คืนที่หก
“เย้ๆ ถึงแล้ววววว” ใช่แล้วครับ หลังจากนั่งหลังพิงเบาะกันมาเกือบสองชั่วโมง (จริงๆ แวะโลตัส แวะซื้ออาหารการกินกันตลอดทาง)
“สวัสดีคร้าบ” เสียงพวกผมทักทายคุณยายที่บ้านพัก บ้านโฮมสเตย์ริมแม่น้ำแม่กลองแบบสบายๆ นี่ผมรู้จักจากเพื่อนพี่ชายผม
เป็นที่หนึ่งที่ผมว่าสงบเงียบ น่าอยู่มากๆ เหมาะสำหรับพักผ่อนวันหยุด มาชาร์จแบตแบบไม่ไกลเมือง
สายน้ำยังไหลไปเรื่อยๆ แรงเสียด้วย ด้วยความที่ใกล้ปากแม่น้ำใหญ่แล้ว อีกไม่ไกลก็คงถึงทะเล ไม่น่าเชื่อว่าริมแม่น้ำสายใหญ่
สายน้ำจะได้หล่อเลี้ยงวิถีชีวิตเรียบง่ายนี้ไว้ เจ้าแม่น้ำมันคงไม่รู้ตัวเลยแค่มันไหลผ่านมาแล้วผ่านไป
ทำให้บ้านไม้แบบไทยริมน้ำ ที่มีอายุเก่าแก่หลังนี้ ได้รับความเย็นสบาย สดชื่น ผ่อนคลาย และมีความสุขมากเพียงใด
“เชิญค่ะๆ”เสียงคุณยายทักทายยิ้มแย้มให้พวกเรา
พวกพี่ๆเค้าก็พากันเดินเข้าไปชมตัวบ้าน ขนของไปไว้ เตรียมตัวเอกเขนก
“พี่จีนๆ ไปถ่ายรูปกัน” ผมชวนพี่จีนไปถ่ายรูปที่ท่าน้ำที่ยื่นทอดตัวยาวลงไปในแม่น้ำ
“ตี๋เว้ย ไปถ่ายรูปกัน” พี่แกหันไปชวนพี่ตี๋อีกคน และสุดท้ายบรรดาพี่ๆลิงแสมทั้งหลาย ก็กรูกันมาถ่ายรูปยังชานริมน้ำและท่าน้ำกันหมด
“อ่ะเต้ถ่ายให้” สุดท้ายไอ้คนอยากถ่าย ต้องกลายเป็นตากล้องจำเป็น เง้ออออ น่าสงสารจริงๆ
หลังจากถ่ายรูปเล่นกันเสร็จ ก็จัดแจงเตรียมข้าวของ ล้างกุ้ง หอย ปู ปลา เตรียมไว้สำหรับปาร์ตี้(เรียกซะหรู)ซีฟู๊ดริมแม่น้ำน้ำยามเย็น
ใครอยากไปเที่ยวพักผ่อน แนะนำว่าไปเดินหาซื้อเอาที่ตลาดน้ำจะสะดวกกว่านะคับ ทำเองเหนื่อยมากกกก
แต่พอดีว่าวันที่ไปกันเป็นวันธรรมดาไม่มีตลาดน้ำ ก็เลยทำกันเอง แล้วก็ไปกันสิบกว่าคนได้ ก็เลยพอจะช่วยกันคนละไม้ละมือ
เมนูวันนี้ก็มี กุ้ง ปลาหมึก หอยแครง ปิ้ง ปิ้ง ปิ้ง ปิ้ง ปิ้ง ปิ้ง
และก็ ปูนึ่ง ปลาเก๋า ปลากระพง หอยนางรมสด (ของโปรดกระผม ว่ากันว่ากินแล้วจะคึก ผมกินบ่อยๆ ไม่เห็นจริงเลย อิอิอิ)
แล้วก็ผลหมากรากไม้ ขนม อะไรอีกสารพัดที่ขนมาจากโลตัส
“อิ่มอ่า”
“ไม่ไหวแล้ว”
“อืดดดด”
“เอร้อกกกก”
“จะอ้วกแล้วเนี่ย”
“คราวหลัง ซื้อน้อยๆนะ”
“รู้สึกว่าตัวเองมีอาหารทะเลอยู่ในท้องเป็นกิโลๆ”
“...” ทำไมไม่พูดอ่ะ คำตอบที่ได้คือท่าทางส่ายหัว และมือปิดปากเหมือนภูเขาไฟจะระเบิด ฮ่าๆๆๆๆ
นี่คือคำพูดที่ได้หลังจากอาหารทะเลทั้งหลายประมาณคร่ึงหนึ่งถูกทำกินไปเรื่อยๆจนพระอาทิตย์ตกดิน
ทุกคนก็อยู่ในสภาพคล้ายงูเหลือมที่เพิ่งกินอาหารเข้าไปแล้วนอนอืดขยับตัวไปไหนไม่ได้ แต่นี่ยังไม่หมดเลยนะคับ อาหารเหลืออีกเพียบ
ของสดอีกตั้งเยอะก็ยังไม่ได้เอามาทำเลย สงสัยเมนูตอนเช้าจะไม่ต้องคิดกันแล้ว
“เดี๋ยวเรือจะมารับแล้วนะลูก” คุณยายเดินมาบอกพวกเรา ขณะแต่ละคนกำลังนั่งๆนอนๆ ด้วยความทรมาณจากความอิ่ม
“อ่อคับ ขอบคุณค้าบ” พี่คนหนึ่งในกลุ่มตอบไป ทุกคนจึงต้องลุกไปล้างหน้าล้างตา เข้าห้องน้ำ เตรียมเสื้อกันลมกันให้เรียบร้อย
เพราะคุณยายแกบอกไว้่ว่านั่งไปนาน อากาศจะเย็นเพราะอยู่ในแม่น้ำตลอด ให้จัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย
“เต้ถือกล้องนะ” โห่เซ็งเลย ไอ้เต้กำลังเดินตัวปลิวจะไปขึ้นเรือ กะเก็กถ่ายเต็มที่
“อ่ะ”
“เออ เด็กสุด ต้องถ่ายรูปให้พี่ๆ” โห่ รังแกเด็กว่ะพวกนี้ แต่สรุปแล้วก็ช่วยๆกันถ่ายแหละคับ ไอ้เต้ก็ดี๊ด๊าเต็มที่ ทั้งๆที่จริงก็หวั่นๆ เพราะผมว่ายน้ำไม่แข็ง แอบกลัวเรืออยู่เล็กๆ
“อ่ะๆ เต้ไปนั่งท้ายเรือดีกว่า” ผมเดินไปจับจองที่ท้ายเรือ เพราะว่ากะจะนอนดูดาวคับ เนื่องจากเราเหมาลำให้มารับที่หน้าบ้านพักเลย ก็วิ่งพล่านกันตามสบาย อิอิ
แต่เอทำไมไม่มีใครมานั่งท้ายเรือกับเราเลย สงสัยจัง พอเครื่องยนต์ติดแค่นั้นแหละครับ หึหึ เสียงดังโคตรรรรร ไอ้เต้ก็เลยกลับไปกองอยู่กับพี่ๆ ที่แถวๆหัวเรือเหมือนเดิม แหะๆ
จากบ้านพักเราก็มุ่งตรงไปชมวิวสองฝั่งยังคลองอัมพวากันก่อน ตลาดน้ำวันนี้ไม่มีนักท่องเที่ยว ร้านรวงต่างปิดกันเกือบหมด
เหลือแต่ร้านที่เป็นร้านประจำจริงๆ ก็ดีนะคับ ผมชอบบรรยากาศเงียบสงบแบบนี้ รู้สึกว่ามาถึงเมืองอัมพวาจริงๆ ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวอย่างวันหยุดสุดสัปดาห์
ขณะกำลังชมวิว พร้อมกับถ่ายรูปริมสองฝั่งคลอง ที่มีบ้านไม้เก่าขนาบไปสวยงามทีเดียว โทรศัพท์เจ้ากรรมก็ดังขึ้นขัดจังหวะอารมณ์ศิลปินจริงๆเชียว
“ดีคับ” ผมกดรับ
“ไงเราอยู่ไหน ไปดูหนังกัน” เหอๆ ไอ้เฮียเคน มาชวนดูหนังอะไรเอาตอนนี้
“ดูหนังไรเฮีย เต้อยู่อัมพวา”
“อ้าว ไปทำไรแถวนั้น” กำ ถามแปลก มาอัมพวาก็มาเที่ยวสิคร้าบ
“มาเที่ยวกับพวกพี่ๆเค้าคับ”
“อ่ะหรอ นึกว่าไปหาหนุ่มๆแถวนั้น” เหอะๆ ดูความคิดคนเราดิ
“ไม่ใช่เฮียนะ แล้วจะไปดูเรื่องไรอ่ะ”
“อ่ะ ไม่ดูแล้ว ดูได้ไง เราอยู่ตั้งโน่น”
“ก็ไว้กลับไปไง” อ่ะอยู่กทม.ตั้งหลายวัน ไม่ชวน มาชวนวันที่เค้ามาอัมพวา ใจตรงกันโคตรเลย
“อ่ะ กว่าจะกลับ ไปกี่วันเนี่ย”
“พรุ่งนี้ก็กลับแล้ว มาคืนเดียวคับ” มาพักผ่อนหย่อนใจ ไม่ได้หนีแผลใจใดๆทั้งสิ้น
“อ่ะหรอ เที่ยวให้สนุกล่ะ”
“คร้าบ แล้วนี่เพิ่งเลิกงานหรอคับ”
“ช่าย อยากดูหนัง เดี๋ยวกลับบ้านเลยดีกว่า”
จริงหรอเฮีย ผมว่าจะไปชวนเด็กคนอื่นล่ะมากกว่าอิอิอิ ไอ้เต้คิดในใจ
“อ่ะ อยากกินไรเป่า ขนมเยอะนะคับที่นี่” ผมถามพี่เค้า เห็นซื้อขนมให้ผมสองรอบละ
“ไม่เป็นไร กว่าจะกลับมา กว่าจะเจอกันเสียพอดี เที่ยวไปเหอะ กลับบ้านนอนแล้ว” พี่แกทำเสียงแกล้งงอน เหอะๆ แก่แล้วยังมีอารมณ์เล่นเป็นเด็กอีกนะ
“อ่ะนะ งั้นก็กลับบ้านนอนหลับฝันดีนะคับเด็กน้อย”
“ปีนเกลียวและๆ” ไอ้พี่เคนดุผม แหม แค่แซวเล่นนิดหน่อย
“ฮ่าๆ เดี๋ยวเอาหิ่งห้อยไปฝาก” ใช่แล้วคับ ตอนนี้ผมกำลังจะไปนั่งเรือชมหิ่งห้อยคับ อากาศเย็นจริงๆด้วย เริ่มรู้สึกเย็นๆหัว ไม่ได้เอาหมวกมาด้วยดิ
“จะบ้าหรอ มันก็ตายหมดดิ”
“ฮ่าๆ ใครจะพิเรนเอาไปจริงๆ”
“เออๆเสียงเรือดังไม่ค่อยได้ยินเลย” เสียงไอ้พี่เคนหงุดหงิดๆ ท่าทางจะรำคาญเด็กๆอย่างผมซะละ
แถมพี่คนขับเรือแกก็เร่งเครื่องใหญ่เหมือนแกล้งกันเลยเว้ย ไปล่องเรือดีกว่าเรา ปล่อยให้ลุงแกหงุดหงิดงุ่นง่านกลับบ้านไปคนเดียว
“ฝันดีนะคับ” ผมบอกก่อนวางสาย แม้จะเพิ่งสองทุ่มกว่าๆ เพราะคงไม่มีโอกาสบอกตอนดึกๆ ก่อนนอน
“เออ บายๆ”
พอเรือพ้นเขตตัวตลาดน้ำอัมพวามา ก็เริ่มจะเข้าสู้ความมืด ลมเย็น บรรยากาศสองฝั่งคลองยามค่ำคืน ชวนน่าหวาดเสียวนิดๆนะคับ
มืดไปหมด แล้วไหนล่ะเจ้าหิ่งห้อยที่ใฝ่ฝันของกระผมและผองพวกพี่ๆ ยังไม่โผล่มาเลยสักกะตัว
“เฮ้ยนั่นไงๆ” เสียงเฮียตี๋คนแรกเลยคับ ชี้ไปที่กลุ่มต้นไม้ไกลๆ ริมฝั่ง ไหนหว่า ไอ้เต้พยายามมองตาม หิ่งห้อยๆๆๆๆๆ ว้าวววว เห็นแล้ว นั่นน่ะหรือ ฮือๆ ริบหรี่โคตรๆ
“อ้ะๆ นั่นไง” เสียงพี่โฟร์พูดบ้าง หลังจากพยายามมองตามที่พี่ตี๋ชี้ แล้วทุกคนก็ชะโงกหน้าตื่นเต้นกับเจ้าหิ่งห้อยกลุ่มเล็กๆ ที่เกาะอยู่ ณ ต้นลำพูชายฝั่งคลอง
เมื่อเรือแล่นไปอีกเรื่อยๆ กลุ่มหิ่งห้อยตามต้นไม้ก็ดูจะหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ และเรื่อยๆ
ใต้แสงจันทร์ เงาไม้สีดำเกือบสนิท โบกไหวเอนกิ่งอ่อนไปตามแรงลมลู่ลิ้ว
แสงสว่างจันทร์ฉายบนฟ้าไกลเบื้องบนกระทบแผ่นพื้นน้ำเป็นระริ้วระลอกคลื่น เรือสร้างคลื่นใหญ่กระทบฝั่ง
แม้การท่องเที่ยวจะนำรายได้มาสู่ชุมชนมากมาย แต่หิ่งห้อยก็ลดลงไปมหาศาล เพราะคลื่นนั้นไปรบกวนระบบนิเวศของมันอย่างที่เราไม่รู้สึกด้วยซ้ำ
เจ้าหิ่งห้อยเปราะบาง ลอยลมอยู่ตามหมู่กิ่งก้านสาขาของยอดไม้ลำพู เป็นแสงระยับบางๆ ที่เห็นเพียงแค่แสงนั่น
ผมอยากรู้จังเวลาที่หิ่งห้อยมันเป็นเรามาดูมัน มันจะดีใจหรือเปล่า
จะว่าไป มันก็คล้ายๆไฟกระพริบนะเนี่ย วิบวับๆกันเต็มต้นเลย เอ หรือว่าเค้าติดไฟจริงๆวะ และก็ไม่ได้แค่ผมที่รู้สึกคนเดียวนะ
“เฮ้ย มีงว่ามันหิ่งห้อยจริงหรือปลอมวะ ทำไมมันกระพริบพร้อมกันเลยวะ” เสียงพี่เฉินคุยกับพี่หนึ่ง พี่อีกคนในกลุ่ม
“เออว่ะ กูก็ว่าอยู่ พร้อมกันเลย ดูดิๆ” พี่หนุ่มเค้าก็ดูจะร่วมด้วย
แล้วพี่จีนก็หันมาแจม “พี่ว่าของจริงนะ ใครจะบ้าวะ เอาไฟมาติดริมคลองป่าๆแบบนี้”
“อ้าวแหมพี่ ใครจะรู้ หิ่งห้อยจริงมันจะมาทำงานเยอะๆแบบนี้ทุกวันหรอ”
พี่ๆเค้าก็เริ่มถกเถียงกันและคับ เป็นการสนทนาหาความจริงที่เริ่มดังขึ้นจนพี่คนขับแกคงได้ยิน แกก็เลยพาไปพิสูจน์กันเลยจะจะ
สักพักหัวเรือที่พวกผมนั่งก็มุ่งหน้าเข้าไปใกล้ริมฝั่งมากขึ้น และจอดเทียบอยู่ริมลำพูต้นใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาลงมาบนสายน้ำ
และมีหิ่งห้อยประดับประดาอยู่อย่างสวยงาม แม้ว่าเรือจะไม่สามารถเข้าไปใกล้ขนาดถึงกิ่งไม้ได้
แต่ก็ใกล้พอจะให้สังเกตเห็นความมหัศจรรย์ของบรรดาเจ้าหนอนน้อยเหล่านี้ ที่บินอ้อยอิ่ง กันไปมา เหมือนเป็นสวนสวรรค์เล็ก
ผมเห็นแล้วนึกถึงเหล่านางฟ้าจิ๋วในหนังปีเตอร์แพนเลยแฮะ ผมคิดในใจ
“เฮ้ยพี่ตี๋ๆ หิ่งห้อยมาเกาะอ่ะ” ผมทักพี่แก เมื่อเห็นว่า เจ้าหนอนน้อยเกาะนิ่งอยู่ที่ชายเสื้อแก คงนึกว่าเป็นกิ่งลำพูล่ะมั้ง
“เฮ้ย เออหว่ะ” พี่แกหันไปมองมัน และอยู่นิ่งๆ
“เออ น่ารักอ่ะ” พี่จีนชะโงกเข้ามาดู พร้อมพี่คนอื่นๆ
“เขาว่า หิ่งห้อยมาเกาะ จะเจอเนื้อคู่นะคับ” ลุงคนขบเรือตะโกนมาบอก พร้อมยิ้มให้อย่างยินดีด้วย
ไม่รู้ว่ามันจะจริงหรือเป็นความเชื่อปรัมปราอะไรก็ตาม แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ทั้งลำอมยิ้มกัน และมีหัวข้อสนทนาต่อ
อย่างน้อยก็เป็นอีกเรื่องน่ารักๆ ให้เก็บไว้ในรอยจำ และให้ความหวังในความรักยังสวยงามน่าปราถนาต่อไป
ว่าแต่ทำไมหิ่งห้อยไม่มาเกาะไอ้เต้มั่งวะ ผมคิดในใจและพูดออกไปดังๆด้วย
“มึงก็ยื่นแขนออกไปสิ เผื่อมันจะบินมาเกาะ” เสียงคำแนะนำดังมาจากในเรือ เมื่อผมแอบบ่นถึงโชคชะตาที่ไร้คู่อยู่ตอนนี้
_________________________________________
ว่าจะไม่ลงให้แล้ววันนี้ แต่ก็แอบมาหยอดไว้ซะหน่อย ทำงานต่อดีกว่า สองวันนี้งานเยอะคับ
ป๋อล๋อ ไม่ตื่นง่ายๆหรอก เอิ๊กๆ