์กำลังกึ๊ดอยู่ว่า......แม่อยากฮื้อพลอยมาอยู่เป็นเปื้อนพ่องแต๊ๆ กา”

“หมายความว่าจะไดน่ะ ฮึ”

“เปล่าครับ ก่อประมาณว่า ถ้าสมมตินนท์ได้เปื้อนใหม่แล้วนนท์ปาเปื้อนมาแอ่วบ้าน แม่จะได้บ่เหงาอะหยังจะอี้ แม่จะว่าจะไดพ่องน่ะ”

“เอาไว้เฮาได้เปื้อนดีๆ ถึงขนาดตี้คนอย่างเฮาจะปาเข้าบ้านได้ก่อนเต๊อะก้อยว่ากั๋น” แม่หัวเราะเบาๆ “เมินๆ แม่จะได้หันนนท์ปาเปื้อนมาแอ่วบ้านสักเตื้อ”

“ก่อนะ....... บ่ฮู้นะ แต่นนท์ก่อหวังเหมือนกั๋นว่านนท์จะปะเปื้อนดีๆ เหมือนตอนอยู่ตี้ปู๊น”

“ยะหยังล่ะ ปกติแม่บ่เกยหันนนท์กังวลเรื่องหมู่นี้เลยนี่นา นนท์ออกจะเข้ากับคนได้ง่ายจะต๋าย”

“บ่ฮู้ก่ะครับ นนท์ก่อแค่กั๋วไปปะใส่หมู่ลูกคุณหนูรวยๆ หยิ่งๆ อะหยังจะอั้นน่ะครับ นนท์บ่ชอบ”

“มันก่อต้องมีพ่องล่ะนนท์ แต่บ่ใจ้กู่คนหรอก แม่เจื้อว่านนท์ต้องได้ปะเปื้อนดีๆ ตี้คุยกั๋นถูกคอแน่ๆ”

“ก่อหวังว่าจะเป๋นจะอั้นครับ”

“แม่น่ะบ่ได้อะหยังหรอก ขอแค่นนท์มีความสุขกับชีวิตและทุกๆอย่าง เต้าอั้นก่อปอแล้ว........” แม่ลูบหัวผมเบาๆ “ได้เปื้อนดีๆ แฟนดีๆ เฮียนดีๆ ทำตั๋วดีๆ ในต๋อนนี้กะว่าแหมสามสี่ปี๋นับจากนี้ แม่ก่อหวังอยู่เต้าอี้ล่ะ”

“ครับ ก่อว่าอั้น”

แม่แกะมือผมออกแล้วเอาหมอนอิงมาตีหัวผมเบาๆ “ดักปากเลย ไอ้เผือก”

“นี่ถามแต้ๆ เต๊อะแม่ เมื่อใดแม่จะยอมบอกนนท์สักกำว่า ‘ไอ้เผือก’ เนี่ย มันมีตี้มาจากไหนกั๋นแน่”

“ไขฮู้แต้ๆ กา”

“ครับ ก่อ.......” ผมหุบปากของตัวเองทันก่อนที่จะเผลอกวนตีนแม่ออกไปอีกหน และเปลี่ยนคำพูดใหม่แทน “ก่อไขฮู้มาตั้งเมินละนิ”

“จะอั้นเอาไว้ปาแฟนดีๆ เข้าบ้านได้สักคนก่อนแล้วแม่จะยอมบอก”

“โห แม่ โคตรขี้โก๋งเลย”

แม่หันมายิ้มเจ้าเล่ห์ให้ผม “ค่ะ ก่อว่าอั้น”

................................


นี่ อู้กำอื่นบ่จ้างแล้วก๊ะ = นี่ พูดคำอื่นไม่เป็นแล้วรึไง / เมินๆ = นานๆ / กู่คน = ทุกคน
ดักปาก = หุบปาก / ไขฮู้ = อยากรู้ / ตั้งเมิน = ตั้งนาน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2009 13:32:55 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
A 2


ผมโยนกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ที่บรรจุทั้งหนังสือเรียน ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว และชุดนักเรียนใหม่รวมถึงเสื้อผ้าอื่นๆอีกไว้ข้างหลังรถ และเข้าไปนั่งรอแม่คุยโทรศัพท์อยู่ในรถ

“อะไร ทำหน้าแบบนั้นทำไม” แม่ถามขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของผม

“เปล่า ไม่มีอะไร”

“ดี แต่บอกไว้ก่อนว่าแม่ไม่ง้อนะ และถ้าไม่เลิกเปลี่ยนจากหน้าตูดแบบนั้นกลับมาเป็นหน้ามนุษย์ดีๆเร็วๆล่ะก็ อดได้ค่าขนมไม่รู้ด้วย”

ผมเลยรีบดึงหน้ากลับมายิ้มแฉ่งใส่แม่ทันที

“ดี ว่าง่ายๆ เอาล่ะ จะไปกันรึยัง”

“ครับ ไปเลยก็ได้”

แม่ขับรถพาเราสองคนวิ่งออกถนนรอบนอกมุ่งหน้าไปยังโรงเรียนใหม่ของผม ถึงจะเป็นเส้นทางที่อ้อมกว่าปกตินิดหน่อย แต่มันก็พาเรามาถึงที่หมายได้ไวกว่าที่ผมคาดไว้มาก เมื่อมาถึงโรงเรียน แม่ก็หยิบมือถือออกมาโทรหาใครคนหนึ่งและผมจับใจความได้ว่าเขาคนนั้นก็คงเป็นเลขาฯคนที่พาพวกเราชมหอเมื่อวานนี้นี่เอง

คราวนี้แม่ขับรถพาเราไปจอดอยู่ที่บริเวณหน้าหอพักเลย และในโรงเรียนวันนี้ ถึงจะยังเพิ่งแปดโมงกว่าๆ แต่ก็เริ่มมีเด็กๆรวมทั้งผู้ปกครองอีกหลายคนเดินกันอยู่ขวักไขว่แล้วด้วยเหมือนกัน ซึ่งพวกเขาก็คงจะมาส่งลูกหลานของตัวเองเพื่อเตรียมตัวเรียนในวันพรุ่งนี้นั่นเอง

“สวัสดีค่ะ ขอโทษนะคะที่ต้องรบกวนในวันอาทิตย์แบบนี้” แม่ของผมเดินตรงเข้าไปทักทายคุณเลขาฯที่ยืนรอเราอยู่แล้วที่หน้าทางเข้าหอพัก

“ไม่เป็นไรค่ะ มันเป็นหน้าที่อยู่แล้ว เชิญทางนี้เลยค่ะ”

เราสองคนเดินตามเขาขึ้นไปในตัวตึกและนั่งรออยู่ที่ห้องโถงในขณะที่เขาเดินไปใช้โทรศัพท์สายในโทรขึ้นไปข้างบน ผมเห็นเลขาฯคุยกับทางปลายสายอยู่สามสี่คำ จากนั้นก็วางสายและเดินตรงกลับเข้ามาหาพวกเราอีกครั้ง

“เดี๋ยวจะมีเด็กคนนึงลงมารับนักเรียนขึ้นไปบนห้องนะคะ ส่วนคุณแม่ต้องรบกวนช่วยเซ็นต์เอกสารอีกสองสามแผ่นทางด้านนั้นด้วยค่ะ”

“แล้วเค้าเป็นใครเหรอครับ” ผมถาม

“เค้าคือเพื่อนของนักเรียนนั่นล่ะค่ะ เพราะว่าต่อไปทั้งสองคนจะได้เรียนอยู่ห้องเดียวกันด้วย ครูก็เลยจัดให้เขาเป็นรูมเมทของเราชั่วคราวไงคะ”

“อ่ออ แล้วเขาไม่ว่าอะไรเหรอครับ ที่จู่ๆผมก็ต้องไปนอนกับเขาแบบนี้”

“ไม่หรอกค่ะ เพราะมันเป็นสัญญาและกฏระเบียบของเราอยู่แล้ว”

ผมนิ่วหน้าเล็กน้อยเพราะไม่เข้าใจว่ากฏระเบียบและสัญญาที่ว่านั้นมันหมายถึงยังไง แต่ยังไม่ทันที่ผมจะอ้าปากถามอะไรต่อ แม่ของผมก็ชิงตัดหน้าถามถึงรายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับการทำสัญญาแบบชั่วคราวครั้งนี้ก่อนซะแล้ว

ผมนั่งมองไปรอบๆและเห็นเด็กสามสี่คนมองมาที่ผมด้วยสายตาเป็นเชิงคำถาม ซึ่งผมเองก็ไม่ค่อยชอบบรรยากาศแบบนี้เท่าไหร่เลยด้วยเหมือนกัน บรรยากาศที่ผมเต้องกลายมาป็นเด็กใหม่และไม่รู้เรื่องรู้ราวหรือไม่รู้จักใครเลยแม้แต่น้อยแบบนี้ โดยเฉพาะเมื่อผมคิดว่าผมจะต้องนอนอยู่กับใครก็ไม่รู้ นิสัยยังไงก็ไม่รู้ หน้าตายังไงก็ไม่รู้ และจะเข้ากับผมได้มากน้อยแค่ไหนรึเปล่าก็ไม่รู้แบบนี้ด้วยแล้ว ผมก็ยิ่งรู้สึกกังวลมากขึ้นเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว

ผมหันไปมองทางประตูลิฟต์ที่กำลังเปิดออกหลังส่งเสียงดังติ๊ง คนสองสามคนเดินออกมาและตรงไปยังประตูทางออกไปนอกอาคาร และบางคนที่กำลังยืนรอลิฟต์อยู่ก็เดินเข้าไปข้างใน แต่มีอยู่แค่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่เดินตรงเข้ามาทางทิศที่ผมกำลังนั่งอยู่

“หวัดดีครับอาจารย์นิต” เด็กผู้ชายคนที่เดินตรงเข้ามายกมือขึ้นไหว้คุณเลขาฯ ซึ่งตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเธอคนนี้ก็มีชื่อกับเขาเหมือนกัน

“อ้าว มาแล้วเหรอณัฐวุฒิ”

“ครับ” เขาตอบรับ จากนั้นก็หันมายกมือไหว้แม่ผมด้วยครั้งหนึ่ง

“นี่แหละค่ะ ณัฐวุฒิ ส่วนนี่ เพื่อนใหม่ของเราชื่อนนท์ จะมาพักอยู่กับเราแค่ประมาณหนึ่งอาทิตย์ และหลังจากนั้นก็จะกลับไปนอนบ้านของเค้าเหมือนเดิม แต่ว่านับแต่นี้ไปเขาจะมาเรียนอยู่ห้องเดียวกับเราด้วยนะ ก็อย่างที่ครูโทรไปบอกเราเมื่อวานนั่นแหละ”

ผมเงยหน้าขึ้นมองนายณัฐวุฒิ คนที่จะต้องกลายมาเป็นรูมเมทและเพื่อนร่วมชั้นของผมต่อไป แล้วก็สามารถตัดประเด็นกลัวที่จะมีรูมเมทหน้าตาเหมือนปลาร้าค้างคืนทิ้งไปได้เลย เพราะเท่าที่มองดูและประเมิณด้วยสายตา นอกจากว่าเขาจะสูงพอๆกับผม หรืออาจจะสูงกว่าด้วยซ้ำแล้ว เขายังหน้าตาดีมากอีกด้วย และผมเองก็นับว่าค่อนข้างสูงในระดับมัธยมต้นแล้วเหมือนกัน นอกจากนั้นเขาคนนี้ยังดูหุ่นตันๆเหมือนคนเล่นกีฬาที่ออกเจ้าเนื้อนิดๆ แต่ว่าก็ดูคมเข้มและมีความน่ารักอยู่ในขณะเดียวกันด้วย ซึ่งนั่นก็คงเป็นเพราะดวงตากลมใสเป็นประกายของเขานั่นเอง แต่เมื่อดูจากท่าทางและสีหน้าของเขาแล้ว ผมก็รู้สึกได้ทันทีว่าท่าทางเขาคงจะเพิ่งตื่นนอนได้เมื่อไม่นานนี้เองด้วยซ้ำไป เพราะนอกจากทั้งๆในชุดเสื้อยืดสีขาวกางเกงขาสั้นที่ดูยังไงๆก็ชุดนอนชัดๆชุดนี้แล้ว เขายังมีหน้าตาเหมือนคนกำลังสลึมสะลืออยู่นิดหน่อยอีกด้วย

“เอาล่ะ งั้นเธอพาเพื่อนเอาของขึ้นไปเก็บก่อนเลยก็ได้ เสร็จแล้วค่อยลงมาพบกับครูที่นี่อีกทีก็แล้วกัน”

“ได้ครับ” ณัฐวุฒิตอบรับ จากนั้นก็หันมาหาผม “มีอะไรให้เราช่วยถือมั๊ย”

“อ๋อ ไม่เป็นไร มีแค่กระเป๋าใบนี้ใบเดียวเอง” ผมลุกขึ้นยืนและดึงหูลากกระเป๋าขึ้น

“ท่าทางจะหนักนะนั่น ให้ช่วยมั๊ย”

“ไม่เป็นไร ไม่หนักหรอก มันมีล้อ ลากเอาก็นิดเดียว”

“ถ้างั้นก็โอเค งั้นทางนี้เลย” ณัฐวุฒิยิ้มและเดินนำผมไปยังหน้าลิฟต์จากนั้นก็กดปุ่มขึ้น “เราชื่อนัทนะ นายจะย้ายมาใหม่ตั้งแต่พรุ่งนี้ใช่มั๊ย”

“อืม ใช่”

“นายชื่อนนท์ใช่มั๊ย”

“ใช่ จำได้ด้วยเหรอ”

“ได้ดิ่ เพิ่งได้ยินแค่ไม่ถึงห้านาที ขืนลืมก็แย่แล้ว” เสียงลิฟต์ร้องดังติ๊ง และประตูลิฟต์หนึ่งในสามตัวนั้นก็เปิดออก เราสองคนจึงก้าวเข้าไปอยู่ด้านใน ผมเห็นนัทกดปุ่มที่ชั้น 12 “ว่าแต่ทำไมถึงอยู่แค่อาทิตย์เดียวล่ะ”

“ก็นั่นน่ะสิ” ผมพยักหน้า “คือแม่เราเค้าบอกว่าเพื่อที่เราจะได้ชินกับเพื่อนและสถานที่น่ะ แต่เราว่าไม่เห็นจำเป็นเลย นี่กลายเป็นนายอยู่คนเดียวของนายดีๆแล้วก็ต้องมาแชร์ห้องกับเราซะแบบนี้”

“เฮ้ย ไม่เป็นไรหรอก มันอยู่ในสัญญาอยู่แล้วด้วยน่ะว่า ถ้าเกิดเราอยากนอนคนเดียวก็ได้ถ้าห้องเหลือ แต่ถ้าหากว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ทางโรงเรียนจำเป็นต้องจัดรูมเมทเข้ามาอยู่กับเราขึ้นมาล่ะก็ เราไม่มีสิทธิ์ออกความเห็น” นัทหัวเราะ

“เฮ้ย ขอโทษจริงๆ เราทำนายลำบากเปล่าวะเนี่ย”

ประตูลิฟต์เปิดออกที่ชั้น 12 จากนั้นนัทก็ก้าวออกจากลิฟต์และยื่นขามากั้นประตูไว้รอให้ผมเดินออกมาก่อน “ไม่เลยแม้แต่นิดเดียว อย่าคิดมากน่า มาเถอะ ห้องเราอยู่ทางฝั่งนั้น”

นัทเดินพาผมไปทางฝั่งปีกขวาของตึกและหยุดอยู่ที่หน้าห้องหมายเลข 1224a จากนั้นเขาก็เปิดประตูเข้าไปโดยไม่ได้ไขกุญแจ ลมเย็นๆจากเครื่องปรับอากาศพัดเข้าปะทะผิวกายของผมทันที ภายในห้องนั้นก็ดูเหมือนกับห้องที่ผมเห็นเมื่อวานนี้แทบทุกอย่าง เว้นก็แต่บนโต๊ะหนังสือตัวหนึ่งจะมีหนังสือกองระเกะระกะอยู่เล็กน้อย และนอกจากนั้นก็มีสเตอริโอขนาดเล็กวางอยู่บนชั้นวางทีวีขนาดเล็กอยู่อีกตัว และมีตู้วางหนังสือสูงประมาณอกอยู่อีกตู้หนึ่งด้วย

“นายวางกระเป๋าไว้แถวๆนั้นก่อนก็ได้” นัทชี้ไปยังเตียงที่ยังว่างอยู่ “ว่าแต่นายเอาผ้าปูที่นอนอะไรพวกนี้มารึเปล่าเนี่ย”

“อึ๊ เปล่าอ่ะ ต้องเอามาด้วยรึ เราไม่รู้เรื่องเลย”

“อ้าว จารย์นิตไม่ได้บอกนายเหรอ”

“เหอออ ไม่รู้ว่ะ คือเราไม่ได้ฟังอะไรเลยเมื่อวาน มัวแต่อึ้งๆงงๆอยู่ ไม่รู้ว่าแม่เรารู้รึเปล่านะ”

“เอางี้ เราลงไปข้างล่างกันก่อนเถอะ เดี๋ยวพวกแม่นายจะรอนาน แล้วค่อยว่ากันอีกที”

ผมพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นเราสองคนก็เดินออกจากห้องกลับลงไปยังชั้นหนึ่งอีกครั้ง คราวนี้อาจารย์นิตยื่นกุญแจห้องหมายเลข 1224a ให้แก่ผมสองดอกและกำชับให้ผมรักษามันไว้เป็นอย่างดี ส่วนกฏระเบียบอื่นๆเกี่ยวกับการอาศัยอยู่ที่หอก็ให้ผมไปคุยกับนัทดูเอาเองเพราะผมเองก็จะมาพักที่นี่อยู่แค่เพียงอาทิตย์เดียวเท่านั้น และสำหรับหนังสือเรียนก็จะมีคนเอามาส่งให้ผมที่ห้องเรียนในตอนเช้าของวันจันทร์ก่อนเริ่มคาบเรียน ส่วนแม่ก็ออกปากขอโทษที่ลืมคิดถึงเรื่องที่นอนของผมไปเสียสนิท แต่ก็รับปากว่าจะรีบออกไปซื้อให้และจะรีบกลับมาหาผมอีกครั้งในตอนบ่าย

“เอาล่ะ แม่ไปแล้วนะ ดูแลตัวเองด้วยล่ะ” แม่กอดผมแน่นจนผมหายใจไม่ออก

“เบาๆน่าแม่ อายเค้า ว่าแต่แม่เถอะ อยู่ได้แน่นะคนเดียวน่ะ”

“สบายมากน่า เรานั่นแหละ อย่าติดเพื่อนจนลืมโทรหาแม่ก็แล้วกัน”

“เดี๋ยวตอนบ่ายก็กลับมาแล้วไม่ใช่รึไง ไปๆรีบๆไปได้แล้ว และอย่ามัวเถลไถลล่ะ”

“ย่ะ ไอ้เผือก” แม่หยิกแก้มผมเบาๆ ก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับอาจารย์นิตเลขาฯของผู้อำนวยการโรงเรียน

“แม่นายน่ารักดีนะ” นัทพูดพลางหัวเราะเบาๆ

“อื้ออ” ผมตอบยิ้มๆ จากนั้นเราก็เดินกลับไปยังหน้าลิฟต์อีกครั้ง “ว่าแต่นายเพิ่งตื่นใช่มั๊ยเนี่ย เราโคตรเกรงใจเลย”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราก็ว่าจะขึ้นไปนอนเล่นต่ออีกหน่อยอยู่ดีแหละ” นัทอ้าปากหาวพลางบิดขี้เกียจ “แต่จริงๆวันนี้วันอาทิตย์ก็น่าไปเดินเล่นรึหาอะไรกินที่สวนกลางเหมือนกันนะ ไว้บ่ายๆเย็นๆไปด้วยกันมั๊ย”

“ก็ได้ เราจะว่าไงได้ล่ะ ก็นายคือเพื่อนคนแรกและคนเดียวของเราที่นี่นี่นา จะพาไปตกนรกขึ้นสวรรค์ที่ไหนเราก็ไปหมดอยู่แล้ว”

นัทหัวเราะเบาๆพลางเดินเข้าไปในลิฟต์ที่เพิ่งเปิดประตูออก “พูดแบบนั้นมันก็เกินไป แต่เดี๋ยวไงเราก็จะพานายไปเดินดูโรงเรียนแน่ๆล่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง”

เมื่อกลับมาถึงห้อง ผมก็จัดการรื้อของของตัวเองจัดเข้าตู้เสื้อผ้าทันที ส่วนนัทก็เดินไปทิ้งตัวฟุบลงบนเตียงของตัวเองทันทีเช่นกัน เขานอนคว่ำแต่ยังคงตะแคงหน้าหันมามองผมที่กำลังรื้อเสื้อผ้าแค่ไม่กี่ตัวออกจากกระเป๋าเข้าตู้ไปด้วย

“เราขอไม่ช่วยนะ เราคิดว่ามันเป็นของส่วนตัวของนายน่ะ เลยไม่อยากยุ่ง”

“อืม ไม่เป็นไร ดีแล้วล่ะ ขอบใจมาก”

“ของส่วนตัวอื่นๆที่จะใช้ในห้องน้ำก็เอาไปกองๆวางๆไว้ตรงที่ว่างๆได้เลยนะ”

“โอเค” ผมรับคำ จากนั้นก็ลงมือจัดของของตัวเองต่อ ส่วนนัทเองก็เงียบไปเลยเหมือนกันจนผมคิดว่าเขาคงจะหลับไปแล้ว แต่เมื่อผมเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับเอาของชิ้นสุดท้ายในกระเป๋าไปเก็บเสร็จ ผมก็เห็นเขานอนลืมตามองผมอยู่พร้อมรอยยิ้ม

“เสร็จแล้วเหรอ”

“อืม แล้วนายไม่นอนเหรอ เราทำเสียงดังรบกวนรึเปล่าเนี่ย” ผมนั่งลงบนเก้าอี้ตรงโต๊ะอ่านหนังสือ

“เปล่าหรอก ก็แค่อยากนอนมองนายเดินไปเดินมาน่ะ ตลกดี” นัทหัวเราะ “และอีกอย่าง เราก็เป็นคนค่อนข้างตื่นเช้าอยู่แล้วน่ะ หรือถ้าตื่นแล้วจะตื่นเลย ถึงอยากจะนอนต่อก็นอนไม่ค่อยหลับหรอก ว่าแต่นายเถอะ ง่วงรึเปล่า”

“ก็ไม่หรอก” ผมโกหก เพราะจริงๆแล้วเมื่อคืนผมเองก็รู้สึกกังวลนิดหน่อยจนกว่าจะหลับลงได้ก็ดึกโขอยู่เหมือนกัน

“มานั่งที่เตียงเราก่อนก็ได้ นั่งตรงนั้นมันหนาวนะ”

“ไม่เป็นไรๆ เราไม่อยากรบกวนนายหรอก”

“มาน่า เร็วเข้า” นัทเขยิบตัวเว้นที่ให้ผมเข้าไปนั่งข้างๆได้ “ซุกตัวเข้ามาเลยก็ได้ เราเป็นคนขี้ร้อนน่ะ ก็เลยชอบเปิดแอร์แรงๆหน่อย”

เมื่อเห็นคนหน้าตาดีอย่างนัทชวนซะขนาดนั้น เอ๊ยไม่ใช่ เมื่อเห็นนัทยืนกรานแบบนั้น ผมจึงตัดสินใจเดินไปนั่งลงข้างๆนัทและสอดตัวลงไปใต้ผ้าห่มข้างๆเขา

ผ้าห่มของนัทหนาและใหญ่พอสำหรับเราสองคนอย่างสบายๆจนทำให้ผมสงสัยว่าจริงๆแล้วเขาสูงเท่าไหร่กันแน่

“เราสูงร้อยเจ็ดสิบห้าน่ะ ทำไมเหรอ” นัทตอบ

“เปล่าหรอก เราก็แค่รู้สึกว่านัทตัวพอๆกับเราเลยก็เลยถามดูเท่านั้นเอง แล้วว่าแต่นายเป็นนักกีฬาอะไรรึเปล่าน่ะ”

“หึ เปล่าหรอก แค่เล่นเฉยๆน่ะ แต่ไม่ได้ลงแข่งหรอก ขี้เกียจน่ะ แล้วนนท์ล่ะ”

“ก็เคยเล่นนั่นนี่นิดๆหน่อยๆน่ะ” ผมตอบ

“มิน่าล่ะ ถึงได้สูง เล่นบาสด้วยรึเปล่า”

“เล่นๆ ก็ปกติก็เล่นบาสบ่อยที่สุดแหละ”

“ดีเลย เพราะเพื่อนๆเราหลายคนก็เล่นบาสกัน”

ผมกับนัทนอนคุยกันต่ออีกสักพักหนึ่งเป็นการทำความรู้จักกัน และมันก็ทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นมากที่เห็นว่าเขาเป็นคนดีและนิสัยใช้ได้เลยทีเดียว นัทดูเป็นคนที่ค่อนข้างนิ่งๆ แต่ก็มีอารมณ์ขันอยู่ในตัวค่อนข้างมาก และที่สำคัญ เขามีอัธยาศัยที่ดีมากเลยด้วย ดูเขาไม่รังเกียจหรือไว้ท่ากับคนแปลกหน้าอย่างผมเลยแม้แต่น้อย

เราสองคนคุยกันจนเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ได้ แต่ทว่าผมมารู้สึกตัวอีกครั้งก็เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้องดังรัวขึ้น ผมลืมตาขึ้นด้วยความมึนงงแล้วก็ต้องรู้สึกตกใจที่พบว่าตัวเองเผลอผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ และที่สำคัญ นัทเองก็ไม่ได้กำลังนอนอยู่บนเตียงข้างๆผมอีกแล้วด้วย

‘ชิบหาย นี่กูหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่วะเนี่ย’ ผมนึกในใจ ‘แถมยังหลับบนเตียงเดียวกับคนแปลกหน้าอีกต่างหาก’

เสียงเคาะประตูดังรัวขึ้นอีกครั้ง ผมกวาดตามองไปรอบๆห้องก็ได้ยินเสียงน้ำจากฝักบัวกำลังไหลอยู่ในห้องน้ำ นัทคงจะกำลังอาบน้ำอยู่นั่นเอง และเสียงของน้ำจากฝักบัวก็คงจะดังกลบเสียงเคาะประตูไปจนหมดจนทำให้เขาไม่ได้ยินด้วย ผมจึงตัดสินใจลุกเดินออกจากแล้วเตียงตรงไปเปิดประตูห้องด้วยตัวเอง

เมื่อประตูห้องถูกเปิดออก ผู้ชายที่กำลังเงื้อแขนจะเคาะประตูต่ออีกครั้งก็ต้องหยุดในท่าค้างและมองผมด้วยความประหลาดใจ

“อ้าว เฮ้ย” เขาผงะออกไปสองสามก้าวเพื่อมองไปยังหมายเลขห้องบนประตูอีกครั้ง “เอ๊ะ ก็ถูกห้องนี่หว่า เอ่อ ไอ้นัทอยู่รึเปล่าครับ”

“กำลังอาบน้ำอยู่น่ะครับ” ผมตอบพลางมองใบหน้าของเด็กหนุ่มร่างเล็กคนนี้ไปด้วยความรู้สึกคุ้นหน้าอย่างบอกไม่ถูก แต่จะว่าเขาตัวเล็กก็คงไม่ค่อยถูกนักหรอก เพราะเขาเองก็น่าจะอายุเท่าๆกับผมเท่านั้นเอง และเท่าที่ดูด้วยตา ด้วยส่วนสูงเกือบๆร้อยเจ็ดสิบของเขาบวกกับกล้ามเนื้อที่เขามีนี้มันก็ทำให้เขาดูสมส่วนสมวัยดีอยู่แล้ว “เข้ามาก่อนสิ”

ผมถอยห่างออกจากประตูให้เขาเดินเข้ามาซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่นัทเปิดประตูห้องน้ำออกมาพอดี

“อ้าว ไอ้เหี้ยป๊อป”

“ไอ้เชี่ยถั่ว วัดซะเหมียนน”

“เหมียนพ่อมึงสิ ไอ้เตี้ย”

“คะรวย สัสส มาถึงก็ด่ากูเลยนะ”

“มึงนั่นแหละที่เพิ่งมาถึงก็พูดจาไม่รู้เรื่อง กูก็อยู่ของกูดีๆ” นัทปิดประตูห้องน้ำ “แล้วมึงมีอะไร”

“แนะนำก่อนเด่ะ มึงแนะนำแฟนมึงก่อน”

“ทะลึ่งน่า ไอ้ป๊อป!”

ผมยืนมองทั้งสองคนด้วยความงง จนกระทั่งนัทที่นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวออกมาจากห้องน้ำเดินมาหยุดอยู่ที่หน้ากระจก “โทษทีนนท์ นี่เพื่อนเราเอง ไอ้ป๊อป อยู่ห้องเดียวกับเรานี่แหละ ไอ้ป๊อป นี่นนท์ เด็กใหม่ที่จะย้ายมาเรียนกับพวกเราตั้งแต่พรุ่งนี้”

“อ้าว สาด กูก็นึกว่าแฟนมึง ไอ้เชี่ยถั่ว” ป๊อปพูด จากนั้นก็หันมาชูมือขึ้นทักผม “วัดซะเหมียนน นนท์”

“พูดภาษาคนสิ ไอ้ควาย” นัทพูด

“เอ่ออ หวัดดี” ผมพยักหน้าเบาๆเป็นเชิงทักทาย

“หวัดดีๆ” ป๊อปพูด จากนั้นก็หันกลับไปหานัทที่กำลังยืนเอาผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดหัวอยู่ “กูกะจะมาชวนมึงไปกินข้าวเที่ยงว่ะ ไอ้นัท”

“ที่ไหน”

“โรงอาหารมอต้น”

“แล้วเมียมึงล่ะ”

“มึงรู้ได้ไงว่ามันไม่ใช่ผัวกู”

“แล้วผัวมึงล่ะ”

“มึงรู้ได้ไงว่ากูจะยอมให้มันเอากู”

“โอ๊ย ไอ้เหี้ย ต่อปากต่อคำ เออๆ แล้วไอ้ตี๋เล็กล่ะ”

“กลับมาตอนบ่ายๆน่ะ แล้วที่สำคัญ มันเป็นเพื่อนกูว้อย ไอ้ห่านี่ เดี๋ยวนนท์ก็เข้าใจผิดพอดี กูอ่ะชายทั้งลำแท่งนะเว้ย”

ช้าไปแล้วว่ะ กูทั้งงงและมึนไปเรียบร้อยแล้ว........

“เออ ไอ้แท่งกูก็ผู้ชายทั้งลำเหมือนกัน” นัทพูดหน้าตาเฉย “ว่าแต่นี่กี่โมงแล้ววะ”

“สิบเอ็ดโมงสิบห้า”

“เออๆ งั้นมึงกลับห้องไปก่อน เดี๋ยวกูเดินไปหา ขอเวลาแต่งตัวแป๊บ”

“เออ งั้นเดี๋ยวเจอกัน” ป๊อปยกมือขึ้นโบกเบาๆให้กับผมในขณะที่กำลังเดินตามเขาไปที่หน้าประตูห้องโดยมีนัทเดินตามหลังเราสองคนไปด้วย “ไปแล้วนนท์ โซลอง”

“ลองกะแม่มึงสิ ไป๊” นัทปิดประตูตามหลังป๊อปทันทีที่เขาเดินออกจากห้องไป จากนั้นเขาก็หันมาหาผม “โทษทีนนท์ งงกะมันมั๊ย อย่าไปสนใจมันเลย ไอ้เหี้ยนี่มันบ้าๆบอๆน่ะ”

ผมพยักหน้า “ตกลงเดี๋ยวจะยังไงล่ะเนี่ย”

“เดี๋ยวนนท์ไปกินข้าวกับเราแล้วก็ไอ้ป๊อปก็แล้วกัน ไอ้ป๊อปกับไอ้ตี๋มันก็เรียนอยู่ห้องเดียวกับพวกเราเหมือนกัน ดีแล้วล่ะเนอะจะได้รู้จักกันไว้ก่อน แล้วพอบ่ายๆนนท์ก็คงได้เจอไอ้ตี๋แล้วล่ะ”

หลังจากที่นัทแต่งตัวเสร็จ เราสองคนก็ลงลิฟต์ไปยังชั้นสิบ จากนั้นนัทก็เคาะลงบนห้องหมายเลข 1018a

“มาหาใคร” เสียงของป๊อปดังขึ้น

“แล้วมึงนัดใครไว้”

“กระบือ”

“ไอ้ควาย”

“นกเอี้ยง”

“โว้ยย เปิด ไอ้เชี่ยป๊อป” นัทตอบกลับไป

“เปิดไม่ได้ ประตูล็อก”

“กูไม่มีกุญแจ”

“แต่กูมี”

“งั้นก็เอามา”

หลังจากนั้นกุญแจห้องก็ถูกสอดลอดผ่านช่องใต้ประตูออกมา นัทก้มลงเก็บมันขึ้นมามองดูแล้วก็สบถคำด่าออกมาเบาๆก่อนจะสอดมันกลับไปข้างใต้ประตูเหมือนเดิม

“ไอ้สัตว์ป๊อป นี่มันกุญแจตู้!”

“อ้าวเหรอ” ป๊อปเปิดประตูห้องออกมาแล้วก็ยื่นกุญแจห้องให้กับนัท “อ่ะนี่” จากนั้นเขาก็ปิดประตูห้องลงอีกครั้งตามด้วยเสียงล็อกประตูดังแกร๊ก

นัทใช้กุญแจที่ได้มาจากป๊อปไขเปิดประตูเข้าไป แล้วก็ปากุญแจใส่ป๊อปที่นอนอยู่บนเตียง “มึงนี่อาการหนักนะ ไอ้ป๊อป”

“วัดซะเหมียน นนท์ วัดซ......”

“จะไปรึยัง กูหิวแล้ว” นัทรีบตัดบท

“อะเคร งั้นไปกันเลย พรรคเพียก” ป๊อปลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของผมกับนัท

“มึงจะไปชุดนี้เนี่ยนะ ไอ้เตี้ย” นัทชี้ไปที่กางเกงบ๊อกเซอร์สีน้ำเงินเป้าขาดเป็นรูขนาดราวๆเหรียญบาทที่ป๊อปใส่อยู่

“โอว ลืมไปเลยนะเนี่ย” ป๊อปพยักหน้าแล้วเดินไปหยิบกางเกงขาสั้นที่พาดอยู่บนเก้าอี้มาสวมทับลงไป “อะเคร พร้อมลุย”

“ว่าแต่มึงอาบน้ำรึยัง นี่มันบ๊อกเซอร์ตัวเดียวกับที่มึงใส่นอนเมื่อคืนนี่หว่า”

“อาบแล้วเด่ะ แต่เมื่อเช้ากูโดดซ้อมวิ่งว่ะ แม่งขี้เกียจชิบ ไว้ตอนเย็นค่อยชดเชยอีกที”

นัทพยักหน้า “เออ นี่กูพานนท์ไปด้วยนะ จะได้พามารู้จักมึงแล้วก็พาเดินให้รู้จักโรงเรียนเรานิดหน่อยด้วย”

“ก็ถ้ามึงไม่พาไปก็เหี้ยละล่ะ” ป๊อปหันมายิ้มให้ผม “ไปกันเหอะนนท์” จากนั้นเขาก็เดินผ่านผมกับนัทไปยังประตูห้อง

“แล้วมึงจะไม่ปิดแอร์กับหยิบกุญแจไปด้วยเรอะ ไอ่ป๊อป” นัทท้วง

“โอ้วว ลืมไปเลยนะเนี่ยย” ป๊อปหัวเราะแล้วเดินกลับมาปิดแอร์และคว้ากุญแจห้องใส่กระเป๋ากางเกง จากนั้นก็เดินผ่านพวกเราไปยังหน้าประตูห้องอีกครั้ง “ป๊อปพร้อมแล้วครับ เพื่อนๆ ไปกันเถอะ” เมื่อพูดจบ เขาก็กดล็อกประตู เดินออกจากห้อง แล้วก็ปิดประตูลงทั้งๆที่ผมกับนัทยังคงยืนอยู่ข้างใน

นัทส่ายหน้าเบาๆแล้วหันมาพูดกับผม “เราบอกแล้วไง ว่าไอ้เหี้ยนี่มันบ้า”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2009 12:06:22 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
สามตอนแล้ว และเดี๋ยวเอาไว้จะมาทยอยต่อให้นะครับ

 :call:


ออฟไลน์ kunkai

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3734
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +229/-2

mantdash

  • บุคคลทั่วไป
+1 ให้ครับ ด้วยความรักเด็กครับ 5555+

อดจิ้มคุณคนแต่งเลย

ว่าแต่วัดซะเหมียนกับโซลองมันคืออะไรอะครับ

อ่านแล้วแอบงงแหะ  :z3:

นิสัยของตัวเอกยังไม่ค่อยชัดเจนเลยแหะผ่านไป 3 ตอน อิอิ เก็บงำจริงๆ รออ่านตอนต่อไป  :impress2:

zeazaiz

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ krappom

  • 人は誰でもそれぞれに悩みを抱えて生きる
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-23

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ลืมบอก ตัวเอก 8 คนเป็นอย่างต่ำครับ
555555
ได้แยกแยะกันมันส์แน่



ว่าแต่วัดซะเหมียนกับโซลองมันคืออะไรอะครับ

อ่านแล้วแอบงงแหะ  :z3:


วันสะเหมียน = ว๊อสซับแหม๋น
โซลอง = ลาก่อน

55555

เด๋วมีคำเมืองอีก ได้มันส์กันแน่ๆ

 :z1:


มาเจิมเรื่องใหม่ให้คุณน้อง

 :mc4:



 :haun4:


dengerous

  • บุคคลทั่วไป
เป็นการกลับมาที่ยาวโลด


จะตามอ่านเน้อ

จิ้ม

mantdash

  • บุคคลทั่วไป
เห็นชื่อคุณคนแต่งนึกว่ามาต่อ :z1:

ว่าแต่ยังแอบงงจริงนะว่า

โซลองมันลาก่อนยังไงอ้ะ :laugh:

ออฟไลน์ ronlbb

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
อยากจะพูดว่าป๊อปบ้าหรือประสาทกันแน่ฟร้ะ :z3:

blackberry2214

  • บุคคลทั่วไป
แอ้ก!

ทนความยั่วยวน (เอ่อ - -*)

ของนิยายไม่ไหว


ต้องเข้ามาโพสต์ก่อน


ฉลองเรื่องใหม่ให้พี่ชาย


5555+



แต่กรูยังสอบไม่เสดเลยเว้ยยยยยยยย


ว่าแล้วก้เดินจากไป


เด๋วอีกอาทิตย์นึงมาอ่านนะพี่ต้น



^________________^

imageriz

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ [N]€ẃÿ{k}uñĢ

  • ~ῲเจ้าแม่Dramaῴ~
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +740/-5
 :z13:
จิ้มพี่อิม อิๆ
มาเจิมเรื่องใหม่ของพี่ต้นด้วยคนนะ
 :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:
+1 ให้เลย บอกตรงๆว่าชอบมาก
การใช้ภาษจัดอยู่ในเกณฑ์ดีมาก การบรรยายชัดเจนดูพอเหมาะพอดี
ตัวละครแต่ละตัวดูมีภูมิหลังที่น่าติดและน่าสนใจมาก
นิว คิดเองนะว่า ไม่อยากให้ นนท์กลับบ้านเลยอะอยู่หอดูจะมีสีสันกับชีวิตมากกว่า
แถมเพื่อนแต่ละคนที่โผล่มาใน2ตอนแรกก็ดูเป็นมิตรดี แถมท่าทางจะได้อยู่กลุ่มเดียวกันด้วย
ส่วนเรื่องข้อห้ามไปยังส่วนของตึกมอปลายก็น่าสนใจ และเป็นไปได้ว่าการลองของ หรือ การเชิญชวนดูจะเกิดขึ้นแน่คงไม่นานเกินรอ ชอบๆๆๆๆ
เด่วจะดิ้นรออ่านต่อเพราะคิดว่าพี่ต้นคงเขียนตุนไว้เยอะนะเนี่ยเท่าทานดูแล้วคำผิดมีน้อยมากๆ
อาจจะมีอยู่นิดหน่อยเท่านั้นดังนั้นวันนี้จะรออ่านต่อชัว
 :z2: :z2: :z2: :z2:

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
มาอ่านเรื่องใหม่ของต้น  เด็กหนุ่มๆ น่ารักกันทั้งน้านเลยนะจ๊ะ  แถมมีให้เลือกตั้ง 8 คนแน่ะ

ถูกใจมากเลย  :really2:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
มาเจิมเรื่องใหม่ก่อน  :mc4: เดี๋ยวตามอ่านจ้า
เรื่องนี้เด็กๆเยอะดิ  :z1:

ออฟไลน์ -~iK@iZ_KunG~-

  • Tomorrow Never Die!!!
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2231
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-2


มาอ่านเรื่องใหม่


สนุกดีครับ


รออ่านตอนต่อไปค้าบบบบ



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ IZE

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4601
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-3

ออฟไลน์ AidinEiEi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 776
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-1
อ๊ากกกกกกกกกกก น้องต้น เอานิยายมาลง กรี๊ดดดดดดดดดดดด(ช้ากว่าคนอื่นตั้งนานแน่ะ - -')
ไม่ได้เข้าเล้านานนนนมาก เป็นชาติแล้วมั๊งเนี่ย
แปะไว้ก่อน ตอนนี้ป่วยอ่านไม่ไหว ลาตาย..เอ๊ย....ตาลาย
หายป่วยเมื่อไหร่จะมาอ่านอย่างด่วนค่ะ
 จุ๊ฟๆ รักตนแต่ง อิอิ :o8:

~•SAkurAIro•~

  • บุคคลทั่วไป

เข้ามาอ่านเรื่องใหม่ครับบบบบ (แม้เรื่องเก่าๆ จะยังไม่ได้อ่านก้ตาม  :m23:)

เคยอ่านเรื่องที่พี่ต้นเขียนอยุ่เรื่องนึง เมื่อนานนนนมาแล้ว

จะบอกว่าชอบแนวการเขียนของพี่ต้นอ่ะ อ่านแล้วลื่นปรืดๆ ดี  :กอด1:

รอติดตามเรื่องนี้นะงับบบ  :-[

StopLove

  • บุคคลทั่วไป

andy_kwan

  • บุคคลทั่วไป
เรื่องนี้เด็กเยอะแน่ๆ เด๋วสมาชิกชมรมคนกินเด็กคงจะตามมาอีก อิอิ :t3:


sexyman

  • บุคคลทั่วไป
มาเจิเรื่องใหม่ด้วยคน

 :oni2: :oni2: :oni2:

ว่าแล้วก็กลับไปอ่านก่อน

เอิ๊กกกกกกก

blackberry2214

  • บุคคลทั่วไป
มาแก้รีพลาย

อดใจไม่ไหว สอบเสิบ ลืมแม่งหมดและ แว่บเข้ามาอ่านก่อน



5555+

ออฟไลน์ [N]€ẃÿ{k}uñĢ

  • ~ῲเจ้าแม่Dramaῴ~
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +740/-5
 :impress2: :impress2: :impress2:
อยากอ่านต่อแล้วอะ พี่ต้นรีบมาอัพหน่อยสิอยากให้รู้รออยู่นะ
 :bye2: :bye2: :bye2:

ออฟไลน์ l3iZal2l2e

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-0
กรีสสสสสสสสสส
เดะๆ ชายล้วนนนนน
 :impress2:

น้องป๊อปไหวม้ายยยยย
 :laugh:

ป.ล. คำเมือง กลัวที่ไหนนน มาเลย ๆๆ ๆ  5 55+

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด