✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 35] [End] ✪ 08/06/2023
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 35] [End] ✪ 08/06/2023  (อ่าน 9629 ครั้ง)

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-06-2023 14:24:51 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รัก.ข้าม.รั้ว

เขาเป็นผู้ชายที่ผมพูดได้เต็มปากว่าหล่อเสียของ คำก็ดุสองคำก็ด่า อย่างกับเป็นพ่อผมอีกคน แต่บทจะใจดีก็ทำเอาใจเต้นแปลกๆ ตกลงจะดีหรือร้าย เลือกสักอย่างได้ไหมครับคุณพี่ชายข้างบ้าน!

。・:・゚☆ 。・:★ ♫•*¨*•.¸¸♪ ♡*:・。. +゚*。:゚+

★* สารบัญ *★

ตอนที่ 1 / ตอนที่ 2 / ตอนที่ 3
ตอนที่ 4 / ตอนที่ 5 / ตอนที่ 6
ตอนที่ 7 / ตอนที่ 8 / ตอนที่ 9
ตอนที่ 10 / ตอนที่ 11 / ตอนที่ 12
ตอนที่ 13 / ตอนที่ 14 / ตอนที่ 15
ตอนที่ 16 / ตอนที่ 17 / ตอนที่ 18
ตอนที่ 19 / ตอนที่ 20 / ตอนที่ 21
ตอนที่ 22 / ตอนที่ 23 / ตอนที่ 24
ตอนที่ 25 / ตอนที่ 26 / ตอนที่ 27
ตอนที่ 28 / ตอนที่ 29 / ตอนที่ 30
ตอนที่ 31 / ตอนที่ 32 / ตอนที่ 33
ตอนที่ 34 / ตอนที่ 35 [End]


✿*゚・✿.。.:* *.:。✿*゚¨゚✎・ ✿.。.:* *.:。✿*゚¨゚✎・ ✿.。.:*


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-06-2023 14:26:23 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 1
พี่ชายข้างบ้าน


     เคยมีคนบอกว่าชีวิตคนเราต้องลองออกจากคอมฟอร์ทโซนสักครั้ง ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเราถึงต้องอุตส่าห์ออกจากพื้นที่สบายๆ เพื่อไปเจอความลำบากด้วย แบบนั้นมันเข้าสำนวนแมงเม่าบินเข้ากองไฟชัดๆ ไม่ใช่เหรอ

     แน่นอนว่าผมที่รักความสบายย่อมไม่มีทางพาตัวเองไปยุ่งกับเรื่องลำบากอยู่แล้ว ก็ผมน่ะเป็นลูกคนเดียว สบายมาตั้งแต่เกิด พ่อแม่ตามใจทุกอย่าง แล้วเหตุไฉนถึงต้องทิ้งชีวิตอันสุขสบายเพื่อไปทำตามคำสอนอะไรนั่นด้วยล่ะ ไม่มีทางซะหรอก

     แต่อย่างที่โบราณว่ากันว่ายิ่งเกลียดสิ่งไหนยิ่งได้สิ่งนั้น ในช่วงชีวิตปีที่ยี่สิบของผมก็ได้เกิดเหตุไม่คาดฝันจนได้ สำหรับคนอื่นอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่สำหรับผมมันเหมือนโลกทั้งใบกำลังพังทลายลงตรงหน้า...





     “อะไรนะครับ! ต้องย้ายงานไปประจำที่ภูเก็ตสามเดือนเหรอ!?”

     “จะเสียงดังทำไม พูดเหมือนเป็นเรื่องคอขาดบาดตายงั้นแหละ”

     “ทำไมพ่อพูดแบบนั้นอะ นี่มันเรื่องคอขาดบาดตายสำหรับผมมากๆ เลยนะ พ่อกับแม่กำลังจะทิ้งให้ผมอยู่บ้านคนเดียวสามเดือนเต็มๆ เชียวนะ!”

     “อย่าพูดแบบนั้นสิลูก พ่อกับแม่แค่ไปทำงาน ไม่ได้จะทิ้งลูกเสียหน่อย เรื่องเงินพ่อเขาก็โอนให้ทุกเดือน หรือถ้าไม่พอก็ขอเพิ่มได้”

     “แล้วข้าวเช้ากลางวันเย็นใครจะทำให้ผม ไหนจะเสื้อผ้าของผมอีกใครจะซักให้ แล้วตอนไปมหา’ลัยผมจะไปยังไง พ่อกับแม่จะทิ้งผมไปลงคอจริงๆ เหรอ”

     “นี่เจ้าซน พ่อคิดมาสักพักแล้วนะ” ใช่ครับ ผมชื่อซน อย่าเพิ่งตะลึงชื่ออันหล่อเหลาของผม มาฟังพ่อผมกันก่อน “ที่แกพูดมาทั้งหมดนั่นน่ะ เด็ก...ไม่สิ วัยรุ่นอายุยี่สิบเขาทำเองกันหมดแล้ว เรื่องอาหารการกินไม่เท่าไหร่ แต่เรื่องเสื้อผ้าแกต้องซักเองได้แล้ว ส่วนเรื่องไปเรียนหน้าปากซอยบ้านเราก็มีป้ายรถเมล์ พ่อคิดว่าแกน่าจะฉลาดพอที่จะนั่งรถเมล์เป็นนะ”

     ขอโทษที่ทำให้ผิดหวังนะครับ...

     ผมทำหน้าไม่พอใจ ยิ่งฟังที่พ่อพูดใบหน้าผมยิ่งบูดบึ้ง ที่พูดมาทั้งหมดผมไม่เคยทำเองตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา แต่จู่ๆ ก็มาบอกให้ทำเองทุกอย่างแบบนี้ ถ้าไม่มีพลังวิเศษก็อย่าหวังว่าผมจะทำได้เลย

     “พ่อก็รู้ว่าผมทำไม่เป็นสักอย่าง แทนที่จะทิ้งให้ผมลำบากอยู่บ้านคนเดียว สู้พาผมไปภูเก็ตด้วยไม่ดีกว่าเหรอ”

     “ซนอย่าลืมสิว่าลูกต้องเรียนหนังสือ แถมเดือนหน้าก็จะสอบแล้วไม่ใช่เหรอ”

     “ก็ให้ผมดรอปสิครับ ไม่เห็นยาก โอ๊ย!” ผมร้องลั่นเมื่อโดนกำปั้นของพ่อเขกใส่หัว

     “แกต้องหัดใช้ชีวิตด้วยตัวเองได้แล้วนะซน ที่ผ่านมาพ่อแม่อาจตามใจแกเพราะอยากให้แกมีความสุข แต่ถ้าวันหนึ่งพ่อแม่ไม่อยู่แล้วแกจะใช้ชีวิตยังไงเคยคิดบ้างไหม”

     “แต่พ่อก็ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย ทิ้งให้ผมอยู่บ้านคนเดียวแบบนี้เหมือนจงใจแกล้งกันเลย”

     “พ่อไม่ได้แกล้ง มันเป็นเหตุจำเป็นที่เลี่ยงไม่ได้”

     พ่อแม่ผมเป็นวิศวกรกันทั้งคู่ ผมก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดงานของพ่อแม่มาก แต่เหมือนว่าพวกท่านจะรับงานรีสอร์ททางภาคใต้มารับผิดชอบ ตอนพ่อเล่าให้ฟังเดือนก่อนผมรู้สึกเฉยๆ ไม่คิดเลยว่ามันจะทำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นกับชีวิตผม

     “แต่ผมทำอาหารไม่เป็นนะ พ่อจะให้ผมหัดทำเองจริงๆ เหรอ เกิดผมทำครัวพังขึ้นมาไม่รู้ด้วยนะ”

     “ก็สั่งไลน์แมนเอาสิวะ พ่อไม่ได้ยึดค่าขนมแกซะหน่อย”

     ก็ถ้าพ่อจะยึดจริงๆ ผมไม่มีทางยอมแน่บอกเลย

     “ทำไมพ่อกับแม่ใจร้ายจัง ตั้งสามเดือนเชียวนะครับ ถ้าผมเหงาขึ้นมา...”

     “หัดโตซะบ้างเจ้าซน แกต้องเป็นผู้ใหญ่ได้แล้วนะ”

     ใบหน้าจริงจังของพ่อทำให้ผมไม่กล้างอแงต่อ ที่ผ่านมาพ่อแม่มักตามใจผมตลอด ไม่เคยขัดใจผมสักครั้ง แล้วทำไมจู่ๆ ถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้เนี่ย

     “เรื่องทำอาหารยังไม่ต้องหัดก็ได้ แต่เรื่องซักผ้า ทำความสะอาดบ้าน เดินทางไปเรียน ทุกๆ อย่างในชีวิตแกต้องเริ่มรับผิดชอบด้วยตัวเองตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าแกทำไม่ได้ก็อย่าหวังว่าจะโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้ จำเอาไว้!”





     นั่นแหละครับ ด้วยเหตุประการนี้ทั้งปวงผมจึงต้องอยู่บ้านคนเดียวอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายในท้องเล ลมพัดลมเพลอยมาไกล คิดดูสิครับ ทั้งบ้านมีผมอยู่คนเดียว เหงาแค่ไหนถามใจเธอดูแล้วกัน

     อีกตั้งสองปีกว่าผมจะเรียนจบ พ่อจะรีบให้ผมเป็นผู้ใหญ่ทำไมก็ไม่รู้ ขอใช้ชีวิตวัยรุ่นให้เต็มที่ก่อนไม่ได้หรือไง วัยรุ่นเป็นได้แค่ครั้งเดียวนะ

     ผมเปิดประตูห้องนอนของตัวเองเข้ามา ตะกร้าเสื้อผ้าที่ใส่แล้วหน้าห้องกองพะเนินเทินทึก เป็นสัญญาณว่าผมควรเอาไปซักได้แล้ว ปกติแม่จะเอาไปซักเครื่องให้ แต่ตอนนี้แม่ไม่อยู่ คนที่เอาไปซักคงต้องเป็นผมสินะ

     ที่จริงก็ไม่อยากซักหรอก ถ้าทำได้ก็อยากหมกคาตะกร้าไว้อย่างนั้นแหละ แต่เสื้อผ้าในตู้ไม่เหลือแล้ว และผมคงไม่ซกมกพอที่จะใส่เสื้อผ้าซ้ำ ดังนั้นก็ซักๆ ไปเถอะ แค่ซักผ้า หัดนิดหน่อยเดี๋ยวก็ทำเป็นแล้ว (มั้ง)

     ผมเดินถือตะกร้าลงบันไดอย่างทุลักทุเล พอมาถึงหน้าเครื่องซักผ้าแล้วก็วางตะกร้าลงพลางหอบหายใจ ไม่รู้ว่าเหนื่อยเพราะตะกร้าหนักหรือเพราะระยะทางจากห้องผมมาถึงเครื่องซักผ้ามันไกลกันแน่

     ผมเปิดฝาเครื่องแล้วเทเสื้อผ้าทั้งหมดลงไป ตามด้วยผงซักฟอกที่แม่วางไว้ข้างๆ พอปิดฝาและกำลังจะกดซักผมถึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเอง...ใช้เครื่องซักผ้าไม่เป็น

     เวรกรรม ใช้ยังไงวะเนี่ย ปุ่มอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะไปหมด ถ้าผมกดผิดมันคงไม่ระเบิดหรอกนะ

     ผมมองไปที่คำอธิบายใต้ปุ่ม พอเจอปุ่มที่เขียนว่า open ก็รีบกดลงไปอย่างไม่ลังเล ปุ่มถัดมาเขียนว่า water level มีเลขหนึ่งถึงห้ากำกับไว้ด้วย อืม...คงหมายถึงปริมาณน้ำที่ใช้ซักล่ะมั้ง ผมชะโงกหน้าไปดูผ้าในเครื่อง เยอะขนาดนี้คงต้องใช้ระดับห้าถึงจะพอ

     ใช้เวลาศึกษาปุ่มบนเครื่องซักผ้าไม่นานทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย ผมถอยออกมา มองเครื่องซักผ้าตรงหน้าด้วยความภูมิใจ ผมนี่มันเก่งจริงๆ เลย ขนาดไม่เคยใช้มาก่อนแต่ศึกษานิดเดียวก็ทำเป็นแล้ว เห็นทีคงต้องเอาไปอวดพ่อซะหน่อย เผื่อจะได้ค่าขนมเดือนหน้าเพิ่ม

     เครื่องซักผ้ายังนิ่งเหมือนเดิม ไม่สั่นหรือส่งเสียงครืดๆ อย่างที่ควรเป็น แต่แม่เคยบอกไว้ว่ามันต้องใช้เวลาสักพัก ผมที่สบายใจที่ได้ซักผ้าแล้วเลยหันหลังขึ้นห้องไปเล่นเกมต่อ

     ระหว่างขึ้นบันไดผมก็ผิวปากไปด้วยอย่างสบายอารมณ์ เอาจริงๆ พ่อแม่ไม่อยู่บ้านก็ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องดีนะครับ อย่างน้อยก็เล่นเกมได้ทุกเวลาที่ต้องการ กินข้าวหรือขนมตอนไหนก็ได้ นอนดึกแค่ไหนก็ไม่มีใครว่า มาคิดๆ ดูแล้วการอยู่บ้านคนเดียวก็ไม่เลวร้ายอย่างที่คิด

     ผมเดินยิ้มแย้มเข้ามาในห้องนอน แต่ทันทีที่หันไปเห็นหน้าต่างรอยยิ้มก็หุบลงฉับพลัน

     “เฮ้ย!”

     ผมเห็นว่าวันนี้ลมแรงน่าจะเย็นสบายดีเลยเปิดหน้าต่างตรงโต๊ะหนังสือทิ้งไว้ หลังจากนั้นก็เกิดครึ้มอกครึ้มใจ หยิบผ้าเช็ดหน้าที่รักแรกของผมให้ตอนเรียนมัธยมออกมาดู นั่งมองไปมองมาก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ซักผ้า เลยวางผ้าเช็ดหน้าไว้บนโต๊ะแล้วเอาลงไปซัก โดยที่ผมไม่ได้เฉลียวใจเลยว่าผ้าเช็ดหน้าเล็กๆ ผืนเดียว เมื่อเจอลมแรงที่พัดเข้ามาในห้อง...มันย่อมปลิวเป็นธรรมดา!

     ผมรีบวิ่งลงไปชั้นล่าง พอมาถึงใต้ต้นไม้ที่ผ้าเช็ดหน้าปลิวมาติดก็รีบเงยหน้าไปมอง ก่อนจะถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นว่ามันยังอยู่ที่เดิม ผมต้องรีบเอาลงมาก่อนที่ลมจะพัดมันไปที่อื่น แต่...จะเอาลงมายังไงล่ะ ผมไม่ใช่แม่นาค จะให้ยื่นมือยาวๆ ขึ้นไปเอาก็ดูจะแฟนตาซีไปหน่อย

     ผมหันซ้ายหันขวา เงยหน้าขึ้นลงเพื่อชั่งใจ ต้นไม้ต้นนี้ไม่ค่อยสูงเท่าไหร่ แถมดูทรงแล้วน่าจะปีนได้ง่ายอยู่

     เอาวะ ลองดูสักตั้ง!

     ผมเอื้อมมือไปจับกิ่งไม้ที่ดูแข็งแรง จากนั้นก็ออกแรงดันตัวเองโดยเอาเท้าพาดกับลำต้น ใช้เท้าถีบตัวเองขึ้นไปแล้วใช้มือเกาะลำต้นเพื่อไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ

     พ่อบอกให้หัดทำอะไรด้วยตัวเองบ้าง ผมเลยประเดิมด้วยการปีนต้นไม้ด้วยตัวเอง เออ...เจริญจริงๆ ถ้าพ่อรู้เข้าจะให้รางวัลเป็นค่าขนมหรือไม้หน้าสามกันวะเนี่ย

     ผมพยายามไต่ระดับขึ้นมาอย่างทุลักทุเล เหงื่อผุดเต็มหน้าแต่ก็ไม่ย่อท้อ จนในที่สุดผมก็ขึ้นมาถึงจุดที่ผ้าเช็ดหน้าปลิวมาติด ผมยิ้มกว้างอย่างดีใจ ยื่นมือไปข้างหน้าหมายจะคว้าผ้าเช็ดหน้า แต่อย่างที่เขาว่ากันว่าบุญมีแต่กรรมบัง จังหวะที่ผมขยับตัวไปข้างหน้าเพราะผ้าเช็ดหน้าอยู่ไกล กิ่งไม้ที่ผมเกาะอยู่ก็เริ่มส่งเสียงแปลกๆ

     ครืด...ครืด...

     เสียงอะไรวะ ทำไมมันฟังดูเหมือน...

     เปราะ!

     เสียงกิ่งไม้หัก!!

     “เฮ้ย!!!”





     ผมค่อยๆ ลืมตาอย่างช้าๆ พอสายตาปรับโฟกัสได้ผมจึงรู้ว่าที่ตัวเองมองอยู่คือเพดานบ้าน ผมกะพริบตาปริบ หันซ้ายหันขวาเพื่อสำรวจรอบตัว นี่มันห้องนั่งเล่นบ้านผมนี่หว่า แล้วที่ผมนอนอยู่ก็คือบนโซฟา จริงสิ ก่อนหน้านี้ผมกำลังปีนต้นไม้เพื่อจะขึ้นไปเอาผ้าเช็ดหน้า แต่ดันพลัดตกลงมาก่อน

     เดี๋ยวก่อนนะ ผมนอนอยู่เหรอ

     ผมเข้ามานอนในบ้านตัวเองได้ยังไง?

     ผมผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความรวดเร็ว ทันใดนั้นความปวดบริเวณหน้าผากก็แล่นเข้ามาจนต้องนิ่วหน้า ผมยกมือมากุมหน้าผาก ขณะเดียวกันก็มีเสียงฝีเท้ากำลังเดินเข้ามาในห้องนี้ ผมรีบหันขวับไปมองทันที หัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม

     พ่อบอกว่าต้องไปทำงานที่ภูเก็ตสามเดือน แถมงานยังยุ่งมากจนไม่มีเวลากลับบ้าน ดังนั้นเจ้าของเสียงฝีเท้าจึงไม่ใช่พ่อแม่ผมแน่นอน พี่น้องผมก็ไม่มีสักคน งั้นคนที่อยู่ในบ้านกับผมตอนนี้...คือโจรเหรอ!?

     ช่วงเวลาเดียวกับที่ผมหาคำตอบให้ตัวเองได้ ชายร่างสูงคนหนึ่งก็เดินถือกล่องคอตตอนบัดกับแอลกอฮอล์เช็ดแผลเข้ามา เขาดูตกใจเล็กน้อยที่เห็นผมตื่นแล้ว แต่ผมนี่สิตกใจจนเกือบสลบไปอีกรอบ เอาไงดีวะ อาวุธป้องกันตัวก็ไม่มี คาราเต้ก็ไม่เคยเรียน ถ้ามันจับกดน้ำขึ้นมาจะสู้ได้ไหมเนี่ย แค่ขนาดตัวก็แพ้ราบคาบแล้ว

     “ตื่นแล้วเหรอ” นั่นคือประโยคแรกที่ไอ้โจรหน้าหล่อพูดกับผม ผมหันรีหันข้าง โชคดีที่บนโต๊ะข้างโซฟามีแจกันดอกไม้วางอยู่ ผมรีบหยิบมาขู่พลางทำหน้า (ที่พยายามให้) โหด ไอ้โจรผงะไปนิดหนึ่ง มันขมวดคิ้วทำหน้างง

     “ยะ...อย่าเข้ามานะโว้ย ถ้าเข้ามาจะฟาดให้หัวแตกเลยคอยดู”

     “…”

     “จะเอาอะไรก็เอาไป แต่ได้ของแล้วก็รีบๆ ไสหัวไปซะ ไม่งั้นอย่าหาว่าสุดหล่อไม่เตือน”

     ไอ้โจรหน้าหล่อทำหน้างงเป็นไก่ตาแตก สักพักก็ถอนหายใจเหมือนเอือมระอาอะไรสักอย่าง มันเดินเอาของในมือมาวางบนโต๊ะโดยไม่สนหน้าโหดๆ ของผมแม้แต่น้อย ผมยกแจกันขึ้นเหนือหัวตอนที่มันทำท่าจะเดินเข้ามา ตั้งท่าเตรียมทุ่มไปบนหัวไอ้โจรสุดแรงเกิด แต่พริบตาเดียวแจกันก็ไปอยู่ในมือของมันได้ยังไงไม่รู้ ผมที่ไม่มีอะไรป้องกันจึงหลับตาเตรียมโดนมีดแทงเหมือนในข่าว แต่สิ่งที่มาปะทะร่างกายผมกลับไม่ใช่มีด แต่เป็น...

     โป๊ก!

     “โอ๊ย!” ผมยกมือมากุมหัว ลืมตามองคนที่บังอาจมาเขกหัวกันได้ หน้าไอ้โจรอยู่ห่างจากผมไม่ถึงคืบ ตามปกติผมควรถอยห่างเผื่อมันจะประทุษร้ายอะไรอีก แต่พอได้เห็นหน้าในระยะประชิดแบบนี้ผมกลับนิ่ง คุ้นจัง...ทำไมรู้สึกเหมือนเคยเห็นหน้าแบบนี้ที่ไหน

     “หน้าก็เอ๋ออยู่แล้ว นิสัยยังจะเอ๋ออีกเหรอวะ”

     เอ๋อ?

     ใครก็ได้บอกผมที ไอ้โจรหน้าหล่อมันกำลังด่าผมอยู่ใช่ไหม

     “ถ้ากูเป็นโจรจริงๆ คงไม่ช่วยลิงตกต้นไม้เข้ามานอนในบ้านแบบนี้หรอก”

     “ว่าใครเป็นลิง”

     “ก็มึงไงไอ้ซน”

     หืม? ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงรู้ชื่อผมได้ เป็นคนรู้จักของพ่อแม่เหรอ

     “ทำหน้าเอ๋อแบบนี้คงงงอยู่ล่ะสิ กะแล้วว่ามึงต้องจำกูไม่ได้” ไอ้โจร...ไม่สิ ผู้ชายตรงหน้าถอนหายใจเล็กน้อยพลางหันไปหยิบคอตตอนบัดมาจุ่มแอลกอฮอล์เช็ดแผล ผมมองการกระทำนั้นด้วยความงุนงง จนกระทั่งเขาหันมาผมถึงถามออกไป

     “ตกลงมึง...เอ๊ย...คุณ...เอ๊ย...พี่ไม่ใช่โจรเหรอ”

     “ยากจังเนอะกับการหาสรรพนามมาเรียกกูเนี่ย”

     “ก็ผมไม่รู้จักพี่เลยไม่รู้ว่าควรเรียกยังไง ตกลงพี่ไม่ใช่โจรใช่ไหม”

     “ไม่ใช่”

     “ถ้างั้นพี่เป็นใคร”

     คนตัวสูงส่ายหัวไปมา ชี้ไปยังบ้านข้างๆ “เห็นบ้านหลังนั้นไหม”

     “เห็นดิพี่ บ้านน้าพรไง”

     “รู้จักน้าพรด้วยเหรอ”

     “ต้องรู้จักอยู่แล้ว เป็นเพื่อนบ้านกันนี่นา”

     “ถ้ามึงรู้จักน้าพรก็ต้องรู้จักกูด้วยสิ”

     ผมหันไปมองคนพูดอีกครั้ง คราวนี้ตั้งใจมองกว่าเดิมเผื่อจะจำขึ้นมาได้บ้าง จะว่าไปผมก็คุ้นหน้าเขามาตั้งนานแล้ว แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ดูจากคำพูดเขาน่าจะเป็นญาติน้าพร หรือไม่...ก็เป็นลูก...

     หืม? ลูกน้าพรงั้นเหรอ

     “พี่ธาร...?”

     มุมปากคนตรงหน้ายกยิ้มทันทีที่ผมเอ่ยชื่อออกไป มือหนาเอื้อมมายีหัวเบาๆ “จำได้ซะทีนะมึง นี่ถ้ายังนึกไม่ออกกูจะพาไปหาหมอแล้วนะ นึกว่าตกต้นไม้จนความจำเสื่อมไปแล้ว”

     “โห่พี่ ใครจะไปจำได้ ผมไม่เคยคุยกับพี่สักคำ เคยแต่เห็นหน้าข้ามรั้วผ่านๆ นี่ผมจำชื่อพี่ได้ก็เก่งมากแล้วนะ”

     “หยุดโม้แล้วมาทายาก่อน หน้าผากมึงแดงไปหมดแล้ว”

     ผมควรรู้สึกยังไงวะเนี่ย จู่ๆ พี่ชายข้างบ้านที่ไม่รู้จักก็เข้ามาช่วยตอนที่ตกต้นไม้ ถ้าเปลี่ยนพี่ธารเป็นผู้หญิงที่ผมชอบคงเป็นเฟิร์สอิมเพรสชันที่แย่มากแน่ๆ

     “พี่ธาร” ผมเรียกตอนที่เขากำลังทายาบนหน้าผากให้ หน้าพี่แกโหดนะครับ แต่มือโคตรเบาเลย ผมนึกว่ากำลังถูกปุยนุ่นปฐมพยาบาลให้

     “อะไร”

     “พี่รู้ได้ไงว่าผมตกต้นไม้”

     “ร้องลั่นซะขนาดนั้น อย่าว่าแต่กูเลย ยามหน้าปากซอยยังได้ยินเลยมั้ง”

     “พี่นี่ใจดีเหมือนกันนะเนี่ย ผิดกับหน้าตาลิบลับเลย”

     “มึงพูดกับคนที่ช่วยมึงแบบนี้เหรอ”

     “ผมชมต่างหาก ถ้าไม่ได้พี่ป่านนี้ผมคงนอนตากลมอยู่นอกบ้าน”

     “กูเห็นสภาพตอนมึงตกลงมาแล้วรับไม่ได้ หน้าเอ๋อแล้วยังจะซุ่มซ่ามอีกนะ”

     ผมนิ่วหน้า รู้สึกอยากตบปากตัวเองที่ไปชมพี่มัน เอาคำชมคืนมาเลย

     “พี่ว่าผมเอ๋อหลายรอบแล้วนะ จะหาเรื่องกันเหรอ”

     “ก็มึงมันเอ๋อจริงๆ” พี่ธารพูดจบพอดีกับที่ทายาให้ผมเสร็จ หันไปหยิบผ้าเช็ดหน้าบนโต๊ะที่ตอนแรกผมไม่ได้สังเกต “เอ้า ผ้าเช็ดหน้ามึง ทีหลังเก็บไว้ดีๆ ล่ะ”

     “เฮ้ย! ผมลืมไปเลย ขอบคุณมากพี่” ผมรับผ้าเช็ดหน้ามาด้วยความดีใจ มัวแต่วุ่นเรื่องตกต้นไม้จนลืมไปสนิทเลย

     “กินอะไรหรือยัง”

     “ยังครับ พี่ถามทำไมอะ”

     “เดี๋ยวกูทำให้กิน”

     “หือ?”

     “ตกใจอะไร กูบอกว่าจะทำอาหารให้กิน”

     “พี่จะมาทำให้ผมทำไม”

     พี่ธารเอื้อมมือมาผลักหัวผม ทำหน้าเหมือนผมถามอะไรที่ไม่ควรถาม “กูก็ไม่ได้อยากดูแลมึงหรอก แต่พ่อแม่มึงฝากให้กูดูแลมึง แล้วพ่อแม่กูก็ไปทำงานกับพ่อแม่มึงด้วย ไม่รู้เหรอ”

     พอได้ยินพี่ธารพูดผมถึงนึกได้ว่าพ่อแม่พี่ธารก็เป็นวิศวกรเหมือนพ่อแม่ผม ที่บ้านพวกเราสนิทกันเพราะครอบครัวผมกับครอบครัวพี่ธารทำงานบริษัทเดียวกันนั่นเอง

     “พี่ไม่ต้องมาดูแลผมก็ได้ ผมโตแล้วนะ ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาดูแล” พูดดีไปอย่างนั้นแหละครับ เหตุผลจริงๆ ที่ผมไม่อยากให้พี่ธารมาดูแลเพราะผมรู้ว่าคำว่าฝากของพ่อแม่คงรวมไปถึงตรวจดูพฤติกรรมด้วย เรื่องอะไรผมจะยอมมีผู้ปกครองคนที่สาม ไม่เอาด้วยหรอก

     “แต่จากที่เห็นวันนี้กูว่ามึงน่าจะต้องการคนดูแลนะ”

     ผมนิ่วหน้าอีกรอบ รู้สึกทะแม่งๆ กับคำพูดของคนตรงหน้า “ทำไมพี่ชอบหาเรื่องผมจังวะ บอกว่าโตแล้วก็โตแล้วสิ”

     พี่ธารทำหน้าเหนื่อยใจ อะไรวะ ผมดูเป็นเด็กไม่รู้จักโตขนาดนั้นเลยเหรอ

     “งั้นมึงลองไปดูเครื่องซักผ้า”

     “ทำไมต้องไปดูด้วย”

     “จะได้รู้ไงว่ามึงอยู่บ้านคนเดียวไม่ได้”

     ถึงจะไม่เข้าใจแต่ผมก็ยอมลุกไปดูเครื่องซักผ้า พี่ธารจะทดสอบด้วยการให้ผมเอาผ้าที่ซักเสร็จแล้วไปตากเหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงคือเขาดูถูกผมมากเลยนะ แค่ตากผ้าใครๆ ก็ทำ...

     “เฮ้ย! ทำไมเป็นแบบนี้อะ” เสียงอุทานผมดังขึ้นตอนที่เปิดฝาเครื่องแล้วพบว่าเสื้อผ้าที่อยู่ในนั้นยังอยู่สภาพเดิมเหมือนตอนที่ใส่เข้าไป ผมว่าผมกดครบทุกปุ่มแล้วนะ ผงซักฟอกก็ใส่แล้วด้วย หรือมีขั้นตอนไหนที่ผมมองข้ามไปวะ

     ระหว่างที่ผมกำลังยืนงง พี่ธารก็เดินผ่านผมไปด้านหลังเครื่องซักผ้า หยิบปลั๊กไฟขึ้นมาพร้อมยิ้มมุมปาก

     “กูเพิ่งรู้ว่าเครื่องซักผ้าบ้านมึงไม่ต้องเสียบปลั๊กก็ทำงานได้”

     “…”

     “ก็พอรู้อยู่หรอกว่ามึงเอ๋อ แต่ไม่นึกว่าจะขนาดนี้ กูว่าเปลี่ยนชื่อจากซนเป็นเอ๋อดีกว่ามั้ง”

     ผมยืนหน้าดำหน้าแดง อยากพูดอะไรสักอย่างแต่ไม่รู้จะพูดอะไร หน้าดำเพราะโกรธที่โดนว่า หน้าแดงเพราะอายความซุ่มซ่ามของตัวเอง

     “กะ...ก็แค่ลืมเสียบปลั๊ก ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่สักหน่อย”

     “แค่ซักผ้ายังไม่ได้เรื่องเลย ขืนทำอาหารเองครัวไม่ระเบิดเลยเหรอ” พี่ธารยิ้มเยาะพลางสาวเท้ามาใกล้ วางมือบนหัวผมแล้วโยกเบาๆ “เพราะแบบนี้สินะพ่อแม่มึงถึงต้องฝากมึงไว้กับกู แค่วันแรกก็สร้างวีรกรรมได้ขนาดนี้ มึงนี่มันซนสมชื่อจริงๆ”

     บางทีผมก็สงสัยนะว่าพ่อแม่ฝากลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไว้กับคนแบบนี้ได้ยังไง หน้าก็หล่ออยู่หรอก แต่ปากไม่ได้ครึ่งของหน้าเลย แล้วแบบนี้ชีวิตสามเดือนของไอ้ซนจะเป็นยังไงวะเนี่ย ไม่อยากนึกเลยให้ตายสิ!



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     ใครเล่นทวิตเตอร์ เข้าไปพูดคุยกันได้ในแท็ก #รักข้ามรั้วBL นะครับ ฝากคอมเมนต์ติชม ให้กำลังใจนักเขียนด้วยนะครับ ^^

     Twitter : earthxxide

     Fanpage : Earthxxide
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-05-2023 15:00:26 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 2
คนรู้จัก


     เช้านี้ผมควรตื่นมาอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น เพราะระหว่างที่ผมกำลังหลับฝันหวานก็มีเสียงจากชั้นล่างดังเข้ามาในห้องจนฝันผมกระเจิง

     ใครมาทำอะไรในบ้านผมวะเนี่ย คนกำลังหลับอยู่นะเว้ย

     ตอนแรกผมจะไม่สนใจแล้วหลับต่อ แต่เสียงนั้นมันดังอยู่นานจนผมหลับต่อไม่ไหว ต้องลุกขึ้นมาดูด้วยอาการงัวเงีย แต่พอเห็นหน้าคนที่มาทำเสียงดังในบ้าน อาการงัวเงียก็เปลี่ยนเป็นตกใจทันที

     “พี่ธาร!”

     “อ้าว ตื่นแล้วเหรอ กำลังจะไปปลุกพอดีเลย” พี่ธารในชุดนักศึกษาที่กำลังทอดไข่หันมาพูดกับผม กลิ่นอาหารทำให้ผมตาสว่าง ผมกะพริบตาปริบ รู้สึกมึนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก

     นี่มันอะไรวะเนี่ย ทำไมจู่ๆ พี่ธารถึงมาทำอาหารในบ้านผมได้

     “ทำหน้าเอ๋ออีกแล้ว ไปล้างหน้าแปรงฟันไปจะได้มากินข้าว”

     “พี่ทำอะไรอยู่”

     “ทอดไข่ไง ไม่เห็นเหรอ”

     “ไม่ใช่ ผมหมายถึงพี่มาทำอาหารในบ้านผมทำไม”

     พี่ธารเทไข่เจียวใส่จาน ปิดไฟกระทะก่อนจะหันมาตอบคำถาม “กูบอกไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะว่าจะมาดูแลมึงระหว่างที่พ่อแม่ไม่อยู่”

     “ผมก็บอกไปตั้งแต่เมื่อวานเหมือนกันว่าผมดูแลตัวเองได้”

     “แค่เครื่องซักผ้ายังใช้ไม่เป็น คิดว่ากูจะไว้ใจให้มึงอยู่บ้านคนเดียวเหรอ รีบไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว มัวแต่พูดมากเดี๋ยวไปเรียนสายหรอก”

     ผมยู่ปากทำหน้าขัดใจ แต่ก็ต้องจำใจไปอาบน้ำแต่งตัวเพราะเดี๋ยวจะสายจริงๆ ประมาณสิบนาทีผมก็กลับลงมาในชุดนักศึกษา พี่ธารตักข้าวไว้ให้ผมแล้ว และดูเหมือนเขาจะอยู่กินข้าวกับผมด้วย นอกจากไข่เจียวแล้วยังมีไก่ทอดกับผัดผัก หน้าตาน่ากินมาก

     “ผมนึกว่าพี่จะมาช่วยแค่ตอนเดือดร้อน ไม่นึกว่าจะดูแลขนาดนี้”

     “ตอนแรกกูก็ตั้งใจแบบนั้น จนกระทั่งเห็นวีรกรรมมึงเมื่อวาน กูเลยรู้ว่าไม่ควรปล่อยให้มึงอยู่บ้านคนเดียว”

     “พี่ก็พูดเกินไป ผมอายุยี่สิบแล้วนะ”

     “งั้นกูถามหน่อย ถ้ากูไม่มาทำอาหารให้มึงจะกินอะไร” พี่ธารพูดด้วยสีหน้ายียวนพลางตักข้าวเข้าปาก

     “ผมก็ทำกินเองไง ไม่เห็นยาก”

     “ทำเป็นด้วย?”

     “อ้าว พี่ดูถูกผมเหรอ ได้” คนอย่างไอ้ซน ฆ่าได้หยามไม่ได้ครับ ต่อให้เป็นความจริงก็ห้ามหยาม ผมลุกไปยังห้องครัว หยิบไข่ในตู้เย็นมาหนึ่งฟอง พี่ธารที่เดินตามมารีบเข้ามาห้ามทันที

     “มึงจะทำอะไร”

     “ก็จะทอดไข่ให้พี่ดูไง”

     “ทำไม่เป็นก็อย่าฝืน เกิดครัวพังขึ้นมากูไม่รู้ด้วยนะ”

     เหมือนพี่ธารเอาน้ำมันมาราดบนกองไฟ ยิ่งพูดแบบนี้ผมยิ่งขึ้น ผมสะบัดมือพี่ธารออก หันไปตั้งกระทะแล้วหยิบน้ำมันมาเท พี่ธารทำท่าจะเข้ามาห้ามอีกครั้ง แต่ผมพูดดักไว้ก่อน

     “พี่อย่าเข้ามาช่วยนะ ผมจะทำให้ดูว่าแค่ทอดไข่ใครๆ ก็ทำได้”

     “ไอ้ซน นั่นมัน...”

     “บอกว่าอย่าช่วยไงครับ”

     พอโดนผมพูดย้ำพี่ธารเลยได้แต่ยืนมองด้วยสีหน้าเหนื่อยใจปนวิตกกังวล ผมกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ อยากมาดูถูกดีนัก เดี๋ยวผมจะทำไข่เจียวที่อร่อยกว่าของพี่มันให้ดู

     เอ...ก่อนอื่นต้องตีไข่สินะ จากนั้นก็ใส่น้ำปลาลงไป ผมจำได้เพราะเคยเห็นแม่ทำอาหาร ผมนี่ความจำดีเหมือนกันแฮะ

     จังหวะที่เอื้อมมือไปหยิบขวดน้ำปลาบนตู้ หางตาผมก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง มันคือขวดน้ำมันที่ตั้งอยู่ริมตู้ ผมขมวดคิ้ว จำได้ว่าบ้านผมมีน้ำมันแค่ขวดเดียวไม่ใช่เหรอ แล้วน้ำมันมาอยู่ในตู้ได้ไงในเมื่อผมหยิบออกมาแล้ว ด้วยความสงสัยผมเลยหันไปถามร่างสูงที่ยืนกอดอกอยู่หน้าห้องครัว

     “พี่ซื้อน้ำมันมาเพิ่มเหรอ”

     “เปล่า กูใช้น้ำมันในตู้ ขวดที่อยู่หน้ามึงนั่นแหละ”

     “อ้าว ถ้างั้น...”

     ผมหันไปมองขวดน้ำมันที่หยิบออกมาตอนแรก เพราะสีและฉลากคล้ายกันผมเลยนึกว่ามันคือน้ำมัน แต่พอหยิบมาอ่านฉลากข้างขวดดีๆ แล้ว...

     “เชี่ย! น้ำส้มสายชู!!”





     “ยิ้มอะไร”

     “เปล่า”

     “โกหก เห็นอยู่ว่าพี่ยิ้ม”

     ร่างสูงที่กำลังขับรถไม่พูดอะไร แต่มุมปากที่ยกยิ้มทำให้รู้ว่าเจ้าตัวกำลังกลั้นขำ ผมมุ่ยหน้า ยิ่งเห็นรอยยิ้มของพี่ธารยิ่งหงุดหงิด ไม่ได้หงุดหงิดพี่มัน หงุดหงิดตัวเองนี่แหละ

     ทำอาหารไม่เป็นยังจะทำเป็นเก่ง เป็นไงล่ะ เก่งมากเลยกูเนี่ย ทำให้พี่มันหัวเราะเยาะสองวันติด เก่งจริงๆ

     “จะขำก็ขำออกมาเลยครับ ไม่ต้องกลั้นไว้หรอก” ผมพูดพลางหันหน้าหนี พี่ธารหันมามองแวบหนึ่งก่อนหันไปมองถนนต่อ เสียงหึดังในลำคอ

     “เป็นอะไร อายเหรอ ไม่ต้องอายหรอก ไม่เหลืออะไรให้อายแล้ว”

     พี่ก็อย่าซ้ำเติมได้ปะวะ แค่นี้ผมก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้วเนี่ย

     ผมนั่งหน้าบึ้งไปตลอดทาง พี่ธารก็ขับรถด้วยใบหน้ายิ้มแย้มไปตลอดทาง จนกระทั่งถึงมหา’ลัยผมจึงปลดเข็มขัด เตรียมเดินปึงปังลงจากรถ แต่พอเห็นอีกฝ่ายปลดเข็มขัดเหมือนกันผมเลยเลิกคิ้ว

     “พี่จะลงทำไมอะ”

     “แล้วมึงจะให้กูเรียนในรถหรือไง”

     “หือ? พี่ธารเรียนมอนี้ด้วยเหรอ”

     คนถูกถามส่ายหัวไปมา สีหน้าอยู่ตรงกลางระหว่างขำกับเหนื่อยใจ “กูเรียนที่เดียวกับมึงจนจะจบอยู่แล้ว เพิ่งรู้หรือไง”

     “ใครจะไปรู้เล่า ไม่เคยคุยกันนี่นา” ผมยู่ปาก พี่ธารทำเสียงหึในลำคอก่อนจะไล่ผมลงจากรถ ผมลงมายืนข้างประตู กำลังจะแยกไปคณะตัวเอง แต่พี่ธารก็อ้อมมายืนขวาง

     “เลิกเรียนกี่โมง”

     “หือ?”

     “จะหืออะไรนักหนา หูตึงหรือไง”

     “พี่ก็ถามอะไรที่คนเพิ่งรู้จักกันควรถามหน่อยดิ”

     “มีมึงคนเดียวแหละที่เพิ่งรู้จัก อย่าลีลา ตอบมาว่าเลิกเรียนกี่โมง”

     ผมทำหน้าบึ้งแต่ก็ตอบคำถามกลับไป โดยไม่ได้เอะใจคำพูดของอีกฝ่าย พี่ธารพยักหน้าก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งให้ผม

     “เอาเบอร์มึงมา”

     “จะเอาไปทำไม”

     “ทำไมชอบถาม ไม่ถามสักเรื่องจะตายไหม” คนตรงหน้าดุแต่ก็ยอมอธิบาย “จะมารับกลับบ้าน ทีนี้จะให้เบอร์ได้ยัง”

     ผมพิมพ์เลขสิบหลักลงไปในโทรศัพท์ก่อนส่งคืนเจ้าของ พี่ธารโทรมาหาผมแล้วตัดสายไป เท่ากับตอนนี้เรามีเบอร์ของกันและกัน พี่ธารเอื้อมมือมาวางบนหัวผม โยกไปมาเหมือนเด็กๆ

     “ไปเรียนได้แล้ว ตั้งใจเรียนล่ะ หน้าเอ๋อแล้ว อย่างน้อยฉลาดบ้างก็ยังดี”

     ผมว่าผมคงได้เก็บคำว่าเอ๋อไปฝันสักวัน พี่ธารเล่นพูดกรอกหูตลอดเวลาจนผมเกือบนึกว่าตัวเองชื่อเอ๋อจริงๆ

     ผมถลึงตาใส่พี่ธาร เขาหัวเราะในลำคอ ผลักหัวผมเบาๆ แล้วเดินแยกไปอีกทาง ผมเดินไปตึกคณะตัวเอง ยังไม่ทันถึงก็มีเสียงเรียกดังขึ้นมา พอหันไปมองก็เห็นเพื่อนสนิทสองคนกำลังโบกไม้โบกมือ ผมเดินเข้าไปหาโดยส่งเสียงนำไปก่อนตัว

     “ทำไมวันนี้มาเร็วกันจัง”

     “ไม่ต้องมาถามกู นู่น ไปถามมันเถอะ เรียนสิบโมงแต่โทรมาปลุกเจ็ดโมง ไม่รู้จะให้กูมาบิณฑบาตหรือไง” ผิงบุ้ยปากไปยังคนที่นั่งตรงข้าม น้องนายหัวเราะแหะๆ ยกมือลูบท้ายทอย

     “พอดีจู่ๆ ก็เกิดอยากกินก๋วยจั๊บร้านป้าบัวขึ้นมาน่ะครับ แต่ร้านนี้หมดเร็วเลยต้องมาแต่เช้า”

     “แล้วจะลากกูมาด้วยทำไม”

     “ก็ผมไม่อยากนั่งกินคนเดียวนี่ครับ คุณผิงก็รู้ว่าผมขี้เหงา”

     “แล้วมึงไม่รู้เหรอว่ากูขี้เซา”

     “ผมเชื่อว่าคุณผิงเห็นเพื่อนสำคัญกว่าเตียงนอน”

     “ก็พูดซะอย่างนี้ แล้วจะให้กูปฏิเสธได้ไง”

     ผมส่ายหัวยิ้มๆ ขณะมองเพื่อนถกกันไปมา ผมมีเพื่อนสนิทสองคน คนแรกชื่อผิง เป็นผู้หญิงอวบระยะแรก มันให้เรียกแบบนั้นครับ มันบอกว่าไม่ได้อ้วนแค่มีเนื้อมีหนังพอน่ารัก คนที่สองชื่อนาย แต่พวกผมเรียกกันว่าน้องนาย เนื่องจากเรียกชื่ออย่างเดียวแล้วรู้สึกแปลกๆ น้องนายเป็นผู้ชายตัวเล็กที่หน้าตากับนิสัยเหมือนผู้หญิงมากกว่าผิงอีก คำพูดคำจาไพเราะ ไม่เคยพูดหยาบสักครั้ง ถ้ามองจากสายตาคนนอกคงสงสัยว่ามันมาสนิทกับพวกผมได้ยังไง ผมกับผิงนี่คนละขั้วกับน้องนายเลย

     “ว่าแต่เมื่อกี้ใครมาส่งคุณซนเหรอครับ” น้องนายถามพลางดูดชานมไข่มุกไปด้วย ผิงหันมาทำหน้าอยากรู้เหมือนกัน ผมนิ่วหน้า ไม่ตอบในทันที ไม่ใช่ไม่อยากตอบ แต่ไม่รู้จะตอบยังไง

     “คนรู้จักน่ะ” ตอบแบบนี้คงได้มั้ง ผมเพิ่งรู้จักพี่ธารได้ไม่นาน เอาสถานะนี้ไปก่อนแล้วกัน

     “มึงมีคนรู้จักอยู่มอเดียวกันด้วยเหรอ ทำไมไม่เคยบอก”

     กูก็เพิ่งรู้เหมือนมึงนั่นแหละผิง รู้ก่อนมึงไม่กี่นาทีด้วย

     “คนรู้จักห่างๆ น่ะ ไม่ใช่ญาติ” ผมบอกไปแบบนั้นเพราะถ้าให้เล่าจริงๆ คงยาว ผิงกับน้องนายพยักหน้ารับรู้ เลิกสนใจเรื่องผมแล้วเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น

     “เย็นนี้พวกมึงว่างปะ ไปดูแข่งบาสกัน กูได้ยินมาว่าพี่บอนด์จะลงด้วย”

     “คุณผิงเลิกชอบพี่เต้แล้วเหรอครับ” น้องนายเอียงคอถาม พี่เต้คือรุ่นพี่วิศวะที่ผิงตามกรี๊ดอยู่ตอนนี้ มีดีกรีถึงอดีตเดือน’มหาลัย แต่เอาจริงๆ ผมก็เห็นมันกรี๊ดผู้ชายทุกคน

     “ใครบอกกูเลิกชอบ”

     “ก็คุณผิงพูดเหมือนจะหันไปชอบพี่บอนด์แทน”

     “คุณน้องนาย ทำไมเราต้องเลือกคะในเมื่อรวบสองได้ พี่เต้ก็งานดี พี่บอนด์ก็งานพรีเมียม รักพี่เสียดายน้องรู้จักไหม”

     ผมกับน้องนายหันมามองตากัน ผิงยิ้มหน้าบานราวกับมันได้รวบสองจริงๆ โดยไม่ได้คำนึงถึงความจริงเลยว่าคนที่มันคิดจะรวบไม่รู้จักมันด้วยซ้ำ

     “ตกลงพวกมึงจะไปกับกูไหม” ผิงทวงคำตอบอีกครั้ง

     “กูไม่มีธุระอะไร”

     “ผมก็ไม่มี”

     “ดี ไปเป็นเพื่อนหน่อย คนอื่นจะได้ไม่รู้ว่ากูตั้งใจไปดูผู้ชายโดยเฉพาะ”

     สายตามุ่งมั่นขนาดนี้ มองจากดาวพลูโตยังรู้เลยว่าเพื่อนผมไม่ได้ไปดูการแข่งบาส ผมส่ายหัวแต่ไม่ได้ขัดอะไร เพราะเย็นนี้ผมไม่มีธุระจริงๆ ไว้ค่อยโทรไปบอกพี่ธารก็ได้ว่าจะกลับเอง พี่แกคงไม่มีปัญหาหรอกมั้ง





     ตึกคณะผมห่างจากสนามบาสพอสมควร แถมอาจารย์ยังปล่อยเลต กว่าจะมาถึงพื้นที่ก็ถูกจับจองไปเกือบหมดแล้ว ผมเพิ่งรู้ว่าการแข่งบาสเล่นๆ ในกลุ่มจะมีคนมาดูเยอะขนาดนี้ แถมส่วนใหญ่ยังเป็นผู้หญิงอีก ทันทีที่พวกผมเข้ามาเสียงกรี๊ดก็ดังกระหึ่มอัฒจันทร์

     “นั่นไงมึง หูย หล่อวัวตายควายล้มจริงๆ พ่อคุณ”

     ผมเพ่งสายตาไปตามมือของผิง มองจากตรงนี้เห็นพ่อคุณของมันไม่ชัดเท่าไหร่ รู้แค่ว่าเป็นผู้ชายร่างสูง ไหล่กว้าง รูปร่างดี เคลื่อนไหวร่างกายคล่องแคล่ว นั่นคือพี่บอนด์สินะ

     “พี่บอนด์ขา สู้ๆ ผิงเอาใจช่วยเต็มที่” ผิงตะโกนเชียร์ด้วยแรงรักทั้งหมดที่มี แต่แรงรักของมันดันโดนเสียงคนรอบข้างกลบจนมิด ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเชียร์ต่อไป

     ผมนั่งมองการแข่งบาสกับเพื่อน จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนลืมบางอย่าง ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งถึงนึกออกว่าลืมบอกพี่ธาร ฉิบหาย ป่านนี้ไม่รอเก้อแล้วเหรอวะ ผมรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างไว กำลังจะกดโทรออก แต่ดันเหลือบไปเห็นข้อความในไลน์ก่อน

     พี่ธารไลน์มาบอกเมื่อชั่วโมงที่แล้วว่าเย็นนี้อาจมารับช้าหน่อยเพราะติดแข่งบาส ผมขมวดคิ้ว พี่ธารแข่งบาสด้วยเหรอ สัญชาตญาณบางอย่างทำให้ผมเงยหน้าจากโทรศัพท์มองไปในสนาม พอดีกับที่ผิงพูดขึ้นมา

     “พี่ธารอย่ายอมแพ้นะคะ ผิงเอาใจช่วย ทำแต้มนำให้เยอะๆ เลย”

     “เมื่อกี้คุณผิงยังเอาใจช่วยพี่บอนด์อยู่เลยนะครับ”

     “เอ๊ะไอ้น้องนาย ต้องให้บอกอีกกี่รอบว่าเราไม่จำเป็นต้องเลือก ของดีแบบนี้จะเหลือให้คนอื่นทำไม เราต้องเก็บไว้คนเดียวสิ”

     “ผิง”

     “อะไร”

     “พี่ธารที่มึงพูดถึงคือคนไหน”

     ผิงทำหน้างงที่จู่ๆ ผมก็เกิดสนใจผู้ชายในสต๊อกมัน แต่มันก็ยอมบอก

     “คนนั้นไง ที่ใส่เสื้อสีน้ำเงิน อยู่ทีมเดียวกับพี่บอนด์”

     ผมมองตามมือของผิง ก่อนดวงตาจะค่อยๆ เบิกกว้าง ผู้ชายที่หุ่นพอๆ กับพี่บอนด์กระโดดชู้ตบาสลงห่วงได้อย่างสวยงาม เรียกเสียงกรี๊ดจากทุกสารทิศจนอัฒจันทร์แทบแตก แน่นอนว่าเพื่อนผมก็ด้วย

     “กรี๊ด! พี่ธารเก่งมากเลยค่ะ เท่ที่สุดในสามโลกเลย พี่บอนด์ก็ด้วย เอาใจน้องผิงคนนี้ไปเลยค่าาาา”

     ผมว่าเสียงกรี๊ดคนอื่นดังมากแล้วนะ แต่ผิงมันก็ยังมีความสามารถในการตะโกนให้ดังกว่า ผู้ชายสองคนมองขึ้นมาเมื่อถูกเอ่ยชื่อ พี่บอนด์ส่งยิ้มชวนละลายมาให้ ทำเอาเพื่อนผมรวมถึงสาวๆ ที่อยู่บริเวณนี้ตายกันเป็นแถบ แต่อีกคนกลับมองมาที่ผมด้วยสีหน้าแปลกใจ แต่ไม่นานมุมปากก็ยกยิ้ม พี่ธารหันไปคุยบางอย่างกับพี่บอนด์ หลังจากนั้นก็วิ่งออกมาจากสนามโดยให้เพื่อนอีกคนมาเล่นแทน

     ทุกคนต่างแปลกใจว่าทำไมจู่ๆ พี่ธารถึงออกมา มีแค่ผมคนเดียวที่พอเดาได้ว่าเขาจะทำอะไร และก็เป็นจริงอย่างที่คิด พี่ธารเดินขึ้นมาบนอัฒจันทร์ มีสายตานับสิบมองตาม เขาเดินขึ้นมาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่หน้าผม ย่อตัวจนสายตาอยู่ระดับเดียวกัน ผิงที่นั่งข้างๆ เกิดอาการใบ้รับประทาน พูดไม่ออกชั่วขณะ ผมเองก็ใบ้รับประทานเหมือนกัน แต่เหตุผลต่างออกไป

     “มาเชียร์กูด้วยเหรอ ทำไมไม่บอกกันก่อนล่ะ”

     “…”

     “รอแป๊บนึง เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว เดี๋ยวพาไปหาอะไรกิน อย่าเพิ่งหนีกลับนะ”

     พี่ธารยืนขึ้นเมื่อได้พูดสิ่งที่อยากพูดหมดแล้ว วางมือบนหัวผมแล้วโยกเบาๆ ก่อนจะกลับไปรวมตัวกับคนอื่น โดยไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองได้ทิ้งระเบิดลูกใหญ่เอาไว้

     คนทั้งอัฒจันทร์เงียบกริบ ต่างมองมาที่ผมเป็นจุดเดียว ผมลอบกลืนน้ำลาย ค่อยๆ หันไปมองเพื่อนตัวเอง น้องนายมองผมด้วยแววตาสงสัย ผิดกับอีกคนที่จ้องจนผมแทบพรุน ผิงยื่นหน้ามาใกล้ ทำหน้าเหมือนตำรวจกำลังจะไต่สวนผู้ต้องหา ตั้งแต่คบกันมาผมเพิ่งเห็นมันทำหน้าน่ากลัวแบบนี้ครั้งแรก

     “มึงไปรู้จักกับพี่ธารได้ยังไง ตอบค่ะ”

     “คือเรื่องมันยาว...”

     “ยาวแค่ไหนกูก็มีเวลาฟัง”

     พี่ธารนะพี่ธาร จะขึ้นมาทักทายทำไมก็ไม่รู้ กลัวคนอื่นไม่รู้หรือไงว่ารู้จักกัน กลับมาช่วยอธิบายเลยนะไอ้พี่บ้า!!



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter : earthxxide

     Fanpage : Earthxxide
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-05-2023 15:24:58 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1405
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 3
เด็กเอ๋อ


     ระหว่างที่ผมอธิบายยาวเหยียดเรื่องความสัมพันธ์ของผมกับพี่ธาร ผิงก็เอาแต่ฟังด้วยหน้านิ่งๆ จนกระทั่งผมเล่าจบมันก็เอื้อมมือมาจับบ่า ทำหน้าจริงจังเหมือนกำลังวางแผนยึดครองโลก

     “ซน”

     “อะไร”

     “กูอยากสิงร่างมึงว่ะ”

     “อะไรของมึงวะผิง” ผมงงเป็นไก่ตาแตก น้องนายก็ไม่ต่างกัน ผิงเลิกเก๊กหน้านิ่ง เปลี่ยนมาทำหน้ากระเง้ากระงอด

     “หูยยย ได้อยู่ข้างบ้านพี่ธารเลยนะ แถมครอบครัวยังรู้จักกันอีก รู้ไหมว่ามึงเป็นคนที่น่าอิจฉาที่สุดในมหา’ลัย”

     “ขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

     “เออสิวะ” ผิงหันไปตอบน้องนาย ยิ้มแปลกๆ จนผมขนลุกขนพอง “ถ้าบ้านกูอยู่ติดกับบ้านพี่ธารนะ กูจะทำขนมไปให้เขาทุกวันเลย ไม่มีผู้ชายคนไหนไม่หลงเสน่ห์ปลายจวักของผู้หญิงหรอก น้ำหยดลงหินทุกวัน หินจะไม่ใจอ่อนให้มันรู้ไป”

     ผมยิ้มแหยๆ กับจินตนาการของเพื่อน ไม่กล้าขัดว่าเสน่ห์ปลายจวักหรือปลายคมมีดกันแน่ ผิงเคยทำขนมมาให้ผมกับน้องนายชิม นั่นคือครั้งเดียว ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่มันทำขนมในชีวิต ไม่ต้องถามถึงรสชาตินะครับ เอาเป็นว่าไม่ต้องหามส่งโรงพยาบาลก็บุญแล้ว ถือเป็นโชคดีของพี่ธารที่ไม่ได้อยู่ติดบ้านผิง

     ตอนนี้ผมยืนรอพี่ธารอยู่ข้างอัฒจันทร์ พี่ธารกำลังไปเปลี่ยนชุดหลังการแข่งจบลง ผิงกับน้องนายอาสาอยู่รอเป็นเพื่อน น้องนายกลัวผมเหงา แต่ผิงผมว่ามันอยากเห็นพี่ธารระยะใกล้มากกว่า

     “แต่พูดก็พูดเถอะ มึงกล้ามากนะคะที่ให้เขาเป็นแค่คนรู้จัก” จู่ๆ ผิงก็หุบยิ้มแล้วหันมาเล่นงานผม

     “มึงจะให้กูตอบยังไง กูรู้จักแต่แม่พี่ธาร ไม่เคยคุยกับเขาสักครั้ง ขนาดเขาเรียนมอเดียวกันกูยังเพิ่งรู้เลย คนยังไม่สนิทกันก็ต้องให้เป็นคนรู้จักปะวะ”

     “แต่กูว่าเขาเหมือนพี่ชายมึงมากกว่า อารมณ์แบบพี่ชายข้างบ้าน พ่อกับแม่มึงก็ฝากฝังให้เขาดูแลมึงระหว่างที่ไม่อยู่ไม่ใช่เหรอ คนรู้จักธรรมดาคงไม่ไว้ใจกันขนาดนี้หรอก”

     “ผมคิดเหมือนคุณผิงนะครับ คุณซนอย่าคิดว่าพี่ธารเป็นแค่คนรู้จักเลย ถ้าเขามาได้ยินจะเสียใจ เป็นเพื่อนบ้านกันมานานแต่อีกฝ่ายกลับบอกว่าเราเป็นแค่คนรู้จัก”

     ผมอยากบอกน้องนายเหลือเกินว่าไอ้พี่ธารไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องแค่นี้หรอก ดีไม่ดีคนที่ควรเสียใจต้องเป็นผมด้วยซ้ำ รู้จักกันวันแรกก็ว่าผมเอ๋อแล้ว ไหนจะสารพัดคำสบประมาทอีก ผู้ชายอะไรหล่อเสียของจริงๆ

     “เอ๋อ”

     นั่นไง พูดยังไม่ทันขาดคำก็โดนว่าอีกแล้ว พี่เกลียดอะไรผมหรือเปล่าวะ เอาแต่ว่าเอ๋อๆๆ อยู่ได้ ผมไม่ได้เอ๋อสัก...

     !!!

     ผมหันขวับไปมองเจ้าของเสียงทุ้ม พี่ธารกำลังยืนอยู่ตรงหน้า บนบ่าสะพายกระเป๋า ผิงกับน้องนายกะพริบตาปริบเมื่อได้ยินฉายาที่ไม่คุ้นหู ผมแทบจะแยกเขี้ยวใส่พี่มัน ชื่อมีไม่เรียกดันเรียกเอ๋อ

     “กลับกัน กูหิวแล้ว”

     “เมื่อกี้พี่ธารเรียกเพื่อนหนูเหรอคะ” ผิงถามหน้าเหลอหลา เหมือนมันจะตะลึงฉายาผมจนลืมเขินพี่ธารในระยะใกล้ พี่ธารยิ้มมุมปาก เป็นยิ้มที่มีผมรู้ความหมายคนเดียว

     “ครับ”

     ผิงกับน้องนายหันมามองผม สายตาเป็นเครื่องหมายคำถาม แต่ใครจะไปอธิบายให้เข้าตัวล่ะ นาทีนี้ต้องรีบเผ่น

     “เจอกันพรุ่งนี้นะพวกมึง กูกลับก่อน”

     “อะ...โอเค เจอกันพรุ่งนี้”

     “กลับดีๆ นะครับคุณซน”

     ผมบอกลาเพื่อนก่อนจะรีบจูงมือพี่ธารออกมา พอเดินมาถึงลานจอดรถก็หันไปทำหน้าบึ้งใส่ทันที

     “เรียกผมว่าเอ๋อต่อหน้าเพื่อนทำไม”

     “อะไร กูว่าชื่อนี้เข้ากับมึงออก”

     “ผม ชื่อ ซน ไม่ ได้ ชื่อ เอ๋อ” ผมเน้นทีละคำ เผื่อมันจะเข้าไปในสมองคนตรงหน้าบ้าง

     “กูรู้ แต่กูจะเรียกเอ๋อ มีปัญหาไหม” พี่ธารยักคิ้วหลิ่วตา ยิ้มยียวนกวนประสาท ไอ้...โว้ยยย! ไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาเยินยอ

     “พี่แม่งชอบแกล้ง”

     “ถ้าไม่อยากให้แกล้งก็หยุดเอ๋อดิ”

     “ผมไม่ได้เอ๋อสักหน่อย”

     พี่ธารไม่พูดอะไรต่อ แต่รอยยิ้มในดวงตาบอกว่าอีกฝ่ายกำลังนึกถึงวีรกรรมที่ผ่านมาของผม เออ ผมยอมรับว่าทำอะไรไม่ค่อยเป็น แต่ไม่เห็นต้องว่าเอ๋อเลย คนเราผิดพลาดกันได้ สี่เท้ายังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ไม่เคยได้ยินหรือไง

     “ขึ้นรถได้แล้ว กูหิว ชักช้าเดี๋ยวก็ทิ้งไว้นี่หรอก” พี่ธารเร่ง ผมทำหน้าไม่พอใจแต่ก็ยอมขึ้นรถ ไม่ใช่อะไรนะครับ ผมกลับบ้านเองไม่เป็น คิดมาถึงตรงนี้แล้วก็อดนิ่วหน้าไม่ได้ หรือผมจะเอ๋ออย่างที่พี่มันบอกจริงๆ วะ

     ผมเหลือบไปมองคนที่กำลังขับรถ พี่ธารผิวปากเหมือนอารมณ์ดีที่ได้แกล้งผมต่อหน้าเพื่อน ยิ่งทำให้หน้าผมบูดบึ้งกว่าเดิม มึงมาดูเลยนะผิง คนแบบนี้น่ะเหรอจะมาเป็นพี่ชายกู ไม่มีทางซะหรอก ให้ตายยังไงผมก็ไม่นับญาติกับไอ้พี่ธารเด็ดขาด!





     “เด็กน้อย”

     “หยุดเลยนะพี่ธาร”

     “ก็มึงมันเด็กจริงๆ”

     “บอกให้หยุดไง”

     พี่ธารส่ายหัวอย่างระอา มองชามบะหมี่ผมที่มีผักถูกเขี่ยไว้ข้างๆ แค่ไม่กินผักเอง วัยรุ่นสมัยนี้เป็นกันตั้งหลายคน ผมแข็งแรงอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องพึ่งเศษวิตามินในใบเขียวๆ ไม่กี่ใบนี่เลย

     “อายุเท่าไหร่แล้วมึงน่ะ”

     “เด็กกว่าพี่แล้วกัน” อยากมาว่าดีนัก หลอกด่าว่าแก่ซะเลย

     “ไม่เถียง เด็กจริงๆ เด็กไม่รู้จักโตด้วย ผักแค่นี้ยังไม่กิน เลือกกินแบบนี้ไงถึงโตไม่ทันคนอื่น อยู่มหา’ลัยแต่ขนาดตัวอย่างกับเด็กประถม...”

     “คร้าบบบ ผมรู้แล้ว พี่ไม่ต้องบ่นแล้ว” ผมรีบคีบผักใบเขียวเข้าปากแทบไม่ทัน เมื่อคนตรงหน้าเทศนายาวเหยียดจนเกือบยกมือไหว้ ผมคิดถูกจริงๆ ที่ไม่ให้พี่ธารเป็นพี่ชาย แต่ถ้าพ่อนี่อีกเรื่อง พ่อแท้ๆ ยังไม่บ่นผมขนาดนี้เลย นี่เล่นซะหูเกือบไหม้

     พี่ธารหัวเราะหึๆ เมื่อเห็นผมกินผักจนหมดชาม หมดก่อนหมูอีก พูดขนาดนั้นใครจะไปทนเฉยได้วะ

     “แล้วทำไมวันนี้ถึงไปอยู่สนามบาสได้ มาเชียร์กูเหรอ”

     “ตลกแล้ว ผมตามเพื่อนไปเฉยๆ แล้วมันก็ไปเชียร์พี่บอนด์ ไม่ได้ไปเชียร์พี่” ผมถือว่าไม่ได้โกหก เพราะตอนแรกผิงบอกแค่ว่าจะไปดูพี่บอนด์จริงๆ ส่วนหลังจากนั้นไม่นับ

     “ไม่เป็นไร เชียร์เพื่อนกูก็ถือว่าเชียร์กู”

     “พี่บอนด์เป็นเพื่อนพี่เหรอ”

     “อืม”

     ผมก็พอรู้อยู่บ้างว่าคนหน้าตาดีชอบคบหากันเอง แต่พวกพี่ไม่คิดจะเผื่อแผ่ความหล่อให้คนอื่นเลยเหรอครับ คนหล่อจับกลุ่มกับคนหล่อหมด คนขี้เหร่อย่างผมก็ไม่มีที่ยืนสิ





     “อิ่มหรือเปล่า” พี่ธารถามเมื่อเห็นผมกินหมดแล้ว

     “อิ่มดิพี่ ลุงแกให้มาตั้งเยอะ ไม่อิ่มก็ไม่ใช่คนแล้ว”

     “แค่ถามเฉยๆ เห็นหุ่นเลยนึกว่ากินจุ”

     ผมรีบก้มมองตัวเองทันที พี่ธารพูดแบบนี้จะสื่อว่าผมอ้วนเหรอ ช่วงนี้ผมแค่กินขนมจุกจิกเยอะไปหน่อยเอง อะไรจะน้ำหนักขึ้นเร็วปานนั้น

     “ผมไม่ได้อ้วน” ผมพูดออกไปอย่างมั่นใจ

     “อ้วน”

     “ไม่ได้อ้วน”

     “อ้วนสิ”

     ฮึ่ม! จะโกรธจริงๆ แล้วนะไอ้พี่ธาร

     “อ้วนอย่างเดียวไม่พอ แก้มย้วยอีก” ไม่พูดเปล่า พี่ธารเอื้อมมือมาดึงแก้มผมยืดออก ผมร้องออกมาด้วยความเจ็บ มือหรือตีนวะ

     “เอ็บบบ”

     “พูดให้ชัดๆ หน่อยเอ๋อ”

     “ไอ้อ้ายเอ๋อ”

     “พูดอะไรฟังไม่รู้เรื่อง” พี่ธารดึงแก้มผมขึ้นลงก่อนจะยอมปล่อย ยิ้มมุมปากราวกับพอใจที่ได้แกล้ง ผมยกมือมาลูบแก้มป้อยๆ ตัวก็ใหญ่มือยังหนักอีก

     “ผมบอกว่าผมไม่ได้เอ๋อ”

     “มึงเอ๋อ”

     “ก็บอกว่าไม่ได้เอ๋อไง”

     “ไม่เอ๋อสำหรับคนอื่นแต่เอ๋อสำหรับกู”

     ผมเอียงคอย่นคิ้ว มีแบบนี้ด้วยเหรอวะ อาการเอ๋อมันเลือกคนได้ด้วยเหรอ

     “นี่ไง ทำหน้าเอ๋ออีกแล้ว” พี่ธารยื่นหน้ามาใกล้ เล่นเอาผมผงะเล็กน้อย ถอยหน้าหนีแทบไม่ทัน “กูตัดสินใจละ หลังจากนี้กูเรียกมึงว่าเอ๋อดีกว่า”

     “ไม่เอา”

     “ไม่ต้องห่วง กูไม่เรียกต่อหน้าคนอื่นเหมือนวันนี้หรอก ไม่ให้คนอื่นเรียกมึงว่าเอ๋อด้วย กูเรียกได้คนเดียว สบายใจได้”

     ใครเขาห่วงเรื่องนั้นกัน!

     “จะเรียกตอนไหนก็ไม่ได้ทั้งนั้น”

     “อิ่มแล้วใช่ไหมเอ๋อ งั้นกลับกัน กูไปจ่ายเงินก่อน”

     “พี่ธาร!”

     เจ้าของชื่อไม่สนหน้าบึ้งๆ ของผม เดินตัวปลิวไปจ่ายเงินก่อนจะกลับมาพร้อมรอยยิ้ม ผมสะบัดหน้าหนี เดินดุ่มๆ ไปขึ้นรถ บอกว่าไม่ให้เรียกยังจะเรียกอีก คนอะไรพูดไม่รู้เรื่อง

     “เป็นอะไร” พี่ธารถามตอนที่ขึ้นรถมาแล้วเห็นว่าผมยังไม่หายบึ้ง

     “ถ้าพี่เรียกว่าเอ๋ออีกผมจะฟ้องแม่”

     “เอาสิ กูก็อยากรู้เหมือนกันว่าระหว่างเรื่องนี้กับเรื่องที่มึงใช้น้ำส้มสายชูแทนน้ำมันจนครัวเกือบพัง แม่มึงจะสนใจเรื่องไหนมากกว่า”

     ทำไมถึงร้ายกาจอย่างนี้!

     “พี่ขู่ผมเหรอ”

     “เปล่า กูเอาจริง” พี่ธารสตาร์ทรถพลางหันมามองผมแวบหนึ่ง มุมปากกระตุกยิ้ม “เอาน่า คิดอะไรมากมาย มึงควรดีใจด้วยซ้ำนะที่กูเรียกว่าเอ๋อ”

     “มันน่าดีใจตรงไหน”

     “ตรงที่มึงเป็นเด็กเอ๋อของกูคนเดียว”

     ผมหันไปมองคนพูด พอดีกับที่พี่ธารหันมา สายตาเราจึงสบกันโดยไม่ตั้งใจ

     “เป็นไง ดีใจขึ้นมาหรือยัง”

     ผมยู่ปากใส่ก่อนจะหันหน้าหนี พี่ธารหัวเราะหึๆ หันไปมองถนนตามเดิม ถ้าคนที่พี่ธารพูดด้วยคือผิง ป่านนี้มันคงเลือดหมดตัวไปแล้ว แต่เผอิญผมไม่ใช่ผิง และผมก็ไม่อยากเป็นเด็กเอ๋อของใครทั้งนั้น ไอ้พี่ธารคิดว่าหน้าหล่อๆ ของตัวเองใช้ได้กับทุกเพศหรือไง

     เอาเถอะ ห้ามไปก็คงไม่ฟังอยู่ดี ยังไงผมก็ต้องพึ่งพี่ธารไปอีกนาน ถึงไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่แต่ผมจะยอมเป็นเด็กเอ๋อของพี่ธารแล้วกัน



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter : earthxxide

     Fanpage : Earthxxide
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-05-2023 16:54:57 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 4
นิดเดียว


     ตั้งแต่วันที่พี่ธารประกาศต่อหน้าสาธารณชนว่าเรารู้จักกัน รอบตัวผมก็รายล้อมไปด้วยเหล่าแฟนคลับพี่ธาร บ้างก็มาฝากขนม บ้างก็มาฝากดอกไม้ หรือบางคนฮาร์ดคอร์กว่านั้น ฝากถ่ายรูปพี่ธารตอนเผลอเพื่อจะเอาไปลงเพจ ตกลงไอ้พี่ธารมาดูแลผมหรือมาทำให้ชีวิตผมวุ่นวายขึ้นกันแน่

     “ของใคร” เสียงทุ้มถามตอนที่ผมก้าวขึ้นมาบนรถ พี่ธารมองดอกไม้ในมือผมพลางขมวดคิ้ว

     “ของพี่ไง”

     เสียงถอนหายใจดังมาให้ได้ยิน ก่อนที่เจ้าของดอกไม้จะคว้าไปจากมือผม โยนไปเบาะหลังอย่างไม่สนใจ

     “อ้าวพี่! เดี๋ยวดอกไม้ช้ำหมด”

     “กูบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ต้องรับมา”

     “ตอนแรกผมก็ว่าจะไม่รับ แต่คนที่ฝากมาเขาบอกว่าชอบพี่จริงๆ แถมทำหน้าน่าสงสารจนผมปฏิเสธไม่ลง” ผมพูดเสียงอ่อย เหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก แต่ช่วงนี้จะเยอะหน่อยเพราะใกล้ถึงวันวาเลนไทน์ ซึ่งทุกครั้งพี่ธารจะบอกว่าคราวหลังไม่ต้องรับมาอีก แต่ผมก็ไม่เคยทำได้สักครั้ง

     “กูรับดอกไม้จากทุกคนไม่ได้หรอกนะ และกูก็ไม่อยากรับด้วย ยังเรียนอยู่แท้ๆ แทนที่จะเอาเงินไปใช้เรื่องของตัวเองดันเอามาซื้อดอกไม้ให้คนอื่น มึงไม่คิดว่าไร้สาระเหรอ”

     นี่ไงครับ สาเหตุที่คนมักจะฝากของมาทางผม ไม่เอามาให้พี่ธารตรงๆ ผิงเคยบอกว่าพี่ธารชอบทำหน้าโหด โลกส่วนตัวสูง คนทั่วไปเลยไม่กล้าเข้าหา แรกๆ ผมคิดว่าผิงพูดเกินไป แต่พอรู้จักกันไปนานๆ ผมถึงรู้ว่าสิ่งที่เพื่อนผมพูดยังน้อยไปด้วยซ้ำ

     “พี่ก็พูดเกินไป นั่นแฟนคลับพี่นะ เขารักพี่ปลื้มพี่เลยอยากให้ของเฉยๆ ก็แค่นั้นเอง”

     “เอ๋อ กูเป็นนักศึกษาธรรมดา ไม่ใช่ดาราหรือไอดอลที่อยากให้คนมามอบความรักให้ ถ้ามึงอยากใช้ชีวิตสงบๆ แต่กลับมีคนพยายามเข้าหาตลอดเวลา มึงจะไม่อึดอัดเหรอ”

     “…” พอพี่ธารพูดแบบนี้ผมก็เริ่มเห็นภาพ จริงอย่างที่พี่มันว่า การเป็นคนดังบางครั้งก็ไม่ได้มีแต่เรื่องดีเสมอไป ถ้าต้องเป็นคนดังแต่แลกกับไม่มีพื้นที่ส่วนตัว ผมยอมเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีใครสนใจยังดีกว่า

     “เข้าใจแล้วใช่ไหม กูไม่ได้อยากโด่งดังหรือเป็นที่รู้จัก กูแค่อยากใช้ชีวิตของกูเท่านั้น”

     “อื้อ ผมเข้าใจแล้ว”

     “งั้นคราวหลังห้ามรับมาอีกไม่ว่าจะดอกไม้หรืออะไรก็ตาม ถ้ายังมีคราวหน้ากูจะให้มึงซักเสื้อผ้าด้วยมือ”

     “เฮ้ย! เรื่องนั้นมาเกี่ยวได้ไงอะพี่” ผมโวยวาย ไอ้พี่ธารคิดจะใช้โอกาสนี้แกล้งผมเหรอ ไม่มีทาง เครื่องซักผ้าก็มีจะให้ซักมือทำไม เสื้อผ้าผมไม่ใช่น้อยๆ ซักมือทีมีหวังเมื่อยตายชัก

     “มึงจะได้ไม่กล้ารับมาอีกไง ถ้าไม่มีบทลงโทษมึงก็ไม่ทำตามที่กูบอกหรอก”

     “พูดดีๆ ผมก็ทำตามแล้ว”

     “กูพูดดีมากี่ครั้งแล้วฮะ หรือในนี้มันเอ๋อจนแปลคำพูดกูไม่ออก” พี่ธารใช้มือข้างที่ว่างมาผลักหัวผมเบาๆ

     “ก็ได้ๆ ผมรู้แล้ว หลังจากนี้ผมจะไม่รับของจากแฟนคลับพี่อีก พอใจยัง”

     พี่ธารกระตุกยิ้ม เป็นคำตอบว่าเจ้าตัวพอใจคำตอบของผม คนอะไรเผด็จการชะมัด ใช้อำนาจในทางมิชอบ ตัวเองเป็นคนทำให้ผมลำบากแท้ๆ ยังจะมาข่มขู่อีก ไอ้หล่อเสียของเอ๊ย!





     “ไม่ทำ” ผมยู่ปาก ส่ายหน้าไปมาจนผมกระจาย พูดคำเดิมซ้ำรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของวัน

     “แล้วมึงจะใส่ทั้งเปียกๆ แบบนี้เหรอ อยากปอดบวมหรือไง”

     “ทำไมพี่ไม่ปั่นแห้ง”

     “ปั่นแห้งเขาไว้ใช้ตอนเร่งรีบ นี่มึงว่างทั้งวัน แดดก็กำลังดี อย่ามัวแต่ลีลามาตากผ้าได้แล้ว”

     ผมยังยืนอยู่ที่เดิม ไม่ขยับตามที่พี่ธารสั่ง เห็นกองผ้าในตะกร้าแล้วใจมันท้อ ทีแรกพี่ธารจะให้ผมทำเองหมด แต่เพราะกลัวว่าผมจะทำเครื่องซักผ้าพังเขาเลยมาทำให้ ซึ่งผมคิดว่าไหนๆ ก็เอาผ้าลงเครื่องให้แล้วทำไมไม่ตากให้ด้วยเลยล่ะ พ่อให้มาดูแลผมไม่ได้ให้มาใช้ผมเสียหน่อย

     “เอ๋อ กูไม่ได้ว่างมาคุมมึงทั้งวันนะ รีบมาตากเร็ว”

     เรียกอย่างนี้ อย่าหวังเลยว่าไอ้ซนจะเชื่อฟัง

     “กูนับหนึ่งถึงสาม”

     ไม่รู้ ไม่สน ไม่ได้ยิน

     “หนึ่ง”

     นับก็นับไปสิ

     “สอง”

     ไม่เห็นกลัวเลย

     “สาม”

     ก็แค่พี่ชายข้างบ้าน ทำมาเป็น...

     “เฮ้ย!!” ผมร้องลั่นเมื่อจู่ๆ ร่างทั้งร่างก็ลอยขึ้นจากพื้น พี่ธารอุ้มผมขึ้นพาดบ่า เอาหัวห้อยจนเสียวตกแหล่ไม่ตกแหล่ พอจะร้องโวยวายก็โดนตีก้นแรงๆ จนเกิดเสียง ทำเอาผมนิ่งงันไปครู่ใหญ่

     อะ...ไอ้พี่ธาร...ไอ้พี่บ้ามันตีก้นผม!!!

     “ปล่อยนะโว้ยยย ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่งั้นฟ้องแม่จริงๆ ด้วย” ผมแหกปากโวยวาย ดิ้นสุดกำลังเพื่อจะได้หลุดออกไป แต่ไม่รู้ไอ้พี่ธารเอาแรงมาจากไหน ตัวผมก็ใช่ว่าจะเบา แต่พี่มันกลับยกด้วยแขนข้างเดียวได้สบายเหมือนยกปุยนุ่น

     “เอาสิ ดิ้นแรงๆ เลย ตกลงไปคอหักกูไม่รู้ด้วยนะ”

     ไม่รู้ว่าเป็นคำขู่หรือคำเตือน แต่มันก็ทำให้ผมหยุดดิ้นได้ทันที พี่ธารทำท่าจะทุ่มลงพื้น คราวนี้ผมเปลี่ยนมากอดคอพี่มันไว้แน่น เอาสิ ถ้าจะร่วงก็ร่วงไปด้วยกันนี่แหละ เกาะแน่นเป็นตุ๊กแกขนาดนี้เอาคีมมางัดก็ไม่ออกบอกเลย

     “ทีนี้จะยอมตากผ้าดีๆ ไหม” เสียงทุ้มถามข้างหู ผมรีบพยักหน้ารัวๆ

     “ตะ...ตาก ตากก็ได้”

     พี่ธารส่งเสียงหึในลำคอก่อนจะวางผมลง ผมรีบผละออกมาอย่างไว จ้องคนตรงหน้าราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ทั้งชีวิตไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับผมมาก่อน ไอ้พี่ธารกล้ามาก ผมจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องน้าพร จะใส่ความเยอะๆ เลยคอยดู

     “มองทำไม รีบไปตากสิ กูรู้ว่าตัวเองหล่อ ไม่ต้องมองนานก็ได้”

     ผมถลึงตาใส่คนหลงตัวเอง เดินฮึดฮัดไปยังตะกร้าเสื้อผ้าก่อนจะหยิบขึ้นมาตากทีละตัว ไอ้พี่บ้าก็เอาแต่ยืนมอง ไม่คิดจะมาช่วยเลยหรือไง นอกจากขี้แกล้งแล้วยังใจดำอีก เสียดายหน้าหล่อๆ ชะมัด

     “ตากดีๆ สะบัดก่อนด้วย ตากไม่ได้เรื่องกูให้ตากใหม่นะ”

     “รู้แล้วน่า สั่งเป็นพ่อผมเชียวนะ”

     “ไม่อยากเป็นพ่อ อยากเป็นอย่างอื่น”

     “พี่ว่าไงนะ” ผมหยุดมือที่กำลังตากผ้า หันไปถามคนที่พูดเสียงเบาจนจับใจความไม่รู้เรื่อง

     “กูบอกว่าถ้าตั้งใจทำเดี๋ยวมีรางวัลให้”

     ผมตาลุกวาวเมื่อได้ยินคำว่ารางวัล ลืมอารมณ์ขุ่นมัวเมื่อครู่ไปสนิท แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก ถ้าบอกกันก่อนผมยอมตากไปนานแล้ว ไม่ปล่อยให้โดนจับพาดขึ้นบ่าตีก้นหรอก

     “พี่พูดจริงเหรอ”

     “จริง”

     “ไม่ลูกไม้แน่นะ”

     “เออ ตากต่อได้แล้ว”

     ผมยิ้มกว้าง มีแรงตากผ้าขึ้นมาสิบเท่า พี่ธารจะให้อะไรผมนะ ค่าขนม เสื้อผ้าใหม่ หรือหุ่นกันดั้ม แต่จริงๆ ผมอยากรีเควสเองมากกว่า เผื่อรางวัลของพี่ธารไม่ถูกใจ

     ไอ้พี่ธารนี่ใจดีเหมือนกันแฮะ แบบนี้สิค่อยมีแรงทำงานบ้านหน่อย ตาผมเป็นประกายเมื่อนึกเรื่องดีๆ ออก ไว้คราวหน้าผมเอาเรื่องรางวัลมาต่อรองอีกดีกว่า ทำงานบ้านหนึ่งอย่างได้รางวัลหนึ่งชิ้น กว่าพ่อแม่จะกลับมาผมรวยเละแน่





     “แค่นี้อะนะ?”

     “เออ”

     “กูถามจริง เรื่องแค่นี้มึงถึงกับเอามาโกรธเขาเลยเหรอ” ผิงถามด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ หลังผมเล่าเรื่องตากผ้าให้มันกับน้องนายฟัง

     “มึงไม่เป็นกูไม่เข้าใจหรอกผิง”

     ผิงมองผมอย่างทึ่งๆ หันไปมองตากับน้องนายที่ทึ่งพอกัน ผมยังทำหน้าบอกบุญไม่รับ ยิ่งนึกถึงหน้าคนขี้โกหกยิ่งหงุดหงิด ไหนบอกว่าถ้าตากผ้าแล้วจะให้รางวัลไง นี่เลยมาสองวันแล้วยังไม่เห็นได้อะไรสักอย่าง ทำไมผมไม่เอะใจว่าไอ้พี่ธารหลอกผม

     “คุณซนใจเย็นๆ ก่อนดีไหมครับ พี่ธารอาจกำลังหารางวัลมาให้อยู่ก็ได้”

     “ปล่อยไปเถอะ ให้มันทำหน้าเหมือนปลาดุกโดนทุบต่อไปนั่นแหละ เดี๋ยวก็หาย” ผิงพูดอย่างไม่ใส่ใจ ผมรีบยกมือมาจับหน้าตัวเอง หน้าผมเหมือนปลาดุกโดนทุบเหรอ ขี้เหร่มากเลยนะนั่น ผิงมันไม่มีอย่างอื่นให้เปรียบเทียบแล้วหรือไง

     “ทำไมมึงพูดเหมือนกูผิดเลย พี่ธารต่างหากที่ผิด สัญญาไว้แต่ไม่ทำตามสัญญา ใครบ้างจะไม่โกรธ”

     “แต่นั่นมันหน้าที่มึง เขาไม่จำเป็นต้องมาช่วยด้วยซ้ำแต่ก็ยังมาช่วย มึงควรขอบคุณเขามากกว่ามานั่งโกรธเขาแบบนี้นะ”

     “ผมเห็นด้วยกับคุณผิงนะครับ”

     ผมหน้ามู่ทู่กว่าเดิมเมื่อเพื่อนไม่เข้าข้างสักคน อะไรวะ ผมผิดเหรอที่โกรธเพราะไม่ได้รางวัล ก็พี่ธารบอกเองว่าจะให้ ตัวเองพูดเองแล้วผิดสัญญาเอง มันก็สมควรโกรธไม่ใช่เหรอ

     “หน้าบึ้งอีกแล้ว หน้าแบบนี้ไม่เข้ากับมึงหรอก กลับมาทำหน้าเอ๋อเหมือนเดิมเถอะ”

     ไอ้นี่ก็อีกคน ขยันเอาคำของพี่ธารมาล้อจัง ถ้าผมเอ๋อขึ้นมาจริงๆ จะทำยังไง

     “เอ้า กูให้ ถือเป็นรางวัลปลอบใจ พี่ธารไม่ให้กูให้เอง” ผิงเลื่อนนมสดปั่นที่ยังไม่ได้แตะมาตรงหน้า ผมรับมาดูดโดยไม่อิดออด ถึงจะแทนกันไม่ได้แต่อย่างน้อยก็เป็นของฟรี ผมดูดน้ำไปในใจก็บ่นไอ้พี่ธารไป แต่จู่ๆ ผิงกับน้องนายก็เบิกตาโต ทำหน้าเหมือนเห็นผี นี่มันกลางวันแสกๆ จะมีผีได้ยังไง

     “เอ่อ...คุณซนครับ”

     “อะไร”

     “ผมว่าคุณซนเลิกโกรธพี่ธารเถอะครับ”

     “ไม่ กูไม่เลิก กูจะโกรธนานๆ เลย อยากมาหลอกกูก่อนเอง”

     “ใครหลอกอะไรมึง พูดดีๆ นะเตี้ย”

     ผมหันขวับไปมองทันที พี่ธารยืนอยู่ข้างหลังพร้อมดอกกุหลาบในมือ คนรอบข้างเริ่มหันมาสนใจพวกเรา ผมไม่รู้จะโฟกัสอะไรก่อนดี ระหว่างคำพูดของพี่ธาร ดอกกุหลาบที่ถืออยู่ หรือสรรพนามใหม่

     “พี่เรียกใครเตี้ย”

     “มึงไง”

     “ตกลงจะเอ๋อหรือเตี้ยกันแน่”

     “กูบอกแล้วไงว่าจะไม่เรียกเอ๋อต่อหน้าคนอื่น”

     เลยเรียกเตี้ยแทนสินะ ขอบคุณมากครับ ผมซาบซึ้งจริงๆ ถุย! ชื่อก็มีทำไมไม่เรียกวะ เอาแต่สรรหาคำดีๆ มาเรียกอยู่นั่นแหละ

     “แล้วเมื่อกี้พูดอะไร ใครหลอกมึง”

     “พี่ไง”

     “กูไปหลอกอะไร”

     “พี่บอกว่าจะให้รางวัลผม แต่สุดท้ายก็ไม่ให้”

     “ใครบอกไม่ให้ กูก็กำลังเอารางวัลมาให้มึงนี่ไง”

     ผมเลิกคิ้ว ยอมรับว่าแปลกใจปนตกใจนิดๆ พอได้ยินอย่างนั้นก็สอดสายตามองไปทั่วตัวพี่ธารทันที แต่ไม่ว่าจะมองยังไงก็ไม่เห็นของที่น่าจะใช่รางวัลเลย

     “ไหนอะรางวัลผม”

     พี่ธารไม่ตอบด้วยคำพูด แต่ยื่นดอกกุหลาบที่ถืออยู่มาให้แทน แวบแรกผมทำหน้างง ไม่เข้าใจว่าพี่มันยื่นมาให้ทำไม แต่วินาทีต่อมาดวงตาผมก็ค่อยๆ เบิกกว้าง อย่าบอกนะว่ารางวัลที่จะให้คือ...

     “นี่ไงรางวัลมึง”

     เสียงกรี๊ดในลำคอดังมาจากคนข้างๆ ผิงยกมืออุดปาก หน้าแดงเหมือนมันเป็นคนที่พี่ธารให้ดอกกุหลาบซะเอง ผมเงยหน้ามองเจ้าของดอกไม้ ใบหน้ามีเครื่องหมายคำถามแปะเต็มไปหมด

     “พี่ให้ดอกกุหลาบผม?”

     “อืม”

     “…” แดกจุดสิครับ ถึงกับอึ้งกันเลยทีเดียว นี่มันใช่ของรางวัลที่ผู้ชายควรให้ผู้ชายเหรอ แถมยังให้ในวันวาเลนไทน์อีก พี่ธารจำผมสลับกับผู้หญิงคนไหนหรือเปล่าวะ

     “รับไปสิ” พี่ธารเอ่ยเมื่อเห็นผมยังนิ่ง

     “นึกยังไงถึงให้ดอกกุหลาบผม”

     “กูสงสารมึง วาเลนไทน์ทั้งทีแต่ไม่มีใครให้ดอกไม้เลย”

     “…” แดกจุดรอบสอง รอบนี้แถมอ้าปากค้างด้วย ไอ้พี่ธารกำลังว่าผมขี้เหร่ทางอ้อมใช่ไหม ต้องใช่แน่ๆ ผมว่าผมไม่เคยไปทำอะไรให้นะ ทำไมชอบแกล้งกันนัก

     “ไหนพี่บอกว่าการเอาเงินตัวเองไปซื้อดอกไม้ให้คนอื่นเป็นเรื่องไร้สาระไง”

     “กูรวย ซื้อกุหลาบให้มึงแค่นี้ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอก”

     “…” โอเค ผมเลิกใส่ใจแล้วว่าวันนี้ต้องแดกจุดอีกกี่ครั้ง ขี้เกียจนับ ผมเอื้อมมือไปรับกุหลาบจากคนตัวสูงอย่างงงๆ ทั้งที่ควรโกรธแต่ไม่รู้ทำไมถึงไม่รู้สึกอย่างนั้นเลย ผมก้มมองดอกกุหลาบในมือ ดอกกุหลาบที่มาจากคนที่ไม่อินกับทุกอย่างในวันวาเลนไทน์

     “นอกจากกูแล้วมีใครให้กุหลาบอีกไหม”

     “หือ?” เพราะมัวแต่คิดอะไรเพลินๆ ผมจึงไม่ทันฟังสิ่งที่พี่ธารถาม

     “กูถามว่านอกจากกูแล้วมีใครให้กุหลาบอีกไหม”

     “ไม่มีหรอก ผมไม่ได้ฮอตเหมือนพี่นะ” พูดแล้วก็เจ็บนิดๆ ใช่สิ ใครมันจะไปหล่อเท่าพี่ล่ะ

     พี่ธารไม่ตอบอะไร แต่ผมรู้สึกเหมือนจะเห็นมุมปากยิ้มนิดๆ ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรต่อพี่ธารก็เอ่ยขอตัว

     “กูไปล่ะ เรียนเสร็จแล้วโทรมา”

     เพื่อนผมที่นั่งเงียบมาตลอดรีบยกมือไหว้พี่ธารกันแทบไม่ทัน พอร่างสูงเดินพ้นไปแล้วผิงก็หันมากรี๊ดใส่จนแก้วหูแทบแตก

     “อะไรของมึงเนี่ยผิง ผีเข้าเหรอ”

     “ยังจะมาถาม! พี่ธารให้ดอกกุหลาบมึงเลยนะ!”

     “แล้ว?”

     “กูอยากขยี้ตาร้อยรอบ พี่ธารที่เย็นชาใส่ทุกคน โลกส่วนตัวสูงยิ่งกว่าภูเขาหิมาลัยคนนั้น เอาดอกกุหลาบมาให้มึงในวันวาเลนไทน์เนี่ยนะ!”

     “จะตกใจทำไม เขาก็บอกอยู่ว่าให้เป็นรางวัลที่กูตากผ้า มันก็แค่นั้น”

     ผิงชะงัก หันมามองผมที่ทำหน้าสบายๆ ไม่มีความตื่นเต้นเหมือนมัน

     “มึงไม่เอะใจอะไรเลยเหรอ”

     “ไม่”

     “สักนิดก็ไม่เหรอ”

     ผมนิ่งคิดสักพักก่อนจะตอบคำเดิม “ก็ไม่นะ”

     “มึงนี่มัน...โอ๊ยยย กูหมดคำจะพูด” ผิงยกมือทึ้งหัวตัวเอง อะไรของมันวะ แล้วทำไมน้องนายถึงทำหน้าเหนื่อยใจอย่างนั้นล่ะ ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย

     “คุณผิงอย่าเพิ่งพูดดีกว่าครับ รอให้อะไรๆ ชัดเจนกว่านี้ก่อนค่อยบอกคุณซนดีกว่า ถึงมันจะชัดเจนอยู่แล้วก็เถอะ”

     ผิงพยักหน้าเนือยๆ ให้น้องนาย หันมามองผมด้วยสายตาเหนื่อยใจเหมือนกัน วันนี้เพื่อนผมเป็นอะไรกัน ทำไมเอาแต่ทำหน้าแปลกๆ

     “กูเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ธารถึงเรียกมึงว่าเอ๋อ”

     “อ้าว มึงหลอกด่ากูเหรอ”

     “กูพูดความจริง” ผิงยกมือกุมหน้าผาก “มึงคิดว่าคนอย่างพี่ธารจะให้ดอกกุหลาบใครเพราะเหตุผลแค่นั้นจริงเหรอ”

     “ก็ถ้าไม่ใช่เหตุผลนั้นแล้วจะเป็นอะไรได้อีก”

     คำพูดผมเหมือนไปกระตุ้นให้เพื่อนๆ เหนื่อยใจกว่าเดิม ผิงทำหน้าเหมือนอยากด่าผมว่าซื่อบื้อแต่ขี้เกียจพูดให้เปลืองน้ำลาย

     “เอาเถอะ ถึงกูไม่พูดสักวันมึงก็ต้องรู้ด้วยตัวเองอยู่ดี ว่าแต่หายโกรธพี่ธารแล้วใช่ไหม เขาเอารางวัลมาให้มึงแล้วนี่”

     ผมก้มมองดอกกุหลาบอีกครั้ง นี่ไม่ใช่รางวัลที่ผมคาดเดาไว้ แต่ถ้าถามว่าหายโกรธไหม...

     “ถึงรางวัลจะแปลกไปหน่อยแต่ก็น่าจะแทนกันได้ กูหายโกรธก็ได้วะ”

     ก็พี่ธารอุตส่าห์กลืนน้ำลายตัวเองด้วยการซื้อดอกกุหลาบมาให้ ต่อให้อยากโกรธก็โกรธไม่ลงหรอก เป็นครั้งแรกที่ผมคิดว่าพี่ธารน่ารัก แต่แค่นิดเดียวนะครับ ย้ำว่านิดเดียวจริงๆ ไว้พี่มันเลิกแกล้งเมื่อไหร่ผมค่อยเพิ่มความน่ารักให้แล้วกัน



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter : earthxxide

     Fanpage : Earthxxide
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-05-2023 17:14:47 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
นู๋ซนนนน นู๋จะเอ๋อแบบนี้ต่อไม่ได้แล้วนะลูก พี่ธารรุกหนักเว่อ :hao7: :hao7:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 5
คู่จริงไม่ใช่คู่จิ้น


     ผมเดินผิวปากไปยังตึกคณะ ริมฝีปากจุดยิ้มอารมณ์ดี คิดไม่ผิดจริงๆ ที่เมื่อเช้าเซตผมก่อนมา สาวๆ หันมามองกันตรึม ถ้ารู้ว่าทำแล้วจะฮอตขนาดนี้ผมจะเซตผมมาเรียนทุกวันเลย

     ผิงกับน้องนายนั่งเล่นอยู่ใต้ตึก รอเวลาขึ้นเรียน ผมเดินมาถึงโต๊ะแล้ววางกระเป๋า ถามเพื่อนๆ ด้วยเสียงร่าเริง

     “พวกมึง วันนี้กูหล่อปะ”

     คำตอบที่ผมเตรียมกางหูฟังคือ ‘โห โคตรหล่อเลย มึงไปทำอะไรมาเนี่ย’ ไม่ก็ ‘หล่อผิดหูผิดตาขนาดนี้กินอะไรเข้าไปวะ’ แต่อาการกลั้นขำทันทีที่หันมามองไม่ใช่ปฏิกิริยาที่ผมคิดว่าจะได้เห็น

     “ให้เดานะ มึงถามเพราะระหว่างทางมีคนมองล่ะสิ”

     “ทำไมมึงรู้” ผมย่นคิ้ว ความมั่นใจที่มีเริ่มหดหาย ขณะเดียวกันก็เริ่มรู้สึกถึงความแหม่งๆ น้องนายรีบจับแขนผิงเป็นเชิงห้ามไม่ให้พูด ยิ่งทำให้ผมมั่นใจว่ามันต้องมีอะไรเกิดขึ้น

     “เมื่อวานได้เข้าเฟซบุ๊กบ้างไหม”

     “ไม่ เมื่อวานกูหัวหมุนอยู่กับรายงาน ไม่ได้แตะโทรศัพท์เลย”

     “กูว่าแล้ว” ผิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดนั่นกดนี่อยู่สักพักก่อนจะส่งให้ผม “มึงดูเองแล้วกัน”

     “คุณซนอย่าดูเลยครับ เชื่อผมเถอะ” น้องนายเตือนด้วยความหวังดี แต่ของแบบนี้ยิ่งห้ามยิ่งยุ ผมรับโทรศัพท์มาจากผิง มองสิ่งที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ

     “เหี้ย!”

     “กูบอกแล้วว่ามันต้องอุทานคำนี้” ผิงหันไปพูดกับน้องนาย เสียงขลุกขลักเหมือนคนกลั้นขำ แต่นาทีนี้ผมไม่มีอารมณ์ขำกับมันสักนิด

     รูปพี่ธารยื่นดอกกุหลาบให้ผมกำลังโชว์หราอยู่บนเพจดังเพจหนึ่ง คนคอมเมนต์หลายร้อย กดถูกใจอีกนับพัน นั่นไม่ทำให้ผมขนลุกเท่าแคปชันบนรูป #คู่จริงไม่ใช่คู่จิ้น #ธารซน #เย็นชากับคนทั้งโลกเพื่ออ่อนโยนกับเธอคนเดียว #เรียลกว่านี้ก็จูบกันแล้ว

     ผมแทบจะปาโทรศัพท์ทิ้ง แต่ติดที่ว่าไม่ใช่ของผม ผิงที่อ่านสายตาผมออกรีบคว้าโทรศัพท์กลับไปอย่างไว ราวกับกลัวว่าถ้ามันยังอยู่ในมือผมอีกวินาทีเดียวอาจแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้

     “มุมกล้องสวยอยู่นะ อย่างกับช่างภาพมืออาชีพมาถ่ายเอง” ผิงกุมท้องพูดไปขำไป ผมถลึงตาใส่มัน อยากอาละวาดมากกว่านี้แต่อายโต๊ะข้างๆ ที่อุทานไปเมื่อกี้ก็หันมามองแทบทั้งคณะแล้ว

     “ผมบอกแล้วว่าอย่าดูคุณซนก็ไม่ฟัง”

     “ให้มันดูตอนนี้แหละดีแล้ว มันจะได้วางตัวถูก เพราะกูดูทรงแล้วเรื่องนี้น่าจะทอล์กออฟเดอะทาวน์ไปอีกนาน”

     อาการยิ้มแย้มแจ่มใสตอนเดินมาหายวับไปกับตา ตอนนี้ผมแทบจะเอาปี๊บมาคลุมหัว ไอ้พี่ธารนะไอ้พี่ธาร รางวัลมีเป็นร้อยดันให้ดอกกุหลาบ แล้วให้ต่อหน้าคนหมู่มากด้วยนะ

     “อย่าให้รู้นะว่าแอดมินเป็นใคร กูจะไปเตะก้านคอเดี๋ยวนี้เลย” ผมพูดลอดไรฟัน ผิงยังขำไม่หยุด เออ ขำเข้าไป แทนที่จะช่วยเพื่อนเสือกขำอยู่นั่นแหละ

     “คุณซนจะพูดเรื่องนี้กับพี่ธารไหมครับ ผมว่าถ้าพี่ธารเป็นคนออกปากรูปพวกนี้หายไปจากโซเชียลภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงแน่นอน”

     “ไม่”

     น้องนายทำหน้าแปลกใจกับคำตอบของผม แม้แต่ผิงที่กำลังขำยังมองมาด้วยสายตาแบบเดียวกัน

     “ถ้ากูพูดเดี๋ยวพี่มันก็หาว่ากูคิดอะไรอีก ปล่อยไว้แบบนี้แหละ กูไม่แคร์สักอย่าง”

     “แน่ใจว่าไม่แคร์ เหี้ยตัวเบ้อเร่อเลยนะเมื่อกี้”

     “ก็เมื่อกี้กูตกใจ ตอนนี้ตั้งสติได้แล้ว”

     ผิงยักไหล่ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูรูปอีกครั้ง ก่อนจะหันมาทางผมเหมือนอยากทดสอบว่าผมไม่แคร์จริงไหม ไอ้เพื่อนคนนี้ ถ้าไม่ติดว่าเป็นผู้หญิงผมเตะไปแล้วนะ

     “มึงอ่านแคปชันยัง”

     “อ่านแล้ว กูถึงได้หัวเสียอยู่นี่ไง”

     “อ่านดีๆ”

     “กูอ่านดีแล้ว”

     ผิงส่ายหน้าไปมา ทำปากจุ๊ๆ ราวกับผมยังอ่านไม่ดีพอ

     “มึงดูตรงนี้” มันชี้ไปยังแคปชันบนรูป “เวลาเขียนชื่อติดกันแบบนี้ ชื่อที่อยู่ข้างหน้าคือเมะ ส่วนชื่อที่อยู่ข้างหลังคือเคะ”

     “เมะเคะอะไรของมึง” ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจที่เพื่อนพูด

     “เมะคือรุก เคะคือรับ เวลาเขียนคู่กันชื่อเมะจะอยู่ข้างหน้า ชื่อเคะจะอยู่ข้างหลัง ชื่อมึงอยู่ข้างหลังก็แปลว่ามึงเป็นรับไง”

     “ไอ้...!!” ผมพรวดพราดลุกขึ้นยืน ก่อนจะรีบนั่งลงแทบไม่ทัน ได้แต่มองแคปชันในโทรศัพท์ด้วยสายตาอาฆาต “อย่าให้รู้นะว่าใครเขียน กูเอาตายแน่ เคะห่าอะไร”

     “ไหนว่าไม่แคร์” ผิงพูดยิ้มๆ

     “มาหาว่ากูเป็นรับ ใครมันจะหูทวนลมอยู่ได้วะ กูไม่ใช่รับโว้ยยย”

     “หุ่นมึงกับพี่ธารห่างกันเป็นลี้ เขาหุ่นบึกบึน จับตรงไหนก็เจอแต่กล้าม ของมึงมองผ่านๆ นึกว่ากุ้งแห้ง ถ้าเทียบกันจริงๆ ก็ไม่แปลกที่คนจะคิดว่ามึงเป็นรับ”

     ผมได้แต่หน้าหงิกบอกบุญไม่รับ น้องนายเอื้อมมือมาตบบ่าเบาๆ

     “ผมว่าเดี๋ยวคนก็ลืม ไม่ต้องคิดมากนะครับ อย่างมากก็แค่โดนคนทั้งมหา’ลัยมอง คุณซนอย่าเครียดเลย”

     ขอบใจมากน้องนาย แต่ที่มึงพูดมานั่นแหละที่กูกำลังเครียด ผมมองเห็นอนาคตรำไร ชีวิตของไอ้ซนหลังจากนี้คงไม่ได้สัมผัสคำว่าสงบสุขไปอีกนาน

     “ช่างเถอะ เดี๋ยวพี่ธารเห็นข่าวก็คงสั่งให้แอดมินลบรูปเอง” ผมปลงในที่สุด ไม่รู้ว่ากำลังปลอบใจตัวเองหรือเปล่า แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าเอาแต่มองโลกในแง่ลบ

     “เชื่อกูสิ พี่ธารไม่ทำแบบนั้นหรอก ดีไม่ดีป่านนี้เซฟรูปไว้ดูเองแล้ว”

     “มึงพูดอะไรนะผิง”

     “เปล่า” ผิงยิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้มที่เห็นแล้วรู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ มันลุกขึ้นยืน ชวนผมกับน้องนายขึ้นเรียน ผมเดินตามเพื่อนไปด้วยอาการห่อเหี่ยว ได้แต่หวังว่ามันจะเป็นอย่างที่น้องนายพูด





     “เป็นอะไร” พี่ธารถามหลังจากเห็นผมถอนหายใจรอบที่ร้อยของวัน พวกเรากำลังนั่งกินข้าวในร้านอาหารหลังมหา’ลัย

     “พี่ธารไม่เป็นอะไรเลยเหรอ” ผมย้อนถาม

     “จะให้กูเป็นอะไร”

     “ก็...” ผมเม้มปาก ชั่งใจว่าควรพูดเรื่องรูปดีไหม

     “ก็อะไร”

     “แบบว่า...ช่วงนี้พี่ไม่มีเรื่องให้หงุดหงิดเลยเหรอ”

     “ไม่มี”

     “เรื่องกวนใจ ไม่ก็เรื่องที่ทำให้รำคาญล่ะ”

     “ไม่มี”

     ผมนิ่วหน้า พี่ธารพูดแบบนี้หมายความว่าไม่แคร์หรือยังไม่เห็นรูปกันแน่ ไอ้ผมจะถามตรงๆ ก็ไม่อยาก แต่จะหลอกล่อให้พูดออกมาเองก็ไม่ได้ผลอีก

     “ตกลงมึงเป็นอะไร”

     “เปล่า ผมไม่ได้เป็นอะไร” ผมส่ายหน้า ในหัวยังเอาแต่คิดเรื่องเดิมสวนทางกับคำตอบ พี่ธารจ้องอยู่สักพักก่อนจะกินข้าวต่อ มีแต่ผมที่ไม่รู้สึกอยากอาหารแล้ว

     จู่ๆ หมูกรอบก็ถูกตักมาใส่จาน ผมเงยมองคนตรงหน้าอีกครั้ง นั่นทำให้ดวงตาของเราสบกัน

     “พี่ให้ผมเหรอ”

     “ให้หมามั้ง กูตักให้ใครก็ให้คนนั้นแหละ”

     “ให้ผมทำไม”

     “ของโปรดมึงไม่ใช่เหรอ อย่าถามเยอะ มีให้กินก็กิน”

     เป็นคำพูดที่ไร้อารมณ์ที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา แต่ไม่เป็นไร เห็นแก่ที่พี่มันอุตส่าห์เสียสละหมูกรอบให้ ผมจะไม่ติดใจเอาความแล้วกัน

     ใบหน้าผมกลับมามีรอยยิ้มดังเดิม ผมตักหมูกรอบเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย โดยลืมฉุกคิดว่าพี่ธารรู้ของโปรดผมได้ยังไง ตอนนี้กำลังโดนความหิวครอบงำ

     “ยิ้มแบบนี้สิค่อยสมเป็นมึงหน่อย”

     “อะไรนะพี่”

     พี่ธารโน้มหน้ามาใกล้ รอยยิ้มบางๆ แตะแต้มบนมุมปาก “กูบอกว่า...มึงยิ้มแล้วค่อยดูดีขึ้นมาหน่อย หน้าหงอยๆ เมื่อกี้ไม่เข้ากับมึงสักนิด”

     “…”

     “อย่างมึงเหมาะกับหน้าเอ๋อๆ มากกว่า เอ๋อเหมือนตอนนี้ไง”

     เกือบจะดีแล้วเชียว ผมเกือบคิดว่าพี่ธารให้หมูกรอบเพราะอยากปลอบผมแล้ว แม่งจะต่อประโยคทำไมวะ จากที่คิดจะมองพี่ชายข้างบ้านใหม่ สงสัยชาตินี้ผมคงไม่มีวันญาติดีกับพี่มันได้ คำก็เอ๋อสองคำก็เอ๋อ เดี๋ยวเด็กเอ๋อคนนี้ก็กระโดดงับหูซะเลย

     “ไม่กินต่อเหรอ” พี่ธารถามเมื่อเห็นผมนั่งนิ่ง ไม่แตะอาหารอีก

     “ผมอิ่มแล้ว” อิ่มคำว่าเอ๋อของพี่นั่นแหละ ได้ยินจากเพื่อนแล้วยังต้องมาได้ยินจากพี่อีก

     “งั้นกลับกัน”

     พี่ธารเรียกพนักงานมาคิดเงิน ก่อนจะออกเดินนำไปที่จอดรถ ผมมองแผ่นหลังกว้างที่กำลังเดินอยู่ข้างหน้า มองไหล่ตั้งหลังตรง มองเสื้อนักศึกษาสีขาวขนาดพอดีตัว ทำให้เห็นสัดส่วนร่างหนาได้ชัดเจน

     “พี่ธาร”

     “อะไร”

     “พี่ออกกำลังกายบ่อยเหรอ”

     “กูไปฟิตเนสสัปดาห์ละสองครั้ง วันไหนไม่มีธุระพวกไอ้บอนด์ก็ชวนไปเล่นบาสประจำ ถามทำไม”

     “เปล่าครับ”

     ผมละสายตาจากร่างสูง หันกลับมามองตัวเองแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ คำพูดของเพื่อนลอยเข้ามาในหัว เสียงถอนหายใจดังกว่าเดิม

     ก็ได้วะ ยอมรับก็ได้ว่าหุ่นผมสู้พี่ธารไม่ได้จริงๆ แต่อย่าคิดว่าผมจะยอมเป็นรับเชียว หล่อๆ อย่างผมต้องคู่กับสาวสวยเท่านั้น รอก่อนเถอะ ขอเวลาอีกหน่อย แล้วไอ้ซนจะไปฟิตหุ่นให้ชนะพี่ธารแบบไม่เห็นฝุ่นกันไปเลย!



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter : earthxxide

     Fanpage : Earthxxide
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-05-2023 17:27:52 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 6
แบบนี้น่ะดีแล้ว


     ชีวิตผมดำเนินไปอย่างปกติ หมายถึงพักหลังมานี้มีคนมองจนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ผิงถึงกับยกให้ผมเป็นคนดังของคณะ เดินไปไหนก็เป็นจุดสนใจ แรกๆ ผมโคตรเกร็ง ไม่รู้จะทำตัวยังไง แต่ตอนนี้มันเหมือนมีภูมิคุ้มกันไปแล้ว อยากมองก็มองไปสิ ผมโดนมองคนเดียวที่ไหน ดีไม่ดีไอ้พี่ธารโดนหนักกว่าผมอีก

     “กินอะไรดี” ผิงถามขณะยืนมองบรรดาร้านอาหารตรงหน้า เป็นคำถามโลกแตกที่ไม่ว่าจะคิดยังไงก็หาคำตอบถูกใจไม่ได้สักที

     “ราดหน้า”

     “เบื่อแล้ว”

     “ข้าวมันไก่”

     “ช่วงนี้อยากลดหุ่น”

     “สลัด”

     “อันนั้นก็ลดไป กูไม่ใช่มังสวิรัติ”

     “กะเพราไข่ดาว”

     “เบื่อกว่าราดหน้าอีก”

     ผมเหลือบไปมองเพื่อนด้วยสายตาเอือม ถ้าจะเรื่องมากขนาดนี้มึงไม่เปิดร้านเองเลยล่ะ

     “ข้าวราดแกงไหมครับ มีเมนูให้เลือกเยอะดี” น้องนายเสนอไอเดีย ผมกับผิงรีบพยักหน้าอย่างไว เป็นอันหลุดพ้นจากคำถามโลกแตก

     พวกเราเดินมาจับจองโต๊ะที่ว่างอยู่โต๊ะเดียว ถ้ามาช้ากว่านี้อีกนิดคงไม่ได้นั่ง ปกติโรงอาหารคณะผมคนจะเยอะมาก เลิกเรียนทีแทบจะวิ่งสี่คูณร้อยมาจองโต๊ะ ร้านอาหารรอบมหา’ลัยส่วนใหญ่ก็เปิดช่วงเย็น ตัวเลือกมื้อกลางวันจึงมีไม่มากนัก

     ผมกินข้าวไปคุยเล่นกับเพื่อนไป จนกระทั่งรอบข้างส่งเสียงดังแปลกๆ จึงหันไปมอง พี่ธารกับเพื่อนๆ กำลังเดินเข้ามาในโรงอาหาร ผมถึงบางอ้อทันที กลุ่มคนหน้าตาดีมารวมตัวกันครบขนาดนี้ มิน่าบรรยากาศคณะผมถึงครึกครื้นขึ้นมา

     “คู่จริงมึงมาว่ะ” ผิงมองผมยิ้มๆ ผมส่งค้อนให้มันที่บังอาจเอาเรื่องนี้มาแซว ไม่แน่ว่าพี่ธารมาหาผมสักหน่อย อาจจะมากินข้าวกับเพื่อนเฉยๆ ก็ได้ คงไม่ได้มาหา...

     “เตี้ย ตรงนี้ว่างหรือเปล่า”

     โอเค ผมขอถอนคำพูด เดินตรงมาถามแบบระบุตัวขนาดนี้คงคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้แล้ว

     “ว่างค่ะ” ผิงเป็นคนตอบแทน พี่ธารส่งยิ้มกลับมา ทำเอามันเคลิ้มอยู่นานทีเดียว ผมอดลอบเบ้ปากไม่ได้ กับคนอื่นยิ้มหล่อเชียวนะ กับผมนี่ดุเอาๆ สองมาตรฐานชัดๆ

     “พวกพี่ขอนั่งด้วยนะ” พี่บอนด์เอ่ยก่อนนั่งลงฝั่งตรงข้าม ผมยิ้มให้เป็นเชิงอนุญาต ผมรู้จักพี่บอนด์ตั้งแต่วันที่ผิงชวนไปดูแข่งบาส แต่เพื่อนอีกสองคนผมไม่รู้จัก

     “นี่บอนด์ ไกด์ โอปอล์ เพื่อนสนิทกู” พี่ธารคงเดาสายตาผมออกจึงเอ่ยแนะนำเพื่อน ผมยกมือไหว้ก่อนจะแนะนำเพื่อนตัวเองบ้าง

     “สองคนนี้ผิงกับน้องนายครับ เป็นเพื่อนสนิทผมเหมือนกัน”

     เพื่อนผมยกมือไหว้รุ่นพี่พร้อมกัน พี่บอนด์มองน้องนาย เลิกคิ้วเล็กน้อย

     “ชื่อน้องนายเหรอ”

     “เปล่าค่ะ ชื่อนายเฉยๆ แต่พวกหนูเรียกน้องนายเพราะไม่อยากเรียกชื่ออย่างเดียว”

     “แล้วอย่างนี้พวกพี่ต้องเรียกยังไง”

     “แล้วแต่เลยครับ ผมไม่ซีเรียส” น้องนายตอบพี่บอนด์ พี่ไกด์กับพี่โอปอล์วางกระเป๋าแต่ไม่นั่ง

     “พวกมึงเอาอะไร”

     “กูเหมือนเดิม”

     “กูก็เหมือนเดิม”

     “ไม่เปลี่ยนกันบ้างเหรอ กินเมนูเดิมบ่อยๆ ระวังเบื่อนะ” พี่โอปอล์พูดไปยิ้มไป ทำหน้าใบหน้าสวยมีเสน่ห์ยิ่งขึ้น

     “พวกซนล่ะเอาอะไรไหม” พี่ไกด์หันมาถาม ผมแปลกใจเล็กน้อยที่พี่เขารู้จักชื่อผม แต่มาคิดอีกที นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักผมแล้วล่ะ

     “ไม่เป็นไรดีกว่า ขอบคุณครับ”

     ผมรอจนพี่ไกด์กับพี่โอปอล์เดินออกไป จึงหันไปหาคนที่มองผมอยู่ก่อนแล้ว

     “ปกติพี่ธารมากินข้าวที่นี่เหรอ”

     “เปล่า กูพาเพื่อนมาหามึง”

     “หือ?”

     “พวกพี่อยากเจอคู่จริง เอ๊ย! คู่จิ้นไอ้ธารน่ะ อยากรู้ว่าตัวจริงจะน่ารักแค่ไหน” พี่บอนด์พูดด้วยรอยยิ้มทะเล้น “น่ารักดีนี่หว่า”

     “อืม” พี่ธารตอบรับในลำคอ ผมกะพริบตาปริบ เอ่อ...พวกพี่เขากำลังชมผมว่าน่ารักใช่ไหมนะ แต่ทำไมผมกลับรู้สึกแปลกๆ แทนที่จะดีใจ

     ผมหันไปมองเพื่อน ผิงทำหน้าเหมือนวิญญาณหลุดจากร่างไปเรียบร้อย ขณะที่น้องนายเอาแต่ดูดชานมไข่มุก แต่ผมชินแล้วล่ะ น้องนายมักไม่ค่อยสนใจสิ่งรอบข้าง เรื่องนี้ผมกับผิงรู้ดี

     เดี๋ยวสิ!

     ผมหันขวับมามองคนตรงหน้าอีกครั้ง พี่บอนด์พูดแบบนั้น แสดงว่าพวกพี่เขารู้เรื่องรูปในเพจแล้วใช่ไหม แล้วทำไมวันก่อนที่ผมถามพี่ธารถึงไม่เห็นมีอาการอะไรเลยล่ะ

     “พวกพี่เห็นรูปในเพจแล้วเหรอครับ”

     “ไม่เห็นก็แปลกแล้ว นั่นเพจดังของมอเราเลยนะ ใครคบกับใคร มีเรื่องอะไรยังไง ไม่มีทางรอดสายตาแอดมินไปได้หรอก”

     ผมเบิกตาโต สีหน้าตกใจปนแปลกใจ กำลังจะถามพี่ธารแต่พี่ไกด์กับพี่โอปอล์ก็กลับมาก่อน เลยได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ

     ผิงสะกิดแขนเบาๆ พอผมหันไปก็เจอหน้าจริงจังของมัน

     “มึงว่ากูควรไปทำบุญดีไหม”

     “ทำไม”

     “กูกลัวแต้มบุญหมด ได้นั่งกินข้าวกับกลุ่มคนดังของมหา’ลัย แถมพี่ธารยังยิ้มให้อีก กูว่าแต้มบุญตอนนี้คงไม่เหลือแล้ว”

     ผมส่ายหัวให้ความเพ้อฝันของเพื่อน หันกลับมากินข้าวของตัวเอง แต่จู่ๆ พี่บอนด์ก็ถามขึ้นมา

     “น้องซนยังไม่มีแฟนใช่ไหมครับ”

     “ยังไม่มีครับ” ผมตอบกลับไปด้วยความสงสัยหน่อยๆ พี่บอนด์ยิ้มมีเลศนัย แม้แต่ผิงกับน้องนายยังงงว่าพี่เขาถามทำไม

     “พี่แค่ถามเฉยๆ น่ะ เผื่อบางคนอยากรู้แต่ไม่กล้าถามเอง”

     เพียงเท่านั้นความสงสัยก็หายไปจากใบหน้าเพื่อนผม มีแต่ผมคนเดียวที่ยังไม่หายงง แถวนี้ไม่มีสาวที่ไหน จะมีก็แต่พี่โอปอล์ และดูแล้วพี่เขาคงไม่มีทางสนใจผมแน่นอน ถ้าอย่างนั้นพี่บอนด์หมายถึงใคร

     “รีบกินจะได้รีบไปเรียน” พี่ธารเอ่ยเสียงเรียบ แต่กลับทำให้รอยยิ้มพี่บอนด์กว้างขึ้น บทสนทนาระหว่างทานข้าวถูกเปลี่ยนเป็นหัวข้ออื่นแทน จากการคุยกันทำให้รู้ว่าหนุ่มรุ่นพี่กลุ่มนี้โสดกันหมดทุกคน มีแค่พี่โอปอล์ที่มีแฟนอยู่มหา’ลัยอื่น





     พวกพี่ๆ เอ่ยขอตัวเมื่อทานข้าวเสร็จแล้ว พอดีกับที่พวกผมต้องขึ้นเรียน ผิงหันมามองผมหลังจากแยกย้ายกัน ดวงตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์

     “มีเพื่อนดังนี่มันดีจริงๆ”

     “ดียังไงเหรอครับคุณผิง” น้องนายที่ไม่เข้าใจถามแทนผม

     “ดีตรงที่มีโอกาสใกล้ชิดคนดังมากขึ้นไง มึงไม่รู้หรอกว่าการได้กินข้าวกับพี่ธารแม่งเป็นเรื่องปาฏิหาริย์พอๆ กับหิมะตกประเทศไทยเลยนะ แต่นี่มีพี่บอนด์กับพี่ไกด์มาด้วย โชคดีของกูจริงๆ ที่ไอ้ซนเป็นคู่จริง เอ๊ย! คู่จิ้นพี่ธาร”

     ผมทำหน้าเอือมใส่เพื่อน อยากด่าแต่ก็ขี้เกียจ เลยเดินหนีขึ้นตึกเรียนแทน โชคดีของมึงแต่โชคร้ายของกูไงผิง ใครจะอยากเป็นคู่จิ้นกับผู้ชายด้วยกัน ยิ่งเป็นผู้ชายที่ชอบแกล้งแล้วด้วย ถ้าอยากเดินหนีก็ว่าไปอย่าง





     เป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้วที่ทุกวันหลังเลิกเรียนผมจะโทรไม่ก็ไลน์ไปบอกพี่ธาร ผมเคยคิดเล่นๆ ว่าถ้าผมเป็นผู้หญิง คนอื่นคงคิดว่าเราเป็นแฟนกันไปแล้ว แต่เอาจริงๆ ต่อให้ผมเป็นเพศอะไรก็ไม่น่าเกี่ยวหรอก ดูอย่างตอนนี้สิ เกินแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของคนในมหา’ลัยผมเชื่อว่าต้องคิดว่าผมเป็นแฟนพี่ธารแน่นอน

     “ผมขอแวะห้างหน่อยนะ อยากซื้อพวกเครื่องเขียน” ผมบอกพี่ธารที่กำลังขับรถ

     “หิวไหม ถ้าหิวจะได้หาอะไรกินในห้างด้วยเลย”

     ผมส่ายศีรษะเป็นคำตอบ พี่ธารจึงหันไปมองถนนต่อ ผมลอบมองใบหน้าด้านข้างของคนตัวสูง ชั่งใจอยู่สักพักก่อนจะถามออกไป

     “พี่ธาร”

     “อะไร”

     “พี่เห็นรูปในเพจตั้งแต่เมื่อไหร่”

     สายตาคมเหลือบมามองหลังถามจบ ผมมองกลับไปด้วยแววตารอคอยคำตอบ

     “ตั้งแต่วันแรก”

     ผมอดทำหน้าแปลกใจเหมือนตอนพี่บอนด์พูดไม่ได้ คำถามผุดขึ้นมาในหัวมากมาย และดูเหมือนผมจะแสดงออกโจ่งแจ้งเกินไป อีกฝ่ายเลยถามต่อ

     “กำลังคิดว่าทำไมกูถึงไม่เป็นเดือดเป็นร้อนใช่ไหม”

     ผมพยักหน้า ดวงตาพี่ธารนิ่งเรียบ ไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอย่างที่เจ้าตัวพูด

     “มึงรู้จักคนที่ถ่ายรูปไหม”

     “หือ?” ผมหน้าเหวอ จากที่ตั้งใจฟังคำตอบอยู่ดีๆ ไม่นึกว่าจะโดนถาม “ผมจะไปรู้จักได้ไง”

     “แล้วพวกคนที่มองมาล่ะ”

     “ไม่รู้จักเหมือนกัน”

     “แล้วมึงคิดว่าเราต้องให้ความสำคัญกับคนที่ไม่รู้จักไหม”

     ผมนิ่งเงียบ คิดว่าตัวเองเริ่มเข้าใจสิ่งที่พี่ธารอยากสื่อ พี่ธารเหลือบมามองผมแวบหนึ่ง ดูเหมือนเขาจะได้คำตอบแล้ว

     “ตราบใดที่เขาไม่สร้างความเดือดร้อนให้เรา ใครจะคิดยังไงก็ปล่อยไป ข่าวพวกนี้นานวันไปเดี๋ยวคนก็ลืมเอง ยิ่งตามแก้จะยิ่งลามเปล่าๆ”

     พี่ธารจอดรถเมื่อเห็นไฟแดงข้างหน้า ผมพยักหน้าให้รู้ว่าเข้าใจแล้ว พอคิดตามคำพูดพี่ธารผมก็เห็นด้วย

     “แต่ถ้ามึงอึดอัดเดี๋ยวกูทักไปบอกแอดมินให้ลบรูปให้ เอาไหม”

     ผมหันไปมองคนพูด ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นสายตาของพี่ธาร เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นดวงตาคู่นั้นแปลกไปจากที่เคย เหมือนมันกำลังบอกว่าผู้ชายคนนี้กำลังแคร์ความรู้สึกผม

     “ผม...ไม่ได้อึดอัดอะไร” ผมตอบออกไปอย่างนั้น ทั้งที่วันที่เห็นรูปผมบ่นกับเพื่อนเป็นหมีกินผึ้งทั้งวัน แต่ไม่รู้ทำไมพอโดนพี่ธารมองอย่างนั้นผมถึงคิดว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เราก็อยู่ของเรา ไม่จำเป็นต้องลำบากตามแก้ข่าวลือ

     พี่ธารสบตากับผมสักพัก ก่อนจะหันกลับไปเมื่อไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว เราไม่ได้คุยอะไรกันอีกหลังจากนั้น ผมไม่รู้จะคุยอะไรเพราะเรื่องที่อยากพูดก็พูดไปหมดแล้ว พี่ธารก็คงเหมือนกัน

     “เอ๋อ”

     “ครับ?” ผมขานรับ อย่าคิดว่าผมไม่โกรธที่ถูกเรียกว่าเอ๋อนะครับ ใช้คำว่าปลงน่าจะเหมาะกว่า ห้ามยังไงก็ไม่ฟังเลยปล่อยให้เรียกไปนั่นแหละ

     “ที่บอกบอนด์นั่นเรื่องจริงใช่ไหม”

     “บอกพี่บอนด์? เรื่องอะไร”

     “เรื่องที่มึงยังไม่มีแฟน”

     ผมร้องอ๋อในลำคอ “จริงสิ พ่อส่งให้มาเรียนก็ต้องเรียน”

     “ไม่ใช่ว่าไม่มีใครสนใจเหรอ”

     พี่ธารก็ยังเป็นพี่ธาร เป็นผู้ชายที่ชอบแกล้งผมทุกครั้งที่มีโอกาส ผมจะถือว่าตัวเองตาฝาดที่เห็นสายตาอ่อนโยนเมื่อกี้แล้วกัน อย่างไอ้พี่ธารน่ะเหรอจะมองผมแบบนั้น ไม่มีทาง

     “ใช่สิ ผมมันขี้เหร่ ไม่หล่อเหมือนพี่นี่” ผมพูดเสียงขึ้นจมูก

     “ดีแล้ว”

     “อะไรดี”

     ร่างสูงเบือนหน้ามามอง ริมฝีปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม “ขี้เหร่แบบนี้น่ะดีแล้ว จะได้ไม่มีใครมาชอบ”

     !!!

     ผมตาโต ได้แต่อ้าปากค้างกับความร้ายกาจของพี่ชายข้างบ้าน พี่มันจงเกลียดจงชังอะไรผมนักหนาวะ ถึงขนาดพูดประโยคใจร้ายนั่นออกมาด้วยสีหน้าพอใจ มันจะเกินไปแล้วนะ

     ผมดึงสายตากลับมามองถนน สีหน้าบึ้งตึงผิดกับอีกคนที่ยิ้มระรื่น คอยดูเถอะ วันไหนผมเลิกขี้เหร่ขึ้นมาจะควงสาวไปอวดถึงหน้าบ้านเลย มาดูถูกคนอย่างไอ้ซน คิดน้อยเกินไปแล้วพี่ธาร!



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter : earthxxide

     Fanpage : Earthxxide
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-05-2023 21:11:52 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 7
ผู้ปกครองชั่วคราว


     -ธาร-

     ผมขยับตัวหลังจากยืนพิงรถมาครึ่งชั่วโมง มองไปยังชั้นสองของบ้านที่คุ้นตา บ้านที่อยู่ติดกับบ้านผม ห่างเพียงรั้วกั้น ผ้าม่านยังปิดอยู่ ข้อความในไลน์ก็ยังไม่เปิดอ่าน วันนี้มีเรียนเช้าไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงยังไม่ลงมา

     ผมขมวดคิ้วเมื่อคิดว่าซนอาจจะยังไม่ตื่น ให้มันได้แบบนี้สิ ทำไมไม่รู้จักหน้าที่ตัวเองเลย ผมส่ายศีรษะเบาๆ ก่อนเปิดประตูรั้วเข้าไป ใช้กุญแจสำรองที่คุณพ่อของซนให้ไว้ไขเข้าไปในบ้าน

     บ้านทั้งหลังเงียบกริบ ผมเดินตรงขึ้นไปยังชั้นสอง พ่อของซนบอกรายละเอียดไว้แล้วเพราะคิดว่าอาจเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ผมจึงรู้ว่าห้องนอนของซนคือห้องไหนแม้จะไม่เคยมา

     “เอ๋อ” ผมเคาะประตูสองสามทีพร้อมกับส่งเสียงเรียกคนข้างใน เมื่อไร้การตอบกลับจึงเรียกเสียงดังกว่าเดิม รออยู่สักพักประตูก็เปิดออก ผมเตรียมบ่นเรื่องที่อีกฝ่ายนอนกินบ้านกินเมือง แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นท่าทางของคนตรงหน้า

     “พี่ธาร” เสียงที่เคยสดใสอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าอิดโรย ดวงตาเหนื่อยล้าเหมือนคนอดนอน ผมรีบยกมือแตะหน้าผากทันที เป็นอย่างที่คิด มีไข้จริงๆ ด้วย

     “ไม่สบายเหรอ”

     “ผมท้องเสีย วิ่งเข้าออกห้องน้ำทั้งคืน เพิ่งนอนไปไม่กี่ชั่วโมงเอง”

     “กินอะไรเข้าไป” ผมรีบถาม ถึงจะมั่นใจว่าไม่น่ามีอะไรที่ทำให้ท้องเสียได้ เพราะเมื่อวานผมเป็นคนทำอาหารเอง

     เจ้าตัวดียิ้มแหย เหมือนรู้ว่าถ้าบอกแล้วต้องโดนดุ เลยใช้รอยยิ้มนำมาก่อน

     “เมื่อคืนผมหิวน้ำเลยลงมาเปิดตู้เย็น เห็นผลไม้มันกำลังจะเสีย แต่ผมเสียดายก็เลย...” ซนหยุดคำพูดไว้แค่นั้น เงยหน้ามองเหมือนเด็กกลัวถูกครูตี ผมถอนหายใจยาว ซนสมชื่อจริงๆ ซนจนได้เรื่อง

     “เข้าไปในห้องก่อน”

     “ครับ”

     ผมเดินตามซนเข้าไปในห้อง เจ้าตัวดีทิ้งตัวลงบนเตียง เอนตัวลงนอน ใบหน้าซีดจนดูน่าสงสาร ผมไม่รู้จะจัดการกับมันยังไงดี ทั้งอ่อนใจ ทั้งขำ ทั้งอยากดุไปพร้อมกัน

     “นอนไปก่อน เดี๋ยวกูมา” ผมดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ถึงคอ เด็กเอ๋อทำตาโต สีหน้าตกใจปนแปลกใจ จนผมอดถามไม่ได้ “อะไร”

     “พี่ไม่ดุผมเหรอ ก่อนเปิดประตูผมยืนทำใจฟังพี่บ่นอยู่ตั้งนาน”

     “กูไม่รังแกคนป่วย รอมึงหายดีก่อน จะบ่นจนหูชาเลยสัญญา”

     “โหย ขนาดไม่รังแกนะ” ซนย่นจมูก ทำเอาผมเกือบหลุดขำ ในสายตามันคงเห็นผมเป็นคนชอบดุ ชอบบ่น ชอบว่าสินะ ผมรู้เพราะดวงตาซนเวลามองผมมันบอกชัดเจนทุกอย่าง

     ผมปล่อยให้ซนนอนพักอยู่บนห้อง ส่วนตัวเองลงมาทำอาหารอ่อนๆ เป็นมื้อเช้า โชคดีที่ในตู้เย็นมีของสดกับวัตถุดิบพอให้ทำข้าวต้มได้ ผมว่าจะซื้อมาเติมตั้งแต่เมื่อวาน แต่เพราะงานคณะทำให้หลงลืม

     ผมโทรไปบอกบอนด์ว่าวันนี้จะโดดเรียน พออีกฝ่ายถามถึงเหตุผลก็บอกแค่ว่าต้องอยู่ดูแลเด็กป่วย บอนด์เข้าใจความหมายในทันทีจึงไม่ถามอะไรต่อ มีถามไถ่อาการนิดหน่อยก่อนจะวางสายไป

     บอนด์เป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่รู้ความลับของผม เป็นความลับที่ผมไม่คิดจะบอกใคร และคิดว่ามันคงเป็นความลับไปตลอด ถ้าไม่เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นเสียก่อน





     “ให้ดูแลซนเหรอครับ” ผมทวนประโยคของคนตรงหน้าด้วยความแปลกใจ อาไพโรจน์มาบ้านผมในเช้าของวันหนึ่ง โดยบอกว่ามีเรื่องอยากคุยกับผม ตอนนี้พวกเรานั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น มีน้าไพลินแม่ของซนกับแม่ของผมอยู่ด้วย

     “อาต้องไปทำงานต่างจังหวัดสามเดือน บอกตรงๆ อาไม่ไว้ใจให้เจ้าซนอยู่บ้านคนเดียว ทำอาหารก็ไม่เป็น งานบ้านก็ไม่เคยจับ อากลัวมันจะทำบ้านพังเข้าสักวัน”

     “คงไม่ขนาดนั้นมั้งครับ ซนอายุยี่สิบแล้ว น่าจะพอดูแลตัวเองได้”

     “พูดตรงๆ มันก็เป็นความผิดของอาเองที่เลี้ยงลูกแบบไข่ในหินเกินไป ตอนแรกอาจะใช้โอกาสนี้สอนให้มันใช้ชีวิตด้วยตัวเอง แต่ก็อย่างที่บอก อาไม่ไว้ใจลูกตัวเอง”

     ผมพยักหน้าเข้าใจ รู้ว่าที่อีกฝ่ายพูดรวมไปถึงเป็นห่วงความเป็นอยู่ของลูกชายคนเดียว

     “อาเลยอยากให้ธารช่วยดูแลเจ้าซน ไม่ต้องทำอะไรให้ แค่สอนให้มันใช้ชีวิตเป็นก็พอ ถ้ามีธารอยู่อาจะได้อุ่นใจว่าอย่างน้อยเจ้าซนไม่ได้ไปเถลไถลที่ไหน”

     ผมทำหน้าลำบากใจ อาไพโรจน์กับน้าไพลินเป็นผู้ใหญ่ที่ผมเคารพเหมือนพ่อแม่แท้ๆ จึงไม่มีเหตุผลที่ผมจะเมินคำขอร้องของพวกท่าน เพียงแต่ที่ผมลำบากใจอยู่ตอนนี้คือความลับที่อยู่ในใจมานาน ผมจึงไม่อยากรับปากว่าจะดูแลลูกชายบ้านข้างๆ ให้

     “ผู้ใหญ่มาขอร้องขนาดนี้ เราก็รีบรับไว้สิธาร ตาซนก็เหมือนน้องเรา ดูแลน้องนุ่งแค่นี้จะเป็นไรไป” แม่ผมพูดขึ้นมาเมื่อเห็นว่าผมเอาแต่เงียบ แต่แม่ไม่ได้รู้เลยว่าสิ่งที่ตัวเองพูดคือเหตุผลที่ทำให้ผมไม่อยากรับปาก

     “ได้ครับ ผมจะดูแลซนอย่างดี คุณอากับคุณน้าวางใจได้เลย” ผมยิ้มให้ผู้ใหญ่ทั้งสอง ขณะที่ในใจคอยนึกถึงคำพูดของแม่ตัวเอง ซนเป็นน้องชาย ต่อให้ไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน แต่ในเมื่อผู้ใหญ่คิดอย่างนั้นผมก็ต้องคิดให้ได้ตามนั้น ผมต้องดูแลซนในฐานะพี่ชาย นั่นคือสิ่งที่ผมเตือนใจตัวเองมาตลอด





     ผมตักข้าวต้มจากหม้อใส่ชาม ไม่คิดจะปรุงรสเพราะอยากให้เด็กป่วยทานของอ่อนๆ ผมเดินถือชามข้าวต้มขึ้นไปบนห้องนอน ดูจากท่าทางอ่อนแรงแล้วคงต้องให้ทานบนเตียง

     “เอ๋อ” ผมเขย่าแขนเบาๆ ปลุกคนที่หลับสนิทอยู่บนเตียง ซนปรือตาขึ้นมอง “ลุกมากินข้าวก่อน จะได้มีแรง”

     ผมช่วยประคองซนลุกขึ้นนั่ง จับหมอนรองด้านหลัง ซนทำท่าจะเอาไปถือเอง แต่ผมชักมือหลบ

     “พี่ธารจะป้อนเหรอ”

     “อืม”

     “ไม่เป็นไร ผมกินเองได้ ไม่ได้หมดแรงขนาดนั้น”

     “กูไม่ได้ห่วงมึง กลัวจะหกเลอะที่นอนต่างหาก ขี้เกียจเอาไปซักให้”

     ดวงตากลมมองค้อนผมขวับ ริมฝีปากขมุบขมิบเหมือนเจ้าตัวกำลังบ่น ผมห่วงซนจริงๆ นั่นแหละ แต่ใครจะยอมบอก ให้มันคิดว่าผมชอบดุน่ะดีแล้ว ขืนตามใจมากๆ คงไม่เชื่อฟังกันพอดี

     ผมป้อนข้าวต้มไปมองหน้าซนไป ใบหน้าที่เหมือนไม่เคยมีเรื่องทุกข์ใจทำให้ผมอดคิดไม่ได้ เจ้าตัวดีจะรู้บ้างไหมว่าผมต้องพยายามอย่างหนักที่จะไม่แสดงความรู้สึกออกมา ทั้งที่พยายามตีตัวออกห่างแต่ก็มีเรื่องให้มาใกล้ชิด เหมือนฟ้าแกล้งกันชัดๆ

     ผมรู้จักซนมาตั้งแต่เด็กๆ เคยเล่นด้วยกันบ่อยครั้ง แต่ยิ่งนานวันเรื่องราวในอดีตก็ดูเหมือนจะเลือนหายไปในความทรงจำอีกคน ผมคิดว่าตัวเองเอ็นดูซนแบบน้องชายมาตลอด แต่ผมก็เพิ่งรู้ว่าเข้าใจผิดตอนที่ซนเข้ามาเรียนมหา’ลัยเดียวกับผม ผมยังจำได้ดีว่าวันที่เห็นซนเดินกับผู้หญิงด้วยท่าทางสนิทสนมเกินเพื่อน ข้างในมันรู้สึกยังไง

     ผมบอกตัวเองว่ามันคืออาการหวงน้องชาย ผมบอกตัวเองว่าผมไม่ได้คิดอะไรกับซน แต่สุดท้ายผมก็ต้องยอมรับว่าทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องโกหก ผมกำลังหลอกตัวเอง ผมกำลังผลักไสความจริงที่ว่า...ผมชอบซน

     ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่รู้คือผมจะแสดงมันออกมาไม่ได้เด็ดขาด ครอบครัวผมสนิทกับครอบครัวซนมานาน ถึงจะไม่ใช่ญาติแต่ก็รักกันเหมือนญาติจริงๆ แถมผมกับซนยังเป็นผู้ชายเหมือนกันอีก ความรักของผมจึงกลายเป็นรักต้องห้ามโดยปริยาย





     ผมนำชามไปวางบนโต๊ะ ก่อนจะกลับมาหาคนบนเตียงพร้อมกับยา ซนนิ่วหน้าเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือ ผมเกือบหลุดขำด้วยความเอ็นดูปนอ่อนใจ โตขนาดนี้ยังไม่ชอบกินยาอยู่อีกเหรอ

     “ผมไม่กิน” คนพูดเม้มปากแน่น สีหน้าดื้อดึง ผมทำเป็นไม่ได้ยิน ยื่นเม็ดยากับแก้วน้ำไปตรงหน้า

     ซนหันหน้าหนี ทำท่าจะเอนตัวลงนอน ผมเอื้อมมือไปจับต้นแขนพลางตีหน้าดุ แต่เด็กดื้อก็ยังดื้อวันยังค่ำ ผมไม่อยากออกแรงเพราะอีกฝ่ายป่วยอยู่ จึงงัดไม้ตายที่คิดว่าได้ผลออกมา

     “ถ้าหายแล้วจะพาไปเที่ยว”

     ได้ผลชะงัด เจ้าตัวดีหันขวับมามองหลังจากเอาแต่หันหนีอย่างเดียว ผมลอบยิ้ม ดูเหมือนวิธีเลี้ยงเด็กเล็กจะใช้ได้ผลกับเด็กโตด้วยเหมือนกัน

     “ไปเที่ยวที่ไหน”

     “มึงอยากไปไหนล่ะ”

     “บอกแล้วพี่ธารจะพาไปเหรอ”

     “ถ้าพาไปได้ก็จะพาไป”

     ผมเห็นประกายในดวงตาของเด็กเอ๋อ ก่อนมันจะสว่างวาบขึ้นมา เหมือนเจ้าตัวมีสถานที่ในใจอยู่แล้ว

     ซนเงยหน้ามามอง ฉีกยิ้มกว้างจนตาปิด พาให้ใบหน้าที่อิดโรยสดใสขึ้นเป็นเท่าตัว “ผมอยากไปทะเล”

     ผมไม่ได้ฟังว่าซนพูดอะไร เพราะตาเจ้ากรรมมันเอาแต่มองรอยยิ้มตรงหน้า นานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่เห็นซนยิ้มแบบนี้ให้ ต้องทำยังไงถึงจะได้เห็นรอยยิ้มนี้ทุกวันนะ มันคงเป็นอะไรที่ดีไม่น้อย

     “พี่ธาร พี่ธาร”

     “หือ?” ผมกะพริบตาปริบ ใบหน้าซนอยู่ห่างแค่คืบเดียว

     “เป็นอะไรพี่ ผมเรียกก็ไม่ตอบ หลับกลางอากาศเหรอ”

     “เพ้อเจ้อ” ผมดีดหน้าผากไปหนึ่งที ซนยกมือลูบป้อยๆ ทั้งที่ผมดีดเบาๆ

     “ผมบอกว่าอยากไปทะเล”

     “อืม เดี๋ยวพาไป”

     “ได้เหรอ!”

     “ทำไมจะไม่ได้ แค่ทะเลเอง”

     ซนทำหน้าดีใจจนผมเกือบหลุดยิ้ม ดีที่ยั้งไว้ทัน มาคิดๆ ดูแล้วชีวิตผมก็ลำบากเหมือนกันนะ ต้องเก๊กหน้านิ่งให้เด็กดื้อกลัวอยู่ตลอด อย่างกับเป็นพี่ว้าก

     ซนรับยาจากมือผมไปใส่ปากเมื่อได้สิ่งแลกเปลี่ยนที่น่าพอใจแล้ว สีหน้ายับย่นตอนกลืนเม็ดยาทำให้ผมอยากขำและส่ายหัวในเวลาเดียวกัน ผมรับแก้วคืนมาก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ ซนหลับตาลงก่อนจะลืมตาอีกครั้ง หันมามองผมด้วยสายตาตื่น

     “พี่ธารไม่ไปเรียนเหรอ” ซนคงเห็นชุดนักศึกษาที่ผมใส่อยู่ถึงได้ถามขึ้นมา ผมส่ายหัว มาถามเอาป่านนี้เนี่ยนะเจ้าเด็กเอ๋อ

     “ก็อยากไปอยู่ แต่มีเด็กบางคนไม่ดูแลตัวเอง กูเลยต้องอยู่ดูแล”

     “ไม่เป็นไรพี่ ผมอยู่คนเดียวได้สบาย พี่ไปเรียนเลย ผมโตแล้วดูแลตัวเองได้”

     จากที่ดูแลมาหลายวัน คิดว่าผมจะเชื่อคำพูดนั้นได้ลงคอเหรอ ผมส่ายหัวให้เด็กที่ดูจะอยากโตซะเหลือเกิน วางมือลงบนศีรษะ

     “นอนไปเถอะ ไม่ต้องห่วงกูหรอก ตอนนี้เอาตัวเองให้รอดก่อน”

     ซนย่นจมูกใส่ผม มันน่าดึงจมูกให้เข็ดจริงๆ

     “อย่ามาโทษว่าผมทำให้เสียการเรียนแล้วกัน”

     “กูเรียนเก่งกว่ามึงเยอะ โดดวันเดียวไม่ทำให้เอหายไปหรอก”

     “ขี้อวด”

     “ว่าอะไรนะเอ๋อ”

     “เปล่าครับ” ซนย่นคอเมื่อเจอหน้าดุๆ ของผมเข้าไป เจ้าตัวดีมุดหัวเข้าไปในผ้าห่มจนผมต้องบอกให้นอนดีๆ เดี๋ยวจะหายใจไม่ออก

     ภายในห้องกลับมาเงียบอีกครั้ง ดวงตาที่ปิดสนิททำให้ผมรู้ว่าเด็กเอ๋อหลับไปแล้ว ขณะที่ผมกำลังจะออกจากห้องเพื่อไปเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้านตัวเอง จู่ๆ คนบนเตียงก็พูดขึ้นมา

     “ถึงจะชอบแกล้งไปหน่อยแต่ก็ขอบคุณที่มาดูแลผมนะครับ คุณผู้ปกครองชั่วคราว”

     ผมไม่ตอบอะไร เพียงแค่ส่งเสียงหึให้ได้ยินแล้วเดินออกมา มุมปากผมยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ยิ่งนึกถึงคำเรียกของเจ้าตัวดีผมก็ยิ่งยิ้มกว้าง ผู้ปกครองชั่วคราวงั้นเหรอ น่าสนใจดี แต่จะน่าสนใจกว่านี้ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้ปกครองหัวใจ



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter : earthxxide

     Fanpage : Earthxxide
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-05-2023 21:35:34 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 8
ความประทับใจแรกพบ


     -บอนด์-

     ผมกำลังขับรถไปหาอะไรทาน หลังจากง่วนอยู่กับงานคณะไม่เห็นเดือนเห็นตะวันมาสามวันเต็ม ผมต้องทำเผื่อในส่วนของธาร เนื่องจากมันมีน้องชายข้างบ้านต้องดูแล เป็นน้องชายข้างบ้านที่มันไม่ได้คิดแค่พี่น้อง

     ผมขับช้าๆ เนื่องจากยังอยู่ในเขตมหา’ลัย ทันใดนั้นสายตาก็สะดุดเข้ากับร่างผอมคุ้นตาที่กำลังเดินบนฟุตบาท ผมขับไปเทียบข้างแล้วบีบแตรเบาๆ ก่อนจะลดกระจกลงเมื่อเป้าหมายหันมามอง

     “จะไปไหน เดี๋ยวพี่ไปส่ง” ผมทักน้องนายอย่างอัธยาศัยดี แต่น้องนายเพียงแค่มองตอบด้วยสายตาว่างเปล่า คิ้วบางย่นเข้าหากันเล็กน้อย เหมือนเจ้าตัวกำลังงงบางอย่าง

     “เรารู้จักกันเหรอครับ”

     !!!

     ทั้งชีวิตผมไม่เคยหน้าเหวอขนาดนี้มาก่อน นี่อาจเป็นครั้งแรกและครั้งเดียว ผมสตันไปประมาณห้าวินาที ต่างคนต่างมองหน้ากัน ก่อนที่ผมจะกระแอมเรียกเศษหน้าที่เพิ่งแตกไปกลับมา

     “เมื่อวันก่อนเรายังนั่งกินข้าวด้วยกันอยู่เลย จำไม่ได้เหรอ” ผมส่งยิ้มให้อีกฝ่าย หวังให้น้องนายเฉลยว่ากำลังเล่นมุก แต่สีหน้างุนงงทำให้ผมรู้ว่าเจ้าตัวลืมผมไปแล้วจริงๆ หรือไม่ก็ไม่เคยจำตั้งแต่แรก

     “พี่ชื่อบอนด์ เป็นเพื่อนไอ้ธาร” ผมแนะนำตัว (อีกครั้ง) ออกไปในที่สุด น้องนายนิ่งไปสักพักก่อนดวงตาจะเบิกโต มองผมด้วยใบหน้าตื่น

     “พี่บอนด์! ผมจำได้แล้ว ขอโทษนะครับ ผมจำไม่ได้จริงๆ ผมไม่ได้จะแกล้งให้พี่หน้าแตกเลยนะ”

     ท่าทางก้มหัวแทบจะร้อยแปดสิบองศากับคำขอโทษติดๆ กันทำให้ผมอดนิ่วหน้าไม่ได้ นี่ผมไม่ได้โดนประชดอยู่ใช่ไหม ไม่หรอก ผมคงคิดไปเอง

     “ถ้าจำได้แล้วก็ขึ้นมา”

     “ไม่เป็นไรครับ หอผมอยู่แค่นี้เอง”

     “แค่นี้ก็ไปส่งได้ เร็ว ไม่เห็นเหรอว่าคันข้างหลังบีบแตรไล่แล้ว”

     น้องนายรีบหันไปมองรถด้านหลัง ค้อมหัวให้นิดๆ เป็นเชิงขอโทษก่อนจะก้าวขึ้นรถอย่างไว

     “ขอโทษอีกทีนะครับ วันนั้นผมไม่ค่อยตั้งใจฟังเลยไม่รู้ว่าพวกพี่ชื่ออะไรกันบ้าง”

     ผมคงคิดว่าตัวเองกำลังโดนหาเรื่อง ถ้าไม่หันไปเห็นแววตารู้สึกผิดเสียก่อน น้องนายทำหน้าเหมือนกลัวผมโกรธจริงๆ แล้วแบบนี้ผมจะพูดอะไรได้นอกจาก...

     “ไม่เป็นไร”

     น้องนายยังมองเหมือนอยากแน่ใจว่าผมไม่โกรธจริงๆ ผมเลยส่งยิ้มไปให้ เพียงเท่านั้นคนอายุน้อยกว่าก็ยิ้มโล่งใจ ผมออกรถเมื่ออีกฝ่ายรัดเข็มขัดนิรภัยแล้ว พร้อมกับความคิดหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในหัว

     เป็นเด็กที่เหมือนไม่มีอะไร แต่กลับมีอะไรให้ทึ่งตั้งแต่ครั้งแรกที่คุยกัน แปลกจริงๆ





     ตอนแรกผมตั้งใจไปส่งน้องนายที่หอ แต่สาเหตุที่ตอนนี้พวกผมมาอยู่ในร้านอาหารแทน เพราะระหว่างบนรถจู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงท้องร้อง พอหันไปมองก็เจอกับรอยยิ้มขอโทษเขินๆ

     “ไม่สั่งเหรอ” ผมถามเมื่อเห็นน้องนายเอาแต่มองเมนูอย่างเดียว น้องนายเงยหน้ามามองผม สีหน้าที่เหมือนอยากร้องไห้ทำให้ผมเลิกคิ้ว

     “พี่บอนด์สั่งเลยครับ ผมไม่หิว”

     จากที่กำลังเลิกคิ้ว ผมขมวดคิ้วแปลกใจเมื่อน้องนายพูดอย่างนั้น เสียงท้องร้องออกจะดังแต่กลับบอกว่าไม่หิว ไปบอกเด็ก เด็กยังไม่เชื่อเลย

     “หิวก็สั่ง จะโกหกว่าไม่หิวทำไม”

     น้องนายเม้มปาก ทำหน้าเหมือนลำบากใจบางอย่าง ก่อนดวงตาคู่นั้นจะเงยมองผมอีกครั้งอย่างเขินๆ

     “ผม...มีเงินไม่พอน่ะครับ แต่ละอย่างแพงๆ ทั้งนั้น ผมเคยแต่ทานข้าวจานละสี่สิบ ไม่เคยสั่งจานละสองร้อยแบบนี้”

     ผมมองคนตรงหน้านิ่ง ไม่มีคำพูดใดออกจากปาก เพียงไม่นานเสียงถอนหายใจก็ดังขึ้น ก่อนที่ผมจะดึงเมนูมาถือเอง

     ผมยกมือเรียกพนักงาน สั่งเมนูที่คิดว่าคนตรงหน้าน่าจะอยากทาน น้องนายมองผมอย่างแปลกใจ พอพนักงานเดินไปแล้วจึงพูดขึ้นมา

     “พี่บอนด์ทานหมดเหรอครับ”

     “พี่สั่งให้เราด้วย”

     “แต่ผมไม่มีเงินจ่าย...”

     “แล้วใครบอกจะให้เราจ่าย”

     น้องนายนิ่งไปครู่หนึ่ง เหมือนสมองกำลังประมวลผล ทันใดนั้นดวงตาก็เบิกกว้าง มองผมอย่างตกใจ

     “พี่บอนด์จะเลี้ยงผมเหรอ”

     ผมพยักหน้า คิดว่าจะได้เห็นใบหน้าเกรงใจไม่ก็ได้ยินคำขอบคุณ แต่ประโยคแรกที่ออกมาจากปากหลังเจ้าตัวเงียบไปนานกลับเป็น...

     “ยังเป็นนักศึกษาอยู่ไม่ใช่เหรอครับ ยังไม่มีงานทำแต่มาเลี้ยงข้าวคนอื่นแบบนี้จะดีเหรอครับ”

     คนพูดทำน้ำเสียงปกติ ดวงตาใสซื่อ มันทำให้ผมไม่แน่ใจว่ากำลังถูกหลอกด่าอยู่หรือเปล่า แต่จากเหตุการณ์ตอนเจอกันทำให้ผมบอกตัวเองว่าเด็กมันแค่พูดตรงไปหน่อย ตรงอย่างกับไม้บรรทัด

     “บ้านพี่รวย” สั้น ง่าย ได้ใจความ ในเมื่ออีกฝ่ายถามตรงๆ ผมก็ตอบตรงๆ เหมือนกัน น้องนายมองผมด้วยสายตาเกรงใจ จะมาเกรงใจอะไรตอนนี้ มันไม่ทันตั้งแต่น้องลืมพี่แล้วครับ

     “ขอบคุณนะครับพี่บอนด์” น้องนายยกมือไหว้ ผมเหวอไปนิดหนึ่งก่อนจะรับไหว้แทบไม่ทัน นอกจากเรื่องพูดตรงที่มั่นใจแล้ว น้องนายทำให้ผมแปลกใจกับบุคลิกของเจ้าตัวได้ทุกวินาที เดี๋ยวก็พูดจาเหมือนหาเรื่อง เดี๋ยวก็ทำตัวเป็นเด็กเรียบร้อย จนผมงงไปหมดว่าจริงๆ แล้วเด็กคนนี้เป็นคนยังไง

     “ผมไม่น่าท้องร้องเลย พี่บอนด์เลยต้องมาลำบากเลี้ยงข้าว ขอโทษนะครับ” สายตาที่มองมาบอกถึงความเกรงใจและรู้สึกผิด จนผมต้องรีบตอบกลับไป

     “บอกแล้วไงว่าบ้านพี่รวย แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก”

     “ไว้วันหลังผมจะเอาเงินมาคืนนะครับ หรือถ้าพี่อยากให้เลี้ยงข้าวคืนนัดวันมาได้เลยครับ”

     “ไม่เป็นไร ถ้าเราเกรงใจจริงๆ พี่ขออย่างเดียว”

     “อะไรครับ”

     ผมทำหน้าจริงจัง โน้มไปใกล้จนน้องนายตกใจนิดๆ “หลังจากนี้อย่าลืมชื่อพี่อีกก็พอ”

     น้องนายเอียงคองงเมื่อเจอคำขอร้องของผมเข้าไป แต่สุดท้ายก็พยักหน้ารับ ผมถอนใบหน้าออกมา เราหยุดคุยกันเมื่ออาหารมาเสิร์ฟ ผมมองคนตรงหน้าที่ตาลุกวาวเมื่อเห็นความหรูหราของอาหาร ทำเอาอดยิ้มมุมปากไม่ได้

     ถึงจะแปลกไปหน่อย แต่ก็เป็นเด็กที่น่าเอ็นดูอยู่เหมือนกัน





     “เพื่อนไปไหนล่ะ ทำไมอยู่คนเดียว” ผมชวนน้องนายคุยเพื่อไม่ให้บรรยากาศในรถเงียบเกินไป ผมมักจะเห็นเพื่อนกลุ่มนี้อยู่ด้วยกันตลอด อย่างวันที่มาเชียร์บาสเป็นต้น จึงแปลกใจที่วันนี้ไม่เห็นผิง ส่วนซนผมรู้จากธารแล้วว่าวันนี้ไม่มามหา’ลัยเนื่องจากไม่สบาย

     “คุณซนท้องเสียครับ ส่วนคุณผิงไปหาข้อมูลทำรายงานที่ห้องสมุด”

     สรรพนามที่ใช้เรียกเพื่อนทำให้ผมย่นคิ้วเล็กน้อย ผมหันไปมองเจ้าของใบหน้าเล็กที่พูดไปมองถนนไป

     “ทำไมเรียกเพื่อนว่าคุณ”

     “มันชินปากน่ะครับ ผมเรียกเพื่อนแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วครับ”

     พอได้ยินอย่างนี้ผมจึงเพิ่งสังเกต แทบทุกประโยคที่น้องนายพูดกับผมมักจะมีครับลงท้ายตลอด ผมหัวเราะในลำคอเมื่อคิดว่าเจอเด็กเรียบร้อยเข้าให้แล้ว แต่เป็นเด็กเรียบร้อยที่กวนตาใสที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอ

     “แล้วทำไมถึงไม่เรียกพี่ว่าคุณ”

     “พี่บอนด์อายุมากกว่าผมก็ต้องเรียกพี่สิครับ” น้องนายหันมามองผม แม้ไม่พูดออกมาแต่สายตาเหมือนอยากถามว่า...ทำไมเรื่องแค่นี้ถึงไม่รู้

     “หึๆ”

     “ขำอะไรเหรอครับ”

     “ไม่มีอะไร”

     ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะเชื่อ เพราะผมพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ น้องนายมองผมอย่างแปลกใจ ผมเองก็แปลกใจ แปลกใจตัวเองที่รู้สึกสนุกแค่เพราะได้รู้จักนิสัยเด็กคนนี้ทีละนิด

     มันเหมือนการอ่านหนังสือที่ไม่รู้ว่าหน้าต่อไปมีอะไรรออยู่ ทุกการพลิกหน้ากระดาษจึงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ผมกำลังเป็นแบบนั้น น้องนายเป็นเด็กเรียบร้อยที่คิดอะไรก็พูดออกมาตรงๆ ไม่พูดคำหยาบทำร้ายจิตใจใคร แต่ก็ไม่พูดอ้อมค้อมเพื่อรักษาจิตใจใครเช่นกัน ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่ก็เป็นเด็กไม่มีพิษมีภัย แม้เพิ่งรู้จักกันวันเดียวแต่ผมมั่นใจในข้อนี้

     วันนี้ผมรู้จักน้องนายเพียงเท่านี้ แต่ผมมั่นใจว่าเด็กคนนี้ต้องมีเรื่องสนุกๆ ให้ผมพลิกหน้าต่อไปอีกแน่นอน ดูเหมือนผมจะเจอเด็กน่าสนใจเข้าแล้วสิ ดีเหมือนกัน ชีวิตนักศึกษาปีสี่ของผมไม่ได้สัมผัสคำว่าตื่นเต้นมานานแล้ว

     ผมขับรถมาจอดเทียบฟุตบาทหน้าหอพักแห่งหนึ่ง น้องนายลงไปจากรถ หันกลับมาโน้มตัวจนสายตาเราอยู่ระดับเดียวกัน

     “ขอบคุณที่มาส่งนะครับ”

     “ไม่เป็นไร”

     “แล้วก็...”

     ผมเลิกคิ้ว นึกว่าน้องนายหมดเรื่องคุยแล้ว

     “อาหารวันนี้อร่อยมากครับ ผมชอบทุกอย่างเลย” น้องนายคลี่ยิ้ม เป็นรอยยิ้มสดใสที่เต็มไปด้วยความจริงใจ ผมหลุดขำคำพูดเถรตรงนั้น นึกสงสัยว่าอีกฝ่ายเคยโกหกบ้างไหม มีอะไรก็พูดออกมาหมด ไม่ปิดบัง ไม่เสแสร้ง ผมไม่คิดว่าจะเจอคนแบบนี้ในสังคมได้ง่ายๆ แต่สุดท้ายก็เจอ

     “ขอบคุณเหมือนกันที่มาทานข้าวเป็นเพื่อน”

     ผมรอจนน้องนายเดินหายเข้าไปในหอพัก จึงออกรถด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหลังขับออกมาได้สักพัก วันที่และเดือนถูกผมจดจำอย่างรวดเร็ว

     ผมจะจำไว้ว่าวันนี้ผมเจอเด็กน่าสนใจคนหนึ่ง เป็นเด็กที่ให้ความประทับใจแรกพบแปลกที่สุดในชีวิต



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter : earthxxide

     Fanpage : Earthxxide
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-05-2023 21:51:43 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 9
หรือไม่...


     ช่วงนี้ผมให้คะแนนพี่ธารไปในฝั่งคนดีค่อนข้างเยอะ เผื่อใครไม่รู้ ผมมีคะแนนความพึงพอใจผู้ปกครองชั่วคราวด้วยนะครับ ถ้าแกล้งจะถูกหักคะแนน ถ้าทำดีด้วยจะได้คะแนนเพิ่ม ด้วยเหตุนี้เองคะแนนพี่ธารจึงต่ำเตี้ยเรี่ยดิน (ก็แน่ล่ะ ผมเป็นคนให้คะแนน ใครมันจะช่วยคนที่ชอบแกล้งตัวเองล่ะ)

     สาเหตุที่ผมเพิ่มคะแนนให้พี่ธารไม่ใช่เพราะเขาเลิกแกล้งผมแล้ว แต่เป็นเพราะหลังจากวันที่ผมท้องเสียเขาก็ไม่บ่นหรือดุเรื่องนี้เลย ไม่รู้ว่าลืมหรือเปล่า แต่ต่อให้ลืมผมก็ไม่คิดจะรื้อฟื้นให้ตัวเองโดนบ่นหรอก

     ส่วนเรื่องที่พี่ธารสัญญาว่าจะพาไปทะเล เราตกลงกันว่าจะไปตอนปิดเทอม ผมยุ่งอยู่กับรายงาน ส่วนพี่ธารก็ง่วนอยู่กับงานคณะ ต่างคนต่างไม่ว่าง อย่าว่าแต่ไปทะเลเลย เวลานอนยังแทบไม่มี

     แต่ต่อให้ยุ่งแค่ไหนพี่ธารก็ไม่เคยละเลยเรื่องดูแลผม ถ้าไม่นับเรื่องที่ชอบบังคับให้ทำงานบ้านด้วยตัวเอง พี่ธารดูแลผมดีจนผมอดละอายใจไม่ได้ ต่อให้ไม่แสดงออกแต่ผมก็ดูออกว่าพี่ธารก็เหนื่อยเหมือนกัน

     “พี่ธาร” ผมหันไปเรียกคนตัวสูง พี่ธารมาหาผมที่คณะเพื่อจะขับรถไปส่งที่บ้าน หลังจากนั้นจะกลับมาทำงานที่คณะต่อ แต่ที่ตอนนี้ยังไม่กลับเพราะผมรอหนังสือที่ผิงเข้าไปยืมในห้องสมุดให้อยู่

     “ว่าไง”

     “หลังจากนี้ไม่ต้องมารับมาส่งแล้วนะ ผมจะหัดไปกลับมหา’ลัยด้วยตัวเอง”

     ร่างสูงหันมามองเหมือนไม่เชื่อสายตา อะไรวะ แค่ผมพูดว่าจะไปกลับเองมันน่าเหลือเชื่อขนาดนั้นเลยเหรอ

     “ทำไมจู่ๆ ถึงอยากไปกลับเอง”

     “พ่อบอกว่าอยากให้ผมทำอะไรด้วยตัวเอง ผมเลยว่าจะเริ่มจากการเดินทางก่อน พี่ธารจะได้ไม่ต้องเหนื่อยด้วย ถ้าไม่ต้องมารับส่งผมพี่จะได้มีเวลาพักผ่อนมากขึ้นไง” ผมส่งยิ้มให้อีกฝ่าย เป็นไงล่ะ ดูหล่อเลยล่ะสิ ผมมั่นใจว่าพี่ธารต้องซึ้งกับคำพูดผมไม่มากก็น้อย ผมทำเพื่อพี่มันขนาดนี้ ไม่ซึ้งก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว

     “คิดจะหางานให้กูเพิ่มเหรอเอ๋อ”

     อะไรวะ! นี่ผมช่วยพี่อยู่นะเว้ย พี่ต้องขอบคุณผมสิ ขอบคุณน่ะพูดเป็นไหม

     “ขืนปล่อยให้มึงกลับเอง กว่าจะกลับถึงบ้านไม่เช้าของอีกวันเลยเหรอ”

     “ผมเป็นเด็กดี ไม่เถลไถลแน่นอน”

     “กูไม่ได้กลัวมึงเถลไถล กูกลัวมึงหลงทาง”

     เหมือนมีเสียงของแตกดังขึ้น ดูๆ แล้วน่าจะเป็นหน้าผมนี่แหละ ผมหุบยิ้มทันที เปลี่ยนมาทำหน้าบึ้งอย่างประจำ คนเขาอุตส่าห์อยากช่วยกลับมาดูถูกกัน งั้นก็เชิญเหนื่อยตายไปเลยไอ้พี่บ้า

     “มาแล้วๆ โทษที บัตรนักศึกษามีปัญหานิดหน่อยเลยช้า” ผิงวิ่งถือหนังสือมาพร้อมรอยยิ้มแต่ไกล ก่อนที่รอยยิ้มจะค่อยๆ ลดลงเมื่อเห็นสีหน้าผม

     “เป็นอะไรวะ ทะเลาะกับพี่ธารเหรอ” ผิงขยับมาใกล้ก่อนกระซิบเสียงเบา ผมไม่ตอบ คว้าหนังสือมาจากมือเพื่อน พูดขอบคุณแล้วเดินออกมา

     อยากไปส่งนักก็ตามใจ หลังจากนี้ผมจะไม่เป็นห่วงแล้ว เอาเวลาไปคิดเรื่องรายงานดีกว่า ห่วงคนแบบนี้ไปไม่เห็นมีอะไรดีเลย





     ผมเดินปึงปังเข้าบ้าน มีพี่ธารตามมาติดๆ ตอนแรกผมว่าจะไม่สนใจ แต่สุดท้ายก็อดหันไปถามไม่ได้

     “ตามมาทำไม ต้องกลับไปทำงานไม่ใช่เหรอ”

     ร่างสูงพ่นลมหายใจหนักๆ ดวงตาที่มองมาฉายแววหงุดหงิด

     “เป็นอะไร”

     “ถามผมเหรอ”

     “อยู่กันสองคน ไม่ถามมึงแล้วจะถามใคร”

     “ผมถามพี่ก่อนนะ พี่ก็ต้องตอบก่อนสิ”

     พี่ธารถอนหายใจหนักๆ อีกครั้ง ก่อนจะตอบเหมือนช่วยไม่ได้

     “กูโทรไปบอกเพื่อนให้ทำแทนแล้ว”

     “กินแรงเพื่อน” ผมว่ากระทบเบาๆ พูดดังไม่ได้ครับ อยู่บ้านกันสองคน แถมพี่ธารยังตัวใหญ่กว่าผม เกิดไปยั่วโมโหพี่แกมากๆ แล้วโดนจับฆ่าหมกบ้านขึ้นมาไม่คุ้มกันเลยสักนิด

     “ทีนี้จะตอบได้ยังว่าเป็นอะไร”

     “ผมไม่ได้เป็นอะไร”

     “แน่ใจ?”

     ผมสะบัดหน้าแทนคำตอบ พี่ธารไม่พูดอะไรต่อ เดินผ่านผมไปยังห้องครัว ผมรีบเดินตามไปทันที อารมณ์โมโหยังคุกรุ่น

     “ผมไม่กินข้าวเย็น” ต้องประท้วงให้รู้ว่ากำลังโกรธครับ เรื่องแบบนี้ใครเขาพูดกัน มันต้องรู้ด้วยตัวเองสิ

     “แล้วใครบอกว่ากูทำให้มึง” พี่ธารหันมาพูดด้วยหน้านิ่งๆ พร้อมยักคิ้วหนึ่งที ไอ้...โว้ยยย! อยากทำอะไรก็เชิญ!!

     ผมทำหน้าฮึดฮัดใส่ก่อนจะเดินกระแทกเท้าขึ้นไปบนชั้นสอง จะมีสักครั้งไหมวะที่ผมชนะพี่ธาร เถียงกันทีไรผมสู้ไม่ได้ทุกที เมื่อไหร่พ่อแม่จะกลับมานะ ผมเบื่อหน้าไอ้พี่ธารแล้ว พ่อจะรู้บ้างไหมว่าคนที่พ่อให้มาดูแลกำลังทำให้ลูกหงุดหงิด ไอ้พี่บ้าเอ๊ย!!





     เสียงเคาะประตูดังสองสามครั้ง ผมเดินไปเปิดด้วยใบหน้าบึ้งตึง พี่ธารยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงหน้า ระดับความสูงที่ต่างกันทำให้ผมต้องแหงนหน้ามอง

     “ลงไปกินข้าว”

     “ไหนว่าไม่ได้ทำให้ผม”

     “กูทำแล้วมันเหลือ จะเอาไปทิ้งก็เสียดาย เอามาให้มึงกินดีกว่าจะได้โตเร็วๆ”

     ผมย่นคิ้ว ทำไมพี่ธารชอบว่าผมเป็นเด็กจังวะ พี่มันตัวโตเกินไปต่างหาก อย่างผมเขาเรียกว่ามาตรฐานชายไทยทั่วไป

     “ผมบอกแล้วไงว่าไม่กิน”

     “แค่หายใจมันอิ่มหรือไง หรือมึงจะลดหุ่น” พี่ธารลดสายตามามองลำตัวผม ก่อนริมฝีปากจะยกยิ้ม “แค่นี้ก็แทบจะปลิวตามลมแล้ว จะลดไปถึงไหน”

     วันก่อนมาว่าอ้วน วันนี้กลับบอกว่าผอม ตกลงจะเอายังไงกันแน่วะ

     ผมตีหน้าหงุดหงิดใส่คนตรงหน้า กำลังจะปิดประตูหนี แต่พี่ธารเหมือนรู้ทันเลยยื่นมือมาค้ำประตูไว้

     “ลงไปกินข้าว” คนตัวสูงย้ำคำเดิม

     “ผมไม่หิว”

     “มึงหิว มึงแค่เล่นตัว”

     “ก็บอกว่า...”

     โครก~ คราก~

     พี่ธารส่งเสียงหึในลำคอ ส่วนผมได้แต่ยืนหน้าแดงทำอะไรไม่ถูก ไอ้ท้องเวร จะมาร้องตอนนี้ทำไม อดทนหน่อยไม่ได้เหรอ

     “ลงไปกินเถอะ กูทำของโปรดมึงไว้ให้” สายตาที่มองมาอ่อนแสง คล้ายมีความขบขันปนเอ็นดูในนั้น ไม่อยากเชื่อว่าจะมาจากคนอย่างพี่ธาร ผมชะงักปากที่จะปฏิเสธอีกครั้ง ศีรษะมันผงกโดยไม่รู้ตัว ได้แต่บอกตัวเองว่าเป็นเพราะคำว่าของโปรดผมถึงยอม

     ผมเดินตามพี่ธารลงมายังห้องครัว ดึงเก้าอี้ออกแล้วนั่งลง พี่ธารนั่งตรงข้าม ตักข้าวให้ผมก่อนตักให้ตัวเอง ผมมองคนตรงหน้าแล้วก็นึกก่นด่าตัวเอง แค่พี่มันมองแบบนั้นก็ใจอ่อนแล้วเหรอวะ

     เราสองคนนั่งกินข้าวด้วยกันเงียบๆ ไม่มีเรื่องพูดคุย มีเพียงเสียงช้อนกระทบจาน แต่ผมรู้สึกได้ว่าบรรยากาศไม่อึมครึมเท่าตอนแรกแล้ว จนกระทั่งผมรวบช้อนเมื่อกินเสร็จพี่ธารก็พูดขึ้นมา

     “ตกลงบอกได้ยังว่าเป็นอะไร”

     ผมมองเข้าไปในตาของคนถาม เราจ้องตากันสักพัก แววตาของพี่ธารไม่มีความหงุดหงิดเหมือนตอนแรก ผมถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะยอมบอก

     “ผมรู้ว่าผมทำอะไรไม่ค่อยเป็น แต่พี่ไม่เห็นต้องพูดขนาดนั้นเลย”

     “กูพูดอะไร”

     “พี่ดูถูกผม พี่บอกว่าถ้าผมกลับเองแล้วจะหลงทาง โอ๊ย!” ผมร้องด้วยความเจ็บเมื่อโดนดีดกลางหน้าผาก พี่ธารทำหน้าอ่อนใจ มองเหมือนอยากเขกหัวซ้ำอีกที

     “กูไม่ได้ดูถูก กูพูดความจริง มึงรู้เหรอว่าต้องนั่งรถสายอะไรกลับบ้าน”

     “ของแบบนี้มันต้องค่อยๆ หัดไปไม่ใช่เหรอ”

     “ใช่ ต้องค่อยๆ หัด ไม่ใช่วันแรกก็จะกลับเองคนเดียว กูรู้ว่ามึงโตแล้ว แต่เรื่องพวกนี้มึงไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน คิดบ้างไหมว่าถ้าเป็นอะไรไปจะทำยังไง”

     ผมหน้าจ๋อยเมื่อคนตรงหน้าเข้าสู่โหมดจริงจัง เพราะเอาแต่คิดว่าอยากหัดใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ไม่อยากเป็นภาระพี่ธารเลยไม่ได้คิดไปถึงจุดนั้น ผมรู้ว่าพี่ธารกำลังพูดถึงความปลอดภัย ถึงผมจะอายุยี่สิบแล้ว แต่เด็กวัยรุ่นที่ไม่เคยไปไหนมาไหนเองยังถือว่าอ่อนประสบการณ์ในสังคมอยู่ดี

     “เข้าใจที่กูพูดไหม”

     “อื้อ” ผมตอบรับในลำคอ

     “ถ้าเข้าใจแล้วก็อย่าหางานให้กูอีก ถ้าอยากกลับเองวันหลังกูจะหัดให้”

     “ผมไม่ได้หางานให้ซะหน่อย ผม…” ผมยั้งปากเมื่อเกือบเผลอพูดความในใจออกไป แต่ดูเหมือนจะไม่ทันแล้ว

     “มึงอะไร”

     “ผม...” ผมอึกอักเล็กน้อย แต่ในเมื่อพูดไปแล้วก็คงต้องพูดให้จบ “ผมแค่ไม่อยากให้พี่ธารเหนื่อย ผมเป็นห่วง”

     ผมก้มหน้างุด ทั้งชีวิตไม่เคยอายขนาดนี้มาก่อน เกลียดขี้หน้ามาตั้งนาน จู่ๆ ดันมาบอกว่าเป็นห่วง อีกเดี๋ยวไอ้พี่ธารต้องหัวเราะเยาะแน่ ไอ้ซนเอ๊ย ไม่น่าพลั้งปากออกไปเลย

     ผมรอได้ยินเสียงหัวเราะ แต่ผ่านไปสักพักทุกอย่างก็ยังเงียบเหมือนเดิม ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา พี่ธารกำลังมองผม มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย

     “มึงว่าอะไรนะ”

     “ถามทำไม ได้ยินแล้วไม่ใช่เหรอ”

     “มึงไม่อยากให้กูเหนื่อย”

     “...”

     “มึงเป็นห่วงกู”

     “…”

     “หึๆ เอ๋อเอ๊ย”

     อ้าว! ทำไมจู่ๆ วกกลับมาด่าได้วะ

     “มึงแม่ง...น่ารัก”

     ผมนิ่งงันเมื่ออีกฝ่ายชมแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย พี่ธารมองผมด้วยสายตายิ้มๆ ริมฝีปากจุดยิ้มพอใจ จู่ๆ ผมก็ไม่กล้าสู้หน้า ต้องหลบตาหันไปมองทางอื่น

     “กูไม่เคยเหนื่อยที่ต้องดูแลมึง หรือถ้ามึงหมายถึงเรื่องงานคณะ แค่รู้ว่ามึงเป็นห่วงกูก็หายเหนื่อยแล้ว ขอบใจนะเอ๋อ”

     เป็นครั้งแรกที่ถูกเรียกว่าเอ๋อแต่ผมไม่รู้สึกโกรธสักนิด อาจเพราะพี่ธารพูดด้วยเสียงนุ่มทุ้ม อาจเพราะพี่ธารมองผมด้วยสายตาอ่อนโยน หรือไม่…

     ผมค่อยๆ หันไปสบตาพี่ธารอีกครั้ง ตอบกลับไปด้วยเสียงในลำคอที่เบาจนแทบกลายเป็นกระซิบ

     “ไม่เป็นไร”

     หรือไม่...ผมก็คงเสพติดการเป็นเด็กเอ๋อของพี่ธารโดยไม่รู้ตัว



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter : earthxxide

     Fanpage : Earthxxide
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-05-2023 22:10:36 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
 :pighaun: :haun4:¼

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 10
ของแลกเปลี่ยน


     “มึงจะเอายังไง”

     “กูไม่รู้”

     “แต่พี่เขาอุตส่าห์มาขอร้องคุณซนเลยนะครับ”

     “ก็นั่นแหละ ทำไมต้องเป็นกูด้วยวะ” ผมยกมือขยี้หัวตัวเอง ผิงมองมาเหมือนอยากถามว่าไม่รู้จริงๆ เหรอ

     “มึงเป็นคู่จิ้นพี่ธาร ไม่มีใครในมหา’ลัยสนิทกับพี่เขาเท่ามึงแล้ว”

     “เพื่อนสนิทเขาไง ไปขอร้องสิ ไม่เห็นต้องมาขอร้องกูเลย”

     “ผมว่าคนทั้งมหา’ลัยคงคิดว่าคุณซนกับพี่ธารเป็นแฟนกันไปแล้ว ถ้าคิดแบบนี้ก็เข้าใจได้อยู่นะครับ” น้องนายช่วยวิเคราะห์ ผิงรีบรับช่วงต่อทันที

     “แฟนพูดต้องมีโอกาสสำเร็จกว่าเพื่อนพูดอยู่แล้ว สู้ๆ นะมึง แค่นี้ไม่เกินความสามารถมึงหรอก”

     ผมมองเพื่อนสนิทที่ยิ้มเหมือนเห็นเป็นเรื่องสนุก เจริญ ไม่คิดจะช่วยกันเลย เพื่อนแต่ละคนดีๆ ทั้งนั้น

     ในตอนที่ผมนั่งอยู่ใต้ตึกกับเพื่อน จู่ๆ รุ่นพี่ชมรมถ่ายภาพก็เข้ามาทัก เขากำลังมองหาคนบุคลิกดีเพื่อชวนไปถ่ายวีทีอาร์โปรโมทมหา’ลัย และหวยก็มาออกที่พี่ธาร แต่เนื่องจากพี่ธารโลกส่วนตัวสูง ชอบเก็บตัว ไม่สุงสิงกับใคร การจะขอร้องให้มาช่วยงานชมรมจึงไม่ใช่เรื่องง่าย หน้าที่เกลี้ยกล่อมจึงตกมาอยู่ที่ผม ผู้ที่ขณะนี้โด่งดังไปทั่วมหา’ลัยในฐานะคู่จิ้นของชายหนุ่มที่หล่อและเย็นชาที่สุด

     “มึงว่าพี่ธารจะยอมฟังกูเหรอ” ผมถามความเห็นผิง

     “แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ มึงไม่เห็นสายตาเวลาพี่เขามองมึงเหรอ”

     “สายตาพี่ธารเป็นยังไงเหรอครับ” น้องนายถามด้วยความข้องใจ

     “อบอุ่น เอ็นดู อ่อนโยน หวานหยาดเยิ้มจนกูยังเขินแทน”

     เอ่อ ผมว่าผิงมันจำผิดคนแล้วล่ะครับ อย่างพี่ธารต้องดุ ขี้แกล้ง ขี้หงุดหงิด ที่มันพูดมาผมไม่เห็นว่าจะใกล้เคียงพี่ธารสักนิด

     “ยังไงก็แล้วแต่ มึงลองไปคุยดูก่อน ไม่แน่คราวนี้พี่ธารอาจใจอ่อนก็ได้” ผิงกลับมาเรื่องเดิมอีกครั้ง

     “กูกลัวจะโดนด่ากลับมาน่ะสิ มึงอย่าลืมว่าเคยมีคนไปขอร้องพี่ธารตั้งหลายครั้ง และเขาก็ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยทุกครั้งด้วย”

     “เชื่อกูสิ ถ้ามึงไปขอพี่ธารไม่ปฏิเสธหรอก”

     “ทำไมมึงมั่นใจขนาดนั้นวะ”

     ผิงไม่ตอบ เอาแต่ยิ้มอมภูมิอย่างเดียว หันไปมองน้องนาย อีกฝ่ายก็รีบส่ายหน้าไม่รู้เรื่อง แต่ผมเห็นว่าสองคนนี้แอบมองตากันแวบหนึ่ง

     “พวกมึงคิดอะไรอยู่”

     “เปล๊า” ถ้าจะปฏิเสธเสียงสูงพร้อมกับยิ้มแบบนี้ บอกมาเลยก็ได้ว่ากำลังนินทากูอยู่ในใจ

     “ผมคิดเหมือนคุณผิงนะครับ คุณซนลองไปพูดกับพี่ธารก่อนก็ไม่เสียหาย อย่างมากแค่โดนด่านิดเดียวเอง”

     ผมเริ่มคิดแล้วว่าแค่ของผมกับของน้องนายอาจไม่เท่ากัน พวกมันไม่ใช่คนไปขอร้องก็พูดได้สิ ผมถอนหายใจยาว คิดถึงความสงบสุขก่อนรู้จักพี่ธารขึ้นมาทันที ดีนะที่คนทั่วไปไม่รู้ว่าผมกับพี่ธารเป็นเพื่อนบ้านกัน ไม่อย่างนั้นชีวิตผมคงวุ่นวายกว่านี้





     ผมเลือกเช้าวันหยุดที่อากาศสดใสในการเริ่มภารกิจเกลี้ยกล่อม โชคดีที่รั้วกั้นระหว่างสองบ้านไม่สูงมาก ผมเลยปีนขึ้นไปได้สบาย พี่ธารกำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้าน ผมใช้แขนเท้าบนกำแพงรั้ว ส่งยิ้มหวานไปเป็นอย่างแรก

     “พี่ธาร”

     เจ้าของชื่อหันมามอง พี่ธารอยู่ในชุดเสื้อกล้ามสีขาว กางเกงขายาวเนื้อนิ่มสีน้ำเงิน ขนาดแต่งแค่นี้ยังดูหล่อเลย ผมไม่สงสัยเลยว่าทำไมหลายต่อหลายคนถึงหลงเสน่ห์พี่แก

     “เรียกแต่ไม่พูดอะไร เอ๋อแต่เช้าเลยนะมึง”

     “โอ๊ะ! ขอโทษครับ” มัวแต่ชื่นชมอีกฝ่ายเพลินไปหน่อย เกือบลืมจุดประสงค์เลย “รดน้ำต้นไม้อยู่เหรอครับ ให้ผมช่วยไหม”

     พี่ธารหรี่ตามองมาด้วยสายตาไม่ไว้ใจ ผมเลิกคิ้วแทนคำถาม

     “จะเอาอะไร”

     เชี่ย!! ทำไมถึงรู้วะว่าผมมีเรื่องจะขอร้อง นี่ขนาดยังไม่อารัมภบทเลยนะ ไอ้พี่ธารมีสัมผัสที่หกเหรอ

     “ผมแค่ถามเฉยๆ ไม่ได้จะเอาอะไรซะหน่อย” ผมทำปากจู๋ เพื่อความแนบเนียนต้องเล่นตามน้ำไปก่อน

     “ร้อยวันพันปีไม่เคยพูดเพราะๆ วันนี้สมองเกิดอ๊องขึ้นมาหรือไง”

     ผมเผลอมุ่ยหน้า ก่อนจะรีบปรับสีหน้าเป็นปกติ เกือบไปแล้ว เกือบปะทะฝีปากกลับไปอย่างทุกทีแล้วไหมล่ะ สงบใจไว้ซน มึงกำลังแบกรับความหวังของชมรมถ่ายภาพอยู่นะ

     “พี่ก็พูดเกินไป ผมแค่อยากเป็นเด็กมีน้ำใจเท่านั้นเอง” ผมปีนข้ามกำแพงรั้วก่อนกระโดดลงมายังอีกฝั่ง ตั้งแต่รู้จักน้าพรผมยังไม่เคยเข้ามาในอาณาเขตบ้านนี้เลย นี่จึงเป็นครั้งแรก

     “ให้ผมช่วยนะ ผมอยากลองทำบ้าง” ผมไขว้มือไว้ด้านหลัง เดินไปหยุดยืนข้างๆ มองสวนดอกไม้ขนาดย่อมด้วยแววตาเหมือนสนใจ พี่ธารไม่พูดอะไร หันไปรดน้ำต้นไม้ต่อ ปล่อยให้คำพูดผมค้างเติ่งอยู่กลางอากาศพร้อมกับเสียงอีกาบินผ่านไป

     เมินกันเหรอ!

     “โอ๊ะ! นั่นต้นอะไรเหรอครับ สวยจัง” ผมยังไม่ละความพยายาม ทำเป็นก้มไปดูกระถางต้นไม้ที่อยู่ใกล้สุด พี่ธารเบี่ยงสายยางเพื่อไม่ให้น้ำกระเซ็นมาโดนผม เสียงถอนหายใจลอยมาให้ได้ยินเบาๆ

     “สาบานว่ามึงไม่รู้จักต้นกุหลาบ”

     เหมือนเสียงอีกาจะดังขึ้นอีกครั้ง ผมหันไปหัวเราะแหะๆ พี่ธารเดินไปปิดก๊อกน้ำที่ต่อกับสายยาง ก่อนจะกลับมาหาผม

     “รดน้ำเสร็จแล้วเหรอครับ” ผมยืนขึ้นเต็มความสูง แต่ก็ยังสูงแค่ไหล่พี่ธาร

     “เสร็จแล้ว ทีนี้ก็พูดเรื่องของมึงมา กูจะได้เข้าบ้านไปอาบน้ำ”

     “พี่พูดเรื่องอะไร ผมแค่อยากมาช่วยเฉยๆ” ผมทำตาใสซื่อ พยายามไม่แสดงพิรุธ

     “ดี ถ้าไม่มีอะไรงั้นกูเข้าบ้านล่ะ”

     อ้าวเฮ้ย! ไม่ได้สิ ผมยังไม่ได้เข้าประเด็นสำคัญเลย

     ผมรีบเดินอ้อมไปยืนขวางหน้า พี่ธารหยุดเดิน มองผมพลางเลิกคิ้ว ผมเม้มปากแน่น สูดลมหายใจรวบรวมความกล้า ก่อนจะพูดออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ

     “คือ...เมื่อวันก่อนมีคนจากชมรมถ่ายภาพมาหาผม เขาอยากให้...”

     “ไม่” สั้น กระชับ หนักแน่น คือคำตอบที่พี่ธารมีให้แม้ผมจะยังพูดไม่จบ ผมตาโตเล็กน้อย ไอ้พี่ธารรู้ได้ไงว่าผมจะพูดอะไร

     “ไม่ฟังให้จบก่อนเหรอ”

     “มึงพูดแค่นี้กูก็รู้แล้วว่าเรื่องอะไร”

     แปลว่าคงโดนตามตื๊อบ่อยสินะถึงจำได้ขึ้นใจ

     “พี่ไม่เปลี่ยนใจหน่อยเหรอ ผมสงสารเขา”

     “ไม่ใช่เรื่องที่กูต้องใส่ใจ” พี่ธารดันไหล่ผมให้พ้นทางก่อนจะเดินเข้าบ้านไปอย่างไร้เยื่อใย ผมรีบตามไปติดๆ ปากก็ชักแม่น้ำทั้งห้าไม่หยุด

     “คิดดีๆ นะพี่ ถ้าพี่ยอมถ่ายวีทีอาร์ คนทั้งมหา’ลัยจะรู้จักพี่มากขึ้น แล้วพอพี่ดังขึ้นก็จะมีสาวๆ มาสนใจ มีแต่ได้ทั้งนั้น”

     พี่ธารยังเอาแต่เดินไม่หยุด ถึงจะทำเหมือนไม่สนใจแต่ผมรู้ว่าเขาฟังอยู่ จึงพูดโน้มน้าวต่อไป

     “โอกาสดีๆ แบบนี้ไม่ได้มีบ่อยนะพี่ ถ้าไม่ติดว่าหล่อน้อยกว่าผมยังอยากทำแทนเลย โอกาสที่จะมีสาวสวยมาสนใจแบบนี้ใครจะปล่อยไปง่ายๆ”

     ร่างสูงหันขวับมามอง ทำเอาผมที่กำลังเดินตามชนเข้ากับแผ่นหลังกว้าง เราสองคนมาหยุดยืนหน้าห้องน้ำพอดี ผมยกมือลูบจมูกป้อยๆ เงยหน้าขึ้นหมายจะบ่นเรื่องที่อีกฝ่ายหยุดเดินโดยไม่บอกก่อน แต่สายตาหงุดหงิดที่มองมาทำเอาผมพูดไม่ออก จู่ๆ เป็นอะไรไปวะ

     “อยากให้มีสาวๆ มาสนใจมากเหรอ”

     “กะ...ก็ไม่ขนาดนั้น...” ผมอึกอักเมื่อโดนสายตาดุนั้นจ้อง จะจริงจังอะไรกับเรื่องนี้เล่า ผมแค่พูดไปอย่างนั้นเอง

     “ตกลง กูยอมถ่ายวีทีอาร์”

     “จริงนะ!” ผมถามอย่างตื่นเต้น ถึงจะแอบแปลกใจอยู่หน่อยๆ ก็เถอะ บทจะยากก็ยากแสนยาก แต่บทจะง่ายกลับง่ายนิดเดียว

     “หรือไม่อยากให้กูถ่าย”

     “อยากสิพี่” ผมรีบยิ้มประจบสุดชีวิต ไม่รู้หรอกว่าพี่แกไปกินรังแตนที่ไหนมา แต่นาทีนี้อะไรทำให้อารมณ์ดีได้ผมทำหมด “เดี๋ยวผมไปถามวันแล้วจะมาบอกอีกทีนะ”

     พี่ธารพยักหน้าแบบขอไปที ก่อนจะถอดเสื้อที่ใส่อยู่โดยไม่บอกล่วงหน้า กล้ามหน้าท้องเรียงสวยปรากฏต่อสายตา แผงอกกว้างรับกับวงแขนที่ไม่ล่ำจนเกินไป ผมยืนตะลึงอยู่หลายวินาที จนกระทั่งร่างสูงหันมามอง

     “หมดธุระหรือยัง”

     หมดยังวะ ผมมาเพื่อเกลี้ยกล่อมเรื่องถ่ายวีทีอาร์ และตอนนี้ก็สำเร็จแล้ว งั้นก็น่าจะหมดแล้วมั้ง

     “หมดแล้วครับ”

     “งั้นก็กลับไปได้แล้ว กูจะอาบน้ำ”

     “...”

     “หรือจะอาบด้วย?” พี่ธารทำท่าจะสาวเท้าเข้ามา ผมผงะเล็กน้อย รีบวิ่งจู๊ดออกจากบ้านอย่างรวดเร็ว ได้ยินเสียงหัวเราะดังไล่หลังมา

     ผมยกมือตบหน้าตัวเองเบาๆ เป็นอะไรวะซน แค่เห็นผู้ชายหุ่นดีไม่เห็นต้องตะลึงเลย อีกหน่อยผมก็ต้องหุ่นดีแบบนั้นเหมือนกัน อาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ ไม่อยากจะคุยเท่าไหร่หรอก

     ว่าแต่...พี่ธารหุ่นดีขนาดนี้เลยเหรอ อิจฉาอยู่เหมือนกันแฮะ





     หลังจากเกลี้ยกล่อมพี่ธารสำเร็จ พี่ๆ ชมรมถ่ายภาพก็ดีใจกันยกใหญ่ ถึงขนาดขอเลี้ยงข้าวผมเป็นการขอบคุณเลยทีเดียว ข่าวลือที่พี่ธารจะถ่ายวีทีอาร์มหา’ลัยแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว เรียกว่าเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ก็ว่าได้ นอกจากผิงกับน้องนายที่มั่นใจว่าถ้าผมไปขอร้องแล้วพี่ธารจะยอม ทุกคนต่างแปลกใจกับเหตุการณ์ครั้งนี้กันถ้วนหน้า อย่างที่รู้กันว่าพี่ธารมักไม่ช่วยเหลือใครง่ายๆ ถ้าไม่ใช่งานคณะ นี่จึงเป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับมหา’ลัยผม

     ผมละสายตาจากโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่นเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูบ้าน ใครมาในเวลาหนึ่งทุ่มแบบนี้นะ พี่ธารบอกว่าวันนี้จะกลับดึกเพราะอยากเคลียร์งานให้เสร็จไม่ใช่เหรอ ด้วยความสงสัยผมจึงเดินออกไปดู

     ผมชะงักเท้าที่กำลังก้าวพ้นห้องนั่งเล่น ถ้าเป็นโจรขึ้นมาล่ะจะทำยังไง ผมรีบเดินกลับไปหยิบไม้กวาดทันทีที่คิดได้อย่างนั้น ไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่า แต่ป้องกันไว้ก่อนเป็นยอดดี

     ผมค่อยๆ เดินไปที่ประตู มือกำไม้กวาดไว้มั่น ถ้าเป็นโจรจริงๆ พ่อจะตีให้หัวแตกเลย ปล้นบ้านใครไม่ปล้น ดันมาปล้นบ้านคนหล่อ

     ผมแนบหน้าเข้ากับประตูเพื่อส่องตาแมว ก่อนจะต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูคือพี่ธาร ผมรีบเปิดประตูทันที พี่ธารมองไม้กวาดในมือผมอย่างงุนงง

     “เอาไม้กวาดมาทำไม”

     ดูเหมือนเสียงหัวเราะแห้งของผมจะเป็นคำตอบได้ดี เพราะหลังจากนั้นไม่นานคนตรงหน้าก็ส่งเสียงหึในลำคอ พี่ธารส่ายศีรษะไปมา ดวงตาขบขันปนอ่อนใจ

     “สองครั้งแล้วนะที่มึงคิดว่ากูเป็นโจร”

     “ก็ใครใช้ให้พี่มาเคาะประตูเวลานี้ล่ะ แล้วทำไมกลับมาเร็ว ไหนว่าอยู่คณะจนดึกไม่ใช่เหรอ”

     “งานเสร็จเร็วกว่าที่คิด กูกำลังจะเข้าบ้านแต่แวะมาหามึงก่อน”

     “มาหาผมทำไม”

     พี่ธารกระตุกยิ้ม ยื่นหน้ามาใกล้ไม่ให้ซุ่มให้เสียง ผมเผลอถอยหลังสองก้าวด้วยความตกใจ

     “มาทวงของแลกเปลี่ยน”

     “ของแลกเปลี่ยนอะไร”

     “ใครบอกว่ากูถ่ายวีทีอาร์ให้ฟรีๆ อยากให้คนอื่นทำอะไรให้ก็ต้องมีของแลกเปลี่ยนสิ”

     !!!

     ผมยืนอึ้ง มองดวงตากับรอยยิ้มร้ายกาจของคนตรงหน้า อ้าปากพะงาบๆ อย่างนึกคำพูดไม่ออก

     “อืม...เอาเป็นอะไรดีนะ” พี่ธารยกมือลูบคาง ทำหน้าครุ่นคิดเหมือนผมตอบตกลงแล้ว “งั้นกูติดไว้ก่อนแล้วกัน ยังคิดไม่ออก ไว้คิดออกแล้วจะมาบอก ไปล่ะ”

     พี่ธารพูดจบก็หันหลังเดินกลับบ้านตัวเอง ผมยังยืนอยู่ที่เดิม จนกระทั่งสติกลับเข้าร่างถึงได้ตะโกนไล่หลังไป

     “เฮ้ยพี่! ผมยังไม่ได้ตกลงเลย พี่ธาร! กลับมาก่อน!!”

     พี่ธารหันมายักคิ้วให้ ก่อนจะเปิดประตูรั้วเดินเข้าบ้านไปอย่างสบายอารมณ์ ผมที่ทำอะไรไม่ได้จึงได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ นอกจากต้องเสี่ยงตีนมาขอร้องแล้วยังต้องตอบแทนอีกเหรอ เรื่องของตัวเองก็ไม่ใช่ แล้วทำไมถึงต้องมาลำบากด้วยเนี่ย สาบานว่าคราวหน้าผมจะไม่ช่วยใครแล้ว ไม่คุ้มกับข้าวมื้อเดียวเลยสักนิด!



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter : earthxxide

     Fanpage : Earthxxide
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-05-2023 18:00:02 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ prateep

  • magKapleVE
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
    • Top-notch Сasual Dating - Legitimate Girls

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 11
พิสูจน์


     “มึงมาอยู่ที่นี่จะดีเหรอ” ผิงถามผมที่กำลังสูดเส้นบะหมี่เข้าปาก ข้างๆ คือน้องนายที่กำลังกินน้ำแข็งไสอย่างเอร็ดอร่อย

     “ทำไมถามแบบนั้น กูอยู่คณะตัวเองมันผิดตรงไหน”

     “ไม่ใช่อย่างนั้น กูหมายถึงมึงไม่ไปอยู่กับพี่ธารจะดีเหรอ”

     “แล้วทำไมกูต้องไปอยู่กับเขา” ผมถามพลางคีบลูกชิ้นเข้าปาก

     “ก็วันนี้พี่ธารถ่ายวีทีอาร์”

     “ก็ถ่ายไปสิ กูไม่ได้ถ่ายด้วยซะหน่อย”

     ผิงหันไปมองตาน้องนาย ทำหน้าเหมือนไม่รู้จะพูดยังไงกับผมดี

     “มึงเข้าใจที่กูพูดหรือเปล่า”

     “เข้าใจครับ”

     “เห็นไหม น้องนายยังเข้าใจเลย” ผิงหันกลับมามองผม “มึงเป็นคนขอให้เขามาช่วย แต่ตัวเองกลับไม่อยู่ด้วย เขาจะรู้สึกยังไง”

     “กูไม่ได้ขอ พี่ๆ ชมรมถ่ายภาพต่างหาก”

     “แต่คนที่ไปขอคือมึง”

     “นั่นกูก็ไม่ได้ไปขอเพราะอยากซะหน่อย”

     ผิงถอนหายใจที่ผมไม่ยอมเข้าใจมันเลย ไม่ใช่ว่าผมไม่เข้าใจ แต่ผมไม่เห็นความจำเป็น พี่ธารถ่ายวีทีอาร์คนเดียว ต่อให้ผมไปก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี แล้วจะไปทำไม

     “น้องซนคะ” จู่ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาทัก ผมจำได้ว่าเธอคือเพื่อนของรุ่นพี่ที่ไหว้วานให้ผมไปขอร้องพี่ธาร

     “ครับ?”

     “เราว่างอยู่หรือเปล่า”

     ผมหันไปมองเพื่อน ก่อนจะหันกลับมามองคนตรงหน้า “ว่างครับ”

     “งั้นมากับพี่หน่อยได้ไหม”

     “ไปไหนครับ”

     “ไปหาธาร ธารไม่ยอมถ่ายเลย บอกว่าจะรอน้องซน”

     หา!?

     “ไปเร็ว ตอนนี้กองถ่ายวุ่นไปหมดแล้ว” คนพูดไม่สนสีหน้างุนงงของผม จับข้อมือให้ลุกขึ้นแล้วรีบจูงไปทันที ผิงรีบตามมาติดๆ โดยไม่ลืมลากน้องนายมาด้วย เหมือนจะได้ยินน้องนายพูดว่ายังกินน้ำแข็งไสไม่เสร็จเลย แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องสนใจตอนนี้

     ไอ้พี่ธารจะมารอผมทำไม ผมไม่เข้าใจจริงๆ ตัวเองมีหน้าที่ถ่ายก็ถ่ายไปสิ เกี่ยวอะไรกับผมเล่า!





     พี่ผู้หญิงพาผมขึ้นมาบนหอสมุดกลางที่ใช้เป็นสถานที่ถ่ายวีทีอาร์ มีคนยืนออกันจนเต็มพื้นที่รอบนอก คงมาดูหนุ่มฮอตของมหา’ลัยกัน พอฝ่ากลุ่มคนเข้ามาผมก็เจอตัวการที่ทำให้การถ่ายทำล่าช้า แต่ยังไม่ทันพูดอะไรออกไป พี่ผู้ชายที่ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับก็เดินเข้ามา

     “มาแล้วเหรอน้องซน พี่กำลังรออยู่เลย”

     ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองด้วยใบหน้าเหลอหลา ห่างออกไปไม่ไกลมีเพื่อนผมกับพี่บอนด์ยืนมองมา

     “รอผมเหรอครับ”

     “ใช่ ธารเพิ่งเสนอไอเดียบางอย่างมาเมื่อกี้ แล้วพี่ก็คิดว่ามันน่าจะเวิร์ก”

     “ไอเดียอะไรครับ” ผมถามคนตรงหน้าแต่สายตาเหลือบไปมองคนที่ถูกพูดถึง พี่ธารกำลังมองมาทางนี้ มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย

     “ธารอยากให้เรามาถ่ายวีทีอาร์ด้วย แบบนั้นจะเรียกความสนใจได้ดีกว่า”

     “หา!” ผมเผลอร้องเสียงดัง ก่อนจะรีบค้อมหัวขอโทษพร้อมกับลดเสียง “เอ่อ...มันดียังไงเหรอครับ ผมไม่เข้าใจ”

     “ตอนนี้กระแสของธารกับซนเริ่มดังออกไปนอกมหา’ลัย ถ้าพรีเซนเตอร์โปรโมทมหา’ลัยเป็นคู่จิ้นที่กำลังมาแรง ยังไงคนก็ต้องสนใจ”

     “เอ่อ...”

     “นะซน ช่วยพวกพี่หน่อย ถ่ายวีทีอาร์แป๊บเดียว ถ่ายกับแฟนเราไม่น่ามีปัญหานะ”

     ผมอยากโพล่งออกไปให้จบๆ ว่าผมกับพี่ธารไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่ผมไม่รู้ว่าแบบนั้นจะเป็นการหักหน้าพี่ธารหรือเปล่า และดูเหมือนยิ่งผมอิดออดการถ่ายทำจะยิ่งล่าช้าเข้าไปใหญ่ สุดท้ายผมจึงต้องพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้

     “ก็ได้ครับ”

     “ขอบใจมาก ซนพร้อมถ่ายเลยไหม”

     ผมตอบอย่างอื่นได้ด้วยเหรอ...

     “พร้อมครับ”

     “งั้นก็ไปเข้าฉากเลย” อีกฝ่ายตบบ่าผมเบาๆ ก่อนกลับไปประจำที่ ผมเดินเข้าไปหาพี่ธารที่นั่งอยู่หน้ากล้อง มองมาด้วยสายตาพอใจระคนสนุก ผมอยากถลึงตาใส่แต่ติดว่ามีคนมองอยู่จึงได้แต่ยิ้มให้ ไม่เป็นไร ตอนนี้ยอมไปก่อน กลับบ้านไปเมื่อไหร่น่าดู





     การถ่ายวีทีอาร์ดำเนินไปอย่างราบรื่น ฉากโอเค แสงโอเค สถานที่โอเค แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ไม่โอเค...

     “ธารเอาหน้าไปใกล้ซนหน่อย นั่นแหละ ยิ้มไว้ๆ”

     “ซนอย่าเกร็ง เลื่อนมือขึ้นอีกนิด เงยหน้ามองตาด้วย”

     “โอบไหล่ชิดๆ หน่อยธาร ซนก็ขยับเข้ามาด้วย ดี ดีมาก ต้องอย่างนั้น มองกล้องแล้วยิ้มนะ”

     นี่ถ่ายวีทีอาร์หรือพรีเวดดิ้ง ใครก็ได้บอกผมที อีกนิดจะจูบกันแล้ว โปรโมทมหา’ลัยประสาอะไรฟะ!

     ผมยิ้มจนเหงือกแห้งไปหมดแล้ว แต่การถ่ายทำก็ยังไม่เสร็จสักที โทษใครไม่ได้หรอก ผมนี่แหละที่ทำให้ช้า ก็คนมันไม่ชินนี่หว่า เกิดมายี่สิบปีไม่เคยแนบชิดกับผู้ชายมาก่อน มันก็ต้องมีสะดุ้งกันบ้าง

     “มึงรออะไรอยู่น้องนาย รีบหยิบโทรศัพท์มาถ่ายสิ”

     “ถ่ายอะไรครับ”

     “ก็ถ่ายไอ้ซนกับพี่ธารไง กูจะเก็บไว้จิกหมอนคืนนี้”

     “คุณผิงไม่ถ่ายเองล่ะครับ”

     “ของกูแบตฯ หมด ใช้เครื่องมึงถ่ายไปก่อน” เสียงเพื่อนผมลอยมาให้ได้ยินเบาๆ ก่อนที่พี่บอนด์ที่ยืนอยู่ข้างหลังจะยื่นหน้ามาตรงกลาง

     “ใช้เครื่องพี่แทนก็ได้”

     “เอ่อ...จะดีเหรอคะ”

     “ดีสิ” พี่บอนด์ส่งโทรศัพท์ตัวเองให้ ผิงรับมาพร้อมกับพูดขอบคุณ หันกล้องมาทางผมแล้วเริ่มอัดวิดีโอ

     “ยิ้มหน่อย” ผมสะดุ้งอีกครั้งเมื่อจู่ๆ เสียงทุ้มก็ดังข้างหู มือหนาที่โอบเอวกระชับเข้าหา ทำให้ไหล่ผมแตะตัวพี่ธาร แม้จะเพียงเล็กน้อยแต่ก็รับรู้ได้ถึงความแข็งแรงของร่างกาย

     ผมคลี่ยิ้มตามที่พี่ธารบอก มองตรงไปยังกล้อง ในใจก็เอาแต่ภาวนาให้ผ่านไปเร็วๆ หัวใจจะได้เลิกเต้นแรงเสียที

     เดี๋ยวนะ...ผมใจเต้นแรงกับร่างกายผู้ชายเหรอ?

     ผมหุบยิ้มเมื่อสะดุดความคิดในหัวตัวเอง นั่นจึงทำให้ตากล้องที่กำลังรัวกดชัตเตอร์ชะงักมือ

     “น้องซนยิ้มหน่อยครับ อีกนิดจะเสร็จแล้ว”

     “คะ...ครับ”

     “อย่าใจลอย” เสียงทุ้มของพี่ธารดังขึ้นอีกครั้ง จะไม่เป็นไรเลยถ้าพี่แกไม่พูดพร้อมกับหายใจในเวลาไล่เลี่ยกัน ผมขนลุกซู่เมื่อลมหายใจอุ่นเป่ารดบริเวณแก้ม อยากผลักอีกฝ่ายออกแต่ทำไม่ได้ แถมยังต้องปั้นหน้ายิ้มอีก โอย...ทำไมชีวิตไอ้ซนถึงลำบากแบบนี้เนี่ย





     กว่าจะผ่านการถ่ายวีทีอาร์มาได้ผมน่าจะสะดุ้งรวมกันไปประมาณร้อยครั้ง ตอนที่ตากล้องสั่งคัทผมรีบกระโดดออกจากวงแขนทันที พี่ธารหัวเราะเบาๆ ดวงตาที่มองมาขบขันกึ่งยั่วเย้า ผมแอบถลึงตาใส่ก่อนหันไปรับน้ำจากทีมงาน

     “ขอบใจมาก ทั้งซนทั้งธารเลย งานโอเพ่นเฮาส์ปีหน้าต้องมีคนมาเยอะแน่ๆ” พี่ผู้ชายคนเดิมเดินเข้ามาหา ดูจากคำพูดแล้วคงอยู่ปีเดียวกับพี่ธาร

     “กลับได้แล้วใช่ไหม”

     “กลับได้เลยๆ ไว้จะขอนัดเลี้ยงข้าวอีกทีนะ”

     “ไม่เป็นไร ที่มาช่วยเพราะเจ้าเด็กนี่มาขอ” มือหนาวางบนศีรษะแล้วโยกเบาๆ สายตาที่มองมารวมถึงคำพูดกำกวมเรียกเสียงกรี๊ดเบาๆ จากคนที่ยืนดูการถ่ายทำ ผมเห็นผิงยกมืออุดปาก น้องนายอมยิ้มเล็กๆ พี่บอนด์ผิวปากแซว แต่เพราะตอนนี้มีเรื่องอื่นคาใจอยู่ผมจึงไม่ได้สนใจ

     พี่ธารเอ่ยขอตัวกับทุกคนก่อนจะจับมือผมจูงฝ่าคนออกไป ผิงกับน้องนายเดินตามมา ข้างหลังเป็นพี่บอนด์ พอมาถึงหน้าหอสมุดผิงก็บ่นขึ้นมาเป็นคนแรก

     “โหย คนอย่างเยอะ จะมาทำไมกันเยอะแยะ ไม่มีอย่างอื่นให้ทำกันหรือไง”

     “คุณผิงก็มาเหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ”

     “กูตามไอ้ซนมาต่างหาก เพื่อนถ่ายงานมหา’ลัย ไม่ให้มาดูเพื่อนแล้วจะให้ดูใครยะ” ผิงมองค้อนน้องนาย ก่อนจะส่งโทรศัพท์คืนให้พี่บอนด์ “ขอบคุณนะคะที่ให้ยืม ส่วนเรื่องวิดีโอ...”

     ผิงบิดตัวไปมา ทำหน้าเขินอายท่าทางกระมิดกระเมี้ยน ถ้าให้เดามันคงคิดจะขอไลน์พี่บอนด์เพื่อให้ส่งวิดีโอมาให้

     “เดี๋ยวพี่ส่งให้ในไลน์น้องนายนะครับ สะดวกกันหรือเปล่า”

     “สะดวกค่ะ สะ...หา!” ผิงร้องอย่างตกใจ หันมามองเพื่อนตาปริบๆ “เอ่อ...ส่งให้น้องนายเหรอคะ”

     “ครับ หรือไม่สะดวก” พี่บอนด์ถามทั้งสองคน เพื่อนผมมองตากันเหมือนงงว่าทำไมต้องเป็นน้องนาย แต่เพราะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรจึงตอบกลับไป

     “สะดวกค่ะ มึงไม่มีปัญหาใช่ไหม”

     “ไม่มีครับ”

     “งั้นก็ตามนี้” พี่บอนด์ยิ้มให้เพื่อนผม เป็นรอยยิ้มที่เหมือนแฝงความพอใจไว้ ผมละสายตาจากภาพตรงหน้าเมื่อคนข้างๆ เรียกขึ้นมา

     “เตี้ย มีเรียนอีกไหม”

     ผมส่ายหน้า กะว่าทานข้าวในโรงอาหารเสร็จแล้วจะแยกย้ายกันกลับเลย แต่ก็มาเกิดเรื่องนี้ก่อน

     “งั้นกลับกัน กูจะไปซื้อของเข้าบ้าน”

     ผมพยักหน้า นึกขอบคุณที่พี่ธารพูดขึ้นมา เพราะผมตั้งใจจะแยกออกมาอยู่พอดี เรื่องที่อยากคิดบัญชีก็ส่วนหนึ่ง แต่ตอนนี้ผมอยากพิสูจน์บางอย่างมากกว่า

     “กูกลับก่อนนะพวกมึง” ผมหันไปบอกลาเพื่อนก่อนเดินตามพี่ธารออกมา พี่ธารจอดรถไว้ข้างตึกบริหารฯ จากหอสมุดจึงต้องเดินไกลหน่อย

     “พี่ธาร” ผมเรียกคนข้างหน้า พี่ธารหยุดเดินแล้วหันมามอง ผมเคลื่อนตัวไปอยู่ตรงหน้า ยื่นมือออกไปโดยไม่พูดอะไร

     “ทำอะไรของมึง” พี่ธารถามพลางก้มมองมือผมที่ทาบอยู่บนอก ผมไม่ตอบอะไร หลับตาแล้วทาบอยู่อย่างนั้น สักพักจึงถอนมือออกพร้อมกับขมวดคิ้ว

     “ไม่เห็นเต้นเลย” ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง พี่ธารขมวดคิ้ว

     “มึงเล่นอะไรเอ๋อ”

     “ผมแค่อยากพิสูจน์”

     “พิสูจน์อะไร”

     “พิสูจน์ว่าตัวเองใจเต้นแรงกับผู้ชายหรือเปล่า” ผมพูดออกไปโดยไม่คิดอะไร ก่อนที่ประโยคถัดไปจะเบาเสียงลงเพราะพูดกับตัวเอง “ทำไมตอนอยู่หน้ากล้องใจเต้นแรง แต่ตอนนี้ไม่เห็นมีอะไรเลยวะ หรือแค่แตะเฉยๆ ไม่นับ ต้องโดนตัวแบบแนบชิดถึงจะใจเต้น”

     เสียงหัวเราะของคนตรงหน้าดังขึ้น พาให้ผมแหงนเงยขึ้นมอง พี่ธารโน้มหน้ามาใกล้ ดวงตาเป็นประกายวาววับ

     “เมื่อกี้มึงพูดว่าใจเต้นแรงกับกูเหรอ”

     !!!

     ผมไม่รู้ว่าตัวเองแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป คนตรงหน้าถึงยิ้มกว้างขึ้น พี่ธารยืดตัวเต็มความสูง สายตาที่มองมาต่างไปจากทุกที จู่ๆ ผมก็ไม่กล้าสบตา จากที่คิดจะว่าเรื่องชวนผมมาถ่ายวีทีอาร์เป็นอันต้องเดินหนี ไอ้ซนนะไอ้ซน พูดอะไรไม่ระวังเลย

     เป็นเพราะรีบร้อนเดินออกมา ผมจึงไม่ทันเห็นสีหน้าของใครอีกคน ร่างสูงยืนส่ายศีรษะด้วยความขำ ภายในดวงตาเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่เจ้าตัวพยายามเก็บซ่อน

     “ทำตัวน่ารักแบบนี้ ถ้ากูอดใจไม่ไหวขึ้นมาจะทำยังไงฮะเจ้าเด็กเอ๋อ”



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter : earthxxide

     Fanpage : Earthxxide
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-05-2023 18:44:50 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 12
คนขี้เหงา


     -บอนด์-

     ผมขับรถไปอมยิ้มไป คิดถูกจริงๆ ที่ไม่ไปทานอาหารญี่ปุ่นกับไกด์กับโอปอล์ แต่มาดูธารถ่ายวีทีอาร์แทน เพราะไม่อย่างนั้นผมคงอดเจอน้องนาย

     “ผิงกับน้องนายไปด้วยจะดีเหรอคะ” ผิงที่นั่งเบาะหลังถามขึ้นมา ผมชวนทั้งสองคนไปหาอะไรทานแถวมหา’ลัยหลังธารถ่ายวีทีอาร์เสร็จ โดยให้เหตุผลว่าผมอยากมีเพื่อนทานข้าว

     “ดีสิครับ หรือผิงไม่อยากทานข้าวกับพี่”

     “อุ๊ย ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ ใครจะไม่อยากทานข้าวกับคนหล่อ ผิงแค่เกรงใจ เห็นน้องนายเล่าว่าวันก่อนพี่เลี้ยงข้าวมัน มาวันนี้ยังจะเลี้ยงอีก”

     ผมชอบน้องๆ กลุ่มนี้ก็ตรงนี้ ตรงที่แต่ละคนไม่เหมือนกันสักอย่างแต่กลับเข้ากันได้อย่างลงตัว คนหนึ่งเหมือนจะเป็นเด็กดื้อ แต่เอาจริงๆ กลับเด็กดีกว่าที่คิด อีกคนมองเผินๆ เหมือนเป็นผู้หญิงแรง แต่ก็รู้จักเกรงใจและคิดถึงคนรอบข้าง

     ส่วนคนสุดท้าย...

     “ผมก็เกรงใจเหมือนกัน แต่ถ้าพี่บอนด์เอ่ยปากชวนเองแปลว่าเขาคงอยากให้ไปด้วยจริงๆ อีกอย่างบ้านพี่บอนด์ก็รวย คุณผิงไม่ต้องคิดมากหรอกครับ”

     ผมอดหัวเราะไม่ได้เมื่อคนข้างๆ ชิงตอบให้ คนสุดท้ายนี่ออกจะพิเศษหน่อยในสายตาผม เป็นเด็กที่พูดเพราะที่สุด พูดตรงที่สุด และคาดเดายากที่สุดเช่นกัน

     “มึงรู้ได้ไงว่าบ้านพี่บอนด์รวย”

     “พี่บอนด์บอกผมเองครับ”

     ผิงหันมามองผมนิดหนึ่ง สีหน้าประหลาดใจ คงกำลังคิดว่าผมดูไม่ใช่คนที่ชอบอวดรวย แล้วทำไมถึงต้องบอกฐานะให้เพื่อนตัวเองรู้

     “ตอนที่พี่จะเลี้ยงข้าว น้องนายถามพี่ว่ายังเป็นแค่นักศึกษาแต่ทำไมถึงเลี้ยงข้าวคนอื่น พี่ไม่รู้จะตอบยังไงเลยบอกไปว่าบ้านรวย” ผมอธิบายตามจริง ผิงตาโต หันขวับไปมองเพื่อนตัวเองก่อนหันกลับมามองผมด้วยสายตาขอโทษ

     “พี่บอนด์อย่าถือสาเลยนะคะ ไอ้นี่มันอ้อมค้อมไม่เป็น มีอะไรก็พูดออกมาหมดไม่เคยเก็บไว้ในใจ แต่มันไม่เคยคิดร้ายหรือดูถูกใครเลยนะคะ”

     “พี่รู้ครับ” ผมเหลือบไปมองคนข้างๆ “รู้ดีเลยล่ะ”

     “ที่ผมถามมันแรงขนาดนั้นเลยเหรอครับ” น้องนายหันไปถามผิง ตาซื่อๆ คู่นั้นบอกว่าเจ้าตัวถามเพราะไม่รู้จริงๆ

     “โอ้โห กล้าถามนะคะไอ้น้องนาย ดีนะคนที่มึงถามคือพี่บอนด์ ถ้าเป็นคนอื่นมึงได้กินอย่างอื่นแทนข้าวไปแล้ว”

     น้องนายหน้าตื่น รีบละล่ำละลักขอโทษอยู่นานจนผมต้องบอกให้พอ แปลกที่รู้จักกันไม่เท่าไหร่แต่ผมกลับเข้าใจความคิดของน้องนาย จึงไม่เคยโกรธหรือไม่พอใจสักครั้ง

     “แต่ยังไงผิงก็เกรงใจอยู่ดี เอาแบบนี้ไหมคะ ผิงกับน้องนายไปทานข้าวเป็นเพื่อนพี่บอนด์แต่พวกเราจะจ่ายกันเอง”

     “อย่าเลยครับ พี่เป็นคนชวน พี่ต้องเลี้ยงพวกเรา”

     “ถ้าพี่บอนด์พูดอย่างนี้งั้นผิงไม่เกรงใจนะคะ”

     “ครับ อยากทานอะไรสั่งได้เต็มที่เลย ถือเป็นค่าเสียเวลาที่มาทานข้าวเป็นเพื่อนพี่”

     “เสียเวลาอะไรกันคะ ผิงสิได้กำไรเห็นๆ มีคนหล่อชวนไปทานข้าว เอาไปโม้ได้เป็นเดือน” ผิงพูดโดยปราศจากความเขิน ผมหัวเราะเบาๆ เป็นกลุ่มที่ตลกใช้ได้ อยู่ด้วยแล้วสบายใจดี ผมคิดแบบนั้นนะ

     “ทีผมชวนไปกินข้าวมันไก่หลังมอไม่เห็นคุณผิงดีใจแบบนี้เลย”

     “ก็มึงหล่อน้อยกว่าพี่บอนด์”

     “ไหนวันก่อนคุณผิงชมว่าผมหล่อที่สุดในโลก”

     “นั่นกูชมเพราะหวังลอกเลคเชอร์มึง”

     คนอยากหล่อที่สุดในโลกมุ่ยหน้านิดๆ ใบหน้าที่เพิ่งเห็นครั้งแรกทำให้ผมหลุดขำ น้องนายกับผิงหันมามอง ผมไม่พูดอะไร นั่งฟังเพื่อนคุยกันไปเพลินๆ

     น้องๆ กลุ่มนี้อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ผมยอมรับ แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ต่างออกไป นอกจากสบายใจแล้วยังชวนให้ตื่นเต้นไม่รู้เบื่อ มีเรื่องคาดไม่ถึงมาเซอร์ไพรส์ตลอด เช่นใบหน้าในตอนนี้ ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกว่าหน้ามุ่ยๆ ของน้องนายมันทั้งน่ารักและน่าแกล้งไปพร้อมกัน





     “มึงยังจะกินลงอีกเหรอ” ผิงหันไปกระซิบกระซาบน้องนายหลังพนักงานรับเมนูเดินจากไปแล้ว ผมนั่งฝั่งตรงข้ามจึงได้ยินไม่ชัด

     “ทำไมคุณผิงถามอย่างนั้นล่ะครับ”

     “กูอะไม่แปลกเพราะยังไม่ได้กินอะไร แต่เมื่อกลางวันมึงกินข้าวไปแล้ว ไหนจะน้ำแข็งไสอีก จริงๆ กูจะถามตั้งแต่พี่บอนด์ชวนแล้วมึงไม่ปฏิเสธแล้ว ทำไมไม่บอกพี่เขาไปตรงๆ วะ”

     น้องนายยกนิ้วชิดริมฝีปาก ทำเสียงชู่วพลางเหลือบมามองผม

     “มีอะไรหรือเปล่า” ผมถามทั้งสองคน น้องนายรีบยิ้มให้ผมพร้อมส่ายหน้า

     “ไม่มีครับ”

     ผมเห็นผิงมองเพื่อนด้วยสายตาประหลาดใจ แต่เพราะน้องนายพูดแบบนั้นผมจึงปล่อยผ่าน ระหว่างรออาหารผมก็นั่งฟังเพื่อนสนิทคุยกัน เพลินดีครับ แบบนี้ให้ฟังทั้งวันยังได้

     “อย่าลืมถ่ายเลคเชอร์มาให้นะ เมื่อคืนกูดูซีรีส์เพลินไปหน่อย วันนี้เลยสัปหงกไม่ได้ฟังอาจารย์”

     “ไม่ครับ” น้องนายส่ายศีรษะไปมา สีหน้าดื้อดึงเหมือนเด็กๆ ผมหลุดขำเบาๆ ทำหน้าแบบนี้ก็เป็นด้วย

     “อ้าว ไหนบอกจะถ่ายให้ไงไอ้น้องนาย”

     “คุณผิงโกหกผม”

     “กูโกหกอะไร”

     “โกหกว่าผมหล่อที่สุดในโลก”

     ผิงยกมือกุมขมับ เหมือนปวดหัวกับเพื่อนตัวเองที่ดันจริงจังกับเรื่องเล็กๆ

     “มึงจะงอนเรื่องนี้จริงๆ เหรอ”

     “ผมงอนไม่ได้เหรอ”

     “เฮ้อ” ผิงถอนหายใจแต่ใบหน้ากลับมีรอยยิ้ม ผมเองยังอดยิ้มตามไม่ได้ “งั้นเอาอย่างนี้ มึงไม่หล่อแต่น่ารัก พอใจหรือยัง”

     “นั่นมันคำที่เอาไว้ชมผู้ชายเหรอครับ” น้องนายมุ่ยหน้า

     “เชื่อกูสิ คำนี้เหมาะกับมึงที่สุดแล้ว”

     “ไม่เอา ผมอยากหล่อ”

     “มึงน่ารัก”

     “คุณผิงงง”

     ผิงหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ข้างๆ คือน้องนายที่หน้ามุ่ยกว่าเดิม ผมว่าผิงไม่ได้ชมเพราะเรื่องเลคเชอร์หรอก แต่คงคิดแบบนั้นจริงๆ ขนาดผมยังคิดเลย ตอนที่น้องนายถามว่า ‘ผมงอนไม่ได้เหรอ’ เป็นครั้งแรกที่ผมคิดว่าผู้ชายก็น่ารักได้เหมือนกัน





     “อิ่มแล้วเหรอ” ผมถามอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นน้องนายวางช้อนทั้งที่เพิ่งทานไปนิดเดียว น้องนายสะดุ้งเล็กน้อย รีบปฏิเสธพร้อมกับทานต่อ แต่สีหน้าเหมือนฝืนยังไงไม่รู้

     “มันเพิ่งกินข้าวมาค่ะ ก่อนไอ้ซนไปถ่ายวีทีอาร์ เลยน่าจะยังอิ่มอยู่”

     “คุณผิง!” น้องนายหันไปทำหน้าตื่นใส่เพื่อน ผมเลิกคิ้วเมื่อได้ยินอย่างนั้น

     “ทำไมไม่บอกพี่ล่ะ”

     น้องนายเม้มปากเหมือนครุ่นคิดบางอย่าง ก่อนดวงตาคู่นั้นจะเงยมามองผม

     “ผมเสียดายน่ะครับ พี่บอนด์อุตส่าห์จะเลี้ยงข้าว ผมไม่อยากพลาดของฟรีเลยไม่บอก” น้องนายคลี่ยิ้ม ผมเลิกคิ้วกว่าเดิม ขนาดผิงยังอดหันไปมองด้วยสายตาแปลกใจไม่ได้ น้องนายไม่ใช่คนเห็นแก่ของฟรี ผมค่อนข้างมั่นใจในเรื่องนี้ สิ่งที่เจ้าตัวพูดออกมาจึงดูขัดกับนิสัย

     “ถ้าอิ่มแล้วก็ไม่ต้องฝืน ผิงล่ะอิ่มยัง”

     “อิ่มแล้วค่ะ”

     “งั้นกลับกันเลยนะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

     ผิงกับน้องนายพยักหน้า ผมยกมือเรียกพนักงานมาเก็บเงิน ก่อนออกจากร้านผมทันเห็นคนบางคนยกมือไหว้อาหารบนโต๊ะด้วย ผมหลุดยิ้มด้วยความเอ็นดู เป็นเด็กที่ทั้งแปลกทั้งน่ารักจริงๆ





     ผมแวะส่งผิงก่อนน้องนาย เพราะหอของผิงเป็นทางผ่านร้านอาหาร พอกลับมาอยู่กันสองคนในรถผมจึงส่งโทรศัพท์ตัวเองให้น้องนาย

     “อะไรครับ” น้องนายถามแต่ก็รับโทรศัพท์ไป

     “แอดไลน์ของเราให้พี่หน่อย จะได้ส่งวิดีโอให้”

     “งั้นพี่บอนด์ปลดล็อกโทรศัพท์ให้หน่อยครับ” น้องนายทำท่าจะคืนโทรศัพท์ ผมลืมไปว่ายังไม่ได้ปลดล็อกหน้าจอ

     ผมไม่ได้ยื่นมือไปรับโทรศัพท์เพราะขับรถอยู่ จึงบอกรหัสปลดล็อกแทน น้องนายรีบร้องห้ามก่อนยกมือปิดหู ผมเลยหันไปเลิกคิ้ว

     “อย่าบอกรหัสกับคนอื่นสิครับ มันอันตรายนะ”

     ผมหัวเราะ ไอ้เราก็งงว่าทำไมจู่ๆ ถึงร้องขึ้นมา ที่แท้ก็เรื่องนี้

     “อันตรายยังไง”

     “โธ่ ไม่เห็นต้องถามเลยครับ ถ้าเราบอกรหัสมั่วซั่วคนอื่นจะเอาโทรศัพท์ไปทำเรื่องไม่ดีได้นะครับ อย่างหลอกโอนเงินไม่ก็ปลอมแปลงแอคเคานต์”

     “เรื่องนั้นพี่รู้ แต่ที่ถามคือ ถ้าพี่บอกเราแล้วมันจะอันตรายยังไง”

     “มันก็ไม่อันตรายหรอกครับ ผมไม่ทำเรื่องพวกนั้นหรอก แต่พี่บอนด์เพิ่งรู้จักผมไม่นาน รู้ได้ยังไงว่าผมไว้ใจได้”

     ผมละสายตาจากถนน หันไปมองคนพูดแวบหนึ่ง แต่ก็นานพอที่จะส่งความรู้สึกผ่านสายตาไปถึงอีกคน

     “เพราะพี่รู้สึกไว้ใจเรา พี่ถึงไว้ใจเรา”

     น้องนายเอียงคอมองผม ใบหน้าเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม จะงงก็ไม่แปลกเพราะคำพูดผมมันชวนงงจริงๆ แต่ผมก็รู้สึกตามนั้นจริงๆ เหมือนกัน ผมไม่เคยถามหาเหตุผล ผมรู้แค่ว่าตัวเองเชื่อใจและไว้ใจเด็กคนนี้ มันอาจฟังดูแปลกเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่นาน แต่เพราะอีกฝ่ายคือน้องนายผมจึงไม่แปลกใจ แปลกมาหลายเรื่องแล้ว อีกสักเรื่องจะเป็นไรไป

     ระหว่างเราเกิดความเงียบครู่หนึ่ง ก่อนที่น้องนายจะถามรหัสอีกครั้ง ผมบอกเลขหกหลัก น้องนายกดนั่นกดนี่อยู่สักพักก่อนจะคืนโทรศัพท์มาให้ ผมลอบยิ้มเมื่อคิดว่าเราสองคนมีไลน์ของกันและกันแล้ว จู่ๆ มันก็อยากยิ้มขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ

     “ทำไมตอนพี่ชวนไปกินข้าวเราถึงไม่บอกว่ากินแล้ว” ผมวางโทรศัพท์ไว้ข้างตัวก่อนจะถามเรื่องที่คาใจมาสักพัก น้องนายหันมามองผม คิ้วบางย่นเข้าหากัน

     “ผมบอกไปแล้วไงครับว่าไม่อยากพลาดของฟรี”

     “พี่ว่านั่นไม่ใช่คำตอบจริงๆ นะ”

     “ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะครับ”

     “เพราะเราดูไม่ใช่คนแบบนั้น”

     น้องนายเงียบไปอีกครั้ง ผมไม่ได้ถามอะไรต่อ จนกระทั่งมาถึงหอพัก ผมจึงหันไปหาคนข้างๆ เพื่อขอคำตอบที่ค้างไว้

     “ถ้าผมบอกไปพี่บอนด์อย่าโกรธนะครับ”

     “พี่ไม่รับปาก ขึ้นอยู่กับคำตอบว่าคืออะไร”

     น้องนายเม้มปาก ผมแกล้งมองนิ่งๆ เพื่อกดดันทางอ้อม น้องนายลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยอมพูดออกมา

     “ผมกลัวพี่บอนด์เหงา”

     “หือ?” ผมคาดเดาคำตอบไว้หลายอย่าง แต่ไม่ว่าจะลองคิดมากี่ครั้งก็ไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบนี้

     “คราวก่อนที่เลี้ยงข้าว พี่บอนด์ขอบคุณผมที่มากินข้าวเป็นเพื่อน วันนี้พี่บอนด์ยังชวนผมกับคุณผิงไปกินข้าวเป็นเพื่อนอีก ผมเลยคิดว่าพี่บอนด์น่าจะขี้เหงาพอสมควร”

     ผมกะพริบตาปริบ หลังจากนิ่งอยู่นานก็ขำออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ น้องนายมองผมที่หัวเราะจนตัวโยน คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย ผมเอื้อมมือไปวางบนศีรษะ ริมฝีปากจุดรอยยิ้มขำ

     “สรุปเราคิดว่าพี่เหงา เลยยอมมากินข้าวเป็นเพื่อนทั้งที่ตัวเองไม่อยากกิน”

     “ครับ” น้องนายรับเสียงอ่อย ผมอมยิ้ม ความเอ็นดูเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

     “ขอบใจนะ”

     ตากลมโตเงยมองผมอีกครั้ง ภายในนั้นฉายแววงุนงง “พี่บอนด์ไม่โกรธเหรอ”

     “จะโกรธทำไม เราอุตส่าห์หวังดีกับพี่”

     พอได้ยินอย่างนั้นน้องนายก็ยิ้มโล่งใจ ผมโยกศีรษะอีกฝ่ายก่อนจะผละมือออก

     “งั้น...ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมไปก่อนนะครับ”

     “อืม”

     น้องนายลงไปจากรถ โบกมือให้ผมก่อนจะหันหลัง แต่ยังไม่ทันเดินออกไปก็หันกลับมาอีกครั้ง ผมลดกระจกลงเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าเหมือนลืมบางอย่าง

     “ถ้าพี่บอนด์เหงาอีกมาชวนผมไปกินข้าวได้ทุกเวลานะครับ ผมไม่เห็นแก่ของฟรีก็จริง แต่ผมชอบของอร่อย” คนพูดคลี่ยิ้ม คำพูดจริงใจที่ไม่ประดิดประดอยทำให้ผมหลุดขำ ผมพยักหน้าพร้อมกับโบกมือลา พอน้องนายเข้าหอพักไปแล้วจึงขับรถออกมา

     ผมยิ้มไม่หุบตลอดทาง แค่คำพูดธรรมดาของเด็กหนึ่งคนกลับทำให้อารมณ์ดีอย่างเหลือเชื่อ ผมเคยกินข้าวคนเดียวนับครั้งไม่ถ้วน ผมไม่ใช่คนติดเพื่อนขนาดนั้น แต่พอได้รู้จักน้องนายผมก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองขี้เหงา และน่าจะเหงาหนักเสียด้วย



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter : earthxxide

     Fanpage : Earthxxide
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-05-2023 19:02:35 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 13
ตักตวงความสุข


     วีทีอาร์โปรโมทมหา’ลัยที่มีผมกับพี่ธารเป็นพรีเซนเตอร์ได้กระแสตอบรับดีเกินคาด ผมกล้าพูดเต็มปากว่านาทีนี้ไม่มีใครในมหา’ลัยไม่รู้จักผม ผิงถึงกับเอามาเปิดให้ดูเช้ากลางวันเย็น จนผมแทบจะจำทุกประโยคในวิดีโอได้แล้ว

     “มึงจะดูวนไปวนมาอีกนานไหม” ผมถามคนตรงหน้าอย่างเหลืออด ผิงเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เปิดวีทีอาร์วนอยู่อย่างนั้นมาห้ารอบแล้ว

     “กูฟินอ่ะมึง ไม่นึกไม่ฝันว่าวันหนึ่งจะได้เห็นเพื่อนตัวเองในวีทีอาร์มหา’ลัย”

     “ไม่ใช่ว่าคุณผิงฟินที่คุณซนได้ถ่ายวีทีอาร์กับพี่ธารเหรอครับ” น้องนายเงยหน้ามาจากโทรศัพท์ ถามผิงยิ้มๆ ด้วยสายตารู้ทัน

     “นั่นกูก็ฟินเหมือนกัน” ผิงบิดตัวไปมา ก่อนจะหันมาถามผมด้วยใบหน้าจริงจัง เปลี่ยนอารมณ์ไวจนผมตามไม่ทัน “กูถามจริงเถอะซน ตอนถ่ายมึงไม่ใจเต้นแรงบ้างเหรอวะ เป็นผู้หญิงคนอื่นสลบคาอกพี่เขาไปแล้ว คาริสม่าแรงขนาดนั้น”

     ผมสะดุ้ง นึกตกใจเพื่อนที่ถามราวกับอ่านใจออก แต่เพราะรู้ว่าถ้าตอบความจริงจะโดนแซวจึงโกหกออกไป

     “ทำไมต้องใจเต้นแรง กูไม่ได้คิดอะไรกับพี่ธาร”

     “นั่นสิ มึงไม่ได้คิด เพราะคนที่คิดไม่ใช่มึง” ผิงพูดเสียงเบาจนได้ยินไม่ชัด พยักหน้าหงึกๆ เหมือนพูดกับตัวเอง พอผมถามมันก็ไม่ยอมพูดซ้ำ เอาแต่ยิ้มอมภูมิอย่างเดียว ผมเลยเลิกใส่ใจ

     “พี่ธารนี่มองมุมไหนก็หล่อจริงๆ เทพบุตรกลับชาติมาเกิดชัดๆ” ผิงพูดไปดูวีทีอาร์ไป ยิ้มเขินราวกับกำลังพูดกับตัวจริง

     “เอาแต่เพ้อถึงพี่ธารแบบนี้ ระวังพี่เต้จะน้อยใจ” ผมยกรุ่นพี่อีกคนที่ช่วงนี้มันไม่ค่อยพูดถึงมาแซว

     “ไม่ต้องห่วง ถ้าต้องเลือกจริงๆ กูเลือกพี่เต้อยู่แล้ว พี่ธารเขามีเจ้าของแล้ว กูขอแค่ปลื้มอยู่ห่างๆ ก็พอ”

     “ใครคือเจ้าของพี่ธาร”

     “มึงไง”

     “ก็บอกว่ากูไม่ได้คิดอะไรกับพี่ธาร!” ผมเผลอขึ้นเสียง เล่นเอาเพื่อนสะดุ้งไปตามๆ กัน น้องนายเงยหน้าจากโทรศัพท์มามองอีกครั้ง ผิงมองผมอย่างตกใจปนกลัวนิดๆ

     “มึงโกรธกูเหรอ”

     ผมชะงัก รีบปรับสีหน้าเป็นปกติก่อนที่เพื่อนจะตกใจไปกว่านี้ “เปล่า กูแค่...ไม่อยากให้มึงเข้าใจผิด”

     “บอกดีๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องเสียงดังเลย”

     ผมไม่ได้ตั้งใจ ปากมันโพล่งออกไปเอง แค่ผิงพูดเหมือนผมมีใจให้พี่ธารทำไมผมต้องร้อนตัวด้วย นี่ผมเป็นอะไรไป

     “คุณซนเป็นอะไรครับ ทำไมทำหน้าเครียดแบบนั้น” น้องนายมองมาอย่างเป็นห่วง ผมรีบส่ายหน้า

     “เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร”

     ผิงกับน้องนายหันไปมองตากัน ผมเลยยิ้มให้รู้ว่าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ แต่ผิงกลับทำหน้าจริงจังใส่ผม

     “ซน”

     “อะไร”

     “พี่ธารเขายังปกติกับมึงหรือเปล่า”

     ผมขมวดคิ้วกับคำถามไม่มีที่มา “ทำไมจู่ๆ ถามแบบนี้วะ”

     “เถอะน่า ตอบมาเร็ว”

     “ปกตินี่หมายถึงยังไง”

     “ก็...เขายังทำตัวปกติกับมึงไหม หรือเคยพูดจาแปลกๆ บ้างหรือเปล่า”

     “ไม่เคยนะ เขาก็ปกติทุกอย่าง ยังชอบแกล้งชอบดุกูเหมือนเดิม”

     ทั้งสองคนหันไปมองตากันอีกครั้ง กระซิบกระซาบบางอย่างที่ผมไม่ได้ยิน

     “หรือมึงกับกูจะเข้าใจผิดมาตลอดวะ ถ้าพี่ธารชอบไอ้ซนจริงป่านนี้คงบอกไปแล้ว”

     “อาจจะใช่นะครับ เรื่องดอกกุหลาบวันวาเลนไทน์อาจไม่มีอะไรก็ได้”

     “พวกมึงคุยอะไรกัน”

     “เปล่า!” ผิงรีบส่ายหน้ารัวเร็ว อีกนิดคอจะหลุดจากบ่าแล้ว ไม่ค่อยมีพิรุธเท่าไหร่เลย “กู...กูแค่กำลังคุยกับน้องนายว่าทำไมวันนี้อากาศร้อนจัง เนอะมึงเนอะ”

     “ใช่ครับ”

     ดูจากสีหน้าพวกมันแล้ว คงมีแต่เด็กอนุบาลเท่านั้นแหละที่เชื่อ จะโกหกทั้งทีคิดได้แค่นี้เหรอ

     ก่อนที่ผมจะคาดคั้นอะไร ผิงก็หันไปชวนน้องนายคุยเรื่องอื่น ผมหรี่ตา ดูยังไงก็มีพิรุธชัดๆ

     “ว่าแต่มึงคุยกับใครอยู่วะ เห็นเอาแต่กดโทรศัพท์มาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว” ผิงถามน้องนายก่อนจะทำตาโต “อย่าบอกนะว่ามึงมีแฟนแล้ว!”

     ผมหูผึ่งขึ้นมาทันที ลืมเรื่องพิรุธของผิงไปสนิท คนที่วันๆ แทบไม่สุงสิงกับใครอย่างน้องนายเนี่ยนะมีแฟน ผมว่าหิมะจะตกประเทศไทยก็คราวนี้

     “เปล่าครับ ไม่ใช่แฟน ผมกำลังคุยกับพี่บอนด์”

     “หือ? ไปไงมาไงวะ” ชื่อที่ออกจากปากน้องนายพาให้ผิงขมวดคิ้ว ผมเองก็สงสัยเหมือนกัน ได้ข่าวว่ามันไปแผลงฤทธิ์ใส่พี่บอนด์ โชคดีที่พี่เขาไม่ถือสาอะไร

     “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ตั้งแต่วันที่ส่งวิดีโอมาพี่บอนด์ก็ทักมาชวนคุยไม่หยุด ผมก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง ไม่ได้รำคาญอะไร คิดซะว่าได้เพื่อนใหม่น่ะครับ”

     ผมเลิกสนใจเมื่อเห็นว่ารุ่นพี่ชวนรุ่นน้องคุยธรรมดา ไม่ได้มีอะไรพิเศษ กลับมาครุ่นคิดเรื่องพี่ธารต่อ แต่แล้วผมก็ต้องย่นคิ้วสะดุดความคิดตัวเอง ทำไมผมต้องคิดถึงไอ้พี่ธารด้วย?

     ผมสลัดหน้าพี่ธารออกจากหัวทันที ไม่เห็นต้องไปสนใจเลย มันไม่มีอะไรอยู่แล้ว ผมยิ้มออกอีกครั้งหลังโยนเรื่องเครียดออกไปจากหัว ก็แค่พี่ชายข้างบ้านที่ช่วงนี้ผันตัวมาเป็นผู้ปกครองชั่วคราว มันก็เท่านั้นเอง





     ผมจิ้มไส้กรอกเข้าปาก ตรงหน้าเป็นผู้ปกครองชั่วคราวที่ช่วงนี้เข้าออกบ้านผมเป็นว่าเล่น นอกจากเป็นคนขับรถแล้ว พี่ธารยังพ่วงตำแหน่งคนทำอาหารให้ผมด้วย ตอนแรกพี่แกจะให้ผมหัดทำเอง แต่หลังจากเห็นผมใส่ผงชูรสในแกงจืดครึ่งถุง หั่นแครอทจนแทบไม่เหลือเนื้อ ทอดหมูไม่สุก พี่ธารก็ไม่ให้ผมเข้าครัวอีกเลย

     “เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย”

     “พี่จะพาผมไปไหน”

     “ไปห้าง”

     เพราะคำตอบสั้นเกินไปผมจึงทำหน้าไม่เคลียร์ พี่ธารเลยขยายความต่อ

     “มึงติดหนี้เรื่องถ่ายวีทีอาร์กูอยู่นะ ลืมแล้วเหรอ”

     “แล้วเรื่องนั้นกับเรื่องนี้มาเกี่ยวกันได้ไง” ผมยังไม่เข้าใจ

     “จะให้ไปช่วยถือของ”

     “อ๋อ จะเอาผมไปเป็นเบ๊สินะ”

     “ฉลาดนี่”

     ผมยู่ปากใส่อีกฝ่าย อันที่จริงคนที่ควรทวงต้องเป็นผมด้วยซ้ำ ผมอยู่ของผมดีๆ ดันลากเข้าไปเกี่ยวด้วย นี่ผมใจดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่คิดบัญชี

     เอาเถอะ เถียงพี่มันไปก็ไม่ชนะอยู่ดี ยอมเป็นเบ๊ให้จบๆ ไปดีกว่า ก็แค่ช่วยถือของ งานง่ายๆ แค่นี้ไม่เหลือบ่ากว่าแรงอยู่แล้ว





     พี่ธารพาผมมาห้างสรรพสินค้าใกล้บ้าน ผมเคยมานับครั้งไม่ถ้วน ส่วนใหญ่จะมากับพ่อแม่ ห้างนี้มีของให้เลือกเยอะดี

     “จะซื้ออะไรก่อนอะพี่”

     “เสื้อ”

     พี่ธารเดินนำผมไปในร้านเสื้อผ้าชั้นนำ ร้านนี้ผมเคยเดินผ่านแต่ไม่เคยเข้า ราคาเอื้อมไม่ถึง ที่ผมคิดไว้คือพี่ธารจะเดินเลือกเสื้อ ส่วนผมมีหน้าที่เดินตาม พี่มันเอาตัวไหนผมก็จะรับมาถือให้

     พี่ธารหยุดยืนเมื่อเดินเข้ามาในร้าน หันมามองผม พยักพเยิดหน้าไปยังบรรดาเสื้อที่แขวนอยู่บนราว

     “เลือกมา”

     “หือ?” ผมทำหน้าเหลอหลา ไม่เข้าใจประโยคคำสั่ง

     “มึงชอบตัวไหนก็เลือกมา”

     “จะซื้อให้ผมเหรอ” ตาผมลุกวาวขึ้นมาทันที

     “เปล่า กูขี้เกียจเลือกเอง มึงคิดว่าตัวไหนเหมาะกับกูก็หยิบมา เสื้อยืดหรือเสื้อเชิ้ตก็ได้ เอาสักสี่ห้าตัว”

     ผมทำหน้าเซ็ง ไอ้เราก็นึกว่าจะซื้อให้ ที่แท้ให้เลือกเฉยๆ เสียดาย อุตส่าห์มีตัวที่แอบเล็งไว้แล้วเชียว

     “จะให้ผมเลือกจริงเหรอ เกิดเลือกไม่ถูกใจขึ้นมาล่ะ”

     “มึงเลือกตัวไหนกูก็ถูกใจหมดแหละ เลือกๆ มาเถอะ”

     “…”

     “คนมันหล่อ ใส่อะไรก็ดูดีอยู่แล้ว ไม่ใส่ยังดูดีเลย”

     ผมไม่รู้จะทำหน้ายังไงเมื่อเจอสองประโยคที่ให้ความรู้สึกต่างกันสุดๆ ประโยคแรกผมรู้สึกแปลกๆ จะดีใจก็ไม่ใช่ จะรู้สึกดีก็ไม่เชิง แต่ประโยคหลังฟังแล้วอยากเบ้ปากทันที เออ พี่มันหล่อ พี่มันเสน่ห์แรง แต่ช่วยหล่อทั้งหน้าตาทั้งนิสัยได้ไหม ไม่ใช่เอะอะๆ ก็แกล้งผม

     บ้าจริง! แล้วทำไมตอนพี่ธารพูดว่าไม่ใส่ยังดูดี ผมต้องคิดถึงวันที่เห็นพี่มันถอดเสื้อด้วยล่ะ หยุดคิดเดี๋ยวนี้นะไอ้ซน

     ผมยกมือตบหน้าตัวเองเบาๆ พี่ธารมองมาพลางเลิกคิ้ว ผมเลยทำเป็นเดินไปเลือกเสื้อ พยายามสลัดภาพในหัวออกไป

     “ตัวไหนก็ได้ใช่ไหม”

     “อืม”

     ผมไล่สายตาไปตามเสื้อแต่ละตัว ก่อนจะสะดุดกับเสื้อเชิ้ตแขนยาว ผมหยิบจากราวมาทาบกับตัวพี่ธาร เงยหน้าขึ้นลงอย่างพิจารณา ตัวนี้น่าจะเข้ากับกางเกงยีนส์แฮะ อยากเห็นตอนใส่จัง

     “ตัวนี้สวยดี ลองตัวนี้ให้ผมดูหน่อย” ผมชี้ไปยังห้องลองเสื้อ “ใส่แล้วออกมาให้ดูด้วยนะ”

     พี่ธารพยักหน้า เดินหายเข้าไปในห้องลองเสื้อ ระหว่างรอผมก็เลือกเสื้อตัวอื่นไปพลางๆ จนกระทั่งพี่ธารออกมาผมจึงหันไปมอง

     “ก้มหน่อย” ผมบอกคนตัวสูง พี่ธารเลิกคิ้วแต่ก็ยอมก้มตัวลงมา ผมเอื้อมมือไปจัดปกเสื้อให้เข้าที่ ถอยออกมาสองก้าวเพื่อมองผลงาน อดยิ้มกับภาพที่เห็นไม่ได้

     “หล่อดี”

     “มึงชมว่ากูหล่อ?”

     ผมชะงัก เพิ่งรู้ตัวว่าพลาดก็ตอนเห็นรอยยิ้มของคนตรงหน้า

     “พี่บอกเองไม่ใช่เหรอ ถึงผมไม่ชอบพี่แต่ก็ไม่ได้ตาถั่วนะ” ผมทำเป็นยักไหล่ เปลี่ยนเรื่องโดยการหยิบเสื้ออีกตัวยื่นให้ “ต่อไปลองตัวนี้หน่อย ผมชอบแขนเสื้อ”

     “สนุกใหญ่เชียวนะ”

     “พี่ว่าอะไรนะ”

     “เปล่า” พี่ธารยิ้ม คว้าเสื้อไปถือแล้วเดินไปในห้องลองเสื้อ พอกลับออกมาผมก็เข้าไปจับหมุนซ้ายหมุนขวา

     “อืม...ปลดกระดุมสักสองเม็ดน่าจะเท่ดี” ผมเอื้อมมือไปปลดกระดุมบน มือผมสัมผัสกับช่วงอกพี่ธารที่ไม่มีเนื้อผ้ากั้น ผมไม่แน่ใจว่าตาฝาดหรือเปล่า แต่เหมือนจะเห็นพี่ธารตัวกระตุกเล็กน้อย แต่เพราะกำลังมุ่งความสนใจไปที่กระดุมผมจึงไม่ได้สนใจ

     ผมจูงมือพี่ธารมาหน้ากระจก ถอยออกมายืนมองผลงานตัวเอง พี่ธารหล่ออยู่แล้ว ถึงไม่อยากยอมรับก็ต้องยอมรับ แต่พออยู่ในชุดที่ผมเลือกให้กลับดูหล่อขึ้นไปอีก เป็นคนที่ใส่อะไรก็ดูดีอย่างที่เจ้าตัวบอกจริงๆ

     “ชอบไหม” ผมถามด้วยรอยยิ้ม

     “ชอบ”

     มันจะไม่เป็นไรเลยถ้าสายตาคนพูดมองชุดที่ตัวเองกำลังใส่ ไม่ใช่มองผมที่สะท้อนในกระจก แถมสายตาที่มองมายังชวนให้รู้สึกแปลกๆ อีก

     “หมายถึงอะไร” ไม่รู้ว่าอะไรทำให้ผมถามออกไปอย่างนั้น

     “อยากให้กูชอบอะไรล่ะ” พี่ธารพูดยิ้มๆ “ก็ต้องชอบชุดสิ”

     ผมอึกอัก จู่ๆ ก็เกิดทำตัวไม่ถูก จึงแก้เก้อด้วยการเปลี่ยนเรื่องคุย บางทีพี่ธารอาจคาริสม่าแรงอย่างที่ผิงบอก ผมที่เป็นผู้ชายเลยเผลอใจเต้นแรงไปด้วย ผมจะคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกที่ต้องเอามาขบคิด





     ผมมองกองเสื้อตรงหน้า เท่านี้น่าจะพอแล้ว พี่ธารบอกว่าเอาแค่สี่ห้าตัว เกินมาหน่อยไม่เป็นไรมั้ง

     “จ่ายเงินเลยไหมพี่”

     “ยัง” พี่ธารตอบกลับมา “มึงไปเลือกมาตัวนึง”

     “หือ? ที่เลือกมานี่ยังไม่พอเหรอ”

     “เปล่า ของมึง”

     ผมตาโต มองคนตรงหน้าด้วยแววตามีความหวัง

     “พี่จะซื้อให้ผมเหรอ”

     “อืม ให้เป็นค่ามาเลือกเสื้อให้ หรือไม่เอา?”

     “เอาครับเอา ขอบคุณนะครับ” ผมยิ้มร่า คำพูดคำจาไพเราะขึ้นมาทันที ผมเดินไปเลือกเสื้ออย่างอารมณ์ดี พอมีคนซื้อให้แล้วมันก็อยากได้ไปซะทุกตัว เอ...ถ้าผมขอสองตัวพี่ธารจะให้เปล่านะ ผมอยากถามแต่ก็ไม่กล้า ไม่เป็นไร ไว้วันหลังค่อยอาสามาเป็นเบ๊ให้อีกก็ได้ ขนาดวันนี้ยังไม่ทันทำหน้าที่เบ๊ก็ได้เสื้อมาตัวหนึ่งแล้ว รางวัลดีงามขนาดนี้ ให้เป็นเบ๊ทุกวันก็ยอม





     -ธาร-

     ผมยืนมองเด็กเอ๋อที่ดูจะเพลิดเพลินกับการเลือกเสื้อ ดวงตาที่มองอีกฝ่ายอ่อนแสง จุดประสงค์ในการมาวันนี้ไม่ใช่ให้ซนมาเป็นเบ๊ ผมแค่อยากมาเที่ยวกับซนเฉยๆ

     ผมหลุดขำเมื่อเห็นซนถือเสื้อสองตัว มองอย่างหนักใจว่าจะเลือกตัวไหนดี วันนี้ซนเผลอยิ้มให้ผมหลายครั้ง ดูมันจะสนุกที่ผมยอมเป็นตุ๊กตาให้มันจับแต่งตัว

     ผมพยายามหักห้ามใจ แต่ยิ่งใกล้ชิดบ่อยๆ ผมก็ยิ่งหลงรักเด็กคนนี้จนถอนตัวไม่ขึ้น ผมจึงคิดจะใช้ช่วงเวลานี้ตักตวงความสุขให้มากที่สุด ผมรู้ว่าเราสองคนไม่มีทางเป็นไปได้ ผมจึงไม่หวังอะไรเกินเลย แค่ได้เห็นรอยยิ้มของซน แค่ได้ทำให้มันมีความสุข แล้วเมื่อไหร่ที่พ่อแม่ของพวกเรากลับมา เมื่อนั้นผมจะกลับไปเผชิญหน้ากับความจริง

     ผมเดินเข้าไปหาเมื่อซนเรียก เจ้าตัวดีมองมาด้วยสายตาอ้อน หัวใจผมกระตุกไปวูบหนึ่ง

     “ผมพยายามเลือกแล้วแต่เลือกไม่ได้ ขอซื้อสองตัวได้ไหมครับ”

     ไม่บ่อยที่ซนจะพูดเพราะกับผม เดาว่ามันคงพูดเพราะอยากได้เสื้อสองตัว ผมวางมือบนศีรษะเล็ก มองมันด้วยดวงตาขำ ซนทำหน้ารอคอยคำตอบอย่างใจจดจ่อ กับงานบ้านไม่เห็นจริงจังขนาดนี้เลย

     “อืม”

     เสียงร้องดีใจดังขึ้นหลังผมอนุญาต ผมมองรอยยิ้มของคนตรงหน้า มองดวงตาที่เป็นประกาย อย่าน่ารักไปกว่านี้ได้ไหม แค่นี้กูก็จะตบะแตกแล้วนะ

     เราสองคนเดินออกจากร้าน ผมเป็นคนถือถุงทั้งหมด ซนทำหน้างงที่ผมไม่ให้มันทำหน้าที่เบ๊ ผมหันเหความสนใจโดยการให้มันเลือกร้านอาหาร

     ผมมองแผ่นหลังของคนข้างหน้า เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าปลายทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร วันนี้ผมจะขอมีความสุขให้เต็มที่ก่อน สิ่งที่พี่ชายข้างบ้านอย่างผมทำได้คงมีเพียงเท่านี้



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter : earthxxide

     Fanpage : Earthxxide
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-05-2023 19:16:47 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ prateep

  • magKapleVE
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
    • Top-notch Сasual Dating - Legitimate Girls

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด