ตอนที่ 35
Till the End
-ไกด์- ผมมองผู้หญิงร่างอวบนิดๆ ที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาทางนี้ ผิงส่งยิ้มมาแต่ไกล แค่มองก็สัมผัสได้ถึงความร่าเริง ผมขยับตัวเล็กน้อยจากที่กำลังยืนพิงเสา
“รอนานไหมคะ”
“ไม่นาน พี่เพิ่งมาถึงสักพัก”
“พี่ไกด์อยากทานอะไรคะ”
“คนที่ชวนมาคือเราไม่ใช่เหรอ” ผมหัวเราะเบาๆ
“ผิงถามพี่ไกด์น่ะถูกแล้ว คนจีบต้องตามใจคนถูกจีบ พี่ไกด์เลือกร้านมาได้เลย แต่ตอนจ่ายหารครึ่งนะคะ ที่จริงผิงก็อยากใจป้ำแต่เดือนนี้ไม่ไหวจริงๆ”
ผมทำหน้าไม่ถูกเมื่อเจอคำพูดอีกฝ่ายเข้าไป ผิงมักจะล้อเล่นแบบนี้เสมอ ที่ผ่านมาผมเลยเล่นไปตามน้ำเพื่อให้มันเฮฮาสมกับมุกที่น้องส่งมาให้ แต่ตอนนี้ผมอยู่กับผิงสองคน ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเล่นอีก
“งั้นเอาเป็นอาหารเกาหลีไหม” ผมเห็นผิงกับโอปอล์มักจะคุยกันเรื่องซีรีส์เกาหลีบ่อยๆ เลยเข้าใจว่าชอบอาหารเกาหลีด้วย
“พี่ไกด์ชอบทานอาหารเกาหลีเหรอคะ” คนพูดพยักหน้าหงึกๆ เหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าถามผม “โอเคค่ะ ผิงจะจำไว้ ได้ข้อมูลมาเพิ่มอีกอย่างแล้ว”
เป็นอีกครั้งที่ผมทำหน้าไม่ถูก ได้แต่มองคนที่เดินนำหน้าไปร้านอาหาร จากที่จะอธิบายว่าไม่ได้ชอบเลยเปลี่ยนเป็นเดินตามคนตรงหน้าไป คิดอย่างปลงๆ ว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ปล่อยให้เข้าใจอย่างนั้นไปก็ได้
“ทำไมพักนี้พี่ไกด์ใจดีจัง ผิงชวนไปไหนก็ไปตลอดเลย” ผิงถามผมไปพลางคีบหมูสามชั้นใส่จานตัวเอง
“พี่ไม่ได้มีธุระอะไร ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ”
“เฮ้อ นึกว่าจะตอบว่าอยากมาเที่ยวกับผิงเสียอีก ผิงอุตส่าห์เลือกชุดที่ดีที่สุดเลยนะคะ” เสียงถอนหายใจไปคนละทางกับรอยยิ้มร่าเริง คล้ายเจ้าตัวไม่ได้น้อยใจจริงๆ แค่พูดไปอย่างนั้น
“แค่มาทานข้าวต้องเลือกชุดด้วยเหรอ”
“พี่ไกด์ไม่รู้อะไร ผู้หญิงต่างก็อยากสวยกันทั้งนั้นแหละค่ะ โดยเฉพาะตอนเดตกับคนที่ชอบ”
“แค่กๆๆ” ผมสำลักน้ำซุปที่เพิ่งซดลงคอ คนตรงหน้ารีบหยิบทิชชูมาให้
“ค่อยๆ ทานสิคะ ผิงไม่หนีไปไหนหรอก อยู่เดตกับพี่ไกด์ได้ทั้งวัน”
นี่น้องเขาไม่รู้จริงๆ เหรอว่าผมเป็นอะไร
“ผิง” พอเริ่มพูดจาได้ผมก็เรียกคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“คะ?”
“พี่ถามอะไรหน่อย ตกลงที่ผิงพูดๆ มาตลอดคือผิงเล่นเอาขำหรือพูดจริง” ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ผมคิดว่าถามให้ชัดเจนไปเลยน่าจะดีกว่า ผมไม่ได้อึดอัดหรือมีปัญหาที่ผิงชอบพูดเล่น เพราะรู้ว่าน้องแค่เล่นเอาสนุกเฉยๆ แต่ตอนนี้ผมชักไม่แน่ใจ บางคำพูดของผิงก็ดูจะเกินเลยคำว่าล้อเล่นไปหน่อย
“ถ้าให้ตอบตรงๆ ผิงก็พูดเอาฮานั่นแหละค่ะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่คิดอะไรเลย”
“หมายถึง?” ผมคิดว่าผมเข้าใจความหมาย แต่ผมอยากให้ผิงพูดชัดๆ กว่านี้
“หมายถึงผิงชอบพูดให้ดูเหมือนเล่นขำๆ พี่ไกด์กับคนอื่นจะได้หัวเราะไม่อึดอัด แต่ผิงก็ไม่ได้บอกว่าตัวเองโกหก”
“ผิงชอบพี่?”
“ขึ้นอยู่กับว่าชอบแบบไหนค่ะ ถ้าแบบซนกับพี่ธารก็ยังไม่ใช่ แต่ถ้าแบบที่ว่าผู้ชายคนนี้น่าสนใจดี น่าจะเข้ากับเราได้อะไรแบบนั้นก็ใช่” ผิงยังคงคีบอาหารเข้าปากเรื่อยๆ เดาไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“อย่าบอกนะว่าตอนที่เล่นเกม ที่บอกว่ากำลังลดความอ้วนเพื่อจีบใครบางคน คนๆ นั้นคือพี่”
“ผิงว่าผิงบอกไปแล้วนะคะว่าเป็นพี่ไกด์” คำตอบทื่อๆ ตรงๆ ทำเอาผมต้องตั้งสติอยู่พักใหญ่ ใครจะไปนึกว่าผิงพูดจริง ผมกล้าพูดว่าถ้าตอนนั้นใครมาเป็นผมก็ต้องคิดเหมือนกันว่าผิงล้อเล่นเฉยๆ
“พี่จะทวนใหม่อีกครั้งเพื่อให้เราเข้าใจตรงกัน ผิงชอบพี่ และตอนนี้ผิงก็กำลังจีบพี่ ไม่ได้เล่นขำๆ แต่จีบจริงจัง จีบแบบอยากเป็นแฟน”
“ใช่ค่ะ”
“ทำไมถึงชอบพี่ เพราะเพื่อนมีแฟนกันหมดแล้วหรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นเราจะเสียใจทีหลังนะ”
“ผิงยอมรับว่ามันก็มีเหงาบ้าง เพื่อนมีแฟนกันหมดใครจะไม่เหงาบ้างล่ะคะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเหงาแล้วจะคว้าใครก็ได้มาเป็นแฟน มันก็ต้องเลือกกันหน่อย ให้เอาใครก็ไม่รู้มาเป็นแฟนผิงไม่ทำหรอกค่ะ”
“จะบอกว่าพี่คือคนที่เราเลือก?”
“ใช่ค่ะ”
“เหตุผลล่ะ” ผมหรี่ตามอง อะไรบางอย่างบอกผมว่าเหตุผลที่ผิงเลือกผมไม่น่าจะธรรมดา
“พี่ไกด์หล่อ นิสัยดี เป็นสุภาพบุรุษ มีน้ำใจกับคนรอบข้าง”
ผมลอบถอนหายใจ รู้สึกโล่งอกที่คนตรงหน้าไม่พูดอะไรแปลกๆ ออกมา
“และที่สำคัญพี่ไกด์น่าจะเป็นสามีที่เชื่อฟังง่าย ไม่หือไม่อือกับภรรยา ผู้ชายคุมง่ายแบบนี้ผิงชอบมากเลยค่ะ”
“ผิง!” ผมได้แต่เรียกชื่อคนตรงหน้าอย่างหมดคำพูด
“พี่ไกด์ถามเอง ผิงก็แค่ตอบความจริง”
ผมกลืนน้ำลายดังเอื๊อก รู้สึกอ่อนใจกับคำตอบของผิง ได้แต่มองคนที่นั่งตรงข้ามอย่างปลงๆ แต่พอเห็นผิงยิ้มเห็นฟันทุกซี่ผมก็หลุดขำออกมา เสียงหัวเราะดังขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถหยุดได้
ที่ผ่านมาผมมักเป็นฝ่ายเข้าหาผู้หญิง ถึงผมจะไม่ฮอตเท่าธารกับบอนด์ แต่เรื่องหน้าตาก็ไม่เป็นรองใคร นั่นจึงทำให้ผู้หญิงที่ผมเข้าหาต่างหลงเสน่ห์ผมทุกราย แต่ไม่ว่าจะคบกับใครผมก็จะรู้สึกขาดบางอย่างเสมอ ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไรจนกระทั่งได้คุยกับผิงวันนี้ ถึงรู้ว่าสิ่งที่ผมขาดและกำลังตามหาจริงๆ คือผู้หญิงที่สดใสและมีชีวิตชีวา
ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีผู้หญิงเข้าหาก่อน แต่ผู้หญิงที่เข้าหาด้วยวิธีแปลกๆ แบบผิงผมยังไม่เคยเจอ และคิดว่าชีวิตนี้คงไม่มีทางได้เจออีกแล้ว ดังนั้นนี่อาจเป็นผู้หญิงคนเดียวที่จะมาช่วยเติมเต็มสิ่งที่ผมขาดไปได้ ความร่าเริง ความสดใส ความมีชีวิตชีวาของผิง ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ผมตามหามาตลอด
“หัวเราะแบบนี้แปลว่าเอ็นดูผิงใช่ม้า” เสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆ ผมส่ายศีรษะให้รอยยิ้มทะเล้นของผิง
“ปกติเราจีบผู้ชายทุกคนแบบนี้เหรอ”
“แล้วแต่หน้างานค่ะว่าเป็นผู้ชายแบบไหน ผิงรู้ว่าพี่ไกด์ชอบผู้หญิงน่ารักเลยใช้ความน่ารักจีบ”
“แต่พี่ว่าน่าจะเป็นความบ๊องมากกว่านะ”
“บ๊องแต่น่ารัก เชื่อสิคะ นี่ถ้าลดความอ้วนได้จะน่ารักกว่านี้อีก”
“ไม่ต้องลดหรอก แค่นี้ก็น่ารักแล้ว” ผมส่งยิ้มให้คนตรงหน้า ผู้หญิงที่ถึงแม้จะอวบนิดๆ แต่ในสายตาผมตอนนี้กลับดูดีไม่แพ้ใคร
“หือ!! พี่ไกด์ชมผิงว่าน่ารักเหรอ” ผิงตาโต ท่าทางตกใจเกินเหตุทำให้ผมหลุดขำอีกครั้ง
“ได้ยินว่ายังไงล่ะ”
“ได้ยินว่าพี่บอกรักผิง”
“เดี๋ยว พี่ว่าพี่ไม่ได้พูดแบบนั้นนะ”
“อ้าว ผิงตกคำว่าน่าไป ขอโทษทีค่ะ”
ผมต้องพยายามอย่างหนักที่จะไม่ขำเสียงดังกลางร้านอาหาร อยู่กับเด็กคนนี้แล้วรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนเส้นตื้นจริงๆ
“ยิ้มแบบนี้แสดงว่าผิงจีบติดแล้วใช่ไหมคะ”
“ถามกันตรงๆ แบบนี้เลยเหรอ”
“งั้นพี่ไกด์อยากได้ยากแค่ไหนคะ บอกมาเลยเดี๋ยวผิงจัดให้”
ผมว่าวันนี้ผมหัวเราะรวมกันน่าจะมากกว่าทั้งชีวิตที่ผ่านมาอีก ผิงทำให้ผมรู้สึกว่าวันนี้ไม่น่าเบื่อสักนิด
“เอ้า จีบติดก็จีบติด” ในเมื่ออีกฝ่ายถามตรงๆ ผมก็ตอบตรงๆ
“หือ!! จีบติด!! หมายถึงพี่ไกด์ยอมเป็นแฟนกับผิงใช่ไหมคะ!!” ผิงรีบกระโจนข้ามมาฝั่งผม สีหน้าตื่นเต้นเหมือนเด็กกำลังจะได้ของเล่น ผมต้องเอามือยันผิงไม่ให้เข้ามาใกล้เกินไป
“เดี๋ยว ใจเย็นก่อน พี่แค่บอกว่าเราจีบติด”
“ก็เพราะจีบติดถึงต้องเป็นแฟนไม่ใช่เหรอคะ นี่ผิงเนื้อเต้นไปทั้งตัวแล้วนะ ในที่สุดจะได้มีแฟนกับเขาเสียที”
ผมไม่สงสัยเลยว่าทำไมผิงถึงคบกับซนได้ แต่ละคนล้นไม่ไหว เห็นทีจะมีแต่น้องนายที่ (เหมือนจะ) ปกติเหมือนคนทั่วไป
“พี่จะยอมคบกับเรา แต่มีข้อแม้หนึ่งข้อ ถ้าผิงรับได้ก็...ตกลง มาลองคบกัน”
“ว่ามาเลยค่ะ เพื่อพี่ไกด์ผิงทำได้ทุกอย่าง อุ๊ย แต่เว้นดาวกับเดือนนะคะ สองอย่างนี้ผิงคงเอามาให้ไม่ได้”
ผมหัวเราะคำพูดของเด็กบ๊อง อดใจไม่ไหวเลยต้องยกมือเขกหน้าผากเบาๆ ไปหนึ่งที
“ข้อแม้ที่ว่าคือ...” ผมดึงมือป้อมๆ บนโต๊ะมาจับ อืม นุ่มใช้ได้เลยแฮะ “พี่ขออย่างเดียว อย่าให้พี่เป็นพ่อบ้านกลัวเมียก็พอ”
“ฮ่าๆๆ โอเคค่ะคุณแฟนของผิง”
-บอนด์- “สนใจพี่บ้างสิครับ ไม่ใช่เอาแต่เล่นโทรศัพท์” ผมล้มตัวนอนหนุนตักน้องนาย ยกมือขึ้นบังจอสี่เหลี่ยมที่อีกฝ่ายนั่งจ้องมาทั้งวัน คนตัวเล็กดึงโทรศัพท์ออกห่างจากมือ ยังคงเลื่อนหน้าจอขึ้นลงไม่หยุด
“นายครับ”
“แป๊บเดียวครับ ผมใกล้หาเจอแล้ว”
“โทรศัพท์มันน่ามองกว่าพี่อีกเหรอ” ผมจับข้อมือเล็กมาวางบนอก ไม่ได้สนว่าอีกฝ่ายหาอะไรอยู่ วันนี้เด็กซื่อของผมติดโทรศัพท์งอมแงม อุตส่าห์หลอกล่อชวนมาค้างคอนโดฯ ได้ทั้งที แทนที่จะหากิจกรรมทำด้วยกันกลับเมินกันซะงั้น
“ทำไมวันนี้พี่บอนด์งอแงจังครับ”
ผมหน้าเหวอเมื่อคนข้างบนพูดคำว่างอแงออกมา ตั้งแต่อายุพ้นเลขหลักเดียวก็ไม่เคยมีใครพูดคำนี้กับผมอีก น้องนายเป็นคนแรกและน่าจะเป็นคนเดียว
“นายก็สนใจพี่เยอะๆ สิ พี่จะได้ไม่งอแง” ผมไม่ปฏิเสธแต่ยอมรับหน้าตาเฉย ถ้ามันทำให้แฟนหันมาสนใจได้ ต่อให้เป็นเด็กสามขวบผมก็ยอม
“แล้วที่สนใจอยู่ทุกวันนี้ยังไม่พออีกเหรอครับ”
“วันอื่นๆ อาจพอ แต่วันนี้นายเอาแต่เล่นโทรศัพท์ ไม่พูดไม่จากับพี่สักคำ แล้วแบบนี้จะไม่ให้น้อยใจได้ไง” ผมทำปากบึนประกอบคำพูด ไม่นึกว่าตัวเองจะทำอะไรแบบนี้ เชื่อแล้วว่าความรักทำให้เราทำได้ทุกอย่างจริงๆ
“ผมไม่ได้เล่นโทรศัพท์นะครับ ผมกำลังหา...”
“หาอะไรครับ” ผมถามเมื่อจู่ๆ น้องนายก็เงียบไป ไม่ยอมพูดต่อ
“หา...” น้องนายอึกอัก สีหน้ามีพิรุธอย่างเห็นได้ชัด จากที่ไม่ได้สนใจผมจึงเริ่มเอะใจ น้องนายเป็นเด็กโกหกไม่เป็น เวลามีเรื่องอะไรเลยแสดงออกมาหมด ท่าทางพยายามหลบตาทำให้ผมรู้ว่าเจ้าตัวกำลังปกปิดบางอย่างอยู่แน่นอน
“ว่าไงครับ นายหาอะไรอยู่”
“หา...หา...”
ผมไม่รอฟังคำตอบจากปากน้องนาย ดึงโทรศัพท์ในมือมาดูเสียเอง น้องนายทำท่าจะแย่งกลับไป แต่ผมชักมือหลบ ผมลุกขึ้นนั่ง รวบตัวเด็กซื่อมากอดแนบอก กดไว้แน่นๆ ไม่ให้ขยับได้
“พี่บอนด์! อย่าเปิดครับ”
ผมไม่ฟังคำทัดทาน จัดการปลดล็อกโทรศัพท์อีกฝ่าย ถึงเราจะรู้รหัสของกันและกันแต่ก็ไม่เคยรุกล้ำเรื่องส่วนตัวของอีกคน แต่ที่ผมทำอยู่ตอนนี้เพราะผมมั่นใจว่าสิ่งที่ดึงความสนใจของน้องนายต้องเกี่ยวกับผมแน่นอน
ผมกรอกรหัสหกตัวลงไป แต่สิ่งที่ปรากฏบนจอหลังจากนั้นกลับทำให้ผมนิ่งงัน มันคือเว็บซื้อของออนไลน์เว็บหนึ่ง สินค้าในเว็บส่วนใหญ่เป็นนาฬิกาข้อมือ ผมคงคิดว่าน้องนายอยากได้นาฬิกาเรือนใหม่ ถ้ามันไม่ใช่รุ่นที่ผมเคยพูดกับเพื่อนเมื่อวันก่อนว่าอยากได้
“นายครับ” ผมก้มไปเรียกคนในอ้อมกอดที่ตอนนี้หน้าแดงแจ๋เรียบร้อย น้องนายเม้มปากแน่น พยายามซุกหน้าเข้ากับแขน ผมหมุนตัวน้องนายมาประจันหน้า มองเข้าไปในดวงตา
“อธิบายหน่อยสิครับ” ผมชูโทรศัพท์ในมือที่ยังโชว์รูปนาฬิกา ถึงจะพอเดาได้แต่อยากได้ยินจากปากชัดๆ มากกว่า น้องนายกัดปากตัวเอง เงยหน้าสบตาผมก่อนถอนหายใจเบาๆ
“รู้แบบนี้ให้คุณซนกับคุณผิงช่วยก็ดีหรอก”
“ช่วยอะไร”
“ช่วยเซอร์ไพรส์พี่บอนด์ไงครับ” คนพูดมองโทรศัพท์ที่ผมถืออยู่ “วันเกิดพี่บอนด์ใกล้ถึงแล้ว ผมเลยตั้งใจจะซื้อนาฬิกาเป็นของขวัญวันเกิด ก่อนหน้านี้ผมไปตระเวนตามร้านนาฬิกาในห้าง แต่เพราะเป็นรุ่นที่ตกยุคไปนานแล้วเลยหาไม่เจอเสียที ผมเลยเปลี่ยนมาหาตามออนไลน์ กว่าจะเจอเว็บนี้เหนื่อยไม่ใช่เล่นเลยนะครับ ผมหาทั้งวันทั้งคืน...อุ๊บ”
เสียงน้องนายหายไปในคอเมื่อผมโน้มหน้ามาประกบปาก กดจูบลงไปซ้ำๆ ใช้ปลายลิ้นโลมเลียไปตามรูปปากก่อนสอดกระหวัดเข้าไปรับรสหวานภายใน น้องนายครางประท้วงในลำคอ มือบางยกมาแตะไหล่เหมือนจะผลักออก แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นขยุ้มเสื้อที่ผมใส่อยู่ เคลิบเคลิ้มไปกับรสสัมผัสที่ผมมอบให้
“ทำไมทำแบบนี้” ผมถามเสียงพร่าขณะถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง
“พะ...พี่บอนด์ไม่ชอบเหรอครับ” เสียงเล็กๆ ถามขึ้นพร้อมใบหน้าแดงปลั่งที่น่ามองจนไม่อาจละสายตา
“ชอบสิ ชอบมากๆ และมันก็น่ารักมากๆ ด้วย แต่พี่แค่นึกไม่ถึงว่าเราจะทำอะไรแบบนี้ ผิงเคยบอกว่าเราไม่ชอบเซอร์ไพรส์ใคร”
น้องนายเม้มปากเข้าหากัน หลบสายตาผมก่อนกลับมาสบตาอีกครั้งด้วยสายตาเขิน เหมือนไม่อยากพูดแต่จำเป็นต้องพูด
“ผมอยากให้พี่บอนด์ดีใจ อยากให้รู้ว่าพี่เป็นคนสำคัญสำหรับผม ก็ผม...รักพี่บอนด์นี่ครับ”
ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองได้รับของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด หัวใจเต้นแรงและมีความสุขมากเหลือเกิน ไม่ใช่นาฬิกาที่อีกฝ่ายบอกจะซื้อให้ แต่เป็นคำว่ารักที่น้องนายพูดด้วยเสียงเขินอาย สำหรับผมมันเพราะและน่าฟังยิ่งกว่าคำไหนๆ ในโลกนี้
“พี่ก็รักนายครับ รักที่สุดและจะรักตลอดไป ขอบคุณนะครับที่ทำเพื่อพี่ขนาดนี้” ผมสอดมือเข้ากับมือคนในอ้อมแขน กดจูบลงไปบนหน้าผากด้วยความรักทั้งหมดที่มีในหัวใจ
“ไม่ได้สิครับ”
“หือ?”
“พี่บอนด์จะรักผมมากที่สุดไม่ได้ พี่ต้องรักคุณพ่อคุณแม่มากที่สุดสิ”
“ฮ่าๆๆ” จากที่กำลังซึ้งผมถึงกับหัวเราะไม่หยุด ทั้งขำทั้งเอ็นดูคนพูด น้องนายก็คือน้องนาย ไม่ว่าเมื่อไหร่เด็กคนนี้ก็ทำให้ผมหัวเราะและมีรอยยิ้มได้เสมอ
“งั้นพี่จะรักเราเท่าพ่อแม่ ตกลงไหม”
“อืม...ถ้าแบบนั้นก็ได้ครับ ผมก็จะรักพี่บอนด์เท่าคุณพ่อคุณแม่ผมเหมือนกัน”
ผมอดใจไม่ไหว ต้องขอโน้มหน้าไปฟัดแก้มนุ่มๆ ด้วยความมันเขี้ยว น้องนายดิ้นพล่าน เสียงหัวเราะดังไปทั่วห้อง ความสุขลอยตลบอบอวล ห้องที่กว้างขวางดูอบอุ่นกว่าทุกวัน
อยู่รักกันไปนานๆ นะ เจ้าเด็กซื่อของผม
-ซน- ผมเดินเข้าไปกอดแม่จากด้านหลัง กลิ่นอาหารหอมฟุ้งไปทั่วห้องครัว คนโดนกอดหันมามองก่อนจะยิ้ม มือที่อบอุ่นและอ่อนโยนยกมาลูบศีรษะ
“อ้อนแต่หัววันเชียวนะ จะเอาอะไรบอกแม่ซิ”
“ไม่ได้จะเอาอะไรครับ แค่อยากกอดเฉยๆ” ผมส่งยิ้มเห็นฟันให้แม่ตัวเอง
“แน่ใจเหรอ”
“วันนี้ทำไก่ทอดตะไคร้ให้หน่อยได้ไหมครับ ผมอยากกิน” คนที่พูดเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าไม่เอาอะไรเผยไต๋ตัวเองออกมา แม่ผมหัวเราะ มือที่ลูบศีรษะเปลี่ยนเป็นเขกลงมาเบาๆ
“วันก่อนก็กินไปแล้ว วันนี้ยังจะกินอีกเหรอ”
“ก็ผมชอบนี่ครับ พี่ธารก็ชอบ”
“ตกลงที่มาขอนี่คือขอให้แฟนใช่ไหม”
ผมยิ้มแหะๆ ให้แม่ที่รู้ทัน เมื่อวานตอนเย็นพี่ธารเปรยว่าคิดถึงไก่ทอดตะไคร้ฝีมือแม่ผม ทุกวันนี้ผมกับพี่ธารมักสลับกันไปทานข้าวบ้านอีกฝ่าย ผมไปบ้านพี่ธารบ้าง พี่ธารมาบ้านผมบ้าง พ่อแม่พวกเราต่างพูดเหมือนกันว่าเห็นผมกับพี่ธารเป็นลูกทั้งคู่ ตอนที่ได้ยินผมถึงกับน้ำตารื้นด้วยความตื้นตันทีเดียว
“ไว้เย็นนี้แล้วกันนะ เช้านี้แม่ทำกับข้าวไว้หลายอย่างแล้ว”
“ไม่เป็นไรครับ ตอนเย็นก็ได้”
“งั้นไปเรียกพี่เขามากินข้าวไป เดี๋ยวแม่ไปเรียกพ่อเอง”
“ครับ”
ผมเดินออกมาหน้าบ้าน กำลังจะไปบ้านหลังข้างๆ แต่ร่างสูงที่กำลังยืนรดน้ำต้นไม้ทำให้ผมเปลี่ยนใจ เดินไปปีนกำแพงรั้วแล้วใช้แขนเท้าไว้ ผมเอาคางเกยบนแขน มองคนที่ยังไม่รู้ว่าผมมา หลังพี่ธารกว้างจัง เห็นแล้วอยากเข้าไปกอดเหมือนที่กอดแม่ตัวเอง
“พี่ธาร”
เจ้าของชื่อหันมามอง ทันใดนั้นใบหน้าคมก็ปรากฏรอยยิ้ม พี่ธารเดินไปปิดก๊อกน้ำที่ต่อกับสายยางแล้วเดินกลับมาหาผม
“คิดถึงกูแต่เช้าเลยเหรอ”
ขบวนการหลงตัวเองไม่มีใครเกินแฟนผมอีกแล้ว ผมแลบลิ้นให้คนตัวสูง หมั่นไส้ หล่อตายแหละไอ้พี่ธาร (ใช่ครับ หล่อจริงๆ หล่อกว่าผมอีก)
“ใครคิดถึงพี่ ผมมาตามไปกินข้าวต่างหาก”
“แน่ใจว่าไม่คิดถึงกู”
“แน่ใจ”
“ดี งั้นคืนนี้นอนบ้านใครบ้านมัน”
“โห เล่นแบบนี้เลยเหรอ” ผมย่นจมูกใส่คนตรงหน้า พี่ธารหัวเราะหึๆ ถึงจะเป็นแฟนกันแต่เราก็ไม่ได้นอนด้วยกันทุกวัน มีแค่บางวันเท่านั้น พ่อผมบอกว่าวิธีนี้จะช่วยประคับประคองความรักในวัยที่ยังมีโลกส่วนตัวได้ดีที่สุด จะทำอะไรก็ได้ในพื้นที่ของตัวเอง ทำห้องรก โดดขึ้นเตียงโดยไม่อาบน้ำ หรือจะเปิดเพลงเสียงดังก็ทำได้เช่นกัน
ตอนพ่อพูดครั้งแรกผมไม่เห็นด้วย แต่พออยู่ไปนานๆ ผมถึงได้เข้าใจ ถึงแม้ว่าเราจะรักกัน แต่ความรักที่เบียดกันเกินไปก็ทำให้อึดอัดได้ เพราะเราต่างรู้ว่าแต่ละคนยังมีโลกของตัวเอง เราจึงไม่เคยรู้สึกอึดอัด สิ่งสำคัญที่สุดคือรักกันด้วยความพอดี ไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป วิธีนี้ต่างหากที่จะช่วยให้ความรักยืนยาว
“ว่าไง ตกลงคิดถึงกูไหม” พี่ธารโน้มหน้ามาถาม ดวงตาติดรอยยิ้มขำ
“คิดถึงก็ได้” ผมพูดอย่างหมดท่า พี่ธารหัวเราะในคอ ผมก็อยากเล่นตัวต่ออีกหน่อย แต่อีกใจก็กลัวว่าจะอดนอนกับพี่ธารจริงๆ
“คิดถึงแล้วต้องทำยังไง” ร่างสูงเอียงแก้มมาหา ไม่บอกก็รู้ว่าต้องการอะไร
“ได้คืบจะเอาศอก”
“กูจะได้รู้ไงว่ามึงคิดถึงกูจริงๆ”
ผมหน้ามุ่ย แต่ไม่ทันไรก็หลุดขำออกมา ใครจะคิดว่าพี่ธารที่แสนจะเย็นชา โลกส่วนตัวสูงคนนั้นจะมีมุมแบบนี้ด้วย รู้สึกตัวเองโชคดีเหลือเกินที่ได้เห็นมุมนี้ของพี่ธารคนเดียว
ผมโน้มหน้าไปหอมแก้มคนตรงหน้า พี่ธารยิ้มพอใจ ทำมือให้ผมเอียงแก้มไปบ้าง พี่ธารโน้มหน้ามาหอมแก้มแบบเดียวกับที่ผมทำ แต่คราวนี้พี่มันเล่นจับหน้าผมไว้ด้วยสองมือ หอมทั้งซ้ายทั้งขวาจนเกิดเสียง กว่าผมจะหลุดมาได้แก้มเกือบช้ำ
“พี่ฉวยโอกาสผม”
คนฉวยโอกาสไม่คิดจะแก้ตัว กลับยักคิ้วหลิ่วตา ทำหน้ากวนอวัยวะเบื้องล่างสุดๆ
“ใครใช้ให้แก้มมึงน่าหอมล่ะ”
ดูนะครับ ไม่เคยสลดหรอก แถมยังโยนความผิดมาให้ผมอีก
“รดน้ำเสร็จยังอะ ผมหิวแล้ว” ผมเห็นว่าพูดเรื่องเดิมต่อไปก็มีแต่จะเข้าตัวเอง เลยเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น
“ยังไม่เสร็จ แต่เดี๋ยวมาทำต่อก็ได้”
“งั้นไปกินข้าวกัน”
พี่ธารพยักหน้า แต่ไม่ยอมเดินมาบ้านผม เอาแต่ยืนที่เดิมมองมายิ้มๆ ผมเลยเลิกคิ้วกลับไป
“พี่มองอะไร”
“มองเด็กเอ๋อ”
“…” นี่จะหาเรื่องกันใช่ไหม
“รู้จักไหม เด็กเอ๋อที่หน้าตางั้นๆ ทำอะไรก็ไม่เป็น แถมยังชอบก่อเรื่องให้ปวดหัวอีก”
“ไอ้พี่ธาร”
เจ้าของชื่อยิ้มมุมปาก จังหวะที่ผมกำลังจะพ่นคำผรุสวาทกลับไป คนตัวสูงก็ทาบทับริมฝีปากลงมา ผมเบิกตากว้าง ตกใจจนเกือบหล่นลงมาจากรั้ว มึนงงกับการกระทำของอีกฝ่าย
“ถึงมึงจะเป็นเด็กเอ๋อ แต่จำไว้ว่ามึงเป็นเด็กเอ๋อที่น่ารักที่สุด เป็นเด็กเอ๋อให้กูรักแบบนี้ไปตลอดนะ”
“พี่ธาร...” ผมถึงกับพูดไม่ออกเมื่อจู่ๆ คนตรงหน้าก็เปลี่ยนมาพูดจริงจัง จากที่โมโหเพราะโดนว่า ตอนนี้หัวใจผมกลับเต้นแรง มือไม้เกะกะทำอะไรไม่ถูก
“กูรักมึง...พี่รักซนครับ”
น้ำตาผมไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ ไอ้พี่ธารบ้า จู่ๆ มาพูดแบบนี้ใครจะไปตั้งตัวทันวะ
พี่ธารเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตา สายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย หนึ่งในนั้นคือความรู้สึกรัก ผมมองกลับไปด้วยสายตาแบบเดียวกัน
“ผมจะเป็นเด็กเอ๋อให้พี่รักไปตลอด และผมก็จะรักพี่ไปตลอดเหมือนกัน”
“สัญญาแล้วนะ”
“สัญญาครับ สาบานเลยเอ้า”
พี่ธารหัวเราะในลำคอ โน้มหน้ามาใกล้อีกครั้ง แต่คราวนี้ริมฝีปากหนาประทับบนหน้าผากแผ่วเบา รอยยิ้มของพี่ธารถูกส่งมาให้อีกครั้ง รอยยิ้มที่ผมไม่เคยเบื่อจะมอง รอยยิ้มที่ทำให้รู้ว่าพี่ธารรักผมมากแค่ไหน
‘รัก’ คำสั้นๆ ที่แทนความรู้สึกได้เป็นล้าน คำที่ได้ยินเมื่อไหร่ก็ชวนให้รู้สึกดีเสมอ
เด็กเอ๋อคนนี้รักพี่ธารที่สุดเลยครับ THE END ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาถึงตรงนี้นะครับ หวังว่านิยายเรื่องนี้จะทำให้มีความสุขกันไม่มากก็น้อย ฝากคอมเมนต์ติชม เข้าไปส่ง feedback ในแท็ก
#รักข้ามรั้วBL ด้วยน้าา ^^
Twitter :
earthxxide Fanpage :
Earthxxide