เมื่อเราเดินกลับไปยังห้องที่เรานั่งกันอยู่ตอนแรก เราก็เห็นว่าคนอื่นๆนอกจากโจ ต่างก็กำลังโชว์ฝีมือขีดเขียนวาดรูปลงบนกระดานดำกันอยู่อย่างสนุกสนาน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะลืมกันไปแล้วด้วยซ้ำว่าเจตนาที่เรามาที่นี่กันตอนแรกคืออะไร และที่แห่งนี้มีข่าวลือน่ากลัวอะไรอยู่บ้าง
“มึงจะใช้ด้านนั้นระบายได้ไงล่ะวะ ไอ้ป๊อป มึงต้องใช้แนวยาวสิวะ ไม่ใช่แนวตั้ง” คริสแย้งขึ้นเมื่อเขาเห็นว่าป๊อปกำลังใช้ชอล์กระบายสีลงบนรูปที่เขาวาด “นี่ แบบนี้ไง มึงอย่าจับเหมือนจับปากกา แต่ใช้แนวยาวของชอล์กวางทาบแล้วระบายแม่งลงไปเลย”
“อ๋อออออ อย่างนี้นี่เองงงงง” ป๊อปเลียนเสียงพิธีกรรายการทีวีแชมเปี้ยน
“มึงเขียนเหี้ยไรของมึงวะ ไอ้ป๊อป มึงวาดครวยไรลงไปน่ะ” เจย์สาดไฟฉายมาตรงรูปที่ป๊อปกำลังวาดอยู่
“ก็วาดรูปหัวใจแล้วใส่ชื่อกูกะไอ้ตี๋ลงไปไง ฮิ้วววววว”
“ไอ้ยุๆ มึงมาช่วยกูวาดรูปครวยหน่อย เอาหันปลายเจี๊ยวไปยิงลำแสงใส่หัวใจของไอ้เชี่ยป๊อปเลยนะ” เคนพูด
“ได้เล้ยยย ฮ่าๆๆ”
“เฮ้ยยย ไอ้ส้นตีนพวกนี้นี่!!”
“เฮ้ยๆๆ พวกมึงเบาเสียงหน่อยเว้ย อยากจะปลุกยามกับภารโรงกันทั้งตึกรึไง” นัทจุ๊ปากเบาๆ
“มึงเองก็อย่าเอาแต่คอยคุมคนอื่น ไอ้เชี่ยนัท ไอ้นนท์ก็ด้วย อยากจะเขียนอะไรถึงแฟนเก่าตัวเองก็มาเขียนซะ แล้วก็อยากเขียนอะไรให้ไอ้คริสก็มา เร็วๆ” เจย์กวักมือเรียกเราสองคน
เราสองคนหันมายิ้มให้กันน้อยๆ ก่อนจะกระโดดเข้าไปร่วมวงกับพวกเขาทุกคน
ในตอนแรกพวกเราต่างคนก็ต่างวาดอะไรที่แต่ละคนอยากจะวาด แต่สุดท้าย หลังจากที่เวลาผ่านไปได้เกือบหนึ่งชั่วโมง ก็ดูเหมือนว่าเราจะเริ่มหาข้อตกลงกันได้และเริ่มช่วยกันขีดเขียนและวาดภาพไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งมันก็คือรูปของชายหาดหน้าคอนโดของเจย์ที่เราเพิ่งไปด้วยกันมา มีทั้งหาดทราย ท้องฟ้า คอนโด ต้นมะพร้าว และสระว่ายน้ำ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ออกมาเหมือนของจริงมากสักเท่าไหร่ หากแต่มันก็เป็นหนึ่งในภาพความทรงจำที่พวกเราทุกคนต่างก็มีร่วมกันและคงจะไม่มีวันลืมเลือน
ก่อนที่เราจะหยุดมือลง พวกเราทุกคนต่างก็ลงชื่อ และเขียนข้อความสั้นๆบรรยายความในใจของเรากันเอาไว้ที่มุมหนึ่งของกระดานดำ และท้ายที่สุด งานศิลปะบนกระดานดำแบบกลุ่มครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของเราก็จบลงที่เจย์เป็นคนลงวันที่และเวลาเอาไว้ตรงมุมล่างขวาสุดของกระดาน
“เฮ้ย นี่ตีสามแล้วเหรอวะเนี่ย”
“ช่ายแล้ว ไอ้เคน ไม่รู้ตัวเลยใช่มั้ยล่ะมึง” เจย์ตอบพร้อมกับวางชอล์กลงและปัดฝุ่นชอล์กออกจากมือ จากนั้นเขาก็เดินกลับมานั่งลงบนพื้นที่เดิม
“ใครบอกล่ะ กูกำลังจะบอกว่าจริงๆแล้วกูแม่งโคตรง่วงมาตั้งนานแล้วต่งหาก ฮ.. ฮ้าวว..ว....วว”
“แล้วมึงล่ะ ไอ้นนท์ ง่วงรึยัง” โจถามผม
“ก็นิดหน่อยว่ะ” ผมมองหน้าเขา แล้วเหลือบไปมองกระดานดำที่สุดท้ายแม้แต่เขาเองก็ยังมาช่วยพวกเราลงสีและลงชื่อของตัวเองเอาไว้ด้วยเหมือนกัน “ที่มึงเขียนว่า ‘ขอบใจ’ ลงไปอะ มึงขอบใจใครวะ ไอ้โจ”
“ไม่บอก ไม่ใช่เรื่องของมึงสักหน่อย”
“อะน่ะ เขินอะดิมึง” ผมแกล้งแหย่
“เดี๋ยวกูตบหัวหลุดเลย!” เขาเคาะหัวผมเบาๆ
“เฮ้ยนี่ ไอ้คริส ถ้าเป็นแบบนี้มึงเองก็จะยังจำภาพและตัวหนังสือที่พวกเราเขียนกันบนกระดานดำนี้ไปได้ตลอดใช่มั้ยวะ” ตี๋เล็กถามขึ้น
“ใช่ และไม่ใช่แค่กระดานดำนี้หรอกนะเว้ยที่กูจะจำได้น่ะ แต่กูจะจำได้ทุกอย่าง ทั้งสิ่งที่พวกมึงพูด น้ำเสียง ท่าทาง อารมณ์และความรู้สึกที่เรามีกันในคืนนี้ด้วย.... ทุกอย่างเลย”
วายุวางมือลงบนหัวของคริสแล้วลูบเบาๆ “ไม่เอาน่ามึง อย่าทำเสียงแบบนั้นสิวะ มึงตัดสินใจแล้วไม่ใช่รึไง อีกไม่กี่ปีมึงก็กลับมาแล้ว กูว่าเผลอๆมึงแม่งเรียนจบมอปลายก่อนพวกเราอีกแน่ๆเลยด้วยว่ะ ไอ้คริส”
“สามปีแล้วนะ ที่พวกเรารู้จักกันมาน่ะ.... อ้อ ในกรณีของไอ้นนท์ก็อาจจะแค่สี่ห้าเดือนเนอะ แต่เวลาแม่งก็ไม่สำคัญหรอก กูว่าทุกๆวันที่กูอยู่กับพวกมึงเนี่ย เป็นช่วงเวลาที่กูมีความสุขที่สุดแล้วอะว่ะ”
“เฮ้ย! อย่า ไอ้เจย์ มึงอย่าเริ่มทำซึ้งนะเว้ย”
“กูไม่ได้จะทำซึ้งเว้ย ไอ้ตี๋ กูพูดจริงๆ กูมั่นใจนะเว้ย ว่าพวกมึงทุกคนจะเป็นเพื่อนตายของกูไปตลอดชีวิตแน่นอนอะ”
“กูก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ถึงแม้ในอนาคตเราอาจจะไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ไปตลอด แต่ว่าความเป็นเพื่อนของพวกเรามันจะต้องไม่เปลี่ยนไปนะเว้ย” วายุพูดเสริม
“เฮ้อออ ปีหน้าขึ้นมอสี่ พวกเราจะได้อยู่ห้องเดียวกันอีกรึเปล่าวะเนี่ย กูว่าแม่งคงยากว่ะ” ป๊อปเริ่มเอนหลังไปพิงตี๋เล็ก
“คงยากว่ะ แต่ถึงไงเราก็ยังอยู่โรงเรียนเดียวกัน ยังอยู่หอเดียวกันไม่ใช่เหรอวะ” นัทยิ้มน้อยๆ
“แล้วพอจบมอหก พวกเราจะกลับมาเขียนลงบนกระดานดำที่ตึกนี้กันอีกรอบมั้ยวะ คราวหน้ากูจะได้พูดได้เต็มปากว่ากูรู้จักพวกมึงมานานกว่าสามปีแล้วจริงๆสักทีไง” ผมพูดขึ้นบ้าง
“ระยะเวลามันไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก นนท์” นัทพูดขึ้น “แต่สิ่งที่สำคัญคือความทรงจำที่พวกเรามีร่วมกันต่างหาก.....” เขาเหม่อมองไปยังกระดานดำที่อยู่ตรงหน้า “กูว่าพวกเราเองก็เจออะไร ผ่านอะไรมากันเยอะนะเว้ย ทั้งเรื่องดีๆ เรื่องไม่ดี มีปัญหาทะเลาะกันก็ด้วย แต่สุดท้ายพวกเราก็ยังได้มานั่งกันอยู่ตรงนี้พร้อมหน้า แถมยังมีนนท์และไอ้โจมาเพิ่มอีก กูรู้สึกว่าเวลากว่าสามปีที่โรงเรียนแห่งนี้ แม่งให้อะไรกูมากจริงๆอะว่ะ”
“พ่อกูเคยบอกนะเว้ย เอ่ออ กูหมายถึง ‘พ่อ’ ของกูจริงๆน่ะนะ..... พ่อกอล์ฟเค้าเคยบอกกูว่า ถ้าหากเปรียบเปรยเด็กเล็กแบบในสำนวนไทยที่ว่าเหมือนผ้าขาว ชีวิตของเด็กๆในวัยมัธยมอย่างพวกเราน่ะ ก็คงเปรียบเหมือนกระดานดำอะว่ะ เค้าบอกกูว่า พวกเราทำผิดพลาดกันได้ง่าย และก็สามารถแก้ไขหรือลืมเลือนมันได้ง่ายเหมือนแค่เอาแปรงลบ แต่แค่จะลบได้สะอาดหรือเปล่าก็เท่านั้นเอง นอกจากนั้นพวกเราก็ยังสามารถขีดเขียน แต่งแต้มกระดานของพวกเราให้ออกมาเป็นได้อย่างที่เราต้องการอีกด้วย.... แต่ก็เพิ่งมีคืนนี้นี่แหละที่กูรู้สึกว่าคำพูดของพ่อไม่ได้เป็นแค่คำเปรียบเปรย แต่มันเป็นรูปธรรมจริงๆอะว่ะ พวกมึงลองคิดดูดิ ตอนแรกเราเองยังต่างคนต่างวาด ต่างเขียนเหี้ยอะไรกันเละเทะอยู่เลย แต่สุดท้ายเราก็เริ่มช่วยกัน ถึงจะต่างคนต่างความคิด แต่งเติมตรงนั้นตรงนี้เพิ่ม แต่สุดท้ายแล้วรูปภาพนี้แม่งก็ออกมาเป็นรูปภาพของ ‘พวกเรา’ ทุกคนจริงๆ เป็นภาพที่สะท้อนความทรงจำและความรู้สึกที่เรามีร่วมกันออกมาจริงๆ ใช่มั้ยล่ะวะ”
“เหยดดดดด ไอ้เชี่ยยุแม่งทำซึ้งงงง”
“ทำซึ้งครวยไรไอ้เชี่ยป๊อป กูก็แค่จำคำพูดพ่อกูมาพูดแค่นั้นเอง”
“เฮ้ยๆ ไอ้เคนแม่งจะหลับแล้วว่ะมึง ไอ้เจย์” ตี๋เล็กชี้ไปที่เคน
“ให้มันหลับไปเหอะ สงสารมัน เฮ้ออออ แล้วนี่ตกลงมันกะไอ้พี่ชายกูนี่จะคบกันจริงๆใช่มั้ยวะเนี่ย”
“ฮะๆๆ อะไรๆ กูกับพี่แม็ททำไมนะ” เคนดีดตัวกลับขึ้นนั่งหลังตรงทันที
“ไม่มีอะไรหรอก ไอ้เหี้ย กูก็แค่นึกสงสัยว่ามึงกับไอ้แม็ทจะคบกันจริงๆใช่มั้ยแค่นั้นเอง”
“แล้วมึงอนุญาตมั้ยล่ะ ไอ้หมี......”
“เอ๊า ถ้ามึงมีความสุขมึงก็คบกันไปดิว่ะ กูจะไปห้ามทำไม แต่ถ้าเมื่อไหร่พี่ชายกูมันทำมึงเสียใจนะ แม่งโดน!!”
“อะเคร.... แต๊งกิ้วเว้ย งั้นกูนอนก่อนละนะ ตาจะปิดดด” เมื่อพูดจบ เคนก็ล้มตัวลงนอนหนุนตักของเจย์ทันที
“เฮ้ย มึงส่งผ้ามาให้กูผืนนึงดิ๊ ไอ้โจ”
“เอ้า....” โจยื่นผ้าห่มผืนเล็กให้กับเจย์ จากนั้นก็หันมาหาผม “ง่วงรึเปล่า หนาวมั้ย เอ้านี่ผ้า ห่มไว้”
“แต๊งกิ้ว” ผมยื่นมือออกไปจะรับผ้าห่มจากเขา แต่ปรากฏว่าโจกลับเหวี่ยงมันขึ้นคลุมตัวเราทั้งสองคนเอาไว้ด้วยกันแทน
“เอ้านี่ ยาทากันยุง ทาๆกันซะ แล้วก็มึง ไอ้เจย์ ช่วยทาให้ไอ้เคนด้วย....” วายุยื่นขวดยาทากันยุงให้กับเจย์
หลังจากนั้นพวกเราก็เริ่มคุยกันน้อยลง และเริ่มทะยอยหลับกันไปทีละคนๆ จนในที่สุดผมก็ผล็อยหลับลงไปด้วยจนได้ และอีกไม่นานถัดมา ผมก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือของใครคนหนึ่ง เสียงจากโทรศัพท์นั้นดังแค่เพียงครู่สั้นๆ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ผมตื่นขึ้นมาเห็นภาพของเพื่อนๆที่นั่งพิงกันเองหลับสัปหงกกันอยู่รอบตัว ที่เหลืออยู่ก็มีแค่โจ เจย์และนัทเพียงสามคนเท่านั้นที่ตื่นกันอยู่ และคนที่ตื่นตามผมมาติดๆอีกคนก็คือวายุ
“ตีสี่ครึ่งแล้ว ได้เวลาเตรียมตัวกลับแล้ว ไอ้นนท์” โจกระซิบพร้อมกับลูบหัวผมเบาๆ “ตื่นไหวป่าววะ”
“ไหวๆๆ อึ๊ดดดดด!” ผมบิดขี้เกียจ “สุดท้ายก็ไม่มีใครนอกจากพวกเราโผล่มาเลยใช่มั้ยวะ”
นัทยิ้มที่มุมปากน้อยๆ “ไม่มีอะ ก็มีแค่พวกเรานี่แหละ ไม่ได้มีใครมาเพิ่มหรือหายไป ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่นอะไรแปลกๆหลุดมาทั้งสิ้น”
“กูว่าที่ภารโรงหรือยามเคยเห็นเงาคนกับแสงไฟ แม่งก็คงเป็นจากเด็กๆที่แอบเข้ามานี่แหละวะ บางทีแม่งมาจุดบุหรี่ดูดกันแล้วคนอาจจะเห็นไฟจากก้นบุหรี่ ไฟแช็ก ไฟฉาย หรือแม้แต่จากเทียนอะไรแบบนี้ก็ได้มั้ง” วายุพูดพร้อมกับอ้าปากหาวและบิดขี้เกียจ
“กูก็ว่างั้นอะวะ และไอ้เสียงคนร้องโหยหวนนั่นก็คงเป็นเสียงลมที่พัดผ่านช่องบันได แล้วคนที่ได้ยินก็ปอดแหกแบบไอ้ป๊อปไง เลยคิดว่าเป็นเสียงผี”
“อะรายๆ กูทำไม ไอ้เชี่ยเจย์ สาดดด กูได้ยินนะเว้ย” ป๊อปพูดขึ้นทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่
“ตื่นแล้วก็มาช่วยกันเก็บของได้แล้ว ไอ้ตูด” เจย์เหยียดขาออกไปถีบป๊อป “มึงก็ด้วย ไอ้เชี่ยตี๋ ตื่น!”
หลังจากที่พวกเราตื่นกันหมดแล้ว เราก็ช่วยกันเก็บของทำลายหลักฐานทั้งหมดให้เรียบร้อย และเดินกลับลงไปยังห้องที่พวกเราปีนหน้าต่างกันเข้ามาบนชั้นหนึ่ง ซึ่งหลังจากที่พวกเราปีนหน้าต่างกลับออกมานอกตึกกันเรียบร้อยหมดทุกคนแล้ว เจย์ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนๆหนึ่งเดินใกล้เข้ามาตรงหัวมุมตึก พวกเราจึงรีบวิ่งหลบไปยังปลายตึกอย่างรวดเร็ว และเจย์ที่แอบมองดูที่มาของเสียงฝีเท้านั่นให้ก็บอกว่าเป็นยามที่ออกมาเดินตรวจตรานั่นเอง
พวกเรารีบเร่งฝีเท้าเดินลัดต้นไม้และสวนหย่อมเพื่อกลับไปยังหอพักอย่างรวดเร็วที่สุด และในตอนที่เราเดินผ่านสนามฟุตบอลไปจนเกือบถึงห้องพยาบาลแล้วนั้นเอง ความมืดที่เคยปกคลุมตัวพวกเราก็เริ่มค่อยๆสว่างขึ้นทีละน้อยๆ และผมก็บังเอิญหันไปเห็นพระอาทิตย์ที่กำลังทอแสงอยู่ที่ปลายขอบฟ้าทางทิศตะวันออกเข้าให้พอดี
“เฮ้ยๆ พวกมึง พระอาทิตย์ขึ้นเว้ยยย ลองดูสีของก้อนเมฆกับท้องฟ้าดิ สวยมากเลยอะ” ผมเรียกทุกคนให้หยุดดู
ตอนแรกเจย์ก็ทำท่าจะต่อว่าที่จู่ๆผมก็หยุดฝีเท้าลง แต่เมื่อเขาหันไปเห็นความงดงามของท้องฟ้าในยามรุ่งอรุณแบบนี้แล้ว เขาก็จำต้องหยุดยืนเพื่อชื่นชมความงามของธรรมชาติที่เราไม่ได้เห็นกันบ่อยๆไปด้วยอีกคน
อาจจะเป็นเพราะไอน้ำในอากาศที่มีมาก ก้อนเมฆที่ก่อตัวเป็นก้อนสวยงามและหนาแน่นอยู่ตรงบริเวณพระอาทิตย์ขึ้นพอดี รวมกับท้องฟ้าสีเข้มที่กำลังจะเริ่มเปลี่ยนสีเพราะแสงอาทิตย์สีส้มอ่อนๆ ทำให้เกิดภาพของท้องฟ้า ก้อนเมฆ และดวงอาทิตย์ที่ทอแสงตัดกันอย่างสวยงามลงตัว มันช่างเป็นภาพที่งดงามจนผมไม่เคยคิดเลยว่าจะสามารถพบเห็นได้ง่ายในเมืองหลวงอย่างในกรุงเทพฯ นี่
วายุหยิบมือถือของตัวเองออกมาถ่ายรูปความสวยงามตรงหน้านี้เก็บเอาไว้ทันที
“กูต้องเอาไปฝากป๊ากับพ่อเล็กให้ได้เลย”
“เฮ้ยๆๆ หมดเวลาชื่นชมความงามแล้วเว้ยมึง! นี่มันเลยตีห้าครึ่งแล้วนะเว้ย! เดี๋ยวก็ไม่ได้กลับเข้าหอหรอก!! ชีวิตพวกเรายังไม่ได้จบแค่เช้านี้นะเว้ย ยังมีวันนี้ พรุ่งนี้ มะรืนนี้อีกเยอะแยะ เอาไว้ค่อยตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมกันอีกทีก็แล้วกัน ส่วนตอนนี้….. วิ่งได้แล้ว!!”
พวกเราทุกคนหัวเราะและรีบออกวิ่งตามเจย์อย่างสุดฝีเท้า
มันก็จริงอย่างที่เขาบอกนั่นแหละนะว่าวันนี้ไม่ใช่วันสุดท้ายที่พวกเราจะยังได้อยู่ด้วยกันสักหน่อย นับจากนี้ไปอีกไม่ว่าจะนานแค่ไหน ไม่ว่าอย่างไรเราก็จะยังได้เจอกัน ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน มีเรื่องให้พูดคุย หัวเราะ และร้องไห้อีกด้วยกันไปอีกนานแสนนาน เพราะว่าชีวิตวัยเรียนของเรามันยังไม่จบ และที่สำคัญ ชีวิตวัยเรียนของผมในรั้วโรงเรียนชายแห่งนี้ของผมก็เพิ่งจะเริ่มต้นเทอมสองได้แค่วันเดียวเท่านั้นเอง...... กระดานดำของผมยังมีเนื้อที่เหลืออยู่อีกมากมายเพื่อรอให้ผมได้เขียนถ่ายทอดประสบการณ์และความทรงจำที่มีร่วมกับผู้คนเหล่านี้ลงไปอีกตั้งเยอะแยะ จริงมั้ยล่ะครับ
(จบจริงๆแล้วจ้า)
หลังจากนี้ ถ้ามีอะไรอัพเดทเพิ่มเติมเรื่องนิยาย เรื่องสั้นใหม่ๆ ความเคลื่อนไหวต่างๆ รวมไปถึงโปรเจกต์ทำเมฆกับซัน collection set จะแจ้งไว้ที่แฟนเพจนะครับ
http://www.facebook.com/ExecutionerNovel ใครยังไม่ได้กดไลค์ก็ไปกดกันซะนะครับ ตกข่าวไม่รู้ด้วยนะเอออ โดยเฉพาะใครชอบเมฆกับซัน ตอนนี้ผมกำลังแก้ไขและแต่งตนพิเศษอยู่ ถ้าทำออกมาจะทำแบบจำกัดจำนวนนะครับ ไม่มีรีปรินท์หรือใดๆอีกทั้งสิ้น เพราะงั้นคอยตามข่าวสารกันดีๆนะคร้าบบบ
สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณทุกๆกำลังใจครับ ขอบคุณจริงๆสำหรับคอมเมนต์ คำแนะนำ ติชมต่างๆ ทำให้นิยายเรื่องยาวเรื่องนี้จบได้ด้วยดี ต่อจากนี้ก็ขอฝาก love is ต่อหน่อยนะครับ เพราะถึงกระดานดำจะจบไป แต่ love is ยังมีต่อเรื่อยๆครับ และไม่แน่นะ อาจจะเจอใครในเรื่องนี้ไปเป็นตัวเอกหรือโผล่ในเรื่องนั้นตอนไหนสักตอนก็ได้นา เพราะผมเองยังอยากเขียนเรื่องของเคนกับพี่แม็ทต่ออีกเลย ^_____^
ขอบคุณจริงๆๆครับ ไว้เจอกันใหม่กับเรื่องยาวเมื่อมีเวลา 55555
