ตอนที่ 1
พี่ชายข้างบ้าน
เคยมีคนบอกว่าชีวิตคนเราต้องลองออกจากคอมฟอร์ทโซนสักครั้ง ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเราถึงต้องอุตส่าห์ออกจากพื้นที่สบายๆ เพื่อไปเจอความลำบากด้วย แบบนั้นมันเข้าสำนวนแมงเม่าบินเข้ากองไฟชัดๆ ไม่ใช่เหรอ
แน่นอนว่าผมที่รักความสบายย่อมไม่มีทางพาตัวเองไปยุ่งกับเรื่องลำบากอยู่แล้ว ก็ผมน่ะเป็นลูกคนเดียว สบายมาตั้งแต่เกิด พ่อแม่ตามใจทุกอย่าง แล้วเหตุไฉนถึงต้องทิ้งชีวิตอันสุขสบายเพื่อไปทำตามคำสอนอะไรนั่นด้วยล่ะ ไม่มีทางซะหรอก
แต่อย่างที่โบราณว่ากันว่ายิ่งเกลียดสิ่งไหนยิ่งได้สิ่งนั้น ในช่วงชีวิตปีที่ยี่สิบของผมก็ได้เกิดเหตุไม่คาดฝันจนได้ สำหรับคนอื่นอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่สำหรับผมมันเหมือนโลกทั้งใบกำลังพังทลายลงตรงหน้า...
“อะไรนะครับ! ต้องย้ายงานไปประจำที่ภูเก็ตสามเดือนเหรอ!?”
“จะเสียงดังทำไม พูดเหมือนเป็นเรื่องคอขาดบาดตายงั้นแหละ”
“ทำไมพ่อพูดแบบนั้นอะ นี่มันเรื่องคอขาดบาดตายสำหรับผมมากๆ เลยนะ พ่อกับแม่กำลังจะทิ้งให้ผมอยู่บ้านคนเดียวสามเดือนเต็มๆ เชียวนะ!”
“อย่าพูดแบบนั้นสิลูก พ่อกับแม่แค่ไปทำงาน ไม่ได้จะทิ้งลูกเสียหน่อย เรื่องเงินพ่อเขาก็โอนให้ทุกเดือน หรือถ้าไม่พอก็ขอเพิ่มได้”
“แล้วข้าวเช้ากลางวันเย็นใครจะทำให้ผม ไหนจะเสื้อผ้าของผมอีกใครจะซักให้ แล้วตอนไปมหา’ลัยผมจะไปยังไง พ่อกับแม่จะทิ้งผมไปลงคอจริงๆ เหรอ”
“นี่เจ้าซน พ่อคิดมาสักพักแล้วนะ” ใช่ครับ ผมชื่อซน อย่าเพิ่งตะลึงชื่ออันหล่อเหลาของผม มาฟังพ่อผมกันก่อน “ที่แกพูดมาทั้งหมดนั่นน่ะ เด็ก...ไม่สิ วัยรุ่นอายุยี่สิบเขาทำเองกันหมดแล้ว เรื่องอาหารการกินไม่เท่าไหร่ แต่เรื่องเสื้อผ้าแกต้องซักเองได้แล้ว ส่วนเรื่องไปเรียนหน้าปากซอยบ้านเราก็มีป้ายรถเมล์ พ่อคิดว่าแกน่าจะฉลาดพอที่จะนั่งรถเมล์เป็นนะ”
ขอโทษที่ทำให้ผิดหวังนะครับ...
ผมทำหน้าไม่พอใจ ยิ่งฟังที่พ่อพูดใบหน้าผมยิ่งบูดบึ้ง ที่พูดมาทั้งหมดผมไม่เคยทำเองตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา แต่จู่ๆ ก็มาบอกให้ทำเองทุกอย่างแบบนี้ ถ้าไม่มีพลังวิเศษก็อย่าหวังว่าผมจะทำได้เลย
“พ่อก็รู้ว่าผมทำไม่เป็นสักอย่าง แทนที่จะทิ้งให้ผมลำบากอยู่บ้านคนเดียว สู้พาผมไปภูเก็ตด้วยไม่ดีกว่าเหรอ”
“ซนอย่าลืมสิว่าลูกต้องเรียนหนังสือ แถมเดือนหน้าก็จะสอบแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ก็ให้ผมดรอปสิครับ ไม่เห็นยาก โอ๊ย!” ผมร้องลั่นเมื่อโดนกำปั้นของพ่อเขกใส่หัว
“แกต้องหัดใช้ชีวิตด้วยตัวเองได้แล้วนะซน ที่ผ่านมาพ่อแม่อาจตามใจแกเพราะอยากให้แกมีความสุข แต่ถ้าวันหนึ่งพ่อแม่ไม่อยู่แล้วแกจะใช้ชีวิตยังไงเคยคิดบ้างไหม”
“แต่พ่อก็ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย ทิ้งให้ผมอยู่บ้านคนเดียวแบบนี้เหมือนจงใจแกล้งกันเลย”
“พ่อไม่ได้แกล้ง มันเป็นเหตุจำเป็นที่เลี่ยงไม่ได้”
พ่อแม่ผมเป็นวิศวกรกันทั้งคู่ ผมก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดงานของพ่อแม่มาก แต่เหมือนว่าพวกท่านจะรับงานรีสอร์ททางภาคใต้มารับผิดชอบ ตอนพ่อเล่าให้ฟังเดือนก่อนผมรู้สึกเฉยๆ ไม่คิดเลยว่ามันจะทำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นกับชีวิตผม
“แต่ผมทำอาหารไม่เป็นนะ พ่อจะให้ผมหัดทำเองจริงๆ เหรอ เกิดผมทำครัวพังขึ้นมาไม่รู้ด้วยนะ”
“ก็สั่งไลน์แมนเอาสิวะ พ่อไม่ได้ยึดค่าขนมแกซะหน่อย”
ก็ถ้าพ่อจะยึดจริงๆ ผมไม่มีทางยอมแน่บอกเลย
“ทำไมพ่อกับแม่ใจร้ายจัง ตั้งสามเดือนเชียวนะครับ ถ้าผมเหงาขึ้นมา...”
“หัดโตซะบ้างเจ้าซน แกต้องเป็นผู้ใหญ่ได้แล้วนะ”
ใบหน้าจริงจังของพ่อทำให้ผมไม่กล้างอแงต่อ ที่ผ่านมาพ่อแม่มักตามใจผมตลอด ไม่เคยขัดใจผมสักครั้ง แล้วทำไมจู่ๆ ถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้เนี่ย
“เรื่องทำอาหารยังไม่ต้องหัดก็ได้ แต่เรื่องซักผ้า ทำความสะอาดบ้าน เดินทางไปเรียน ทุกๆ อย่างในชีวิตแกต้องเริ่มรับผิดชอบด้วยตัวเองตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าแกทำไม่ได้ก็อย่าหวังว่าจะโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้ จำเอาไว้!”
นั่นแหละครับ ด้วยเหตุประการนี้ทั้งปวงผมจึงต้องอยู่บ้านคนเดียวอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายในท้องเล ลมพัดลมเพลอยมาไกล คิดดูสิครับ ทั้งบ้านมีผมอยู่คนเดียว เหงาแค่ไหนถามใจเธอดูแล้วกัน
อีกตั้งสองปีกว่าผมจะเรียนจบ พ่อจะรีบให้ผมเป็นผู้ใหญ่ทำไมก็ไม่รู้ ขอใช้ชีวิตวัยรุ่นให้เต็มที่ก่อนไม่ได้หรือไง วัยรุ่นเป็นได้แค่ครั้งเดียวนะ
ผมเปิดประตูห้องนอนของตัวเองเข้ามา ตะกร้าเสื้อผ้าที่ใส่แล้วหน้าห้องกองพะเนินเทินทึก เป็นสัญญาณว่าผมควรเอาไปซักได้แล้ว ปกติแม่จะเอาไปซักเครื่องให้ แต่ตอนนี้แม่ไม่อยู่ คนที่เอาไปซักคงต้องเป็นผมสินะ
ที่จริงก็ไม่อยากซักหรอก ถ้าทำได้ก็อยากหมกคาตะกร้าไว้อย่างนั้นแหละ แต่เสื้อผ้าในตู้ไม่เหลือแล้ว และผมคงไม่ซกมกพอที่จะใส่เสื้อผ้าซ้ำ ดังนั้นก็ซักๆ ไปเถอะ แค่ซักผ้า หัดนิดหน่อยเดี๋ยวก็ทำเป็นแล้ว (มั้ง)
ผมเดินถือตะกร้าลงบันไดอย่างทุลักทุเล พอมาถึงหน้าเครื่องซักผ้าแล้วก็วางตะกร้าลงพลางหอบหายใจ ไม่รู้ว่าเหนื่อยเพราะตะกร้าหนักหรือเพราะระยะทางจากห้องผมมาถึงเครื่องซักผ้ามันไกลกันแน่
ผมเปิดฝาเครื่องแล้วเทเสื้อผ้าทั้งหมดลงไป ตามด้วยผงซักฟอกที่แม่วางไว้ข้างๆ พอปิดฝาและกำลังจะกดซักผมถึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเอง...ใช้เครื่องซักผ้าไม่เป็น
เวรกรรม ใช้ยังไงวะเนี่ย ปุ่มอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะไปหมด ถ้าผมกดผิดมันคงไม่ระเบิดหรอกนะ
ผมมองไปที่คำอธิบายใต้ปุ่ม พอเจอปุ่มที่เขียนว่า open ก็รีบกดลงไปอย่างไม่ลังเล ปุ่มถัดมาเขียนว่า water level มีเลขหนึ่งถึงห้ากำกับไว้ด้วย อืม...คงหมายถึงปริมาณน้ำที่ใช้ซักล่ะมั้ง ผมชะโงกหน้าไปดูผ้าในเครื่อง เยอะขนาดนี้คงต้องใช้ระดับห้าถึงจะพอ
ใช้เวลาศึกษาปุ่มบนเครื่องซักผ้าไม่นานทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย ผมถอยออกมา มองเครื่องซักผ้าตรงหน้าด้วยความภูมิใจ ผมนี่มันเก่งจริงๆ เลย ขนาดไม่เคยใช้มาก่อนแต่ศึกษานิดเดียวก็ทำเป็นแล้ว เห็นทีคงต้องเอาไปอวดพ่อซะหน่อย เผื่อจะได้ค่าขนมเดือนหน้าเพิ่ม
เครื่องซักผ้ายังนิ่งเหมือนเดิม ไม่สั่นหรือส่งเสียงครืดๆ อย่างที่ควรเป็น แต่แม่เคยบอกไว้ว่ามันต้องใช้เวลาสักพัก ผมที่สบายใจที่ได้ซักผ้าแล้วเลยหันหลังขึ้นห้องไปเล่นเกมต่อ
ระหว่างขึ้นบันไดผมก็ผิวปากไปด้วยอย่างสบายอารมณ์ เอาจริงๆ พ่อแม่ไม่อยู่บ้านก็ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องดีนะครับ อย่างน้อยก็เล่นเกมได้ทุกเวลาที่ต้องการ กินข้าวหรือขนมตอนไหนก็ได้ นอนดึกแค่ไหนก็ไม่มีใครว่า มาคิดๆ ดูแล้วการอยู่บ้านคนเดียวก็ไม่เลวร้ายอย่างที่คิด
ผมเดินยิ้มแย้มเข้ามาในห้องนอน แต่ทันทีที่หันไปเห็นหน้าต่างรอยยิ้มก็หุบลงฉับพลัน
“เฮ้ย!”
ผมเห็นว่าวันนี้ลมแรงน่าจะเย็นสบายดีเลยเปิดหน้าต่างตรงโต๊ะหนังสือทิ้งไว้ หลังจากนั้นก็เกิดครึ้มอกครึ้มใจ หยิบผ้าเช็ดหน้าที่รักแรกของผมให้ตอนเรียนมัธยมออกมาดู นั่งมองไปมองมาก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ซักผ้า เลยวางผ้าเช็ดหน้าไว้บนโต๊ะแล้วเอาลงไปซัก โดยที่ผมไม่ได้เฉลียวใจเลยว่าผ้าเช็ดหน้าเล็กๆ ผืนเดียว เมื่อเจอลมแรงที่พัดเข้ามาในห้อง...มันย่อมปลิวเป็นธรรมดา!
ผมรีบวิ่งลงไปชั้นล่าง พอมาถึงใต้ต้นไม้ที่ผ้าเช็ดหน้าปลิวมาติดก็รีบเงยหน้าไปมอง ก่อนจะถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นว่ามันยังอยู่ที่เดิม ผมต้องรีบเอาลงมาก่อนที่ลมจะพัดมันไปที่อื่น แต่...จะเอาลงมายังไงล่ะ ผมไม่ใช่แม่นาค จะให้ยื่นมือยาวๆ ขึ้นไปเอาก็ดูจะแฟนตาซีไปหน่อย
ผมหันซ้ายหันขวา เงยหน้าขึ้นลงเพื่อชั่งใจ ต้นไม้ต้นนี้ไม่ค่อยสูงเท่าไหร่ แถมดูทรงแล้วน่าจะปีนได้ง่ายอยู่
เอาวะ ลองดูสักตั้ง! ผมเอื้อมมือไปจับกิ่งไม้ที่ดูแข็งแรง จากนั้นก็ออกแรงดันตัวเองโดยเอาเท้าพาดกับลำต้น ใช้เท้าถีบตัวเองขึ้นไปแล้วใช้มือเกาะลำต้นเพื่อไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ
พ่อบอกให้หัดทำอะไรด้วยตัวเองบ้าง ผมเลยประเดิมด้วยการปีนต้นไม้ด้วยตัวเอง เออ...เจริญจริงๆ ถ้าพ่อรู้เข้าจะให้รางวัลเป็นค่าขนมหรือไม้หน้าสามกันวะเนี่ย
ผมพยายามไต่ระดับขึ้นมาอย่างทุลักทุเล เหงื่อผุดเต็มหน้าแต่ก็ไม่ย่อท้อ จนในที่สุดผมก็ขึ้นมาถึงจุดที่ผ้าเช็ดหน้าปลิวมาติด ผมยิ้มกว้างอย่างดีใจ ยื่นมือไปข้างหน้าหมายจะคว้าผ้าเช็ดหน้า แต่อย่างที่เขาว่ากันว่าบุญมีแต่กรรมบัง จังหวะที่ผมขยับตัวไปข้างหน้าเพราะผ้าเช็ดหน้าอยู่ไกล กิ่งไม้ที่ผมเกาะอยู่ก็เริ่มส่งเสียงแปลกๆ
ครืด...ครืด... เสียงอะไรวะ ทำไมมันฟังดูเหมือน...
เปราะ! เสียงกิ่งไม้หัก!!
“เฮ้ย!!!” ผมค่อยๆ ลืมตาอย่างช้าๆ พอสายตาปรับโฟกัสได้ผมจึงรู้ว่าที่ตัวเองมองอยู่คือเพดานบ้าน ผมกะพริบตาปริบ หันซ้ายหันขวาเพื่อสำรวจรอบตัว นี่มันห้องนั่งเล่นบ้านผมนี่หว่า แล้วที่ผมนอนอยู่ก็คือบนโซฟา จริงสิ ก่อนหน้านี้ผมกำลังปีนต้นไม้เพื่อจะขึ้นไปเอาผ้าเช็ดหน้า แต่ดันพลัดตกลงมาก่อน
เดี๋ยวก่อนนะ ผมนอนอยู่เหรอ
ผมเข้ามานอนในบ้านตัวเองได้ยังไง?
ผมผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความรวดเร็ว ทันใดนั้นความปวดบริเวณหน้าผากก็แล่นเข้ามาจนต้องนิ่วหน้า ผมยกมือมากุมหน้าผาก ขณะเดียวกันก็มีเสียงฝีเท้ากำลังเดินเข้ามาในห้องนี้ ผมรีบหันขวับไปมองทันที หัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม
พ่อบอกว่าต้องไปทำงานที่ภูเก็ตสามเดือน แถมงานยังยุ่งมากจนไม่มีเวลากลับบ้าน ดังนั้นเจ้าของเสียงฝีเท้าจึงไม่ใช่พ่อแม่ผมแน่นอน พี่น้องผมก็ไม่มีสักคน งั้นคนที่อยู่ในบ้านกับผมตอนนี้...คือโจรเหรอ!?
ช่วงเวลาเดียวกับที่ผมหาคำตอบให้ตัวเองได้ ชายร่างสูงคนหนึ่งก็เดินถือกล่องคอตตอนบัดกับแอลกอฮอล์เช็ดแผลเข้ามา เขาดูตกใจเล็กน้อยที่เห็นผมตื่นแล้ว แต่ผมนี่สิตกใจจนเกือบสลบไปอีกรอบ เอาไงดีวะ อาวุธป้องกันตัวก็ไม่มี คาราเต้ก็ไม่เคยเรียน ถ้ามันจับกดน้ำขึ้นมาจะสู้ได้ไหมเนี่ย แค่ขนาดตัวก็แพ้ราบคาบแล้ว
“ตื่นแล้วเหรอ” นั่นคือประโยคแรกที่ไอ้โจรหน้าหล่อพูดกับผม ผมหันรีหันข้าง โชคดีที่บนโต๊ะข้างโซฟามีแจกันดอกไม้วางอยู่ ผมรีบหยิบมาขู่พลางทำหน้า (ที่พยายามให้) โหด ไอ้โจรผงะไปนิดหนึ่ง มันขมวดคิ้วทำหน้างง
“ยะ...อย่าเข้ามานะโว้ย ถ้าเข้ามาจะฟาดให้หัวแตกเลยคอยดู”
“…”
“จะเอาอะไรก็เอาไป แต่ได้ของแล้วก็รีบๆ ไสหัวไปซะ ไม่งั้นอย่าหาว่าสุดหล่อไม่เตือน”
ไอ้โจรหน้าหล่อทำหน้างงเป็นไก่ตาแตก สักพักก็ถอนหายใจเหมือนเอือมระอาอะไรสักอย่าง มันเดินเอาของในมือมาวางบนโต๊ะโดยไม่สนหน้าโหดๆ ของผมแม้แต่น้อย ผมยกแจกันขึ้นเหนือหัวตอนที่มันทำท่าจะเดินเข้ามา ตั้งท่าเตรียมทุ่มไปบนหัวไอ้โจรสุดแรงเกิด แต่พริบตาเดียวแจกันก็ไปอยู่ในมือของมันได้ยังไงไม่รู้ ผมที่ไม่มีอะไรป้องกันจึงหลับตาเตรียมโดนมีดแทงเหมือนในข่าว แต่สิ่งที่มาปะทะร่างกายผมกลับไม่ใช่มีด แต่เป็น...
โป๊ก! “โอ๊ย!” ผมยกมือมากุมหัว ลืมตามองคนที่บังอาจมาเขกหัวกันได้ หน้าไอ้โจรอยู่ห่างจากผมไม่ถึงคืบ ตามปกติผมควรถอยห่างเผื่อมันจะประทุษร้ายอะไรอีก แต่พอได้เห็นหน้าในระยะประชิดแบบนี้ผมกลับนิ่ง คุ้นจัง...ทำไมรู้สึกเหมือนเคยเห็นหน้าแบบนี้ที่ไหน
“หน้าก็เอ๋ออยู่แล้ว นิสัยยังจะเอ๋ออีกเหรอวะ”
เอ๋อ?
ใครก็ได้บอกผมที ไอ้โจรหน้าหล่อมันกำลังด่าผมอยู่ใช่ไหม
“ถ้ากูเป็นโจรจริงๆ คงไม่ช่วยลิงตกต้นไม้เข้ามานอนในบ้านแบบนี้หรอก”
“ว่าใครเป็นลิง”
“ก็มึงไงไอ้ซน”
หืม? ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงรู้ชื่อผมได้ เป็นคนรู้จักของพ่อแม่เหรอ
“ทำหน้าเอ๋อแบบนี้คงงงอยู่ล่ะสิ กะแล้วว่ามึงต้องจำกูไม่ได้” ไอ้โจร...ไม่สิ ผู้ชายตรงหน้าถอนหายใจเล็กน้อยพลางหันไปหยิบคอตตอนบัดมาจุ่มแอลกอฮอล์เช็ดแผล ผมมองการกระทำนั้นด้วยความงุนงง จนกระทั่งเขาหันมาผมถึงถามออกไป
“ตกลงมึง...เอ๊ย...คุณ...เอ๊ย...พี่ไม่ใช่โจรเหรอ”
“ยากจังเนอะกับการหาสรรพนามมาเรียกกูเนี่ย”
“ก็ผมไม่รู้จักพี่เลยไม่รู้ว่าควรเรียกยังไง ตกลงพี่ไม่ใช่โจรใช่ไหม”
“ไม่ใช่”
“ถ้างั้นพี่เป็นใคร”
คนตัวสูงส่ายหัวไปมา ชี้ไปยังบ้านข้างๆ “เห็นบ้านหลังนั้นไหม”
“เห็นดิพี่ บ้านน้าพรไง”
“รู้จักน้าพรด้วยเหรอ”
“ต้องรู้จักอยู่แล้ว เป็นเพื่อนบ้านกันนี่นา”
“ถ้ามึงรู้จักน้าพรก็ต้องรู้จักกูด้วยสิ”
ผมหันไปมองคนพูดอีกครั้ง คราวนี้ตั้งใจมองกว่าเดิมเผื่อจะจำขึ้นมาได้บ้าง จะว่าไปผมก็คุ้นหน้าเขามาตั้งนานแล้ว แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ดูจากคำพูดเขาน่าจะเป็นญาติน้าพร หรือไม่...ก็เป็นลูก...
หืม? ลูกน้าพรงั้นเหรอ
“พี่ธาร...?”
มุมปากคนตรงหน้ายกยิ้มทันทีที่ผมเอ่ยชื่อออกไป มือหนาเอื้อมมายีหัวเบาๆ “จำได้ซะทีนะมึง นี่ถ้ายังนึกไม่ออกกูจะพาไปหาหมอแล้วนะ นึกว่าตกต้นไม้จนความจำเสื่อมไปแล้ว”
“โห่พี่ ใครจะไปจำได้ ผมไม่เคยคุยกับพี่สักคำ เคยแต่เห็นหน้าข้ามรั้วผ่านๆ นี่ผมจำชื่อพี่ได้ก็เก่งมากแล้วนะ”
“หยุดโม้แล้วมาทายาก่อน หน้าผากมึงแดงไปหมดแล้ว”
ผมควรรู้สึกยังไงวะเนี่ย จู่ๆ พี่ชายข้างบ้านที่ไม่รู้จักก็เข้ามาช่วยตอนที่ตกต้นไม้ ถ้าเปลี่ยนพี่ธารเป็นผู้หญิงที่ผมชอบคงเป็นเฟิร์สอิมเพรสชันที่แย่มากแน่ๆ
“พี่ธาร” ผมเรียกตอนที่เขากำลังทายาบนหน้าผากให้ หน้าพี่แกโหดนะครับ แต่มือโคตรเบาเลย ผมนึกว่ากำลังถูกปุยนุ่นปฐมพยาบาลให้
“อะไร”
“พี่รู้ได้ไงว่าผมตกต้นไม้”
“ร้องลั่นซะขนาดนั้น อย่าว่าแต่กูเลย ยามหน้าปากซอยยังได้ยินเลยมั้ง”
“พี่นี่ใจดีเหมือนกันนะเนี่ย ผิดกับหน้าตาลิบลับเลย”
“มึงพูดกับคนที่ช่วยมึงแบบนี้เหรอ”
“ผมชมต่างหาก ถ้าไม่ได้พี่ป่านนี้ผมคงนอนตากลมอยู่นอกบ้าน”
“กูเห็นสภาพตอนมึงตกลงมาแล้วรับไม่ได้ หน้าเอ๋อแล้วยังจะซุ่มซ่ามอีกนะ”
ผมนิ่วหน้า รู้สึกอยากตบปากตัวเองที่ไปชมพี่มัน เอาคำชมคืนมาเลย
“พี่ว่าผมเอ๋อหลายรอบแล้วนะ จะหาเรื่องกันเหรอ”
“ก็มึงมันเอ๋อจริงๆ” พี่ธารพูดจบพอดีกับที่ทายาให้ผมเสร็จ หันไปหยิบผ้าเช็ดหน้าบนโต๊ะที่ตอนแรกผมไม่ได้สังเกต “เอ้า ผ้าเช็ดหน้ามึง ทีหลังเก็บไว้ดีๆ ล่ะ”
“เฮ้ย! ผมลืมไปเลย ขอบคุณมากพี่” ผมรับผ้าเช็ดหน้ามาด้วยความดีใจ มัวแต่วุ่นเรื่องตกต้นไม้จนลืมไปสนิทเลย
“กินอะไรหรือยัง”
“ยังครับ พี่ถามทำไมอะ”
“เดี๋ยวกูทำให้กิน”
“หือ?”
“ตกใจอะไร กูบอกว่าจะทำอาหารให้กิน”
“พี่จะมาทำให้ผมทำไม”
พี่ธารเอื้อมมือมาผลักหัวผม ทำหน้าเหมือนผมถามอะไรที่ไม่ควรถาม “กูก็ไม่ได้อยากดูแลมึงหรอก แต่พ่อแม่มึงฝากให้กูดูแลมึง แล้วพ่อแม่กูก็ไปทำงานกับพ่อแม่มึงด้วย ไม่รู้เหรอ”
พอได้ยินพี่ธารพูดผมถึงนึกได้ว่าพ่อแม่พี่ธารก็เป็นวิศวกรเหมือนพ่อแม่ผม ที่บ้านพวกเราสนิทกันเพราะครอบครัวผมกับครอบครัวพี่ธารทำงานบริษัทเดียวกันนั่นเอง
“พี่ไม่ต้องมาดูแลผมก็ได้ ผมโตแล้วนะ ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาดูแล” พูดดีไปอย่างนั้นแหละครับ เหตุผลจริงๆ ที่ผมไม่อยากให้พี่ธารมาดูแลเพราะผมรู้ว่าคำว่าฝากของพ่อแม่คงรวมไปถึงตรวจดูพฤติกรรมด้วย เรื่องอะไรผมจะยอมมีผู้ปกครองคนที่สาม ไม่เอาด้วยหรอก
“แต่จากที่เห็นวันนี้กูว่ามึงน่าจะต้องการคนดูแลนะ”
ผมนิ่วหน้าอีกรอบ รู้สึกทะแม่งๆ กับคำพูดของคนตรงหน้า “ทำไมพี่ชอบหาเรื่องผมจังวะ บอกว่าโตแล้วก็โตแล้วสิ”
พี่ธารทำหน้าเหนื่อยใจ อะไรวะ ผมดูเป็นเด็กไม่รู้จักโตขนาดนั้นเลยเหรอ
“งั้นมึงลองไปดูเครื่องซักผ้า”
“ทำไมต้องไปดูด้วย”
“จะได้รู้ไงว่ามึงอยู่บ้านคนเดียวไม่ได้”
ถึงจะไม่เข้าใจแต่ผมก็ยอมลุกไปดูเครื่องซักผ้า พี่ธารจะทดสอบด้วยการให้ผมเอาผ้าที่ซักเสร็จแล้วไปตากเหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงคือเขาดูถูกผมมากเลยนะ แค่ตากผ้าใครๆ ก็ทำ...
“เฮ้ย! ทำไมเป็นแบบนี้อะ” เสียงอุทานผมดังขึ้นตอนที่เปิดฝาเครื่องแล้วพบว่าเสื้อผ้าที่อยู่ในนั้นยังอยู่สภาพเดิมเหมือนตอนที่ใส่เข้าไป ผมว่าผมกดครบทุกปุ่มแล้วนะ ผงซักฟอกก็ใส่แล้วด้วย หรือมีขั้นตอนไหนที่ผมมองข้ามไปวะ
ระหว่างที่ผมกำลังยืนงง พี่ธารก็เดินผ่านผมไปด้านหลังเครื่องซักผ้า หยิบปลั๊กไฟขึ้นมาพร้อมยิ้มมุมปาก
“กูเพิ่งรู้ว่าเครื่องซักผ้าบ้านมึงไม่ต้องเสียบปลั๊กก็ทำงานได้”
“…”
“ก็พอรู้อยู่หรอกว่ามึงเอ๋อ แต่ไม่นึกว่าจะขนาดนี้ กูว่าเปลี่ยนชื่อจากซนเป็นเอ๋อดีกว่ามั้ง”
ผมยืนหน้าดำหน้าแดง อยากพูดอะไรสักอย่างแต่ไม่รู้จะพูดอะไร หน้าดำเพราะโกรธที่โดนว่า หน้าแดงเพราะอายความซุ่มซ่ามของตัวเอง
“กะ...ก็แค่ลืมเสียบปลั๊ก ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่สักหน่อย”
“แค่ซักผ้ายังไม่ได้เรื่องเลย ขืนทำอาหารเองครัวไม่ระเบิดเลยเหรอ” พี่ธารยิ้มเยาะพลางสาวเท้ามาใกล้ วางมือบนหัวผมแล้วโยกเบาๆ “เพราะแบบนี้สินะพ่อแม่มึงถึงต้องฝากมึงไว้กับกู แค่วันแรกก็สร้างวีรกรรมได้ขนาดนี้ มึงนี่มันซนสมชื่อจริงๆ”
บางทีผมก็สงสัยนะว่าพ่อแม่ฝากลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไว้กับคนแบบนี้ได้ยังไง หน้าก็หล่ออยู่หรอก แต่ปากไม่ได้ครึ่งของหน้าเลย แล้วแบบนี้ชีวิตสามเดือนของไอ้ซนจะเป็นยังไงวะเนี่ย ไม่อยากนึกเลยให้ตายสิ!
>>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<
ใครเล่นทวิตเตอร์ เข้าไปพูดคุยกันได้ในแท็ก
#รักข้ามรั้วBL นะครับ ฝากคอมเมนต์ติชม ให้กำลังใจนักเขียนด้วยนะครับ ^^
Twitter :
earthxxide Fanpage :
Earthxxide