✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 28] ✪ 29/05/2023
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 28] ✪ 29/05/2023  (อ่าน 2961 ครั้ง)

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 24
วันที่ความกลัวหายไป


     ผมนอนแผ่หลาอยู่บนเตียง ถอนหายใจรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ ดวงตาที่เงยมองเพดานเหม่อลอย เอาแต่คิดเรื่องเดิมวนไปมา

     ปกติแล้วถ้าเราชอบใครสักคน และคนๆ นั้นก็ชอบเราเหมือนกัน เราก็ควรจะดีใจ แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงเอาแต่กลัว กังวล สับสน ทุกอย่างผสมปนเปจนผมไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไร

     เป็นไปได้ไหมว่าผมอาจกำลังตกใจ ก็ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าพี่ธารจะชอบผู้ชาย แถมผู้ชายคนนั้นยังเป็นผมอีก เมื่อคืนหลังจากโดนบอกชอบผมก็รีบหนีเข้าบ้านทันที มันตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ผมยังจำความรู้สึกตอนนั้นได้ดี หัวใจผมเต้นแรงจนนึกว่าจะกระดอนออกมานอกอก

     ผมชอบพี่ธาร พี่ธารชอบผม เราสองคนใจตรงกัน แล้วหลังจากนี้จะเป็นยังไงต่อ ต้องคบกันเลยไหม แล้วใครจะเป็นคนขอคบ ถ้าเป็นแฟนกันแล้วจะมีอะไรเปลี่ยนไปหรือเปล่า คำถามมากมายผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด แต่กลับไม่มีคำตอบเลย

     เสียงถอนหายใจดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ผมจะสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู ผมเดาได้ทันทีว่าใคร

     ผมเดินไปเปิดประตูช้าๆ พี่ธารยืนอยู่ตรงหน้า เขาก้มมองผม แต่ผมหลุบตาลงต่ำอย่างไม่กล้าสบตา

     “เพิ่งตื่นเหรอ”

     “ตื่นสักพักแล้วครับ”

     “กูเตรียมอาหารเสร็จแล้ว ไปล้างหน้าแปรงฟันจะได้มากินข้าว”

     ผมพยักหน้า พี่ธารยังยืนอยู่ที่เดิม ถึงจะไม่เงยหน้าแต่ผมก็รู้ว่าเขากำลังมองอยู่

     “ซน เรื่องเมื่อคืน...”

     “พี่ลงไปก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวผมตามไป ขอทำธุระส่วนตัวก่อน” ผมรีบพูดตัดหน้าอีกฝ่าย หันหลังเดินหายไปในห้องน้ำ ผมรู้ว่าพี่ธารอยากพูดอะไร แต่ผมยังไม่พร้อม ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไร อย่างเดียวที่รู้คือผมกำลังกลัวบางอย่าง





     “วันนี้ผมออกไปข้างนอกกับเพื่อนนะครับ” ผมบอกพี่ธารที่นั่งตรงข้าม หลังทานอาหารเช้ากันมาสักพัก

     “ไปไหน”

     “ไม่รู้เหมือนกันครับ ผิงบอกว่าเบื่อๆ เลยอยากชวนไปเที่ยว แต่ยังไม่ได้คิดว่าจะไปไหน” ผมโกหก ก็ผมนี่แหละที่ชวนเพื่อนออกมาเอง

     พี่ธารมองผมนิ่ง ก่อนจะพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร เราสองคนต่างทานอาหารของตัวเอง ไม่มีใครพูดอะไรอีก จนกระทั่งทานเสร็จพี่ธารก็เอาจานไปล้างให้ ถ้าเป็นปกติคงให้ผมล้างเอง แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้ถึงใจดี

     หรือบางทีพี่ธารอาจดูออกว่าผมสับสนกับเรื่องเมื่อคืน เลยอยากออกไปข้างนอกเพื่อหลบหน้า ผมได้แต่ขอโทษอีกฝ่ายในใจ ไม่กล้าพูดออกไป เหมือนที่ไม่กล้าเผชิญหน้ากับเรื่องที่เกิดขึ้น





     “กลับดีๆ นะมึง” ผมโบกมือลาผิงกับน้องนายหลังไปเดินห้างด้วยกันมาทั้งวัน กิจกรรมวันหยุดของเด็กมหา’ลัยอย่างผมมีไม่กี่อย่างหรอกครับ ดูหนัง ทานข้าว ช็อปปิ้ง สามอย่างนี้คือสิ่งที่ผมใช้เป็นข้ออ้างหลบหน้าพี่ธาร ผิงกับน้องนายค่อนข้างแปลกใจ เพราะวันก่อนผมยังบ่นกับพวกมันอยู่เลยว่าช่วงนี้เรียนหนัก เลยอยากพักอยู่บ้านในวันหยุด

     ผมยืนมองจนแท็กซี่หายไปจากสายตา จึงหมุนตัวเตรียมเดินเข้าบ้าน แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นร่างสูงของใครบางคนยืนอยู่หลังรั้วบ้านถัดไป

     “นั่งแท็กซี่มากับเพื่อนเหรอ”

     “ครับ” ผมตอบพี่ธาร แต่ยังหลบตาเหมือนเดิม

     “ทำไมไม่โทรมาบอกให้กูไปรับ”

     “ผมไม่อยากรบกวนพี่”

     “รบกวนห่าอะไร มึงนั่งรถกูมากี่ครั้งแล้ว” พี่ธารทำท่าจะเดินมาบ้านผม

     “วันนี้ผมเหนื่อย ขอไปอาบน้ำก่อนนะครับ ไม่ต้องทำอาหารเย็นนะผมกินมาแล้ว” ผมรีบพูดรีบเดินเข้าบ้าน ไม่อยากเผชิญหน้าไปมากกว่านี้ อย่าถามนะครับว่าผมเป็นอะไร ผมถามตัวเองหลายรอบแล้วยังไม่ได้คำตอบเลย ผมรู้แค่ว่าไม่กล้าสู้หน้าพี่ธาร มันสับสนไปหมด อยากขอเวลาทำใจอีกหน่อย ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำใจเรื่องอะไร

     ผมกำลังจะเดินขึ้นชั้นสอง แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้เดินไปที่ห้องครัว โต๊ะอาหารกลางห้องมีฝาชีตั้งอยู่ พอลองเปิดออกก็เจอกับข้าวสองสามอย่าง ผมรู้ทันทีว่าพี่ธารเป็นคนเตรียมไว้ให้ วินาทีนั้นความรู้สึกผิดก็ถาโถมเข้ามา

     จากที่จะขึ้นไปอาบน้ำ ผมเปลี่ยนเป็นเดินไปตักข้าวมานั่งกินคนเดียว ผมไม่รู้ว่ากับข้าวพวกนี้พี่ธารทำเผื่อตัวเองด้วยหรือเปล่า ผมเองก็อยากชวนพี่มันมากินด้วยกัน แต่แค่สบตายังไม่กล้า นับประสาอะไรกับชวนมากินข้าว ผมเลยได้แต่ขอโทษในใจอีกครั้ง

     ขอโทษนะครับ...พี่ธาร





     หลายวันมานี้ผมเอาแต่หลบหน้าพี่ธาร พอพี่มันทำท่าจะพูดเรื่องคืนนั้นผมก็จะเบี่ยงประเด็นทุกครั้ง ยิ่งนานวันเข้าอาการผมก็ยิ่งออก จนเพื่อนๆ เริ่มสังเกตความผิดปกติ

     “มึงมีอะไรที่ไม่ได้บอกกูหรือเปล่า” ผิงเริ่มเป็นคนแรก ผมกะแล้วว่าสักวันต้องโดนถาม ผมเก็บอาการเป็นที่ไหน

     “คุณซนมีอะไรบอกพวกผมได้นะครับ อย่าเก็บไว้คนเดียว” น้องนายพูดอย่างเป็นห่วง

     “ท่าทางกูชัดขนาดนั้นเลยเหรอ”

     “พูดอย่างนี้แสดงว่ามี ท่าทางมึงไม่ได้ชัดธรรมดาแต่โคตรชัด มีอะไรก็บอกกูกับน้องนายดิ พวกกูเพื่อนมึงนะเว้ย”

     ผมมองหน้าเพื่อนทั้งสองคน ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะเริ่มเกริ่นเรื่องหนักใจของตัวเอง

     “กูเหมือนคนโง่เลยว่ะ”

     “ทำไมคิดแบบนั้นครับ” น้องนายค่อยๆ ตะล่อมถาม ผมถอนหายใจอีกหนึ่งเฮือก

     “พวกมึงอยากรู้ใช่ไหมว่ากูเป็นอะไร เชื่อไหมว่าขนาดตัวกูเองยังไม่รู้เลย กูถามตัวเองเป็นร้อยรอบแล้วก็ยังไม่รู้ หงุดหงิดตัวเองฉิบหาย”

     “ใจเย็นๆ ถ้าไม่รู้ว่าเป็นอะไรงั้นเล่าให้ฟังหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น การที่จู่ๆ มึงเป็นแบบนี้แปลว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นใช่ไหม”

     ผมมองหน้าผิง พยายามเรียบเรียงคำพูดในหัวว่าควรเริ่มจากตรงไหน ตอนนี้ความคิดผมสะเปะสะปะไปหมด เหมือนใครเทจิ๊กซอว์มารวมกันจนยากที่จะประกอบคืนเหมือนเดิม

     “พี่ธารบอกชอบกู”

     “หา!?” ผิงกับน้องนายตาโต สีหน้าตกใจกับคำพูดของผม ผมเล่าตรงไปเหรอ ก็ผมไม่รู้นี่ว่าควรเล่าอะไรก่อน

     “มึงไม่ได้อำกูเล่นใช่ไหม”

     “กูจะอำทำไม”

     “เหี้ย” ดูเหมือนผิงจะตกตะลึงจนเผลอปล่อยสัตว์เลื้อยคลานออกมา “เห็นไหม กูบอกแล้ว พี่ธารชอบมึงจริงๆ โอ๊ย กูอยากกรี๊ดอะมึง”

     “ดีใจด้วยนะครับคุณซน สมหวังแล้วนะครับ” น้องนายยิ้มให้ผม ก่อนรอยยิ้มจะค่อยๆ ลดลงเมื่อเห็นผมไม่ยิ้มตาม “คุณซนไม่ดีใจเหรอครับ”

     พอน้องนายทักอย่างนั้นผิงก็หยุดตื่นเต้น หันมามองผม “เออนั่นดิ พี่ธารชอบมึง มึงก็ชอบพี่ธาร มึงกับพี่เขาใจตรงกันแต่ทำไมดูไม่ดีใจเลย”

     “อย่าบอกนะครับว่าที่คุณซนกำลังคิดมากคือเรื่องนี้”

     ผมพยักหน้าช้าๆ ตอบคำถามน้องนาย เพื่อนผมต่างทำหน้างงเป็นไก่ตาแตก

     “มึงคิดมากอะไรวะ”

     “กูไม่รู้” ผมพูดประโยคเดิมออกไปอีกครั้ง “กูยังงงตัวเองอยู่เลย ปกติกูควรดีใจ แต่มันกลับไม่รู้สึกอย่างนั้นเลยว่ะ”

     “แล้วตอนนี้มึงรู้สึกยังไง”

     “กูสับสน กูกลัว แต่...กูไม่รู้ว่าตัวเองกลัวอะไร”

     ผิงกับน้องนายมองผมนิ่ง เวลาผ่านไปสักพักก่อนเสียงถอนหายใจจะดังเบาๆ ผิงเอื้อมมือมาจับบ่า ดวงตาที่มองมาจริงจัง

     “มึงยังชอบพี่ธารอยู่ไหม”

     ผมนิ่งทบทวนความรู้สึกนิดหนึ่งก่อนพยักหน้า ถึงจะมีหลายอย่างที่คลุมเครือ แต่สิ่งหนึ่งที่มั่นใจคือผมชอบพี่ธารแน่นอน

     “ถ้างั้นคำตอบก็ง่ายนิดเดียว มึงกำลังกลัวการคบผู้ชายด้วยกัน”

     ผมเงยหน้ามองผิง จากที่ตอนแรกเอาแต่ก้มมองตัก น้องนายทำหน้าไม่เข้าใจ ไม่ต่างอะไรจากผม

     “ยังไงวะ”

     “มึงชอบผู้หญิงมาตลอด จู่ๆ ก็เปลี่ยนมาชอบผู้ชาย แถมผู้ชายคนแรกในชีวิตยังชอบมึงเหมือนกันอีก จะสับสนก็ไม่แปลก”

     “กูไม่ได้รังเกียจพี่ธาร” ผมรีบออกตัวเพราะกลัวเพื่อนเข้าใจผิด

     “กูรู้ ถ้ามึงรังเกียจจะชอบเขาเหรอ แต่ที่พูดเนี่ยกูหมายถึง การชอบผู้ชาย การมีแฟนเป็นผู้ชาย เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งแปลกใหม่ เป็นอะไรที่มึงไม่เคยมีประสบการณ์ จะสับสนหรือกลัวบ้างมันก็เป็นเรื่องธรรมดา” ผิงที่ตอนนี้สถาปนาตัวเองเป็นกูรูด้านความรัก พูดได้คล่องแคล่วราวกับมานั่งอยู่กลางใจ เป็นครั้งแรกที่ผมอยากชมมันว่าโคตรฉลาด นอกจากเดาเรื่องพี่ธารกับพี่เต้ได้ถูกแล้วยังรู้อีกว่าผมเป็นอะไร ขนาดผมยังไม่รู้ตัวเองเลย

     “แล้ว...แล้วกูต้องทำยังไงถึงจะหายกลัว”

     “กูไม่รู้”

     “อ้าว!” ผมร้องเสียงหลง เมื่อจู่ๆ คนที่เพิ่งชมว่าฉลาดดันทิ้งกันกลางทาง

     “ก็นี่ไม่ใช่เรื่องของกู ถ้ามึงอยากรู้ต้องไปเปิดอกคุยกับพี่ธารเอง ให้เดานะ ที่มึงยังคิดมากอยู่ตอนนี้เพราะยังไม่ได้คุยกับพี่ธารใช่ไหม”

     ผมพยักหน้าช้าๆ น้องนายยื่นมือมาแตะไหล่เบาๆ

     “ไปคุยกับพี่ธารเถอะครับคุณซน การคบกับผู้ชายมันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นหรอก เชื่อผมสิ”

     “พูดเหมือนมีประสบการณ์เลยนะคะคุณน้องนาย”

     “ประสบการณ์อะไรล่ะครับ คุณผิงก็รู้ว่าคนอย่างผมไม่มีใครมาชอบหรอก”

     “แน่ใจเหรอ กูว่ามีอยู่คนนึงนะ”

     บรรยากาศตึงเครียดผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย ผมมองผิงแซวน้องนายแล้วเผลอยิ้มออกมา เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่ผมยิ้มจริงๆ ไม่ใช่ฝืน พอได้ระบาย ได้ปรึกษาเพื่อนแล้วมันรู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก ทำไมที่ผ่านมาผมถึงเอาแต่เก็บเรื่องคิดมากไว้คนเดียวนะ

     พอได้ยินผิงพูดวันนี้แล้วผมถึงเข้าใจ ผมกำลังกลัว กังวลและสับสนกับความรักในอีกรูปแบบ เป็นความรักที่ผมไม่เคยคิดว่าจะเกิดกับตัวเอง และอีกอย่างที่เพื่อนผมพูดถูกคือการที่จะเลิกกลัวได้ มีทางเดียวคือผมต้องไปคุยกับพี่ธารให้รู้เรื่อง มันไม่สมเหตุสมผลเลยที่ผมเอาแต่หลบหน้า ทั้งที่จริงเราควรหันหน้าคุยกันตรงๆ หลังจากนี้ผมจะไม่กลัวอีกแล้ว ผมจะไปคุยกับพี่ธารให้เรื่อง คุยเรื่องความรักของเรา ความรักของผมกับพี่ธาร





     ผมนั่งถูมือไปมาอยู่ในรถ ข้างๆ คือพี่ธารที่กำลังขับรถด้วยใบหน้านิ่ง ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แต่พอถึงเวลาจริงๆ ก็ใช่ว่าจะพูดออกไปได้เลย ควรเริ่มจากตรงไหน ต้องเกริ่นก่อนไหมหรือเข้าเรื่องได้เลย หรือจะรอไปคุยกันที่บ้าน ผมจะได้มีเวลาเตรียมตัวอีกหน่อย

     เพราะมัวแต่คิดอะไรคนเดียว รู้ตัวอีกทีก็มาถึงหน้าบ้านแล้ว ไอ้พี่ธารขับเร็วเกินไปไหม ผมยังไม่ได้เตรียมตัวเลย

     ขณะที่ผมเงอะๆ งะๆ เพราะไม่รู้ว่าควรโพล่งออกไปเลยหรือรอจังหวะเหมาะๆ ก่อนดี พี่ธารที่ยังหน้านิ่งไม่เปลี่ยนก็เลื่อนเบาะไปข้างหลัง ก่อนจะดึงข้อมือผมให้ข้ามไปยังเบาะที่ตัวเองนั่งโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ผมที่ไม่ทันตั้งตัวจึงลอยไปตามแรงดึง รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่บนตักอีกฝ่ายแล้ว

     “เฮ้ย! พี่ธารทำอะไร” ผมถามอย่างตกใจ ก่อนจะนิ่งไปเมื่อเห็นสายตาที่มองมา พี่ธารในตอนนี้เหมือนกำลังหงุดหงิดบางอย่าง และถ้าผมไม่ได้คิดไปเอง บางอย่างที่ว่าก็คือผม

     “มึงเกลียดกูมากเลยเหรอ”

     “เกลียด? ผมไปเกลียดพี่ตอนไหน”

     “ถ้าไม่เกลียดแล้วทำไมถึงเอาแต่หลบหน้า อย่าคิดว่ากูไม่รู้นะซน” แววตาพี่ธารดูเจ็บปวด สายตาคู่นั้นทำให้ผมที่คิดจะกลับที่ตัวเองได้แต่นิ่งงัน “มึงเป็นอะไรบอกกูมาตรงๆ สิ ไม่ใช่ทำเหมือนรังเกียจกู อยากอยู่ห่างกูตลอดเวลา”

     “ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น”

     “แต่การกระทำของมึงมันทำให้กูคิด”

     ผมไม่เคยรู้เลยว่าความสับสนของตัวเองจะทำให้พี่ธารเจ็บปวดขนาดนี้ ในตอนที่ผมกำลังคิดมาก ใครบางคนกลับคิดมากกว่าผมเป็นร้อยเท่า

     “กูจะไม่คิดอะไรเลยถ้ามึงไม่ได้เปลี่ยนไปหลังคืนนั้น มึงไม่ชอบกูก็ปฏิเสธกูสิ อย่าทำกับกูแบบนี้ มึงทำเหมือนกูเป็นตัวน่ารังเกียจที่ไม่ควรชอบใคร มึงเห็นความรู้สึกกูเป็นของเล่นเหรอวะ”

     ดวงตาพี่ธารสั่นระริก แม้ไม่มีน้ำตาแต่ผมรับรู้ได้ว่าข้างในเขากำลังเสียใจ ผมไม่พูดอะไร ค่อยๆ สอดมือไปกอดรอบเอว พี่ธารชะงักกับการกระทำของผม ใจผมเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ กลัวว่าพี่ธารจะผลักออก แต่สุดท้ายเขาก็ปล่อยให้ผมกอดอยู่อย่างนั้น

     “ทำอะไรของมึง”

     “ผมขอโทษ” ผมพูดเสียงอู้อี้กับอกกว้าง กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น “ผมไม่ได้รังเกียจพี่ ไม่ได้เห็นความรู้สึกพี่เป็นของเล่นด้วย ผมพูดจริงนะ เชื่อผมเถอะ”

     “ถ้างั้นมึงเป็นอะไร หลบหน้ากูทำไม”

     “ผม...ผมกลัว”

     ดูเหมือนคำตอบผมจะเป็นอะไรที่คาดไม่ถึง เพราะพี่ธารถึงกับดันตัวผมออกเพื่อจะได้มองหน้าถนัด

     “มึงกลัวอะไร”

     “ผมไม่เคยคบผู้ชายมาก่อน ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าตัวเองจะชอบผู้ชาย ตอนรู้ตัวว่าชอบพี่ผมยังยอมรับได้ แต่พอรู้ว่าพี่ก็ชอบผมเหมือนกัน ผมก็เอาแต่คิดไปไกล มันกลัว กังวล สับสนไปหมด ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าความรักของเราสองคนจะออกมาเป็นยังไง” ผมพรั่งพรูความในใจออกไป ก่อนจะหยุดพูดเพื่อดูท่าทางคนตรงหน้า แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อแววตาคู่นั้นเปลี่ยนไป พี่ธารกำลังยิ้ม ยิ้มเหมือนดีใจอะไรสักอย่าง อะไรของพี่มันวะ เห็นผมคิดมากแล้วอารมณ์ดีเหรอ

     “เมื่อกี้มึงว่าไงนะ”

     “ผมนึกภาพไม่ออกว่าความรักของเราจะออกมาเป็นยังไง”

     “ไม่ใช่ ก่อนหน้านี้”

     “ผมกลัว กังวล สับสน”

     “ก่อนหน้านี้อีก”

     “ตอนรู้ตัวว่าชอบพี่ผมยังยอมรับได้ แต่พอรู้ว่าพี่ก็ชอบผมเหมือนกัน ผมก็เอาแต่คิดไปไกล” ผมพูดจบถึงได้รู้ว่าคนตรงหน้าดีใจอะไร ผมเม้มปากแน่น อาการเห่อร้อนพุ่งขึ้นมาบนหน้าทันที

     “มึงบอกชอบกู”

     “…”

     “มึงชอบกูเหรอซน”

     “…”

     “เอ๋อ”

     ไม่ตอบครับ เงียบสถานเดียว แถมหันหน้าหนีด้วย พี่ธารหลุดขำเบาๆ เชยคางผมหันไปสบตาอีกครั้ง สายตาพี่ธารอ่อนลง ไม่หงุดหงิดเหมือนก่อนหน้านี้ แต่กลับมีประกายบางอย่างที่ทำให้ผมใจเต้นแรง

     “หน้าแดงเชียวนะ ไม่เห็นปากเก่งเหมือนตอนเถียงเลย ไหนเมื่อกี้เด็กเอ๋อคนไหนบอกชอบกู พูดให้ฟังอีกทีซิ”

     ใครจะไปยอมพูด แค่นี้ก็อายจนไม่รู้จะอายยังไงแล้ว ก็รู้อยู่หรอกว่าถ้าคุยกันตรงๆ ยังไงก็ต้องบอกชอบอยู่ดี แต่ตอนปรึกษาเพื่อนมันไม่เหมือนกันนี่นา ของจริงน่าอายกว่าตั้งเยอะ

     “ยัง ยังไม่พูดอีก ต้องให้เอาคีมมางัดปากก่อนใช่ไหม”

     “…”

     “เอ๋อ”

     “…”

     “ไม่พูดกูจูบนะ”

     “ชอบ! ผมชอบพี่ธาร! ชอบมากๆ เลยครับ!” ผมรีบโพล่งออกไปเมื่อใบหน้าคมโน้มมาใกล้ ยกมือปิดปากไม่ให้อีกคนทำอย่างที่พูดได้ พี่ธารยิ้มทั้งที่ยังโดนปิดปากอยู่ ดวงตาพราวระยับ

     “ผม...ผมชอบพี่” ผมลดมือลงพร้อมกับพูดความในใจอีกครั้ง ไหนๆ ก็พูดแล้วอยากให้พี่ธารได้ยินชัดๆ คราวนี้พี่ธารเป็นฝ่ายสอดมือมากอดรอบเอว รั้งเข้าหาตัวเองจนอกผมชิดกับอกแกร่ง

     “ก็แค่นี้ เล่นตัวอยู่ได้”

     “ผมก็เขินเป็นไหมล่ะ” ผมมองค้อน พี่ธารหัวเราะหึๆ วางมือลงบนหัวแล้วโยกเบาๆ

     “แล้วที่บอกว่ากลัวนั่นล่ะ”

     “มันก็ไม่เชิงว่ากลัวหรอก ไม่รู้สิ ผมไม่เคยคบผู้ชายมาก่อน เลยไม่รู้ว่าถ้าคบแล้วจะเป็นยังไง อะไรที่เราไม่รู้จักมันก็ต้องกลัวเป็นธรรมดาไม่ใช่เหรอ”

     “อย่ายึดติดกับเพศสิ ถ้าเอาคำว่าผู้ชายออกมันก็แค่คนสองคนรู้สึกดีต่อกัน มึงชอบกู กูชอบมึง คิดแค่นี้พอ จะคิดเยอะแยะให้ปวดหัวทำไม”

     “ทำไมพี่คิดง่ายจัง”

     “กูต้องถามมึงมากกว่าว่าทำไมต้องคิดให้มันยาก”

     “นี่ครั้งแรกเลยนะที่ผมชอบผู้ชาย จะให้คิดน้อยเหมือนพี่ได้ไง” ผมพูดออกไปแล้วถึงได้นึกบางอย่างออก ดวงตาที่มองอีกฝ่ายเบิกกว้างเล็กน้อย “พี่ธาร”

     “อะไร”

     “ตอนพี่รู้ตัวว่าชอบผม พี่รู้สึกยังไงอะ”

     “รู้สึกชอบไง” พี่ธารมองเข้ามาในดวงตาผม แววตาคู่นั้นแฝงไปด้วยความรู้สึกมากมาย “กูชอบมึง สำหรับกูแค่นี้ก็พอแล้ว ชอบก็คือชอบ ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลมากมาย”

     ผมสบตากับพี่ธารอยู่นาน รู้สึกอิจฉาที่อีกฝ่ายคิดได้ง่ายๆ แต่พอคิดตามแล้วมันก็จริงอย่างที่พี่ธารบอก ชอบก็คือชอบ ไม่ว่าอีกคนจะเป็นเพศอะไร ความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นก็ไม่มีวันเปลี่ยนอยู่ดี

     ผมคลี่ยิ้มหลังเจอคำตอบที่ตามหามานาน พี่ธารที่เห็นผมยิ้มออกก็ยิ้มตาม สอดมือเข้ากับมือผม

     “สบายใจแล้วใช่ไหม”

     ผมพยักหน้า

     “งั้น...ทีนี้ก็คบได้แล้วใช่ไหม”

     “ครับ เฮ้ย!” ผมสะดุ้ง พี่ธารยิ้มเจ้าเล่ห์ โน้มหน้ามาใกล้จนปลายจมูกแตะกัน

     “ตกใจอะไร มึงชอบกู กูก็ชอบมึง ใจตรงกันขนาดนี้ มึงจะรอคนมาตัดริบบิ้นก่อนเหรอถึงค่อยคบ”

     “จู่ๆ พี่ก็วกมาเรื่องคบกัน ผมก็ต้องตกใจดิ แล้วนี่เหรอประโยคขอเป็นแฟน ไม่เห็นโรแมนติกเลย” ผมพูดเสียงขึ้นจมูก พี่ธารหัวเราะในลำคอ

     “เป็นแค่เด็กเอ๋อจะอยากโรแมนติกอะไรมากมาย แค่นี้ก็พอแล้ว”

     ดูพี่มันนะครับ ไม่คิดจะชมแฟนแบบคนอื่นเขาหรอก ก่อนคบเป็นยังไงหลังคบก็เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

     เอ๊ะ นี่ผมตกลงเป็นแฟนไอ้พี่ธารแล้วเหรอ

     “ตกลงว่าไง คบนะ” พี่ธารถามย้ำอีกครั้ง

     “จะถามทำไมเล่า พี่รู้คำตอบอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

     พี่ธารยิ้ม รั้งผมเข้าไปกอด ผมเขินนิดหน่อยแต่ก็กอดพี่ธารกลับไปเหมือนกัน ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม

     ผมไม่รู้ว่าความรักระหว่างผู้ชายจะออกมาในรูปแบบไหน จะมีอุปสรรคอะไรไหม ความรักจะราบรื่นหรือเปล่า แต่นั่นไม่สำคัญอีกแล้ว ไม่ว่าทางข้างหน้าจะเป็นยังไง ผมก็จะมั่นคงกับความรู้สึกตัวเอง และที่สำคัญ...

     “เอ๋อ”

     “ครับ?”

     “กูอยู่กับมึงตรงนี้”

     “ผมรู้ ถ้าพี่ธารไม่อยู่ตรงนี้ผมจะกอดได้ไง”

     “ไม่ใช่ กูหมายถึง กูอยู่กับมึงตรงนี้ และจะอยู่ข้างๆ เสมอ ไม่ว่ามึงกำลังกลัวอะไร สิ่งนั้นจะไม่มีทางเกิด เชื่อใจกูนะ”

     ผมยิ้มกว้างกว่าเดิม พยักหน้าขึ้นลงกับอกของร่างสูง บางทีการคบกับผู้ชายก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด โดยเฉพาะผู้ชายที่ชื่อธาร คนที่ผมเชื่อมั่นจนหมดใจ



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter : earthxxide

     Fanpage : Earthxxide
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-05-2023 19:18:02 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 729
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 25
หึง หวง โหด


     ผมปัดป่ายมือไปทั่ว คลำไปตามหมอนข้างที่วันนี้ดูจะแข็งกว่าปกติ มันทั้งแข็งทั้งนุ่ม สัมผัสไม่เหมือนหมอนข้างที่กอดอยู่ทุกวัน ด้วยความสงสัยผมจึงปรือตามอง จากที่กำลังหลับสบาย แต่หลังจากนั้นดวงตาผมก็เบิกกว้าง ตาสว่างขึ้นมาทันที

     ใบหน้าพี่ธารที่กำลังหลับพริ้มอยู่ห่างไม่ถึงคืบ ผมถอยหน้าออกมา พยายามใช้สมองอันน้อยนิดประมวลผลว่าทำไมถึงมาอยู่ในสภาพนี้ได้ เมื่อวานหลังจากตกลงคบกัน พี่ธารก็พาผมมาทานข้าวบ้านน้าพร เราสองคนอยู่ดูหนังในห้องนั่งเล่นจนดึก พี่ธารเลยให้ผมค้างห้องเขา

     ผมหันไปมองคนที่ยังหลับอยู่อีกครั้ง พอคิดมาถึงตรงนี้แก้มมันก็ร้อนขึ้นมา ผมค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าไปใกล้ รับรู้ได้ถึงลมหายใจสม่ำเสมอของอีกคน ขนตายาวแบบฉบับผู้ชาย ริมฝีปากหนาที่ผมเคยสัมผัสไปแล้วครั้งหนึ่ง

     ไม่อยากเชื่อว่าผมจะกลายมาเป็นแฟนพี่ธาร พี่ชายข้างบ้านที่ผมแอบตั้งฉายาว่าหล่อเสียของ ใครจะไปคิดว่าคนแบบนี้จะทำให้ผมชอบได้ แต่ที่เหลือเชื่อยิ่งกว่าคือพี่ธารก็ชอบผมเหมือนกัน

     ผมเอื้อมมือไปจิ้มแก้มคนหลับ พี่ธารนี่เหมาะกับคำว่าเพอร์เฟกต์จริงๆ ขนาดหลับยังดูดีเลย ถ้าพี่ธารคือลูกรักพระเจ้าผมก็คงเป็นลูกเมียน้อย ปั้นมาต่างกันขนาดนี้พระเจ้าเกลียดผมแน่นอน

     ไม่ว่าอะไรก็ดูดีไปหมด อยากรู้จังว่าคนอย่างพี่ธารมีข้อเสียบ้างไหม

     “ซน” จู่ๆ คนที่ผมนึกว่าหลับอยู่ก็ยกมือมาจับมือผม พี่ธารลืมตามอง เราสบตากันโดยไม่ตั้งใจ

     “พี่เรียกผมเหรอ”

     “เปล่า กูกำลังว่ามึง เด็กอะไรซนแต่เช้า คนเขาหลับอยู่ยังเอานิ้วมาจิ้มอยู่ได้ นอกจากเอ๋อแล้วยังชอบก่อกวนอีก”

     อ่า...ผมว่าผมเจอข้อเสียพี่ธารแล้วล่ะ ไม่ต้องดูอื่นไกล ปากพี่มันนี่แหละที่เป็นข้อเสีย

     “แล้วทำไมวันนี้ถึงตื่นเช้า” พี่ธารที่ว่าผมจนพอใจแล้วยกมือรองศีรษะ หันตะแคงมาถามผม

     “มันตื่นเอง”

     “นอนไม่หลับเหรอ”

     “เปล่า ผมคงไม่ชินกับการนอนกับคนอื่นมั้ง”

     “งั้นต้องหัดบ่อยๆ ตั้งแต่วันนี้ไปมึงมานอนกับกู”

     “เดี๋ยว! เราเพิ่งคบกันเองนะพี่”

     “จะเพิ่งคบหรือคบนานแล้วยังไงก็ต้องนอนด้วยกันอยู่ดี” พี่ธารยิ้มมุมปาก เห็นรอยยิ้มนั่นแล้วรู้สึกสยิวแปลกๆ ไอ้พี่ธารจะไวไฟเกินไปแล้ว

     “บ้านผมก็มี เรื่องอะไรต้องมานอนกับพี่ทุกวันด้วยล่ะ”

     “แน่ใจเหรอว่าไม่อยากนอน เมื่อคืนกอดกูแน่นเชียวนะ”

     “ก็...ก็ผมนึกว่าพี่เป็นหมอนข้าง” ผมพูดไปหน้าแดงไป พี่ธารหัวเราะในลำคอ ผมกำลังจะลุกหนีแต่คนตัวโตก็คว้าไปกอดเสียก่อน ผมไม่ทันตั้งตัวเลยถลาเข้าหาอกแกร่ง พี่ธารรวบตัวผมไว้ด้วยสองแขน

     “พี่ธาร ทำอะไรเนี่ย” ผมพยายามขืนตัวออก แต่ให้ตายเถอะ ไอ้พี่ธารแรงเยอะชะมัด

     “มึงอาบน้ำแล้วเหรอ”

     “อาบอะไร ผมตื่นก่อนพี่นิดเดียวเอง”

     “เหรอ แล้วทำไมตัวหอมแบบนี้”

     ฟอด

     “แก้มก็หอม”

     ผมตัวแข็งทื่อ หยุดดิ้นไปเมื่อไหร่ไม่รู้ ได้แต่ตาโตมองคนที่ยังลอยหน้าลอยตา อะ...ไอ้...ไอ้พี่ธารหอมแก้มผม!!

     “ตกใจขนาดนั้นเลยเหรอ อย่าบอกนะว่าหอมแก้มก็ไม่ชิน งั้นสงสัยต้องหัดบ่อยๆ เหมือนกัน”

     “เฮ้ย! ไม่เอาแล้ว!” ผมรีบยันหน้าอีกฝ่ายไม่ให้โน้มมาหอมแก้มได้ ทำไมถึงชอบทำคนอื่นใจเต้นแรงวะ นิสัยไม่ดี

     “เอ๋อ เอามือออก”

     “ไม่”

     “กูจะหอมแก้ม”

     “พะ...พูดตรงเกินไปแล้ว”

     “แล้วจะอ้อมค้อมให้เสียเวลาทำไม อย่ามัวแต่ลีลา มาให้กูหอมแก้มซะดีๆ”

     ใครว่าผมห้ามสำเร็จบ้างครับ เสียใจด้วย คุณตอบผิด กว่าผมจะรอดมาได้แก้มเกือบช้ำ ไอ้พี่ธารหอมทั้งซ้ายทั้งขวา ไม่รู้ไปมันเขี้ยวมาจากไหน





     “ไอ้ซนมึงตั้งโต๊ะแถลงข่าวเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นวันนี้ไม่ต้องขึ้นเรียน” ผิงเปิดประเด็นทันทีที่ผมหย่อนก้นนั่ง ไม่ให้เวลาพักหายใจหายคอ

     “โดดเรียนเป็นสิ่งไม่ดีนะครับคุณผิง”

     “หรือมึงไม่อยากรู้”

     “อยากครับ”

     “ก็แค่นั้น แถลงมาได้แล้ว ขอเนื้อเน้นๆ ไม่เอาน้ำ” ผิงหันมาไล่บี้ผมอีกครั้ง มันจะอยากรู้ขนาดนี้ก็ไม่แปลกหรอกครับ ก็ตอนพี่ธารมาส่งผมที่ลานหน้าคณะ พี่มันเล่นหอมแก้มโชว์ประชาชนหน้าตาเฉย ไม่รู้หอมจากบ้านไม่พอหรือไง เชื่อผมเถอะว่าไม่เกินเย็นนี้รูปผมโดนหอมแก้มไปโผล่บนเพจมหา’ลัยแน่นอน

     “มึงเห็นยังไงก็ตามนั้นแหละ”

     “อย่าพูดคลุมเครือสิวะ ลงรายละเอียดให้เพื่อนหน่อย”

     “ก็ไม่มีอะไร แค่กูกับพี่ธารคบกันแล้ว”

     น้องนายตาโต ขณะที่ผิงมองมาด้วยแววตาหมั่นไส้

     “กล้าพูดว่าไม่มีอะไร มึงรู้ไหมว่าคนที่จะพูดประโยคนี้ได้ต้องสวยมากเลยนะ”

     “สวยห่าอะไรของมึง”

     “ก็มึงดูคนที่ตามกรี๊ดพี่ธารสิ ตัดภาพมาที่มึงเมื่อกี้” ผิงทำเสียงล้อเลียน “แค่กูกับพี่ธารคบกันแล้ว”

     “น่าครับ คุณซนกับพี่ธารใจตรงกันแล้วก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดี เราควรดีใจไปกับคุณซนนะครับ”

     “กูก็ดีใจ แต่มันก็ใจหายด้วยว่ะ เพื่อนเอ๋อของเรามีแฟนแล้ว หลังจากนี้คงไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยเหมือนก่อนไม่ได้” ผิงถอนหายใจหลังพูดจบ

     “กูแค่มีแฟน ไม่ได้ย้ายมหา’ลัยซะหน่อย กูก็ยังอยู่กับพวกมึงนี่แหละ” ผมบอกผิง ก่อนจะโวยวายเมื่อรู้สึกตัว “เดี๋ยว มึงว่ากูเอ๋ออีกแล้วนะ”

     “คุณผิงลืมผมไปหรือเปล่าครับ ผมยังไม่มีแฟน ยังโสดเป็นเพื่อนคุณผิงนะครับ” น้องนายรีบบอกไม่ให้เพื่อนน้อยใจ

     “เดี๋ยวมึงก็มี เชื่อกูสิ”

     น้องนายทำหน้างง ผมเห็นแล้วก็แปลกใจ ป่านนี้มันยังไม่รู้อีกเหรอว่าพี่บอนด์ชอบ

     “เฮ้อ สงสัยกูต้องรีบหาแฟนตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วมั้งจะได้ไม่เหงา เอาใครดีวะ พี่ไกด์ดีไหม”

     “มึงพูดเหมือนเลือกเสื้อผ้าเลยนะ”

     “โอ๊ย ถ้าเป็นเสื้อผ้ากูไม่คิดเยอะแบบนี้หรอก จะซื้อมันทั้งร้านเลย แต่นี่แฟนเลยนะมันก็ต้องคิดกันบ้าง”

     ผมกับน้องนายได้แต่มองตากัน เกินจะเยียวยาแล้วครับ ปล่อยมันไปเถอะ

     “ยินดีด้วยนะครับคุณซน ในที่สุดก็สมหวังเสียที” น้องนายกลับมาเรื่องเดิมอีกครั้ง ผมยิ้มให้เพื่อนทั้งสองคน เพราะพวกมันแท้ๆ ผมถึงกล้ายอมรับความรู้สึกตัวเอง

     “ขอบคุณพวกมึงมากนะ”

     “ที่ช่วยให้มึงมีแฟนน่ะเหรอ ถ้ามึงอยากขอบคุณก็ช่วยกูจีบพี่ไกด์สิ”

     “คุณผิงงง ยังไม่หยุดพูดเล่นอีกเหรอครับ”

     ผมมองสีหน้าอ่อนใจของน้องนายกับใบหน้าทะเล้นของผิงแล้วก็ยิ้มออกมา ก่อนที่รอยยิ้มจะค่อยๆ ลดลงเมื่อนึกถึงใครอีกคน ผมไม่ได้บอกเพื่อนว่านอกจากเรื่องพี่ธารแล้วยังมีอีกเรื่องที่ผมครุ่นคิดมาหลายวัน และวันนี้ที่ผมรู้ใจตัวเองแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องทำให้ชัดเจนเสียที





     ผมบอกให้เพื่อนกลับไปก่อนโดยอ้างว่ามีนัดกินข้าวกับพี่ธาร ส่วนตัวเองมานั่งรอใครบางคนอยู่ใต้ตึกวิศวะ ผ่านไปไม่นานคนที่ผมรอก็ลงมาจากตึก ผมโบกมือทักทาย อีกฝ่ายเลยเดินมาหา

     “รอนานหรือเปล่า” พี่เต้ส่งยิ้มมาก่อนตัว ในมือถือชีทเรียนมาด้วย

     “ไม่นานครับ ผมเพิ่งมาถึงเหมือนกัน”

     “แล้วที่ว่ามีเรื่องอยากคุยกับพี่คือเรื่องอะไร” พี่เต้เข้าประเด็นทันทีโดยไม่อ้อมค้อม ผมยืนขึ้นแล้วยิ้มให้เขา

     “ไปหาที่อื่นคุยกันเถอะครับ ตรงนี้คงไม่เหมาะ”

     “โอเค”





     พี่เต้พาผมมาหลังตึกวิศวะ แถวนี้ผมเคยมาครั้งเดียวคือตอนผิงมาส่องผู้ชายคณะนี้ ระหว่างเดินตามพี่เต้ผมก็พยายามเรียบเรียงคำพูดในหัว คิดว่าจะพูดยังไงไม่ให้ดูใจร้ายเกินไป

     “ถ้าเป็นที่นี่คงได้นะ” พี่เต้หยุดยืนหน้าสระบัว สระนี้เห็นผิงเคยเล่าว่ามักจะมีดารามาถ่ายละครบ่อยๆ ตอนนี้เป็นเวลาสี่โมงเย็น บริเวณนี้จึงไม่ค่อยมีคน ผมเดินมายืนเทียบข้าง สูดหายใจลึกๆ แล้วพูดออกไป

     “พี่เต้ชอบผมใช่ไหมครับ” ถ้าเป็นปกติผมคงไม่กล้าถามอะไรแบบนี้ ความเป็นไปได้ที่อดีตเดือนมหา’ลัยอย่างพี่เต้จะมาชอบผมแทบเป็นศูนย์ แต่เพราะคนบอกคือพี่ธารผมเลยเชื่อว่ามันคือเรื่องจริง ถึงจะฟังดูเหลือเชื่อไปหน่อยก็ตาม

     “กะแล้วว่าต้องเป็นเรื่องนี้” พี่เต้ยิ้มให้ผม สีหน้าไม่มีความแปลกใจเหมือนอย่างที่คิด “ถามอย่างนี้แสดงว่าคงได้ยินมาจากธารแล้วสินะ”

     “ครับ” เอาจริงๆ คนที่พูดว่าพี่เต้ชอบผมคือผิง แต่ในเมื่อพี่ธารบอกว่าผิงพูดถูกมันก็เหมือนพี่ธารเป็นคนบอก

     “แล้วมาถามพี่ทำไม เรารู้คำตอบอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

     “ผมแค่อยากถามให้แน่ใจ”

     “งั้นก็แน่ใจได้เลย พี่ชอบเราจริงๆ”

     ถึงจะรู้อยู่แล้ว แต่พอมาได้ยินจากปากเจ้าตัวจริงๆ ก็อดตกใจไม่ได้ ผมหันไปมองพี่เต้ตรงๆ พยายามสังเกตสีหน้าอีกฝ่าย

     “บอกได้ไหมครับว่าทำไมถึงชอบผม”

     “ซนน่ารักดี”

     “แค่นั้นเหรอครับ”

     “แล้วต้องแค่ไหนล่ะ เหตุผลในการสนใจใครสักคนจำเป็นต้องมีเยอะด้วยเหรอ”

     ผมหัวเราะเมื่อได้ยินคำพูดของคนตรงหน้า พี่เต้พูดเหมือนพี่ธารเลย

     “ขอบคุณที่ชอบผมนะครับ ขอบคุณสำหรับความรู้สึกดีๆ ที่มีให้ แต่ผมคงรับไว้ไม่ได้”

     “พี่รู้อยู่แล้วล่ะ”

     “หือ? ทำไมรู้ล่ะครับ” ผมทำหน้างง พี่เต้หลุดขำ มองเข้ามาในดวงตาผม

     “เราเล่นทำหน้าเหมือนอยากขอโทษแบบนี้ ใครบ้างจะไม่รู้ ไม่มีใครทำหน้าแบบนี้ตอนจะสารภาพรักหรอกนะ”

     “ผมขอโทษ” ผมพูดออกไปจากใจจริง นี่คือประโยคที่ผมอยากบอกพี่เต้มากที่สุด

     “ไม่เลือกพี่ แสดงว่าเลือกธารสินะ”

     “ครับ ผมชอบพี่ธาร”

     “พี่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะแพ้ใครเรื่องความรัก ซนเป็นคนแรกเลยนะที่ทำให้พี่รู้จักคำว่าแพ้” พี่เต้พูดด้วยท่าทางสบายๆ ไม่เศร้าหรือเสียใจอย่างที่กังวล ผมเลยค่อยยิ้มออกได้

     “อย่างพี่มีคนชอบเยอะแยะไปครับ ไม่จำเป็นต้องมารอเด็กกะโปโลอย่างผมหรอก”

     “เผอิญว่าพี่ชอบเด็กกะโปโลน่ะสิ แต่ตอนนี้อกหักแล้ว คงต้องหาคนมาดามใจ” พี่เต้ยื่นมือมาลูบหัว สายตาที่มองมาจริงจังขึ้น “พี่ไม่มีโอกาสแล้วใช่ไหม”

     “ถ้าผมตอบว่าไม่มีจะดูใจร้ายไปไหมครับ”

     “หึๆ” พี่เต้หัวเราะในลำคอ ดูจะชอบใจกับคำตอบซื่อๆ ของผม “พี่ชอบเราก็ตรงนี้”

     “อย่าชอบผมเลยครับ ผมคบกับพี่ธารแล้ว ผมไม่อยากให้พี่เต้ตกนรกเพราะชอบแฟนคนอื่น”

     “ฮ่าๆๆ” พี่เต้ผละมือไปกุมท้องตัวเอง ขำจริงจังจนผมงงว่าที่พูดไปมันตลกขนาดนั้นเลยเหรอ “พี่กะจะเดินหน้าจีบเต็มกำลังกว่านี้ แต่เราดันมาปฏิเสธตัดหน้าซะก่อน ถ้าพูดขนาดนี้พี่ก็มีแต่ต้องตัดใจสินะ”

     “ผมขอโทษ”

     “ขอโทษทำไม ซนไม่ผิดอะไรเลย พี่ต่างหากที่ต้องขอบคุณ”

     “ขอบคุณอะไรครับ” ผมว่าผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะ เรียกว่ากำลังหักอกอยู่ด้วยซ้ำ แล้วพี่แกขอบคุณอะไรผมหว่า

     “ขอบคุณที่ทำให้พี่รู้จักรสชาติของการอกหัก จะว่าไปมันก็ไม่เลวนะ” พี่เต้ยักคิ้วให้ผม ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรเขาก็มองเลยผมไปด้านหลัง ทันใดนั้นมุมปากก็ยกยิ้ม “หึ ดูเหมือนจะได้รู้จักรสชาติของคนหึงหวงด้วยแฮะ”

     อะไรคือคนหึง...

     “มึงพาซนมาที่นี่ทำไม”

     อ่า...ผมว่าผมไม่ต้องถามพี่เต้ให้เปลืองแรงแล้วล่ะ ‘คนหึงหวง’ เล่นคว้าผมไปยืนชิดขนาดนี้ อีกนิดจะกระชากแล้ว ผมหันไปมองพี่ธารที่ไม่รู้ว่ามาได้ยังไง ดวงตาคมวาวโรจน์อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ถ้าผมโดนจ้องด้วยสายตาแบบนั้นคงเข่าอ่อนไปแล้ว แต่สงสัยพี่เต้จะมีภูมิต้านทานดี เพราะพี่แกเพียงแค่ยักไหล่ ทำหน้ากวนอวัยวะเบื้องล่างสุดๆ

     “ไม่ได้พามาทำอย่างที่มึงคิดหรอก สบายใจได้ ถึงกูจะอยากทำแค่ไหนก็ตาม”

     “ไอ้!!!”

     “พี่ธารใจเย็น” ผมยกมือดันอกพี่ธารที่ทำท่าจะถลาเข้าไปหาพี่เต้ ฝ่ายนั้นกระตุกยิ้ม มองพี่ธารด้วยแววตาขบขัน

     “วางใจเถอะ กูแพ้มึงแล้ว กลับไปขอบคุณเด็กมึงด้วยล่ะ เพราะถ้าซนไม่มาพูดเอง ชาตินี้ทั้งชาติอย่าหวังว่ากูจะยอมใครง่ายๆ”

     พี่ธารชะงัก หันมาขมวดคิ้วมองผม พี่เต้เดินเข้ามาใกล้ วางมือบนบ่าพี่ธารแล้วตบเบาๆ

     “ซนรักมึงมากนะ เพราะงั้นอย่าทำให้ความรักของซนเสียเปล่า กูอุตส่าห์ถอยให้ทั้งที ดูแลซนให้ดีสมกับที่กูถอยด้วยล่ะ”

     พี่เต้กับพี่ธารสบตากันนิ่ง ก่อนที่อดีตเดือนมหา’ลัยจะเดินจากไป ผมมองตามพี่เต้ได้ไม่ถึงวินาทีก็ต้องหันกลับมาเมื่อพี่ธารออกแรงจูงมือ

     พี่ธารพาผมเข้ามานั่งในรถ ทันทีที่ปิดประตูก็หันมาจ้องผมนิ่ง ดวงตาที่ดุกว่าทุกทีทำเอาผมลอบกลืนน้ำลาย

     “มึงไปพูดอะไรกับไอ้เต้”

     “ผม...ผมแค่ไปบอกให้เขาตัดใจจากผม แล้วก็...บอกเรื่องที่เราคบกัน” เขาว่ากันว่าเวลาใครพูดตะกักตะกักแปลว่าคนๆ นั้นกำลังโกหก แต่ที่ผมเป็นอยู่นี่กลับตรงกันข้ามเลย โดนจ้องขนาดนี้ใครจะไปเฉยอยู่ได้วะ ตาพี่ธารแม่งน่ากลัวฉิบ ผมไม่ฉี่ราดกางเกงก็บุญแล้ว

     “แค่นั้น?” ดวงตาพี่ธารคลายความดุลงเล็กน้อย

     “ครับ”

     “แล้วทำไมไม่บอกกูก่อน ทำไมต้องแอบมา”

     “...”

     “เอ๋อ”

     “...คำถามนี้ผมไม่ตอบได้ไหมอะ”

     พี่ธารโน้มหน้ามาใกล้ ดวงตาลุกวาบอีกครั้ง ผมรู้คำตอบทันทีว่าไม่ตอบคงไม่ได้

     “แน่ใจเหรอว่าจะปิดบังกู”

     อื้อหือ เสียงเย็นยะเยือกขนาดนี้ ไม่ต้องขู่ต่อไอ้ซนก็กลัวหัวหดแล้วครับ นี่กูได้แฟนหรือได้พ่อใหม่วะเนี่ย

     “ก็ผมไม่อยากพูดต่อหน้าพี่นี่ มัน...เขิน” พยางค์สุดท้ายผมเบือนหน้าหนี มันอายจนไม่อาจสบตาได้ แต่พี่ธารก็เชยคางผมหันกลับมาอีกครั้ง

     “เขินอะไร”

     “จะถามทำไมเล่า พี่น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอ”

     “เขินที่ต้องบอกไอ้เต้ว่าชอบกูเหรอ”

     ผมไม่ตอบแต่พยักหน้าแทน พี่ธารมองผมนิ่ง สักพักรอยยิ้มก็ปรากฏบนมุมปาก ใบหน้าดุเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์

     “งั้นตั้งแต่วันนี้มึงต้องบอกชอบกูทุกวัน สามเวลาหลังอาหารได้ยิ่งดี”

     “เฮ้ย!!” ผมสะดุ้งกับประโยคคำสั่งของคนตรงหน้า ทำไมจู่ๆ มาโผล่เรื่องนี้ได้วะ

     “มึงจะได้เลิกเขินไง”

     เขินหนักกว่าเดิมน่ะสิไอ้พี่บ้า!

     “ผมไม่ทำ”

     “มึงไม่มีสิทธิ์ต่อรอง อย่าลืมว่าวันนี้มึงมีความผิด ตอนมีคนบอกว่ามึงไปหลังคณะกับไอ้เต้สองต่อสอง รู้ไหมว่ากูโมโหแค่ไหน กูลงโทษแค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ”

     “ก็บอกแล้วไงว่าผมแค่มาคุยกับพี่เต้เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเลย”

     “พูดแบบนี้แสดงว่ามึงยังไม่รู้สินะ”

     “ไม่รู้อะไร”

     พี่ธารไม่ตอบในทันที แต่ยื่นหน้ามาใกล้กว่าเดิมจนผมได้กลิ่นน้ำหอมผู้ชาย ใบหน้าคมคลอเคลียอยู่แถวใบหู ไอร้อนจากร่างแกร่งพาให้หัวใจเต้นรัว

     “แฟนมึงเป็นคนหึงโหด จำไว้ให้ดีล่ะ ถ้าคราวหน้ามีเหตุการณ์แบบนี้อีก กูจะลงโทษให้หนักจนมึงลุกไม่ขึ้นเลยคอยดู”



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter : earthxxide

     Fanpage : Earthxxide

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 729
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 26
LIMITED EDITION


     “มันเป็นไรวะ” ผิงที่เพิ่งมาถึง ถามน้องนายพลางชี้มือมายังผมที่กำลังคิ้วขมวด

     “ไม่รู้ครับ เป็นอย่างนี้มาสักพักแล้ว”

     “เป็นอะไร ทำหน้าอย่างกับโลกจะแตก” ผิงยื่นหน้ามาใกล้ก่อนจะเบิกตากว้าง “อย่าบอกนะว่าเลิกกับพี่ธารแล้ว”

     “สัด” ปกติผมไม่ด่าผู้หญิง แต่วันนี้คงต้องขอสักวัน คบยังไม่ถึงเดือนแช่งให้เลิกกันแล้ว ปากไม่มงคลเลยเพื่อนผม

     “ด่าแบบนี้แสดงว่าไม่ใช่ งั้นมึงเป็นอะไร บอกมาเลยกูขี้เกียจเล่นทายคำถาม”

     “ไม่มีประโยชน์หรอกครับ ผมถามหลายรอบแล้วคุณซนก็ไม่ยอมบอก จนผมขี้เกียจถามแล้ว”

     ที่ผมไม่อยากบอกเพราะรู้ว่าถ้าพูดไปแล้วเพื่อนผมต้องไม่เห็นด้วยแน่นอน นี่มันเรื่องคอขาดบาดตายเลยนะ ผมจะเอามาพูดเล่นไม่ได้

     “มันเป็นความลับขนาดนั้นเลยเหรอ” ผิงหันมาถาม

     “ไม่ใช่ความลับอะไรหรอก”

     “แล้วทำไมไม่ยอมบอก”

     “บอกแล้วเดี๋ยวพวกมึงก็ว่ากู”

     “แปลว่าเป็นเรื่องไม่ดี ยิ่งต้องเล่าเข้าไปใหญ่” ผิงเก็บกระเป๋าสตางค์ของตัวเอง จากที่กำลังจะลุกไปซื้อข้าว เพื่อนผมไม่ค่อยอยากรู้อยากเห็นเท่าไหร่เลย

     “มึงก็พูดเกินไป กูไม่ได้ไปก่อเรื่องที่ไหนซะหน่อย”

     “งั้นมึงก็พูดมาสิ เผื่อกูกับน้องนายจะช่วยอะไรได้ มึงจะได้ไม่ต้องทำหน้าเหมือนหมาโดนรถทับอยู่แบบนี้”

     บางทีผมก็ทึ่งผิงเหมือนกันนะ ไม่รู้มันไปสรรหาคำเปรียบเทียบมาจากไหน แต่ละอย่างดีๆ ทั้งนั้น

     “ก็วันก่อนน่ะสิ” ผมตัดสินใจเล่าให้เพื่อนฟัง คิดในแง่ดีว่าพวกมันอาจช่วยได้จริงๆ ก็ได้

     “วันก่อนทำไม”

     “กูไปคุยกับพี่เต้มา เรื่องที่พี่เขาชอบกู”

     “เหี้ย” ผิงอุทานอย่างลืมตัว ขยับมาใกล้ “มึงไปคุยเมื่อไหร่ ทำไมกูไม่รู้”

     “ก็กูไม่ได้บอก”

     “เดี๋ยวนี้หัดมีความลับนะมึง”

     “คุยกับพี่เต้แล้วเป็นยังไงบ้างครับ” น้องนายพากลับเข้าเรื่องเมื่อเห็นว่าผิงเริ่มออกทะเล

     “ก็ไม่ยังไง กูบอกไปตรงๆ ว่ากูชอบพี่ธาร และเราก็เป็นแฟนกันแล้ว พี่เต้เขาก็เข้าใจ ไม่ได้เศร้าหรือเสียใจ ยังขอบคุณด้วยซ้ำที่กูมาพูดตรงๆ”

     “ก็ดีแล้วนี่หว่า แล้วมึงจิตตกอะไร”

     ผมถอนหายใจเมื่อผิงถามถึงเรื่องถัดไป “ก็พี่ธารน่ะสิ เห็นกูแอบมาคุยกับพี่เต้สองต่อสองเลยโมโหหึงใหญ่ ตั้งนานกว่าจะหาย”

     “คนเป็นแฟนกัน เห็นแฟนไปไหนกับคนที่ชอบแฟนตัวเองก็ต้องหึงปะวะ อย่าบอกนะว่ามึงโกรธที่พี่ธารหึง”

     “เปล่า กูแค่งง”

     “งง?”

     “คุณซนงงอะไรครับ”

     “ก็ไอ้พี่ธารบอกว่าถ้าคราวหน้ามีเหตุการณ์แบบนี้อีกจะลงโทษให้กูลุกไม่ขึ้น”

     “อร๊าย!! กูเขิน พี่ธารเวอร์ชันหึงโหด บุญหูกูมากที่ได้ยินอะไรแบบนี้” ผิงหลับหูหลับตาฟิน มันเขินนำผมที่เป็นเจ้าของเรื่องไปแล้ว แต่สักพักมันก็หยุดกรี๊ด หันมาย่นคิ้วใส่ “ว่าแต่มึงงงอะไรวะ อย่าบอกนะว่ามึงไม่เข้าใจความนัย โธ่เพื่อนกู เอ๋อไม่พอเสือกโง่อีก”

     “กูไม่ได้โง่ กูเข้าใจความนัยที่พี่มันจะสื่อ แต่กูไม่เข้าใจว่าทำไมกูต้องลุกไม่ขึ้น”

     “อะไรของมึง ก็นั่นแหละที่เรียกว่าไม่เข้าใจ” ผิงหันไปหาน้องนาย “มึงเข้าใจที่พี่ธารพูดหรือเปล่า”

     “เข้าใจครับ”

     “เห็นไหม หงิมๆ อย่างน้องนายมันยังเข้าใจเลย กูเพิ่งรู้ว่ามีเพื่อนใสซื่อขนาดนี้”

     “ก็กูบอกว่าเข้าใจไง”

     “มึงไม่เข้าใจ”

     “กูเข้าใจว่าพี่ธารหมายถึงอะไร แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมกูต้องเป็นฝ่ายลุกไม่ขึ้น”

     “ฮะ!?” เพื่อนผมประสานเสียงกันอย่างพร้อมเพรียง แม้แต่น้องนายผู้แสนเรียบร้อยยังหลุดอุทาน ผมได้ยินผิงพึมพำเบาๆ

     “เวรเอ๊ย โลกจะแตกจริงๆ ก็คราวนี้แหละ”

     “เอ่อ...คุณซนอำเล่นใช่ไหมครับ คงไม่ได้คิดอย่างที่พูดจริงๆ ใช่ไหม”

     “กูจะอำมึงเล่นทำไม นี่กูจริงจังมากนะ”

     น้องนายทำหน้าตกตะลึง ไม่ต้องถามถึงผิง รายนั้นอ้าปากค้างแมลงวันบินเข้าปากไปเรียบร้อย

     “ซน กูรู้นะว่ามึงเอ๋อ แต่นี่มันเข้าขั้นบ้าระห่ำแล้วนะ มึงรู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา”

     “ทำไม มึงจะบอกว่ากูควรเป็นฝ่ายลุกไม่ขึ้นหรือไง”

     “กูไม่ได้จะบอก แต่ของแบบนี้มันเห็นๆ กันอยู่แล้ว โอ๊ย อกอีผิงจะแตก กูไม่น่าให้มึงเล่าเลย นี่กูต้องมาได้ยินอะไรแบบนี้จริงเหรอ” ผิงยกมือทึ้งหัวตัวเอง สีหน้าเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก เห็นไหมครับ รู้หรือยังว่าทำไมผมถึงไม่อยากบอกพวกมัน เอะอะจะให้ผมเพลี่ยงพล้ำอย่างเดียว ช่างไม่ยุติธรรม

     “ซน กูไม่รู้นะว่ามึงเอาหัวไปชนอะไรมา แต่มึงต้องเปลี่ยนความคิดเดี๋ยวนี้” ผิงเลิกทึ้งหัว หันมาจับบ่าสองข้างสีหน้าจริงจัง

     “มึงกำลังดูถูกกูนะผิง ของแบบนี้มันอยู่ที่ลีลาไม่ใช่ขนาดตัวโว้ย”

     “ถุย เป็นแค่ไม้ซีกเสือกคิดจะงัดกับไม้ซุง มึงคิดว่าพี่ธารจะยอมมึงเหรอ”

     ผมมุ่ยหน้าเมื่อคิดตามคำพูดผิง เวรแล้วไง ลืมคิดเรื่องนี้ไปสนิทเลย เอาไงดีวะ ดูท่าทางพี่มันแล้วคงไม่เปลี่ยนความคิดง่ายๆ แต่จะให้เข้าใจผิดต่อไปก็ไม่ดี ธารซนอะไรกัน มันต้องซนธารสิ บอกแล้วไงว่าผมไม่ยอมเป็นรับ ไม่มีวันยอมเด็ดขาด

     “ทำไมคุณซนเงียบล่ะครับ หรือเข้าใจสิ่งที่คุณผิงพูดแล้ว” น้องนายทำหน้าโล่งอกเมื่อคิดว่าผมล้มเลิกความคิดแล้ว

     “ให้มันได้อย่างนี้สิ เข้าใจอะไรง่ายเหมือนกันนะมึง”

     “เปล่า กูกำลังหาวิธีทำให้พี่ธารยอม”

     “เหี้ย!”

     “คุณซน...เอาจริงเหรอครับ”

     ผมพยักหน้า ผิงกับน้องนายทำหน้าอ่อนใจกว่าเดิม

     “เออ แล้วแต่มึงเลย กูไม่พูดแล้ว พูดไปก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เปลืองน้ำลายเปล่าๆ” ผิงทรุดตัวลงนั่งท่าทางหมดแรง

     “ผมไม่ได้ดูถูกคุณซนนะครับ แต่ของบางอย่างเราก็ควรปล่อยไปตามธรรมชาติ ไปฝืนมากๆ มันไม่ดี”

     ผมมองค้อนน้องนาย ที่มึงพูดมานั่นแหละเขาเรียกว่าดูถูก ได้ ในเมื่อไม่มีใครเชื่อ ผมก็จะพิสูจน์ให้ดูว่าคนอย่างไอ้ซนก็ไม่น้อยหน้าใครเหมือนกัน คอยดูเถอะพี่ธาร เตรียมตัวเป็นภรรยาของสามีคนนี้ได้เลย





     เสียงกรี๊ดดังกระหึ่มอัฒจันทร์ การันตีความฮอตของนักกีฬาในสนามได้เป็นอย่างดี ผมมาดูพี่ธารเล่นบาสกี่ครั้งก็เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง ฮอตจริงๆ เลยพ่อคุณ

     “พี่ธารของมึงนี่ฮอตปรอทแตกโคตรๆ เลยว่ะ ดูพวกนั้นดิ มีป้ายไฟมาเชียร์ด้วย” ผิงชี้ไปยังอีกฝั่งของอัฒจันทร์ที่มีคนชูป้ายไฟให้กำลังใจพี่ธาร ไม่น่าเชื่อว่าแค่การแข่งบาสเล่นๆ ในกลุ่มจะจริงจังกันขนาดนี้

     “คุณซนไม่ทำแบบนั้นบ้างเหรอครับ ผมว่าพี่ธารคงดีใจตาย”

     “ดีใจอะไรล่ะ เผลอๆ ด่ากูด้วยว่าทำอะไรไม่เข้าท่า” วันนี้พี่ธารมีนัดซ้อมบาสกับเพื่อนต่างคณะ ผมที่เป็นแฟนเลยต้องมาดูเสียหน่อย ผมเอาผิงกับน้องนายด้วยเพราะหนึ่งพวกมันเป็นเพื่อนผม เพื่อนไปไหนต้องไปด้วยกัน สองผิงอยากมาส่องผู้ชาย ผมไม่แน่ใจว่ามันเจาะจงถึงพี่ไกด์หรือพูดไปทั่ว และสามคือเหตุผลสำคัญที่สุด นั่นคือพี่บอนด์บอกให้พาน้องนายมาด้วย ผมว่าหลังจบการแข่งวันนี้ผมจะคุยกับน้องนายจริงๆ จังๆ เสียที พี่บอนด์ทำขนาดนี้มันควรรู้ตัวได้แล้ว

     “พี่ธารอาจจะชอบก็ได้ มึงรู้ได้ไงว่าไม่เข้าท่า” ผิงดูจะติดใจเรื่องที่คุยค้างไว้

     “เชื่อกูสิ กูรู้จักแฟนกูดี พี่ธารไม่ชอบอะไรแบบนั้นหรอก พี่มันบอกเองว่าแค่กูมาเชียร์เฉยๆ ก็ดีใจแล้ว”

     “ค่ะ พ่อคนรู้จักแฟนทุกซอกทุกมุม คบกันไม่เท่าไหร่เรียกแฟนเต็มปากเต็มคำเลยนะ”

     “กูก็เรียกแต่กับพวกมึงนี่แหละ กับคนอื่นกล้าที่ไหน มันยังไม่ชินยังไงไม่รู้ว่ะ” ผมไม่ได้อายที่เป็นแฟนกับพี่ธาร แต่ผมเพิ่งมีแฟนเป็นผู้ชายคนแรกเลยต้องใช้เวลาปรับตัว

     “ขนาดไม่ชินยังคิดจะจับเขากด กูไม่อยากนึกถึงตอนมึงชินแล้วเลย” ผิงยังจิกกัดเรื่องที่คุยกันตอนเช้าไม่เลิก ผมก็แค่พูดไปตามสิ่งที่มันควรเป็น หล่อๆ อย่างผมจะให้เป็นรับได้ไง เสียของที่พ่อแม่อุตส่าห์ให้มาหมด

     “อย่าเพิ่งเถียงกันครับ พี่ธารเรียกแล้ว” น้องนายสะกิดให้ผมมองไปข้างสนาม เพราะมัวแต่คุยกับเพื่อนเลยไม่รู้ว่าการแข่งเข้าสู่ช่วงพักครึ่งแล้ว

     “เหมือนเขาอยากให้เราไปนั่งด้วยกันนะ” ผิงเดาจากท่าทางกวักมือและชี้ไปยังที่นั่งข้างสนามของพี่ธาร

     “ไปได้เหรอวะ”

     “ได้มั้งไม่งั้นจะเรียกทำไม นี่แค่ซ้อมเฉยๆ ไม่ได้แข่งจริงเสียหน่อย”

     “งั้นไปกันเถอะครับ”

     พวกผมเดินลงมาจากอัฒจันทร์ ฝ่าด่านสายตาที่มองมา ผมเกือบลืมไปว่าเป็นแฟนคนฮอตต้องทำใจ ไปไหนก็มีแต่คนมอง เอาเป็นว่าผมจะคิดว่าผมฮอตเหมือนพี่ธารแล้วกัน

     “พวกผมมานั่งนี่จะดีเหรอครับ” ผมรีบถามพี่ธารเพราะตรงนี้มีแต่คนที่ลงแข่งกับพวกที่มาดูแลน้ำท่า

     “ดีสิ ไม่งั้นกูจะให้มาทำไม ถามแปลกๆ นะเอ๋อ”

     ตอบเหมือนเพื่อนผมเป๊ะ รู้แบบนี้ไม่น่าถามเลย เดี๋ยวนี้พี่ธารไม่เหมือนแต่ก่อนแล้วนะครับ ชอบเรียกผมว่าเอ๋อต่อหน้าบุคคลที่สาม บอกว่าเป็นการแสดงความเป็นเจ้าของ เรียกแล้วให้ความรู้สึกพิเศษ พิเศษตรงไหนวะ คนเขาจะเข้าใจผิดว่าผมเอ๋อกันทั้งมหา’ลัยแล้วเนี่ย

     “มาเชียร์พี่ด้วยเหรอ” พี่บอนด์ย่อตัวคุกเข่าตรงหน้าน้องนาย ผมอยากถามออกไปแต่คิดว่าไม่ดีกว่า ได้ข่าวว่าพี่ให้ผมพามันมาเองไม่ใช่เหรอครับ

     “ผมมากับเพื่อนครับ แต่ก็มาเชียร์พี่ด้วยเหมือนกัน”

     “งั้นมาดูแลพี่เพิ่มอีกอย่างก็ได้ใช่ไหม” พี่บอนด์พูดยิ้มๆ ส่งผ้าขนหนูให้เพื่อนผม

     “อะไรครับ”

     “เช็ดให้พี่หน่อย”

     “ไม่ใช่หน้าที่ผมครับ คนดูแลนักกีฬาก็มี” ไอ้น้องนาย กูรู้ว่ามึงไม่คิดอะไร แต่มึงช่วยเพลาๆ ความตรงหน่อยก็ได้

     “อะไร แค่นี้ทำให้ไม่ได้เหรอ พี่ยังอุตส่าห์ดูแลเราตอนป่วยเลย”

     “แต่นั่นมัน...”

     “นะครับ เช็ดให้หน่อย เหงื่อจะเข้าตาแล้ว” พี่บอนด์โน้มหน้ามาใกล้ ผมเห็นน้องนายผงะไปนิดหนึ่ง ก่อนมันจะผงกหัวช้าๆ พร้อมแก้มที่ขึ้นสีเล็กน้อย ผมถึงกับยกมือขยี้ตาทันที

     น้องนายเขินพี่บอนด์!! นี่ถือเป็นข่าวเด็ดประจำกลุ่มผมเลยนะ เอาแล้วโว้ยคู่นี้มีหวังแล้ว สงสัยเร็วๆ นี้ต้องมีข่าวดีแน่นอน

     “มองคนอื่นอยู่ได้ ไม่รู้หน้าที่เลยนะมึง”

     “หือ?” ผมหันกลับมาทำหน้าเอ๋อใส่คนตรงหน้า หน้าที่อะไรวะ

     พี่ธารโยนผ้าขนหนูมาใส่มือผม ย่อตัวลงแบบเดียวกับพี่บอนด์

     “…”

     “ยังไม่เช็ดอีก เร็วๆ สิเอ๋อ เดี๋ยวก็หมดพักแล้ว”

     ผมชี้ไปยังพี่บอนด์ที่มีน้องนายซับเหงื่อให้อยู่ “ขอแบบนั้นบ้างดิ” ความหมายของผมคืออยากให้พี่ธารขอแบบอ้อนๆ เหมือนพี่บอนด์บ้าง มันคงชวนให้รู้สึกดีไม่น้อย

     “เล่นตัวนักนะมึง อย่าเรื่องมากรีบๆ เช็ดให้กูได้แล้ว ดูแลให้สมกับเป็นแฟนหน่อย”

     ครับ ผมลืมไปได้ไงว่านี่คือพี่ธาร ผู้ชายหล่อเสียของที่มีดีแค่หน้าตาอย่างเดียว จะหวังให้มาอ้อนพูดจาเพราะๆ คงเป็นไปไม่ได้

     ผมเอื้อมมือไปซับเหงื่อบนหน้าผาก ตามไรผมและขมับ เอาเถอะครับ ผมจะถือว่าซ้อมไว้เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับชีวิตคู่ในอนาคต สามีที่ดีควรดูแลภรรยาไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม

     “เช็ดแขนด้วย”

     “ครับๆ” คนสั่งก็สั่งไปสิ ไม่ได้สนเลยว่าคนอื่นจะมองมาแค่ไหน ต่อมความรู้สึกพังเหรอวะถึงไม่เขินอะไรเลย

     “สวีทกันเกินไปแล้วนะคะ เห็นใจคนโสดบ้าง” ผิงร้องโอดโอยเมื่อมันเป็นคนเดียวที่ไม่มีคนให้เช็ดเหงื่อ

     “ผมไม่ได้สวีทกับพี่บอนด์ครับ” น้องนายทักท้วงขึ้นมา แต่ผิงทำหูทวนลม สอดส่ายตาไปทั่วก่อนหยุดที่พี่ไกด์

     “ผิงเช็ดให้ไหมคะพี่ไกด์ บริการฟรีไม่คิดเงิน แถมหัวใจดวงน้อยๆ ให้ด้วย”

     ดูเหมือนโปรโมชันเพื่อนผมจะดึงดูดน้อยไปหน่อย เพราะพี่ไกด์เอาแต่ยิ้มแหย ทำหน้าสยองไม่กล้าเดินเข้ามา แต่ผมเข้าใจนะครับ เพื่อนผมจ้องแทบทะลุผ้าขนาดนั้น ผู้ชายคนไหนไม่กลัวผมให้ถีบ

     “เสร็จแล้วครับ” ผมพูดหลังใช้มือสางเข้าไปในกลุ่มผมเพื่อจัดทรงให้เรียบร้อย พี่ธารขยับตัว ผมนึกว่าพี่มันจะยืนขึ้น แต่อีกฝ่ายกลับโน้มหน้ามาใกล้ โดยไม่ทันตั้งตัวริมฝีปากหนาก็แตะลงมาบนปากผม

     ผมนั่งนิ่งเหมือนถูกใครสตัฟฟ์ไว้ รอบข้างต่างมองมากันหมด พี่ธารที่เห็นรีแอคชันผมจุดยิ้มพอใจ วางมือลงบนหัวแล้วโยกเบาๆ

     “กูอ้อนใครไม่เก่ง เอารางวัลไปแทนแล้วกัน รางวัลนี้ LIMITED EDITION มากนะ ทั้งมหา’ลัยมีมึงได้คนเดียว”

     พี่ธารยักคิ้วให้ผม ส่งยิ้มชวนละลายให้ ก่อนเดินกลับไปในสนามเมื่อหมดเวลาพัก ผิงเข้ามาเขย่าแขนผม มันเพ้ออะไรบ้างผมไม่ได้ยินสักนิด ตอนนี้ผมได้ยินแต่เสียงหัวใจตัวเอง หัวใจที่เต้นโครมครามจนกลบเสียงรอบข้างไปหมด

     ผมค่อยๆ ยกมือแตะปาก สัมผัสอุ่นๆ ยังคงตราตรึงในความรู้สึก ผมลูบไล้ริมฝีปากตัวเองเบาๆ คำถามที่ค้างคาอยู่ในใจ ดูเหมือนตอนนี้ผมจะได้คำตอบแล้ว

     ปากพี่ธารนุ่มมาก แถมยังชวนให้รู้สึกดีมากอีกด้วย ทั้งที่พี่ธารก้มมาแตะปากไม่ถึงวินาที ทั้งที่มันเรียกว่าจูบไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่กลับทำให้ผมตกอยู่ในภวังค์ ถอนตัวจากความรู้สึกวาบหวามนี้ไม่ได้เลย

     อืม...สมกับเป็นรางวัล LIMITED EDITION จริงๆ แฮะ



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter : earthxxide

     Fanpage : Earthxxide
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-05-2023 19:51:11 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 729
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 27
ความเป็นไปได้


     -น้องนาย-

     พักหลังมานี้ผมรู้สึกว่าพี่บอนด์เปลี่ยนไป มักจะทำอะไรแปลกๆ อย่างตอนนี้พี่บอนด์กำลังขับรถ แต่กลับดึงมือผมไปวางบนตัก ลูบหลังมือเบาๆ จะชักมือกลับก็ไม่ยอม

     “ขับรถมือเดียวมันอันตรายนะครับ” นี่เป็นประโยคที่ผมพูดมาสามรอบแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับไม่สนใจฟัง ยังคงจับมือผมอยู่อย่างนั้น

     “พี่บอนด์”

     “ครับ”

     “ผมบอกว่าขับรถมือเดียวมันอันตรายครับ”

     “ไม่เห็นอันตรายเลย นี่พี่ก็ขับได้ไม่ได้พาเราลงข้างทาง” ร่างสูงพูดอย่างสบายๆ ผมเลยได้แต่ทอดถอนใจ เอาเถอะครับ เจ้าของรถพูดอย่างนั้นก็คงต้องปล่อยเลยตามเลย อยากจับมือผมนักก็ตามใจ จับให้พอใจเลย

     มาคิดๆ ดู ผมว่าพี่บอนด์น่าจะเป็นคนติดสกินชิพ อีกอย่างที่แปลกคือพี่บอนด์ชอบจับมือโอบไหล่ผมบ่อยๆ เรียกว่าอยู่ด้วยกันเมื่อไหร่ต้องสัมผัสตัวผมตลอด ผมไม่คิดอะไรเลยไม่ได้ว่าอะไร พี่เขาอยากทำอะไรก็ปล่อยให้ทำ

     ใช่ครับ ผมไม่คิดอะไร แต่ดูเหมือนเพื่อนผมจะคิด คิดเยอะเกินไปด้วย

     ผมหวนนึกถึงบทสนทนาระหว่างผมกับเพื่อนๆ ตอนที่การแข่งบาสจบลงและพวกเรากำลังยืนรอพี่ๆ ไปเปลี่ยนชุด





     “น้องนาย ฟังกูนะ”

     “ครับ ผมฟังอยู่” ผมบอกคุณซนที่จู่ๆ ก็เปลี่ยนมาทำหน้าจริงจัง

     “มึงรู้ตัวไหมว่าตอนนี้กำลังมีคนชอบมึง”

     “ผม!?” ผมหน้าเหลอหลา ไม่นึกว่าคุณซนจะพูดประโยคสุดเหลือเชื่อออกมาเวลานี้ จุ๊บพี่ธารทำเพื่อนผมสมองเบลอเหรอ อะไรทำให้คุณซนคิดแบบนั้น

     “เออ มึงนั่นแหละ ทีแรกกูกับผิงไม่อยากยุ่ง แต่เห็นมึงไม่รู้ตัวเสียทีเลยต้องสะกิดหน่อย บอกตรงๆ กูสงสารพี่บอนด์”

     “พี่บอนด์เกี่ยวอะไรด้วยครับ”

     “ก็คนที่ชอบมึงคือพี่บอนด์ไง ทีนี้รู้ตัวยัง” คุณผิงเป็นคนตอบคำถาม สีหน้าเหมือนทนไม่ไหวกับความไม่รู้เรื่องรู้ราวของผม

     “พี่บอนด์ชอบผม? อ๋อ ผมรู้อยู่แล้วครับ ผมเป็นคนบอกเอง”

     “ไอ้น้องนาย มึงช่วยโยนความคิดนั่นทิ้งไปก่อน กูหมายถึงชอบแบบคนรัก ชอบแบบจับจูบลูบคลำได้ ไม่ใช่แบบพี่น้องโว้ย”

     “…”

     “…”

     “หือ!? พี่บอนด์เนี่ยนะครับชอบผมแบบนั้น!!”

     คุณผิงกับคุณซนทำหน้าเหนื่อยใจกับความรู้สึกช้าของผม

     “กูเชื่อแล้วว่ามันไม่รู้จริงๆ ตาแทบถลนออกมานอกเบ้า”

     “คุณผิงดูซีรีส์วายเยอะไปหรือเปล่าครับ ผมไม่ว่าถ้าอยากจิ้นพี่บอนด์กับผู้ชาย แต่ให้มาจิ้นกับผมนี่ไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่เลยนะครับ”

     “จิ้นบ้านอากงมึงสิ ใครมองเขาก็รู้กันทั้งนั้นว่าพี่บอนด์ชอบมึง มีแต่มึงนั่นแหละที่ไม่รู้”

     “แต่...แต่ผมเป็นผู้ชายนะครับ”

     “ไอ้ซนเป็นผู้ชายพี่ธารยังชอบได้เลย มันขี้เหร่กว่ามึงด้วย”

     “อ้าวไอ้นี่ ไหงจู่ๆ มาแว้งกัดกูวะ” คุณซนโวยวาย แต่คุณผิงหาได้สนใจไม่ ยังคงเดินหน้าป้อนข้อมูลอันน่าเหลือเชื่อใส่สมองผมต่อไป

     “สรุปคือพี่บอนด์ชอบมึง และตอนนี้เขาก็กำลังจีบมึง ที่บอกนี่ไม่ใช่อะไร แค่อยากให้มึงรู้ตัวซะที กูรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ควรเสือก แต่เพราะเป็นมึงกูถึงต้องบอก ไม่งั้นต่อให้พี่บอนด์จีบทั้งชาติมึงก็ไม่รู้หรอก”

     “เขาอาจไม่ได้จีบผมก็ได้ครับ คุณผิงคิดมากเกินไปหรือเปล่า”

     “กูพูดขนาดนี้ยังไม่เชื่อ งั้นมึงไปถามเขาเองเลยแล้วกัน สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น วันนี้มึงสงสัยอะไรถามเขาไปให้หมดเลย พวกกูจะได้เลิกลุ้นซะที”





     ถึงคุณผิงจะพูดแบบนั้นแต่ผมก็ไม่เห็นความจำเป็นต้องถามอยู่ดี คนอย่างพี่บอนด์ไม่มีทางชอบผมอยู่แล้ว จริงอยู่ที่ตอนเกิดเรื่องพี่ธารกับพี่เต้คุณผิงพูดถูกทุกอย่าง ไหนจะตอนคุณซนสับสนในตัวเองอีก จนผมกับคุณซนแอบตั้งฉายาให้คุณผิงลับๆ ว่าผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน แต่เรื่องนี้คุณผิงอาจพูดผิดก็ได้ ผมกับพี่บอนด์ ดูยังไงก็ไม่เห็นความเป็นไปได้เลย

     “เรากำลังจะไปไหนครับ” ผมหันไปถามร่างสูง ทางที่พี่บอนด์พามาผมไม่คุ้นเลย

     “ไปทานข้าว”

     “อ๋อครับ” ผมตอบรับในลำคอ ไม่นึกสงสัยอะไรอีก พี่บอนด์เองก็ไม่พูดอะไร เพียงแค่ขับรถพร้อมกับกุมมือผมไปตลอดทาง

     ผมหันกลับมามองตรง พยายามทบทวนความรู้สึกที่ผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร บอกแล้วว่าพักหลังมานี้พี่บอนด์ชอบทำอะไรแปลกๆ แล้วสิ่งที่เขาทำก็ดันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ เช่นกัน มันไม่ใช่คำว่าไม่ชอบ ไม่คล้ายคำว่าอึดอัด แต่มันเหมือนคำว่า...รู้สึกดี

     ผมเหลือบไปมองคนข้างๆ อีกครั้ง มองมือของเราสองคนที่จับกันอยู่ ผมกำลังรู้สึกดีเพราะไออุ่นจากมือพี่บอนด์เหรอ อืม...เป็นคำถามที่ตอบยากจัง





     ผมนึกว่าพี่บอนด์จะพาไปร้านอาหาร แต่เขากลับทำสิ่งที่ผมนึกไม่ถึง นั่นคือการพามาคอนโดฯ ผมยืนนิ่งอยู่หน้าห้อง ได้แต่มองเจ้าของห้องที่เดินเข้าไปก่อน พี่บอนด์หันมามองพลางเลิกคิ้ว
“ไม่เข้ามาเหรอ”

     “ไหนพี่บอกว่าจะพาผมไปทานข้าวไงครับ”

     “แล้วที่นี่ทานข้าวไม่ได้เหรอ พี่ว่าห้องพี่มีโต๊ะกินข้าวนะ”

     “…” อึ้งสิครับ ใครจะไปคิดว่าจะได้คำตอบแบบนี้ เล่นเอาผมไปไม่ถูกเลยทีเดียว

     “วันนี้พี่เหนื่อย ไม่อยากทานข้าวนอกบ้าน อยากกลับมาพักผ่อนห้องตัวเอง”

     “ถ้างั้นผมกลับเลยก็ได้ครับ พี่บอนด์จะได้พักผ่อน เดี๋ยวผมหาอะไรทานแถวหอก็ได้”

     คนตัวสูงไม่ตอบอะไร แต่เดินมาจูงมือผมให้เข้าไปในห้อง เหมือนกลัวว่าผมจะกลับจริงๆ

     “ลืมแล้วเหรอว่าพี่ขี้เหงา เราไม่อยู่แล้วพี่จะทานข้าวกับใคร”

     อ่า...ผมลืมไปได้ยังไงว่าผู้ชายคนนี้ขี้เหงาสุดๆ จะทานข้าวทีต้องมีเพื่อน เป็นคนที่รูปลักษณ์ภายนอกขัดกับนิสัยจริงๆ

     พี่บอนด์พาผมเข้ามาในห้องๆ หนึ่ง ผมเดาว่าเป็นห้องนอนเพราะมีเตียงกับตู้เสื้อผ้า ผมชี้ไปที่โซฟาหน้าห้อง บอกเป็นนัยว่าผมนั่งตรงนั้นก็ได้ แต่พี่บอนด์ก็ยังจะให้ผมอยู่ในห้องนี้อยู่ดี ตกลงผมสนิทกับพี่บอนด์ถึงขั้นเข้าห้องนอนพี่เขาได้แล้วใช่ไหม

     “อยากทานอะไรก็สั่ง คุยเสร็จแล้วส่งโทรศัพท์มา เดี๋ยวพี่บอกที่อยู่ให้” พี่บอนด์ส่งโทรศัพท์ให้ผมก่อนหันไปหยิบเสื้อผ้าในตู้

     “ปลดล็อกให้ผมก่อนสิครับ”

     “จำรหัสไม่ได้เหรอ”

     “หือ? พี่บอนด์ยังใช้รหัสเดิมอยู่เหรอครับ”

     “ใช่ ทำไมต้องเปลี่ยนด้วยล่ะ”

     ยังจะมาถาม ก็เพราะผมรู้รหัสแล้วไงถึงควรเปลี่ยน พี่บอนด์ไม่กลัวว่าผมจะแอบเอาโทรศัพท์ไปทำเรื่องไม่ดีเลยเหรอ อะไรจะไว้ใจผมขนาดนั้น

     ผมกรอกรหัสเพื่อปลดล็อกโทรศัพท์ เปิดดูเมนูเดลิเวอรี่ พอสั่งของตัวเองเสร็จก็หันไปถามเจ้าของห้องที่กำลังถอดเสื้อผ้า

     “พี่บอนด์ทานอะไรครับ”

     “อะไรก็ได้เลือกมาเถอะ เหมือนเราก็ได้” พี่บอนด์ตอบกลับมาในสภาพผ้าเช็ดตัวผืนเดียว ผมเลือกให้ไม่ถูกเลยสั่งเหมือนตัวเองให้ตามที่เจ้าตัวบอก ผมส่งโทรศัพท์คืนหลังทุกอย่างเรียบร้อย พอพี่บอนด์บอกที่อยู่เสร็จก็เดินไปเข้าห้องน้ำโดยบอกให้ผมรออยู่ในห้องนี้

     “ผมนั่งบนเตียงได้ไหมครับ” ผมตะโกนถามคนในห้องน้ำเพราะในห้องไม่มีที่นั่งอื่นแล้ว หลังได้รับอนุญาตก็นั่งลงที่ปลายเตียง ผมยกมือกุมหน้าอกตัวเอง อีกข้างยกมาจับแก้ม ทำไมจู่ๆ ผมถึงใจเต้นแรงล่ะ แล้วทำไมผมถึงรู้สึกร้อนที่แก้ม แอร์ห้องพี่บอนด์ก็ออกจะเย็น นี่ผมเป็นอะไร





     “ทำไมมีสองถาด” พี่บอนด์ถามตอนที่ผมวางถาดพิซซ่าที่เพิ่งมาส่งลงตรงหน้า

     “ก็ผมสั่งมาสองถาดนี่ครับ”

     “หิวมากเลยเหรอ” สายตาที่มองมาประหลาดใจเล็กน้อย คงกำลังนึกว่าตัวเล็กๆ อย่างผมทำไมถึงกินจุ

     “เปล่าครับ อีกถาดผมสั่งมาให้พี่บอนด์”

     “…”

     “ผมกับพี่บอนด์ คนละถาดไงครับ”

     “…”

     “ก็พี่บอกว่าเอาเหมือนผม ผมเลยสั่งพิซซ่ามาให้ พี่บอนด์ เอ่อ...ไม่ชอบทานพิซซ่าเหรอครับ” ท้ายประโยคผมมีความไม่แน่ใจ ยิ่งพูดหน้าพี่บอนด์ยิ่งเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง ผมผิดเองที่ไม่ถามก่อนว่าพี่บอนด์ทานได้ไหม ถึงเขาจะบอกเองว่าให้สั่งเหมือนผม แต่คนออกเงินคือพี่บอนด์ อย่างน้อยผมก็ควรถามสักนิดไม่ใช่สั่งมาตามใจตัวเอง

     “ผมจะลองส่งคืนดูครับ จะบอกว่าสั่งผิดหน้า หรือถ้าไม่ได้เดี๋ยวผมคืนเงินให้สองถาดเลยครับ” ถึงผมจะไม่ชอบโกหกเท่าไหร่แต่ครั้งนี้คงต้องยอมทำ ผมหยิบโทรศัพท์เตรียมทำอย่างที่พูด แต่ร่างสูงกลับยื่นมือมาห้าม

     “จะคืนทำไม”

     “ก็พี่บอนด์ไม่ชอบพิซซ่า...” ผมกะพริบตาปริบเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็ค่อยๆ คลี่ยิ้ม ก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะกลายเป็นเสียงหัวเราะ เล่นเอาผมตามไม่ทัน

     “โทษที พี่พยายามแล้วแต่มันกลั้นไม่อยู่” คนตัวสูงพูดกลั้วหัวเราะ ยิ่งฟังผมก็ยิ่งงง

     “พี่บอนด์ขำอะไรครับ”

     “ขำเด็กซื่อ”

     “เด็กซื่อ? ผมเหรอครับ?”

     พี่บอนด์ไม่ตอบแต่วางมือลงบนศีรษะ แต่แค่ดวงตาขำที่มองมาก็แทนคำตอบได้แล้ว

     “บอกให้สั่งเหมือนตัวเองก็สั่งจริงๆ ลืมนึกล่ะสิว่าพิซซ่าถาดนึงเยอะแค่ไหน ทานถาดเดียวกันก็ได้”

     พอได้ยินอย่างนั้นผมก็ได้แต่ยิ้มแห้ง รู้แล้วว่าทำไมพี่บอนด์ถึงเรียกผมว่าเด็กซื่อ อันที่จริงผมว่ามันควรมีต่อนะ ไม่ใช่ซื่อเฉยๆ แต่เป็นซื่อบื้อ

     “ผมลืมนึกไป ขอโทษนะครับ พี่บอนด์เลยต้องเสียเงินเพิ่ม”

     “ไม่เป็นไร อีกถาดพี่ให้เราเอากลับไปทาน ชอบพิซซ่าเหรอ”

     “ชอบครับแต่ไม่ขนาดนั้น บอกแล้วไงว่าผมชอบของอร่อย อะไรอร่อยผมชอบหมด ไม่ได้เจาะจงเป็นพิเศษ”

     พี่บอนด์หัวเราะเสียงดังเหมือนคำพูดผมมันน่าขำมากมาย ก่อนจะหันมาสบตากับผมอีกครั้ง ริมฝีปากจุดยิ้มเจ้าเล่ห์

     “พี่ก็อร่อยนะ ไม่สนใจชอบพี่บ้างเหรอ”

     ถ้าเป็นปกติผมคงเอียงคองง ถามกลับไปว่าพี่บอนด์ไม่ใช่อาหารจะอร่อยได้ไง แต่ผมในตอนนี้เพิ่งถูกคุณผิงกับคุณซนเป่าหูมา เลยเผลอเข้าใจว่าประโยคนั้นมีความหมายแฝง ผมจึงไม่รู้ว่าควรทำหน้าอย่างไรหรือพูดอะไรดี

     “พี่ล้อเล่น ไม่ต้องตะลึงขนาดนั้นก็ได้” คำพูดพี่บอนด์พาให้ผมยิ้มออก หลุดพ้นจากสีหน้าปั้นยาก พวกคนหล่อเขาล้อเล่นกันแรงขนาดนี้เลยเหรอ ดีนะที่เป็นผม ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นคงเป็นลมไปแล้ว

     เราสองคนนั่งทานพิซซ่าด้วยกัน ระหว่างนั้นผมก็ถือวิสาสะมองไปรอบๆ ห้องของพี่บอนด์เป็นห้องชุด ลักษณะเปิดเป็นพื้นที่โล่งระหว่างห้องรับแขก ห้องครัวและโต๊ะอาหาร มีเพียงห้องนอนกับห้องน้ำที่เป็นส่วนตัว นอกนั้นจะใช้เฟอร์นิเจอร์กำหนดสัดส่วนพื้นที่

     “ห้องพี่บอนด์สวยจังครับ” ผมเอ่ยชมตามที่รู้สึก ผมเคยคิดอยากอยู่ห้องหรูหราแบบนี้ แต่เพราะเกรงใจพ่อแม่เลยได้แต่เช่าหอพักราคาถูก คิดเสียว่าเอาแค่พออยู่ได้ ไม่โกโรโกโสเกินไปก็พอ

     “ห้องพี่สวยแล้วน่าอยู่ไหม”

     “ก็ต้องน่าอยู่สิครับ ทำไมถามแปลกๆ อย่างนั้นล่ะครับ”

     พี่บอนด์ชะโงกหน้ามาใกล้ ดวงตาเต้นระยิบระยับ รอยยิ้มอ่อนๆ แตะแต้มบนมุมปาก “ถ้าน่าอยู่ ก็มาอยู่ด้วยกันสิ”

     “พี่บอนด์...เอ่อ...ล้อเล่นอีกแล้วนะครับ” ผมได้แต่หัวเราะเสียงแห้ง ทั้งที่ภายในอกเต้นโครมครามเหมือนกลองรัว อีกแล้ว ทำไมวันนี้เกิดเหตุการณ์แปลกๆ กับผมบ่อยจัง

     “พี่ดูเหมือนล้อเล่นเหรอ”

     “หรือพี่จะบอกว่าอยากให้ผมมาอยู่ด้วยจริงๆ”

     “ถ้าตอบว่าใช่ล่ะ”

     ผมค่อยๆ หุบยิ้ม จ้องมองคนที่กำลังมองมา พี่บอนด์กำลังยิ้มก็จริง แต่สายตานั้นไม่มีแววล้อเล่นแม้แต่น้อย หลังสบตาอยู่สักพักผมจึงถามออกไปด้วยความสงสัย

     “พี่บอนด์ชอบผมเหรอครับ” อย่าคิดว่าผมใจกล้านะครับ ปกติใครจะกล้าถามแบบนี้กับคนที่ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ที่ผมถามเพราะพอเอาคำพูดของเพื่อนมารวมกับพฤติกรรมแปลกๆ ของพี่บอนด์ในช่วงที่ผ่านมา ถึงจะน่าเหลือเชื่อแต่มันก็มีความเป็นไปได้

     คนถูกถามเพียงแค่เลิกคิ้ว หลังจากนั้นก็ขยับหน้าออกไป ยกมือกุมท้องแล้วหัวเราะ ท่าทางที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นทำเอาผมมึนงง ไม่แน่ใจว่าตัวเองพูดอะไรผิดหรือเปล่า

     “พี่บอนด์หัวเราะอะไรครับ”

     “หัวเราะเด็กความรู้สึกช้า” ร่างสูงตอบกลับมาหลังจากหยุดขำแล้ว ผมมุ่ยหน้าเล็กน้อย เมื่อกี้ให้ผมเป็นเด็กซื่อ ตอนนี้ให้เป็นเด็กความรู้สึกช้า ทำไมให้ผมเป็นแต่ละอย่างดีๆ ทั้งนั้น แล้วผมความรู้สึกช้าตรง...

     !!!

     “หึๆ” เสียงขำในลำคอดังขึ้นเมื่อผมเบิกตากว้าง พี่บอนด์วางมือบนหัวผม ดวงตาฉายแววขบขัน “รู้ตัวสักทีนะ นึกว่าต้องจีบไปตลอดเสียอีก”

     คำพูดพี่บอนด์ช่วยยืนยันว่าสิ่งที่ผมคิดเป็นความจริง ผมนั่งนิ่ง ได้แต่มองอีกคนอย่างตกตะลึง เนิ่นนานกว่าผมจะหาเสียงตัวเองเจอ ถามกลับไปด้วยเสียงอันแผ่วเบาอย่างไม่อยากจะเชื่อ

     “พี่บอนด์ชอบผม...จริงเหรอครับ”

     “จริงสิ” คนตรงหน้าชะโงกมาใกล้อีกครั้ง แต่คราวนี้เหมือนจะใกล้กว่าเดิม “พี่ชอบเรา เท่านี้ชัดพอไหม”

     ผมผละหน้าออกด้วยความตกใจ พี่บอนด์กระตุกยิ้ม ถอยกลับไปนั่งที่ตัวเอง มองมาด้วยสายตาแพรวพราว

     “พี่บอนด์เข้าใจที่ผมถามหรือเปล่าครับ ผมหมายถึงชอบแบบคนรัก ไม่ใช่พี่น้องหรือเพื่อนนะครับ”

     “พี่ชอบเราแบบคนรักมาตลอด มีแต่เรานั่นแหละที่เข้าใจผิดอยู่คนเดียว เพราะแบบนี้ถึงเรียกว่าเด็กความรู้สึกช้าไง”

     ดีที่เสียงพูดนั้นทุ้มต่ำอ่อนโยน ผมจึงรู้ว่าคนพูดกำลังเอ็นดูไม่ใช่เหน็บแนม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังทำตัวไม่ถูกอยู่ดี

     “ผม...คือผม...”

     “ไม่ต้องตอบก็ได้ พี่ไม่ได้เร่งรัดเอาคำตอบ ที่พูดเพราะเราถามขึ้นมา”

     “แต่ผมเป็นผู้ชาย”

     “พี่รู้ ใส่ชุดนักศึกษาชายขนาดนี้ มองไม่ออกก็ตาบอดแล้ว”

     ผมเผลอส่งค้อนให้คนตรงหน้า มันใช่แบบนั้นที่ไหนเล่า ที่ผมหมายถึงคือผมเป็นผู้ชายเหมือนกัน แล้วพี่บอนด์จะมาชอบได้ไง

     “พี่รู้ว่านายหมายถึงอะไร แต่พี่ไม่อยากให้ใส่ใจ มันไม่สำคัญว่าเราเป็นเพศอะไร สำคัญแค่ว่าพี่อยู่กับเราแล้วสบายใจ มีความสุข ยิ้มได้หัวเราะได้ และถ้าเป็นไปได้พี่ก็อยากให้นายรู้สึกอย่างนั้นกับพี่เหมือนกัน” พี่บอนด์ดึงมือผมไปจับ ดวงตาคู่นั้นจริงจังจนผมไม่คิดว่ากำลังโกหก

     “ไหนๆ ก็พูดแล้วขอพูดชัดๆ เลยแล้วกัน ขออนุญาตจีบนะครับ ว่าไง ตกลงไหม”

     “ผม...ผม...”

     “ตอบไม่ถูกเหรอ งั้นเอาใหม่ พี่จะค่อยๆ ถาม เราแค่ตอบตามที่รู้สึก ไม่ต้องคิดอะไรเยอะแยะ ตกลงไหมครับ”

     ผมพยักหน้า ก้มหน้างุดไม่กล้าสบตา โชคดีที่พี่บอนด์เข้าใจความรู้สึกผม จึงไม่ต้องอธิบายให้เขินอายไปกว่านี้

     “นายรังเกียจพี่ไหม”

     “ไม่ครับ” คำถามนี้ผมไม่จำเป็นต้องคิด ถ้ารังเกียจผมจะมาอยู่ที่นี่เหรอ

     “คิดว่าพี่ดีพอจะดูแลใครได้หรือเปล่า”

     “ได้ครับ” นี่ก็ไม่ต้องคิดอีกเช่นกัน เท่าที่รู้จักกันมาพี่บอนด์ไม่ได้มีดีเพียงหน้าตา แต่นิสัยยังดีอีกด้วย

     “คิดว่าพี่เจ้าชู้ ชอบทำให้แฟนเสียใจไหม”

     คำถามนี้ผมจำเป็นต้องหยุดคิด ก่อนหน้านี้ผมไม่รู้จักพี่บอนด์ หลังรู้จักก็ไม่เคยเห็นเขาควงผู้หญิงคนไหน ผมจึงไม่รู้ว่าในแง่ของคนรักพี่บอนด์เป็นคนอย่างไร แต่ถ้าเดาจากนิสัยแล้ว...

     “ผมคิดว่าพี่บอนด์ไม่ใช่คนแบบนั้นครับ” ผมตอบออกไปตามที่คิด พี่บอนด์ยิ้มขอบคุณ

     “คำถามสุดท้าย คำถามนี้พี่ไม่รีบเอาคำตอบ แต่จะให้เราเก็บไปคิด” พี่บอนด์ดึงมือผมไปชิดริมฝีปาก กดจูบบนหลังมือเบาๆ “อยู่กับพี่แล้วมีความสุขไหม รู้สึกดีกับพี่บ้างหรือเปล่า”

     “ผม...”

     “อย่าเพิ่งตอบ ค่อยๆ คิดไปเรื่อยๆ ระหว่างนี้พี่จะทำให้เราเห็นเอง พร้อมเมื่อไหร่ค่อยบอก ขออย่างเดียวคืออย่าปิดกั้นตัวเอง ให้โอกาสพี่แสดงความจริงใจ พี่ขอแค่นี้ นายรับปากพี่ได้ไหม”

     “…ครับ ผมรับปาก”

     “ขอบคุณครับ”

     ผมมองรอยยิ้มของพี่บอนด์ มันเป็นรอยยิ้มที่ผมมักจะชินตา แต่วันนี้กลับให้ความรู้สึกต่างออกไป จนถึงตอนนี้ผมยังไม่อยากเชื่อว่าพี่บอนด์จะชอบผม เราสองคนต่างกันในทุกๆ ด้าน เหมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันมาบรรจบกัน ผมคิดอย่างนั้นมาตลอด แต่พี่บอนด์ก็ทำให้ผมรู้ว่าเรื่องบางเรื่องก็เกิดขึ้นได้ต่อให้ความเป็นไปได้จะน้อยแค่ไหนก็ตาม พี่บอนด์ที่เป็นที่หมายตาของสาวๆ ทั้งมหา’ลัย กับผมผู้ซึ่งใช้ชีวิตจืดชืดไปวันๆ ความเป็นไปได้ที่พี่บอนด์จะชอบผมเกิดขึ้นแล้ว แต่ความเป็นไปได้ที่ผมจะชอบพี่บอนด์มีมากน้อยแค่ไหน ผมจำเป็นต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง

     ช่วยรอผมหน่อยนะครับพี่บอนด์ รอเด็กความรู้สึกช้าคนนี้สักนิด แล้วเมื่อถึงเวลานั้น ไม่ว่าคำตอบจะออกมายังไง ผมจะพูดอย่างตรงไปตรงมาให้สมกับความจริงใจของพี่แน่นอน



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter : earthxxide

     Fanpage : Earthxxide
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-05-2023 02:42:45 โดย earthxxide »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 27] ✪ 28/05/2023
« ตอบ #69 เมื่อ: 28-05-2023 18:25:32 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 729
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 28
แผนการอันแยบยล


     “ไม่ไหวแล้ว” ผมไถลหน้าลงไปบนโต๊ะกระจก ไม่สนว่าจะมีชีทวางอยู่หรือไม่ นาทีนี้ผมต้องการนอน นอนอย่างเดียวเท่านั้น

     “อีกนิดเดียวครับคุณซน สู้ๆ”

     “มึงสู้ไปคนเดียวเถอะ ฝากสู้เผื่อด้วย ขอกูงีบเอาแรงก่อน”

     “ไอ้ซนอย่ามาขี้เกียจ อยากติดเอฟวิชานี้เหรอ มึงก็รู้ว่าข้อสอบอาจารย์บงกตโหดหินขนาดไหน กัดฟันให้จบๆ ไปดีกว่า” ผิงผู้ขยันที่สุดในกลุ่มพูดเตือนสติไม่ให้ผมท้อ แต่จริงๆ ผมว่ามันน่าจะขยาดมากกว่าขยัน ชื่อเสียงอาจารย์บงกตเลื่องลือในหมู่นักศึกษาปีสองมาก ไม่มีใครอยากเรียนซ้ำกับแกถ้าไม่จำเป็น เพราะแค่เทอมเดียวก็ทรมานพอแล้ว

     “เอ้า กินเข้าไป ตาจะได้สว่าง” ผิงดันแก้วกาแฟมาตรงหน้า ผมรับมาดูดโดยหวังว่ามันจะช่วยให้ตาสว่างได้จริงๆ วันนี้พวกผมมาติวหนังสือกันที่ร้านกาแฟแถวหอน้องนาย ช่วงเทศกาลสอบร้านนี้จะเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงให้นักศึกษาเข้ามาจับจองพื้นที่อ่านหนังสือ

     ผมวางแก้วกาแฟ ยกมือตบแก้มสองสามทีเพื่อไล่ความง่วงงุน น้องนายที่เห็นผมกลับมานั่งหลังตรงเหมือนเดิมเริ่มอธิบายเนื้อหาอีกครั้ง โดยมีผมกับผิงที่วันนี้กลายร่างเป็นนักเรียนนั่งฟังอย่าง (พยายาม) ตั้งใจ

     ในกลุ่มผมน้องนายฉลาดที่สุดแล้ว มันเป็นคนเดียวที่ตั้งใจฟังอาจารย์ในคาบเรียน ดังนั้นเวลาใกล้สอบมันจึงเปรียบเสมือนความหวังของผมกับผิง แต่ฉลาดแค่เรื่องเรียนนะครับ เรื่องอื่นโง่ฉิบหาย ไม่ต้องดูอื่นไกล ดูเรื่องพี่บอนด์ก็พอ กว่ามันจะรู้ตัวว่าพี่บอนด์ชอบก็ปาเข้าไปนานโข ถ้าเป็นคนอื่นป่านนี้คงคบจนหมั้นหมายกันไปแล้ว

     ผมนั่งถ่างตาฟังน้องนายพล่ามเนื้อหาการเรียน พยายามไม่หลับกลางอากาศอยู่นาน จนกระทั่งน้องนายพูดว่าพอแค่นี้ก่อนผมแทบกระโดดร้องเฮลั่นร้าน ในที่สุดก็จบเสียที จะได้กลับไปนอนแล้วโว้ย

     “เก็บความรู้ใส่หัวไปจนถึงวันสอบนะมึง ไม่ใช่พรุ่งนี้ก็ลืมแล้ว”

     “ไม่ต้องห่วง กูไม่ลืมพรุ่งนี้หรอก เพราะกูลืมตั้งแต่น้องนายวางชีทแล้ว”

     “คุณซนครับ” น้องนายพูดด้วยเสียงอ่อนใจ ผมหัวเราะ ใครจะไปทำอย่างนั้นล่ะครับ เห็นแบบนี้ผมก็จริงจังกับการเรียนเหมือนกัน และยิ่งการสอบครั้งนี้มีรางวัลล่อตาล่อใจ ผมไม่มีทางติดเอฟแน่นอน

     ผิงกับน้องนายเก็บชีทลงกระเป๋า เอ่ยลาสั้นๆ ก่อนแยกย้ายกันกลับ ส่วนผมยังนั่งอยู่ที่เดิมเพราะต้องรอคุณแฟนมารับ ไปไหนมาไหนเองไม่เป็นก็แบบนี้แหละครับ แต่ผมก็ชอบเพราะมีสารถีส่วนตัวก็สบายดี อยากไปไหนพี่ธารก็ขับรถพาไป สบายกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว จะว่าไปผมนี่ก็คุ้มอยู่นะ ได้ทั้งแฟน ผู้ปกครอง คนทำอาหาร คนขับรถในคนเดียวกัน อิจฉาตัวเองฉิบหาย

     ระหว่างรอพี่ธารผมหยิบชีทเรียนออกมาทบทวนอีกรอบ ไอ้ง่วงมันก็ง่วงอยู่หรอก แต่เพราะไม่อยากลืมเนื้อหาอย่างที่ผิงเตือนเลยต้องหมั่นทบทวน ปกติผมไม่ขยันขนาดนี้ แต่ครั้งนี้ผมไม่อยากทำให้พี่ธารผิดหวัง พี่มันอุตส่าห์ตั้งใจพาผมไปเที่ยวทั้งที

     ยังจำวันที่ผมท้องเสียกันได้ไหมครับ วันนั้นพี่ธารสัญญาว่าถ้าผมยอมกินยาจะพาไปทะเลตอนปิดเทอม เพียงแต่ตอนนี้มีอีกเงื่อนไขเพิ่มเข้ามาคือต้องตั้งใจอ่านหนังสือ เราสองคนตกลงไปเสม็ด เพราะผมไม่ได้ไปนานแล้ว พี่ธารเองก็อยากไปพักผ่อนก่อนจะไม่มีเวลาเนื่องจากต้องฝึกงานในเทอมสุดท้าย เล่ามาถึงตรงนี้ก็แอบใจหายนิดหน่อย เผลอแป๊บเดียวพี่ธารก็จะเรียนจบแล้ว เวลาผ่านไปเร็วชะมัด ผมยังรู้สึกเหมือนเพิ่งรู้จักพี่มันเมื่อวานอยู่เลย

     ผมอ่านชีทไปพลางขยี้ตาไปพลาง เพราะนอนน้อยติดกันหลายวันทำให้หาวบ่อย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ยอมแพ้ ตั้งหน้าตั้งตาอ่านต่อไป หลายคนอาจคิดว่าที่ผมฟิตขนาดนี้เพราะอยากไปเที่ยว ถูกครับ ผมไม่เถียง แต่ไม่ถูกทั้งหมด

     ผมยิ้มมุมปากเมื่อนึกถึงอีกเหตุผลที่เลือกเสม็ดในทริปปิดเทอมคราวนี้ ไม่มีใครรู้นอกจากตัวผมว่าผมได้วางแผนการบางอย่างเอาไว้





     “หมดเวรหมดกรรมกันสักที กลับไปกูจะหลับเป็นตายเลยคอยดู” ผิงพูดขึ้นมาตอนเดินออกจากห้องเรียน วันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้าย กว่าจะมาถึงวันนี้ใช้คำว่าทุลักทุเลยังน้อยไป สภาพผมกับผิงแทบไม่ต่างกัน ใต้ตาคล้ำ ใบหน้าอิดโรย มองไกลๆ นึกว่าซอมบี้ จะมีก็น้องนายคนเดียวที่ยังยิ้มแย้มได้

     “คุณผิงจะกลับเลยเหรอครับ ผมอุตส่าห์จะชวนไปทานเค้กฉลองที่สอบเสร็จ”

     “กูไม่ได้เป็นผู้ท้าชิงเกียรตินิยมเหมือนมึงจะได้สอบฉลุย กว่าจะฝ่าแต่ละวิชามาได้ต้องสละเวลานอนไปเท่าไหร่ และอีกอย่าง...” ผิงยกยิ้มเมื่อมองเลยไปยังคนที่กำลังเดินมา “กูไม่ได้มีคนเลี้ยงเหมือนมึง”

     น้องนายทำหน้างง แต่พอหันไปตามสายตาผิงก็เข้าใจในทันที พี่บอนด์ส่งยิ้มมาให้ ข้างหลังคือพี่ธารกับพี่ไกด์ ผิงผู้เป็นเพื่อนที่ดีรีบเอ่ยปากให้โดยไม่ถามเจ้าตัวสักคำ

     “พี่บอนด์สอบเสร็จยังคะ”

     “เสร็จแล้วครับ”

     “งั้นพาเพื่อนผิงไปทานเค้กหน่อยได้ไหมคะ ผิงกับซนจะกลับเลยแต่ไม่อยากให้น้องนายไปคนเดียว” เรื่องระหว่างพี่บอนด์กับน้องนายพวกผมรู้หมดแล้ว กลุ่มผมไม่เคยมีความลับต่อกัน ผิงเลยเปลี่ยนจากกูรูความรักมาเป็นกามเทพสื่อรัก หวังช่วยให้น้องนายรู้ใจตัวเองเร็วๆ

     “ได้ครับ”

     “ขอบคุณค่ะ” ผิงเดินไปคล้องแขนพี่ไกด์ ส่งยิ้มประจบที่ผมแอบค้านในใจว่าน่าจะเป็นยิ้มสยองมากกว่า “งั้นเราก็ไปกันเถอะค่ะ ผิงอยากกลับแล้ว”

     “หือ?” พี่ไกด์ดูจะประหลาดใจไม่น้อยกับประโยคไม่มีปี่มีขลุ่ยของเพื่อนผม “น้องผิงอยากกลับแล้วเกี่ยวอะไรกับพี่ครับ”

     “เกี่ยวสิคะ ผิงรู้ว่าพี่ไกด์เป็นสุภาพบุรุษ ไม่มีทางปล่อยให้ผู้หญิงที่อ่อนเพลียกลับบ้านคนเดียว พี่ไกด์เลยจะไปส่งผิงไงคะ” คนอ่อนเพลียยิ้มกว้าง สีหน้าขัดกับคำพูดตัวเอง พี่ไกด์ทำหน้าอึ้ง เหลือเชื่อ ประหลาดใจ สารพัดความรู้สึกที่จะยกขึ้นมาได้ในเวลานี้

     “ไปส่งน้องหน่อยก็ได้ มึงไม่มีธุระที่ไหนไม่ใช่เหรอ” พี่ธารพูดขึ้นมา

     “ไอ้ได้มันก็ได้อยู่หรอก แต่กูไม่นึกว่าจะโดนจู่โจมแบบนี้ไง” พี่ไกด์พูดเนือยๆ สีหน้าไม่ได้อึดอัดหรือไม่พอใจ ออกไปทางขำขันมากกว่า

     “แหม จู่โจมอะไรกันคะ ผิงยังไม่ได้รุกจีบพี่ไกด์สักหน่อย ถึงจะตั้งใจว่าทำแน่ๆ ก็เถอะ”

     “ผิง!” “คุณผิงครับ!” พี่ไกด์กับน้องนายต่างเหนื่อยใจพอๆ กันกับความตรงของกุลสตรีหนึ่งเดียว ผิงยิ้มเผล่ หัวเราะเสียงดัง

     “ผิงล้อเล่นค่ะ ไปกันเถอะ หอผิงอยู่แค่นี้ ไม่เปลืองน้ำมันพี่ไกด์แน่นอน”

     พี่ไกด์พยักหน้าเนือยๆ ก่อนจะถูกผิงลากแขนออกไป ผมได้แต่อวยพรตามหลังไปว่าขอให้เพื่อนผมเพลาๆ มือหน่อย

     “มึงจะกลับเลยไหม”

     ผมหันกลับมามองพี่ธาร พยักหน้าเป็นคำตอบ พี่ธารเอ่ยลาพี่บอนด์แล้วจูงมือผมออกมา ระหว่างทางคนตัวสูงก็ชวนคุย

     “สอบเป็นไงบ้าง”

     “สบาย พี่รอดูเอช้วนผมได้เลย”

     “หึ” เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้น ผมนึกว่าพี่ธารจะเหน็บแนมที่ผมมั่นใจในตัวเองเกินไป แต่ไม่ใช่ “ไม่เอช้วนก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว มึงเล่นโหมอ่านหนังสือขนาดนี้ อยากไปทะเลขนาดนั้นเลยเหรอ”

     “โหพี่ ถามแปลกๆ ใครบ้างจะไม่อยากไป ยิ่งรู้ว่ามีคนจ่ายให้ทั้งทริปยิ่งอยาก” ผมตอบคนละอย่างกับใจนึก ไม่คิดจะแก้คำพูดว่าไม่ได้อยากไปทะเลแต่อยากไปเสม็ด บอกไม่ได้ครับว่าวางแผนอะไรไว้ เดี๋ยวไก่ตื่น คิดจะทำการใหญ่ใจต้องนิ่ง ยิ่งพี่ธารเป็นเป้าหมายในแผนการครั้งนี้ผมยิ่งให้รู้ไม่ได้เด็ดขาด





     “ง่วงเหรอ” ร่างสูงถามเมื่อเห็นผมสัปหงก ศีรษะโงนเงนมาตั้งแต่พ้นมหา’ลัย

     “นิดหน่อยครับ”

     “ง่วงก็นอนไป ถึงแล้วเดี๋ยวกูปลุก”

     ผมบอกขอบคุณพี่ธาร ขยับตัวเล็กน้อยให้นั่งสบาย เอนศีรษะพิงหน้าต่างแล้วหลับตาลง แอร์เย็นๆ ภายในรถทำให้ความง่วงงุนเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ผมไม่ได้หลับเต็มอิ่มมาหนึ่งสัปดาห์เต็ม คาดว่าคืนนี้คงหลับเป็นตายเหมือนอย่างที่ผิงบอก





     “เอ๋อ”

     “…”

     “ไอ้เอ๋อ”

     “…”

     “ซน”

     ผมขยับหน้าหนีเมื่อรู้สึกถึงบางอย่างที่จิ้มลงมาบนแก้ม ได้ยินเสียงดังมาจากที่ไกลๆ คุ้นหูแต่นึกไม่ออก

     เสียงถอนหายใจดังเบาๆ ก่อนตามมาด้วยเสียงเปิดประตูรถ หลังจากนั้นผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองลอยขึ้นแต่แค่ครู่เดียว ตามมาด้วยเสียงปิดประตูอีกครั้ง ผมซุกหน้าเข้าหาอะไรบางอย่างเมื่อรู้สึกถึงอุณหภูมิรอบตัวที่เปลี่ยนไป อะไรบางอย่างที่ผมคิดว่าเป็นหมอน แต่แปลกแฮะ หมอนใบนี้เคลื่อนไหวได้ ขยับขึ้นลงเป็นจังหวะ แถมยังมีกลิ่นหอมเข้มๆ อีก มันไม่ถึงกับสบายแต่มันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่น สงบและปลอดภัย หมอนใบนี้พี่ธารซื้อมาจากไหนนะ ผมอยากรู้จัง





     ผมสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา ความรู้สึกแรกที่ผุดขึ้นมาคือหิว หิวเหมือนไม่ได้กินอะไรมาแรมเดือน ผมมองไปรอบๆ ก่อนสายตาจะสะดุดกับร่างสูงที่นอนอยู่ ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกตัวว่ากำลังอยู่ในอ้อมกอดพี่ธาร

     แขนแข็งแรงที่โอบเอวไว้ทำให้ผมไม่สามารถลุกนั่งได้ จึงต้องดึงออกจากตัวเสียก่อน แต่เพราะแขนพี่ธารหนักกว่าที่คิดไว้ ภาพที่ออกมาจึงทุลักทุเลพอสมควร แขนหรือท่อนซุงวะ หนักฉิบหาย

     จากที่ค่อยๆ ดึงออกเพราะไม่อยากให้คนหลับตื่น ผมเปลี่ยนมาผลักร่างพี่ธารให้พ้นจากตัวแทน พอถูกผลักเข้ามากๆ คนหลับก็เริ่มรู้สึกตัว ลมหายใจขาดห้วงครู่หนึ่งก่อนดวงตาคมจะลืมขึ้น

     “ทำอะไร” เสียงแหบพร่าอย่างคนเพิ่งตื่นถามระยะประชิด เสียงนั้นอยู่ใกล้มากจนผมชะงักมือที่กำลังดันอกกว้าง

     “พี่กอดผมอยู่ ผมลุกไม่ได้”

     แทนที่จะลุกออกไปตามที่ผมบอก อีกฝ่ายกลับรัดเอวแรงขึ้นเล็กน้อย พลิกตัวผมมาอยู่ข้างบนจนคางผมแนบไปกับแผ่นอกแกร่ง

     “อะไรของพี่เนี่ย” ผมพยายามยื้อแรงลุกขึ้น แต่ร่างสูงก็ไม่ยอมปล่อยมือเสียที “พี่ธาร ผมจะลุก”

     “ทำมาเป็นหวงตัวนะมึง กอดนิดกอดหน่อยไม่ได้เหรอ ทีเมื่อคืนเอาแต่ซุกอกกูยังไม่ว่าสักคำ”

     “ผม? ซุกอกพี่ธาร?”

     อีกฝ่ายกระตุกยิ้ม ดวงตาง่วงงุนหายไปแล้ว เหลือเพียงดวงตาพราวระยับที่มีประกายข้างใน

     “จำได้ไหมว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้น”

     ผมนิ่วหน้า พยายามคิดเท่าที่สมองน้อยๆ จะคิดออก “ผมจำได้ว่ากำลังหลับอยู่บนรถ หลังจากนั้นก็จำไม่ได้อีกเลย”

     “ก็ไม่แปลก มึงเล่นหลับยาวมาตั้งแต่ตอนนั้น”

     “หือ!? ผมหลับนานขนาดนั้นเลยเหรอ” ที่ผมตกใจเพราะตอนนี้เจ็ดโมงเช้าแล้ว เท่ากับเมื่อวานผมหลับไปทั้งที่ไม่ได้กินอะไรเลย มิน่าตื่นมาถึงหิว

     “ใช่ หลับจนกูนึกว่าตาย ดีที่เอานิ้วอังจมูกแล้วยังมีลมหายใจ”

     บนโลกนี้จะมีสักกี่คนวะที่พูดว่าแฟนตัวเองตายได้หน้าตาเฉย ผมล่ะเชื่อไอ้พี่ธารจริงๆ

     “แล้วที่บอกว่าซุกอกคือ?”

     “มึงหลับลึกมาก กูปลุกยังไงก็ไม่ตื่นเลยต้องอุ้มขึ้นมาบนห้อง ตอนอุ้มมามึงเอาแต่ซุกกู จะวางบนเตียงก็ไม่ยอมปล่อย ไม่รู้มือหรือคีมเหล็ก”

     อ่า...ผมว่าผมรู้แล้วล่ะครับว่าหมอนแข็งๆ ในฝันคืออะไร ผมยิ้มแหยเมื่อรู้ตัวว่าทำให้อีกฝ่ายลำบากแค่ไหน ได้แต่ส่งยิ้มประจบประแจงไปให้

     “ผมนอนน้อยมาหลายวันมันก็ต้องเพลียเป็นธรรมดา พี่บอกเองไม่ใช่เหรอว่าให้ผมตั้งใจอ่านหนังสือ”

     “กูบอกให้มึงตั้งใจอ่านหนังสือ ไม่ใช่อดหลับอดนอนอ่านหนังสือแบบนี้” เอาแล้วไง ชั่วโมงเทศนากำลังจะเริ่มแล้ว ก่อนที่จะโดนสวดไปมากกว่านี้ผมคงต้องรีบเบรกไว้ก่อน

     “คร้าบๆ ผมขอโทษ ผมผิดไปแล้ว แต่ตอนนี้ผมหิวแล้วอะ พี่ไปทำอาหารให้หน่อยดิ”

     “เห็นกูเป็นคนใช้เหรอ”

     “ไม่ใช่” ผมส่ายหน้ายิ้มๆ “เห็นเป็นแฟนที่ใจดีต่างหาก”

     “…”

     นี่ครับ มันต้องเบรกแบบนี้ถึงจะได้ผล ไอ้พี่ธารอึ้งไปเลย คงไม่คิดว่าผมจะพูดอะไรแบบนี้ล่ะสิ

     “พูดว่าอะไรนะ”

     ผมหุบยิ้ม เมื่อคนที่คิดว่ากำลังเขินกลับถามกลับมาด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป สายตาพี่ธารแพรวพราวกว่าเดิม จู่ๆ ผมก็รู้สึกถึงภัยอันตรายบางอย่าง มือที่วางแหมะบนอกจึงพยายามยันตัวลุกขึ้นทว่าไม่เป็นผล

     “ผมรู้ว่าพี่ได้ยินแล้ว”

     “พูดอีกรอบไม่ได้หรือไง”

     “เสียใจ ของดีมีครั้งเดียว พี่ปล่อยได้แล้วผมจะไปเข้าห้องน้ำ” ผมออกแรงยันตัวลุกอีกครั้ง แต่คราวนี้อีกฝ่ายกลับคลายอ้อมกอดอย่างง่ายดาย

     “ให้ห้านาที รีบล้างหน้าแปรงฟันแล้วกลับมาหากู”

     “อะไรของพี่”

     “ไม่เถียงสักเรื่องจะตายไหม ทำตามที่กูบอกเถอะน่า”

     ผมยังคงไม่เข้าใจ แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้รู้ว่าเถียงไปก็ป่วยการ จึงได้แต่พยักหน้าโดยไร้ข้อโต้แย้ง ก้าวลงจากเตียงแล้วรีบเดินไปเข้าห้องน้ำ ที่ต้องรีบไม่ใช่อะไร กลัวจะไม่ทันห้านาที





     “พี่ธาร ผมเสร็จแล้ว พี่จะไปทำอาหารได้ยังผมหิว...อื้อ!” ผมส่งเสียงในลำคอเมื่อเปิดประตูห้องน้ำออกมาแล้วโดนจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัว ริมฝีปากที่ประกบลงมาทำให้ผมนิ่งงัน มือที่ยกขึ้นเตรียมผลักไสกลับตกลงบนบ่าอย่างไร้เรี่ยวแรง พี่ธารผละริมฝีปากออกให้ผมได้หายใจ แต่ไม่ทันไรก็ทาบทับลงมาใหม่ ปิดโอกาสไม่ให้ผมทักท้วง

     ปากร้อนแนบลงมาบดเบียดเนิ่นนาน นานจนผมรู้สึกว่าปากตัวเองกำลังบวมเจ่อ ผมเหมือนคนเมายานอนหลับ สมองไม่อาจประมวลผลอะไรได้ แม้กระทั่งตอนที่อีกฝ่ายถอนหน้าออกไปภายในหัวก็ยังว่างเปล่า

     พี่ธารยกมือไล้ไปตามริมฝีปาก สายตาที่มองมาชวนให้ร้อนผ่าวไปทั้งหน้า

     “ชอบไหม”

     ประโยคคำถามง่ายๆ แต่ผมกลับต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะจับใจความได้

     “พะ...พี่จูบ...พี่จูบผม...”

     “ทำไม กูจูบแฟนตัวเองไม่ได้หรือไง”

     มันก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่ทำไมไม่บอกกันก่อนเล่า ปุบปับแบบนี้ใครจะตั้งตัวทัน

     “เดี๋ยวนะ” พอสติกลับเข้าร่างผมก็เริ่มรู้สึกตัว ดวงตาที่มองอีกคนเบิกกว้างเล็กน้อย “ที่ไล่ให้ไปแปรงฟันเพราะแบบนี้ใช่ไหม”

     “หึๆ” เสียงหัวเราะในลำคอแทนคำตอบได้เป็นอย่างดี พี่ธารยกยิ้ม โน้มหน้ามาชิดริมหู “ไม่ต้องห่วง ก่อนเข้านอนกูแปรงฟันแล้ว วางใจได้”

     “อะ...ไอ้พี่ธาร!!” ผมยกมือเตรียมทุบลงไปบนอกกว้าง แต่ร่างสูงกลับรวบสองมือผมไว้ด้วยมือเดียว สายตาที่มองมายั่วเย้า

     “ใครใช้ให้มึงพูดแบบนั้นล่ะ กูไม่จับมึงปล้ำก็ดีแค่ไหนแล้ว”

     ปะ...ปล้ำ!!

     “หึๆ ไม่ต้องห่วง กูยังไม่ทำเวลานี้หรอก สบายใจได้” คนบอกให้สบายใจรวบตัวผมช้อนอุ้มขึ้น ผมเลยต้องรีบคล้องคอไว้เพราะกลัวตก พี่ธารพาผมกลับมาบนเตียงนอน หลังหัวแตะหมอนไม่ถึงวินาทีก็ตามมาคร่อมทับ ผมกำลังจะถามว่าจะทำอะไร แต่ริมฝีปากที่ทาบทับลงมาทำให้ผมไม่อาจเปล่งเสียงออกไปได้

     พี่ธารจูบผมราวกับจะดูดวิญญาณออกไปจากร่าง รสจูบที่ผมเคยนึกสงสัยว่าเป็นยังไง ตอนนี้คำตอบชัดเจนไปทุกอณูขุมขน พี่ธารประกบปากลงมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับอดอยากมานาน จนผมต้องยกมือดันอกเพื่อบอกให้พอ

     “อื้อ...พอแล้ว”

     ร่างสูงชะงักใบหน้าที่จะโน้มลงมาอีกครั้ง ดวงตาที่มองปากเจ่อๆ ของผมฉายแววพอใจ

     “ถ้าไม่อยากโดนอีกก็อย่าพูดแบบนั้น”

     “แบบไหน”

     “แบบที่ทำให้กูอยากกินมึงทั้งตัว”

     ผมหน้าร้อนกว่าเดิม ได้แต่ก่นด่าตัวเองว่าไม่น่าถามออกไปเลย ใครจะรู้ล่ะว่าประโยคแค่นั้นจะไปกระตุกต่อมหื่นของพี่มัน ผมสาบานกับตัวเองในใจว่าหลังจากนี้จะไม่พูดอะไรทำนองนั้นอีก

     “ผม...ผมหิวแล้ว ไปทำอาหารเช้าเร็ว”

     “ยังไม่อิ่มอีกเหรอ”

     “อะไรของพี่”

     “จูบกูเมื่อกี้ไง โดนไปขนาดนั้นแต่ยังไม่อิ่ม สงสัยอยากโดนอีกสินะ”

     !!!

     ผมยกมือปิดปากอัตโนมัติ เสียงหึดังมาจากลำคอคนด้านบน พี่ธารโน้มหน้าลงมาอีกครั้ง ผมปิดปากแน่นขึ้น หลับตาปี๋ แต่คนที่ผมคิดว่าจะก้มมาจูบกลับกระซิบข้างหูด้วยเสียงนุ่มทุ้ม

     “ชอบจูบกูไหม” คำถามเดิมรอบที่สองทำให้ผมลืมตา สายตาเราจึงประสานกัน ภายในดวงตาคู่นั้นไม่มีแววล้อเล่น ผมที่คิดจะโวยวายเบี่ยงประเด็นจึงเปลี่ยนใจ ได้แต่พยักหน้ารับอย่างเขินๆ

     “อื้อ”

     รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าอันหล่อเหลา พี่ธารก้มลงมาจูบหน้าผาก ส่งยิ้มอ่อนโยนให้ การกระทำที่ไม่เคยเห็นมาก่อนทำให้ผมตกใจปนแปลกใจนิดๆ

     “ไม่ต้องห่วง กูไม่คิดจะทำมากกว่าจูบอยู่แล้ว กูจะรอจนกว่ามึงจะพร้อม ต่อให้นานแค่ไหนก็ตาม” สายตาที่มองมาทั้งอ่อนโยนและอบอุ่น ราวกับคนพูดคือพี่ธารตัวปลอม ร่างสูงยิ้มให้ผมก่อนขยับตัวออกไป บอกให้ผมนอนเล่นไปก่อนส่วนตัวเองลงไปทำอาหารเช้า ผมค่อยๆ ยันตัวเองขึ้นนั่ง มองประตูห้องที่อีกฝ่ายเพิ่งเดินออกไป เสียงถอนหายใจดังขึ้นแทรกความเงียบ โล่งอกจริงๆ

     โล่งอกที่ไม่ได้พูดออกไปว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงในการไปเสม็ดก็เพื่อแผนการจับพี่ธารมัดมือชกเป็นภรรยา

     เขาว่ากันว่าไปเสม็ดมักเสร็จทุกราย ดังนั้นผมจึงมั่นใจเกินครึ่งว่ามันต้องสำเร็จแน่นอน อย่าถามหาประสบการณ์ อย่าถามหาข้อมูล ถึงตอนนี้ผมจะสู้ลีลาไอ้พี่ธารเมื่อครู่ไม่ได้ แต่ขอแค่มีความตั้งใจและความมั่นใจ สิ่งเหล่านี้ก็ไม่จำเป็น นี่คือปณิธานอันแรงกล้าของผม

     ผมไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้ใครรู้แม้แต่เพื่อนสนิท เพราะพวกมันย่อมไม่อยู่ข้างผมล้านเปอร์เซ็นต์ แผนการลอบกินพี่ธารในครั้งนี้จึงมีผู้สมรู้ร่วมคิดคนเดียวซึ่งคือผมเอง แต่ไม่เป็นไร คนเดียวก็เฟี้ยวได้ พี่ธารก็พี่ธารเถอะ เจอแผนการอันแยบยลของผมเข้าไปรับรองกลายเป็นน้องธารแทบไม่ทัน



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     ปล.เรื่องนี้ไม่มีพลิกโพนะครับ สบายใจได้ แค่ความอยากรู้อยากลองของเด็กเอ๋อเฉยๆ ^^

     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter : earthxxide

     Fanpage : Earthxxide
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-05-2023 02:23:53 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 729
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด