พิมพ์หน้านี้ - ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 35] [End] ✪ 08/06/2023

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: earthxxide ที่ 12-04-2023 18:21:13

หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 35] [End] ✪ 08/06/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 12-04-2023 18:21:13
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 1] ✪ 12/04/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 12-04-2023 18:32:18
รัก.ข้าม.รั้ว

เขาเป็นผู้ชายที่ผมพูดได้เต็มปากว่าหล่อเสียของ คำก็ดุสองคำก็ด่า อย่างกับเป็นพ่อผมอีกคน แต่บทจะใจดีก็ทำเอาใจเต้นแปลกๆ ตกลงจะดีหรือร้าย เลือกสักอย่างได้ไหมครับคุณพี่ชายข้างบ้าน!

。・:・゚☆ 。・:★ ♫•*¨*•.¸¸♪ ♡*:・。. +゚*。:゚+

★* สารบัญ *★

ตอนที่ 1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73352.msg4063771#msg4063771) / ตอนที่ 2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73352.msg4063778#msg4063778) / ตอนที่ 3 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73352.msg4063792#msg4063792)
ตอนที่ 4 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73352.msg4063797#msg4063797) / ตอนที่ 5 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73352.msg4063805#msg4063805) / ตอนที่ 6 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73352.msg4063809#msg4063809)
ตอนที่ 7 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73352.msg4063815#msg4063815) / ตอนที่ 8 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73352.msg4063820#msg4063820) / ตอนที่ 9 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73352.msg4063825#msg4063825)
ตอนที่ 10 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73352.msg4063834#msg4063834) / ตอนที่ 11 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73352.msg4063840#msg4063840) / ตอนที่ 12 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73352.msg4063848#msg4063848)
ตอนที่ 13 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73352.msg4063858#msg4063858) / ตอนที่ 14 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73352.msg4063866#msg4063866) / ตอนที่ 15 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73352.msg4063876#msg4063876)
ตอนที่ 16 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73352.msg4063882#msg4063882) / ตอนที่ 17 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73352.msg4063889#msg4063889) / ตอนที่ 18 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73352.msg4063893#msg4063893)
ตอนที่ 19 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73352.msg4063899#msg4063899) / ตอนที่ 20 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73352.msg4063905#msg4063905) / ตอนที่ 21 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73352.msg4063920#msg4063920)
ตอนที่ 22 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73352.msg4063934#msg4063934) / ตอนที่ 23 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73352.msg4063943#msg4063943) / ตอนที่ 24 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73352.msg4063949#msg4063949)
ตอนที่ 25 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73352.msg4063959#msg4063959) / ตอนที่ 26 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73352.msg4063965#msg4063965) / ตอนที่ 27 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73352.msg4063974#msg4063974)
ตอนที่ 28 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73352.msg4063980#msg4063980) / ตอนที่ 29 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73352.msg4063991#msg4063991) / ตอนที่ 30 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73352.msg4064000#msg4064000)
ตอนที่ 31 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73352.msg4064006#msg4064006) / ตอนที่ 32 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73352.msg4064016#msg4064016) / ตอนที่ 33 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73352.msg4064022#msg4064022)
ตอนที่ 34 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73352.msg4064038#msg4064038) / ตอนที่ 35 [End] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73352.msg4064043#msg4064043)


✿*゚・✿.。.:* *.:。✿*゚¨゚✎・ ✿.。.:* *.:。✿*゚¨゚✎・ ✿.。.:*


หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 1] ✪ 12/04/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 12-04-2023 19:04:31
ตอนที่ 1
พี่ชายข้างบ้าน


     เคยมีคนบอกว่าชีวิตคนเราต้องลองออกจากคอมฟอร์ทโซนสักครั้ง ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเราถึงต้องอุตส่าห์ออกจากพื้นที่สบายๆ เพื่อไปเจอความลำบากด้วย แบบนั้นมันเข้าสำนวนแมงเม่าบินเข้ากองไฟชัดๆ ไม่ใช่เหรอ

     แน่นอนว่าผมที่รักความสบายย่อมไม่มีทางพาตัวเองไปยุ่งกับเรื่องลำบากอยู่แล้ว ก็ผมน่ะเป็นลูกคนเดียว สบายมาตั้งแต่เกิด พ่อแม่ตามใจทุกอย่าง แล้วเหตุไฉนถึงต้องทิ้งชีวิตอันสุขสบายเพื่อไปทำตามคำสอนอะไรนั่นด้วยล่ะ ไม่มีทางซะหรอก

     แต่อย่างที่โบราณว่ากันว่ายิ่งเกลียดสิ่งไหนยิ่งได้สิ่งนั้น ในช่วงชีวิตปีที่ยี่สิบของผมก็ได้เกิดเหตุไม่คาดฝันจนได้ สำหรับคนอื่นอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่สำหรับผมมันเหมือนโลกทั้งใบกำลังพังทลายลงตรงหน้า...





     “อะไรนะครับ! ต้องย้ายงานไปประจำที่ภูเก็ตสามเดือนเหรอ!?”

     “จะเสียงดังทำไม พูดเหมือนเป็นเรื่องคอขาดบาดตายงั้นแหละ”

     “ทำไมพ่อพูดแบบนั้นอะ นี่มันเรื่องคอขาดบาดตายสำหรับผมมากๆ เลยนะ พ่อกับแม่กำลังจะทิ้งให้ผมอยู่บ้านคนเดียวสามเดือนเต็มๆ เชียวนะ!”

     “อย่าพูดแบบนั้นสิลูก พ่อกับแม่แค่ไปทำงาน ไม่ได้จะทิ้งลูกเสียหน่อย เรื่องเงินพ่อเขาก็โอนให้ทุกเดือน หรือถ้าไม่พอก็ขอเพิ่มได้”

     “แล้วข้าวเช้ากลางวันเย็นใครจะทำให้ผม ไหนจะเสื้อผ้าของผมอีกใครจะซักให้ แล้วตอนไปมหา’ลัยผมจะไปยังไง พ่อกับแม่จะทิ้งผมไปลงคอจริงๆ เหรอ”

     “นี่เจ้าซน พ่อคิดมาสักพักแล้วนะ” ใช่ครับ ผมชื่อซน อย่าเพิ่งตะลึงชื่ออันหล่อเหลาของผม มาฟังพ่อผมกันก่อน “ที่แกพูดมาทั้งหมดนั่นน่ะ เด็ก...ไม่สิ วัยรุ่นอายุยี่สิบเขาทำเองกันหมดแล้ว เรื่องอาหารการกินไม่เท่าไหร่ แต่เรื่องเสื้อผ้าแกต้องซักเองได้แล้ว ส่วนเรื่องไปเรียนหน้าปากซอยบ้านเราก็มีป้ายรถเมล์ พ่อคิดว่าแกน่าจะฉลาดพอที่จะนั่งรถเมล์เป็นนะ”

     ขอโทษที่ทำให้ผิดหวังนะครับ...

     ผมทำหน้าไม่พอใจ ยิ่งฟังที่พ่อพูดใบหน้าผมยิ่งบูดบึ้ง ที่พูดมาทั้งหมดผมไม่เคยทำเองตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา แต่จู่ๆ ก็มาบอกให้ทำเองทุกอย่างแบบนี้ ถ้าไม่มีพลังวิเศษก็อย่าหวังว่าผมจะทำได้เลย

     “พ่อก็รู้ว่าผมทำไม่เป็นสักอย่าง แทนที่จะทิ้งให้ผมลำบากอยู่บ้านคนเดียว สู้พาผมไปภูเก็ตด้วยไม่ดีกว่าเหรอ”

     “ซนอย่าลืมสิว่าลูกต้องเรียนหนังสือ แถมเดือนหน้าก็จะสอบแล้วไม่ใช่เหรอ”

     “ก็ให้ผมดรอปสิครับ ไม่เห็นยาก โอ๊ย!” ผมร้องลั่นเมื่อโดนกำปั้นของพ่อเขกใส่หัว

     “แกต้องหัดใช้ชีวิตด้วยตัวเองได้แล้วนะซน ที่ผ่านมาพ่อแม่อาจตามใจแกเพราะอยากให้แกมีความสุข แต่ถ้าวันหนึ่งพ่อแม่ไม่อยู่แล้วแกจะใช้ชีวิตยังไงเคยคิดบ้างไหม”

     “แต่พ่อก็ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย ทิ้งให้ผมอยู่บ้านคนเดียวแบบนี้เหมือนจงใจแกล้งกันเลย”

     “พ่อไม่ได้แกล้ง มันเป็นเหตุจำเป็นที่เลี่ยงไม่ได้”

     พ่อแม่ผมเป็นวิศวกรกันทั้งคู่ ผมก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดงานของพ่อแม่มาก แต่เหมือนว่าพวกท่านจะรับงานรีสอร์ททางภาคใต้มารับผิดชอบ ตอนพ่อเล่าให้ฟังเดือนก่อนผมรู้สึกเฉยๆ ไม่คิดเลยว่ามันจะทำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นกับชีวิตผม

     “แต่ผมทำอาหารไม่เป็นนะ พ่อจะให้ผมหัดทำเองจริงๆ เหรอ เกิดผมทำครัวพังขึ้นมาไม่รู้ด้วยนะ”

     “ก็สั่งไลน์แมนเอาสิวะ พ่อไม่ได้ยึดค่าขนมแกซะหน่อย”

     ก็ถ้าพ่อจะยึดจริงๆ ผมไม่มีทางยอมแน่บอกเลย

     “ทำไมพ่อกับแม่ใจร้ายจัง ตั้งสามเดือนเชียวนะครับ ถ้าผมเหงาขึ้นมา...”

     “หัดโตซะบ้างเจ้าซน แกต้องเป็นผู้ใหญ่ได้แล้วนะ”

     ใบหน้าจริงจังของพ่อทำให้ผมไม่กล้างอแงต่อ ที่ผ่านมาพ่อแม่มักตามใจผมตลอด ไม่เคยขัดใจผมสักครั้ง แล้วทำไมจู่ๆ ถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้เนี่ย

     “เรื่องทำอาหารยังไม่ต้องหัดก็ได้ แต่เรื่องซักผ้า ทำความสะอาดบ้าน เดินทางไปเรียน ทุกๆ อย่างในชีวิตแกต้องเริ่มรับผิดชอบด้วยตัวเองตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าแกทำไม่ได้ก็อย่าหวังว่าจะโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้ จำเอาไว้!”





     นั่นแหละครับ ด้วยเหตุประการนี้ทั้งปวงผมจึงต้องอยู่บ้านคนเดียวอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายในท้องเล ลมพัดลมเพลอยมาไกล คิดดูสิครับ ทั้งบ้านมีผมอยู่คนเดียว เหงาแค่ไหนถามใจเธอดูแล้วกัน

     อีกตั้งสองปีกว่าผมจะเรียนจบ พ่อจะรีบให้ผมเป็นผู้ใหญ่ทำไมก็ไม่รู้ ขอใช้ชีวิตวัยรุ่นให้เต็มที่ก่อนไม่ได้หรือไง วัยรุ่นเป็นได้แค่ครั้งเดียวนะ

     ผมเปิดประตูห้องนอนของตัวเองเข้ามา ตะกร้าเสื้อผ้าที่ใส่แล้วหน้าห้องกองพะเนินเทินทึก เป็นสัญญาณว่าผมควรเอาไปซักได้แล้ว ปกติแม่จะเอาไปซักเครื่องให้ แต่ตอนนี้แม่ไม่อยู่ คนที่เอาไปซักคงต้องเป็นผมสินะ

     ที่จริงก็ไม่อยากซักหรอก ถ้าทำได้ก็อยากหมกคาตะกร้าไว้อย่างนั้นแหละ แต่เสื้อผ้าในตู้ไม่เหลือแล้ว และผมคงไม่ซกมกพอที่จะใส่เสื้อผ้าซ้ำ ดังนั้นก็ซักๆ ไปเถอะ แค่ซักผ้า หัดนิดหน่อยเดี๋ยวก็ทำเป็นแล้ว (มั้ง)

     ผมเดินถือตะกร้าลงบันไดอย่างทุลักทุเล พอมาถึงหน้าเครื่องซักผ้าแล้วก็วางตะกร้าลงพลางหอบหายใจ ไม่รู้ว่าเหนื่อยเพราะตะกร้าหนักหรือเพราะระยะทางจากห้องผมมาถึงเครื่องซักผ้ามันไกลกันแน่

     ผมเปิดฝาเครื่องแล้วเทเสื้อผ้าทั้งหมดลงไป ตามด้วยผงซักฟอกที่แม่วางไว้ข้างๆ พอปิดฝาและกำลังจะกดซักผมถึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเอง...ใช้เครื่องซักผ้าไม่เป็น

     เวรกรรม ใช้ยังไงวะเนี่ย ปุ่มอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะไปหมด ถ้าผมกดผิดมันคงไม่ระเบิดหรอกนะ

     ผมมองไปที่คำอธิบายใต้ปุ่ม พอเจอปุ่มที่เขียนว่า open ก็รีบกดลงไปอย่างไม่ลังเล ปุ่มถัดมาเขียนว่า water level มีเลขหนึ่งถึงห้ากำกับไว้ด้วย อืม...คงหมายถึงปริมาณน้ำที่ใช้ซักล่ะมั้ง ผมชะโงกหน้าไปดูผ้าในเครื่อง เยอะขนาดนี้คงต้องใช้ระดับห้าถึงจะพอ

     ใช้เวลาศึกษาปุ่มบนเครื่องซักผ้าไม่นานทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย ผมถอยออกมา มองเครื่องซักผ้าตรงหน้าด้วยความภูมิใจ ผมนี่มันเก่งจริงๆ เลย ขนาดไม่เคยใช้มาก่อนแต่ศึกษานิดเดียวก็ทำเป็นแล้ว เห็นทีคงต้องเอาไปอวดพ่อซะหน่อย เผื่อจะได้ค่าขนมเดือนหน้าเพิ่ม

     เครื่องซักผ้ายังนิ่งเหมือนเดิม ไม่สั่นหรือส่งเสียงครืดๆ อย่างที่ควรเป็น แต่แม่เคยบอกไว้ว่ามันต้องใช้เวลาสักพัก ผมที่สบายใจที่ได้ซักผ้าแล้วเลยหันหลังขึ้นห้องไปเล่นเกมต่อ

     ระหว่างขึ้นบันไดผมก็ผิวปากไปด้วยอย่างสบายอารมณ์ เอาจริงๆ พ่อแม่ไม่อยู่บ้านก็ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องดีนะครับ อย่างน้อยก็เล่นเกมได้ทุกเวลาที่ต้องการ กินข้าวหรือขนมตอนไหนก็ได้ นอนดึกแค่ไหนก็ไม่มีใครว่า มาคิดๆ ดูแล้วการอยู่บ้านคนเดียวก็ไม่เลวร้ายอย่างที่คิด

     ผมเดินยิ้มแย้มเข้ามาในห้องนอน แต่ทันทีที่หันไปเห็นหน้าต่างรอยยิ้มก็หุบลงฉับพลัน

     “เฮ้ย!”

     ผมเห็นว่าวันนี้ลมแรงน่าจะเย็นสบายดีเลยเปิดหน้าต่างตรงโต๊ะหนังสือทิ้งไว้ หลังจากนั้นก็เกิดครึ้มอกครึ้มใจ หยิบผ้าเช็ดหน้าที่รักแรกของผมให้ตอนเรียนมัธยมออกมาดู นั่งมองไปมองมาก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ซักผ้า เลยวางผ้าเช็ดหน้าไว้บนโต๊ะแล้วเอาลงไปซัก โดยที่ผมไม่ได้เฉลียวใจเลยว่าผ้าเช็ดหน้าเล็กๆ ผืนเดียว เมื่อเจอลมแรงที่พัดเข้ามาในห้อง...มันย่อมปลิวเป็นธรรมดา!

     ผมรีบวิ่งลงไปชั้นล่าง พอมาถึงใต้ต้นไม้ที่ผ้าเช็ดหน้าปลิวมาติดก็รีบเงยหน้าไปมอง ก่อนจะถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นว่ามันยังอยู่ที่เดิม ผมต้องรีบเอาลงมาก่อนที่ลมจะพัดมันไปที่อื่น แต่...จะเอาลงมายังไงล่ะ ผมไม่ใช่แม่นาค จะให้ยื่นมือยาวๆ ขึ้นไปเอาก็ดูจะแฟนตาซีไปหน่อย

     ผมหันซ้ายหันขวา เงยหน้าขึ้นลงเพื่อชั่งใจ ต้นไม้ต้นนี้ไม่ค่อยสูงเท่าไหร่ แถมดูทรงแล้วน่าจะปีนได้ง่ายอยู่

     เอาวะ ลองดูสักตั้ง!

     ผมเอื้อมมือไปจับกิ่งไม้ที่ดูแข็งแรง จากนั้นก็ออกแรงดันตัวเองโดยเอาเท้าพาดกับลำต้น ใช้เท้าถีบตัวเองขึ้นไปแล้วใช้มือเกาะลำต้นเพื่อไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ

     พ่อบอกให้หัดทำอะไรด้วยตัวเองบ้าง ผมเลยประเดิมด้วยการปีนต้นไม้ด้วยตัวเอง เออ...เจริญจริงๆ ถ้าพ่อรู้เข้าจะให้รางวัลเป็นค่าขนมหรือไม้หน้าสามกันวะเนี่ย

     ผมพยายามไต่ระดับขึ้นมาอย่างทุลักทุเล เหงื่อผุดเต็มหน้าแต่ก็ไม่ย่อท้อ จนในที่สุดผมก็ขึ้นมาถึงจุดที่ผ้าเช็ดหน้าปลิวมาติด ผมยิ้มกว้างอย่างดีใจ ยื่นมือไปข้างหน้าหมายจะคว้าผ้าเช็ดหน้า แต่อย่างที่เขาว่ากันว่าบุญมีแต่กรรมบัง จังหวะที่ผมขยับตัวไปข้างหน้าเพราะผ้าเช็ดหน้าอยู่ไกล กิ่งไม้ที่ผมเกาะอยู่ก็เริ่มส่งเสียงแปลกๆ

     ครืด...ครืด...

     เสียงอะไรวะ ทำไมมันฟังดูเหมือน...

     เปราะ!

     เสียงกิ่งไม้หัก!!

     “เฮ้ย!!!”





     ผมค่อยๆ ลืมตาอย่างช้าๆ พอสายตาปรับโฟกัสได้ผมจึงรู้ว่าที่ตัวเองมองอยู่คือเพดานบ้าน ผมกะพริบตาปริบ หันซ้ายหันขวาเพื่อสำรวจรอบตัว นี่มันห้องนั่งเล่นบ้านผมนี่หว่า แล้วที่ผมนอนอยู่ก็คือบนโซฟา จริงสิ ก่อนหน้านี้ผมกำลังปีนต้นไม้เพื่อจะขึ้นไปเอาผ้าเช็ดหน้า แต่ดันพลัดตกลงมาก่อน

     เดี๋ยวก่อนนะ ผมนอนอยู่เหรอ

     ผมเข้ามานอนในบ้านตัวเองได้ยังไง?

     ผมผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความรวดเร็ว ทันใดนั้นความปวดบริเวณหน้าผากก็แล่นเข้ามาจนต้องนิ่วหน้า ผมยกมือมากุมหน้าผาก ขณะเดียวกันก็มีเสียงฝีเท้ากำลังเดินเข้ามาในห้องนี้ ผมรีบหันขวับไปมองทันที หัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม

     พ่อบอกว่าต้องไปทำงานที่ภูเก็ตสามเดือน แถมงานยังยุ่งมากจนไม่มีเวลากลับบ้าน ดังนั้นเจ้าของเสียงฝีเท้าจึงไม่ใช่พ่อแม่ผมแน่นอน พี่น้องผมก็ไม่มีสักคน งั้นคนที่อยู่ในบ้านกับผมตอนนี้...คือโจรเหรอ!?

     ช่วงเวลาเดียวกับที่ผมหาคำตอบให้ตัวเองได้ ชายร่างสูงคนหนึ่งก็เดินถือกล่องคอตตอนบัดกับแอลกอฮอล์เช็ดแผลเข้ามา เขาดูตกใจเล็กน้อยที่เห็นผมตื่นแล้ว แต่ผมนี่สิตกใจจนเกือบสลบไปอีกรอบ เอาไงดีวะ อาวุธป้องกันตัวก็ไม่มี คาราเต้ก็ไม่เคยเรียน ถ้ามันจับกดน้ำขึ้นมาจะสู้ได้ไหมเนี่ย แค่ขนาดตัวก็แพ้ราบคาบแล้ว

     “ตื่นแล้วเหรอ” นั่นคือประโยคแรกที่ไอ้โจรหน้าหล่อพูดกับผม ผมหันรีหันข้าง โชคดีที่บนโต๊ะข้างโซฟามีแจกันดอกไม้วางอยู่ ผมรีบหยิบมาขู่พลางทำหน้า (ที่พยายามให้) โหด ไอ้โจรผงะไปนิดหนึ่ง มันขมวดคิ้วทำหน้างง

     “ยะ...อย่าเข้ามานะโว้ย ถ้าเข้ามาจะฟาดให้หัวแตกเลยคอยดู”

     “…”

     “จะเอาอะไรก็เอาไป แต่ได้ของแล้วก็รีบๆ ไสหัวไปซะ ไม่งั้นอย่าหาว่าสุดหล่อไม่เตือน”

     ไอ้โจรหน้าหล่อทำหน้างงเป็นไก่ตาแตก สักพักก็ถอนหายใจเหมือนเอือมระอาอะไรสักอย่าง มันเดินเอาของในมือมาวางบนโต๊ะโดยไม่สนหน้าโหดๆ ของผมแม้แต่น้อย ผมยกแจกันขึ้นเหนือหัวตอนที่มันทำท่าจะเดินเข้ามา ตั้งท่าเตรียมทุ่มไปบนหัวไอ้โจรสุดแรงเกิด แต่พริบตาเดียวแจกันก็ไปอยู่ในมือของมันได้ยังไงไม่รู้ ผมที่ไม่มีอะไรป้องกันจึงหลับตาเตรียมโดนมีดแทงเหมือนในข่าว แต่สิ่งที่มาปะทะร่างกายผมกลับไม่ใช่มีด แต่เป็น...

     โป๊ก!

     “โอ๊ย!” ผมยกมือมากุมหัว ลืมตามองคนที่บังอาจมาเขกหัวกันได้ หน้าไอ้โจรอยู่ห่างจากผมไม่ถึงคืบ ตามปกติผมควรถอยห่างเผื่อมันจะประทุษร้ายอะไรอีก แต่พอได้เห็นหน้าในระยะประชิดแบบนี้ผมกลับนิ่ง คุ้นจัง...ทำไมรู้สึกเหมือนเคยเห็นหน้าแบบนี้ที่ไหน

     “หน้าก็เอ๋ออยู่แล้ว นิสัยยังจะเอ๋ออีกเหรอวะ”

     เอ๋อ?

     ใครก็ได้บอกผมที ไอ้โจรหน้าหล่อมันกำลังด่าผมอยู่ใช่ไหม

     “ถ้ากูเป็นโจรจริงๆ คงไม่ช่วยลิงตกต้นไม้เข้ามานอนในบ้านแบบนี้หรอก”

     “ว่าใครเป็นลิง”

     “ก็มึงไงไอ้ซน”

     หืม? ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงรู้ชื่อผมได้ เป็นคนรู้จักของพ่อแม่เหรอ

     “ทำหน้าเอ๋อแบบนี้คงงงอยู่ล่ะสิ กะแล้วว่ามึงต้องจำกูไม่ได้” ไอ้โจร...ไม่สิ ผู้ชายตรงหน้าถอนหายใจเล็กน้อยพลางหันไปหยิบคอตตอนบัดมาจุ่มแอลกอฮอล์เช็ดแผล ผมมองการกระทำนั้นด้วยความงุนงง จนกระทั่งเขาหันมาผมถึงถามออกไป

     “ตกลงมึง...เอ๊ย...คุณ...เอ๊ย...พี่ไม่ใช่โจรเหรอ”

     “ยากจังเนอะกับการหาสรรพนามมาเรียกกูเนี่ย”

     “ก็ผมไม่รู้จักพี่เลยไม่รู้ว่าควรเรียกยังไง ตกลงพี่ไม่ใช่โจรใช่ไหม”

     “ไม่ใช่”

     “ถ้างั้นพี่เป็นใคร”

     คนตัวสูงส่ายหัวไปมา ชี้ไปยังบ้านข้างๆ “เห็นบ้านหลังนั้นไหม”

     “เห็นดิพี่ บ้านน้าพรไง”

     “รู้จักน้าพรด้วยเหรอ”

     “ต้องรู้จักอยู่แล้ว เป็นเพื่อนบ้านกันนี่นา”

     “ถ้ามึงรู้จักน้าพรก็ต้องรู้จักกูด้วยสิ”

     ผมหันไปมองคนพูดอีกครั้ง คราวนี้ตั้งใจมองกว่าเดิมเผื่อจะจำขึ้นมาได้บ้าง จะว่าไปผมก็คุ้นหน้าเขามาตั้งนานแล้ว แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ดูจากคำพูดเขาน่าจะเป็นญาติน้าพร หรือไม่...ก็เป็นลูก...

     หืม? ลูกน้าพรงั้นเหรอ

     “พี่ธาร...?”

     มุมปากคนตรงหน้ายกยิ้มทันทีที่ผมเอ่ยชื่อออกไป มือหนาเอื้อมมายีหัวเบาๆ “จำได้ซะทีนะมึง นี่ถ้ายังนึกไม่ออกกูจะพาไปหาหมอแล้วนะ นึกว่าตกต้นไม้จนความจำเสื่อมไปแล้ว”

     “โห่พี่ ใครจะไปจำได้ ผมไม่เคยคุยกับพี่สักคำ เคยแต่เห็นหน้าข้ามรั้วผ่านๆ นี่ผมจำชื่อพี่ได้ก็เก่งมากแล้วนะ”

     “หยุดโม้แล้วมาทายาก่อน หน้าผากมึงแดงไปหมดแล้ว”

     ผมควรรู้สึกยังไงวะเนี่ย จู่ๆ พี่ชายข้างบ้านที่ไม่รู้จักก็เข้ามาช่วยตอนที่ตกต้นไม้ ถ้าเปลี่ยนพี่ธารเป็นผู้หญิงที่ผมชอบคงเป็นเฟิร์สอิมเพรสชันที่แย่มากแน่ๆ

     “พี่ธาร” ผมเรียกตอนที่เขากำลังทายาบนหน้าผากให้ หน้าพี่แกโหดนะครับ แต่มือโคตรเบาเลย ผมนึกว่ากำลังถูกปุยนุ่นปฐมพยาบาลให้

     “อะไร”

     “พี่รู้ได้ไงว่าผมตกต้นไม้”

     “ร้องลั่นซะขนาดนั้น อย่าว่าแต่กูเลย ยามหน้าปากซอยยังได้ยินเลยมั้ง”

     “พี่นี่ใจดีเหมือนกันนะเนี่ย ผิดกับหน้าตาลิบลับเลย”

     “มึงพูดกับคนที่ช่วยมึงแบบนี้เหรอ”

     “ผมชมต่างหาก ถ้าไม่ได้พี่ป่านนี้ผมคงนอนตากลมอยู่นอกบ้าน”

     “กูเห็นสภาพตอนมึงตกลงมาแล้วรับไม่ได้ หน้าเอ๋อแล้วยังจะซุ่มซ่ามอีกนะ”

     ผมนิ่วหน้า รู้สึกอยากตบปากตัวเองที่ไปชมพี่มัน เอาคำชมคืนมาเลย

     “พี่ว่าผมเอ๋อหลายรอบแล้วนะ จะหาเรื่องกันเหรอ”

     “ก็มึงมันเอ๋อจริงๆ” พี่ธารพูดจบพอดีกับที่ทายาให้ผมเสร็จ หันไปหยิบผ้าเช็ดหน้าบนโต๊ะที่ตอนแรกผมไม่ได้สังเกต “เอ้า ผ้าเช็ดหน้ามึง ทีหลังเก็บไว้ดีๆ ล่ะ”

     “เฮ้ย! ผมลืมไปเลย ขอบคุณมากพี่” ผมรับผ้าเช็ดหน้ามาด้วยความดีใจ มัวแต่วุ่นเรื่องตกต้นไม้จนลืมไปสนิทเลย

     “กินอะไรหรือยัง”

     “ยังครับ พี่ถามทำไมอะ”

     “เดี๋ยวกูทำให้กิน”

     “หือ?”

     “ตกใจอะไร กูบอกว่าจะทำอาหารให้กิน”

     “พี่จะมาทำให้ผมทำไม”

     พี่ธารเอื้อมมือมาผลักหัวผม ทำหน้าเหมือนผมถามอะไรที่ไม่ควรถาม “กูก็ไม่ได้อยากดูแลมึงหรอก แต่พ่อแม่มึงฝากให้กูดูแลมึง แล้วพ่อแม่กูก็ไปทำงานกับพ่อแม่มึงด้วย ไม่รู้เหรอ”

     พอได้ยินพี่ธารพูดผมถึงนึกได้ว่าพ่อแม่พี่ธารก็เป็นวิศวกรเหมือนพ่อแม่ผม ที่บ้านพวกเราสนิทกันเพราะครอบครัวผมกับครอบครัวพี่ธารทำงานบริษัทเดียวกันนั่นเอง

     “พี่ไม่ต้องมาดูแลผมก็ได้ ผมโตแล้วนะ ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาดูแล” พูดดีไปอย่างนั้นแหละครับ เหตุผลจริงๆ ที่ผมไม่อยากให้พี่ธารมาดูแลเพราะผมรู้ว่าคำว่าฝากของพ่อแม่คงรวมไปถึงตรวจดูพฤติกรรมด้วย เรื่องอะไรผมจะยอมมีผู้ปกครองคนที่สาม ไม่เอาด้วยหรอก

     “แต่จากที่เห็นวันนี้กูว่ามึงน่าจะต้องการคนดูแลนะ”

     ผมนิ่วหน้าอีกรอบ รู้สึกทะแม่งๆ กับคำพูดของคนตรงหน้า “ทำไมพี่ชอบหาเรื่องผมจังวะ บอกว่าโตแล้วก็โตแล้วสิ”

     พี่ธารทำหน้าเหนื่อยใจ อะไรวะ ผมดูเป็นเด็กไม่รู้จักโตขนาดนั้นเลยเหรอ

     “งั้นมึงลองไปดูเครื่องซักผ้า”

     “ทำไมต้องไปดูด้วย”

     “จะได้รู้ไงว่ามึงอยู่บ้านคนเดียวไม่ได้”

     ถึงจะไม่เข้าใจแต่ผมก็ยอมลุกไปดูเครื่องซักผ้า พี่ธารจะทดสอบด้วยการให้ผมเอาผ้าที่ซักเสร็จแล้วไปตากเหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงคือเขาดูถูกผมมากเลยนะ แค่ตากผ้าใครๆ ก็ทำ...

     “เฮ้ย! ทำไมเป็นแบบนี้อะ” เสียงอุทานผมดังขึ้นตอนที่เปิดฝาเครื่องแล้วพบว่าเสื้อผ้าที่อยู่ในนั้นยังอยู่สภาพเดิมเหมือนตอนที่ใส่เข้าไป ผมว่าผมกดครบทุกปุ่มแล้วนะ ผงซักฟอกก็ใส่แล้วด้วย หรือมีขั้นตอนไหนที่ผมมองข้ามไปวะ

     ระหว่างที่ผมกำลังยืนงง พี่ธารก็เดินผ่านผมไปด้านหลังเครื่องซักผ้า หยิบปลั๊กไฟขึ้นมาพร้อมยิ้มมุมปาก

     “กูเพิ่งรู้ว่าเครื่องซักผ้าบ้านมึงไม่ต้องเสียบปลั๊กก็ทำงานได้”

     “…”

     “ก็พอรู้อยู่หรอกว่ามึงเอ๋อ แต่ไม่นึกว่าจะขนาดนี้ กูว่าเปลี่ยนชื่อจากซนเป็นเอ๋อดีกว่ามั้ง”

     ผมยืนหน้าดำหน้าแดง อยากพูดอะไรสักอย่างแต่ไม่รู้จะพูดอะไร หน้าดำเพราะโกรธที่โดนว่า หน้าแดงเพราะอายความซุ่มซ่ามของตัวเอง

     “กะ...ก็แค่ลืมเสียบปลั๊ก ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่สักหน่อย”

     “แค่ซักผ้ายังไม่ได้เรื่องเลย ขืนทำอาหารเองครัวไม่ระเบิดเลยเหรอ” พี่ธารยิ้มเยาะพลางสาวเท้ามาใกล้ วางมือบนหัวผมแล้วโยกเบาๆ “เพราะแบบนี้สินะพ่อแม่มึงถึงต้องฝากมึงไว้กับกู แค่วันแรกก็สร้างวีรกรรมได้ขนาดนี้ มึงนี่มันซนสมชื่อจริงๆ”

     บางทีผมก็สงสัยนะว่าพ่อแม่ฝากลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไว้กับคนแบบนี้ได้ยังไง หน้าก็หล่ออยู่หรอก แต่ปากไม่ได้ครึ่งของหน้าเลย แล้วแบบนี้ชีวิตสามเดือนของไอ้ซนจะเป็นยังไงวะเนี่ย ไม่อยากนึกเลยให้ตายสิ!



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     ใครเล่นทวิตเตอร์ เข้าไปพูดคุยกันได้ในแท็ก #รักข้ามรั้วBL นะครับ ฝากคอมเมนต์ติชม ให้กำลังใจนักเขียนด้วยนะครับ ^^

     Twitter : earthxxide (https://twitter.com/earthxxide?t=muF0165hiRexxkrO2QLULw&s=09)

     Fanpage : Earthxxide (https://www.facebook.com/earthxxide?mibextid=ZbWKwL)
หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 2] ✪ 15/04/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 15-04-2023 16:31:43
ตอนที่ 2
คนรู้จัก


     เช้านี้ผมควรตื่นมาอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น เพราะระหว่างที่ผมกำลังหลับฝันหวานก็มีเสียงจากชั้นล่างดังเข้ามาในห้องจนฝันผมกระเจิง

     ใครมาทำอะไรในบ้านผมวะเนี่ย คนกำลังหลับอยู่นะเว้ย

     ตอนแรกผมจะไม่สนใจแล้วหลับต่อ แต่เสียงนั้นมันดังอยู่นานจนผมหลับต่อไม่ไหว ต้องลุกขึ้นมาดูด้วยอาการงัวเงีย แต่พอเห็นหน้าคนที่มาทำเสียงดังในบ้าน อาการงัวเงียก็เปลี่ยนเป็นตกใจทันที

     “พี่ธาร!”

     “อ้าว ตื่นแล้วเหรอ กำลังจะไปปลุกพอดีเลย” พี่ธารในชุดนักศึกษาที่กำลังทอดไข่หันมาพูดกับผม กลิ่นอาหารทำให้ผมตาสว่าง ผมกะพริบตาปริบ รู้สึกมึนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก

     นี่มันอะไรวะเนี่ย ทำไมจู่ๆ พี่ธารถึงมาทำอาหารในบ้านผมได้

     “ทำหน้าเอ๋ออีกแล้ว ไปล้างหน้าแปรงฟันไปจะได้มากินข้าว”

     “พี่ทำอะไรอยู่”

     “ทอดไข่ไง ไม่เห็นเหรอ”

     “ไม่ใช่ ผมหมายถึงพี่มาทำอาหารในบ้านผมทำไม”

     พี่ธารเทไข่เจียวใส่จาน ปิดไฟกระทะก่อนจะหันมาตอบคำถาม “กูบอกไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะว่าจะมาดูแลมึงระหว่างที่พ่อแม่ไม่อยู่”

     “ผมก็บอกไปตั้งแต่เมื่อวานเหมือนกันว่าผมดูแลตัวเองได้”

     “แค่เครื่องซักผ้ายังใช้ไม่เป็น คิดว่ากูจะไว้ใจให้มึงอยู่บ้านคนเดียวเหรอ รีบไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว มัวแต่พูดมากเดี๋ยวไปเรียนสายหรอก”

     ผมยู่ปากทำหน้าขัดใจ แต่ก็ต้องจำใจไปอาบน้ำแต่งตัวเพราะเดี๋ยวจะสายจริงๆ ประมาณสิบนาทีผมก็กลับลงมาในชุดนักศึกษา พี่ธารตักข้าวไว้ให้ผมแล้ว และดูเหมือนเขาจะอยู่กินข้าวกับผมด้วย นอกจากไข่เจียวแล้วยังมีไก่ทอดกับผัดผัก หน้าตาน่ากินมาก

     “ผมนึกว่าพี่จะมาช่วยแค่ตอนเดือดร้อน ไม่นึกว่าจะดูแลขนาดนี้”

     “ตอนแรกกูก็ตั้งใจแบบนั้น จนกระทั่งเห็นวีรกรรมมึงเมื่อวาน กูเลยรู้ว่าไม่ควรปล่อยให้มึงอยู่บ้านคนเดียว”

     “พี่ก็พูดเกินไป ผมอายุยี่สิบแล้วนะ”

     “งั้นกูถามหน่อย ถ้ากูไม่มาทำอาหารให้มึงจะกินอะไร” พี่ธารพูดด้วยสีหน้ายียวนพลางตักข้าวเข้าปาก

     “ผมก็ทำกินเองไง ไม่เห็นยาก”

     “ทำเป็นด้วย?”

     “อ้าว พี่ดูถูกผมเหรอ ได้” คนอย่างไอ้ซน ฆ่าได้หยามไม่ได้ครับ ต่อให้เป็นความจริงก็ห้ามหยาม ผมลุกไปยังห้องครัว หยิบไข่ในตู้เย็นมาหนึ่งฟอง พี่ธารที่เดินตามมารีบเข้ามาห้ามทันที

     “มึงจะทำอะไร”

     “ก็จะทอดไข่ให้พี่ดูไง”

     “ทำไม่เป็นก็อย่าฝืน เกิดครัวพังขึ้นมากูไม่รู้ด้วยนะ”

     เหมือนพี่ธารเอาน้ำมันมาราดบนกองไฟ ยิ่งพูดแบบนี้ผมยิ่งขึ้น ผมสะบัดมือพี่ธารออก หันไปตั้งกระทะแล้วหยิบน้ำมันมาเท พี่ธารทำท่าจะเข้ามาห้ามอีกครั้ง แต่ผมพูดดักไว้ก่อน

     “พี่อย่าเข้ามาช่วยนะ ผมจะทำให้ดูว่าแค่ทอดไข่ใครๆ ก็ทำได้”

     “ไอ้ซน นั่นมัน...”

     “บอกว่าอย่าช่วยไงครับ”

     พอโดนผมพูดย้ำพี่ธารเลยได้แต่ยืนมองด้วยสีหน้าเหนื่อยใจปนวิตกกังวล ผมกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ อยากมาดูถูกดีนัก เดี๋ยวผมจะทำไข่เจียวที่อร่อยกว่าของพี่มันให้ดู

     เอ...ก่อนอื่นต้องตีไข่สินะ จากนั้นก็ใส่น้ำปลาลงไป ผมจำได้เพราะเคยเห็นแม่ทำอาหาร ผมนี่ความจำดีเหมือนกันแฮะ

     จังหวะที่เอื้อมมือไปหยิบขวดน้ำปลาบนตู้ หางตาผมก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง มันคือขวดน้ำมันที่ตั้งอยู่ริมตู้ ผมขมวดคิ้ว จำได้ว่าบ้านผมมีน้ำมันแค่ขวดเดียวไม่ใช่เหรอ แล้วน้ำมันมาอยู่ในตู้ได้ไงในเมื่อผมหยิบออกมาแล้ว ด้วยความสงสัยผมเลยหันไปถามร่างสูงที่ยืนกอดอกอยู่หน้าห้องครัว

     “พี่ซื้อน้ำมันมาเพิ่มเหรอ”

     “เปล่า กูใช้น้ำมันในตู้ ขวดที่อยู่หน้ามึงนั่นแหละ”

     “อ้าว ถ้างั้น...”

     ผมหันไปมองขวดน้ำมันที่หยิบออกมาตอนแรก เพราะสีและฉลากคล้ายกันผมเลยนึกว่ามันคือน้ำมัน แต่พอหยิบมาอ่านฉลากข้างขวดดีๆ แล้ว...

     “เชี่ย! น้ำส้มสายชู!!”





     “ยิ้มอะไร”

     “เปล่า”

     “โกหก เห็นอยู่ว่าพี่ยิ้ม”

     ร่างสูงที่กำลังขับรถไม่พูดอะไร แต่มุมปากที่ยกยิ้มทำให้รู้ว่าเจ้าตัวกำลังกลั้นขำ ผมมุ่ยหน้า ยิ่งเห็นรอยยิ้มของพี่ธารยิ่งหงุดหงิด ไม่ได้หงุดหงิดพี่มัน หงุดหงิดตัวเองนี่แหละ

     ทำอาหารไม่เป็นยังจะทำเป็นเก่ง เป็นไงล่ะ เก่งมากเลยกูเนี่ย ทำให้พี่มันหัวเราะเยาะสองวันติด เก่งจริงๆ

     “จะขำก็ขำออกมาเลยครับ ไม่ต้องกลั้นไว้หรอก” ผมพูดพลางหันหน้าหนี พี่ธารหันมามองแวบหนึ่งก่อนหันไปมองถนนต่อ เสียงหึดังในลำคอ

     “เป็นอะไร อายเหรอ ไม่ต้องอายหรอก ไม่เหลืออะไรให้อายแล้ว”

     พี่ก็อย่าซ้ำเติมได้ปะวะ แค่นี้ผมก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้วเนี่ย

     ผมนั่งหน้าบึ้งไปตลอดทาง พี่ธารก็ขับรถด้วยใบหน้ายิ้มแย้มไปตลอดทาง จนกระทั่งถึงมหา’ลัยผมจึงปลดเข็มขัด เตรียมเดินปึงปังลงจากรถ แต่พอเห็นอีกฝ่ายปลดเข็มขัดเหมือนกันผมเลยเลิกคิ้ว

     “พี่จะลงทำไมอะ”

     “แล้วมึงจะให้กูเรียนในรถหรือไง”

     “หือ? พี่ธารเรียนมอนี้ด้วยเหรอ”

     คนถูกถามส่ายหัวไปมา สีหน้าอยู่ตรงกลางระหว่างขำกับเหนื่อยใจ “กูเรียนที่เดียวกับมึงจนจะจบอยู่แล้ว เพิ่งรู้หรือไง”

     “ใครจะไปรู้เล่า ไม่เคยคุยกันนี่นา” ผมยู่ปาก พี่ธารทำเสียงหึในลำคอก่อนจะไล่ผมลงจากรถ ผมลงมายืนข้างประตู กำลังจะแยกไปคณะตัวเอง แต่พี่ธารก็อ้อมมายืนขวาง

     “เลิกเรียนกี่โมง”

     “หือ?”

     “จะหืออะไรนักหนา หูตึงหรือไง”

     “พี่ก็ถามอะไรที่คนเพิ่งรู้จักกันควรถามหน่อยดิ”

     “มีมึงคนเดียวแหละที่เพิ่งรู้จัก อย่าลีลา ตอบมาว่าเลิกเรียนกี่โมง”

     ผมทำหน้าบึ้งแต่ก็ตอบคำถามกลับไป โดยไม่ได้เอะใจคำพูดของอีกฝ่าย พี่ธารพยักหน้าก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งให้ผม

     “เอาเบอร์มึงมา”

     “จะเอาไปทำไม”

     “ทำไมชอบถาม ไม่ถามสักเรื่องจะตายไหม” คนตรงหน้าดุแต่ก็ยอมอธิบาย “จะมารับกลับบ้าน ทีนี้จะให้เบอร์ได้ยัง”

     ผมพิมพ์เลขสิบหลักลงไปในโทรศัพท์ก่อนส่งคืนเจ้าของ พี่ธารโทรมาหาผมแล้วตัดสายไป เท่ากับตอนนี้เรามีเบอร์ของกันและกัน พี่ธารเอื้อมมือมาวางบนหัวผม โยกไปมาเหมือนเด็กๆ

     “ไปเรียนได้แล้ว ตั้งใจเรียนล่ะ หน้าเอ๋อแล้ว อย่างน้อยฉลาดบ้างก็ยังดี”

     ผมว่าผมคงได้เก็บคำว่าเอ๋อไปฝันสักวัน พี่ธารเล่นพูดกรอกหูตลอดเวลาจนผมเกือบนึกว่าตัวเองชื่อเอ๋อจริงๆ

     ผมถลึงตาใส่พี่ธาร เขาหัวเราะในลำคอ ผลักหัวผมเบาๆ แล้วเดินแยกไปอีกทาง ผมเดินไปตึกคณะตัวเอง ยังไม่ทันถึงก็มีเสียงเรียกดังขึ้นมา พอหันไปมองก็เห็นเพื่อนสนิทสองคนกำลังโบกไม้โบกมือ ผมเดินเข้าไปหาโดยส่งเสียงนำไปก่อนตัว

     “ทำไมวันนี้มาเร็วกันจัง”

     “ไม่ต้องมาถามกู นู่น ไปถามมันเถอะ เรียนสิบโมงแต่โทรมาปลุกเจ็ดโมง ไม่รู้จะให้กูมาบิณฑบาตหรือไง” ผิงบุ้ยปากไปยังคนที่นั่งตรงข้าม น้องนายหัวเราะแหะๆ ยกมือลูบท้ายทอย

     “พอดีจู่ๆ ก็เกิดอยากกินก๋วยจั๊บร้านป้าบัวขึ้นมาน่ะครับ แต่ร้านนี้หมดเร็วเลยต้องมาแต่เช้า”

     “แล้วจะลากกูมาด้วยทำไม”

     “ก็ผมไม่อยากนั่งกินคนเดียวนี่ครับ คุณผิงก็รู้ว่าผมขี้เหงา”

     “แล้วมึงไม่รู้เหรอว่ากูขี้เซา”

     “ผมเชื่อว่าคุณผิงเห็นเพื่อนสำคัญกว่าเตียงนอน”

     “ก็พูดซะอย่างนี้ แล้วจะให้กูปฏิเสธได้ไง”

     ผมส่ายหัวยิ้มๆ ขณะมองเพื่อนถกกันไปมา ผมมีเพื่อนสนิทสองคน คนแรกชื่อผิง เป็นผู้หญิงอวบระยะแรก มันให้เรียกแบบนั้นครับ มันบอกว่าไม่ได้อ้วนแค่มีเนื้อมีหนังพอน่ารัก คนที่สองชื่อนาย แต่พวกผมเรียกกันว่าน้องนาย เนื่องจากเรียกชื่ออย่างเดียวแล้วรู้สึกแปลกๆ น้องนายเป็นผู้ชายตัวเล็กที่หน้าตากับนิสัยเหมือนผู้หญิงมากกว่าผิงอีก คำพูดคำจาไพเราะ ไม่เคยพูดหยาบสักครั้ง ถ้ามองจากสายตาคนนอกคงสงสัยว่ามันมาสนิทกับพวกผมได้ยังไง ผมกับผิงนี่คนละขั้วกับน้องนายเลย

     “ว่าแต่เมื่อกี้ใครมาส่งคุณซนเหรอครับ” น้องนายถามพลางดูดชานมไข่มุกไปด้วย ผิงหันมาทำหน้าอยากรู้เหมือนกัน ผมนิ่วหน้า ไม่ตอบในทันที ไม่ใช่ไม่อยากตอบ แต่ไม่รู้จะตอบยังไง

     “คนรู้จักน่ะ” ตอบแบบนี้คงได้มั้ง ผมเพิ่งรู้จักพี่ธารได้ไม่นาน เอาสถานะนี้ไปก่อนแล้วกัน

     “มึงมีคนรู้จักอยู่มอเดียวกันด้วยเหรอ ทำไมไม่เคยบอก”

     กูก็เพิ่งรู้เหมือนมึงนั่นแหละผิง รู้ก่อนมึงไม่กี่นาทีด้วย

     “คนรู้จักห่างๆ น่ะ ไม่ใช่ญาติ” ผมบอกไปแบบนั้นเพราะถ้าให้เล่าจริงๆ คงยาว ผิงกับน้องนายพยักหน้ารับรู้ เลิกสนใจเรื่องผมแล้วเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น

     “เย็นนี้พวกมึงว่างปะ ไปดูแข่งบาสกัน กูได้ยินมาว่าพี่บอนด์จะลงด้วย”

     “คุณผิงเลิกชอบพี่เต้แล้วเหรอครับ” น้องนายเอียงคอถาม พี่เต้คือรุ่นพี่วิศวะที่ผิงตามกรี๊ดอยู่ตอนนี้ มีดีกรีถึงอดีตเดือน’มหาลัย แต่เอาจริงๆ ผมก็เห็นมันกรี๊ดผู้ชายทุกคน

     “ใครบอกกูเลิกชอบ”

     “ก็คุณผิงพูดเหมือนจะหันไปชอบพี่บอนด์แทน”

     “คุณน้องนาย ทำไมเราต้องเลือกคะในเมื่อรวบสองได้ พี่เต้ก็งานดี พี่บอนด์ก็งานพรีเมียม รักพี่เสียดายน้องรู้จักไหม”

     ผมกับน้องนายหันมามองตากัน ผิงยิ้มหน้าบานราวกับมันได้รวบสองจริงๆ โดยไม่ได้คำนึงถึงความจริงเลยว่าคนที่มันคิดจะรวบไม่รู้จักมันด้วยซ้ำ

     “ตกลงพวกมึงจะไปกับกูไหม” ผิงทวงคำตอบอีกครั้ง

     “กูไม่มีธุระอะไร”

     “ผมก็ไม่มี”

     “ดี ไปเป็นเพื่อนหน่อย คนอื่นจะได้ไม่รู้ว่ากูตั้งใจไปดูผู้ชายโดยเฉพาะ”

     สายตามุ่งมั่นขนาดนี้ มองจากดาวพลูโตยังรู้เลยว่าเพื่อนผมไม่ได้ไปดูการแข่งบาส ผมส่ายหัวแต่ไม่ได้ขัดอะไร เพราะเย็นนี้ผมไม่มีธุระจริงๆ ไว้ค่อยโทรไปบอกพี่ธารก็ได้ว่าจะกลับเอง พี่แกคงไม่มีปัญหาหรอกมั้ง





     ตึกคณะผมห่างจากสนามบาสพอสมควร แถมอาจารย์ยังปล่อยเลต กว่าจะมาถึงพื้นที่ก็ถูกจับจองไปเกือบหมดแล้ว ผมเพิ่งรู้ว่าการแข่งบาสเล่นๆ ในกลุ่มจะมีคนมาดูเยอะขนาดนี้ แถมส่วนใหญ่ยังเป็นผู้หญิงอีก ทันทีที่พวกผมเข้ามาเสียงกรี๊ดก็ดังกระหึ่มอัฒจันทร์

     “นั่นไงมึง หูย หล่อวัวตายควายล้มจริงๆ พ่อคุณ”

     ผมเพ่งสายตาไปตามมือของผิง มองจากตรงนี้เห็นพ่อคุณของมันไม่ชัดเท่าไหร่ รู้แค่ว่าเป็นผู้ชายร่างสูง ไหล่กว้าง รูปร่างดี เคลื่อนไหวร่างกายคล่องแคล่ว นั่นคือพี่บอนด์สินะ

     “พี่บอนด์ขา สู้ๆ ผิงเอาใจช่วยเต็มที่” ผิงตะโกนเชียร์ด้วยแรงรักทั้งหมดที่มี แต่แรงรักของมันดันโดนเสียงคนรอบข้างกลบจนมิด ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเชียร์ต่อไป

     ผมนั่งมองการแข่งบาสกับเพื่อน จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนลืมบางอย่าง ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งถึงนึกออกว่าลืมบอกพี่ธาร ฉิบหาย ป่านนี้ไม่รอเก้อแล้วเหรอวะ ผมรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างไว กำลังจะกดโทรออก แต่ดันเหลือบไปเห็นข้อความในไลน์ก่อน

     พี่ธารไลน์มาบอกเมื่อชั่วโมงที่แล้วว่าเย็นนี้อาจมารับช้าหน่อยเพราะติดแข่งบาส ผมขมวดคิ้ว พี่ธารแข่งบาสด้วยเหรอ สัญชาตญาณบางอย่างทำให้ผมเงยหน้าจากโทรศัพท์มองไปในสนาม พอดีกับที่ผิงพูดขึ้นมา

     “พี่ธารอย่ายอมแพ้นะคะ ผิงเอาใจช่วย ทำแต้มนำให้เยอะๆ เลย”

     “เมื่อกี้คุณผิงยังเอาใจช่วยพี่บอนด์อยู่เลยนะครับ”

     “เอ๊ะไอ้น้องนาย ต้องให้บอกอีกกี่รอบว่าเราไม่จำเป็นต้องเลือก ของดีแบบนี้จะเหลือให้คนอื่นทำไม เราต้องเก็บไว้คนเดียวสิ”

     “ผิง”

     “อะไร”

     “พี่ธารที่มึงพูดถึงคือคนไหน”

     ผิงทำหน้างงที่จู่ๆ ผมก็เกิดสนใจผู้ชายในสต๊อกมัน แต่มันก็ยอมบอก

     “คนนั้นไง ที่ใส่เสื้อสีน้ำเงิน อยู่ทีมเดียวกับพี่บอนด์”

     ผมมองตามมือของผิง ก่อนดวงตาจะค่อยๆ เบิกกว้าง ผู้ชายที่หุ่นพอๆ กับพี่บอนด์กระโดดชู้ตบาสลงห่วงได้อย่างสวยงาม เรียกเสียงกรี๊ดจากทุกสารทิศจนอัฒจันทร์แทบแตก แน่นอนว่าเพื่อนผมก็ด้วย

     “กรี๊ด! พี่ธารเก่งมากเลยค่ะ เท่ที่สุดในสามโลกเลย พี่บอนด์ก็ด้วย เอาใจน้องผิงคนนี้ไปเลยค่าาาา”

     ผมว่าเสียงกรี๊ดคนอื่นดังมากแล้วนะ แต่ผิงมันก็ยังมีความสามารถในการตะโกนให้ดังกว่า ผู้ชายสองคนมองขึ้นมาเมื่อถูกเอ่ยชื่อ พี่บอนด์ส่งยิ้มชวนละลายมาให้ ทำเอาเพื่อนผมรวมถึงสาวๆ ที่อยู่บริเวณนี้ตายกันเป็นแถบ แต่อีกคนกลับมองมาที่ผมด้วยสีหน้าแปลกใจ แต่ไม่นานมุมปากก็ยกยิ้ม พี่ธารหันไปคุยบางอย่างกับพี่บอนด์ หลังจากนั้นก็วิ่งออกมาจากสนามโดยให้เพื่อนอีกคนมาเล่นแทน

     ทุกคนต่างแปลกใจว่าทำไมจู่ๆ พี่ธารถึงออกมา มีแค่ผมคนเดียวที่พอเดาได้ว่าเขาจะทำอะไร และก็เป็นจริงอย่างที่คิด พี่ธารเดินขึ้นมาบนอัฒจันทร์ มีสายตานับสิบมองตาม เขาเดินขึ้นมาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่หน้าผม ย่อตัวจนสายตาอยู่ระดับเดียวกัน ผิงที่นั่งข้างๆ เกิดอาการใบ้รับประทาน พูดไม่ออกชั่วขณะ ผมเองก็ใบ้รับประทานเหมือนกัน แต่เหตุผลต่างออกไป

     “มาเชียร์กูด้วยเหรอ ทำไมไม่บอกกันก่อนล่ะ”

     “…”

     “รอแป๊บนึง เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว เดี๋ยวพาไปหาอะไรกิน อย่าเพิ่งหนีกลับนะ”

     พี่ธารยืนขึ้นเมื่อได้พูดสิ่งที่อยากพูดหมดแล้ว วางมือบนหัวผมแล้วโยกเบาๆ ก่อนจะกลับไปรวมตัวกับคนอื่น โดยไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองได้ทิ้งระเบิดลูกใหญ่เอาไว้

     คนทั้งอัฒจันทร์เงียบกริบ ต่างมองมาที่ผมเป็นจุดเดียว ผมลอบกลืนน้ำลาย ค่อยๆ หันไปมองเพื่อนตัวเอง น้องนายมองผมด้วยแววตาสงสัย ผิดกับอีกคนที่จ้องจนผมแทบพรุน ผิงยื่นหน้ามาใกล้ ทำหน้าเหมือนตำรวจกำลังจะไต่สวนผู้ต้องหา ตั้งแต่คบกันมาผมเพิ่งเห็นมันทำหน้าน่ากลัวแบบนี้ครั้งแรก

     “มึงไปรู้จักกับพี่ธารได้ยังไง ตอบค่ะ”

     “คือเรื่องมันยาว...”

     “ยาวแค่ไหนกูก็มีเวลาฟัง”

     พี่ธารนะพี่ธาร จะขึ้นมาทักทายทำไมก็ไม่รู้ กลัวคนอื่นไม่รู้หรือไงว่ารู้จักกัน กลับมาช่วยอธิบายเลยนะไอ้พี่บ้า!!



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter : earthxxide (https://twitter.com/earthxxide?t=muF0165hiRexxkrO2QLULw&s=09)

     Fanpage : Earthxxide (https://www.facebook.com/earthxxide?mibextid=ZbWKwL)
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 2] ✪ 15/04/2023
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 16-04-2023 14:22:24
 :mew6: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 2] ✪ 15/04/2023
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 16-04-2023 18:22:53
 :-[ :o8:
หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 3] ✪ 18/04/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 18-04-2023 19:28:33
ตอนที่ 3
เด็กเอ๋อ


     ระหว่างที่ผมอธิบายยาวเหยียดเรื่องความสัมพันธ์ของผมกับพี่ธาร ผิงก็เอาแต่ฟังด้วยหน้านิ่งๆ จนกระทั่งผมเล่าจบมันก็เอื้อมมือมาจับบ่า ทำหน้าจริงจังเหมือนกำลังวางแผนยึดครองโลก

     “ซน”

     “อะไร”

     “กูอยากสิงร่างมึงว่ะ”

     “อะไรของมึงวะผิง” ผมงงเป็นไก่ตาแตก น้องนายก็ไม่ต่างกัน ผิงเลิกเก๊กหน้านิ่ง เปลี่ยนมาทำหน้ากระเง้ากระงอด

     “หูยยย ได้อยู่ข้างบ้านพี่ธารเลยนะ แถมครอบครัวยังรู้จักกันอีก รู้ไหมว่ามึงเป็นคนที่น่าอิจฉาที่สุดในมหา’ลัย”

     “ขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

     “เออสิวะ” ผิงหันไปตอบน้องนาย ยิ้มแปลกๆ จนผมขนลุกขนพอง “ถ้าบ้านกูอยู่ติดกับบ้านพี่ธารนะ กูจะทำขนมไปให้เขาทุกวันเลย ไม่มีผู้ชายคนไหนไม่หลงเสน่ห์ปลายจวักของผู้หญิงหรอก น้ำหยดลงหินทุกวัน หินจะไม่ใจอ่อนให้มันรู้ไป”

     ผมยิ้มแหยๆ กับจินตนาการของเพื่อน ไม่กล้าขัดว่าเสน่ห์ปลายจวักหรือปลายคมมีดกันแน่ ผิงเคยทำขนมมาให้ผมกับน้องนายชิม นั่นคือครั้งเดียว ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่มันทำขนมในชีวิต ไม่ต้องถามถึงรสชาตินะครับ เอาเป็นว่าไม่ต้องหามส่งโรงพยาบาลก็บุญแล้ว ถือเป็นโชคดีของพี่ธารที่ไม่ได้อยู่ติดบ้านผิง

     ตอนนี้ผมยืนรอพี่ธารอยู่ข้างอัฒจันทร์ พี่ธารกำลังไปเปลี่ยนชุดหลังการแข่งจบลง ผิงกับน้องนายอาสาอยู่รอเป็นเพื่อน น้องนายกลัวผมเหงา แต่ผิงผมว่ามันอยากเห็นพี่ธารระยะใกล้มากกว่า

     “แต่พูดก็พูดเถอะ มึงกล้ามากนะคะที่ให้เขาเป็นแค่คนรู้จัก” จู่ๆ ผิงก็หุบยิ้มแล้วหันมาเล่นงานผม

     “มึงจะให้กูตอบยังไง กูรู้จักแต่แม่พี่ธาร ไม่เคยคุยกับเขาสักครั้ง ขนาดเขาเรียนมอเดียวกันกูยังเพิ่งรู้เลย คนยังไม่สนิทกันก็ต้องให้เป็นคนรู้จักปะวะ”

     “แต่กูว่าเขาเหมือนพี่ชายมึงมากกว่า อารมณ์แบบพี่ชายข้างบ้าน พ่อกับแม่มึงก็ฝากฝังให้เขาดูแลมึงระหว่างที่ไม่อยู่ไม่ใช่เหรอ คนรู้จักธรรมดาคงไม่ไว้ใจกันขนาดนี้หรอก”

     “ผมคิดเหมือนคุณผิงนะครับ คุณซนอย่าคิดว่าพี่ธารเป็นแค่คนรู้จักเลย ถ้าเขามาได้ยินจะเสียใจ เป็นเพื่อนบ้านกันมานานแต่อีกฝ่ายกลับบอกว่าเราเป็นแค่คนรู้จัก”

     ผมอยากบอกน้องนายเหลือเกินว่าไอ้พี่ธารไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องแค่นี้หรอก ดีไม่ดีคนที่ควรเสียใจต้องเป็นผมด้วยซ้ำ รู้จักกันวันแรกก็ว่าผมเอ๋อแล้ว ไหนจะสารพัดคำสบประมาทอีก ผู้ชายอะไรหล่อเสียของจริงๆ

     “เอ๋อ”

     นั่นไง พูดยังไม่ทันขาดคำก็โดนว่าอีกแล้ว พี่เกลียดอะไรผมหรือเปล่าวะ เอาแต่ว่าเอ๋อๆๆ อยู่ได้ ผมไม่ได้เอ๋อสัก...

     !!!

     ผมหันขวับไปมองเจ้าของเสียงทุ้ม พี่ธารกำลังยืนอยู่ตรงหน้า บนบ่าสะพายกระเป๋า ผิงกับน้องนายกะพริบตาปริบเมื่อได้ยินฉายาที่ไม่คุ้นหู ผมแทบจะแยกเขี้ยวใส่พี่มัน ชื่อมีไม่เรียกดันเรียกเอ๋อ

     “กลับกัน กูหิวแล้ว”

     “เมื่อกี้พี่ธารเรียกเพื่อนหนูเหรอคะ” ผิงถามหน้าเหลอหลา เหมือนมันจะตะลึงฉายาผมจนลืมเขินพี่ธารในระยะใกล้ พี่ธารยิ้มมุมปาก เป็นยิ้มที่มีผมรู้ความหมายคนเดียว

     “ครับ”

     ผิงกับน้องนายหันมามองผม สายตาเป็นเครื่องหมายคำถาม แต่ใครจะไปอธิบายให้เข้าตัวล่ะ นาทีนี้ต้องรีบเผ่น

     “เจอกันพรุ่งนี้นะพวกมึง กูกลับก่อน”

     “อะ...โอเค เจอกันพรุ่งนี้”

     “กลับดีๆ นะครับคุณซน”

     ผมบอกลาเพื่อนก่อนจะรีบจูงมือพี่ธารออกมา พอเดินมาถึงลานจอดรถก็หันไปทำหน้าบึ้งใส่ทันที

     “เรียกผมว่าเอ๋อต่อหน้าเพื่อนทำไม”

     “อะไร กูว่าชื่อนี้เข้ากับมึงออก”

     “ผม ชื่อ ซน ไม่ ได้ ชื่อ เอ๋อ” ผมเน้นทีละคำ เผื่อมันจะเข้าไปในสมองคนตรงหน้าบ้าง

     “กูรู้ แต่กูจะเรียกเอ๋อ มีปัญหาไหม” พี่ธารยักคิ้วหลิ่วตา ยิ้มยียวนกวนประสาท ไอ้...โว้ยยย! ไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาเยินยอ

     “พี่แม่งชอบแกล้ง”

     “ถ้าไม่อยากให้แกล้งก็หยุดเอ๋อดิ”

     “ผมไม่ได้เอ๋อสักหน่อย”

     พี่ธารไม่พูดอะไรต่อ แต่รอยยิ้มในดวงตาบอกว่าอีกฝ่ายกำลังนึกถึงวีรกรรมที่ผ่านมาของผม เออ ผมยอมรับว่าทำอะไรไม่ค่อยเป็น แต่ไม่เห็นต้องว่าเอ๋อเลย คนเราผิดพลาดกันได้ สี่เท้ายังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ไม่เคยได้ยินหรือไง

     “ขึ้นรถได้แล้ว กูหิว ชักช้าเดี๋ยวก็ทิ้งไว้นี่หรอก” พี่ธารเร่ง ผมทำหน้าไม่พอใจแต่ก็ยอมขึ้นรถ ไม่ใช่อะไรนะครับ ผมกลับบ้านเองไม่เป็น คิดมาถึงตรงนี้แล้วก็อดนิ่วหน้าไม่ได้ หรือผมจะเอ๋ออย่างที่พี่มันบอกจริงๆ วะ

     ผมเหลือบไปมองคนที่กำลังขับรถ พี่ธารผิวปากเหมือนอารมณ์ดีที่ได้แกล้งผมต่อหน้าเพื่อน ยิ่งทำให้หน้าผมบูดบึ้งกว่าเดิม มึงมาดูเลยนะผิง คนแบบนี้น่ะเหรอจะมาเป็นพี่ชายกู ไม่มีทางซะหรอก ให้ตายยังไงผมก็ไม่นับญาติกับไอ้พี่ธารเด็ดขาด!





     “เด็กน้อย”

     “หยุดเลยนะพี่ธาร”

     “ก็มึงมันเด็กจริงๆ”

     “บอกให้หยุดไง”

     พี่ธารส่ายหัวอย่างระอา มองชามบะหมี่ผมที่มีผักถูกเขี่ยไว้ข้างๆ แค่ไม่กินผักเอง วัยรุ่นสมัยนี้เป็นกันตั้งหลายคน ผมแข็งแรงอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องพึ่งเศษวิตามินในใบเขียวๆ ไม่กี่ใบนี่เลย

     “อายุเท่าไหร่แล้วมึงน่ะ”

     “เด็กกว่าพี่แล้วกัน” อยากมาว่าดีนัก หลอกด่าว่าแก่ซะเลย

     “ไม่เถียง เด็กจริงๆ เด็กไม่รู้จักโตด้วย ผักแค่นี้ยังไม่กิน เลือกกินแบบนี้ไงถึงโตไม่ทันคนอื่น อยู่มหา’ลัยแต่ขนาดตัวอย่างกับเด็กประถม...”

     “คร้าบบบ ผมรู้แล้ว พี่ไม่ต้องบ่นแล้ว” ผมรีบคีบผักใบเขียวเข้าปากแทบไม่ทัน เมื่อคนตรงหน้าเทศนายาวเหยียดจนเกือบยกมือไหว้ ผมคิดถูกจริงๆ ที่ไม่ให้พี่ธารเป็นพี่ชาย แต่ถ้าพ่อนี่อีกเรื่อง พ่อแท้ๆ ยังไม่บ่นผมขนาดนี้เลย นี่เล่นซะหูเกือบไหม้

     พี่ธารหัวเราะหึๆ เมื่อเห็นผมกินผักจนหมดชาม หมดก่อนหมูอีก พูดขนาดนั้นใครจะไปทนเฉยได้วะ

     “แล้วทำไมวันนี้ถึงไปอยู่สนามบาสได้ มาเชียร์กูเหรอ”

     “ตลกแล้ว ผมตามเพื่อนไปเฉยๆ แล้วมันก็ไปเชียร์พี่บอนด์ ไม่ได้ไปเชียร์พี่” ผมถือว่าไม่ได้โกหก เพราะตอนแรกผิงบอกแค่ว่าจะไปดูพี่บอนด์จริงๆ ส่วนหลังจากนั้นไม่นับ

     “ไม่เป็นไร เชียร์เพื่อนกูก็ถือว่าเชียร์กู”

     “พี่บอนด์เป็นเพื่อนพี่เหรอ”

     “อืม”

     ผมก็พอรู้อยู่บ้างว่าคนหน้าตาดีชอบคบหากันเอง แต่พวกพี่ไม่คิดจะเผื่อแผ่ความหล่อให้คนอื่นเลยเหรอครับ คนหล่อจับกลุ่มกับคนหล่อหมด คนขี้เหร่อย่างผมก็ไม่มีที่ยืนสิ





     “อิ่มหรือเปล่า” พี่ธารถามเมื่อเห็นผมกินหมดแล้ว

     “อิ่มดิพี่ ลุงแกให้มาตั้งเยอะ ไม่อิ่มก็ไม่ใช่คนแล้ว”

     “แค่ถามเฉยๆ เห็นหุ่นเลยนึกว่ากินจุ”

     ผมรีบก้มมองตัวเองทันที พี่ธารพูดแบบนี้จะสื่อว่าผมอ้วนเหรอ ช่วงนี้ผมแค่กินขนมจุกจิกเยอะไปหน่อยเอง อะไรจะน้ำหนักขึ้นเร็วปานนั้น

     “ผมไม่ได้อ้วน” ผมพูดออกไปอย่างมั่นใจ

     “อ้วน”

     “ไม่ได้อ้วน”

     “อ้วนสิ”

     ฮึ่ม! จะโกรธจริงๆ แล้วนะไอ้พี่ธาร

     “อ้วนอย่างเดียวไม่พอ แก้มย้วยอีก” ไม่พูดเปล่า พี่ธารเอื้อมมือมาดึงแก้มผมยืดออก ผมร้องออกมาด้วยความเจ็บ มือหรือตีนวะ

     “เอ็บบบ”

     “พูดให้ชัดๆ หน่อยเอ๋อ”

     “ไอ้อ้ายเอ๋อ”

     “พูดอะไรฟังไม่รู้เรื่อง” พี่ธารดึงแก้มผมขึ้นลงก่อนจะยอมปล่อย ยิ้มมุมปากราวกับพอใจที่ได้แกล้ง ผมยกมือมาลูบแก้มป้อยๆ ตัวก็ใหญ่มือยังหนักอีก

     “ผมบอกว่าผมไม่ได้เอ๋อ”

     “มึงเอ๋อ”

     “ก็บอกว่าไม่ได้เอ๋อไง”

     “ไม่เอ๋อสำหรับคนอื่นแต่เอ๋อสำหรับกู”

     ผมเอียงคอย่นคิ้ว มีแบบนี้ด้วยเหรอวะ อาการเอ๋อมันเลือกคนได้ด้วยเหรอ

     “นี่ไง ทำหน้าเอ๋ออีกแล้ว” พี่ธารยื่นหน้ามาใกล้ เล่นเอาผมผงะเล็กน้อย ถอยหน้าหนีแทบไม่ทัน “กูตัดสินใจละ หลังจากนี้กูเรียกมึงว่าเอ๋อดีกว่า”

     “ไม่เอา”

     “ไม่ต้องห่วง กูไม่เรียกต่อหน้าคนอื่นเหมือนวันนี้หรอก ไม่ให้คนอื่นเรียกมึงว่าเอ๋อด้วย กูเรียกได้คนเดียว สบายใจได้”

     ใครเขาห่วงเรื่องนั้นกัน!

     “จะเรียกตอนไหนก็ไม่ได้ทั้งนั้น”

     “อิ่มแล้วใช่ไหมเอ๋อ งั้นกลับกัน กูไปจ่ายเงินก่อน”

     “พี่ธาร!”

     เจ้าของชื่อไม่สนหน้าบึ้งๆ ของผม เดินตัวปลิวไปจ่ายเงินก่อนจะกลับมาพร้อมรอยยิ้ม ผมสะบัดหน้าหนี เดินดุ่มๆ ไปขึ้นรถ บอกว่าไม่ให้เรียกยังจะเรียกอีก คนอะไรพูดไม่รู้เรื่อง

     “เป็นอะไร” พี่ธารถามตอนที่ขึ้นรถมาแล้วเห็นว่าผมยังไม่หายบึ้ง

     “ถ้าพี่เรียกว่าเอ๋ออีกผมจะฟ้องแม่”

     “เอาสิ กูก็อยากรู้เหมือนกันว่าระหว่างเรื่องนี้กับเรื่องที่มึงใช้น้ำส้มสายชูแทนน้ำมันจนครัวเกือบพัง แม่มึงจะสนใจเรื่องไหนมากกว่า”

     ทำไมถึงร้ายกาจอย่างนี้!

     “พี่ขู่ผมเหรอ”

     “เปล่า กูเอาจริง” พี่ธารสตาร์ทรถพลางหันมามองผมแวบหนึ่ง มุมปากกระตุกยิ้ม “เอาน่า คิดอะไรมากมาย มึงควรดีใจด้วยซ้ำนะที่กูเรียกว่าเอ๋อ”

     “มันน่าดีใจตรงไหน”

     “ตรงที่มึงเป็นเด็กเอ๋อของกูคนเดียว”

     ผมหันไปมองคนพูด พอดีกับที่พี่ธารหันมา สายตาเราจึงสบกันโดยไม่ตั้งใจ

     “เป็นไง ดีใจขึ้นมาหรือยัง”

     ผมยู่ปากใส่ก่อนจะหันหน้าหนี พี่ธารหัวเราะหึๆ หันไปมองถนนตามเดิม ถ้าคนที่พี่ธารพูดด้วยคือผิง ป่านนี้มันคงเลือดหมดตัวไปแล้ว แต่เผอิญผมไม่ใช่ผิง และผมก็ไม่อยากเป็นเด็กเอ๋อของใครทั้งนั้น ไอ้พี่ธารคิดว่าหน้าหล่อๆ ของตัวเองใช้ได้กับทุกเพศหรือไง

     เอาเถอะ ห้ามไปก็คงไม่ฟังอยู่ดี ยังไงผมก็ต้องพึ่งพี่ธารไปอีกนาน ถึงไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่แต่ผมจะยอมเป็นเด็กเอ๋อของพี่ธารแล้วกัน



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter : earthxxide (https://twitter.com/earthxxide?t=muF0165hiRexxkrO2QLULw&s=09)

     Fanpage : Earthxxide (https://www.facebook.com/earthxxide?mibextid=ZbWKwL)
หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 4] ✪ 19/04/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 19-04-2023 18:53:55
ตอนที่ 4
นิดเดียว


     ตั้งแต่วันที่พี่ธารประกาศต่อหน้าสาธารณชนว่าเรารู้จักกัน รอบตัวผมก็รายล้อมไปด้วยเหล่าแฟนคลับพี่ธาร บ้างก็มาฝากขนม บ้างก็มาฝากดอกไม้ หรือบางคนฮาร์ดคอร์กว่านั้น ฝากถ่ายรูปพี่ธารตอนเผลอเพื่อจะเอาไปลงเพจ ตกลงไอ้พี่ธารมาดูแลผมหรือมาทำให้ชีวิตผมวุ่นวายขึ้นกันแน่

     “ของใคร” เสียงทุ้มถามตอนที่ผมก้าวขึ้นมาบนรถ พี่ธารมองดอกไม้ในมือผมพลางขมวดคิ้ว

     “ของพี่ไง”

     เสียงถอนหายใจดังมาให้ได้ยิน ก่อนที่เจ้าของดอกไม้จะคว้าไปจากมือผม โยนไปเบาะหลังอย่างไม่สนใจ

     “อ้าวพี่! เดี๋ยวดอกไม้ช้ำหมด”

     “กูบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ต้องรับมา”

     “ตอนแรกผมก็ว่าจะไม่รับ แต่คนที่ฝากมาเขาบอกว่าชอบพี่จริงๆ แถมทำหน้าน่าสงสารจนผมปฏิเสธไม่ลง” ผมพูดเสียงอ่อย เหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก แต่ช่วงนี้จะเยอะหน่อยเพราะใกล้ถึงวันวาเลนไทน์ ซึ่งทุกครั้งพี่ธารจะบอกว่าคราวหลังไม่ต้องรับมาอีก แต่ผมก็ไม่เคยทำได้สักครั้ง

     “กูรับดอกไม้จากทุกคนไม่ได้หรอกนะ และกูก็ไม่อยากรับด้วย ยังเรียนอยู่แท้ๆ แทนที่จะเอาเงินไปใช้เรื่องของตัวเองดันเอามาซื้อดอกไม้ให้คนอื่น มึงไม่คิดว่าไร้สาระเหรอ”

     นี่ไงครับ สาเหตุที่คนมักจะฝากของมาทางผม ไม่เอามาให้พี่ธารตรงๆ ผิงเคยบอกว่าพี่ธารชอบทำหน้าโหด โลกส่วนตัวสูง คนทั่วไปเลยไม่กล้าเข้าหา แรกๆ ผมคิดว่าผิงพูดเกินไป แต่พอรู้จักกันไปนานๆ ผมถึงรู้ว่าสิ่งที่เพื่อนผมพูดยังน้อยไปด้วยซ้ำ

     “พี่ก็พูดเกินไป นั่นแฟนคลับพี่นะ เขารักพี่ปลื้มพี่เลยอยากให้ของเฉยๆ ก็แค่นั้นเอง”

     “เอ๋อ กูเป็นนักศึกษาธรรมดา ไม่ใช่ดาราหรือไอดอลที่อยากให้คนมามอบความรักให้ ถ้ามึงอยากใช้ชีวิตสงบๆ แต่กลับมีคนพยายามเข้าหาตลอดเวลา มึงจะไม่อึดอัดเหรอ”

     “…” พอพี่ธารพูดแบบนี้ผมก็เริ่มเห็นภาพ จริงอย่างที่พี่มันว่า การเป็นคนดังบางครั้งก็ไม่ได้มีแต่เรื่องดีเสมอไป ถ้าต้องเป็นคนดังแต่แลกกับไม่มีพื้นที่ส่วนตัว ผมยอมเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีใครสนใจยังดีกว่า

     “เข้าใจแล้วใช่ไหม กูไม่ได้อยากโด่งดังหรือเป็นที่รู้จัก กูแค่อยากใช้ชีวิตของกูเท่านั้น”

     “อื้อ ผมเข้าใจแล้ว”

     “งั้นคราวหลังห้ามรับมาอีกไม่ว่าจะดอกไม้หรืออะไรก็ตาม ถ้ายังมีคราวหน้ากูจะให้มึงซักเสื้อผ้าด้วยมือ”

     “เฮ้ย! เรื่องนั้นมาเกี่ยวได้ไงอะพี่” ผมโวยวาย ไอ้พี่ธารคิดจะใช้โอกาสนี้แกล้งผมเหรอ ไม่มีทาง เครื่องซักผ้าก็มีจะให้ซักมือทำไม เสื้อผ้าผมไม่ใช่น้อยๆ ซักมือทีมีหวังเมื่อยตายชัก

     “มึงจะได้ไม่กล้ารับมาอีกไง ถ้าไม่มีบทลงโทษมึงก็ไม่ทำตามที่กูบอกหรอก”

     “พูดดีๆ ผมก็ทำตามแล้ว”

     “กูพูดดีมากี่ครั้งแล้วฮะ หรือในนี้มันเอ๋อจนแปลคำพูดกูไม่ออก” พี่ธารใช้มือข้างที่ว่างมาผลักหัวผมเบาๆ

     “ก็ได้ๆ ผมรู้แล้ว หลังจากนี้ผมจะไม่รับของจากแฟนคลับพี่อีก พอใจยัง”

     พี่ธารกระตุกยิ้ม เป็นคำตอบว่าเจ้าตัวพอใจคำตอบของผม คนอะไรเผด็จการชะมัด ใช้อำนาจในทางมิชอบ ตัวเองเป็นคนทำให้ผมลำบากแท้ๆ ยังจะมาข่มขู่อีก ไอ้หล่อเสียของเอ๊ย!





     “ไม่ทำ” ผมยู่ปาก ส่ายหน้าไปมาจนผมกระจาย พูดคำเดิมซ้ำรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของวัน

     “แล้วมึงจะใส่ทั้งเปียกๆ แบบนี้เหรอ อยากปอดบวมหรือไง”

     “ทำไมพี่ไม่ปั่นแห้ง”

     “ปั่นแห้งเขาไว้ใช้ตอนเร่งรีบ นี่มึงว่างทั้งวัน แดดก็กำลังดี อย่ามัวแต่ลีลามาตากผ้าได้แล้ว”

     ผมยังยืนอยู่ที่เดิม ไม่ขยับตามที่พี่ธารสั่ง เห็นกองผ้าในตะกร้าแล้วใจมันท้อ ทีแรกพี่ธารจะให้ผมทำเองหมด แต่เพราะกลัวว่าผมจะทำเครื่องซักผ้าพังเขาเลยมาทำให้ ซึ่งผมคิดว่าไหนๆ ก็เอาผ้าลงเครื่องให้แล้วทำไมไม่ตากให้ด้วยเลยล่ะ พ่อให้มาดูแลผมไม่ได้ให้มาใช้ผมเสียหน่อย

     “เอ๋อ กูไม่ได้ว่างมาคุมมึงทั้งวันนะ รีบมาตากเร็ว”

     เรียกอย่างนี้ อย่าหวังเลยว่าไอ้ซนจะเชื่อฟัง

     “กูนับหนึ่งถึงสาม”

     ไม่รู้ ไม่สน ไม่ได้ยิน

     “หนึ่ง”

     นับก็นับไปสิ

     “สอง”

     ไม่เห็นกลัวเลย

     “สาม”

     ก็แค่พี่ชายข้างบ้าน ทำมาเป็น...

     “เฮ้ย!!” ผมร้องลั่นเมื่อจู่ๆ ร่างทั้งร่างก็ลอยขึ้นจากพื้น พี่ธารอุ้มผมขึ้นพาดบ่า เอาหัวห้อยจนเสียวตกแหล่ไม่ตกแหล่ พอจะร้องโวยวายก็โดนตีก้นแรงๆ จนเกิดเสียง ทำเอาผมนิ่งงันไปครู่ใหญ่

     อะ...ไอ้พี่ธาร...ไอ้พี่บ้ามันตีก้นผม!!!

     “ปล่อยนะโว้ยยย ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่งั้นฟ้องแม่จริงๆ ด้วย” ผมแหกปากโวยวาย ดิ้นสุดกำลังเพื่อจะได้หลุดออกไป แต่ไม่รู้ไอ้พี่ธารเอาแรงมาจากไหน ตัวผมก็ใช่ว่าจะเบา แต่พี่มันกลับยกด้วยแขนข้างเดียวได้สบายเหมือนยกปุยนุ่น

     “เอาสิ ดิ้นแรงๆ เลย ตกลงไปคอหักกูไม่รู้ด้วยนะ”

     ไม่รู้ว่าเป็นคำขู่หรือคำเตือน แต่มันก็ทำให้ผมหยุดดิ้นได้ทันที พี่ธารทำท่าจะทุ่มลงพื้น คราวนี้ผมเปลี่ยนมากอดคอพี่มันไว้แน่น เอาสิ ถ้าจะร่วงก็ร่วงไปด้วยกันนี่แหละ เกาะแน่นเป็นตุ๊กแกขนาดนี้เอาคีมมางัดก็ไม่ออกบอกเลย

     “ทีนี้จะยอมตากผ้าดีๆ ไหม” เสียงทุ้มถามข้างหู ผมรีบพยักหน้ารัวๆ

     “ตะ...ตาก ตากก็ได้”

     พี่ธารส่งเสียงหึในลำคอก่อนจะวางผมลง ผมรีบผละออกมาอย่างไว จ้องคนตรงหน้าราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ทั้งชีวิตไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับผมมาก่อน ไอ้พี่ธารกล้ามาก ผมจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องน้าพร จะใส่ความเยอะๆ เลยคอยดู

     “มองทำไม รีบไปตากสิ กูรู้ว่าตัวเองหล่อ ไม่ต้องมองนานก็ได้”

     ผมถลึงตาใส่คนหลงตัวเอง เดินฮึดฮัดไปยังตะกร้าเสื้อผ้าก่อนจะหยิบขึ้นมาตากทีละตัว ไอ้พี่บ้าก็เอาแต่ยืนมอง ไม่คิดจะมาช่วยเลยหรือไง นอกจากขี้แกล้งแล้วยังใจดำอีก เสียดายหน้าหล่อๆ ชะมัด

     “ตากดีๆ สะบัดก่อนด้วย ตากไม่ได้เรื่องกูให้ตากใหม่นะ”

     “รู้แล้วน่า สั่งเป็นพ่อผมเชียวนะ”

     “ไม่อยากเป็นพ่อ อยากเป็นอย่างอื่น”

     “พี่ว่าไงนะ” ผมหยุดมือที่กำลังตากผ้า หันไปถามคนที่พูดเสียงเบาจนจับใจความไม่รู้เรื่อง

     “กูบอกว่าถ้าตั้งใจทำเดี๋ยวมีรางวัลให้”

     ผมตาลุกวาวเมื่อได้ยินคำว่ารางวัล ลืมอารมณ์ขุ่นมัวเมื่อครู่ไปสนิท แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก ถ้าบอกกันก่อนผมยอมตากไปนานแล้ว ไม่ปล่อยให้โดนจับพาดขึ้นบ่าตีก้นหรอก

     “พี่พูดจริงเหรอ”

     “จริง”

     “ไม่ลูกไม้แน่นะ”

     “เออ ตากต่อได้แล้ว”

     ผมยิ้มกว้าง มีแรงตากผ้าขึ้นมาสิบเท่า พี่ธารจะให้อะไรผมนะ ค่าขนม เสื้อผ้าใหม่ หรือหุ่นกันดั้ม แต่จริงๆ ผมอยากรีเควสเองมากกว่า เผื่อรางวัลของพี่ธารไม่ถูกใจ

     ไอ้พี่ธารนี่ใจดีเหมือนกันแฮะ แบบนี้สิค่อยมีแรงทำงานบ้านหน่อย ตาผมเป็นประกายเมื่อนึกเรื่องดีๆ ออก ไว้คราวหน้าผมเอาเรื่องรางวัลมาต่อรองอีกดีกว่า ทำงานบ้านหนึ่งอย่างได้รางวัลหนึ่งชิ้น กว่าพ่อแม่จะกลับมาผมรวยเละแน่





     “แค่นี้อะนะ?”

     “เออ”

     “กูถามจริง เรื่องแค่นี้มึงถึงกับเอามาโกรธเขาเลยเหรอ” ผิงถามด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ หลังผมเล่าเรื่องตากผ้าให้มันกับน้องนายฟัง

     “มึงไม่เป็นกูไม่เข้าใจหรอกผิง”

     ผิงมองผมอย่างทึ่งๆ หันไปมองตากับน้องนายที่ทึ่งพอกัน ผมยังทำหน้าบอกบุญไม่รับ ยิ่งนึกถึงหน้าคนขี้โกหกยิ่งหงุดหงิด ไหนบอกว่าถ้าตากผ้าแล้วจะให้รางวัลไง นี่เลยมาสองวันแล้วยังไม่เห็นได้อะไรสักอย่าง ทำไมผมไม่เอะใจว่าไอ้พี่ธารหลอกผม

     “คุณซนใจเย็นๆ ก่อนดีไหมครับ พี่ธารอาจกำลังหารางวัลมาให้อยู่ก็ได้”

     “ปล่อยไปเถอะ ให้มันทำหน้าเหมือนปลาดุกโดนทุบต่อไปนั่นแหละ เดี๋ยวก็หาย” ผิงพูดอย่างไม่ใส่ใจ ผมรีบยกมือมาจับหน้าตัวเอง หน้าผมเหมือนปลาดุกโดนทุบเหรอ ขี้เหร่มากเลยนะนั่น ผิงมันไม่มีอย่างอื่นให้เปรียบเทียบแล้วหรือไง

     “ทำไมมึงพูดเหมือนกูผิดเลย พี่ธารต่างหากที่ผิด สัญญาไว้แต่ไม่ทำตามสัญญา ใครบ้างจะไม่โกรธ”

     “แต่นั่นมันหน้าที่มึง เขาไม่จำเป็นต้องมาช่วยด้วยซ้ำแต่ก็ยังมาช่วย มึงควรขอบคุณเขามากกว่ามานั่งโกรธเขาแบบนี้นะ”

     “ผมเห็นด้วยกับคุณผิงนะครับ”

     ผมหน้ามู่ทู่กว่าเดิมเมื่อเพื่อนไม่เข้าข้างสักคน อะไรวะ ผมผิดเหรอที่โกรธเพราะไม่ได้รางวัล ก็พี่ธารบอกเองว่าจะให้ ตัวเองพูดเองแล้วผิดสัญญาเอง มันก็สมควรโกรธไม่ใช่เหรอ

     “หน้าบึ้งอีกแล้ว หน้าแบบนี้ไม่เข้ากับมึงหรอก กลับมาทำหน้าเอ๋อเหมือนเดิมเถอะ”

     ไอ้นี่ก็อีกคน ขยันเอาคำของพี่ธารมาล้อจัง ถ้าผมเอ๋อขึ้นมาจริงๆ จะทำยังไง

     “เอ้า กูให้ ถือเป็นรางวัลปลอบใจ พี่ธารไม่ให้กูให้เอง” ผิงเลื่อนนมสดปั่นที่ยังไม่ได้แตะมาตรงหน้า ผมรับมาดูดโดยไม่อิดออด ถึงจะแทนกันไม่ได้แต่อย่างน้อยก็เป็นของฟรี ผมดูดน้ำไปในใจก็บ่นไอ้พี่ธารไป แต่จู่ๆ ผิงกับน้องนายก็เบิกตาโต ทำหน้าเหมือนเห็นผี นี่มันกลางวันแสกๆ จะมีผีได้ยังไง

     “เอ่อ...คุณซนครับ”

     “อะไร”

     “ผมว่าคุณซนเลิกโกรธพี่ธารเถอะครับ”

     “ไม่ กูไม่เลิก กูจะโกรธนานๆ เลย อยากมาหลอกกูก่อนเอง”

     “ใครหลอกอะไรมึง พูดดีๆ นะเตี้ย”

     ผมหันขวับไปมองทันที พี่ธารยืนอยู่ข้างหลังพร้อมดอกกุหลาบในมือ คนรอบข้างเริ่มหันมาสนใจพวกเรา ผมไม่รู้จะโฟกัสอะไรก่อนดี ระหว่างคำพูดของพี่ธาร ดอกกุหลาบที่ถืออยู่ หรือสรรพนามใหม่

     “พี่เรียกใครเตี้ย”

     “มึงไง”

     “ตกลงจะเอ๋อหรือเตี้ยกันแน่”

     “กูบอกแล้วไงว่าจะไม่เรียกเอ๋อต่อหน้าคนอื่น”

     เลยเรียกเตี้ยแทนสินะ ขอบคุณมากครับ ผมซาบซึ้งจริงๆ ถุย! ชื่อก็มีทำไมไม่เรียกวะ เอาแต่สรรหาคำดีๆ มาเรียกอยู่นั่นแหละ

     “แล้วเมื่อกี้พูดอะไร ใครหลอกมึง”

     “พี่ไง”

     “กูไปหลอกอะไร”

     “พี่บอกว่าจะให้รางวัลผม แต่สุดท้ายก็ไม่ให้”

     “ใครบอกไม่ให้ กูก็กำลังเอารางวัลมาให้มึงนี่ไง”

     ผมเลิกคิ้ว ยอมรับว่าแปลกใจปนตกใจนิดๆ พอได้ยินอย่างนั้นก็สอดสายตามองไปทั่วตัวพี่ธารทันที แต่ไม่ว่าจะมองยังไงก็ไม่เห็นของที่น่าจะใช่รางวัลเลย

     “ไหนอะรางวัลผม”

     พี่ธารไม่ตอบด้วยคำพูด แต่ยื่นดอกกุหลาบที่ถืออยู่มาให้แทน แวบแรกผมทำหน้างง ไม่เข้าใจว่าพี่มันยื่นมาให้ทำไม แต่วินาทีต่อมาดวงตาผมก็ค่อยๆ เบิกกว้าง อย่าบอกนะว่ารางวัลที่จะให้คือ...

     “นี่ไงรางวัลมึง”

     เสียงกรี๊ดในลำคอดังมาจากคนข้างๆ ผิงยกมืออุดปาก หน้าแดงเหมือนมันเป็นคนที่พี่ธารให้ดอกกุหลาบซะเอง ผมเงยหน้ามองเจ้าของดอกไม้ ใบหน้ามีเครื่องหมายคำถามแปะเต็มไปหมด

     “พี่ให้ดอกกุหลาบผม?”

     “อืม”

     “…” แดกจุดสิครับ ถึงกับอึ้งกันเลยทีเดียว นี่มันใช่ของรางวัลที่ผู้ชายควรให้ผู้ชายเหรอ แถมยังให้ในวันวาเลนไทน์อีก พี่ธารจำผมสลับกับผู้หญิงคนไหนหรือเปล่าวะ

     “รับไปสิ” พี่ธารเอ่ยเมื่อเห็นผมยังนิ่ง

     “นึกยังไงถึงให้ดอกกุหลาบผม”

     “กูสงสารมึง วาเลนไทน์ทั้งทีแต่ไม่มีใครให้ดอกไม้เลย”

     “…” แดกจุดรอบสอง รอบนี้แถมอ้าปากค้างด้วย ไอ้พี่ธารกำลังว่าผมขี้เหร่ทางอ้อมใช่ไหม ต้องใช่แน่ๆ ผมว่าผมไม่เคยไปทำอะไรให้นะ ทำไมชอบแกล้งกันนัก

     “ไหนพี่บอกว่าการเอาเงินตัวเองไปซื้อดอกไม้ให้คนอื่นเป็นเรื่องไร้สาระไง”

     “กูรวย ซื้อกุหลาบให้มึงแค่นี้ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอก”

     “…” โอเค ผมเลิกใส่ใจแล้วว่าวันนี้ต้องแดกจุดอีกกี่ครั้ง ขี้เกียจนับ ผมเอื้อมมือไปรับกุหลาบจากคนตัวสูงอย่างงงๆ ทั้งที่ควรโกรธแต่ไม่รู้ทำไมถึงไม่รู้สึกอย่างนั้นเลย ผมก้มมองดอกกุหลาบในมือ ดอกกุหลาบที่มาจากคนที่ไม่อินกับทุกอย่างในวันวาเลนไทน์

     “นอกจากกูแล้วมีใครให้กุหลาบอีกไหม”

     “หือ?” เพราะมัวแต่คิดอะไรเพลินๆ ผมจึงไม่ทันฟังสิ่งที่พี่ธารถาม

     “กูถามว่านอกจากกูแล้วมีใครให้กุหลาบอีกไหม”

     “ไม่มีหรอก ผมไม่ได้ฮอตเหมือนพี่นะ” พูดแล้วก็เจ็บนิดๆ ใช่สิ ใครมันจะไปหล่อเท่าพี่ล่ะ

     พี่ธารไม่ตอบอะไร แต่ผมรู้สึกเหมือนจะเห็นมุมปากยิ้มนิดๆ ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรต่อพี่ธารก็เอ่ยขอตัว

     “กูไปล่ะ เรียนเสร็จแล้วโทรมา”

     เพื่อนผมที่นั่งเงียบมาตลอดรีบยกมือไหว้พี่ธารกันแทบไม่ทัน พอร่างสูงเดินพ้นไปแล้วผิงก็หันมากรี๊ดใส่จนแก้วหูแทบแตก

     “อะไรของมึงเนี่ยผิง ผีเข้าเหรอ”

     “ยังจะมาถาม! พี่ธารให้ดอกกุหลาบมึงเลยนะ!”

     “แล้ว?”

     “กูอยากขยี้ตาร้อยรอบ พี่ธารที่เย็นชาใส่ทุกคน โลกส่วนตัวสูงยิ่งกว่าภูเขาหิมาลัยคนนั้น เอาดอกกุหลาบมาให้มึงในวันวาเลนไทน์เนี่ยนะ!”

     “จะตกใจทำไม เขาก็บอกอยู่ว่าให้เป็นรางวัลที่กูตากผ้า มันก็แค่นั้น”

     ผิงชะงัก หันมามองผมที่ทำหน้าสบายๆ ไม่มีความตื่นเต้นเหมือนมัน

     “มึงไม่เอะใจอะไรเลยเหรอ”

     “ไม่”

     “สักนิดก็ไม่เหรอ”

     ผมนิ่งคิดสักพักก่อนจะตอบคำเดิม “ก็ไม่นะ”

     “มึงนี่มัน...โอ๊ยยย กูหมดคำจะพูด” ผิงยกมือทึ้งหัวตัวเอง อะไรของมันวะ แล้วทำไมน้องนายถึงทำหน้าเหนื่อยใจอย่างนั้นล่ะ ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย

     “คุณผิงอย่าเพิ่งพูดดีกว่าครับ รอให้อะไรๆ ชัดเจนกว่านี้ก่อนค่อยบอกคุณซนดีกว่า ถึงมันจะชัดเจนอยู่แล้วก็เถอะ”

     ผิงพยักหน้าเนือยๆ ให้น้องนาย หันมามองผมด้วยสายตาเหนื่อยใจเหมือนกัน วันนี้เพื่อนผมเป็นอะไรกัน ทำไมเอาแต่ทำหน้าแปลกๆ

     “กูเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ธารถึงเรียกมึงว่าเอ๋อ”

     “อ้าว มึงหลอกด่ากูเหรอ”

     “กูพูดความจริง” ผิงยกมือกุมหน้าผาก “มึงคิดว่าคนอย่างพี่ธารจะให้ดอกกุหลาบใครเพราะเหตุผลแค่นั้นจริงเหรอ”

     “ก็ถ้าไม่ใช่เหตุผลนั้นแล้วจะเป็นอะไรได้อีก”

     คำพูดผมเหมือนไปกระตุ้นให้เพื่อนๆ เหนื่อยใจกว่าเดิม ผิงทำหน้าเหมือนอยากด่าผมว่าซื่อบื้อแต่ขี้เกียจพูดให้เปลืองน้ำลาย

     “เอาเถอะ ถึงกูไม่พูดสักวันมึงก็ต้องรู้ด้วยตัวเองอยู่ดี ว่าแต่หายโกรธพี่ธารแล้วใช่ไหม เขาเอารางวัลมาให้มึงแล้วนี่”

     ผมก้มมองดอกกุหลาบอีกครั้ง นี่ไม่ใช่รางวัลที่ผมคาดเดาไว้ แต่ถ้าถามว่าหายโกรธไหม...

     “ถึงรางวัลจะแปลกไปหน่อยแต่ก็น่าจะแทนกันได้ กูหายโกรธก็ได้วะ”

     ก็พี่ธารอุตส่าห์กลืนน้ำลายตัวเองด้วยการซื้อดอกกุหลาบมาให้ ต่อให้อยากโกรธก็โกรธไม่ลงหรอก เป็นครั้งแรกที่ผมคิดว่าพี่ธารน่ารัก แต่แค่นิดเดียวนะครับ ย้ำว่านิดเดียวจริงๆ ไว้พี่มันเลิกแกล้งเมื่อไหร่ผมค่อยเพิ่มความน่ารักให้แล้วกัน



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter :    earthxxide  (https://twitter.com/earthxxide? t=muF0165hiRexxkrO2QLULw&s=09)

     Fanpage :    Earthxxide  (https://www.facebook.com/earthxxide? mibextid=ZbWKwL)
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 4] ✪ 19/04/2023
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 19-04-2023 22:02:52
 :haun4: :jul3:
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 4] ✪ 19/04/2023
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 20-04-2023 18:15:26
นู๋ซนนนน นู๋จะเอ๋อแบบนี้ต่อไม่ได้แล้วนะลูก พี่ธารรุกหนักเว่อ :hao7: :hao7:
หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 5] ✪ 20/04/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 20-04-2023 19:20:54
ตอนที่ 5
คู่จริงไม่ใช่คู่จิ้น


     ผมเดินผิวปากไปยังตึกคณะ ริมฝีปากจุดยิ้มอารมณ์ดี คิดไม่ผิดจริงๆ ที่เมื่อเช้าเซตผมก่อนมา สาวๆ หันมามองกันตรึม ถ้ารู้ว่าทำแล้วจะฮอตขนาดนี้ผมจะเซตผมมาเรียนทุกวันเลย

     ผิงกับน้องนายนั่งเล่นอยู่ใต้ตึก รอเวลาขึ้นเรียน ผมเดินมาถึงโต๊ะแล้ววางกระเป๋า ถามเพื่อนๆ ด้วยเสียงร่าเริง

     “พวกมึง วันนี้กูหล่อปะ”

     คำตอบที่ผมเตรียมกางหูฟังคือ ‘โห โคตรหล่อเลย มึงไปทำอะไรมาเนี่ย’ ไม่ก็ ‘หล่อผิดหูผิดตาขนาดนี้กินอะไรเข้าไปวะ’ แต่อาการกลั้นขำทันทีที่หันมามองไม่ใช่ปฏิกิริยาที่ผมคิดว่าจะได้เห็น

     “ให้เดานะ มึงถามเพราะระหว่างทางมีคนมองล่ะสิ”

     “ทำไมมึงรู้” ผมย่นคิ้ว ความมั่นใจที่มีเริ่มหดหาย ขณะเดียวกันก็เริ่มรู้สึกถึงความแหม่งๆ น้องนายรีบจับแขนผิงเป็นเชิงห้ามไม่ให้พูด ยิ่งทำให้ผมมั่นใจว่ามันต้องมีอะไรเกิดขึ้น

     “เมื่อวานได้เข้าเฟซบุ๊กบ้างไหม”

     “ไม่ เมื่อวานกูหัวหมุนอยู่กับรายงาน ไม่ได้แตะโทรศัพท์เลย”

     “กูว่าแล้ว” ผิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดนั่นกดนี่อยู่สักพักก่อนจะส่งให้ผม “มึงดูเองแล้วกัน”

     “คุณซนอย่าดูเลยครับ เชื่อผมเถอะ” น้องนายเตือนด้วยความหวังดี แต่ของแบบนี้ยิ่งห้ามยิ่งยุ ผมรับโทรศัพท์มาจากผิง มองสิ่งที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ

     “เหี้ย!”

     “กูบอกแล้วว่ามันต้องอุทานคำนี้” ผิงหันไปพูดกับน้องนาย เสียงขลุกขลักเหมือนคนกลั้นขำ แต่นาทีนี้ผมไม่มีอารมณ์ขำกับมันสักนิด

     รูปพี่ธารยื่นดอกกุหลาบให้ผมกำลังโชว์หราอยู่บนเพจดังเพจหนึ่ง คนคอมเมนต์หลายร้อย กดถูกใจอีกนับพัน นั่นไม่ทำให้ผมขนลุกเท่าแคปชันบนรูป #คู่จริงไม่ใช่คู่จิ้น #ธารซน #เย็นชากับคนทั้งโลกเพื่ออ่อนโยนกับเธอคนเดียว #เรียลกว่านี้ก็จูบกันแล้ว

     ผมแทบจะปาโทรศัพท์ทิ้ง แต่ติดที่ว่าไม่ใช่ของผม ผิงที่อ่านสายตาผมออกรีบคว้าโทรศัพท์กลับไปอย่างไว ราวกับกลัวว่าถ้ามันยังอยู่ในมือผมอีกวินาทีเดียวอาจแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้

     “มุมกล้องสวยอยู่นะ อย่างกับช่างภาพมืออาชีพมาถ่ายเอง” ผิงกุมท้องพูดไปขำไป ผมถลึงตาใส่มัน อยากอาละวาดมากกว่านี้แต่อายโต๊ะข้างๆ ที่อุทานไปเมื่อกี้ก็หันมามองแทบทั้งคณะแล้ว

     “ผมบอกแล้วว่าอย่าดูคุณซนก็ไม่ฟัง”

     “ให้มันดูตอนนี้แหละดีแล้ว มันจะได้วางตัวถูก เพราะกูดูทรงแล้วเรื่องนี้น่าจะทอล์กออฟเดอะทาวน์ไปอีกนาน”

     อาการยิ้มแย้มแจ่มใสตอนเดินมาหายวับไปกับตา ตอนนี้ผมแทบจะเอาปี๊บมาคลุมหัว ไอ้พี่ธารนะไอ้พี่ธาร รางวัลมีเป็นร้อยดันให้ดอกกุหลาบ แล้วให้ต่อหน้าคนหมู่มากด้วยนะ

     “อย่าให้รู้นะว่าแอดมินเป็นใคร กูจะไปเตะก้านคอเดี๋ยวนี้เลย” ผมพูดลอดไรฟัน ผิงยังขำไม่หยุด เออ ขำเข้าไป แทนที่จะช่วยเพื่อนเสือกขำอยู่นั่นแหละ

     “คุณซนจะพูดเรื่องนี้กับพี่ธารไหมครับ ผมว่าถ้าพี่ธารเป็นคนออกปากรูปพวกนี้หายไปจากโซเชียลภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงแน่นอน”

     “ไม่”

     น้องนายทำหน้าแปลกใจกับคำตอบของผม แม้แต่ผิงที่กำลังขำยังมองมาด้วยสายตาแบบเดียวกัน

     “ถ้ากูพูดเดี๋ยวพี่มันก็หาว่ากูคิดอะไรอีก ปล่อยไว้แบบนี้แหละ กูไม่แคร์สักอย่าง”

     “แน่ใจว่าไม่แคร์ เหี้ยตัวเบ้อเร่อเลยนะเมื่อกี้”

     “ก็เมื่อกี้กูตกใจ ตอนนี้ตั้งสติได้แล้ว”

     ผิงยักไหล่ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูรูปอีกครั้ง ก่อนจะหันมาทางผมเหมือนอยากทดสอบว่าผมไม่แคร์จริงไหม ไอ้เพื่อนคนนี้ ถ้าไม่ติดว่าเป็นผู้หญิงผมเตะไปแล้วนะ

     “มึงอ่านแคปชันยัง”

     “อ่านแล้ว กูถึงได้หัวเสียอยู่นี่ไง”

     “อ่านดีๆ”

     “กูอ่านดีแล้ว”

     ผิงส่ายหน้าไปมา ทำปากจุ๊ๆ ราวกับผมยังอ่านไม่ดีพอ

     “มึงดูตรงนี้” มันชี้ไปยังแคปชันบนรูป “เวลาเขียนชื่อติดกันแบบนี้ ชื่อที่อยู่ข้างหน้าคือเมะ ส่วนชื่อที่อยู่ข้างหลังคือเคะ”

     “เมะเคะอะไรของมึง” ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจที่เพื่อนพูด

     “เมะคือรุก เคะคือรับ เวลาเขียนคู่กันชื่อเมะจะอยู่ข้างหน้า ชื่อเคะจะอยู่ข้างหลัง ชื่อมึงอยู่ข้างหลังก็แปลว่ามึงเป็นรับไง”

     “ไอ้...!!” ผมพรวดพราดลุกขึ้นยืน ก่อนจะรีบนั่งลงแทบไม่ทัน ได้แต่มองแคปชันในโทรศัพท์ด้วยสายตาอาฆาต “อย่าให้รู้นะว่าใครเขียน กูเอาตายแน่ เคะห่าอะไร”

     “ไหนว่าไม่แคร์” ผิงพูดยิ้มๆ

     “มาหาว่ากูเป็นรับ ใครมันจะหูทวนลมอยู่ได้วะ กูไม่ใช่รับโว้ยยย”

     “หุ่นมึงกับพี่ธารห่างกันเป็นลี้ เขาหุ่นบึกบึน จับตรงไหนก็เจอแต่กล้าม ของมึงมองผ่านๆ นึกว่ากุ้งแห้ง ถ้าเทียบกันจริงๆ ก็ไม่แปลกที่คนจะคิดว่ามึงเป็นรับ”

     ผมได้แต่หน้าหงิกบอกบุญไม่รับ น้องนายเอื้อมมือมาตบบ่าเบาๆ

     “ผมว่าเดี๋ยวคนก็ลืม ไม่ต้องคิดมากนะครับ อย่างมากก็แค่โดนคนทั้งมหา’ลัยมอง คุณซนอย่าเครียดเลย”

     ขอบใจมากน้องนาย แต่ที่มึงพูดมานั่นแหละที่กูกำลังเครียด ผมมองเห็นอนาคตรำไร ชีวิตของไอ้ซนหลังจากนี้คงไม่ได้สัมผัสคำว่าสงบสุขไปอีกนาน

     “ช่างเถอะ เดี๋ยวพี่ธารเห็นข่าวก็คงสั่งให้แอดมินลบรูปเอง” ผมปลงในที่สุด ไม่รู้ว่ากำลังปลอบใจตัวเองหรือเปล่า แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าเอาแต่มองโลกในแง่ลบ

     “เชื่อกูสิ พี่ธารไม่ทำแบบนั้นหรอก ดีไม่ดีป่านนี้เซฟรูปไว้ดูเองแล้ว”

     “มึงพูดอะไรนะผิง”

     “เปล่า” ผิงยิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้มที่เห็นแล้วรู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ มันลุกขึ้นยืน ชวนผมกับน้องนายขึ้นเรียน ผมเดินตามเพื่อนไปด้วยอาการห่อเหี่ยว ได้แต่หวังว่ามันจะเป็นอย่างที่น้องนายพูด





     “เป็นอะไร” พี่ธารถามหลังจากเห็นผมถอนหายใจรอบที่ร้อยของวัน พวกเรากำลังนั่งกินข้าวในร้านอาหารหลังมหา’ลัย

     “พี่ธารไม่เป็นอะไรเลยเหรอ” ผมย้อนถาม

     “จะให้กูเป็นอะไร”

     “ก็...” ผมเม้มปาก ชั่งใจว่าควรพูดเรื่องรูปดีไหม

     “ก็อะไร”

     “แบบว่า...ช่วงนี้พี่ไม่มีเรื่องให้หงุดหงิดเลยเหรอ”

     “ไม่มี”

     “เรื่องกวนใจ ไม่ก็เรื่องที่ทำให้รำคาญล่ะ”

     “ไม่มี”

     ผมนิ่วหน้า พี่ธารพูดแบบนี้หมายความว่าไม่แคร์หรือยังไม่เห็นรูปกันแน่ ไอ้ผมจะถามตรงๆ ก็ไม่อยาก แต่จะหลอกล่อให้พูดออกมาเองก็ไม่ได้ผลอีก

     “ตกลงมึงเป็นอะไร”

     “เปล่า ผมไม่ได้เป็นอะไร” ผมส่ายหน้า ในหัวยังเอาแต่คิดเรื่องเดิมสวนทางกับคำตอบ พี่ธารจ้องอยู่สักพักก่อนจะกินข้าวต่อ มีแต่ผมที่ไม่รู้สึกอยากอาหารแล้ว

     จู่ๆ หมูกรอบก็ถูกตักมาใส่จาน ผมเงยมองคนตรงหน้าอีกครั้ง นั่นทำให้ดวงตาของเราสบกัน

     “พี่ให้ผมเหรอ”

     “ให้หมามั้ง กูตักให้ใครก็ให้คนนั้นแหละ”

     “ให้ผมทำไม”

     “ของโปรดมึงไม่ใช่เหรอ อย่าถามเยอะ มีให้กินก็กิน”

     เป็นคำพูดที่ไร้อารมณ์ที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา แต่ไม่เป็นไร เห็นแก่ที่พี่มันอุตส่าห์เสียสละหมูกรอบให้ ผมจะไม่ติดใจเอาความแล้วกัน

     ใบหน้าผมกลับมามีรอยยิ้มดังเดิม ผมตักหมูกรอบเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย โดยลืมฉุกคิดว่าพี่ธารรู้ของโปรดผมได้ยังไง ตอนนี้กำลังโดนความหิวครอบงำ

     “ยิ้มแบบนี้สิค่อยสมเป็นมึงหน่อย”

     “อะไรนะพี่”

     พี่ธารโน้มหน้ามาใกล้ รอยยิ้มบางๆ แตะแต้มบนมุมปาก “กูบอกว่า...มึงยิ้มแล้วค่อยดูดีขึ้นมาหน่อย หน้าหงอยๆ เมื่อกี้ไม่เข้ากับมึงสักนิด”

     “…”

     “อย่างมึงเหมาะกับหน้าเอ๋อๆ มากกว่า เอ๋อเหมือนตอนนี้ไง”

     เกือบจะดีแล้วเชียว ผมเกือบคิดว่าพี่ธารให้หมูกรอบเพราะอยากปลอบผมแล้ว แม่งจะต่อประโยคทำไมวะ จากที่คิดจะมองพี่ชายข้างบ้านใหม่ สงสัยชาตินี้ผมคงไม่มีวันญาติดีกับพี่มันได้ คำก็เอ๋อสองคำก็เอ๋อ เดี๋ยวเด็กเอ๋อคนนี้ก็กระโดดงับหูซะเลย

     “ไม่กินต่อเหรอ” พี่ธารถามเมื่อเห็นผมนั่งนิ่ง ไม่แตะอาหารอีก

     “ผมอิ่มแล้ว” อิ่มคำว่าเอ๋อของพี่นั่นแหละ ได้ยินจากเพื่อนแล้วยังต้องมาได้ยินจากพี่อีก

     “งั้นกลับกัน”

     พี่ธารเรียกพนักงานมาคิดเงิน ก่อนจะออกเดินนำไปที่จอดรถ ผมมองแผ่นหลังกว้างที่กำลังเดินอยู่ข้างหน้า มองไหล่ตั้งหลังตรง มองเสื้อนักศึกษาสีขาวขนาดพอดีตัว ทำให้เห็นสัดส่วนร่างหนาได้ชัดเจน

     “พี่ธาร”

     “อะไร”

     “พี่ออกกำลังกายบ่อยเหรอ”

     “กูไปฟิตเนสสัปดาห์ละสองครั้ง วันไหนไม่มีธุระพวกไอ้บอนด์ก็ชวนไปเล่นบาสประจำ ถามทำไม”

     “เปล่าครับ”

     ผมละสายตาจากร่างสูง หันกลับมามองตัวเองแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ คำพูดของเพื่อนลอยเข้ามาในหัว เสียงถอนหายใจดังกว่าเดิม

     ก็ได้วะ ยอมรับก็ได้ว่าหุ่นผมสู้พี่ธารไม่ได้จริงๆ แต่อย่าคิดว่าผมจะยอมเป็นรับเชียว หล่อๆ อย่างผมต้องคู่กับสาวสวยเท่านั้น รอก่อนเถอะ ขอเวลาอีกหน่อย แล้วไอ้ซนจะไปฟิตหุ่นให้ชนะพี่ธารแบบไม่เห็นฝุ่นกันไปเลย!



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter :    earthxxide  (https://twitter.com/earthxxide? t=muF0165hiRexxkrO2QLULw&s=09)

     Fanpage :    Earthxxide  (https://www.facebook.com/earthxxide? mibextid=ZbWKwL)
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 5] ✪ 20/04/2023
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 20-04-2023 19:54:11
 :jul3:
หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 6] ✪ 21/04/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 21-04-2023 18:29:01
ตอนที่ 6
แบบนี้น่ะดีแล้ว


     ชีวิตผมดำเนินไปอย่างปกติ หมายถึงพักหลังมานี้มีคนมองจนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ผิงถึงกับยกให้ผมเป็นคนดังของคณะ เดินไปไหนก็เป็นจุดสนใจ แรกๆ ผมโคตรเกร็ง ไม่รู้จะทำตัวยังไง แต่ตอนนี้มันเหมือนมีภูมิคุ้มกันไปแล้ว อยากมองก็มองไปสิ ผมโดนมองคนเดียวที่ไหน ดีไม่ดีไอ้พี่ธารโดนหนักกว่าผมอีก

     “กินอะไรดี” ผิงถามขณะยืนมองบรรดาร้านอาหารตรงหน้า เป็นคำถามโลกแตกที่ไม่ว่าจะคิดยังไงก็หาคำตอบถูกใจไม่ได้สักที

     “ราดหน้า”

     “เบื่อแล้ว”

     “ข้าวมันไก่”

     “ช่วงนี้อยากลดหุ่น”

     “สลัด”

     “อันนั้นก็ลดไป กูไม่ใช่มังสวิรัติ”

     “กะเพราไข่ดาว”

     “เบื่อกว่าราดหน้าอีก”

     ผมเหลือบไปมองเพื่อนด้วยสายตาเอือม ถ้าจะเรื่องมากขนาดนี้มึงไม่เปิดร้านเองเลยล่ะ

     “ข้าวราดแกงไหมครับ มีเมนูให้เลือกเยอะดี” น้องนายเสนอไอเดีย ผมกับผิงรีบพยักหน้าอย่างไว เป็นอันหลุดพ้นจากคำถามโลกแตก

     พวกเราเดินมาจับจองโต๊ะที่ว่างอยู่โต๊ะเดียว ถ้ามาช้ากว่านี้อีกนิดคงไม่ได้นั่ง ปกติโรงอาหารคณะผมคนจะเยอะมาก เลิกเรียนทีแทบจะวิ่งสี่คูณร้อยมาจองโต๊ะ ร้านอาหารรอบมหา’ลัยส่วนใหญ่ก็เปิดช่วงเย็น ตัวเลือกมื้อกลางวันจึงมีไม่มากนัก

     ผมกินข้าวไปคุยเล่นกับเพื่อนไป จนกระทั่งรอบข้างส่งเสียงดังแปลกๆ จึงหันไปมอง พี่ธารกับเพื่อนๆ กำลังเดินเข้ามาในโรงอาหาร ผมถึงบางอ้อทันที กลุ่มคนหน้าตาดีมารวมตัวกันครบขนาดนี้ มิน่าบรรยากาศคณะผมถึงครึกครื้นขึ้นมา

     “คู่จริงมึงมาว่ะ” ผิงมองผมยิ้มๆ ผมส่งค้อนให้มันที่บังอาจเอาเรื่องนี้มาแซว ไม่แน่ว่าพี่ธารมาหาผมสักหน่อย อาจจะมากินข้าวกับเพื่อนเฉยๆ ก็ได้ คงไม่ได้มาหา...

     “เตี้ย ตรงนี้ว่างหรือเปล่า”

     โอเค ผมขอถอนคำพูด เดินตรงมาถามแบบระบุตัวขนาดนี้คงคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้แล้ว

     “ว่างค่ะ” ผิงเป็นคนตอบแทน พี่ธารส่งยิ้มกลับมา ทำเอามันเคลิ้มอยู่นานทีเดียว ผมอดลอบเบ้ปากไม่ได้ กับคนอื่นยิ้มหล่อเชียวนะ กับผมนี่ดุเอาๆ สองมาตรฐานชัดๆ

     “พวกพี่ขอนั่งด้วยนะ” พี่บอนด์เอ่ยก่อนนั่งลงฝั่งตรงข้าม ผมยิ้มให้เป็นเชิงอนุญาต ผมรู้จักพี่บอนด์ตั้งแต่วันที่ผิงชวนไปดูแข่งบาส แต่เพื่อนอีกสองคนผมไม่รู้จัก

     “นี่บอนด์ ไกด์ โอปอล์ เพื่อนสนิทกู” พี่ธารคงเดาสายตาผมออกจึงเอ่ยแนะนำเพื่อน ผมยกมือไหว้ก่อนจะแนะนำเพื่อนตัวเองบ้าง

     “สองคนนี้ผิงกับน้องนายครับ เป็นเพื่อนสนิทผมเหมือนกัน”

     เพื่อนผมยกมือไหว้รุ่นพี่พร้อมกัน พี่บอนด์มองน้องนาย เลิกคิ้วเล็กน้อย

     “ชื่อน้องนายเหรอ”

     “เปล่าค่ะ ชื่อนายเฉยๆ แต่พวกหนูเรียกน้องนายเพราะไม่อยากเรียกชื่ออย่างเดียว”

     “แล้วอย่างนี้พวกพี่ต้องเรียกยังไง”

     “แล้วแต่เลยครับ ผมไม่ซีเรียส” น้องนายตอบพี่บอนด์ พี่ไกด์กับพี่โอปอล์วางกระเป๋าแต่ไม่นั่ง

     “พวกมึงเอาอะไร”

     “กูเหมือนเดิม”

     “กูก็เหมือนเดิม”

     “ไม่เปลี่ยนกันบ้างเหรอ กินเมนูเดิมบ่อยๆ ระวังเบื่อนะ” พี่โอปอล์พูดไปยิ้มไป ทำหน้าใบหน้าสวยมีเสน่ห์ยิ่งขึ้น

     “พวกซนล่ะเอาอะไรไหม” พี่ไกด์หันมาถาม ผมแปลกใจเล็กน้อยที่พี่เขารู้จักชื่อผม แต่มาคิดอีกที นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักผมแล้วล่ะ

     “ไม่เป็นไรดีกว่า ขอบคุณครับ”

     ผมรอจนพี่ไกด์กับพี่โอปอล์เดินออกไป จึงหันไปหาคนที่มองผมอยู่ก่อนแล้ว

     “ปกติพี่ธารมากินข้าวที่นี่เหรอ”

     “เปล่า กูพาเพื่อนมาหามึง”

     “หือ?”

     “พวกพี่อยากเจอคู่จริง เอ๊ย! คู่จิ้นไอ้ธารน่ะ อยากรู้ว่าตัวจริงจะน่ารักแค่ไหน” พี่บอนด์พูดด้วยรอยยิ้มทะเล้น “น่ารักดีนี่หว่า”

     “อืม” พี่ธารตอบรับในลำคอ ผมกะพริบตาปริบ เอ่อ...พวกพี่เขากำลังชมผมว่าน่ารักใช่ไหมนะ แต่ทำไมผมกลับรู้สึกแปลกๆ แทนที่จะดีใจ

     ผมหันไปมองเพื่อน ผิงทำหน้าเหมือนวิญญาณหลุดจากร่างไปเรียบร้อย ขณะที่น้องนายเอาแต่ดูดชานมไข่มุก แต่ผมชินแล้วล่ะ น้องนายมักไม่ค่อยสนใจสิ่งรอบข้าง เรื่องนี้ผมกับผิงรู้ดี

     เดี๋ยวสิ!

     ผมหันขวับมามองคนตรงหน้าอีกครั้ง พี่บอนด์พูดแบบนั้น แสดงว่าพวกพี่เขารู้เรื่องรูปในเพจแล้วใช่ไหม แล้วทำไมวันก่อนที่ผมถามพี่ธารถึงไม่เห็นมีอาการอะไรเลยล่ะ

     “พวกพี่เห็นรูปในเพจแล้วเหรอครับ”

     “ไม่เห็นก็แปลกแล้ว นั่นเพจดังของมอเราเลยนะ ใครคบกับใคร มีเรื่องอะไรยังไง ไม่มีทางรอดสายตาแอดมินไปได้หรอก”

     ผมเบิกตาโต สีหน้าตกใจปนแปลกใจ กำลังจะถามพี่ธารแต่พี่ไกด์กับพี่โอปอล์ก็กลับมาก่อน เลยได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ

     ผิงสะกิดแขนเบาๆ พอผมหันไปก็เจอหน้าจริงจังของมัน

     “มึงว่ากูควรไปทำบุญดีไหม”

     “ทำไม”

     “กูกลัวแต้มบุญหมด ได้นั่งกินข้าวกับกลุ่มคนดังของมหา’ลัย แถมพี่ธารยังยิ้มให้อีก กูว่าแต้มบุญตอนนี้คงไม่เหลือแล้ว”

     ผมส่ายหัวให้ความเพ้อฝันของเพื่อน หันกลับมากินข้าวของตัวเอง แต่จู่ๆ พี่บอนด์ก็ถามขึ้นมา

     “น้องซนยังไม่มีแฟนใช่ไหมครับ”

     “ยังไม่มีครับ” ผมตอบกลับไปด้วยความสงสัยหน่อยๆ พี่บอนด์ยิ้มมีเลศนัย แม้แต่ผิงกับน้องนายยังงงว่าพี่เขาถามทำไม

     “พี่แค่ถามเฉยๆ น่ะ เผื่อบางคนอยากรู้แต่ไม่กล้าถามเอง”

     เพียงเท่านั้นความสงสัยก็หายไปจากใบหน้าเพื่อนผม มีแต่ผมคนเดียวที่ยังไม่หายงง แถวนี้ไม่มีสาวที่ไหน จะมีก็แต่พี่โอปอล์ และดูแล้วพี่เขาคงไม่มีทางสนใจผมแน่นอน ถ้าอย่างนั้นพี่บอนด์หมายถึงใคร

     “รีบกินจะได้รีบไปเรียน” พี่ธารเอ่ยเสียงเรียบ แต่กลับทำให้รอยยิ้มพี่บอนด์กว้างขึ้น บทสนทนาระหว่างทานข้าวถูกเปลี่ยนเป็นหัวข้ออื่นแทน จากการคุยกันทำให้รู้ว่าหนุ่มรุ่นพี่กลุ่มนี้โสดกันหมดทุกคน มีแค่พี่โอปอล์ที่มีแฟนอยู่มหา’ลัยอื่น





     พวกพี่ๆ เอ่ยขอตัวเมื่อทานข้าวเสร็จแล้ว พอดีกับที่พวกผมต้องขึ้นเรียน ผิงหันมามองผมหลังจากแยกย้ายกัน ดวงตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์

     “มีเพื่อนดังนี่มันดีจริงๆ”

     “ดียังไงเหรอครับคุณผิง” น้องนายที่ไม่เข้าใจถามแทนผม

     “ดีตรงที่มีโอกาสใกล้ชิดคนดังมากขึ้นไง มึงไม่รู้หรอกว่าการได้กินข้าวกับพี่ธารแม่งเป็นเรื่องปาฏิหาริย์พอๆ กับหิมะตกประเทศไทยเลยนะ แต่นี่มีพี่บอนด์กับพี่ไกด์มาด้วย โชคดีของกูจริงๆ ที่ไอ้ซนเป็นคู่จริง เอ๊ย! คู่จิ้นพี่ธาร”

     ผมทำหน้าเอือมใส่เพื่อน อยากด่าแต่ก็ขี้เกียจ เลยเดินหนีขึ้นตึกเรียนแทน โชคดีของมึงแต่โชคร้ายของกูไงผิง ใครจะอยากเป็นคู่จิ้นกับผู้ชายด้วยกัน ยิ่งเป็นผู้ชายที่ชอบแกล้งแล้วด้วย ถ้าอยากเดินหนีก็ว่าไปอย่าง





     เป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้วที่ทุกวันหลังเลิกเรียนผมจะโทรไม่ก็ไลน์ไปบอกพี่ธาร ผมเคยคิดเล่นๆ ว่าถ้าผมเป็นผู้หญิง คนอื่นคงคิดว่าเราเป็นแฟนกันไปแล้ว แต่เอาจริงๆ ต่อให้ผมเป็นเพศอะไรก็ไม่น่าเกี่ยวหรอก ดูอย่างตอนนี้สิ เกินแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของคนในมหา’ลัยผมเชื่อว่าต้องคิดว่าผมเป็นแฟนพี่ธารแน่นอน

     “ผมขอแวะห้างหน่อยนะ อยากซื้อพวกเครื่องเขียน” ผมบอกพี่ธารที่กำลังขับรถ

     “หิวไหม ถ้าหิวจะได้หาอะไรกินในห้างด้วยเลย”

     ผมส่ายศีรษะเป็นคำตอบ พี่ธารจึงหันไปมองถนนต่อ ผมลอบมองใบหน้าด้านข้างของคนตัวสูง ชั่งใจอยู่สักพักก่อนจะถามออกไป

     “พี่ธาร”

     “อะไร”

     “พี่เห็นรูปในเพจตั้งแต่เมื่อไหร่”

     สายตาคมเหลือบมามองหลังถามจบ ผมมองกลับไปด้วยแววตารอคอยคำตอบ

     “ตั้งแต่วันแรก”

     ผมอดทำหน้าแปลกใจเหมือนตอนพี่บอนด์พูดไม่ได้ คำถามผุดขึ้นมาในหัวมากมาย และดูเหมือนผมจะแสดงออกโจ่งแจ้งเกินไป อีกฝ่ายเลยถามต่อ

     “กำลังคิดว่าทำไมกูถึงไม่เป็นเดือดเป็นร้อนใช่ไหม”

     ผมพยักหน้า ดวงตาพี่ธารนิ่งเรียบ ไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอย่างที่เจ้าตัวพูด

     “มึงรู้จักคนที่ถ่ายรูปไหม”

     “หือ?” ผมหน้าเหวอ จากที่ตั้งใจฟังคำตอบอยู่ดีๆ ไม่นึกว่าจะโดนถาม “ผมจะไปรู้จักได้ไง”

     “แล้วพวกคนที่มองมาล่ะ”

     “ไม่รู้จักเหมือนกัน”

     “แล้วมึงคิดว่าเราต้องให้ความสำคัญกับคนที่ไม่รู้จักไหม”

     ผมนิ่งเงียบ คิดว่าตัวเองเริ่มเข้าใจสิ่งที่พี่ธารอยากสื่อ พี่ธารเหลือบมามองผมแวบหนึ่ง ดูเหมือนเขาจะได้คำตอบแล้ว

     “ตราบใดที่เขาไม่สร้างความเดือดร้อนให้เรา ใครจะคิดยังไงก็ปล่อยไป ข่าวพวกนี้นานวันไปเดี๋ยวคนก็ลืมเอง ยิ่งตามแก้จะยิ่งลามเปล่าๆ”

     พี่ธารจอดรถเมื่อเห็นไฟแดงข้างหน้า ผมพยักหน้าให้รู้ว่าเข้าใจแล้ว พอคิดตามคำพูดพี่ธารผมก็เห็นด้วย

     “แต่ถ้ามึงอึดอัดเดี๋ยวกูทักไปบอกแอดมินให้ลบรูปให้ เอาไหม”

     ผมหันไปมองคนพูด ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นสายตาของพี่ธาร เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นดวงตาคู่นั้นแปลกไปจากที่เคย เหมือนมันกำลังบอกว่าผู้ชายคนนี้กำลังแคร์ความรู้สึกผม

     “ผม...ไม่ได้อึดอัดอะไร” ผมตอบออกไปอย่างนั้น ทั้งที่วันที่เห็นรูปผมบ่นกับเพื่อนเป็นหมีกินผึ้งทั้งวัน แต่ไม่รู้ทำไมพอโดนพี่ธารมองอย่างนั้นผมถึงคิดว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เราก็อยู่ของเรา ไม่จำเป็นต้องลำบากตามแก้ข่าวลือ

     พี่ธารสบตากับผมสักพัก ก่อนจะหันกลับไปเมื่อไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว เราไม่ได้คุยอะไรกันอีกหลังจากนั้น ผมไม่รู้จะคุยอะไรเพราะเรื่องที่อยากพูดก็พูดไปหมดแล้ว พี่ธารก็คงเหมือนกัน

     “เอ๋อ”

     “ครับ?” ผมขานรับ อย่าคิดว่าผมไม่โกรธที่ถูกเรียกว่าเอ๋อนะครับ ใช้คำว่าปลงน่าจะเหมาะกว่า ห้ามยังไงก็ไม่ฟังเลยปล่อยให้เรียกไปนั่นแหละ

     “ที่บอกบอนด์นั่นเรื่องจริงใช่ไหม”

     “บอกพี่บอนด์? เรื่องอะไร”

     “เรื่องที่มึงยังไม่มีแฟน”

     ผมร้องอ๋อในลำคอ “จริงสิ พ่อส่งให้มาเรียนก็ต้องเรียน”

     “ไม่ใช่ว่าไม่มีใครสนใจเหรอ”

     พี่ธารก็ยังเป็นพี่ธาร เป็นผู้ชายที่ชอบแกล้งผมทุกครั้งที่มีโอกาส ผมจะถือว่าตัวเองตาฝาดที่เห็นสายตาอ่อนโยนเมื่อกี้แล้วกัน อย่างไอ้พี่ธารน่ะเหรอจะมองผมแบบนั้น ไม่มีทาง

     “ใช่สิ ผมมันขี้เหร่ ไม่หล่อเหมือนพี่นี่” ผมพูดเสียงขึ้นจมูก

     “ดีแล้ว”

     “อะไรดี”

     ร่างสูงเบือนหน้ามามอง ริมฝีปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม “ขี้เหร่แบบนี้น่ะดีแล้ว จะได้ไม่มีใครมาชอบ”

     !!!

     ผมตาโต ได้แต่อ้าปากค้างกับความร้ายกาจของพี่ชายข้างบ้าน พี่มันจงเกลียดจงชังอะไรผมนักหนาวะ ถึงขนาดพูดประโยคใจร้ายนั่นออกมาด้วยสีหน้าพอใจ มันจะเกินไปแล้วนะ

     ผมดึงสายตากลับมามองถนน สีหน้าบึ้งตึงผิดกับอีกคนที่ยิ้มระรื่น คอยดูเถอะ วันไหนผมเลิกขี้เหร่ขึ้นมาจะควงสาวไปอวดถึงหน้าบ้านเลย มาดูถูกคนอย่างไอ้ซน คิดน้อยเกินไปแล้วพี่ธาร!



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter :    earthxxide  (https://twitter.com/earthxxide? t=muF0165hiRexxkrO2QLULw&s=09)

     Fanpage :    Earthxxide  (https://www.facebook.com/earthxxide? mibextid=ZbWKwL)
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 6] ✪ 21/04/2023
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 21-04-2023 20:47:04
 :ling1:
หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 7] ✪ 22/04/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 22-04-2023 18:06:19
ตอนที่ 7
ผู้ปกครองชั่วคราว


     -ธาร-

     ผมขยับตัวหลังจากยืนพิงรถมาครึ่งชั่วโมง มองไปยังชั้นสองของบ้านที่คุ้นตา บ้านที่อยู่ติดกับบ้านผม ห่างเพียงรั้วกั้น ผ้าม่านยังปิดอยู่ ข้อความในไลน์ก็ยังไม่เปิดอ่าน วันนี้มีเรียนเช้าไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงยังไม่ลงมา

     ผมขมวดคิ้วเมื่อคิดว่าซนอาจจะยังไม่ตื่น ให้มันได้แบบนี้สิ ทำไมไม่รู้จักหน้าที่ตัวเองเลย ผมส่ายศีรษะเบาๆ ก่อนเปิดประตูรั้วเข้าไป ใช้กุญแจสำรองที่คุณพ่อของซนให้ไว้ไขเข้าไปในบ้าน

     บ้านทั้งหลังเงียบกริบ ผมเดินตรงขึ้นไปยังชั้นสอง พ่อของซนบอกรายละเอียดไว้แล้วเพราะคิดว่าอาจเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ผมจึงรู้ว่าห้องนอนของซนคือห้องไหนแม้จะไม่เคยมา

     “เอ๋อ” ผมเคาะประตูสองสามทีพร้อมกับส่งเสียงเรียกคนข้างใน เมื่อไร้การตอบกลับจึงเรียกเสียงดังกว่าเดิม รออยู่สักพักประตูก็เปิดออก ผมเตรียมบ่นเรื่องที่อีกฝ่ายนอนกินบ้านกินเมือง แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นท่าทางของคนตรงหน้า

     “พี่ธาร” เสียงที่เคยสดใสอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าอิดโรย ดวงตาเหนื่อยล้าเหมือนคนอดนอน ผมรีบยกมือแตะหน้าผากทันที เป็นอย่างที่คิด มีไข้จริงๆ ด้วย

     “ไม่สบายเหรอ”

     “ผมท้องเสีย วิ่งเข้าออกห้องน้ำทั้งคืน เพิ่งนอนไปไม่กี่ชั่วโมงเอง”

     “กินอะไรเข้าไป” ผมรีบถาม ถึงจะมั่นใจว่าไม่น่ามีอะไรที่ทำให้ท้องเสียได้ เพราะเมื่อวานผมเป็นคนทำอาหารเอง

     เจ้าตัวดียิ้มแหย เหมือนรู้ว่าถ้าบอกแล้วต้องโดนดุ เลยใช้รอยยิ้มนำมาก่อน

     “เมื่อคืนผมหิวน้ำเลยลงมาเปิดตู้เย็น เห็นผลไม้มันกำลังจะเสีย แต่ผมเสียดายก็เลย...” ซนหยุดคำพูดไว้แค่นั้น เงยหน้ามองเหมือนเด็กกลัวถูกครูตี ผมถอนหายใจยาว ซนสมชื่อจริงๆ ซนจนได้เรื่อง

     “เข้าไปในห้องก่อน”

     “ครับ”

     ผมเดินตามซนเข้าไปในห้อง เจ้าตัวดีทิ้งตัวลงบนเตียง เอนตัวลงนอน ใบหน้าซีดจนดูน่าสงสาร ผมไม่รู้จะจัดการกับมันยังไงดี ทั้งอ่อนใจ ทั้งขำ ทั้งอยากดุไปพร้อมกัน

     “นอนไปก่อน เดี๋ยวกูมา” ผมดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ถึงคอ เด็กเอ๋อทำตาโต สีหน้าตกใจปนแปลกใจ จนผมอดถามไม่ได้ “อะไร”

     “พี่ไม่ดุผมเหรอ ก่อนเปิดประตูผมยืนทำใจฟังพี่บ่นอยู่ตั้งนาน”

     “กูไม่รังแกคนป่วย รอมึงหายดีก่อน จะบ่นจนหูชาเลยสัญญา”

     “โหย ขนาดไม่รังแกนะ” ซนย่นจมูก ทำเอาผมเกือบหลุดขำ ในสายตามันคงเห็นผมเป็นคนชอบดุ ชอบบ่น ชอบว่าสินะ ผมรู้เพราะดวงตาซนเวลามองผมมันบอกชัดเจนทุกอย่าง

     ผมปล่อยให้ซนนอนพักอยู่บนห้อง ส่วนตัวเองลงมาทำอาหารอ่อนๆ เป็นมื้อเช้า โชคดีที่ในตู้เย็นมีของสดกับวัตถุดิบพอให้ทำข้าวต้มได้ ผมว่าจะซื้อมาเติมตั้งแต่เมื่อวาน แต่เพราะงานคณะทำให้หลงลืม

     ผมโทรไปบอกบอนด์ว่าวันนี้จะโดดเรียน พออีกฝ่ายถามถึงเหตุผลก็บอกแค่ว่าต้องอยู่ดูแลเด็กป่วย บอนด์เข้าใจความหมายในทันทีจึงไม่ถามอะไรต่อ มีถามไถ่อาการนิดหน่อยก่อนจะวางสายไป

     บอนด์เป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่รู้ความลับของผม เป็นความลับที่ผมไม่คิดจะบอกใคร และคิดว่ามันคงเป็นความลับไปตลอด ถ้าไม่เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นเสียก่อน





     “ให้ดูแลซนเหรอครับ” ผมทวนประโยคของคนตรงหน้าด้วยความแปลกใจ อาไพโรจน์มาบ้านผมในเช้าของวันหนึ่ง โดยบอกว่ามีเรื่องอยากคุยกับผม ตอนนี้พวกเรานั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น มีน้าไพลินแม่ของซนกับแม่ของผมอยู่ด้วย

     “อาต้องไปทำงานต่างจังหวัดสามเดือน บอกตรงๆ อาไม่ไว้ใจให้เจ้าซนอยู่บ้านคนเดียว ทำอาหารก็ไม่เป็น งานบ้านก็ไม่เคยจับ อากลัวมันจะทำบ้านพังเข้าสักวัน”

     “คงไม่ขนาดนั้นมั้งครับ ซนอายุยี่สิบแล้ว น่าจะพอดูแลตัวเองได้”

     “พูดตรงๆ มันก็เป็นความผิดของอาเองที่เลี้ยงลูกแบบไข่ในหินเกินไป ตอนแรกอาจะใช้โอกาสนี้สอนให้มันใช้ชีวิตด้วยตัวเอง แต่ก็อย่างที่บอก อาไม่ไว้ใจลูกตัวเอง”

     ผมพยักหน้าเข้าใจ รู้ว่าที่อีกฝ่ายพูดรวมไปถึงเป็นห่วงความเป็นอยู่ของลูกชายคนเดียว

     “อาเลยอยากให้ธารช่วยดูแลเจ้าซน ไม่ต้องทำอะไรให้ แค่สอนให้มันใช้ชีวิตเป็นก็พอ ถ้ามีธารอยู่อาจะได้อุ่นใจว่าอย่างน้อยเจ้าซนไม่ได้ไปเถลไถลที่ไหน”

     ผมทำหน้าลำบากใจ อาไพโรจน์กับน้าไพลินเป็นผู้ใหญ่ที่ผมเคารพเหมือนพ่อแม่แท้ๆ จึงไม่มีเหตุผลที่ผมจะเมินคำขอร้องของพวกท่าน เพียงแต่ที่ผมลำบากใจอยู่ตอนนี้คือความลับที่อยู่ในใจมานาน ผมจึงไม่อยากรับปากว่าจะดูแลลูกชายบ้านข้างๆ ให้

     “ผู้ใหญ่มาขอร้องขนาดนี้ เราก็รีบรับไว้สิธาร ตาซนก็เหมือนน้องเรา ดูแลน้องนุ่งแค่นี้จะเป็นไรไป” แม่ผมพูดขึ้นมาเมื่อเห็นว่าผมเอาแต่เงียบ แต่แม่ไม่ได้รู้เลยว่าสิ่งที่ตัวเองพูดคือเหตุผลที่ทำให้ผมไม่อยากรับปาก

     “ได้ครับ ผมจะดูแลซนอย่างดี คุณอากับคุณน้าวางใจได้เลย” ผมยิ้มให้ผู้ใหญ่ทั้งสอง ขณะที่ในใจคอยนึกถึงคำพูดของแม่ตัวเอง ซนเป็นน้องชาย ต่อให้ไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน แต่ในเมื่อผู้ใหญ่คิดอย่างนั้นผมก็ต้องคิดให้ได้ตามนั้น ผมต้องดูแลซนในฐานะพี่ชาย นั่นคือสิ่งที่ผมเตือนใจตัวเองมาตลอด





     ผมตักข้าวต้มจากหม้อใส่ชาม ไม่คิดจะปรุงรสเพราะอยากให้เด็กป่วยทานของอ่อนๆ ผมเดินถือชามข้าวต้มขึ้นไปบนห้องนอน ดูจากท่าทางอ่อนแรงแล้วคงต้องให้ทานบนเตียง

     “เอ๋อ” ผมเขย่าแขนเบาๆ ปลุกคนที่หลับสนิทอยู่บนเตียง ซนปรือตาขึ้นมอง “ลุกมากินข้าวก่อน จะได้มีแรง”

     ผมช่วยประคองซนลุกขึ้นนั่ง จับหมอนรองด้านหลัง ซนทำท่าจะเอาไปถือเอง แต่ผมชักมือหลบ

     “พี่ธารจะป้อนเหรอ”

     “อืม”

     “ไม่เป็นไร ผมกินเองได้ ไม่ได้หมดแรงขนาดนั้น”

     “กูไม่ได้ห่วงมึง กลัวจะหกเลอะที่นอนต่างหาก ขี้เกียจเอาไปซักให้”

     ดวงตากลมมองค้อนผมขวับ ริมฝีปากขมุบขมิบเหมือนเจ้าตัวกำลังบ่น ผมห่วงซนจริงๆ นั่นแหละ แต่ใครจะยอมบอก ให้มันคิดว่าผมชอบดุน่ะดีแล้ว ขืนตามใจมากๆ คงไม่เชื่อฟังกันพอดี

     ผมป้อนข้าวต้มไปมองหน้าซนไป ใบหน้าที่เหมือนไม่เคยมีเรื่องทุกข์ใจทำให้ผมอดคิดไม่ได้ เจ้าตัวดีจะรู้บ้างไหมว่าผมต้องพยายามอย่างหนักที่จะไม่แสดงความรู้สึกออกมา ทั้งที่พยายามตีตัวออกห่างแต่ก็มีเรื่องให้มาใกล้ชิด เหมือนฟ้าแกล้งกันชัดๆ

     ผมรู้จักซนมาตั้งแต่เด็กๆ เคยเล่นด้วยกันบ่อยครั้ง แต่ยิ่งนานวันเรื่องราวในอดีตก็ดูเหมือนจะเลือนหายไปในความทรงจำอีกคน ผมคิดว่าตัวเองเอ็นดูซนแบบน้องชายมาตลอด แต่ผมก็เพิ่งรู้ว่าเข้าใจผิดตอนที่ซนเข้ามาเรียนมหา’ลัยเดียวกับผม ผมยังจำได้ดีว่าวันที่เห็นซนเดินกับผู้หญิงด้วยท่าทางสนิทสนมเกินเพื่อน ข้างในมันรู้สึกยังไง

     ผมบอกตัวเองว่ามันคืออาการหวงน้องชาย ผมบอกตัวเองว่าผมไม่ได้คิดอะไรกับซน แต่สุดท้ายผมก็ต้องยอมรับว่าทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องโกหก ผมกำลังหลอกตัวเอง ผมกำลังผลักไสความจริงที่ว่า...ผมชอบซน

     ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่รู้คือผมจะแสดงมันออกมาไม่ได้เด็ดขาด ครอบครัวผมสนิทกับครอบครัวซนมานาน ถึงจะไม่ใช่ญาติแต่ก็รักกันเหมือนญาติจริงๆ แถมผมกับซนยังเป็นผู้ชายเหมือนกันอีก ความรักของผมจึงกลายเป็นรักต้องห้ามโดยปริยาย





     ผมนำชามไปวางบนโต๊ะ ก่อนจะกลับมาหาคนบนเตียงพร้อมกับยา ซนนิ่วหน้าเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือ ผมเกือบหลุดขำด้วยความเอ็นดูปนอ่อนใจ โตขนาดนี้ยังไม่ชอบกินยาอยู่อีกเหรอ

     “ผมไม่กิน” คนพูดเม้มปากแน่น สีหน้าดื้อดึง ผมทำเป็นไม่ได้ยิน ยื่นเม็ดยากับแก้วน้ำไปตรงหน้า

     ซนหันหน้าหนี ทำท่าจะเอนตัวลงนอน ผมเอื้อมมือไปจับต้นแขนพลางตีหน้าดุ แต่เด็กดื้อก็ยังดื้อวันยังค่ำ ผมไม่อยากออกแรงเพราะอีกฝ่ายป่วยอยู่ จึงงัดไม้ตายที่คิดว่าได้ผลออกมา

     “ถ้าหายแล้วจะพาไปเที่ยว”

     ได้ผลชะงัด เจ้าตัวดีหันขวับมามองหลังจากเอาแต่หันหนีอย่างเดียว ผมลอบยิ้ม ดูเหมือนวิธีเลี้ยงเด็กเล็กจะใช้ได้ผลกับเด็กโตด้วยเหมือนกัน

     “ไปเที่ยวที่ไหน”

     “มึงอยากไปไหนล่ะ”

     “บอกแล้วพี่ธารจะพาไปเหรอ”

     “ถ้าพาไปได้ก็จะพาไป”

     ผมเห็นประกายในดวงตาของเด็กเอ๋อ ก่อนมันจะสว่างวาบขึ้นมา เหมือนเจ้าตัวมีสถานที่ในใจอยู่แล้ว

     ซนเงยหน้ามามอง ฉีกยิ้มกว้างจนตาปิด พาให้ใบหน้าที่อิดโรยสดใสขึ้นเป็นเท่าตัว “ผมอยากไปทะเล”

     ผมไม่ได้ฟังว่าซนพูดอะไร เพราะตาเจ้ากรรมมันเอาแต่มองรอยยิ้มตรงหน้า นานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่เห็นซนยิ้มแบบนี้ให้ ต้องทำยังไงถึงจะได้เห็นรอยยิ้มนี้ทุกวันนะ มันคงเป็นอะไรที่ดีไม่น้อย

     “พี่ธาร พี่ธาร”

     “หือ?” ผมกะพริบตาปริบ ใบหน้าซนอยู่ห่างแค่คืบเดียว

     “เป็นอะไรพี่ ผมเรียกก็ไม่ตอบ หลับกลางอากาศเหรอ”

     “เพ้อเจ้อ” ผมดีดหน้าผากไปหนึ่งที ซนยกมือลูบป้อยๆ ทั้งที่ผมดีดเบาๆ

     “ผมบอกว่าอยากไปทะเล”

     “อืม เดี๋ยวพาไป”

     “ได้เหรอ!”

     “ทำไมจะไม่ได้ แค่ทะเลเอง”

     ซนทำหน้าดีใจจนผมเกือบหลุดยิ้ม ดีที่ยั้งไว้ทัน มาคิดๆ ดูแล้วชีวิตผมก็ลำบากเหมือนกันนะ ต้องเก๊กหน้านิ่งให้เด็กดื้อกลัวอยู่ตลอด อย่างกับเป็นพี่ว้าก

     ซนรับยาจากมือผมไปใส่ปากเมื่อได้สิ่งแลกเปลี่ยนที่น่าพอใจแล้ว สีหน้ายับย่นตอนกลืนเม็ดยาทำให้ผมอยากขำและส่ายหัวในเวลาเดียวกัน ผมรับแก้วคืนมาก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ ซนหลับตาลงก่อนจะลืมตาอีกครั้ง หันมามองผมด้วยสายตาตื่น

     “พี่ธารไม่ไปเรียนเหรอ” ซนคงเห็นชุดนักศึกษาที่ผมใส่อยู่ถึงได้ถามขึ้นมา ผมส่ายหัว มาถามเอาป่านนี้เนี่ยนะเจ้าเด็กเอ๋อ

     “ก็อยากไปอยู่ แต่มีเด็กบางคนไม่ดูแลตัวเอง กูเลยต้องอยู่ดูแล”

     “ไม่เป็นไรพี่ ผมอยู่คนเดียวได้สบาย พี่ไปเรียนเลย ผมโตแล้วดูแลตัวเองได้”

     จากที่ดูแลมาหลายวัน คิดว่าผมจะเชื่อคำพูดนั้นได้ลงคอเหรอ ผมส่ายหัวให้เด็กที่ดูจะอยากโตซะเหลือเกิน วางมือลงบนศีรษะ

     “นอนไปเถอะ ไม่ต้องห่วงกูหรอก ตอนนี้เอาตัวเองให้รอดก่อน”

     ซนย่นจมูกใส่ผม มันน่าดึงจมูกให้เข็ดจริงๆ

     “อย่ามาโทษว่าผมทำให้เสียการเรียนแล้วกัน”

     “กูเรียนเก่งกว่ามึงเยอะ โดดวันเดียวไม่ทำให้เอหายไปหรอก”

     “ขี้อวด”

     “ว่าอะไรนะเอ๋อ”

     “เปล่าครับ” ซนย่นคอเมื่อเจอหน้าดุๆ ของผมเข้าไป เจ้าตัวดีมุดหัวเข้าไปในผ้าห่มจนผมต้องบอกให้นอนดีๆ เดี๋ยวจะหายใจไม่ออก

     ภายในห้องกลับมาเงียบอีกครั้ง ดวงตาที่ปิดสนิททำให้ผมรู้ว่าเด็กเอ๋อหลับไปแล้ว ขณะที่ผมกำลังจะออกจากห้องเพื่อไปเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้านตัวเอง จู่ๆ คนบนเตียงก็พูดขึ้นมา

     “ถึงจะชอบแกล้งไปหน่อยแต่ก็ขอบคุณที่มาดูแลผมนะครับ คุณผู้ปกครองชั่วคราว”

     ผมไม่ตอบอะไร เพียงแค่ส่งเสียงหึให้ได้ยินแล้วเดินออกมา มุมปากผมยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ยิ่งนึกถึงคำเรียกของเจ้าตัวดีผมก็ยิ่งยิ้มกว้าง ผู้ปกครองชั่วคราวงั้นเหรอ น่าสนใจดี แต่จะน่าสนใจกว่านี้ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้ปกครองหัวใจ



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter :    earthxxide  (https://twitter.com/earthxxide? t=muF0165hiRexxkrO2QLULw&s=09)

     Fanpage :    Earthxxide  (https://www.facebook.com/earthxxide? mibextid=ZbWKwL)
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 7] ✪ 22/04/2023
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 22-04-2023 19:11:05
 :pighaun:
หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 8] ✪ 23/04/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 23-04-2023 19:32:43
ตอนที่ 8
ความประทับใจแรกพบ


     -บอนด์-

     ผมกำลังขับรถไปหาอะไรทาน หลังจากง่วนอยู่กับงานคณะไม่เห็นเดือนเห็นตะวันมาสามวันเต็ม ผมต้องทำเผื่อในส่วนของธาร เนื่องจากมันมีน้องชายข้างบ้านต้องดูแล เป็นน้องชายข้างบ้านที่มันไม่ได้คิดแค่พี่น้อง

     ผมขับช้าๆ เนื่องจากยังอยู่ในเขตมหา’ลัย ทันใดนั้นสายตาก็สะดุดเข้ากับร่างผอมคุ้นตาที่กำลังเดินบนฟุตบาท ผมขับไปเทียบข้างแล้วบีบแตรเบาๆ ก่อนจะลดกระจกลงเมื่อเป้าหมายหันมามอง

     “จะไปไหน เดี๋ยวพี่ไปส่ง” ผมทักน้องนายอย่างอัธยาศัยดี แต่น้องนายเพียงแค่มองตอบด้วยสายตาว่างเปล่า คิ้วบางย่นเข้าหากันเล็กน้อย เหมือนเจ้าตัวกำลังงงบางอย่าง

     “เรารู้จักกันเหรอครับ”

     !!!

     ทั้งชีวิตผมไม่เคยหน้าเหวอขนาดนี้มาก่อน นี่อาจเป็นครั้งแรกและครั้งเดียว ผมสตันไปประมาณห้าวินาที ต่างคนต่างมองหน้ากัน ก่อนที่ผมจะกระแอมเรียกเศษหน้าที่เพิ่งแตกไปกลับมา

     “เมื่อวันก่อนเรายังนั่งกินข้าวด้วยกันอยู่เลย จำไม่ได้เหรอ” ผมส่งยิ้มให้อีกฝ่าย หวังให้น้องนายเฉลยว่ากำลังเล่นมุก แต่สีหน้างุนงงทำให้ผมรู้ว่าเจ้าตัวลืมผมไปแล้วจริงๆ หรือไม่ก็ไม่เคยจำตั้งแต่แรก

     “พี่ชื่อบอนด์ เป็นเพื่อนไอ้ธาร” ผมแนะนำตัว (อีกครั้ง) ออกไปในที่สุด น้องนายนิ่งไปสักพักก่อนดวงตาจะเบิกโต มองผมด้วยใบหน้าตื่น

     “พี่บอนด์! ผมจำได้แล้ว ขอโทษนะครับ ผมจำไม่ได้จริงๆ ผมไม่ได้จะแกล้งให้พี่หน้าแตกเลยนะ”

     ท่าทางก้มหัวแทบจะร้อยแปดสิบองศากับคำขอโทษติดๆ กันทำให้ผมอดนิ่วหน้าไม่ได้ นี่ผมไม่ได้โดนประชดอยู่ใช่ไหม ไม่หรอก ผมคงคิดไปเอง

     “ถ้าจำได้แล้วก็ขึ้นมา”

     “ไม่เป็นไรครับ หอผมอยู่แค่นี้เอง”

     “แค่นี้ก็ไปส่งได้ เร็ว ไม่เห็นเหรอว่าคันข้างหลังบีบแตรไล่แล้ว”

     น้องนายรีบหันไปมองรถด้านหลัง ค้อมหัวให้นิดๆ เป็นเชิงขอโทษก่อนจะก้าวขึ้นรถอย่างไว

     “ขอโทษอีกทีนะครับ วันนั้นผมไม่ค่อยตั้งใจฟังเลยไม่รู้ว่าพวกพี่ชื่ออะไรกันบ้าง”

     ผมคงคิดว่าตัวเองกำลังโดนหาเรื่อง ถ้าไม่หันไปเห็นแววตารู้สึกผิดเสียก่อน น้องนายทำหน้าเหมือนกลัวผมโกรธจริงๆ แล้วแบบนี้ผมจะพูดอะไรได้นอกจาก...

     “ไม่เป็นไร”

     น้องนายยังมองเหมือนอยากแน่ใจว่าผมไม่โกรธจริงๆ ผมเลยส่งยิ้มไปให้ เพียงเท่านั้นคนอายุน้อยกว่าก็ยิ้มโล่งใจ ผมออกรถเมื่ออีกฝ่ายรัดเข็มขัดนิรภัยแล้ว พร้อมกับความคิดหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในหัว

     เป็นเด็กที่เหมือนไม่มีอะไร แต่กลับมีอะไรให้ทึ่งตั้งแต่ครั้งแรกที่คุยกัน แปลกจริงๆ





     ตอนแรกผมตั้งใจไปส่งน้องนายที่หอ แต่สาเหตุที่ตอนนี้พวกผมมาอยู่ในร้านอาหารแทน เพราะระหว่างบนรถจู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงท้องร้อง พอหันไปมองก็เจอกับรอยยิ้มขอโทษเขินๆ

     “ไม่สั่งเหรอ” ผมถามเมื่อเห็นน้องนายเอาแต่มองเมนูอย่างเดียว น้องนายเงยหน้ามามองผม สีหน้าที่เหมือนอยากร้องไห้ทำให้ผมเลิกคิ้ว

     “พี่บอนด์สั่งเลยครับ ผมไม่หิว”

     จากที่กำลังเลิกคิ้ว ผมขมวดคิ้วแปลกใจเมื่อน้องนายพูดอย่างนั้น เสียงท้องร้องออกจะดังแต่กลับบอกว่าไม่หิว ไปบอกเด็ก เด็กยังไม่เชื่อเลย

     “หิวก็สั่ง จะโกหกว่าไม่หิวทำไม”

     น้องนายเม้มปาก ทำหน้าเหมือนลำบากใจบางอย่าง ก่อนดวงตาคู่นั้นจะเงยมองผมอีกครั้งอย่างเขินๆ

     “ผม...มีเงินไม่พอน่ะครับ แต่ละอย่างแพงๆ ทั้งนั้น ผมเคยแต่ทานข้าวจานละสี่สิบ ไม่เคยสั่งจานละสองร้อยแบบนี้”

     ผมมองคนตรงหน้านิ่ง ไม่มีคำพูดใดออกจากปาก เพียงไม่นานเสียงถอนหายใจก็ดังขึ้น ก่อนที่ผมจะดึงเมนูมาถือเอง

     ผมยกมือเรียกพนักงาน สั่งเมนูที่คิดว่าคนตรงหน้าน่าจะอยากทาน น้องนายมองผมอย่างแปลกใจ พอพนักงานเดินไปแล้วจึงพูดขึ้นมา

     “พี่บอนด์ทานหมดเหรอครับ”

     “พี่สั่งให้เราด้วย”

     “แต่ผมไม่มีเงินจ่าย...”

     “แล้วใครบอกจะให้เราจ่าย”

     น้องนายนิ่งไปครู่หนึ่ง เหมือนสมองกำลังประมวลผล ทันใดนั้นดวงตาก็เบิกกว้าง มองผมอย่างตกใจ

     “พี่บอนด์จะเลี้ยงผมเหรอ”

     ผมพยักหน้า คิดว่าจะได้เห็นใบหน้าเกรงใจไม่ก็ได้ยินคำขอบคุณ แต่ประโยคแรกที่ออกมาจากปากหลังเจ้าตัวเงียบไปนานกลับเป็น...

     “ยังเป็นนักศึกษาอยู่ไม่ใช่เหรอครับ ยังไม่มีงานทำแต่มาเลี้ยงข้าวคนอื่นแบบนี้จะดีเหรอครับ”

     คนพูดทำน้ำเสียงปกติ ดวงตาใสซื่อ มันทำให้ผมไม่แน่ใจว่ากำลังถูกหลอกด่าอยู่หรือเปล่า แต่จากเหตุการณ์ตอนเจอกันทำให้ผมบอกตัวเองว่าเด็กมันแค่พูดตรงไปหน่อย ตรงอย่างกับไม้บรรทัด

     “บ้านพี่รวย” สั้น ง่าย ได้ใจความ ในเมื่ออีกฝ่ายถามตรงๆ ผมก็ตอบตรงๆ เหมือนกัน น้องนายมองผมด้วยสายตาเกรงใจ จะมาเกรงใจอะไรตอนนี้ มันไม่ทันตั้งแต่น้องลืมพี่แล้วครับ

     “ขอบคุณนะครับพี่บอนด์” น้องนายยกมือไหว้ ผมเหวอไปนิดหนึ่งก่อนจะรับไหว้แทบไม่ทัน นอกจากเรื่องพูดตรงที่มั่นใจแล้ว น้องนายทำให้ผมแปลกใจกับบุคลิกของเจ้าตัวได้ทุกวินาที เดี๋ยวก็พูดจาเหมือนหาเรื่อง เดี๋ยวก็ทำตัวเป็นเด็กเรียบร้อย จนผมงงไปหมดว่าจริงๆ แล้วเด็กคนนี้เป็นคนยังไง

     “ผมไม่น่าท้องร้องเลย พี่บอนด์เลยต้องมาลำบากเลี้ยงข้าว ขอโทษนะครับ” สายตาที่มองมาบอกถึงความเกรงใจและรู้สึกผิด จนผมต้องรีบตอบกลับไป

     “บอกแล้วไงว่าบ้านพี่รวย แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก”

     “ไว้วันหลังผมจะเอาเงินมาคืนนะครับ หรือถ้าพี่อยากให้เลี้ยงข้าวคืนนัดวันมาได้เลยครับ”

     “ไม่เป็นไร ถ้าเราเกรงใจจริงๆ พี่ขออย่างเดียว”

     “อะไรครับ”

     ผมทำหน้าจริงจัง โน้มไปใกล้จนน้องนายตกใจนิดๆ “หลังจากนี้อย่าลืมชื่อพี่อีกก็พอ”

     น้องนายเอียงคองงเมื่อเจอคำขอร้องของผมเข้าไป แต่สุดท้ายก็พยักหน้ารับ ผมถอนใบหน้าออกมา เราหยุดคุยกันเมื่ออาหารมาเสิร์ฟ ผมมองคนตรงหน้าที่ตาลุกวาวเมื่อเห็นความหรูหราของอาหาร ทำเอาอดยิ้มมุมปากไม่ได้

     ถึงจะแปลกไปหน่อย แต่ก็เป็นเด็กที่น่าเอ็นดูอยู่เหมือนกัน





     “เพื่อนไปไหนล่ะ ทำไมอยู่คนเดียว” ผมชวนน้องนายคุยเพื่อไม่ให้บรรยากาศในรถเงียบเกินไป ผมมักจะเห็นเพื่อนกลุ่มนี้อยู่ด้วยกันตลอด อย่างวันที่มาเชียร์บาสเป็นต้น จึงแปลกใจที่วันนี้ไม่เห็นผิง ส่วนซนผมรู้จากธารแล้วว่าวันนี้ไม่มามหา’ลัยเนื่องจากไม่สบาย

     “คุณซนท้องเสียครับ ส่วนคุณผิงไปหาข้อมูลทำรายงานที่ห้องสมุด”

     สรรพนามที่ใช้เรียกเพื่อนทำให้ผมย่นคิ้วเล็กน้อย ผมหันไปมองเจ้าของใบหน้าเล็กที่พูดไปมองถนนไป

     “ทำไมเรียกเพื่อนว่าคุณ”

     “มันชินปากน่ะครับ ผมเรียกเพื่อนแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วครับ”

     พอได้ยินอย่างนี้ผมจึงเพิ่งสังเกต แทบทุกประโยคที่น้องนายพูดกับผมมักจะมีครับลงท้ายตลอด ผมหัวเราะในลำคอเมื่อคิดว่าเจอเด็กเรียบร้อยเข้าให้แล้ว แต่เป็นเด็กเรียบร้อยที่กวนตาใสที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอ

     “แล้วทำไมถึงไม่เรียกพี่ว่าคุณ”

     “พี่บอนด์อายุมากกว่าผมก็ต้องเรียกพี่สิครับ” น้องนายหันมามองผม แม้ไม่พูดออกมาแต่สายตาเหมือนอยากถามว่า...ทำไมเรื่องแค่นี้ถึงไม่รู้

     “หึๆ”

     “ขำอะไรเหรอครับ”

     “ไม่มีอะไร”

     ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะเชื่อ เพราะผมพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ น้องนายมองผมอย่างแปลกใจ ผมเองก็แปลกใจ แปลกใจตัวเองที่รู้สึกสนุกแค่เพราะได้รู้จักนิสัยเด็กคนนี้ทีละนิด

     มันเหมือนการอ่านหนังสือที่ไม่รู้ว่าหน้าต่อไปมีอะไรรออยู่ ทุกการพลิกหน้ากระดาษจึงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ผมกำลังเป็นแบบนั้น น้องนายเป็นเด็กเรียบร้อยที่คิดอะไรก็พูดออกมาตรงๆ ไม่พูดคำหยาบทำร้ายจิตใจใคร แต่ก็ไม่พูดอ้อมค้อมเพื่อรักษาจิตใจใครเช่นกัน ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่ก็เป็นเด็กไม่มีพิษมีภัย แม้เพิ่งรู้จักกันวันเดียวแต่ผมมั่นใจในข้อนี้

     วันนี้ผมรู้จักน้องนายเพียงเท่านี้ แต่ผมมั่นใจว่าเด็กคนนี้ต้องมีเรื่องสนุกๆ ให้ผมพลิกหน้าต่อไปอีกแน่นอน ดูเหมือนผมจะเจอเด็กน่าสนใจเข้าแล้วสิ ดีเหมือนกัน ชีวิตนักศึกษาปีสี่ของผมไม่ได้สัมผัสคำว่าตื่นเต้นมานานแล้ว

     ผมขับรถมาจอดเทียบฟุตบาทหน้าหอพักแห่งหนึ่ง น้องนายลงไปจากรถ หันกลับมาโน้มตัวจนสายตาเราอยู่ระดับเดียวกัน

     “ขอบคุณที่มาส่งนะครับ”

     “ไม่เป็นไร”

     “แล้วก็...”

     ผมเลิกคิ้ว นึกว่าน้องนายหมดเรื่องคุยแล้ว

     “อาหารวันนี้อร่อยมากครับ ผมชอบทุกอย่างเลย” น้องนายคลี่ยิ้ม เป็นรอยยิ้มสดใสที่เต็มไปด้วยความจริงใจ ผมหลุดขำคำพูดเถรตรงนั้น นึกสงสัยว่าอีกฝ่ายเคยโกหกบ้างไหม มีอะไรก็พูดออกมาหมด ไม่ปิดบัง ไม่เสแสร้ง ผมไม่คิดว่าจะเจอคนแบบนี้ในสังคมได้ง่ายๆ แต่สุดท้ายก็เจอ

     “ขอบคุณเหมือนกันที่มาทานข้าวเป็นเพื่อน”

     ผมรอจนน้องนายเดินหายเข้าไปในหอพัก จึงออกรถด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหลังขับออกมาได้สักพัก วันที่และเดือนถูกผมจดจำอย่างรวดเร็ว

     ผมจะจำไว้ว่าวันนี้ผมเจอเด็กน่าสนใจคนหนึ่ง เป็นเด็กที่ให้ความประทับใจแรกพบแปลกที่สุดในชีวิต



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter :    earthxxide  (https://twitter.com/earthxxide? t=muF0165hiRexxkrO2QLULw&s=09)

     Fanpage :    Earthxxide  (https://www.facebook.com/earthxxide? mibextid=ZbWKwL)
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 8] ✪ 23/04/2023
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 23-04-2023 22:38:26
 o13
หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 9] ✪ 24/04/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 24-04-2023 18:22:11
ตอนที่ 9
หรือไม่...


     ช่วงนี้ผมให้คะแนนพี่ธารไปในฝั่งคนดีค่อนข้างเยอะ เผื่อใครไม่รู้ ผมมีคะแนนความพึงพอใจผู้ปกครองชั่วคราวด้วยนะครับ ถ้าแกล้งจะถูกหักคะแนน ถ้าทำดีด้วยจะได้คะแนนเพิ่ม ด้วยเหตุนี้เองคะแนนพี่ธารจึงต่ำเตี้ยเรี่ยดิน (ก็แน่ล่ะ ผมเป็นคนให้คะแนน ใครมันจะช่วยคนที่ชอบแกล้งตัวเองล่ะ)

     สาเหตุที่ผมเพิ่มคะแนนให้พี่ธารไม่ใช่เพราะเขาเลิกแกล้งผมแล้ว แต่เป็นเพราะหลังจากวันที่ผมท้องเสียเขาก็ไม่บ่นหรือดุเรื่องนี้เลย ไม่รู้ว่าลืมหรือเปล่า แต่ต่อให้ลืมผมก็ไม่คิดจะรื้อฟื้นให้ตัวเองโดนบ่นหรอก

     ส่วนเรื่องที่พี่ธารสัญญาว่าจะพาไปทะเล เราตกลงกันว่าจะไปตอนปิดเทอม ผมยุ่งอยู่กับรายงาน ส่วนพี่ธารก็ง่วนอยู่กับงานคณะ ต่างคนต่างไม่ว่าง อย่าว่าแต่ไปทะเลเลย เวลานอนยังแทบไม่มี

     แต่ต่อให้ยุ่งแค่ไหนพี่ธารก็ไม่เคยละเลยเรื่องดูแลผม ถ้าไม่นับเรื่องที่ชอบบังคับให้ทำงานบ้านด้วยตัวเอง พี่ธารดูแลผมดีจนผมอดละอายใจไม่ได้ ต่อให้ไม่แสดงออกแต่ผมก็ดูออกว่าพี่ธารก็เหนื่อยเหมือนกัน

     “พี่ธาร” ผมหันไปเรียกคนตัวสูง พี่ธารมาหาผมที่คณะเพื่อจะขับรถไปส่งที่บ้าน หลังจากนั้นจะกลับมาทำงานที่คณะต่อ แต่ที่ตอนนี้ยังไม่กลับเพราะผมรอหนังสือที่ผิงเข้าไปยืมในห้องสมุดให้อยู่

     “ว่าไง”

     “หลังจากนี้ไม่ต้องมารับมาส่งแล้วนะ ผมจะหัดไปกลับมหา’ลัยด้วยตัวเอง”

     ร่างสูงหันมามองเหมือนไม่เชื่อสายตา อะไรวะ แค่ผมพูดว่าจะไปกลับเองมันน่าเหลือเชื่อขนาดนั้นเลยเหรอ

     “ทำไมจู่ๆ ถึงอยากไปกลับเอง”

     “พ่อบอกว่าอยากให้ผมทำอะไรด้วยตัวเอง ผมเลยว่าจะเริ่มจากการเดินทางก่อน พี่ธารจะได้ไม่ต้องเหนื่อยด้วย ถ้าไม่ต้องมารับส่งผมพี่จะได้มีเวลาพักผ่อนมากขึ้นไง” ผมส่งยิ้มให้อีกฝ่าย เป็นไงล่ะ ดูหล่อเลยล่ะสิ ผมมั่นใจว่าพี่ธารต้องซึ้งกับคำพูดผมไม่มากก็น้อย ผมทำเพื่อพี่มันขนาดนี้ ไม่ซึ้งก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว

     “คิดจะหางานให้กูเพิ่มเหรอเอ๋อ”

     อะไรวะ! นี่ผมช่วยพี่อยู่นะเว้ย พี่ต้องขอบคุณผมสิ ขอบคุณน่ะพูดเป็นไหม

     “ขืนปล่อยให้มึงกลับเอง กว่าจะกลับถึงบ้านไม่เช้าของอีกวันเลยเหรอ”

     “ผมเป็นเด็กดี ไม่เถลไถลแน่นอน”

     “กูไม่ได้กลัวมึงเถลไถล กูกลัวมึงหลงทาง”

     เหมือนมีเสียงของแตกดังขึ้น ดูๆ แล้วน่าจะเป็นหน้าผมนี่แหละ ผมหุบยิ้มทันที เปลี่ยนมาทำหน้าบึ้งอย่างประจำ คนเขาอุตส่าห์อยากช่วยกลับมาดูถูกกัน งั้นก็เชิญเหนื่อยตายไปเลยไอ้พี่บ้า

     “มาแล้วๆ โทษที บัตรนักศึกษามีปัญหานิดหน่อยเลยช้า” ผิงวิ่งถือหนังสือมาพร้อมรอยยิ้มแต่ไกล ก่อนที่รอยยิ้มจะค่อยๆ ลดลงเมื่อเห็นสีหน้าผม

     “เป็นอะไรวะ ทะเลาะกับพี่ธารเหรอ” ผิงขยับมาใกล้ก่อนกระซิบเสียงเบา ผมไม่ตอบ คว้าหนังสือมาจากมือเพื่อน พูดขอบคุณแล้วเดินออกมา

     อยากไปส่งนักก็ตามใจ หลังจากนี้ผมจะไม่เป็นห่วงแล้ว เอาเวลาไปคิดเรื่องรายงานดีกว่า ห่วงคนแบบนี้ไปไม่เห็นมีอะไรดีเลย





     ผมเดินปึงปังเข้าบ้าน มีพี่ธารตามมาติดๆ ตอนแรกผมว่าจะไม่สนใจ แต่สุดท้ายก็อดหันไปถามไม่ได้

     “ตามมาทำไม ต้องกลับไปทำงานไม่ใช่เหรอ”

     ร่างสูงพ่นลมหายใจหนักๆ ดวงตาที่มองมาฉายแววหงุดหงิด

     “เป็นอะไร”

     “ถามผมเหรอ”

     “อยู่กันสองคน ไม่ถามมึงแล้วจะถามใคร”

     “ผมถามพี่ก่อนนะ พี่ก็ต้องตอบก่อนสิ”

     พี่ธารถอนหายใจหนักๆ อีกครั้ง ก่อนจะตอบเหมือนช่วยไม่ได้

     “กูโทรไปบอกเพื่อนให้ทำแทนแล้ว”

     “กินแรงเพื่อน” ผมว่ากระทบเบาๆ พูดดังไม่ได้ครับ อยู่บ้านกันสองคน แถมพี่ธารยังตัวใหญ่กว่าผม เกิดไปยั่วโมโหพี่แกมากๆ แล้วโดนจับฆ่าหมกบ้านขึ้นมาไม่คุ้มกันเลยสักนิด

     “ทีนี้จะตอบได้ยังว่าเป็นอะไร”

     “ผมไม่ได้เป็นอะไร”

     “แน่ใจ?”

     ผมสะบัดหน้าแทนคำตอบ พี่ธารไม่พูดอะไรต่อ เดินผ่านผมไปยังห้องครัว ผมรีบเดินตามไปทันที อารมณ์โมโหยังคุกรุ่น

     “ผมไม่กินข้าวเย็น” ต้องประท้วงให้รู้ว่ากำลังโกรธครับ เรื่องแบบนี้ใครเขาพูดกัน มันต้องรู้ด้วยตัวเองสิ

     “แล้วใครบอกว่ากูทำให้มึง” พี่ธารหันมาพูดด้วยหน้านิ่งๆ พร้อมยักคิ้วหนึ่งที ไอ้...โว้ยยย! อยากทำอะไรก็เชิญ!!

     ผมทำหน้าฮึดฮัดใส่ก่อนจะเดินกระแทกเท้าขึ้นไปบนชั้นสอง จะมีสักครั้งไหมวะที่ผมชนะพี่ธาร เถียงกันทีไรผมสู้ไม่ได้ทุกที เมื่อไหร่พ่อแม่จะกลับมานะ ผมเบื่อหน้าไอ้พี่ธารแล้ว พ่อจะรู้บ้างไหมว่าคนที่พ่อให้มาดูแลกำลังทำให้ลูกหงุดหงิด ไอ้พี่บ้าเอ๊ย!!





     เสียงเคาะประตูดังสองสามครั้ง ผมเดินไปเปิดด้วยใบหน้าบึ้งตึง พี่ธารยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงหน้า ระดับความสูงที่ต่างกันทำให้ผมต้องแหงนหน้ามอง

     “ลงไปกินข้าว”

     “ไหนว่าไม่ได้ทำให้ผม”

     “กูทำแล้วมันเหลือ จะเอาไปทิ้งก็เสียดาย เอามาให้มึงกินดีกว่าจะได้โตเร็วๆ”

     ผมย่นคิ้ว ทำไมพี่ธารชอบว่าผมเป็นเด็กจังวะ พี่มันตัวโตเกินไปต่างหาก อย่างผมเขาเรียกว่ามาตรฐานชายไทยทั่วไป

     “ผมบอกแล้วไงว่าไม่กิน”

     “แค่หายใจมันอิ่มหรือไง หรือมึงจะลดหุ่น” พี่ธารลดสายตามามองลำตัวผม ก่อนริมฝีปากจะยกยิ้ม “แค่นี้ก็แทบจะปลิวตามลมแล้ว จะลดไปถึงไหน”

     วันก่อนมาว่าอ้วน วันนี้กลับบอกว่าผอม ตกลงจะเอายังไงกันแน่วะ

     ผมตีหน้าหงุดหงิดใส่คนตรงหน้า กำลังจะปิดประตูหนี แต่พี่ธารเหมือนรู้ทันเลยยื่นมือมาค้ำประตูไว้

     “ลงไปกินข้าว” คนตัวสูงย้ำคำเดิม

     “ผมไม่หิว”

     “มึงหิว มึงแค่เล่นตัว”

     “ก็บอกว่า...”

     โครก~ คราก~

     พี่ธารส่งเสียงหึในลำคอ ส่วนผมได้แต่ยืนหน้าแดงทำอะไรไม่ถูก ไอ้ท้องเวร จะมาร้องตอนนี้ทำไม อดทนหน่อยไม่ได้เหรอ

     “ลงไปกินเถอะ กูทำของโปรดมึงไว้ให้” สายตาที่มองมาอ่อนแสง คล้ายมีความขบขันปนเอ็นดูในนั้น ไม่อยากเชื่อว่าจะมาจากคนอย่างพี่ธาร ผมชะงักปากที่จะปฏิเสธอีกครั้ง ศีรษะมันผงกโดยไม่รู้ตัว ได้แต่บอกตัวเองว่าเป็นเพราะคำว่าของโปรดผมถึงยอม

     ผมเดินตามพี่ธารลงมายังห้องครัว ดึงเก้าอี้ออกแล้วนั่งลง พี่ธารนั่งตรงข้าม ตักข้าวให้ผมก่อนตักให้ตัวเอง ผมมองคนตรงหน้าแล้วก็นึกก่นด่าตัวเอง แค่พี่มันมองแบบนั้นก็ใจอ่อนแล้วเหรอวะ

     เราสองคนนั่งกินข้าวด้วยกันเงียบๆ ไม่มีเรื่องพูดคุย มีเพียงเสียงช้อนกระทบจาน แต่ผมรู้สึกได้ว่าบรรยากาศไม่อึมครึมเท่าตอนแรกแล้ว จนกระทั่งผมรวบช้อนเมื่อกินเสร็จพี่ธารก็พูดขึ้นมา

     “ตกลงบอกได้ยังว่าเป็นอะไร”

     ผมมองเข้าไปในตาของคนถาม เราจ้องตากันสักพัก แววตาของพี่ธารไม่มีความหงุดหงิดเหมือนตอนแรก ผมถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะยอมบอก

     “ผมรู้ว่าผมทำอะไรไม่ค่อยเป็น แต่พี่ไม่เห็นต้องพูดขนาดนั้นเลย”

     “กูพูดอะไร”

     “พี่ดูถูกผม พี่บอกว่าถ้าผมกลับเองแล้วจะหลงทาง โอ๊ย!” ผมร้องด้วยความเจ็บเมื่อโดนดีดกลางหน้าผาก พี่ธารทำหน้าอ่อนใจ มองเหมือนอยากเขกหัวซ้ำอีกที

     “กูไม่ได้ดูถูก กูพูดความจริง มึงรู้เหรอว่าต้องนั่งรถสายอะไรกลับบ้าน”

     “ของแบบนี้มันต้องค่อยๆ หัดไปไม่ใช่เหรอ”

     “ใช่ ต้องค่อยๆ หัด ไม่ใช่วันแรกก็จะกลับเองคนเดียว กูรู้ว่ามึงโตแล้ว แต่เรื่องพวกนี้มึงไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน คิดบ้างไหมว่าถ้าเป็นอะไรไปจะทำยังไง”

     ผมหน้าจ๋อยเมื่อคนตรงหน้าเข้าสู่โหมดจริงจัง เพราะเอาแต่คิดว่าอยากหัดใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ไม่อยากเป็นภาระพี่ธารเลยไม่ได้คิดไปถึงจุดนั้น ผมรู้ว่าพี่ธารกำลังพูดถึงความปลอดภัย ถึงผมจะอายุยี่สิบแล้ว แต่เด็กวัยรุ่นที่ไม่เคยไปไหนมาไหนเองยังถือว่าอ่อนประสบการณ์ในสังคมอยู่ดี

     “เข้าใจที่กูพูดไหม”

     “อื้อ” ผมตอบรับในลำคอ

     “ถ้าเข้าใจแล้วก็อย่าหางานให้กูอีก ถ้าอยากกลับเองวันหลังกูจะหัดให้”

     “ผมไม่ได้หางานให้ซะหน่อย ผม…” ผมยั้งปากเมื่อเกือบเผลอพูดความในใจออกไป แต่ดูเหมือนจะไม่ทันแล้ว

     “มึงอะไร”

     “ผม...” ผมอึกอักเล็กน้อย แต่ในเมื่อพูดไปแล้วก็คงต้องพูดให้จบ “ผมแค่ไม่อยากให้พี่ธารเหนื่อย ผมเป็นห่วง”

     ผมก้มหน้างุด ทั้งชีวิตไม่เคยอายขนาดนี้มาก่อน เกลียดขี้หน้ามาตั้งนาน จู่ๆ ดันมาบอกว่าเป็นห่วง อีกเดี๋ยวไอ้พี่ธารต้องหัวเราะเยาะแน่ ไอ้ซนเอ๊ย ไม่น่าพลั้งปากออกไปเลย

     ผมรอได้ยินเสียงหัวเราะ แต่ผ่านไปสักพักทุกอย่างก็ยังเงียบเหมือนเดิม ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา พี่ธารกำลังมองผม มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย

     “มึงว่าอะไรนะ”

     “ถามทำไม ได้ยินแล้วไม่ใช่เหรอ”

     “มึงไม่อยากให้กูเหนื่อย”

     “...”

     “มึงเป็นห่วงกู”

     “…”

     “หึๆ เอ๋อเอ๊ย”

     อ้าว! ทำไมจู่ๆ วกกลับมาด่าได้วะ

     “มึงแม่ง...น่ารัก”

     ผมนิ่งงันเมื่ออีกฝ่ายชมแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย พี่ธารมองผมด้วยสายตายิ้มๆ ริมฝีปากจุดยิ้มพอใจ จู่ๆ ผมก็ไม่กล้าสู้หน้า ต้องหลบตาหันไปมองทางอื่น

     “กูไม่เคยเหนื่อยที่ต้องดูแลมึง หรือถ้ามึงหมายถึงเรื่องงานคณะ แค่รู้ว่ามึงเป็นห่วงกูก็หายเหนื่อยแล้ว ขอบใจนะเอ๋อ”

     เป็นครั้งแรกที่ถูกเรียกว่าเอ๋อแต่ผมไม่รู้สึกโกรธสักนิด อาจเพราะพี่ธารพูดด้วยเสียงนุ่มทุ้ม อาจเพราะพี่ธารมองผมด้วยสายตาอ่อนโยน หรือไม่…

     ผมค่อยๆ หันไปสบตาพี่ธารอีกครั้ง ตอบกลับไปด้วยเสียงในลำคอที่เบาจนแทบกลายเป็นกระซิบ

     “ไม่เป็นไร”

     หรือไม่...ผมก็คงเสพติดการเป็นเด็กเอ๋อของพี่ธารโดยไม่รู้ตัว



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter :    earthxxide  (https://twitter.com/earthxxide? t=muF0165hiRexxkrO2QLULw&s=09)

     Fanpage :    Earthxxide  (https://www.facebook.com/earthxxide? mibextid=ZbWKwL)
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 9] ✪ 24/04/2023
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 24-04-2023 21:07:12
 :pighaun: :haun4:¼
หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 10] ✪ 26/04/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 26-04-2023 18:23:41
ตอนที่ 10
ของแลกเปลี่ยน


     “มึงจะเอายังไง”

     “กูไม่รู้”

     “แต่พี่เขาอุตส่าห์มาขอร้องคุณซนเลยนะครับ”

     “ก็นั่นแหละ ทำไมต้องเป็นกูด้วยวะ” ผมยกมือขยี้หัวตัวเอง ผิงมองมาเหมือนอยากถามว่าไม่รู้จริงๆ เหรอ

     “มึงเป็นคู่จิ้นพี่ธาร ไม่มีใครในมหา’ลัยสนิทกับพี่เขาเท่ามึงแล้ว”

     “เพื่อนสนิทเขาไง ไปขอร้องสิ ไม่เห็นต้องมาขอร้องกูเลย”

     “ผมว่าคนทั้งมหา’ลัยคงคิดว่าคุณซนกับพี่ธารเป็นแฟนกันไปแล้ว ถ้าคิดแบบนี้ก็เข้าใจได้อยู่นะครับ” น้องนายช่วยวิเคราะห์ ผิงรีบรับช่วงต่อทันที

     “แฟนพูดต้องมีโอกาสสำเร็จกว่าเพื่อนพูดอยู่แล้ว สู้ๆ นะมึง แค่นี้ไม่เกินความสามารถมึงหรอก”

     ผมมองเพื่อนสนิทที่ยิ้มเหมือนเห็นเป็นเรื่องสนุก เจริญ ไม่คิดจะช่วยกันเลย เพื่อนแต่ละคนดีๆ ทั้งนั้น

     ในตอนที่ผมนั่งอยู่ใต้ตึกกับเพื่อน จู่ๆ รุ่นพี่ชมรมถ่ายภาพก็เข้ามาทัก เขากำลังมองหาคนบุคลิกดีเพื่อชวนไปถ่ายวีทีอาร์โปรโมทมหา’ลัย และหวยก็มาออกที่พี่ธาร แต่เนื่องจากพี่ธารโลกส่วนตัวสูง ชอบเก็บตัว ไม่สุงสิงกับใคร การจะขอร้องให้มาช่วยงานชมรมจึงไม่ใช่เรื่องง่าย หน้าที่เกลี้ยกล่อมจึงตกมาอยู่ที่ผม ผู้ที่ขณะนี้โด่งดังไปทั่วมหา’ลัยในฐานะคู่จิ้นของชายหนุ่มที่หล่อและเย็นชาที่สุด

     “มึงว่าพี่ธารจะยอมฟังกูเหรอ” ผมถามความเห็นผิง

     “แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ มึงไม่เห็นสายตาเวลาพี่เขามองมึงเหรอ”

     “สายตาพี่ธารเป็นยังไงเหรอครับ” น้องนายถามด้วยความข้องใจ

     “อบอุ่น เอ็นดู อ่อนโยน หวานหยาดเยิ้มจนกูยังเขินแทน”

     เอ่อ ผมว่าผิงมันจำผิดคนแล้วล่ะครับ อย่างพี่ธารต้องดุ ขี้แกล้ง ขี้หงุดหงิด ที่มันพูดมาผมไม่เห็นว่าจะใกล้เคียงพี่ธารสักนิด

     “ยังไงก็แล้วแต่ มึงลองไปคุยดูก่อน ไม่แน่คราวนี้พี่ธารอาจใจอ่อนก็ได้” ผิงกลับมาเรื่องเดิมอีกครั้ง

     “กูกลัวจะโดนด่ากลับมาน่ะสิ มึงอย่าลืมว่าเคยมีคนไปขอร้องพี่ธารตั้งหลายครั้ง และเขาก็ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยทุกครั้งด้วย”

     “เชื่อกูสิ ถ้ามึงไปขอพี่ธารไม่ปฏิเสธหรอก”

     “ทำไมมึงมั่นใจขนาดนั้นวะ”

     ผิงไม่ตอบ เอาแต่ยิ้มอมภูมิอย่างเดียว หันไปมองน้องนาย อีกฝ่ายก็รีบส่ายหน้าไม่รู้เรื่อง แต่ผมเห็นว่าสองคนนี้แอบมองตากันแวบหนึ่ง

     “พวกมึงคิดอะไรอยู่”

     “เปล๊า” ถ้าจะปฏิเสธเสียงสูงพร้อมกับยิ้มแบบนี้ บอกมาเลยก็ได้ว่ากำลังนินทากูอยู่ในใจ

     “ผมคิดเหมือนคุณผิงนะครับ คุณซนลองไปพูดกับพี่ธารก่อนก็ไม่เสียหาย อย่างมากแค่โดนด่านิดเดียวเอง”

     ผมเริ่มคิดแล้วว่าแค่ของผมกับของน้องนายอาจไม่เท่ากัน พวกมันไม่ใช่คนไปขอร้องก็พูดได้สิ ผมถอนหายใจยาว คิดถึงความสงบสุขก่อนรู้จักพี่ธารขึ้นมาทันที ดีนะที่คนทั่วไปไม่รู้ว่าผมกับพี่ธารเป็นเพื่อนบ้านกัน ไม่อย่างนั้นชีวิตผมคงวุ่นวายกว่านี้





     ผมเลือกเช้าวันหยุดที่อากาศสดใสในการเริ่มภารกิจเกลี้ยกล่อม โชคดีที่รั้วกั้นระหว่างสองบ้านไม่สูงมาก ผมเลยปีนขึ้นไปได้สบาย พี่ธารกำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้าน ผมใช้แขนเท้าบนกำแพงรั้ว ส่งยิ้มหวานไปเป็นอย่างแรก

     “พี่ธาร”

     เจ้าของชื่อหันมามอง พี่ธารอยู่ในชุดเสื้อกล้ามสีขาว กางเกงขายาวเนื้อนิ่มสีน้ำเงิน ขนาดแต่งแค่นี้ยังดูหล่อเลย ผมไม่สงสัยเลยว่าทำไมหลายต่อหลายคนถึงหลงเสน่ห์พี่แก

     “เรียกแต่ไม่พูดอะไร เอ๋อแต่เช้าเลยนะมึง”

     “โอ๊ะ! ขอโทษครับ” มัวแต่ชื่นชมอีกฝ่ายเพลินไปหน่อย เกือบลืมจุดประสงค์เลย “รดน้ำต้นไม้อยู่เหรอครับ ให้ผมช่วยไหม”

     พี่ธารหรี่ตามองมาด้วยสายตาไม่ไว้ใจ ผมเลิกคิ้วแทนคำถาม

     “จะเอาอะไร”

     เชี่ย!! ทำไมถึงรู้วะว่าผมมีเรื่องจะขอร้อง นี่ขนาดยังไม่อารัมภบทเลยนะ ไอ้พี่ธารมีสัมผัสที่หกเหรอ

     “ผมแค่ถามเฉยๆ ไม่ได้จะเอาอะไรซะหน่อย” ผมทำปากจู๋ เพื่อความแนบเนียนต้องเล่นตามน้ำไปก่อน

     “ร้อยวันพันปีไม่เคยพูดเพราะๆ วันนี้สมองเกิดอ๊องขึ้นมาหรือไง”

     ผมเผลอมุ่ยหน้า ก่อนจะรีบปรับสีหน้าเป็นปกติ เกือบไปแล้ว เกือบปะทะฝีปากกลับไปอย่างทุกทีแล้วไหมล่ะ สงบใจไว้ซน มึงกำลังแบกรับความหวังของชมรมถ่ายภาพอยู่นะ

     “พี่ก็พูดเกินไป ผมแค่อยากเป็นเด็กมีน้ำใจเท่านั้นเอง” ผมปีนข้ามกำแพงรั้วก่อนกระโดดลงมายังอีกฝั่ง ตั้งแต่รู้จักน้าพรผมยังไม่เคยเข้ามาในอาณาเขตบ้านนี้เลย นี่จึงเป็นครั้งแรก

     “ให้ผมช่วยนะ ผมอยากลองทำบ้าง” ผมไขว้มือไว้ด้านหลัง เดินไปหยุดยืนข้างๆ มองสวนดอกไม้ขนาดย่อมด้วยแววตาเหมือนสนใจ พี่ธารไม่พูดอะไร หันไปรดน้ำต้นไม้ต่อ ปล่อยให้คำพูดผมค้างเติ่งอยู่กลางอากาศพร้อมกับเสียงอีกาบินผ่านไป

     เมินกันเหรอ!

     “โอ๊ะ! นั่นต้นอะไรเหรอครับ สวยจัง” ผมยังไม่ละความพยายาม ทำเป็นก้มไปดูกระถางต้นไม้ที่อยู่ใกล้สุด พี่ธารเบี่ยงสายยางเพื่อไม่ให้น้ำกระเซ็นมาโดนผม เสียงถอนหายใจลอยมาให้ได้ยินเบาๆ

     “สาบานว่ามึงไม่รู้จักต้นกุหลาบ”

     เหมือนเสียงอีกาจะดังขึ้นอีกครั้ง ผมหันไปหัวเราะแหะๆ พี่ธารเดินไปปิดก๊อกน้ำที่ต่อกับสายยาง ก่อนจะกลับมาหาผม

     “รดน้ำเสร็จแล้วเหรอครับ” ผมยืนขึ้นเต็มความสูง แต่ก็ยังสูงแค่ไหล่พี่ธาร

     “เสร็จแล้ว ทีนี้ก็พูดเรื่องของมึงมา กูจะได้เข้าบ้านไปอาบน้ำ”

     “พี่พูดเรื่องอะไร ผมแค่อยากมาช่วยเฉยๆ” ผมทำตาใสซื่อ พยายามไม่แสดงพิรุธ

     “ดี ถ้าไม่มีอะไรงั้นกูเข้าบ้านล่ะ”

     อ้าวเฮ้ย! ไม่ได้สิ ผมยังไม่ได้เข้าประเด็นสำคัญเลย

     ผมรีบเดินอ้อมไปยืนขวางหน้า พี่ธารหยุดเดิน มองผมพลางเลิกคิ้ว ผมเม้มปากแน่น สูดลมหายใจรวบรวมความกล้า ก่อนจะพูดออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ

     “คือ...เมื่อวันก่อนมีคนจากชมรมถ่ายภาพมาหาผม เขาอยากให้...”

     “ไม่” สั้น กระชับ หนักแน่น คือคำตอบที่พี่ธารมีให้แม้ผมจะยังพูดไม่จบ ผมตาโตเล็กน้อย ไอ้พี่ธารรู้ได้ไงว่าผมจะพูดอะไร

     “ไม่ฟังให้จบก่อนเหรอ”

     “มึงพูดแค่นี้กูก็รู้แล้วว่าเรื่องอะไร”

     แปลว่าคงโดนตามตื๊อบ่อยสินะถึงจำได้ขึ้นใจ

     “พี่ไม่เปลี่ยนใจหน่อยเหรอ ผมสงสารเขา”

     “ไม่ใช่เรื่องที่กูต้องใส่ใจ” พี่ธารดันไหล่ผมให้พ้นทางก่อนจะเดินเข้าบ้านไปอย่างไร้เยื่อใย ผมรีบตามไปติดๆ ปากก็ชักแม่น้ำทั้งห้าไม่หยุด

     “คิดดีๆ นะพี่ ถ้าพี่ยอมถ่ายวีทีอาร์ คนทั้งมหา’ลัยจะรู้จักพี่มากขึ้น แล้วพอพี่ดังขึ้นก็จะมีสาวๆ มาสนใจ มีแต่ได้ทั้งนั้น”

     พี่ธารยังเอาแต่เดินไม่หยุด ถึงจะทำเหมือนไม่สนใจแต่ผมรู้ว่าเขาฟังอยู่ จึงพูดโน้มน้าวต่อไป

     “โอกาสดีๆ แบบนี้ไม่ได้มีบ่อยนะพี่ ถ้าไม่ติดว่าหล่อน้อยกว่าผมยังอยากทำแทนเลย โอกาสที่จะมีสาวสวยมาสนใจแบบนี้ใครจะปล่อยไปง่ายๆ”

     ร่างสูงหันขวับมามอง ทำเอาผมที่กำลังเดินตามชนเข้ากับแผ่นหลังกว้าง เราสองคนมาหยุดยืนหน้าห้องน้ำพอดี ผมยกมือลูบจมูกป้อยๆ เงยหน้าขึ้นหมายจะบ่นเรื่องที่อีกฝ่ายหยุดเดินโดยไม่บอกก่อน แต่สายตาหงุดหงิดที่มองมาทำเอาผมพูดไม่ออก จู่ๆ เป็นอะไรไปวะ

     “อยากให้มีสาวๆ มาสนใจมากเหรอ”

     “กะ...ก็ไม่ขนาดนั้น...” ผมอึกอักเมื่อโดนสายตาดุนั้นจ้อง จะจริงจังอะไรกับเรื่องนี้เล่า ผมแค่พูดไปอย่างนั้นเอง

     “ตกลง กูยอมถ่ายวีทีอาร์”

     “จริงนะ!” ผมถามอย่างตื่นเต้น ถึงจะแอบแปลกใจอยู่หน่อยๆ ก็เถอะ บทจะยากก็ยากแสนยาก แต่บทจะง่ายกลับง่ายนิดเดียว

     “หรือไม่อยากให้กูถ่าย”

     “อยากสิพี่” ผมรีบยิ้มประจบสุดชีวิต ไม่รู้หรอกว่าพี่แกไปกินรังแตนที่ไหนมา แต่นาทีนี้อะไรทำให้อารมณ์ดีได้ผมทำหมด “เดี๋ยวผมไปถามวันแล้วจะมาบอกอีกทีนะ”

     พี่ธารพยักหน้าแบบขอไปที ก่อนจะถอดเสื้อที่ใส่อยู่โดยไม่บอกล่วงหน้า กล้ามหน้าท้องเรียงสวยปรากฏต่อสายตา แผงอกกว้างรับกับวงแขนที่ไม่ล่ำจนเกินไป ผมยืนตะลึงอยู่หลายวินาที จนกระทั่งร่างสูงหันมามอง

     “หมดธุระหรือยัง”

     หมดยังวะ ผมมาเพื่อเกลี้ยกล่อมเรื่องถ่ายวีทีอาร์ และตอนนี้ก็สำเร็จแล้ว งั้นก็น่าจะหมดแล้วมั้ง

     “หมดแล้วครับ”

     “งั้นก็กลับไปได้แล้ว กูจะอาบน้ำ”

     “...”

     “หรือจะอาบด้วย?” พี่ธารทำท่าจะสาวเท้าเข้ามา ผมผงะเล็กน้อย รีบวิ่งจู๊ดออกจากบ้านอย่างรวดเร็ว ได้ยินเสียงหัวเราะดังไล่หลังมา

     ผมยกมือตบหน้าตัวเองเบาๆ เป็นอะไรวะซน แค่เห็นผู้ชายหุ่นดีไม่เห็นต้องตะลึงเลย อีกหน่อยผมก็ต้องหุ่นดีแบบนั้นเหมือนกัน อาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ ไม่อยากจะคุยเท่าไหร่หรอก

     ว่าแต่...พี่ธารหุ่นดีขนาดนี้เลยเหรอ อิจฉาอยู่เหมือนกันแฮะ





     หลังจากเกลี้ยกล่อมพี่ธารสำเร็จ พี่ๆ ชมรมถ่ายภาพก็ดีใจกันยกใหญ่ ถึงขนาดขอเลี้ยงข้าวผมเป็นการขอบคุณเลยทีเดียว ข่าวลือที่พี่ธารจะถ่ายวีทีอาร์มหา’ลัยแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว เรียกว่าเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ก็ว่าได้ นอกจากผิงกับน้องนายที่มั่นใจว่าถ้าผมไปขอร้องแล้วพี่ธารจะยอม ทุกคนต่างแปลกใจกับเหตุการณ์ครั้งนี้กันถ้วนหน้า อย่างที่รู้กันว่าพี่ธารมักไม่ช่วยเหลือใครง่ายๆ ถ้าไม่ใช่งานคณะ นี่จึงเป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับมหา’ลัยผม

     ผมละสายตาจากโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่นเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูบ้าน ใครมาในเวลาหนึ่งทุ่มแบบนี้นะ พี่ธารบอกว่าวันนี้จะกลับดึกเพราะอยากเคลียร์งานให้เสร็จไม่ใช่เหรอ ด้วยความสงสัยผมจึงเดินออกไปดู

     ผมชะงักเท้าที่กำลังก้าวพ้นห้องนั่งเล่น ถ้าเป็นโจรขึ้นมาล่ะจะทำยังไง ผมรีบเดินกลับไปหยิบไม้กวาดทันทีที่คิดได้อย่างนั้น ไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่า แต่ป้องกันไว้ก่อนเป็นยอดดี

     ผมค่อยๆ เดินไปที่ประตู มือกำไม้กวาดไว้มั่น ถ้าเป็นโจรจริงๆ พ่อจะตีให้หัวแตกเลย ปล้นบ้านใครไม่ปล้น ดันมาปล้นบ้านคนหล่อ

     ผมแนบหน้าเข้ากับประตูเพื่อส่องตาแมว ก่อนจะต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูคือพี่ธาร ผมรีบเปิดประตูทันที พี่ธารมองไม้กวาดในมือผมอย่างงุนงง

     “เอาไม้กวาดมาทำไม”

     ดูเหมือนเสียงหัวเราะแห้งของผมจะเป็นคำตอบได้ดี เพราะหลังจากนั้นไม่นานคนตรงหน้าก็ส่งเสียงหึในลำคอ พี่ธารส่ายศีรษะไปมา ดวงตาขบขันปนอ่อนใจ

     “สองครั้งแล้วนะที่มึงคิดว่ากูเป็นโจร”

     “ก็ใครใช้ให้พี่มาเคาะประตูเวลานี้ล่ะ แล้วทำไมกลับมาเร็ว ไหนว่าอยู่คณะจนดึกไม่ใช่เหรอ”

     “งานเสร็จเร็วกว่าที่คิด กูกำลังจะเข้าบ้านแต่แวะมาหามึงก่อน”

     “มาหาผมทำไม”

     พี่ธารกระตุกยิ้ม ยื่นหน้ามาใกล้ไม่ให้ซุ่มให้เสียง ผมเผลอถอยหลังสองก้าวด้วยความตกใจ

     “มาทวงของแลกเปลี่ยน”

     “ของแลกเปลี่ยนอะไร”

     “ใครบอกว่ากูถ่ายวีทีอาร์ให้ฟรีๆ อยากให้คนอื่นทำอะไรให้ก็ต้องมีของแลกเปลี่ยนสิ”

     !!!

     ผมยืนอึ้ง มองดวงตากับรอยยิ้มร้ายกาจของคนตรงหน้า อ้าปากพะงาบๆ อย่างนึกคำพูดไม่ออก

     “อืม...เอาเป็นอะไรดีนะ” พี่ธารยกมือลูบคาง ทำหน้าครุ่นคิดเหมือนผมตอบตกลงแล้ว “งั้นกูติดไว้ก่อนแล้วกัน ยังคิดไม่ออก ไว้คิดออกแล้วจะมาบอก ไปล่ะ”

     พี่ธารพูดจบก็หันหลังเดินกลับบ้านตัวเอง ผมยังยืนอยู่ที่เดิม จนกระทั่งสติกลับเข้าร่างถึงได้ตะโกนไล่หลังไป

     “เฮ้ยพี่! ผมยังไม่ได้ตกลงเลย พี่ธาร! กลับมาก่อน!!”

     พี่ธารหันมายักคิ้วให้ ก่อนจะเปิดประตูรั้วเดินเข้าบ้านไปอย่างสบายอารมณ์ ผมที่ทำอะไรไม่ได้จึงได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ นอกจากต้องเสี่ยงตีนมาขอร้องแล้วยังต้องตอบแทนอีกเหรอ เรื่องของตัวเองก็ไม่ใช่ แล้วทำไมถึงต้องมาลำบากด้วยเนี่ย สาบานว่าคราวหน้าผมจะไม่ช่วยใครแล้ว ไม่คุ้มกับข้าวมื้อเดียวเลยสักนิด!



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter :    earthxxide  (https://twitter.com/earthxxide? t=muF0165hiRexxkrO2QLULw&s=09)

     Fanpage :    Earthxxide  (https://www.facebook.com/earthxxide? mibextid=ZbWKwL)
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 10] ✪ 26/04/2023
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 26-04-2023 22:36:50
 :jul3: :z1:
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 10] ✪ 26/04/2023
เริ่มหัวข้อโดย: prateep ที่ 27-04-2023 09:37:07
 :haun4:
หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 11] ✪ 28/04/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 28-04-2023 17:52:29
ตอนที่ 11
พิสูจน์


     “มึงมาอยู่ที่นี่จะดีเหรอ” ผิงถามผมที่กำลังสูดเส้นบะหมี่เข้าปาก ข้างๆ คือน้องนายที่กำลังกินน้ำแข็งไสอย่างเอร็ดอร่อย

     “ทำไมถามแบบนั้น กูอยู่คณะตัวเองมันผิดตรงไหน”

     “ไม่ใช่อย่างนั้น กูหมายถึงมึงไม่ไปอยู่กับพี่ธารจะดีเหรอ”

     “แล้วทำไมกูต้องไปอยู่กับเขา” ผมถามพลางคีบลูกชิ้นเข้าปาก

     “ก็วันนี้พี่ธารถ่ายวีทีอาร์”

     “ก็ถ่ายไปสิ กูไม่ได้ถ่ายด้วยซะหน่อย”

     ผิงหันไปมองตาน้องนาย ทำหน้าเหมือนไม่รู้จะพูดยังไงกับผมดี

     “มึงเข้าใจที่กูพูดหรือเปล่า”

     “เข้าใจครับ”

     “เห็นไหม น้องนายยังเข้าใจเลย” ผิงหันกลับมามองผม “มึงเป็นคนขอให้เขามาช่วย แต่ตัวเองกลับไม่อยู่ด้วย เขาจะรู้สึกยังไง”

     “กูไม่ได้ขอ พี่ๆ ชมรมถ่ายภาพต่างหาก”

     “แต่คนที่ไปขอคือมึง”

     “นั่นกูก็ไม่ได้ไปขอเพราะอยากซะหน่อย”

     ผิงถอนหายใจที่ผมไม่ยอมเข้าใจมันเลย ไม่ใช่ว่าผมไม่เข้าใจ แต่ผมไม่เห็นความจำเป็น พี่ธารถ่ายวีทีอาร์คนเดียว ต่อให้ผมไปก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี แล้วจะไปทำไม

     “น้องซนคะ” จู่ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาทัก ผมจำได้ว่าเธอคือเพื่อนของรุ่นพี่ที่ไหว้วานให้ผมไปขอร้องพี่ธาร

     “ครับ?”

     “เราว่างอยู่หรือเปล่า”

     ผมหันไปมองเพื่อน ก่อนจะหันกลับมามองคนตรงหน้า “ว่างครับ”

     “งั้นมากับพี่หน่อยได้ไหม”

     “ไปไหนครับ”

     “ไปหาธาร ธารไม่ยอมถ่ายเลย บอกว่าจะรอน้องซน”

     หา!?

     “ไปเร็ว ตอนนี้กองถ่ายวุ่นไปหมดแล้ว” คนพูดไม่สนสีหน้างุนงงของผม จับข้อมือให้ลุกขึ้นแล้วรีบจูงไปทันที ผิงรีบตามมาติดๆ โดยไม่ลืมลากน้องนายมาด้วย เหมือนจะได้ยินน้องนายพูดว่ายังกินน้ำแข็งไสไม่เสร็จเลย แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องสนใจตอนนี้

     ไอ้พี่ธารจะมารอผมทำไม ผมไม่เข้าใจจริงๆ ตัวเองมีหน้าที่ถ่ายก็ถ่ายไปสิ เกี่ยวอะไรกับผมเล่า!





     พี่ผู้หญิงพาผมขึ้นมาบนหอสมุดกลางที่ใช้เป็นสถานที่ถ่ายวีทีอาร์ มีคนยืนออกันจนเต็มพื้นที่รอบนอก คงมาดูหนุ่มฮอตของมหา’ลัยกัน พอฝ่ากลุ่มคนเข้ามาผมก็เจอตัวการที่ทำให้การถ่ายทำล่าช้า แต่ยังไม่ทันพูดอะไรออกไป พี่ผู้ชายที่ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับก็เดินเข้ามา

     “มาแล้วเหรอน้องซน พี่กำลังรออยู่เลย”

     ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองด้วยใบหน้าเหลอหลา ห่างออกไปไม่ไกลมีเพื่อนผมกับพี่บอนด์ยืนมองมา

     “รอผมเหรอครับ”

     “ใช่ ธารเพิ่งเสนอไอเดียบางอย่างมาเมื่อกี้ แล้วพี่ก็คิดว่ามันน่าจะเวิร์ก”

     “ไอเดียอะไรครับ” ผมถามคนตรงหน้าแต่สายตาเหลือบไปมองคนที่ถูกพูดถึง พี่ธารกำลังมองมาทางนี้ มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย

     “ธารอยากให้เรามาถ่ายวีทีอาร์ด้วย แบบนั้นจะเรียกความสนใจได้ดีกว่า”

     “หา!” ผมเผลอร้องเสียงดัง ก่อนจะรีบค้อมหัวขอโทษพร้อมกับลดเสียง “เอ่อ...มันดียังไงเหรอครับ ผมไม่เข้าใจ”

     “ตอนนี้กระแสของธารกับซนเริ่มดังออกไปนอกมหา’ลัย ถ้าพรีเซนเตอร์โปรโมทมหา’ลัยเป็นคู่จิ้นที่กำลังมาแรง ยังไงคนก็ต้องสนใจ”

     “เอ่อ...”

     “นะซน ช่วยพวกพี่หน่อย ถ่ายวีทีอาร์แป๊บเดียว ถ่ายกับแฟนเราไม่น่ามีปัญหานะ”

     ผมอยากโพล่งออกไปให้จบๆ ว่าผมกับพี่ธารไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่ผมไม่รู้ว่าแบบนั้นจะเป็นการหักหน้าพี่ธารหรือเปล่า และดูเหมือนยิ่งผมอิดออดการถ่ายทำจะยิ่งล่าช้าเข้าไปใหญ่ สุดท้ายผมจึงต้องพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้

     “ก็ได้ครับ”

     “ขอบใจมาก ซนพร้อมถ่ายเลยไหม”

     ผมตอบอย่างอื่นได้ด้วยเหรอ...

     “พร้อมครับ”

     “งั้นก็ไปเข้าฉากเลย” อีกฝ่ายตบบ่าผมเบาๆ ก่อนกลับไปประจำที่ ผมเดินเข้าไปหาพี่ธารที่นั่งอยู่หน้ากล้อง มองมาด้วยสายตาพอใจระคนสนุก ผมอยากถลึงตาใส่แต่ติดว่ามีคนมองอยู่จึงได้แต่ยิ้มให้ ไม่เป็นไร ตอนนี้ยอมไปก่อน กลับบ้านไปเมื่อไหร่น่าดู





     การถ่ายวีทีอาร์ดำเนินไปอย่างราบรื่น ฉากโอเค แสงโอเค สถานที่โอเค แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ไม่โอเค...

     “ธารเอาหน้าไปใกล้ซนหน่อย นั่นแหละ ยิ้มไว้ๆ”

     “ซนอย่าเกร็ง เลื่อนมือขึ้นอีกนิด เงยหน้ามองตาด้วย”

     “โอบไหล่ชิดๆ หน่อยธาร ซนก็ขยับเข้ามาด้วย ดี ดีมาก ต้องอย่างนั้น มองกล้องแล้วยิ้มนะ”

     นี่ถ่ายวีทีอาร์หรือพรีเวดดิ้ง ใครก็ได้บอกผมที อีกนิดจะจูบกันแล้ว โปรโมทมหา’ลัยประสาอะไรฟะ!

     ผมยิ้มจนเหงือกแห้งไปหมดแล้ว แต่การถ่ายทำก็ยังไม่เสร็จสักที โทษใครไม่ได้หรอก ผมนี่แหละที่ทำให้ช้า ก็คนมันไม่ชินนี่หว่า เกิดมายี่สิบปีไม่เคยแนบชิดกับผู้ชายมาก่อน มันก็ต้องมีสะดุ้งกันบ้าง

     “มึงรออะไรอยู่น้องนาย รีบหยิบโทรศัพท์มาถ่ายสิ”

     “ถ่ายอะไรครับ”

     “ก็ถ่ายไอ้ซนกับพี่ธารไง กูจะเก็บไว้จิกหมอนคืนนี้”

     “คุณผิงไม่ถ่ายเองล่ะครับ”

     “ของกูแบตฯ หมด ใช้เครื่องมึงถ่ายไปก่อน” เสียงเพื่อนผมลอยมาให้ได้ยินเบาๆ ก่อนที่พี่บอนด์ที่ยืนอยู่ข้างหลังจะยื่นหน้ามาตรงกลาง

     “ใช้เครื่องพี่แทนก็ได้”

     “เอ่อ...จะดีเหรอคะ”

     “ดีสิ” พี่บอนด์ส่งโทรศัพท์ตัวเองให้ ผิงรับมาพร้อมกับพูดขอบคุณ หันกล้องมาทางผมแล้วเริ่มอัดวิดีโอ

     “ยิ้มหน่อย” ผมสะดุ้งอีกครั้งเมื่อจู่ๆ เสียงทุ้มก็ดังข้างหู มือหนาที่โอบเอวกระชับเข้าหา ทำให้ไหล่ผมแตะตัวพี่ธาร แม้จะเพียงเล็กน้อยแต่ก็รับรู้ได้ถึงความแข็งแรงของร่างกาย

     ผมคลี่ยิ้มตามที่พี่ธารบอก มองตรงไปยังกล้อง ในใจก็เอาแต่ภาวนาให้ผ่านไปเร็วๆ หัวใจจะได้เลิกเต้นแรงเสียที

     เดี๋ยวนะ...ผมใจเต้นแรงกับร่างกายผู้ชายเหรอ?

     ผมหุบยิ้มเมื่อสะดุดความคิดในหัวตัวเอง นั่นจึงทำให้ตากล้องที่กำลังรัวกดชัตเตอร์ชะงักมือ

     “น้องซนยิ้มหน่อยครับ อีกนิดจะเสร็จแล้ว”

     “คะ...ครับ”

     “อย่าใจลอย” เสียงทุ้มของพี่ธารดังขึ้นอีกครั้ง จะไม่เป็นไรเลยถ้าพี่แกไม่พูดพร้อมกับหายใจในเวลาไล่เลี่ยกัน ผมขนลุกซู่เมื่อลมหายใจอุ่นเป่ารดบริเวณแก้ม อยากผลักอีกฝ่ายออกแต่ทำไม่ได้ แถมยังต้องปั้นหน้ายิ้มอีก โอย...ทำไมชีวิตไอ้ซนถึงลำบากแบบนี้เนี่ย





     กว่าจะผ่านการถ่ายวีทีอาร์มาได้ผมน่าจะสะดุ้งรวมกันไปประมาณร้อยครั้ง ตอนที่ตากล้องสั่งคัทผมรีบกระโดดออกจากวงแขนทันที พี่ธารหัวเราะเบาๆ ดวงตาที่มองมาขบขันกึ่งยั่วเย้า ผมแอบถลึงตาใส่ก่อนหันไปรับน้ำจากทีมงาน

     “ขอบใจมาก ทั้งซนทั้งธารเลย งานโอเพ่นเฮาส์ปีหน้าต้องมีคนมาเยอะแน่ๆ” พี่ผู้ชายคนเดิมเดินเข้ามาหา ดูจากคำพูดแล้วคงอยู่ปีเดียวกับพี่ธาร

     “กลับได้แล้วใช่ไหม”

     “กลับได้เลยๆ ไว้จะขอนัดเลี้ยงข้าวอีกทีนะ”

     “ไม่เป็นไร ที่มาช่วยเพราะเจ้าเด็กนี่มาขอ” มือหนาวางบนศีรษะแล้วโยกเบาๆ สายตาที่มองมารวมถึงคำพูดกำกวมเรียกเสียงกรี๊ดเบาๆ จากคนที่ยืนดูการถ่ายทำ ผมเห็นผิงยกมืออุดปาก น้องนายอมยิ้มเล็กๆ พี่บอนด์ผิวปากแซว แต่เพราะตอนนี้มีเรื่องอื่นคาใจอยู่ผมจึงไม่ได้สนใจ

     พี่ธารเอ่ยขอตัวกับทุกคนก่อนจะจับมือผมจูงฝ่าคนออกไป ผิงกับน้องนายเดินตามมา ข้างหลังเป็นพี่บอนด์ พอมาถึงหน้าหอสมุดผิงก็บ่นขึ้นมาเป็นคนแรก

     “โหย คนอย่างเยอะ จะมาทำไมกันเยอะแยะ ไม่มีอย่างอื่นให้ทำกันหรือไง”

     “คุณผิงก็มาเหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ”

     “กูตามไอ้ซนมาต่างหาก เพื่อนถ่ายงานมหา’ลัย ไม่ให้มาดูเพื่อนแล้วจะให้ดูใครยะ” ผิงมองค้อนน้องนาย ก่อนจะส่งโทรศัพท์คืนให้พี่บอนด์ “ขอบคุณนะคะที่ให้ยืม ส่วนเรื่องวิดีโอ...”

     ผิงบิดตัวไปมา ทำหน้าเขินอายท่าทางกระมิดกระเมี้ยน ถ้าให้เดามันคงคิดจะขอไลน์พี่บอนด์เพื่อให้ส่งวิดีโอมาให้

     “เดี๋ยวพี่ส่งให้ในไลน์น้องนายนะครับ สะดวกกันหรือเปล่า”

     “สะดวกค่ะ สะ...หา!” ผิงร้องอย่างตกใจ หันมามองเพื่อนตาปริบๆ “เอ่อ...ส่งให้น้องนายเหรอคะ”

     “ครับ หรือไม่สะดวก” พี่บอนด์ถามทั้งสองคน เพื่อนผมมองตากันเหมือนงงว่าทำไมต้องเป็นน้องนาย แต่เพราะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรจึงตอบกลับไป

     “สะดวกค่ะ มึงไม่มีปัญหาใช่ไหม”

     “ไม่มีครับ”

     “งั้นก็ตามนี้” พี่บอนด์ยิ้มให้เพื่อนผม เป็นรอยยิ้มที่เหมือนแฝงความพอใจไว้ ผมละสายตาจากภาพตรงหน้าเมื่อคนข้างๆ เรียกขึ้นมา

     “เตี้ย มีเรียนอีกไหม”

     ผมส่ายหน้า กะว่าทานข้าวในโรงอาหารเสร็จแล้วจะแยกย้ายกันกลับเลย แต่ก็มาเกิดเรื่องนี้ก่อน

     “งั้นกลับกัน กูจะไปซื้อของเข้าบ้าน”

     ผมพยักหน้า นึกขอบคุณที่พี่ธารพูดขึ้นมา เพราะผมตั้งใจจะแยกออกมาอยู่พอดี เรื่องที่อยากคิดบัญชีก็ส่วนหนึ่ง แต่ตอนนี้ผมอยากพิสูจน์บางอย่างมากกว่า

     “กูกลับก่อนนะพวกมึง” ผมหันไปบอกลาเพื่อนก่อนเดินตามพี่ธารออกมา พี่ธารจอดรถไว้ข้างตึกบริหารฯ จากหอสมุดจึงต้องเดินไกลหน่อย

     “พี่ธาร” ผมเรียกคนข้างหน้า พี่ธารหยุดเดินแล้วหันมามอง ผมเคลื่อนตัวไปอยู่ตรงหน้า ยื่นมือออกไปโดยไม่พูดอะไร

     “ทำอะไรของมึง” พี่ธารถามพลางก้มมองมือผมที่ทาบอยู่บนอก ผมไม่ตอบอะไร หลับตาแล้วทาบอยู่อย่างนั้น สักพักจึงถอนมือออกพร้อมกับขมวดคิ้ว

     “ไม่เห็นเต้นเลย” ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง พี่ธารขมวดคิ้ว

     “มึงเล่นอะไรเอ๋อ”

     “ผมแค่อยากพิสูจน์”

     “พิสูจน์อะไร”

     “พิสูจน์ว่าตัวเองใจเต้นแรงกับผู้ชายหรือเปล่า” ผมพูดออกไปโดยไม่คิดอะไร ก่อนที่ประโยคถัดไปจะเบาเสียงลงเพราะพูดกับตัวเอง “ทำไมตอนอยู่หน้ากล้องใจเต้นแรง แต่ตอนนี้ไม่เห็นมีอะไรเลยวะ หรือแค่แตะเฉยๆ ไม่นับ ต้องโดนตัวแบบแนบชิดถึงจะใจเต้น”

     เสียงหัวเราะของคนตรงหน้าดังขึ้น พาให้ผมแหงนเงยขึ้นมอง พี่ธารโน้มหน้ามาใกล้ ดวงตาเป็นประกายวาววับ

     “เมื่อกี้มึงพูดว่าใจเต้นแรงกับกูเหรอ”

     !!!

     ผมไม่รู้ว่าตัวเองแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป คนตรงหน้าถึงยิ้มกว้างขึ้น พี่ธารยืดตัวเต็มความสูง สายตาที่มองมาต่างไปจากทุกที จู่ๆ ผมก็ไม่กล้าสบตา จากที่คิดจะว่าเรื่องชวนผมมาถ่ายวีทีอาร์เป็นอันต้องเดินหนี ไอ้ซนนะไอ้ซน พูดอะไรไม่ระวังเลย

     เป็นเพราะรีบร้อนเดินออกมา ผมจึงไม่ทันเห็นสีหน้าของใครอีกคน ร่างสูงยืนส่ายศีรษะด้วยความขำ ภายในดวงตาเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่เจ้าตัวพยายามเก็บซ่อน

     “ทำตัวน่ารักแบบนี้ ถ้ากูอดใจไม่ไหวขึ้นมาจะทำยังไงฮะเจ้าเด็กเอ๋อ”



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter :    earthxxide  (https://twitter.com/earthxxide? t=muF0165hiRexxkrO2QLULw&s=09)

     Fanpage :    Earthxxide  (https://www.facebook.com/earthxxide? mibextid=ZbWKwL)
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 11] ✪ 28/04/2023
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 28-04-2023 18:34:56
 :o8: :-[
หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 12] ✪ 30/04/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 30-04-2023 18:10:47
ตอนที่ 12
คนขี้เหงา


     -บอนด์-

     ผมขับรถไปอมยิ้มไป คิดถูกจริงๆ ที่ไม่ไปทานอาหารญี่ปุ่นกับไกด์กับโอปอล์ แต่มาดูธารถ่ายวีทีอาร์แทน เพราะไม่อย่างนั้นผมคงอดเจอน้องนาย

     “ผิงกับน้องนายไปด้วยจะดีเหรอคะ” ผิงที่นั่งเบาะหลังถามขึ้นมา ผมชวนทั้งสองคนไปหาอะไรทานแถวมหา’ลัยหลังธารถ่ายวีทีอาร์เสร็จ โดยให้เหตุผลว่าผมอยากมีเพื่อนทานข้าว

     “ดีสิครับ หรือผิงไม่อยากทานข้าวกับพี่”

     “อุ๊ย ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ ใครจะไม่อยากทานข้าวกับคนหล่อ ผิงแค่เกรงใจ เห็นน้องนายเล่าว่าวันก่อนพี่เลี้ยงข้าวมัน มาวันนี้ยังจะเลี้ยงอีก”

     ผมชอบน้องๆ กลุ่มนี้ก็ตรงนี้ ตรงที่แต่ละคนไม่เหมือนกันสักอย่างแต่กลับเข้ากันได้อย่างลงตัว คนหนึ่งเหมือนจะเป็นเด็กดื้อ แต่เอาจริงๆ กลับเด็กดีกว่าที่คิด อีกคนมองเผินๆ เหมือนเป็นผู้หญิงแรง แต่ก็รู้จักเกรงใจและคิดถึงคนรอบข้าง

     ส่วนคนสุดท้าย...

     “ผมก็เกรงใจเหมือนกัน แต่ถ้าพี่บอนด์เอ่ยปากชวนเองแปลว่าเขาคงอยากให้ไปด้วยจริงๆ อีกอย่างบ้านพี่บอนด์ก็รวย คุณผิงไม่ต้องคิดมากหรอกครับ”

     ผมอดหัวเราะไม่ได้เมื่อคนข้างๆ ชิงตอบให้ คนสุดท้ายนี่ออกจะพิเศษหน่อยในสายตาผม เป็นเด็กที่พูดเพราะที่สุด พูดตรงที่สุด และคาดเดายากที่สุดเช่นกัน

     “มึงรู้ได้ไงว่าบ้านพี่บอนด์รวย”

     “พี่บอนด์บอกผมเองครับ”

     ผิงหันมามองผมนิดหนึ่ง สีหน้าประหลาดใจ คงกำลังคิดว่าผมดูไม่ใช่คนที่ชอบอวดรวย แล้วทำไมถึงต้องบอกฐานะให้เพื่อนตัวเองรู้

     “ตอนที่พี่จะเลี้ยงข้าว น้องนายถามพี่ว่ายังเป็นแค่นักศึกษาแต่ทำไมถึงเลี้ยงข้าวคนอื่น พี่ไม่รู้จะตอบยังไงเลยบอกไปว่าบ้านรวย” ผมอธิบายตามจริง ผิงตาโต หันขวับไปมองเพื่อนตัวเองก่อนหันกลับมามองผมด้วยสายตาขอโทษ

     “พี่บอนด์อย่าถือสาเลยนะคะ ไอ้นี่มันอ้อมค้อมไม่เป็น มีอะไรก็พูดออกมาหมดไม่เคยเก็บไว้ในใจ แต่มันไม่เคยคิดร้ายหรือดูถูกใครเลยนะคะ”

     “พี่รู้ครับ” ผมเหลือบไปมองคนข้างๆ “รู้ดีเลยล่ะ”

     “ที่ผมถามมันแรงขนาดนั้นเลยเหรอครับ” น้องนายหันไปถามผิง ตาซื่อๆ คู่นั้นบอกว่าเจ้าตัวถามเพราะไม่รู้จริงๆ

     “โอ้โห กล้าถามนะคะไอ้น้องนาย ดีนะคนที่มึงถามคือพี่บอนด์ ถ้าเป็นคนอื่นมึงได้กินอย่างอื่นแทนข้าวไปแล้ว”

     น้องนายหน้าตื่น รีบละล่ำละลักขอโทษอยู่นานจนผมต้องบอกให้พอ แปลกที่รู้จักกันไม่เท่าไหร่แต่ผมกลับเข้าใจความคิดของน้องนาย จึงไม่เคยโกรธหรือไม่พอใจสักครั้ง

     “แต่ยังไงผิงก็เกรงใจอยู่ดี เอาแบบนี้ไหมคะ ผิงกับน้องนายไปทานข้าวเป็นเพื่อนพี่บอนด์แต่พวกเราจะจ่ายกันเอง”

     “อย่าเลยครับ พี่เป็นคนชวน พี่ต้องเลี้ยงพวกเรา”

     “ถ้าพี่บอนด์พูดอย่างนี้งั้นผิงไม่เกรงใจนะคะ”

     “ครับ อยากทานอะไรสั่งได้เต็มที่เลย ถือเป็นค่าเสียเวลาที่มาทานข้าวเป็นเพื่อนพี่”

     “เสียเวลาอะไรกันคะ ผิงสิได้กำไรเห็นๆ มีคนหล่อชวนไปทานข้าว เอาไปโม้ได้เป็นเดือน” ผิงพูดโดยปราศจากความเขิน ผมหัวเราะเบาๆ เป็นกลุ่มที่ตลกใช้ได้ อยู่ด้วยแล้วสบายใจดี ผมคิดแบบนั้นนะ

     “ทีผมชวนไปกินข้าวมันไก่หลังมอไม่เห็นคุณผิงดีใจแบบนี้เลย”

     “ก็มึงหล่อน้อยกว่าพี่บอนด์”

     “ไหนวันก่อนคุณผิงชมว่าผมหล่อที่สุดในโลก”

     “นั่นกูชมเพราะหวังลอกเลคเชอร์มึง”

     คนอยากหล่อที่สุดในโลกมุ่ยหน้านิดๆ ใบหน้าที่เพิ่งเห็นครั้งแรกทำให้ผมหลุดขำ น้องนายกับผิงหันมามอง ผมไม่พูดอะไร นั่งฟังเพื่อนคุยกันไปเพลินๆ

     น้องๆ กลุ่มนี้อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ผมยอมรับ แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ต่างออกไป นอกจากสบายใจแล้วยังชวนให้ตื่นเต้นไม่รู้เบื่อ มีเรื่องคาดไม่ถึงมาเซอร์ไพรส์ตลอด เช่นใบหน้าในตอนนี้ ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกว่าหน้ามุ่ยๆ ของน้องนายมันทั้งน่ารักและน่าแกล้งไปพร้อมกัน





     “มึงยังจะกินลงอีกเหรอ” ผิงหันไปกระซิบกระซาบน้องนายหลังพนักงานรับเมนูเดินจากไปแล้ว ผมนั่งฝั่งตรงข้ามจึงได้ยินไม่ชัด

     “ทำไมคุณผิงถามอย่างนั้นล่ะครับ”

     “กูอะไม่แปลกเพราะยังไม่ได้กินอะไร แต่เมื่อกลางวันมึงกินข้าวไปแล้ว ไหนจะน้ำแข็งไสอีก จริงๆ กูจะถามตั้งแต่พี่บอนด์ชวนแล้วมึงไม่ปฏิเสธแล้ว ทำไมไม่บอกพี่เขาไปตรงๆ วะ”

     น้องนายยกนิ้วชิดริมฝีปาก ทำเสียงชู่วพลางเหลือบมามองผม

     “มีอะไรหรือเปล่า” ผมถามทั้งสองคน น้องนายรีบยิ้มให้ผมพร้อมส่ายหน้า

     “ไม่มีครับ”

     ผมเห็นผิงมองเพื่อนด้วยสายตาประหลาดใจ แต่เพราะน้องนายพูดแบบนั้นผมจึงปล่อยผ่าน ระหว่างรออาหารผมก็นั่งฟังเพื่อนสนิทคุยกัน เพลินดีครับ แบบนี้ให้ฟังทั้งวันยังได้

     “อย่าลืมถ่ายเลคเชอร์มาให้นะ เมื่อคืนกูดูซีรีส์เพลินไปหน่อย วันนี้เลยสัปหงกไม่ได้ฟังอาจารย์”

     “ไม่ครับ” น้องนายส่ายศีรษะไปมา สีหน้าดื้อดึงเหมือนเด็กๆ ผมหลุดขำเบาๆ ทำหน้าแบบนี้ก็เป็นด้วย

     “อ้าว ไหนบอกจะถ่ายให้ไงไอ้น้องนาย”

     “คุณผิงโกหกผม”

     “กูโกหกอะไร”

     “โกหกว่าผมหล่อที่สุดในโลก”

     ผิงยกมือกุมขมับ เหมือนปวดหัวกับเพื่อนตัวเองที่ดันจริงจังกับเรื่องเล็กๆ

     “มึงจะงอนเรื่องนี้จริงๆ เหรอ”

     “ผมงอนไม่ได้เหรอ”

     “เฮ้อ” ผิงถอนหายใจแต่ใบหน้ากลับมีรอยยิ้ม ผมเองยังอดยิ้มตามไม่ได้ “งั้นเอาอย่างนี้ มึงไม่หล่อแต่น่ารัก พอใจหรือยัง”

     “นั่นมันคำที่เอาไว้ชมผู้ชายเหรอครับ” น้องนายมุ่ยหน้า

     “เชื่อกูสิ คำนี้เหมาะกับมึงที่สุดแล้ว”

     “ไม่เอา ผมอยากหล่อ”

     “มึงน่ารัก”

     “คุณผิงงง”

     ผิงหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ข้างๆ คือน้องนายที่หน้ามุ่ยกว่าเดิม ผมว่าผิงไม่ได้ชมเพราะเรื่องเลคเชอร์หรอก แต่คงคิดแบบนั้นจริงๆ ขนาดผมยังคิดเลย ตอนที่น้องนายถามว่า ‘ผมงอนไม่ได้เหรอ’ เป็นครั้งแรกที่ผมคิดว่าผู้ชายก็น่ารักได้เหมือนกัน





     “อิ่มแล้วเหรอ” ผมถามอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นน้องนายวางช้อนทั้งที่เพิ่งทานไปนิดเดียว น้องนายสะดุ้งเล็กน้อย รีบปฏิเสธพร้อมกับทานต่อ แต่สีหน้าเหมือนฝืนยังไงไม่รู้

     “มันเพิ่งกินข้าวมาค่ะ ก่อนไอ้ซนไปถ่ายวีทีอาร์ เลยน่าจะยังอิ่มอยู่”

     “คุณผิง!” น้องนายหันไปทำหน้าตื่นใส่เพื่อน ผมเลิกคิ้วเมื่อได้ยินอย่างนั้น

     “ทำไมไม่บอกพี่ล่ะ”

     น้องนายเม้มปากเหมือนครุ่นคิดบางอย่าง ก่อนดวงตาคู่นั้นจะเงยมามองผม

     “ผมเสียดายน่ะครับ พี่บอนด์อุตส่าห์จะเลี้ยงข้าว ผมไม่อยากพลาดของฟรีเลยไม่บอก” น้องนายคลี่ยิ้ม ผมเลิกคิ้วกว่าเดิม ขนาดผิงยังอดหันไปมองด้วยสายตาแปลกใจไม่ได้ น้องนายไม่ใช่คนเห็นแก่ของฟรี ผมค่อนข้างมั่นใจในเรื่องนี้ สิ่งที่เจ้าตัวพูดออกมาจึงดูขัดกับนิสัย

     “ถ้าอิ่มแล้วก็ไม่ต้องฝืน ผิงล่ะอิ่มยัง”

     “อิ่มแล้วค่ะ”

     “งั้นกลับกันเลยนะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

     ผิงกับน้องนายพยักหน้า ผมยกมือเรียกพนักงานมาเก็บเงิน ก่อนออกจากร้านผมทันเห็นคนบางคนยกมือไหว้อาหารบนโต๊ะด้วย ผมหลุดยิ้มด้วยความเอ็นดู เป็นเด็กที่ทั้งแปลกทั้งน่ารักจริงๆ





     ผมแวะส่งผิงก่อนน้องนาย เพราะหอของผิงเป็นทางผ่านร้านอาหาร พอกลับมาอยู่กันสองคนในรถผมจึงส่งโทรศัพท์ตัวเองให้น้องนาย

     “อะไรครับ” น้องนายถามแต่ก็รับโทรศัพท์ไป

     “แอดไลน์ของเราให้พี่หน่อย จะได้ส่งวิดีโอให้”

     “งั้นพี่บอนด์ปลดล็อกโทรศัพท์ให้หน่อยครับ” น้องนายทำท่าจะคืนโทรศัพท์ ผมลืมไปว่ายังไม่ได้ปลดล็อกหน้าจอ

     ผมไม่ได้ยื่นมือไปรับโทรศัพท์เพราะขับรถอยู่ จึงบอกรหัสปลดล็อกแทน น้องนายรีบร้องห้ามก่อนยกมือปิดหู ผมเลยหันไปเลิกคิ้ว

     “อย่าบอกรหัสกับคนอื่นสิครับ มันอันตรายนะ”

     ผมหัวเราะ ไอ้เราก็งงว่าทำไมจู่ๆ ถึงร้องขึ้นมา ที่แท้ก็เรื่องนี้

     “อันตรายยังไง”

     “โธ่ ไม่เห็นต้องถามเลยครับ ถ้าเราบอกรหัสมั่วซั่วคนอื่นจะเอาโทรศัพท์ไปทำเรื่องไม่ดีได้นะครับ อย่างหลอกโอนเงินไม่ก็ปลอมแปลงแอคเคานต์”

     “เรื่องนั้นพี่รู้ แต่ที่ถามคือ ถ้าพี่บอกเราแล้วมันจะอันตรายยังไง”

     “มันก็ไม่อันตรายหรอกครับ ผมไม่ทำเรื่องพวกนั้นหรอก แต่พี่บอนด์เพิ่งรู้จักผมไม่นาน รู้ได้ยังไงว่าผมไว้ใจได้”

     ผมละสายตาจากถนน หันไปมองคนพูดแวบหนึ่ง แต่ก็นานพอที่จะส่งความรู้สึกผ่านสายตาไปถึงอีกคน

     “เพราะพี่รู้สึกไว้ใจเรา พี่ถึงไว้ใจเรา”

     น้องนายเอียงคอมองผม ใบหน้าเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม จะงงก็ไม่แปลกเพราะคำพูดผมมันชวนงงจริงๆ แต่ผมก็รู้สึกตามนั้นจริงๆ เหมือนกัน ผมไม่เคยถามหาเหตุผล ผมรู้แค่ว่าตัวเองเชื่อใจและไว้ใจเด็กคนนี้ มันอาจฟังดูแปลกเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่นาน แต่เพราะอีกฝ่ายคือน้องนายผมจึงไม่แปลกใจ แปลกมาหลายเรื่องแล้ว อีกสักเรื่องจะเป็นไรไป

     ระหว่างเราเกิดความเงียบครู่หนึ่ง ก่อนที่น้องนายจะถามรหัสอีกครั้ง ผมบอกเลขหกหลัก น้องนายกดนั่นกดนี่อยู่สักพักก่อนจะคืนโทรศัพท์มาให้ ผมลอบยิ้มเมื่อคิดว่าเราสองคนมีไลน์ของกันและกันแล้ว จู่ๆ มันก็อยากยิ้มขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ

     “ทำไมตอนพี่ชวนไปกินข้าวเราถึงไม่บอกว่ากินแล้ว” ผมวางโทรศัพท์ไว้ข้างตัวก่อนจะถามเรื่องที่คาใจมาสักพัก น้องนายหันมามองผม คิ้วบางย่นเข้าหากัน

     “ผมบอกไปแล้วไงครับว่าไม่อยากพลาดของฟรี”

     “พี่ว่านั่นไม่ใช่คำตอบจริงๆ นะ”

     “ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะครับ”

     “เพราะเราดูไม่ใช่คนแบบนั้น”

     น้องนายเงียบไปอีกครั้ง ผมไม่ได้ถามอะไรต่อ จนกระทั่งมาถึงหอพัก ผมจึงหันไปหาคนข้างๆ เพื่อขอคำตอบที่ค้างไว้

     “ถ้าผมบอกไปพี่บอนด์อย่าโกรธนะครับ”

     “พี่ไม่รับปาก ขึ้นอยู่กับคำตอบว่าคืออะไร”

     น้องนายเม้มปาก ผมแกล้งมองนิ่งๆ เพื่อกดดันทางอ้อม น้องนายลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยอมพูดออกมา

     “ผมกลัวพี่บอนด์เหงา”

     “หือ?” ผมคาดเดาคำตอบไว้หลายอย่าง แต่ไม่ว่าจะลองคิดมากี่ครั้งก็ไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบนี้

     “คราวก่อนที่เลี้ยงข้าว พี่บอนด์ขอบคุณผมที่มากินข้าวเป็นเพื่อน วันนี้พี่บอนด์ยังชวนผมกับคุณผิงไปกินข้าวเป็นเพื่อนอีก ผมเลยคิดว่าพี่บอนด์น่าจะขี้เหงาพอสมควร”

     ผมกะพริบตาปริบ หลังจากนิ่งอยู่นานก็ขำออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ น้องนายมองผมที่หัวเราะจนตัวโยน คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย ผมเอื้อมมือไปวางบนศีรษะ ริมฝีปากจุดรอยยิ้มขำ

     “สรุปเราคิดว่าพี่เหงา เลยยอมมากินข้าวเป็นเพื่อนทั้งที่ตัวเองไม่อยากกิน”

     “ครับ” น้องนายรับเสียงอ่อย ผมอมยิ้ม ความเอ็นดูเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

     “ขอบใจนะ”

     ตากลมโตเงยมองผมอีกครั้ง ภายในนั้นฉายแววงุนงง “พี่บอนด์ไม่โกรธเหรอ”

     “จะโกรธทำไม เราอุตส่าห์หวังดีกับพี่”

     พอได้ยินอย่างนั้นน้องนายก็ยิ้มโล่งใจ ผมโยกศีรษะอีกฝ่ายก่อนจะผละมือออก

     “งั้น...ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมไปก่อนนะครับ”

     “อืม”

     น้องนายลงไปจากรถ โบกมือให้ผมก่อนจะหันหลัง แต่ยังไม่ทันเดินออกไปก็หันกลับมาอีกครั้ง ผมลดกระจกลงเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าเหมือนลืมบางอย่าง

     “ถ้าพี่บอนด์เหงาอีกมาชวนผมไปกินข้าวได้ทุกเวลานะครับ ผมไม่เห็นแก่ของฟรีก็จริง แต่ผมชอบของอร่อย” คนพูดคลี่ยิ้ม คำพูดจริงใจที่ไม่ประดิดประดอยทำให้ผมหลุดขำ ผมพยักหน้าพร้อมกับโบกมือลา พอน้องนายเข้าหอพักไปแล้วจึงขับรถออกมา

     ผมยิ้มไม่หุบตลอดทาง แค่คำพูดธรรมดาของเด็กหนึ่งคนกลับทำให้อารมณ์ดีอย่างเหลือเชื่อ ผมเคยกินข้าวคนเดียวนับครั้งไม่ถ้วน ผมไม่ใช่คนติดเพื่อนขนาดนั้น แต่พอได้รู้จักน้องนายผมก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองขี้เหงา และน่าจะเหงาหนักเสียด้วย



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter :    earthxxide  (https://twitter.com/earthxxide? t=muF0165hiRexxkrO2QLULw&s=09)

     Fanpage :    Earthxxide  (https://www.facebook.com/earthxxide? mibextid=ZbWKwL)
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 12] ✪ 30/04/2023
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 30-04-2023 20:22:31
 :jul3:
หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 13] ✪ 02/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 02-05-2023 16:55:13
ตอนที่ 13
ตักตวงความสุข


     วีทีอาร์โปรโมทมหา’ลัยที่มีผมกับพี่ธารเป็นพรีเซนเตอร์ได้กระแสตอบรับดีเกินคาด ผมกล้าพูดเต็มปากว่านาทีนี้ไม่มีใครในมหา’ลัยไม่รู้จักผม ผิงถึงกับเอามาเปิดให้ดูเช้ากลางวันเย็น จนผมแทบจะจำทุกประโยคในวิดีโอได้แล้ว

     “มึงจะดูวนไปวนมาอีกนานไหม” ผมถามคนตรงหน้าอย่างเหลืออด ผิงเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เปิดวีทีอาร์วนอยู่อย่างนั้นมาห้ารอบแล้ว

     “กูฟินอ่ะมึง ไม่นึกไม่ฝันว่าวันหนึ่งจะได้เห็นเพื่อนตัวเองในวีทีอาร์มหา’ลัย”

     “ไม่ใช่ว่าคุณผิงฟินที่คุณซนได้ถ่ายวีทีอาร์กับพี่ธารเหรอครับ” น้องนายเงยหน้ามาจากโทรศัพท์ ถามผิงยิ้มๆ ด้วยสายตารู้ทัน

     “นั่นกูก็ฟินเหมือนกัน” ผิงบิดตัวไปมา ก่อนจะหันมาถามผมด้วยใบหน้าจริงจัง เปลี่ยนอารมณ์ไวจนผมตามไม่ทัน “กูถามจริงเถอะซน ตอนถ่ายมึงไม่ใจเต้นแรงบ้างเหรอวะ เป็นผู้หญิงคนอื่นสลบคาอกพี่เขาไปแล้ว คาริสม่าแรงขนาดนั้น”

     ผมสะดุ้ง นึกตกใจเพื่อนที่ถามราวกับอ่านใจออก แต่เพราะรู้ว่าถ้าตอบความจริงจะโดนแซวจึงโกหกออกไป

     “ทำไมต้องใจเต้นแรง กูไม่ได้คิดอะไรกับพี่ธาร”

     “นั่นสิ มึงไม่ได้คิด เพราะคนที่คิดไม่ใช่มึง” ผิงพูดเสียงเบาจนได้ยินไม่ชัด พยักหน้าหงึกๆ เหมือนพูดกับตัวเอง พอผมถามมันก็ไม่ยอมพูดซ้ำ เอาแต่ยิ้มอมภูมิอย่างเดียว ผมเลยเลิกใส่ใจ

     “พี่ธารนี่มองมุมไหนก็หล่อจริงๆ เทพบุตรกลับชาติมาเกิดชัดๆ” ผิงพูดไปดูวีทีอาร์ไป ยิ้มเขินราวกับกำลังพูดกับตัวจริง

     “เอาแต่เพ้อถึงพี่ธารแบบนี้ ระวังพี่เต้จะน้อยใจ” ผมยกรุ่นพี่อีกคนที่ช่วงนี้มันไม่ค่อยพูดถึงมาแซว

     “ไม่ต้องห่วง ถ้าต้องเลือกจริงๆ กูเลือกพี่เต้อยู่แล้ว พี่ธารเขามีเจ้าของแล้ว กูขอแค่ปลื้มอยู่ห่างๆ ก็พอ”

     “ใครคือเจ้าของพี่ธาร”

     “มึงไง”

     “ก็บอกว่ากูไม่ได้คิดอะไรกับพี่ธาร!” ผมเผลอขึ้นเสียง เล่นเอาเพื่อนสะดุ้งไปตามๆ กัน น้องนายเงยหน้าจากโทรศัพท์มามองอีกครั้ง ผิงมองผมอย่างตกใจปนกลัวนิดๆ

     “มึงโกรธกูเหรอ”

     ผมชะงัก รีบปรับสีหน้าเป็นปกติก่อนที่เพื่อนจะตกใจไปกว่านี้ “เปล่า กูแค่...ไม่อยากให้มึงเข้าใจผิด”

     “บอกดีๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องเสียงดังเลย”

     ผมไม่ได้ตั้งใจ ปากมันโพล่งออกไปเอง แค่ผิงพูดเหมือนผมมีใจให้พี่ธารทำไมผมต้องร้อนตัวด้วย นี่ผมเป็นอะไรไป

     “คุณซนเป็นอะไรครับ ทำไมทำหน้าเครียดแบบนั้น” น้องนายมองมาอย่างเป็นห่วง ผมรีบส่ายหน้า

     “เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร”

     ผิงกับน้องนายหันไปมองตากัน ผมเลยยิ้มให้รู้ว่าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ แต่ผิงกลับทำหน้าจริงจังใส่ผม

     “ซน”

     “อะไร”

     “พี่ธารเขายังปกติกับมึงหรือเปล่า”

     ผมขมวดคิ้วกับคำถามไม่มีที่มา “ทำไมจู่ๆ ถามแบบนี้วะ”

     “เถอะน่า ตอบมาเร็ว”

     “ปกตินี่หมายถึงยังไง”

     “ก็...เขายังทำตัวปกติกับมึงไหม หรือเคยพูดจาแปลกๆ บ้างหรือเปล่า”

     “ไม่เคยนะ เขาก็ปกติทุกอย่าง ยังชอบแกล้งชอบดุกูเหมือนเดิม”

     ทั้งสองคนหันไปมองตากันอีกครั้ง กระซิบกระซาบบางอย่างที่ผมไม่ได้ยิน

     “หรือมึงกับกูจะเข้าใจผิดมาตลอดวะ ถ้าพี่ธารชอบไอ้ซนจริงป่านนี้คงบอกไปแล้ว”

     “อาจจะใช่นะครับ เรื่องดอกกุหลาบวันวาเลนไทน์อาจไม่มีอะไรก็ได้”

     “พวกมึงคุยอะไรกัน”

     “เปล่า!” ผิงรีบส่ายหน้ารัวเร็ว อีกนิดคอจะหลุดจากบ่าแล้ว ไม่ค่อยมีพิรุธเท่าไหร่เลย “กู...กูแค่กำลังคุยกับน้องนายว่าทำไมวันนี้อากาศร้อนจัง เนอะมึงเนอะ”

     “ใช่ครับ”

     ดูจากสีหน้าพวกมันแล้ว คงมีแต่เด็กอนุบาลเท่านั้นแหละที่เชื่อ จะโกหกทั้งทีคิดได้แค่นี้เหรอ

     ก่อนที่ผมจะคาดคั้นอะไร ผิงก็หันไปชวนน้องนายคุยเรื่องอื่น ผมหรี่ตา ดูยังไงก็มีพิรุธชัดๆ

     “ว่าแต่มึงคุยกับใครอยู่วะ เห็นเอาแต่กดโทรศัพท์มาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว” ผิงถามน้องนายก่อนจะทำตาโต “อย่าบอกนะว่ามึงมีแฟนแล้ว!”

     ผมหูผึ่งขึ้นมาทันที ลืมเรื่องพิรุธของผิงไปสนิท คนที่วันๆ แทบไม่สุงสิงกับใครอย่างน้องนายเนี่ยนะมีแฟน ผมว่าหิมะจะตกประเทศไทยก็คราวนี้

     “เปล่าครับ ไม่ใช่แฟน ผมกำลังคุยกับพี่บอนด์”

     “หือ? ไปไงมาไงวะ” ชื่อที่ออกจากปากน้องนายพาให้ผิงขมวดคิ้ว ผมเองก็สงสัยเหมือนกัน ได้ข่าวว่ามันไปแผลงฤทธิ์ใส่พี่บอนด์ โชคดีที่พี่เขาไม่ถือสาอะไร

     “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ตั้งแต่วันที่ส่งวิดีโอมาพี่บอนด์ก็ทักมาชวนคุยไม่หยุด ผมก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง ไม่ได้รำคาญอะไร คิดซะว่าได้เพื่อนใหม่น่ะครับ”

     ผมเลิกสนใจเมื่อเห็นว่ารุ่นพี่ชวนรุ่นน้องคุยธรรมดา ไม่ได้มีอะไรพิเศษ กลับมาครุ่นคิดเรื่องพี่ธารต่อ แต่แล้วผมก็ต้องย่นคิ้วสะดุดความคิดตัวเอง ทำไมผมต้องคิดถึงไอ้พี่ธารด้วย?

     ผมสลัดหน้าพี่ธารออกจากหัวทันที ไม่เห็นต้องไปสนใจเลย มันไม่มีอะไรอยู่แล้ว ผมยิ้มออกอีกครั้งหลังโยนเรื่องเครียดออกไปจากหัว ก็แค่พี่ชายข้างบ้านที่ช่วงนี้ผันตัวมาเป็นผู้ปกครองชั่วคราว มันก็เท่านั้นเอง





     ผมจิ้มไส้กรอกเข้าปาก ตรงหน้าเป็นผู้ปกครองชั่วคราวที่ช่วงนี้เข้าออกบ้านผมเป็นว่าเล่น นอกจากเป็นคนขับรถแล้ว พี่ธารยังพ่วงตำแหน่งคนทำอาหารให้ผมด้วย ตอนแรกพี่แกจะให้ผมหัดทำเอง แต่หลังจากเห็นผมใส่ผงชูรสในแกงจืดครึ่งถุง หั่นแครอทจนแทบไม่เหลือเนื้อ ทอดหมูไม่สุก พี่ธารก็ไม่ให้ผมเข้าครัวอีกเลย

     “เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย”

     “พี่จะพาผมไปไหน”

     “ไปห้าง”

     เพราะคำตอบสั้นเกินไปผมจึงทำหน้าไม่เคลียร์ พี่ธารเลยขยายความต่อ

     “มึงติดหนี้เรื่องถ่ายวีทีอาร์กูอยู่นะ ลืมแล้วเหรอ”

     “แล้วเรื่องนั้นกับเรื่องนี้มาเกี่ยวกันได้ไง” ผมยังไม่เข้าใจ

     “จะให้ไปช่วยถือของ”

     “อ๋อ จะเอาผมไปเป็นเบ๊สินะ”

     “ฉลาดนี่”

     ผมยู่ปากใส่อีกฝ่าย อันที่จริงคนที่ควรทวงต้องเป็นผมด้วยซ้ำ ผมอยู่ของผมดีๆ ดันลากเข้าไปเกี่ยวด้วย นี่ผมใจดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่คิดบัญชี

     เอาเถอะ เถียงพี่มันไปก็ไม่ชนะอยู่ดี ยอมเป็นเบ๊ให้จบๆ ไปดีกว่า ก็แค่ช่วยถือของ งานง่ายๆ แค่นี้ไม่เหลือบ่ากว่าแรงอยู่แล้ว





     พี่ธารพาผมมาห้างสรรพสินค้าใกล้บ้าน ผมเคยมานับครั้งไม่ถ้วน ส่วนใหญ่จะมากับพ่อแม่ ห้างนี้มีของให้เลือกเยอะดี

     “จะซื้ออะไรก่อนอะพี่”

     “เสื้อ”

     พี่ธารเดินนำผมไปในร้านเสื้อผ้าชั้นนำ ร้านนี้ผมเคยเดินผ่านแต่ไม่เคยเข้า ราคาเอื้อมไม่ถึง ที่ผมคิดไว้คือพี่ธารจะเดินเลือกเสื้อ ส่วนผมมีหน้าที่เดินตาม พี่มันเอาตัวไหนผมก็จะรับมาถือให้

     พี่ธารหยุดยืนเมื่อเดินเข้ามาในร้าน หันมามองผม พยักพเยิดหน้าไปยังบรรดาเสื้อที่แขวนอยู่บนราว

     “เลือกมา”

     “หือ?” ผมทำหน้าเหลอหลา ไม่เข้าใจประโยคคำสั่ง

     “มึงชอบตัวไหนก็เลือกมา”

     “จะซื้อให้ผมเหรอ” ตาผมลุกวาวขึ้นมาทันที

     “เปล่า กูขี้เกียจเลือกเอง มึงคิดว่าตัวไหนเหมาะกับกูก็หยิบมา เสื้อยืดหรือเสื้อเชิ้ตก็ได้ เอาสักสี่ห้าตัว”

     ผมทำหน้าเซ็ง ไอ้เราก็นึกว่าจะซื้อให้ ที่แท้ให้เลือกเฉยๆ เสียดาย อุตส่าห์มีตัวที่แอบเล็งไว้แล้วเชียว

     “จะให้ผมเลือกจริงเหรอ เกิดเลือกไม่ถูกใจขึ้นมาล่ะ”

     “มึงเลือกตัวไหนกูก็ถูกใจหมดแหละ เลือกๆ มาเถอะ”

     “…”

     “คนมันหล่อ ใส่อะไรก็ดูดีอยู่แล้ว ไม่ใส่ยังดูดีเลย”

     ผมไม่รู้จะทำหน้ายังไงเมื่อเจอสองประโยคที่ให้ความรู้สึกต่างกันสุดๆ ประโยคแรกผมรู้สึกแปลกๆ จะดีใจก็ไม่ใช่ จะรู้สึกดีก็ไม่เชิง แต่ประโยคหลังฟังแล้วอยากเบ้ปากทันที เออ พี่มันหล่อ พี่มันเสน่ห์แรง แต่ช่วยหล่อทั้งหน้าตาทั้งนิสัยได้ไหม ไม่ใช่เอะอะๆ ก็แกล้งผม

     บ้าจริง! แล้วทำไมตอนพี่ธารพูดว่าไม่ใส่ยังดูดี ผมต้องคิดถึงวันที่เห็นพี่มันถอดเสื้อด้วยล่ะ หยุดคิดเดี๋ยวนี้นะไอ้ซน

     ผมยกมือตบหน้าตัวเองเบาๆ พี่ธารมองมาพลางเลิกคิ้ว ผมเลยทำเป็นเดินไปเลือกเสื้อ พยายามสลัดภาพในหัวออกไป

     “ตัวไหนก็ได้ใช่ไหม”

     “อืม”

     ผมไล่สายตาไปตามเสื้อแต่ละตัว ก่อนจะสะดุดกับเสื้อเชิ้ตแขนยาว ผมหยิบจากราวมาทาบกับตัวพี่ธาร เงยหน้าขึ้นลงอย่างพิจารณา ตัวนี้น่าจะเข้ากับกางเกงยีนส์แฮะ อยากเห็นตอนใส่จัง

     “ตัวนี้สวยดี ลองตัวนี้ให้ผมดูหน่อย” ผมชี้ไปยังห้องลองเสื้อ “ใส่แล้วออกมาให้ดูด้วยนะ”

     พี่ธารพยักหน้า เดินหายเข้าไปในห้องลองเสื้อ ระหว่างรอผมก็เลือกเสื้อตัวอื่นไปพลางๆ จนกระทั่งพี่ธารออกมาผมจึงหันไปมอง

     “ก้มหน่อย” ผมบอกคนตัวสูง พี่ธารเลิกคิ้วแต่ก็ยอมก้มตัวลงมา ผมเอื้อมมือไปจัดปกเสื้อให้เข้าที่ ถอยออกมาสองก้าวเพื่อมองผลงาน อดยิ้มกับภาพที่เห็นไม่ได้

     “หล่อดี”

     “มึงชมว่ากูหล่อ?”

     ผมชะงัก เพิ่งรู้ตัวว่าพลาดก็ตอนเห็นรอยยิ้มของคนตรงหน้า

     “พี่บอกเองไม่ใช่เหรอ ถึงผมไม่ชอบพี่แต่ก็ไม่ได้ตาถั่วนะ” ผมทำเป็นยักไหล่ เปลี่ยนเรื่องโดยการหยิบเสื้ออีกตัวยื่นให้ “ต่อไปลองตัวนี้หน่อย ผมชอบแขนเสื้อ”

     “สนุกใหญ่เชียวนะ”

     “พี่ว่าอะไรนะ”

     “เปล่า” พี่ธารยิ้ม คว้าเสื้อไปถือแล้วเดินไปในห้องลองเสื้อ พอกลับออกมาผมก็เข้าไปจับหมุนซ้ายหมุนขวา

     “อืม...ปลดกระดุมสักสองเม็ดน่าจะเท่ดี” ผมเอื้อมมือไปปลดกระดุมบน มือผมสัมผัสกับช่วงอกพี่ธารที่ไม่มีเนื้อผ้ากั้น ผมไม่แน่ใจว่าตาฝาดหรือเปล่า แต่เหมือนจะเห็นพี่ธารตัวกระตุกเล็กน้อย แต่เพราะกำลังมุ่งความสนใจไปที่กระดุมผมจึงไม่ได้สนใจ

     ผมจูงมือพี่ธารมาหน้ากระจก ถอยออกมายืนมองผลงานตัวเอง พี่ธารหล่ออยู่แล้ว ถึงไม่อยากยอมรับก็ต้องยอมรับ แต่พออยู่ในชุดที่ผมเลือกให้กลับดูหล่อขึ้นไปอีก เป็นคนที่ใส่อะไรก็ดูดีอย่างที่เจ้าตัวบอกจริงๆ

     “ชอบไหม” ผมถามด้วยรอยยิ้ม

     “ชอบ”

     มันจะไม่เป็นไรเลยถ้าสายตาคนพูดมองชุดที่ตัวเองกำลังใส่ ไม่ใช่มองผมที่สะท้อนในกระจก แถมสายตาที่มองมายังชวนให้รู้สึกแปลกๆ อีก

     “หมายถึงอะไร” ไม่รู้ว่าอะไรทำให้ผมถามออกไปอย่างนั้น

     “อยากให้กูชอบอะไรล่ะ” พี่ธารพูดยิ้มๆ “ก็ต้องชอบชุดสิ”

     ผมอึกอัก จู่ๆ ก็เกิดทำตัวไม่ถูก จึงแก้เก้อด้วยการเปลี่ยนเรื่องคุย บางทีพี่ธารอาจคาริสม่าแรงอย่างที่ผิงบอก ผมที่เป็นผู้ชายเลยเผลอใจเต้นแรงไปด้วย ผมจะคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกที่ต้องเอามาขบคิด





     ผมมองกองเสื้อตรงหน้า เท่านี้น่าจะพอแล้ว พี่ธารบอกว่าเอาแค่สี่ห้าตัว เกินมาหน่อยไม่เป็นไรมั้ง

     “จ่ายเงินเลยไหมพี่”

     “ยัง” พี่ธารตอบกลับมา “มึงไปเลือกมาตัวนึง”

     “หือ? ที่เลือกมานี่ยังไม่พอเหรอ”

     “เปล่า ของมึง”

     ผมตาโต มองคนตรงหน้าด้วยแววตามีความหวัง

     “พี่จะซื้อให้ผมเหรอ”

     “อืม ให้เป็นค่ามาเลือกเสื้อให้ หรือไม่เอา?”

     “เอาครับเอา ขอบคุณนะครับ” ผมยิ้มร่า คำพูดคำจาไพเราะขึ้นมาทันที ผมเดินไปเลือกเสื้ออย่างอารมณ์ดี พอมีคนซื้อให้แล้วมันก็อยากได้ไปซะทุกตัว เอ...ถ้าผมขอสองตัวพี่ธารจะให้เปล่านะ ผมอยากถามแต่ก็ไม่กล้า ไม่เป็นไร ไว้วันหลังค่อยอาสามาเป็นเบ๊ให้อีกก็ได้ ขนาดวันนี้ยังไม่ทันทำหน้าที่เบ๊ก็ได้เสื้อมาตัวหนึ่งแล้ว รางวัลดีงามขนาดนี้ ให้เป็นเบ๊ทุกวันก็ยอม





     -ธาร-

     ผมยืนมองเด็กเอ๋อที่ดูจะเพลิดเพลินกับการเลือกเสื้อ ดวงตาที่มองอีกฝ่ายอ่อนแสง จุดประสงค์ในการมาวันนี้ไม่ใช่ให้ซนมาเป็นเบ๊ ผมแค่อยากมาเที่ยวกับซนเฉยๆ

     ผมหลุดขำเมื่อเห็นซนถือเสื้อสองตัว มองอย่างหนักใจว่าจะเลือกตัวไหนดี วันนี้ซนเผลอยิ้มให้ผมหลายครั้ง ดูมันจะสนุกที่ผมยอมเป็นตุ๊กตาให้มันจับแต่งตัว

     ผมพยายามหักห้ามใจ แต่ยิ่งใกล้ชิดบ่อยๆ ผมก็ยิ่งหลงรักเด็กคนนี้จนถอนตัวไม่ขึ้น ผมจึงคิดจะใช้ช่วงเวลานี้ตักตวงความสุขให้มากที่สุด ผมรู้ว่าเราสองคนไม่มีทางเป็นไปได้ ผมจึงไม่หวังอะไรเกินเลย แค่ได้เห็นรอยยิ้มของซน แค่ได้ทำให้มันมีความสุข แล้วเมื่อไหร่ที่พ่อแม่ของพวกเรากลับมา เมื่อนั้นผมจะกลับไปเผชิญหน้ากับความจริง

     ผมเดินเข้าไปหาเมื่อซนเรียก เจ้าตัวดีมองมาด้วยสายตาอ้อน หัวใจผมกระตุกไปวูบหนึ่ง

     “ผมพยายามเลือกแล้วแต่เลือกไม่ได้ ขอซื้อสองตัวได้ไหมครับ”

     ไม่บ่อยที่ซนจะพูดเพราะกับผม เดาว่ามันคงพูดเพราะอยากได้เสื้อสองตัว ผมวางมือบนศีรษะเล็ก มองมันด้วยดวงตาขำ ซนทำหน้ารอคอยคำตอบอย่างใจจดจ่อ กับงานบ้านไม่เห็นจริงจังขนาดนี้เลย

     “อืม”

     เสียงร้องดีใจดังขึ้นหลังผมอนุญาต ผมมองรอยยิ้มของคนตรงหน้า มองดวงตาที่เป็นประกาย อย่าน่ารักไปกว่านี้ได้ไหม แค่นี้กูก็จะตบะแตกแล้วนะ

     เราสองคนเดินออกจากร้าน ผมเป็นคนถือถุงทั้งหมด ซนทำหน้างงที่ผมไม่ให้มันทำหน้าที่เบ๊ ผมหันเหความสนใจโดยการให้มันเลือกร้านอาหาร

     ผมมองแผ่นหลังของคนข้างหน้า เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าปลายทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร วันนี้ผมจะขอมีความสุขให้เต็มที่ก่อน สิ่งที่พี่ชายข้างบ้านอย่างผมทำได้คงมีเพียงเท่านี้



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter :    earthxxide  (https://twitter.com/earthxxide? t=muF0165hiRexxkrO2QLULw&s=09)

     Fanpage :    Earthxxide  (https://www.facebook.com/earthxxide? mibextid=ZbWKwL)
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 13] ✪ 02/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 02-05-2023 21:47:18
 :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 13] ✪ 02/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: prateep ที่ 03-05-2023 16:07:54
 :katai2-1:
หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 14] ✪ 04/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 04-05-2023 18:49:31
ตอนที่ 14
วันพิเศษ


     นาฬิกาปลุกดังขึ้นตอนแปดโมงเช้า ผมเอื้อมมือไปปิด ใบหน้าง่วงงุนปรากฏรอยยิ้มเมื่อนึกได้ว่าวันนี้เป็นวันอะไร

     ผมรีบวิ่งลงไปยังชั้นล่าง ตรงไปยังห้องครัว เอ่ยเสียงดังด้วยความตื่นเต้น

     “พ่อ! แม่! วันนี้วันเกิดซนครับ!”

     ภายในครัวว่างเปล่า รอยยิ้มของผมค่อยๆ เลือนหาย จริงสิ ผมลืมไปว่าพ่อแม่ไปทำงานต่างจังหวัด อีกนานกว่าจะกลับมา

     ใบหน้าผมหม่นลง ปกติแล้วพอถึงวันเกิดผมจะรีบวิ่งมากอดพ่อแม่เป็นอย่างแรก ตามด้วยรอฟังประโยคสุขสันต์วันเกิดและคำอวยพร แต่ดูเหมือนปีนี้จะเป็นปีแรกที่ผมตื่นมาแล้วไม่เจอใคร

     ผมกลับขึ้นมาบนห้อง ตั้งใจจะหลับต่ออีกหน่อย แต่เสียงข้อความเข้าทำให้ต้องหยิบโทรศัพท์มาดู

     ผิงส่งข้อความมาบอกว่าอีกหนึ่งชั่วโมงจะมารับไปทำบุญวันเกิด น้องนายก็ไปด้วย ผมลังเลว่าจะนอนต่ออีกหน่อยดีไหม สุดท้ายก็ตัดใจลุกไปอาบน้ำ เพราะเหลืออีกแค่ชั่วโมงเดียว

     เอาวะ พ่อแม่ไม่อยู่แต่ก็ยังมีเพื่อน อย่างน้อยวันเกิดปีที่ยี่สิบเอ็ดของผมก็ยังมีคนจำได้





     ผิงกับน้องนายพาผมไปสวดมนต์ ถวายสังฆทาน รับพรจากพระ เสร็จแล้วก็มานั่งเล่นให้อาหารปลา

     “เป็นไรวะ วันเกิดทั้งทีไม่ยิ้มแย้มเลย” ผิงถามผม น้องนายที่กำลังจะโยนอาหารลงไปในบึงจึงหันมา

     “คิดถึงพ่อแม่น่ะ”

     “จริงสิ มึงอยู่บ้านคนเดียวนี่นะ แล้วพี่ธารล่ะไปไหน ไม่พามึงไปเที่ยวเหรอ”

     “เห็นว่ามีธุระ เมื่อเช้าตอนกูยังไม่ตื่นเขาซื้อแซนด์วิชมาให้แล้วก็ออกไปเลย อีกอย่างกูไม่ได้บอกเขาด้วยว่าวันนี้วันเกิด เขาจะไม่รู้ก็ไม่แปลก”

     ผิงมองผมอย่างเป็นห่วง น้องนายเดินมานั่งข้างๆ อีกฝั่ง ส่งยิ้มมาให้

     “คุณซนยังมีผมกับคุณผิงนะครับ เอาแบบนี้แล้วกัน เดี๋ยววันนี้ผมเลี้ยงส้มตำเอง คุณซนเคยบ่นว่าอยากกินใช่ไหม”

     “อืม แต่ไม่ต้องเลี้ยงหรอก พวกมึงอุตส่าห์มาอยู่เป็นเพื่อน”

     “พูดอะไรอย่างนั้น วันเกิดเพื่อนทั้งที เดี๋ยวกูกับน้องนายหารกัน มึงอยากกินอะไรเต็มที่”

     ผมมองเพื่อนทั้งสองคน หัวใจที่เงียบเหงาเมื่อเช้าค่อยพองโตขึ้นมาบ้าง ถึงจะไม่มีเค้ก ถึงจะไม่มีเซอร์ไพรส์ใหญ่โต แต่แค่นี้ผมก็มีความสุขแล้ว





     “เยอะเกินไปหรือเปล่า” ผมถามผิง ตั้งแต่เข้าร้านมามันสั่งแหลกไม่เกรงใจเจ้าของวันเกิดอย่างผมเลย ส่วนผมสั่งไปแค่สองสามอย่าง ตอนอยู่ในวัดผมทานขนมไปนิดหน่อยเลยไม่ได้หิวมาก

     “ไม่เยอะ เชื่อกูสิ”

     “เหลือโดนปรับกูไม่เกี่ยวนะ”

     “ไม่เหลือแน่นอน กูหิว เมื่อเช้ามัวแต่แต่งหน้ายังไม่ได้กินอะไรเลย”

     “แค่มาทำบุญยังต้องสวยอีกเหรอวะ”

     “เปล่าครับ คุณผิงตื่นเต้นที่จะได้มาหาพี่ธาร” น้องนายพูดอย่างรู้ทัน ผมย่นคิ้ว

     “หมายความว่าไง”

     “ก็บ้านมึงอยู่ติดกับบ้านพี่ธารไม่ใช่เหรอ กูเลยคิดว่าอาจจะได้เจอพี่ธารเลยอยากสวยไว้ก่อนไง ไม่คิดว่าเขาจะไม่อยู่บ้าน”

     ผมส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจ ผิงก็ยังเป็นผิงวันยังค่ำ พวกเราหยุดคุยกันเมื่ออาหารมาเสิร์ฟ ผิงรีบลงมือคนแรก มันคงหิวจริงๆ แต่ผมก็ไม่ว่าอะไรหรอก ถือว่ามากินข้าวกับเพื่อนธรรมดา

     “คุณซนอยากได้ของขวัญอะไรครับ เดี๋ยวผมซื้อมาให้” น้องนายถามขึ้นมา ผิงที่จกข้าวเหนียวไก่ย่างอยู่หันไปมอง

     “ใครเขาถามเจ้าของวันเกิดคะไอ้น้องนาย แบบนี้ก็ไม่ใช่เซอร์ไพรส์สิ”

     “ไม่ต้องเซอร์ไพรส์หรอกครับ ขืนซื้อมาแล้วเจ้าของวันเกิดไม่ชอบจะกลายเป็นเสียเงินเปล่าๆ สู้ถามตรงๆ ดีกว่า ของขวัญจะได้ถูกใจคุณซน”

     นี่แหละครับน้องนาย ผมไม่แปลกใจเพราะชินแล้ว ใครคิดจะหาความโรแมนติกจากเพื่อนผมคงต้องหานานหน่อย แต่ถ้าหาความจริงใจ ผมมั่นใจว่าเพื่อนตัวเองมีเต็มร้อย

     “ไม่ต้องซื้ออะไรหรอก แค่เลี้ยงข้าวก็พอแล้ว”

     “ไม่โลภมากเลยนะมึง เป็นกูขอบ้านพร้อมที่ดินไปนานแล้ว”

     “คุณผิงพูดอะไรที่มันเป็นไปได้หน่อยสิครับ”

     “แล้วที่กูพูดมันเป็นไปไม่ได้ตรงไหน”

     “ใครเขาให้บ้านพร้อมที่ดินเป็นของขวัญวันเกิดกัน”

     “พวกเศรษฐีไง”

     “แต่ผมไม่ได้รวยขนาดนั้น”

     ผมตักส้มตำเข้าปากสลับกับนั่งฟังเพื่อนถกกัน เป็นวันเกิดที่ทั้งวุ่นวายและสนุกอีกปี แต่ต่อให้มีเพื่อนกี่คนก็ทดแทนส่วนของพ่อแม่ไม่ได้อยู่ดี อยากกอดพ่อแม่จัง อยากให้พ่อแม่ลูบหัวแล้วอวยพร

     “มึงว่าพี่ธารจะมีของขวัญให้ไอ้ซนไหม” จู่ๆ ผิงก็ถามขึ้นมา น้องนายนิ่วหน้าคิดอยู่ครู่หนึ่ง

     “ไม่น่ามีนะครับ พี่ธารไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดคุณซน หรือถึงรู้ก็ไม่ชัวร์อยู่ดี ผมไม่เคยเห็นพี่ธารให้ของขวัญใคร แม้แต่เพื่อนสนิทก็ไม่เคย” น้องนายหยุดพูดเมื่อผิงส่งสัญญาณทางสายตา พอหันมาเห็นผมก็รีบยกมือปิดปาก “เอ่อ...ผมอาจจะเดาผิดก็ได้ คุณซนไม่ใช่เพื่อนแต่เป็นน้อง คงไม่เหมือนกันหรอกครับ”

     “ไม่เป็นไร กูไม่ได้หวังอะไรจากพี่ธารอยู่แล้ว” ผมยิ้มให้น้องนาย ผิงรีบเปลี่ยนเรื่องคุยเหมือนกลัวผมจะคิดมาก ผมนั่งฟังผิงเพ้อถึงรุ่นพี่สถาปัตย์ที่วันก่อนมันแอบไปส่องมา ภายนอกผมหัวเราะ แต่ภายในใจกลับเกิดคำถามหนึ่งขึ้นมา

     ผมไม่หวังอะไรจากพี่ธารจริงๆ เหรอ?





     ผมหันไปมองบ้านข้างๆ ผ่านกำแพงรั้ว บ้านทั้งหลังยังเงียบสนิทเหมือนเดิม ผมถอนหายใจน่าจะรอบที่ร้อยของวัน ไม่รู้ว่านอยด์อะไร รู้แค่ว่าตอนนี้ไม่มีอารมณ์ทำอะไรเลย

     ผมนั่งกอดเข่าอยู่หน้าประตูบ้านมาสักพักแล้ว ไม่ได้ลืมกุญแจบ้าน แต่ใจมันเอาแต่พะวง อยากเจอหน้าคนที่ไม่อยากเจอ

     ยังไม่กลับเหรอ

     ผมส่งข้อความไปหาพี่ธาร นั่งจ้องโทรศัพท์อยู่นาน พออีกฝ่ายตอบกลับมาก็รีบเปิดดู

     อีกสักพักใหญ่ๆ

     หิวเหรอ

     ในตู้เย็นมีอาหารแช่แข็ง เอามาอุ่นกินก่อน เดี๋ยวกลับไปทำกับข้าวให้

     ใช้ไมโครเวฟเป็นใช่ไหม


     ผมถลึงตาใส่โทรศัพท์ เพราะตัวจริงไม่อยู่จึงได้แต่บ่นกับฟ้าฝน ถึงจะทำอะไรไม่ค่อยเป็นแต่ผมก็เคยใช้ไมโครเวฟอยู่บ้าง ไอ้พี่ธารดูถูกมาก กลับมาเมื่อไหร่ผมจะใช้โชว์เลยคอยดู

     ผมกำลังจะพิมพ์กลับไปว่าใช้เป็น แต่จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา ถ้าผมตอบว่าใช้ไม่เป็นพี่ธารจะกลับมาไหม ระหว่างธุระกับผมเขาจะเลือกอะไรกันนะ

     ผมส่ายหัวไล่ความคิดแปลกๆ ก่อนจะพิมพ์กลับไปด้วยคำตอบแรก นี่ผมกำลังหวังอะไรอยู่ ผมน่ะเหรออยากให้พี่ธารมาสุขสันต์วันเกิด บ้าไปแล้วเหรอซน มึงเกลียดหน้าไอ้พี่ธารไม่ใช่เหรอ พี่มันไม่อยู่ก็ควรดีใจสิ ไม่ใช่เอาแต่นั่งหงอยเป็นลูกหมาถูกทิ้งแบบนี้

     ผมเงยมองท้องฟ้ายามเย็น พยายามยิ้มออกมา แต่ไม่ว่าจะทำยังไงปากมันก็ยกยิ้มไม่ขึ้น ผมเพิ่งรู้ว่าการอยู่คนเดียวในวันเกิด ไม่มีคนให้ฉลองด้วยมันเหงาแค่ไหน

     ผมก้มหน้าลงกับเข่า ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาเงียบๆ ขณะที่ความโดดเดี่ยวถาโถมเข้ามา ความรู้สึกหนึ่งกลับเด่นชัด

     พี่ธาร กลับมาเร็วๆ ได้ไหม ผมอยากได้ยินเสียงดุๆ อยากเห็นหน้านิ่งๆ ของพี่ จะกลับมาบ่นมาว่าก็ได้ ผมไม่อยากอยู่คนเดียวแบบนี้เลย





     หลังร้องไห้จนพอใจผมก็เข้าบ้านมาเปิดทีวีดูในห้องนั่งเล่น ตรงหน้าผมคือรายการตลก แต่ผมกลับหัวเราะไม่ออกสักนิด คิดถึงพ่อแม่ คิดถึงผิง คิดถึงน้องนาย คิดถึงพี่ธาร...

     ผมสะดุดความคิดตัวเอง ก่อนจะยิ้มบางๆ ออกมาในที่สุด คงปฏิเสธไม่ได้แล้วสินะ ในเมื่อความรู้สึกข้างในชัดเจนขนาดนี้

     ผมคิดถึงพี่ธาร ถ้าเป็นไปได้ก็อยากได้ยินพี่ธารบอกสุขสันต์วันเกิด แต่มันคงไม่มีทางเกิดขึ้น ก็ผมไม่เคยบอกว่าวันนี้เป็นวันเกิด แล้วพี่ธารจะรู้ได้ไง ผมก้มหน้าลงกับหมอนอิง รู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลอีกรอบเลย

     เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมปาดน้ำตาลวกๆ ก่อนจะลุกไปเปิด ตอนนี้จิตใจผมไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เลยไม่ได้สนว่าใครมา

     เหงาจัง การไม่มีคนอวยพรวันเกิดมันเหงาขนาดนี้เลยเหรอ

     “Happy birth day to you, Happy birth day to you

     Happy birth day Happy birth day

     Happy birth day to you.”

     ผมยืนนิ่ง ได้แต่มองคนที่กำลังถือเค้กด้วยสายตาตะลึง พี่ธารยิ้มให้ผม ก่อนรอยยิ้มจะค่อยๆ ลดเมื่อเห็นคราบน้ำตา พี่ธารวางเค้กบนโต๊ะข้างประตูแล้วพุ่งเข้ามาหาผม

     “มึงร้องไห้เหรอ”

     “พี่ธาร” เสียงของผมสั่นเครือ ผมโผเข้ากอดด้วยความรู้สึกเหงาจับใจ พี่ธารผงะไปในตอนแรก แต่สักพักก็ยกมือมาลูบหลังช้าๆ

     “ผม...ฮึก...ผมเหงา...เหงามากๆ เลย...”

     “คิดถึงพ่อแม่ใช่ไหม”

     ผมพยักหน้ากับอกกว้าง คนตัวสูงโยกผมไปมาเหมือนปลอบเด็ก ผมกอดพี่ธารแน่นราวกับกลัวว่าถ้าปล่อยแล้วพี่ธารจะหายไป

     “ปีนี้พ่อแม่ไม่อยู่ ฉลองวันเกิดกับกูไปก่อนแล้วกัน” น่าแปลกที่พี่ธารไม่ว่าผมขี้แย แต่กลับพูดด้วยเสียงทุ้มที่แฝงไปด้วยความอ่อนโยน มือที่ลูบศีรษะให้ความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย กลิ่นน้ำหอมจากตัวพี่ธารทำให้ผมสงบลง

     “ไม่เป็นไร เป็นพี่ธารก็ได้ ขอบคุณสำหรับเค้กนะครับ”

     “แปลกแฮะ นึกว่ามึงจะเกลียดกูจนไม่อยากให้อยู่ซะอีก” พี่ธารก้มมองผม ริมฝีปากจุดรอยยิ้มขำ

     “ก็เกลียดจริงๆ แหละ แต่เห็นแก่ที่พี่ซื้อเค้กช็อกโกแลตมาให้ ผมจะยอมไม่เกลียดวันนึง”

     “มึงนี่มัน...” พี่ธารทำเสียงอ่อนใจ ผมลอบยิ้ม ก็พูดไปอย่างนั้นเอง คนเกลียดกันที่ไหนจะเอาแต่คิดถึงทั้งวันล่ะ

     ผมชอบเค้กช็อกโกแลต เดาว่าพี่ธารคงโทรไปถามพ่อแม่ผมถึงซื้อมาให้ถูกรส เรายืนกอดกันพักใหญ่ก่อนที่พี่ธารจะพาผมมาในห้องนั่งเล่น วางเค้กลงตรงหน้าพร้อมกับนั่งลงบนโซฟาอีกฝั่ง

     “อธิษฐานสิ”

     ผมหลับตา นิ่งคิดอยู่สักพักว่าจะขออะไรดี อืม...ขอให้พ่อแม่กลับมาเร็วๆ ขอให้เทอมนี้ไม่ติดเอฟ ขอให้พี่ธารดุน้อยลง ขอให้พี่ธารทำงานบ้านให้ผมไปอีกนานๆ

     ทำไมยิ่งอธิษฐานมันยิ่งแปลกๆ วะ ช่างเถอะ ผมไม่ได้พูดออกมา พี่ธารไม่มีทางรู้หรอก

     ผมลืมตาเมื่ออธิษฐานเสร็จแล้ว หลังเป่าเทียนดับครบทุกเล่มพี่ธารก็เอื้อมมือมาลูบหัว

     “มีความสุขมากๆ ดื้อกับกูให้น้อยๆ หน่อย”

     “นั่นคำอวยพรเหรอ” ผมอดขัดไม่ได้

     “เปล่า เขาเรียกว่าคำขอร้อง”

     “ผมไม่ได้ดื้อขนาดนั้น”

     “แน่ใจ?”

     “ก็...นิดนึง” ผมยิ้มแหย “เอาเป็นว่าหลังจากนี้ผมจะเชื่อฟังพี่มากขึ้น ตกลงไหม”

     “หึๆ” พี่ธารกระตุกยิ้ม มือที่อยู่บนหัวเปลี่ยนเป็นยีเบาๆ “สุขสันต์วันเกิดนะซน”

     ไม่บ่อยที่พี่ธารจะเรียกผมด้วยชื่อเล่นจริงๆ ประโยคที่รอฟังมาทั้งวัน ในที่สุดผมก็ได้ยิน พี่ธารผละมือออกไปก่อนจะตัดเค้กให้ ผมมองคนตรงหน้าไปอมยิ้มไป ไม่ได้ยิ้มเพราะได้กินเค้กรสโปรด แต่เพราะดีใจที่วันเกิดปีนี้มีพี่ธารอยู่ด้วย

     “ว่าแต่พี่รู้ได้ไงว่าวันนี้วันเกิดผม”

     มือที่ถือมีดตัดเค้กชะงักเล็กน้อย พี่ธารตอบกลับมาหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง “อาไพโรจน์โทรมาบอก”

     ผมพยักหน้า ไม่นึกสงสัยอะไรอีก แต่จู่ๆ ก็นึกเรื่องสนุกขึ้นมาได้จึงขยับเข้าไปใกล้ พี่ธารหันมาเลิกคิ้ว

     “ร้องเพลงให้ฟังอีกรอบหน่อยดิ ตอนนั้นผมมัวแต่ตกใจเลยไม่ได้ฟัง”

     “ไม่” พี่ธารปฏิเสธทันควัน ผมแอบเห็นว่าหน้าพี่แกขึ้นสีแดงนิดๆ เขินล่ะสิ

     “น่า ร้องให้ฟังหน่อย ผมอยากอัดเสียงไว้”

     “จะอัดทำไม”

     “อัดไว้เป็นหลักฐานไง คนอย่างพี่ธารร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ ไปบอกใคร ใครเขาจะเชื่อ”

     “คนอย่างกูมันทำไม”

     “เย็นชา โลกส่วนตัวสูง เข้าหายาก หยิ่ง เดี๋ยวๆ ผมฟังมาจากคนอื่นอีกที ก็พี่ไม่ใช่เหรอที่ทำให้เขาคิดแบบนั้น” ผมรีบแก้ตัวเมื่อสายตาคมตวัดมามอง ดุชะมัด เมื่อกี้ยังใจดีอยู่เลย

     “อืม กูมันเย็นชา งั้นของขวัญนี่ก็ไม่ต้องเอา” พี่ธารหยิบกล่องเล็กๆ ที่ผูกด้วยริบบิ้นสีฟ้าออกมาโชว์ ผมตาลุกวาว อยากตบปากตัวเองขึ้นมาทันที

     “พี่ซื้อของขวัญมาให้ผมเหรอ”

     “เปลี่ยนใจแล้ว กูเก็บไว้เองดีกว่า”

     “พี่ธาร~ ผมขอโทษ ให้ผมเถอะ นะครับ” ผมใช้สายตาอ้อน สายตาแบบเดียวกับที่ใช้อ้อนแม่ พี่ธารชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเหมือนช่วยไม่ได้ แต่ผมเห็นแก้มพี่ธารแดงขึ้นกว่าเดิม เขินอะไรของเขา

     ผมรับกล่องของขวัญมาจากพี่ธาร หลังเจ้าตัวอนุญาตให้แกะผมก็แกะมันตรงนั้นเลย ผมตาโตเมื่อเห็นว่าข้างในคือหูฟังไร้สาย เป็นรุ่นและสีที่อยากได้มานาน ผมหันขวับไปมองพี่ธาร อีกฝ่ายยักคิ้วให้ผม

     “พี่รู้ได้ไงว่าผมกำลังอยากได้”

     “กูเก่ง”

     อยากเบ้ปากใส่นะครับ แต่ติดที่วันนี้พี่มันทำความดีไว้เยอะ ผมจะยอมปล่อยผ่านแล้วกัน พี่ธารให้ผมลองว่าใช้ได้หรือเปล่า ถ้ามีปัญหาอะไรจะได้เอาไปเปลี่ยนให้ โชคดีที่ทั้งสองข้างใช้งานได้ปกติ ผมหันไปขอบคุณพี่ธารอีกครั้ง คราวนี้ผมพูดออกมาจากความรู้สึกจริงๆ ไม่ได้ขอบคุณของขวัญ แต่ขอบคุณทุกอย่างที่พี่ธารทำให้วันนี้

     เราสองคนอยู่ทานเค้กด้วยกัน จนกระทั่งสี่ทุ่มพี่ธารจึงขอตัวกลับ ผมเดินไปส่งพี่ธารที่หน้าบ้าน มองจนอีกฝ่ายหายเข้าไปในบ้านจึงกลับเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม

     พี่ธารที่ใครๆ ก็ว่าเย็นชา พี่ธารที่เพื่อนบอกว่าไม่เคยซื้อของขวัญให้ใคร พี่ธารคนนั้นผมไม่รู้จัก เพราะที่ผมเห็นตอนนี้มีแต่พี่ธารที่แสนจะใจดี เป็นพี่ชายข้างบ้านที่ทำให้วันเกิดของผมปีนี้เป็นวันที่พิเศษที่สุด



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter :    earthxxide  (https://twitter.com/earthxxide? t=muF0165hiRexxkrO2QLULw&s=09)

     Fanpage :    Earthxxide  (https://www.facebook.com/earthxxide? mibextid=ZbWKwL)
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 14] ✪ 04/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 04-05-2023 19:29:20
 :impress2: :-[ :o8:
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 14] ✪ 04/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 05-05-2023 16:19:55
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 14] ✪ 04/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: prateep ที่ 06-05-2023 09:03:48
 :katai2-1:
หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 15] ✪ 06/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 06-05-2023 19:06:38
ตอนที่ 15
กระต่ายตื่นตูม


     -น้องนาย-

     “ขอโทษที่มาช้าครับ” ผมส่งเสียงนำไปก่อนตัวขณะก้าวขึ้นรถคันหรู พี่บอนด์หันมามองก่อนจะหลุดขำ พาให้ผมย่นคิ้วด้วยความงง แต่พอพี่บอนด์ชี้มือมาบนหัวผมก็เข้าใจทันที

     “รีบอะไรขนาดนั้น” มือหนาเอื้อมมาปัดผมที่ปรกหน้าผากออก ผมนั่งนิ่งให้อีกฝ่ายทำตามใจ แต่ปากก็อดบ่นไม่ได้

     “จู่ๆ พี่บอนด์ส่งข้อความมาว่าอยู่หน้าหอแล้ว ผมก็ต้องรีบสิครับ”

     “ไม่เห็นต้องรีบเลย พี่รอได้”

     “ผมเกรงใจ” ผมพูดเสียงเบา มือที่จัดผมเปลี่ยนเป็นลูบเบาๆ แล้วผละออกไป ผมเอ่ยขอบคุณพลางรัดเข็มขัดนิรภัย รอให้พี่บอนด์ออกรถแล้วจึงถามต่อ

     “เราจะไปไหนกันครับ” พี่บอนด์ทักมาหาผมเมื่อเช้าว่าอยากไปเที่ยว แต่ไม่มีใครไปเป็นเพื่อน พอผมเสนอให้ไปชวนพวกพี่ธาร พี่บอนด์ก็บอกว่าอยากไปกับผมมากกว่า ผมเลยอดงงไม่ได้ว่าทำไมไม่ชวนผมตรงๆ แต่แรก

     “เราอยากไปไหน”

     “มาถามผมทำไมครับ คนที่อยากไปเที่ยวคือพี่บอนด์นะครับ”

     “พี่ตามใจเรา”

     ผมหันไปเอียงคอมองคนพูด มองอยู่นานจนพี่บอนด์หันมาเลิกคิ้ว จนในที่สุดผมก็ค่อยๆ ยิ้มออกมา หรือที่จริงพี่บอนด์ไม่ได้อยากไปเที่ยว แต่พี่บอนด์แค่เหงา ที่ทักมาชวนผมก็เพราะไม่อยากอยู่คนเดียว

     เป็นผู้ชายที่ขี้เหงาจริงๆ เหงาขนาดนี้ทำไมไม่หาแฟนเป็นตัวเป็นตนไปเลยนะ

     “ผมยังไงก็ได้ครับ พี่บอนด์เลือกเถอะ ผมไปด้วยได้ทุกที่ จะอยู่เป็นเพื่อนจนพี่บอนด์หายเหงาเลย”

     พี่บอนด์กะพริบตาปริบ ก่อนจะขำเสียงดังเหมือนที่ผมพูดมันน่าขำมากมาย ผมเลยทำหน้างง

     “คิดว่าพี่ชวนไปเที่ยวเพราะเหงาเหรอ”

     “แล้วมีเหตุผลอื่นด้วยเหรอครับ”

     พี่บอนด์ขำอีกครั้ง จนผมคิดว่านอกจากขี้เหงาแล้วพี่บอนด์น่าจะเส้นตื้นด้วย ผมพูดอะไรไปหัวเราะตลอด ผมว่าผมถามปกติไม่ได้เล่นมุกนะ

     “ตกลง เหงาก็เหงา อืม...สวนสนุกดีไหม ไม่ได้ไปนานแล้ว”

     ผมมองนิ่ง จนพี่บอนด์หันมาทวงคำตอบอีกครั้ง จึงถามออกไปด้วยความสงสัย

     “ผมนึกว่ามีแต่เด็กที่อยากไปเที่ยวสวนสนุกซะอีกนะครับ”

     ถ้าเป็นคนอื่น คำพูดผมอาจชวนให้รู้สึกเคืองนิดๆ แต่ไม่ใช่กับพี่บอนด์ คนที่ผมพูดอะไรไปก็ขำมันไปซะทุกอย่าง จนผมอดกลัวไม่ได้ว่าจะหายใจไม่ทัน

     “เป็นวัยรุ่นมาเยอะแล้ว ขอกลับไปเป็นเด็กวันนึงแล้วกัน ว่าไง สวนสนุกดีไหม” พี่บอนด์ถามความเห็นอีกครั้ง

     “ถ้าพี่บอนด์อยากไปผมก็ไม่มีปัญหาครับ”

     พี่บอนด์พยักหน้าก่อนจะขับรถไปโดยไม่พูดอะไรอีก ผมจึงใช้โอกาสนี้ลอบสังเกตด้านข้างของพี่บอนด์ ใบหน้าขาวใส มีความเป็นลูกครึ่งนิดๆ ขนตายาว จมูกโด่งเป็นสัน รับกับริมฝีปากได้รูป ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพี่บอนด์ถึงฮอตพอๆ กับพี่ธาร หล่อตีคู่กันขนาดนี้ ผู้หญิงที่ไหนบ้างจะไม่ชอบ

     ผมหันกลับมามองทางตรง แอบถอนหายใจด้วยความน้อยใจนิดๆ ทำไมฟ้าช่างไม่ยุติธรรม ให้ความหล่อผมมายังไม่ถึงครึ่งของพี่บอนด์เลย ผมเองก็อยากหล่อเหมือนกัน ไม่ได้อยากน่ารักอย่างที่คุณผิงบอกซะหน่อย





     ผมยืนรอพี่บอนด์ไปซื้อตั๋ว สถานที่แรกที่เราจะไปกันคือบ้านผีสิง อันนี้เป็นความคิดผมเอง พี่บอนด์ให้ผมเลือกว่าอยากเล่นอะไรก่อน ผมคิดไม่ออกเลยให้พี่บอนด์เลือกแทน แต่พี่บอนด์ก็ยังยืนยันจะให้ผมเลือกอยู่ดี ผมเห็นว่าถ้าเอาแต่โยนกันไปมาวันนี้คงไม่ได้เล่นจึงเลือกสุ่มๆ มาหนึ่งอย่าง และหวยก็มาออกที่บ้านผีสิง

     “มาแล้ว” พี่บอนด์เดินมาพร้อมตั๋วสองใบในมือ สายตาที่มองผมมีความไม่มั่นใจ “แน่ใจนะว่าอยากเล่นบ้านผีสิง”

     “ครับ” ผมพยักหน้า แต่ก็อดถามไม่ได้ “พี่บอนด์กลัวผีเหรอ”

     “เปล่า”

     “งั้นไปกันเลยไหมครับ”

     “อืม”

     พี่บอนด์ยังมองมาด้วยสายตาลังเล เหมือนจะมีความเป็นห่วงในนั้นด้วย ผมไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย ห่วงอะไรของเขากันนะ





     เพราะทางเดินค่อนข้างแคบ ผมจึงเดินนำหน้าโดยมีพี่บอนด์ตามหลัง ภายในบ้านผีสิงมีเพียงแสงสีเขียวจากหลอดไฟที่ห้อยตามทางเดิน ทำให้บรรยากาศมืดสลัว ผมได้ยินเสียงร้องทั้งผู้หญิงและผู้ชายตลอดทาง ร้องทำไมกันนะ ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลย ผีที่โผล่มาหลอกล้วนเป็นคนที่ใส่ชุดทั้งนั้น ทั้งที่รู้กันอยู่แล้วแต่ก็ยังจะกลัวอีก

     “มาเดินหลังพี่ไหม” เสียงพี่บอนด์ดังมาจากด้านหลัง ผมหันไปทำตาปริบๆ

     “พี่บอนด์อยากอยู่ข้างหน้าเหรอครับ”

     “เปล่า พี่เป็นห่วงเรา”

     “เป็นห่วง?” ผมหยุดเดิน ยกมือแตะหน้าผากตัวเอง “ผมสบายดีครับ ไม่ได้เป็นอะไร พี่บอนด์ไม่ต้องเป็นห่วง”

     พี่บอนด์ทำหน้าเหมือนอยากขำ พอๆ กับไม่รู้จะทำยังไงกับผมดี “ไม่ใช่เรื่องนั้น พี่ห่วงว่าเราจะตกใจกลัว”

     “อ๋อ” ผมร้องในลำคอเมื่อเข้าใจสายตาเป็นห่วงที่พี่บอนด์มองมา แต่ก่อนจะตอบอะไรกลับไปก็มีบางอย่างโผล่มาจากกรงข้างจุดที่พวกเรายืนเสียก่อน

     !!!

     ผีหรือซอมบี้ ผมเองก็ไม่แน่ใจเพราะเห็นไม่ชัด บนหน้ามีเลือดไหลลงมาจากศีรษะ คาดว่าคงเป็นเลือดปลอม กำลังยืนชูมือร้องเสียงโหยหวนใส่พวกผม

     พี่บอนด์สะดุ้งตามสัญชาตญาณเวลามีอะไรบางอย่างโผล่มากะทันหัน ส่วนผมเพียงแค่มองนิ่งๆ หลังทิ้งช่วงไว้ครู่หนึ่งก็ค่อยๆ เบนสายตาไปมองคนที่มาด้วยกัน ยิ้มให้นิดหนึ่งเพื่อปลอบใจ

     “ไปกันต่อเถอะครับ”

     ผมหันหลังออกเดินต่อ แวบหนึ่งเหมือนจะเห็นพี่บอนด์มองมาด้วยสายตางุนงงปนเหลือเชื่อ ผมไม่เห็นว่ามันจะแปลกตรงไหน ไม่ใช่ผีจริงๆ ซะหน่อย เอาไว้มาแค่หัวกับไส้ผมจะร้องออกมาแล้วกัน ถ้ามันเป็นของจริงล่ะก็นะ





     “น้ำครับ” ผมส่งขวดน้ำให้คนตัวสูงพลางนั่งลงข้างๆ หลังออกมาจากบ้านผีสิงผมพาพี่บอนด์มานั่งพักที่ม้านั่ง ส่วนตัวเองอาสาไปซื้อน้ำมาให้ ที่จริงพี่บอนด์จะไปซื้อเอง แต่ผมเห็นว่าเพิ่งออกมาจากบ้านผีสิง เลยอยากให้นั่งพักหลังหัวใจทำงานหนัก

     “ต่อไปอยากเล่นอะไรครับ หรือจะให้ผมเลือกเหมือนเดิม”

     พี่บอนด์ไม่ตอบคำถาม เอาแต่มองผมด้วยสายตาอึ้ง

     “ทำไมเราดูปกติจัง”

     “ยังไงครับ”

     “ไม่กลัวผี ไม่สะดุ้ง ไม่ร้องสักแอะ”

     ผมหลุดขำเบาๆ พี่บอนด์เลยงงกว่าเดิม ผมยกขวดน้ำขึ้นดื่มก่อนจะคลี่ยิ้มให้อีกฝ่าย

     “จะบอกว่าผมดูเหมือนคนไม่มีความรู้สึกใช่ไหมครับ”

     “พี่ไม่ได้คิดอย่างนั้น”

     “ไม่เป็นไรครับ คุณผิงก็เคยพูดบ่อยๆ ว่ามาเที่ยวกับผมเหมือนมากับหุ่นยนต์ ผมไม่คิดมากเพราะผมรู้ว่าตัวเองเป็นแบบนั้นจริงๆ”

     “…”

     “อันที่จริงถ้าพี่บอนด์เหงา ชวนคนอื่นมาเป็นเพื่อนจะสนุกกว่านะครับ อย่างในไลน์ก็เหมือนกัน ที่เห็นผมตอบบ้างไม่ตอบบ้างไม่ใช่ว่ารำคาญ แต่ผมชวนคุยไม่เก่ง ผมยังคิดอยู่เลยว่าจะทำให้พี่เหงากว่าเดิมหรือเปล่า”

     ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่มีความน้อยใจหรือประชดในนั้น ผมรู้ว่าตัวเองเป็นคนยังไง เพราะรู้จึงไม่เคยคาดหวังให้ใครมาชอบ ทุกวันนี้แค่คุณซนกับคุณผิงยอมคบผมเป็นเพื่อนก็ดีมากแล้ว ชีวิตผมมันก็จืดชืดแบบนี้แหละครับ

     พี่บอนด์มองผมนิ่ง ผมเลยยิ้มเพื่อให้รู้ว่าไม่ได้เป็นอะไร ผมลุกขึ้นเมื่อเห็นว่าพี่บอนด์น่าจะพักพอแล้ว แต่พอก้มมองนาฬิกาข้อมือ จากที่คิดจะชวนไปเล่นรถไฟเหาะเป็นอันต้องเปลี่ยนใจ

     “ใกล้เที่ยงแล้ว ไปหาอะไรทานกันไหมครับ”

     พี่บอนด์เงยหน้าสบตาผมที่กำลังยืนอยู่ ดวงตาที่มักจะมองผมด้วยความขบขัน ตอนนี้กลับนิ่งเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์

     “อืม”





     “วันนี้ผมสนุกมากเลย ขอบคุณนะครับ” ผมหันไปบอกคนที่กำลังขับรถ ที่ต้องขอบคุณเพราะพี่บอนด์เล่นจ่ายให้ผมทุกอย่าง พอจะคืนเงินก็ปฏิเสธท่าเดียว สุดท้ายผมเลยต้องยอม

     “สนุกจริงเหรอ พี่ไม่เห็นเราหัวเราะเลย”

     “สนุกไม่ได้แปลว่าต้องหัวเราะนี่ครับ เหมือนกับที่หัวเราะก็ไม่ได้แปลว่าคนนั้นๆ กำลังสนุกเสมอไป”

     พี่บอนด์เหลือบมามองผมแวบหนึ่ง ริมฝีปากหนาจุดรอยยิ้ม “รู้ไหมว่าคำพูดคำจาเราเหมือนผู้ใหญ่”

     “รู้ครับ อันนี้คุณผิงก็เคยบอกเหมือนกัน”

     “แล้วผิงเคยบอกไหมว่าเราน่าสนใจ”

     ผมตาโตกับคำพูดของคนตัวสูง นานๆ ทีผมถึงจะหลุดอาการ พี่บอนด์ที่หันมาเห็นพอดีเลยขำไม่หยุด

     “ตกใจอะไร”

     “พี่บอนด์พูดว่าผมน่าสนใจเหรอครับ” ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเพื่อให้มั่นใจว่าไม่ผิดคน

     “ใช่”

     “จำคนผิดแล้วครับ ผมไม่เห็นว่าตัวเองจะใกล้เคียงคำว่าน่าสนใจเลย ถ้าเป็นคำว่าจืดชืดก็ว่าไปอย่าง”

     “อย่าพูดถึงตัวเองอย่างนั้น”

     “ก็มันจริง...” นี่ครับ ผมกำลังจะพูดให้จบ แต่สายตาคมที่มองมาทำให้ผมนิ่งงัน

     “นาย”

     “ครับ?” ผมเผลอขานรับ นานแล้วที่ไม่มีใครเรียกชื่อผมคำเดียว

     “เราอาจจะคิดว่าพี่ขี้เหงา พี่ไม่เถียงว่ามันผิด แต่นายไม่คิดบ้างเหรอว่าพี่มีเพื่อนตั้งหลายคน ถ้าพี่เหงาจริงๆ จะชวนคนที่เพิ่งรู้จักอย่างเราทำไม พี่ชวนเพื่อนสนิทไม่ดีกว่าเหรอ”

     ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยคิด ผมสงสัยตั้งแต่วันที่พี่บอนด์ชวนไปทานข้าวด้วยซ้ำ แต่เพราะผมเอาแต่บอกตัวเองว่าผู้ชายคนนี้ขี้เหงา จึงไม่เคยเอะใจอะไรอีก

     “ที่พี่ชวนไปเที่ยว ชวนไปทานข้าว ทักไปคุยบ่อยๆ เพราะพี่สนใจเรา ถ้าเราไม่น่าสนใจพี่จะเข้าหาเราตั้งแต่แรกเหรอ ดังนั้นเลิกคิดแง่ลบกับตัวเองได้แล้ว นายเป็นเด็กน่าสนใจ จำคำของพี่เอาไว้”

     เสียงทุ้มของพี่บอนด์จริงจังจนผมไม่คิดว่ามันเป็นเพียงแค่คำปลอบ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีคนมาพูดกับผมแบบนี้ พี่บอนด์ไม่พูดอะไรต่อ ผมเองก็เช่นกัน เราต่างคนต่างเงียบราวกับอยู่ในห้วงความคิดตัวเอง

     พี่บอนด์ขับรถมาจอดหน้าหอพัก ผมที่ปลดเข็มขัดนิรภัยเสร็จแล้วกำลังจะหันไปขอบคุณ แต่คนตัวสูงก็พูดขึ้นมา

     “เข้าใจที่พี่พูดไหม”

     “เข้าใจครับ”

     พี่บอนด์ทำหน้าเหมือนรอฟังว่าผมจะพูดอะไรต่อ ผมเลยเลิกคิ้วกลับไป หลังมองตากันอยู่นานพี่บอนด์ก็ถามขึ้นมาอีก

     “แค่นี้เหรอที่เราอยากพูด”

     “ครับ”

     ผมว่าผมไม่ได้พูดอะไรผิดนะ แล้วทำไมพี่บอนด์ถึงต้องทำหน้าแปลกๆ ด้วยล่ะ อย่างกับไม่รู้จะทำยังไงดีงั้นแหละ

     “เข้าใจที่พี่บอกว่าสนใจไหม”

     “เข้าใจสิครับ พี่บอนด์สนใจผม”

     “ใช่ พี่สนใจเรา แล้วทำไมถึงไม่ตกใจเลยล่ะ”

     “ผมต้องตกใจเหรอครับ” ผมถามกลับด้วยดวงตาพาซื่อ พี่บอนด์ยกมือตบหน้าผาก ทำหน้าเหมือนอยากยิ้มพอๆ กับอยากร้องไห้

     “ว่าแล้วเชียว พูดกับเด็กนี่ไม่ง่ายจริงๆ ด้วย”

     “พี่บอนด์ว่าอะไรนะครับ”

     “เปล่า” พี่บอนด์ลูบหน้าตัวเอง ก่อนจะส่งยิ้มให้ผม “เอาเป็นว่าพี่สนใจเรา ตอนนี้รู้แค่นี้พอ ที่เหลือเดี๋ยวพี่จัดการเอง”

     “พี่จะจัดการอะไรครับ”

     “บอกไม่ได้ เดี๋ยวกระต่ายจะตื่นตูมก่อน”

     กระต่ายตื่นตูม?

     “ลงไปได้แล้ว วันนี้ตะลอนมาทั้งวัน ขึ้นไปพักเถอะ”

     “อ่า...ครับ” ผมลงมายืนข้างรถอย่างงงๆ อะไรคือกระต่ายตื่นตูม พี่บอนด์จะจัดการอะไร คำถามเหล่านี้คอยวนเวียนอยู่ในหัว แต่ดูเหมือนผมจะหมดโอกาสถามแล้วสินะ ไม่เป็นไร ไม่น่าใช่เรื่องสำคัญหรอกมั้ง

     “นาย” พี่บอนด์ลดกระจกลงตอนที่ผมกำลังจะเดินเข้าหอพัก พอหันกลับไปมองก็เจอรอยยิ้มที่ถ้าเป็นผู้หญิงอื่นคงละลายเป็นไอน้ำแล้ว

     “ครับพี่บอนด์”

     “รู้ว่าพี่สนใจก็อย่าไปสนใจคนอื่นล่ะ เข้าใจไหมเจ้ากระต่าย”

     ผมยืนทำหน้างง พี่บอนด์พูดจบก็ขับรถออกไปเหมือนไม่ได้ต้องการคำตอบ แค่อยากบอกให้รับรู้เฉยๆ มากกว่า ผมยืนที่เดิมอยู่นานก่อนจะเดินเข้าหอด้วยอาการเหม่อลอย เมื่อกี้พี่บอนด์เรียกผมว่ากระต่าย ถ้าอย่างนั้นคำว่ากระต่ายตื่นตูมก็หมายถึงผมเหรอ กระต่ายตื่นตูม พี่บอนด์จะทำอะไรให้ผมตื่นตูมกันนะ?



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter :    earthxxide  (https://twitter.com/earthxxide? t=muF0165hiRexxkrO2QLULw&s=09)

     Fanpage :    Earthxxide  (https://www.facebook.com/earthxxide? mibextid=ZbWKwL)
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 15] ✪ 06/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 06-05-2023 21:25:59
 :z3: :z2:
หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 16] ✪ 08/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 08-05-2023 18:47:58
ตอนที่ 16
รู้สึกดี


     “หา!” ผมกับผิงร้องออกมาพร้อมกัน หลังน้องนายเล่าเรื่องสุดแสนจะเหลือเชื่อให้ฟัง

     “จะเสียงดังกันทำไมครับ ผมตกใจหมด” น้องนายยกมือทาบอก ผมอยากตอบกลับไปจริงๆ ว่าคนที่ควรตกใจคือพวกผม ไม่ใช่มัน

     “พี่บอนด์บอกว่าสนใจมึงเหรอ”

     “ใช่ครับ”

     ผิงอ้าปากค้าง หลุดมาดกุลสตรีที่มันพร่ำบอกนักหนา จนผมอยากให้บรรดาผู้ชายที่มันปลื้มมาเห็นจริงๆ แต่ผมเข้าใจนะ เพราะผมก็ตกใจไม่แพ้กัน พี่บอนด์กับน้องนาย ใครจะคิดว่าสองคนนี้จะมาคู่กันได้

     พวกผมกำลังนั่งเล่นใต้ตึกรอเวลาขึ้นเรียน ผิงถามน้องนายว่าวันหยุดเมื่อวานได้ไปเที่ยวไหนหรือเปล่า มันคงชวนคุยตามปกติไม่ได้คิดอะไร แต่คำตอบที่ว่าเมื่อวานน้องนายไปเที่ยวสวนสนุกกับพี่บอนด์เป็นอะไรที่พวกผมคาดไม่ถึง พอถามไปถามมาก็เจอเรื่องคาดไม่ถึงยิ่งกว่า นั่นคือพี่บอนด์บอกว่าสนใจเพื่อนผม นาทีนี้ไม่ตกใจไม่ได้แล้วครับ

     “เดี๋ยวนะ” ผมทักขึ้นมาเมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติ “ทำไมมึงเล่าด้วยหน้านิ่งๆ แบบนั้น”

     “แล้วผมต้องทำหน้ายังไงเหรอครับ” น้องนายยกมือจับหน้าตัวเอง

     “มึงไม่ตกใจเลยเหรอ”

     “ไม่ครับ”

     “ไม่แปลกใจ?”

     “ไม่ครับ”

     “ไม่ดีใจ?”

     “ก็ไม่อีกครับ”

     ผิงหันมามองตาผม สีหน้าเหมือนไม่รู้จะเอายังไงต่อกับชีวิตดี

     “มึงเข้าใจที่พี่บอนด์พูดจริงๆ หรือเปล่า”

     “เข้าใจสิครับ พี่บอนด์บอกว่าสนใจผมก็หมายความว่าเขาสนใจผม ทำไมคุณผิงถามเหมือนพี่บอนด์เลย ผมดูเป็นคนเข้าใจยากขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

     ผิงยกมือกุมขมับ ส่วนผมถอนหายใจยาว ตอนนี้ผมกับผิงน่าจะคิดเหมือนกัน นั่นคือสงสารพี่บอนด์ที่มาชอบคนอย่างน้องนาย

     “เอาเถอะ กูจะเอาใจช่วยพี่บอนด์อยู่ห่างๆ แล้วกัน”

     “อืม ก็ได้แต่หวังว่าพี่เขาจะมีความอดทนกับเพื่อนเรามากพอ”

     น้องนายเอียงคองง ผมกับผิงไม่พูดอะไรต่อ หยุดเรื่องพี่บอนด์ไว้เท่านี้ เรื่องบางเรื่องก็ต้องปล่อยให้รู้ด้วยตัวเอง ถ้าพี่บอนด์ชอบเพื่อนผมจริง เขาต้องทำให้เพื่อนผมรู้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่รู้เพราะคนอื่นบอก หรือถ้าคำว่าสนใจของพี่บอนด์หมายถึงสนใจเฉยๆ ไม่มีอะไรแอบแฝง พวกผมก็ยังกลับลำทัน

     เป็นไงล่ะ เห็นแบบนี้ผมก็มีสาระเหมือนกันนะครับ ที่จริงสาระในตัวผมมีเยอะเลยเถอะ เพียงแต่จะเอามาใช้หรือเปล่าก็อีกเรื่อง

     “เย็นนี้มึงต้องรอพี่ธารไหม” ผิงหันมาถามผม พี่ธารบอกผมก่อนแยกกันว่าเย็นนี้จะเอางานไปปรึกษาอาจารย์ แต่ไม่ได้บอกว่านานไหมและจะให้รอหรือเปล่า

     “ไม่รู้ว่ะ”

     “ทักไปถามดิ ถ้าเขาไม่ว่างเดี๋ยวกูไปส่งมึงก็ได้” ผิงกับน้องนายนัดกันไปกินหมูกระทะเย็นนี้ ถ้าไม่ติดว่าพี่ธารติดธุระผมก็ว่าจะชวนไปด้วย แต่พอเป็นแบบนี้เลยไม่รู้ว่าจะเอายังไงดี

     ผมส่งข้อความไปถามพี่ธารตามที่ผิงแนะนำ ประมาณสิบนาทีพี่ธารก็ตอบกลับมาว่าให้รออยู่ใต้ตึกคณะ แต่จะนานแค่ไหนยังตอบไม่ได้ ผมรู้ทันทีว่าคงต้องให้เพื่อนไปกินหมูกระทะกันสองคน

     “มีผู้ปกครองโหดก็ลำบากหน่อยนะ จะไปเที่ยวกับเพื่อนทีต้องขออนุญาตก่อน”

     ผมพยักหน้าเนือยๆ ให้ผิง น้องนายเอื้อมมือมาจับไหล่

     “ไม่เป็นไรครับ รอวันที่พี่ธารว่างก็ได้จะได้ชวนไปด้วยกัน ไปหลายๆ คนสนุกกว่า”

     “ใช่ๆ กูจะได้ตีเนียนชวนพี่ไกด์ไปด้วย”

     “หือ? พี่ไกด์มาได้ยังไง” ผมทำหน้างง

     “ถามเหมือนไม่ใช่เพื่อนกู มึงก็รู้ว่ากูชอบคนหล่อ”

     ผมส่ายหัวให้กุลสตรีหนึ่งเดียวในกลุ่ม ก่อนที่พวกเราจะพากันขึ้นเรียน เป็นอันว่าทริปหมูกระทะเย็นนี้ถูกยกเลิกเพราะผู้ปกครองผมไม่อนุญาต





     ผมแกว่งเท้านั่งรอพี่ธารอยู่ใต้ตึก ตามคำบัญชาของพี่มันเป๊ะๆ ผิงกับน้องนายกลับไปแล้ว ผมเลยหัวเดียวกระเทียมลีบ ได้แต่มองคนเดินผ่านไปผ่านมาเหมือนลูกหมารอเจ้าของ

     ช้าชะมัด ไอ้พี่ธารไปคุยงานกับอาจารย์ที่ต่างประเทศเหรอ นี่ก็ครึ่งชั่วโมงเข้าไปแล้ว คนมันหิวนะเว้ย

     ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ตั้งใจจะโทรไปหา แต่ก็เปลี่ยนใจเพราะกลัวจะรบกวน เลยส่งข้อความไปแทน

     ผมกำลังพิมพ์ถามพี่ธารว่าปรึกษางานเสร็จหรือยัง เป็นจังหวะเดียวกับที่มีคนมานั่งข้างๆ ผมรีบหันไปมอง แวบแรกคิดว่าเป็นพี่ธาร แต่พอสบตากับอีกฝ่ายผมก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจปนตกใจนิดๆ

     “กำลังรอธารเหรอ” พี่เต้ถามพร้อมรอยยิ้ม ผมมองซ้ายมองขวา หันไปมองด้านหลังเพื่อดูว่าพี่เต้ถามใคร พี่เต้หัวเราะในลำคอ ดวงตาฉายแววขบขัน

     “พี่ถามเรานั่นแหละ”

     “อ่า...ถามผมเหรอครับ” ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองพลางหัวเราะแหะๆ “ใช่ครับ ผมรอพี่ธารอยู่ ว่าแต่พี่เต้รู้จักผมด้วยเหรอครับ”

     ผมรู้จักพี่เต้เพราะเขาฮอตไม่แพ้พี่ธารกับพี่บอนด์ หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำเพราะเป็นถึงอดีตเดือนมหา’ลัย ผิงเคยเล่าให้ฟังว่าพี่ธารเคยถูกทาบทามให้เป็นเดือน แต่ด้วยนิสัยของพี่ธารเลยปฏิเสธกลับไปอย่างไร้เยื่อใย ตำแหน่งเดือนคณะกับเดือนมหา’ลัยเลยตกเป็นของพี่เต้แทน แน่นอนว่าดีกรีขนาดนี้หน้าตาต้องหล่อถูกใจสาวๆ อยู่แล้ว เพื่อนผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ตอนพี่เต้ประกวดผิงมันลากผมไปเชียร์ตั้งแต่งานเริ่มยันงานจบเลย

     “ใครจะไม่รู้จักเรา เล่นเป็นข่าวกับธารขนาดนั้น” พี่เต้พูดยิ้มๆ ผมเลยหัวเราะแหะๆ กลับไปอีกรอบ เผลอปล่อยไก่สองรอบติดกัน ถ้าพี่เต้เป็นสาวสวยผมคงอายมุดดินหนีไปแล้ว

     “ว่าแต่พี่เต้มีอะไรกับผมหรือเปล่าครับ”

     “เห็นเรานั่งอยู่คนเดียวเลยจะมานั่งเป็นเพื่อน ธารมันคุยงานกับอาจารย์อยู่ คงอีกสักพักกว่าจะเสร็จ”

     โอ้โห หล่อแล้วยังใจดีอีก มิน่าสาวๆ ถึงได้ติดกันตรึม สงสัยผมต้องลองเอาวิธีนี้ไปใช้บ้างแล้ว

     “พี่เต้เป็นเพื่อนกับพี่ธารเหรอครับ” ผมเดาจากที่พี่เต้พูดถึงพี่ธาร คิดว่าน่าจะสนิทกันระดับหนึ่ง

     “ใช่”

     “ไม่เห็นพี่ธารบอกผมเลยว่าเป็นเพื่อนกับพี่เต้”

     “พี่กับธารไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น เรียกว่าแค่คุยกันได้ดีกว่า ว่าแต่เราเถอะ รู้จักพี่ด้วยเหรอ”

     “โหพี่ ใครจะไม่รู้จักเดือนมหา’ลัยตัวเอง เพื่อนผมมันชอบพี่มากเลยนะครับ เพ้อถึงพี่ให้ฟังบ่อยจนผมเอียนไปช่วงหนึ่งเลย” ผมพูดจบก็รีบยกมือปิดปาก ก่อนจะส่งยิ้มแหยๆ ไปให้ “ขอโทษครับ”

     “ไม่เป็นไร มีคนชอบดีกว่ามีคนเกลียดอยู่แล้ว ฝากขอบคุณเพื่อนเราด้วยนะ”

     “ครับ” ถ้าผิงรู้ว่าผมได้คุยกับพี่เต้แบบสนิทชิดเชื้อขนาดนี้มันต้องอิจฉาแน่ๆ ว่าแล้วคืนนี้ส่งข้อความไปอวดมันดีกว่า

     “แล้วซนล่ะ”

     “ครับ?”

     “ซนไม่ชอบพี่บ้างเหรอ” พี่เต้ถามไปยิ้มไป ผมไม่รู้จะทำหน้ายังไงเลยได้แต่ยิ้มตาม พี่เขาหมายถึงชอบแบบชื่นชมใช่ไหมนะ อืม...ผมไม่ค่อยอินกับดาวเดือนด้วยสิ ถ้าตอบว่าไม่ได้รู้สึกอะไรจะดูหักหน้าไปหรือเปล่า

     “ก็ต้องชอบสิครับ พี่เต้ออกจะหล่อ ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากหล่อเหมือนพี่” ผมตอบแบ่งรับแบ่งสู้ เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้โกหกนะ ผู้ชายที่ไหนบ้างจะไม่อยากหล่อ ผมไม่แล้วคนหนึ่ง

     “หึๆ รู้ไหมว่าเรากำลังชมพี่ว่าหล่อ”

     “ผมพูดความจริงครับ พี่เต้หล่อจริงๆ แต่อย่างพี่น่าจะโดนชมจนชินแล้ว”

     “ใช่ พี่โดนชมบ่อยจนชิน แต่พอเราชมพี่ว่าพี่ดีใจมากกว่าคนอื่นนะ”

     จะบอกว่าเพราะผมขี้เหร่เลยเห็นความต่างของหน้าตาได้ชัดเจนกว่าคนอื่นสินะ เอาคำชมผมคืนมาเลย ไม่ชงไม่ชมมันแล้ว พี่เต้นี่ร้ายใช่ย่อยแฮะ มิน่าถึงเป็นเพื่อนกับพี่ธารได้

     “รอนานหรือยัง” จู่ๆ พี่เต้ก็เปลี่ยนเรื่อง ผมงงนิดหน่อยแต่ก็ตอบกลับไป

     “สักพักแล้วครับ”

     “หิวหรือยัง พี่พาไปทานข้าวไหม เรื่องธารเดี๋ยวโทรบอกให้”

     “อ่า...” ผมลังเล ยอมรับว่าสนใจข้อเสนอของพี่เต้ไม่น้อยเพราะตอนนี้ผมหิวจริงๆ เพียงแต่กลัวว่าถ้าขัดคำสั่งเดี๋ยวพี่ธารจะมาโกรธทีหลัง รายนี้ยิ่งผีเข้าผีออกอยู่ เดี๋ยวก็ใจดีเดี๋ยวก็ดุ ตามอารมณ์ไม่เคยทันสักครั้ง

     “ซน”

     ดูเหมือนผมจะไม่ต้องคิดหนักให้เปลืองสมองแล้วล่ะครับ เสียงเย็นยะเยือกแบบนี้มีคนเดียวในโลก ผมหันไปมองคนที่ให้นั่งรออยู่เกือบชั่วโมง พี่ธารกำลังเดินตรงมาหา สีหน้าบึ้งตึงเหมือนเพิ่งมีเรื่องกับคนทั้งโลกมา

     “มาแล้วเหรอ เด็กมึงรอจนไส้กิ่วไปหมดแล้ว” พี่เต้ยืนขึ้น ทักทายพี่ธารด้วยรอยยิ้มมุมปาก

     “หิวเหรอ” สายตาพี่ธารที่หันมาถามผมคลายความดุลงเล็กน้อย ผมพยักหน้ารับอย่างเขินๆ ความหิวที่กำลังครอบงำทำให้ลืมปฏิเสธว่าผมไม่ใช่เด็กพี่ธาร

     “นิดหน่อยครับ”

     “งั้นไปกินข้าวกัน”

     “กูกำลังจะพาซนไปกินข้าว”

     พี่ธารที่กำลังจูงมือผมชะงักเท้า หันไปมองพี่เต้ที่ยืนล้วงกระเป๋ากางเกง มองมาด้วยสายตากับรอยยิ้มแปลกๆ

     “เด็กกู กูดูแลเองได้”

     “กูรู้ กูแค่อยากตอบแทนที่เมื่อกี้ซนบอกชอบกู”

     พี่ธารหันขวับมามองผม ดวงตาคมวาวโรจน์ขึ้นมาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าโกรธอะไร แต่ก็ทำให้ผมสะดุ้งทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด

     “เด็กนี่มันเอ๋อ อย่าไปถือสาเลย มันไม่ได้ชอบมึงจริงๆ หรอก ความรักเป็นยังไงยังไม่รู้จักเลยมั้ง”

     อ้าว! ไอ้พี่ธาร ไหนว่าจะไม่เรียกเอ๋อต่อหน้าคนอื่นไง โกหกกันเหรอ

     “หึๆ กีดกันเก่งจังเลยนะ”

     “ก่อนจะสนเรื่องกู สนเรื่องตัวเองก่อนเถอะ เห็นว่าเดือนมหา’ลัยต้องไปช่วยซ้อมเดือนปีนี้ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงมาอยู่นี่”

     “ก็กำลังจะไป แต่เห็นลูกหมาน่ารักๆ นั่งรอเจ้าของคนเดียวแล้วสงสาร เลยมานั่งเป็นเพื่อน” พี่เต้เอื้อมมือมาตบไหล่พี่ธาร กระซิบบางอย่างที่ผมไม่ได้ยินก่อนจะเดินจากไป “ดูแลเด็กของมึงให้ดีล่ะ ไม่งั้นกูจะแย่งมาดูแลเอง จำเอาไว้”

     ผมมองตามพี่เต้อย่างงุนงง รู้สึกเหมือนตัวเองโง่ที่แค่บทสนทนาง่ายๆ ก็ยังไม่เข้าใจ จนกระทั่งพี่ธารออกแรงฉุดให้เดินตามไปผมจึงเลิกสนใจพี่เต้ หันมามองคนที่เดินอยู่ข้างหน้า

     “เดินช้าๆ หน่อยดิพี่ ผมไม่ได้ขายาวเหมือนพี่นะ”

     “…”

     เหมือนผมพูดกับดินฟ้าอากาศ พี่ธารเพียงแค่เดินเร็วๆ ไม่ตอบอะไรสักคำ ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามพี่ธารไปจนถึงรถ พี่ธารจับผมยัดใส่เบาะข้างคนขับ ยัดจริงๆ ครับ อีกนิดจะถีบผมเข้าไปในรถแล้ว หงุดหงิดอะไรมาวะ เมื่อคืนนอนน้อยเหรอ

     ผมหันไปมองหลังพี่ธารออกรถ หน้าเรียบตึงไม่มีรอยยิ้มทำเอาผมกลัวขึ้นมานิดๆ ขณะที่ผมชั่งใจว่าจะถามดีไหม พี่ธารก็ชิงพูดขึ้นมา

     “ชอบเต้เหรอ”

     “ครับ?”

     “หูตึงหรือไง กูถามว่าชอบเต้เหรอ”

     แล้วทำไมต้องโกรธด้วยเล่า จู่ๆ ถามอะไรแปลกๆ ใครจะไปตั้งตัวทัน

     “ก็ต้องชอบดิพี่”

     “…”

     “พี่เต้เป็นถึงเดือนมหา’ลัยเลยนะ หล่อขนาดนั้น ใครๆ ก็ต้องอยากหล่อเหมือนเขาเป็นธรรมดา” ผมพูดออกไปตามใจคิด แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นใบหน้าบึ้งตึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเลิกคิ้ว พี่ธารทำหน้าเหมือนไม่คิดว่าคำตอบจะออกมาเป็นแบบนี้ อะไรของเขา ตัวเองถามเองไม่ใช่เหรอ

     “มึงชอบเต้เพราะอยากหล่อเหมือนมัน?”

     “ใช่ครับ”

     หน้าพี่ธารเหมือนคนกำลังโล่งอก ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกอย่างนั้น พี่ธารกระตุกยิ้มหลังหน้าบึ้งมานาน มือหนาเอื้อมมาผลักหัวผมเบาๆ

     “จะอยากหล่อไปทำไม บอกแล้วไงว่าขี้เหร่แบบนี้น่ะดีแล้ว”

     ผมตีหน้าบึ้งใส่พี่ธารบ้าง คนอะไรนิสัยไม่ดี เอาแต่อยากให้คนอื่นขี้เหร่ ผมกำลังจะโวยวาย แต่พอเห็นรอยยิ้มนั้นแล้วก็เปลี่ยนใจนิ่งเงียบ

     ไม่รู้หรอกว่าเป็นอะไร แต่เหมือนตอนนี้พี่ธารจะอารมณ์ดีขึ้นแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมจะยอมให้สักวันแล้วกัน

     ผมละสายตาจากพี่ธาร หันมามองนอกกระจก ก่อนจะเลิกคิ้วแปลกใจเมื่อเห็นเส้นทางแปลกไปจากทุกที

     “พี่ไม่กลับบ้านเหรอ” ผมหันไปถามร่างสูง

     “กูจะพาไปกินข้าวนอกบ้าน”

     “ขี้เกียจทำอาหารเหรอ”

     “เปล่า วันก่อนมีเด็กบางคนบอกว่าอยากกินต้มยำปลากะพงร้านดัง กูขี้เกียจสงสารเลยจะพาไป”

     ผมตาโต อารมณ์หงุดหงิดที่โดนว่าขี้เหร่หายไปทันที ผมยิ้มออกมาด้วยความดีใจที่จะได้กินของอร่อย แต่ขณะเดียวกันก็อดแปลกใจไม่ได้

     “พี่จำได้ด้วยเหรอ ผมพูดเองยังจำไม่ได้เลย เกือบลืมไปแล้วด้วยว่าอยากกิน”

     “ถ้าจำไม่ได้กูจะให้มึงหิ้วท้องรอเหรอ ถามอะไรแปลกๆ”

     พี่ธารก็ยังเป็นพี่ธาร ยังคงพูดไม่เพราะ พูดเสียงห้วนใส่ผมเสมอ แต่ผมกลับเริ่มชอบที่เป็นแบบนี้ เพราะภายใต้การกระทำเหล่านั้นล้วนแฝงไปด้วยความใจดีและอ่อนโยน ถ้าเป็นคนอื่นคงมองไม่เห็น แต่ผมที่ใกล้ชิดกับพี่ธารที่สุดย่อมรู้ดี

     ผมอมยิ้ม สีหน้าผมคงแสดงออกถึงความดีใจมากเกินไป พี่ธารเลยหันมาขมวดคิ้ว ผมยิ้มให้พี่ธารแต่ไม่พูดอะไร ไม่บอกหรอกว่าผมคิดอะไรอยู่

     ผมกำลังรู้สึกดีที่พี่ธารใส่ใจคำพูดผม สำหรับคนอื่นอาจเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับผม มันคือเรื่องราวดีๆ ที่ทำให้ความรู้สึกที่ผมมีต่อพี่ชายข้างบ้านเปลี่ยนไปทีละนิด



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter :    earthxxide  (https://twitter.com/earthxxide? t=muF0165hiRexxkrO2QLULw&s=09)

     Fanpage :    Earthxxide  (https://www.facebook.com/earthxxide? mibextid=ZbWKwL)
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 16] ✪ 08/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 08-05-2023 21:11:42
 :laugh: :jul3:
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 16] ✪ 08/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 09-05-2023 14:12:19
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 17] ✪ 10/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 10-05-2023 18:30:13
ตอนที่ 17
ศัตรูหัวใจ


     -ธาร-

     ผมกำลังมีคู่แข่ง

     เป็นคู่แข่งที่ผมคาดไม่ถึง เพราะอีกฝ่ายได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนร่วมคณะ ผมเคยได้ยินกิตติศัพท์ของเต้มาพอสมควร มันชอบคนน่ารัก ไม่เกี่ยงว่าชายหรือหญิง ถ้าน่ารักถูกใจมันไม่ปฏิเสธทั้งนั้น ผมจะไม่ก้าวก่ายรสนิยมมันเลยถ้าคราวนี้คนที่มันถูกใจไม่ใช่ซน เด็กเอ๋อที่ผมรักมาตลอด

     ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายของผมที่ซนชอบผู้หญิง ผมเลยสบายใจว่าซนจะไม่ตกหลุมเต้ง่ายๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังวางใจไม่ได้อยู่ดี แววตาเต้บอกผมว่านั่นไม่ใช่แค่คำขู่ ถ้าผมไม่ทำอะไรสักอย่าง สิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดอาจเกิดขึ้นในสักวัน

     ผมเดินเข้ามาในบ้านซน วันนี้ทั้งซนและผมมีเรียนบ่าย ผมเลยจะมาทำอาหารเช้าให้ จากการดูแลมาร่วมเดือนทำให้ผมรู้ว่าซนชอบตื่นสาย ถ้าผมไม่มาปลุกก็อย่าหวังว่ามันจะตื่นมาใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป

     โครม!!

     ผมเปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่งเร็วๆ ไปยังห้องที่มีอะไรบางอย่างล้มลงพื้น ทันทีที่ผมหยุดอยู่หน้าห้องครัว ซนที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นก็หันมายิ้มแหยให้ ข้างๆ คือบันไดขนาดเล็ก ตู้เหนือหัวถูกเปิดค้างไว้ ผมเลยเดาได้ไม่ยากว่าเจ้าตัวดีคงกำลังปีนบันไดเพื่อจะหยิบของ แต่ดันซุ่มซ่ามตกลงมาก่อน

     ผมเดินเข้าไปพยุงซนให้ลุกขึ้น ปากก็อดบ่นไม่ได้

     “ไม่สร้างเรื่องให้กูปวดหัวสักวันจะตายไหม”

     “ผมไม่ได้สร้างเรื่อง เขาเรียกว่าอุบัติเหตุไม่คาดคิดต่างหาก”

     ถ้าไม่ตอบแบบนี้ก็ไม่ใช่ซนหรอกครับ บางทีผมก็งงตัวเองว่าแค่เด็กเอ๋อคนเดียวจะรักอะไรนักหนา แต่ทำไงได้ ก็มันรักไปแล้ว

     “แล้วนี่กำลังทำอะไร”

     “ทำอาหาร”

     คิ้วของผมเลิกขึ้น ใบหน้าผมแสดงออกชัดว่าคาดไม่ถึงกับคำตอบ

     “กูหูฝาดไปเองหรือมึงบอกว่ากำลังทำอาหารจริงๆ”

     “ไม่หูฝาดหรอก ผมกำลังทำอาหารจริงๆ ทำให้พี่ธารไง”

     จากที่งงอยู่แล้ว ตอนนี้ต้องใช้คำว่าเหลือเชื่อถึงจะเหมาะ ผมเอื้อมมือไปจับศีรษะเล็กพลิกไปมา ซนมองตามมือผมพลางย่นคิ้ว

     “พี่ทำอะไร”

     “เช็กว่าสมองมึงยังปกติอยู่หรือเปล่า เมื่อกี้อาจล้มแรงไป สมองเลยกระทบกระเทือน”

     เจ้าตัวดีหน้ามุ่ย มันปัดมือผมออก ทำหน้าตาจริงจังที่ดูยังไงก็น่าขำในสายตาผม

     “ผมพูดจริงนะ ผมกำลังทำอาหารให้พี่ธาร”

     “เผื่อมึงลืม ครั้งสุดท้ายที่กูให้มึงเข้าครัวมึงยังจะให้กูกินหมูดิบอยู่เลย”

     “เรื่องในอดีตพี่จะรื้อฟื้นมาทำไมเล่า คนเรามันต้องมีผิดพลาดกันบ้าง ตอนนี้ผมพัฒนาขึ้นแล้วนะ”

     ผมอยากถามเหลือเกินว่าพัฒนาไปข้างหน้าหรือพัฒนาถอยหลังลงเหว แต่กลัวว่าถ้าถามแล้วอีกฝ่ายจะเสียกำลังใจเลยเงียบเสีย

     “แล้วนึกยังไงถึงลุกมาทำอาหารให้กูแต่เช้า”

     ซนอึกอัก เอาแต่ก้มหน้างุดไม่ยอมตอบคำถาม สักพักก็เงยหน้ามาพร้อมแก้มแดงๆ ปากเล็กๆ เม้มเข้าหากันก่อนคลายออก

     “ผม...อยากทำอะไรเพื่อพี่บ้าง ไม่อยากให้พี่มาดูแลผมอย่างเดียว”

     ผมกำลังยิ้ม ยิ้มแบบที่ไม่สามารถเก๊กหน้านิ่งได้อีกต่อไป คำถามที่ว่าทำไมผมถึงรักเจ้าเด็กนี่หัวปักหัวปำ ตอนนี้ผมได้คำตอบแล้ว ถึงจะซุ่มซ่าม ถึงจะทำอะไรไม่เป็น ถึงจะชอบทำให้เป็นห่วง แต่มันก็เป็นเด็กเอ๋อที่น่ารักที่สุดในสายตาผม

     “คิดไว้หรือยังว่าจะทำอะไร” ผมรีบหุบยิ้มถามเสียงนิ่ง ยิ้มมากไม่ได้ครับ เดี๋ยวเด็กเอ๋อจะได้ใจไปมากกว่านี้

     “ไข่เจียว”

     “…”

     โอเคครับ หลังจากนี้ผมจะบอกตัวเองว่าไม่ควรคาดหวังอะไรมาก แต่เอาเถอะ มันอุตส่าห์ตั้งใจทำให้ผม ต่อให้เป็นแค่ไข่เจียวผมก็ยินดีทาน

     “แล้วนี่จะหยิบอะไร” ผมถามถึงสาเหตุที่ทำให้เด็กเอ๋อเจ็บตัวแต่เช้า

     “น้ำตาลครับ ผมหาบนเคาน์เตอร์ไม่เจอเลยคิดว่าน่าจะอยู่บนตู้”

     “…” ผมอึ้งรอบที่สอง ไม่รู้จะพูดอะไรกับมันดี

     “พี่ธารชอบกินหวานไหม ผมจะได้กะปริมาณถูก”

     “เอ๋อ!”

     “ครับ?” เจ้าตัวดีตอบกลับมาด้วยดวงตาไม่รู้เรื่องรู้ราว ผมยกมือกุมหน้าผาก ถอนหายใจยาวก่อนผลักมันเบาๆ ให้ถอยห่างจากเคาน์เตอร์ครัว

     “เดี๋ยวกูทำเอง”

     “อ้าว! ไม่ได้ดิ ผมบอกแล้วไงว่าจะทำอาหารให้พี่”

     “ถือว่ากูขอ ถ้ามึงห่วงกูจริงๆ ก็ปล่อยให้กูทำเองเถอะ”

     “พี่ดูถูกผมอีกแล้วนะ แค่ไข่เจียวทำไมผมจะทำไม่ได้”

     “แต่ไข่เจียวที่ใส่น้ำตาลกูยังไม่เคยเห็นใครทำ และกูจะแน่ใจได้ไงว่าถ้าให้มึงทำเองมึงจะไม่ใส่อะไรแปลกๆ ลงไปอีก”

     ซนนิ่งไปครู่หนึ่ง ตากลมโตเบิกกว้างเล็กน้อย ก่อนเจ้าตัวจะยิ้มแหะๆ ราวกับเขินวีรกรรมตัวเอง ผมอยากเขย่าตัวมันแล้วเอาสมองออกมาดูจริงๆ อะไรทำให้คิดว่าไข่เจียวต้องใส่น้ำตาลวะ

     “งั้นผมไปนั่งรอดีกว่า เรื่องทำอาหารปล่อยให้เป็นหน้าที่พี่ธารแล้วกันเนอะ”

     “ก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว”

     ซนรีบหันหลังออกจากห้องครัว ผมส่ายศีรษะให้กับความเอ๋อของมัน ไม่รู้จะเรียกว่าเอ๋อ เปิ่น ซุ่มซ่าม หรือโก๊ะดี หรือบางทีคำนิยามของมันอาจหมายถึงทั้งหมดที่พูดมาก็ได้

     “เอ๋อ”

     “ครับ?” ซนหันกลับมาตอนที่กำลังจะเดินพ้นห้องครัว

     “ขอบใจนะ”

     เจ้าตัวดีทำหน้างง ผมพูดแค่นั้นก่อนจะเริ่มลงมือทำอาหารเช้า ใครว่ามันไม่มีข้อดี ต่อให้หายากแต่ผมก็เจอแล้วข้อหนึ่ง ริมฝีปากผมยกยิ้มเมื่อคิดถึงความเป็นห่วงที่มันมีให้ จะเห็นแก่ตัวไปหรือเปล่าถ้าผมอยากให้ซนห่วงผมคนเดียว ไม่อยากให้มันทำแบบนี้กับคนอื่นนอกจากผม





     “พี่ธารมีธุระอะไรที่คณะผมหรือเปล่า” ซนถามหลังจากผมนั่งลงตรงข้ามมัน โดยฝากไกด์กับโอปอล์ไปซื้อข้าวมาให้ ข้างๆ คือบอนด์ที่นั่งตรงข้ามน้องนาย

     “ไม่มี” ผมตอบด้วยท่าทางสบายๆ “แค่อยากมานั่งกินข้าวด้วย ไม่ได้เหรอ”

     “ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่สงสัยเฉยๆ ตอนก่อนนู้นยังบ่นว่ากับข้าวคณะผมไม่อร่อยอยู่เลย แต่พักนี้กลับมากินทุกวัน”

     ใช่ครับ ช่วงนี้ผมพาเพื่อนมากินข้าวที่คณะซนทุกวัน เหตุผมรองคืออยากอยู่ใกล้มัน เหตุผลหลักคือผมเดาใจเต้ไม่ถูก ไม่รู้ว่ามันจะทำอะไรตอนไหน ถ้าเป็นไปได้ผมอยากเอาเจ้าตัวดีมานั่งเรียนด้วยกันด้วยซ้ำ จะได้ไม่คลาดสายตา

     “ถึงกับข้าวไม่อร่อยแต่สาวๆ คณะนี้อร่อยนะคะ” ผิงส่งยิ้มมาให้ผมกับบอนด์

     “แต่พี่อยากลองชิมหนุ่มคณะนี้มากกว่า ว่าไงครับน้องนาย สนใจให้พี่ชิมไหม” บอนด์ถามน้องนายด้วยสายตาแพรวพราว ไกด์กับโอปอล์ที่เพิ่งกลับมาถึงโต๊ะผิวปากแซวกันยกใหญ่ ส่วนซนกับผิงอึ้งกันไปเรียบร้อย ผมพอจะรู้อยู่บ้างว่าบอนด์คิดยังไงกับน้องนาย พูดแล้วก็อิจฉามันเหมือนกัน ถ้าผมจีบซนแบบเปิดเผยได้เหมือนมันก็คงดี

     “พี่บอนด์อยากชิมเหรอครับ” น้องนายถามกลับด้วยดวงตาพาซื่อ ปราศจากความเขินอย่างที่ผู้หญิงทั่วไปมักจะเป็น

     “ใช่”

     “งั้น...” น้องนายคีบลูกชิ้นของตัวเองมาใส่จานเพื่อนผม “ผมให้สองลูกเลย ชิมให้อร่อยนะครับ”

     เพื่อนผมได้แต่ทำตาปริบๆ เหมือนมันทั้งอยากขำทั้งอยากถอนหายใจพร้อมกัน ถ้าเป็นคนอื่นอาจถูกมองว่ากำลังปฏิเสธทางอ้อม แต่เพราะเป็นน้องนาย ทุกคนจึงหัวเราะโดยไม่มีวี่แววแปลกใจ ผมเบนสายตามามองคนตรงข้าม ซนที่รู้ตัวว่าถูกมองหันมาสบตา ก่อนจะรีบยกชามตัวเองหนีราวกับกลัวว่าจะถูกแย่งอีกคน

     “ผมไม่ให้นะ”

     “กูยังไม่ได้พูดอะไร”

     “แค่มองตาพี่ผมก็รู้แล้ว”

     ผมกระตุกยิ้ม ได้แต่คิดในใจว่าอีกฝ่ายพูดผิดไปนิดหนึ่ง ที่ผมอยากชิมไม่ใช่ลูกชิ้นหรอก แต่เป็นคนที่กำลังยกชามหนีต่างหาก

     “ตกลงไม่มีใครอยากชิมสาวๆ คณะนี้เลยเหรอคะ” ผิงแกล้งทำหน้าผิดหวัง หันมองซ้ายมองขวา ก่อนสายตาจะหยุดอยู่ที่เพื่อนผม “พี่ไกด์ล่ะคะ อยากชิมผิง เอ๊ย! อยากชิมสาวๆ คณะนี้บ้างไหม”

     ไกด์ยิ้มแหยๆ รีบก้มหน้าก้มตากินข้าวจนเกือบติดคอ เรียกเสียงหัวเราะจากทั้งโต๊ะอีกครั้ง ผมกำลังจะหัวเราะตามเพื่อน แต่สายตาพลันไปเห็นคนที่เดินมาทางนี้เสียก่อน ผมหุบยิ้ม ใบหน้าเปลี่ยนเป็นนิ่งเรียบ ซนที่เห็นผมแปลกไปทำหน้างง แต่ก่อนจะพูดอะไรก็มีเสียงจากคนข้างหลังแทรกขึ้นมา

     “น้องซน”

     ทุกคนบนโต๊ะหันไปมองพร้อมกัน ผมได้ยินเสียงผิงอุทานเบาๆ เต้ยิ้มให้ซนพลางมองไปรอบโต๊ะ ก่อนดวงตาคู่นั้นจะหยุดอยู่ที่ผม

     “เผอิญโต๊ะอื่นเต็มหมดแล้ว พี่ขอนั่งด้วยได้ไหมครับ” สายตาคู่นั้นมีแววท้าทาย ผมสบตาเต้ตอบโดยไม่หลบ ก่อนที่ซนกับเพื่อนจะได้ตอบอะไรผมก็ชิงพูดขึ้นมา

     “โทษทีว่ะ โต๊ะนี้ก็เต็มเหมือนกัน”

     “ตรงนั้นก็ยังว่างไม่ใช่เหรอ”

     ตรงนั้นของเต้หมายถึงที่นั่งข้างบอนด์ ซนหันมามองผม สีหน้าแปลกใจที่ผมบอกว่าโต๊ะเต็ม ผมส่งเป้ตัวเองให้บอนด์ ให้มันเอาไปวางข้างๆ ซึ่งบอนด์ที่เข้าใจสายตาผมก็ไม่ทำให้ผิดหวัง

     “ตอนนี้ไม่ว่างแล้ว” ผมยักคิ้วให้คนที่ยืนอยู่ เต้มองผมนิ่ง สักพักรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าอีกครั้ง พวกน้องๆ มองผมกับเต้สลับกัน คงสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ

     “ไม่เป็นไร กูกลับไปกินคณะตัวเองก็ได้” เต้ยักไหล่ ท่าทางไม่ยี่หระกับสิ่งที่ผมทำ ใครจะว่าผมใจแคบกับเพื่อนกับฝูงก็ช่าง แต่ผมจะไม่มีวันเปิดโอกาสให้มันใกล้ชิดกับซนเด็ดขาด

     หลังเต้เดินจากไปไกด์กับโอปอล์ก็หันมามอง ผมส่งสายตาให้เพื่อนว่าจะอธิบายทีหลัง พอดีกับที่ผิงพูดขึ้นมา ทุกคนเลยหันเหความสนใจ

     “หมดกัน นึกว่าจะได้มีโมเมนต์นั่งกินข้าวกับเดือนมหา’ลัยสักครั้ง”

     “คุณผิงอย่าโลภสิครับ”

     “โลภอะไรยะ”

     “แค่นี้โต๊ะเราก็เป็นจุดสนใจของคนทั้งโรงอาหารแล้วนะครับ ขืนมีพี่เต้มาอีกคุณผิงไม่กลัวว่าจะเกร็งจนกินข้าวไม่ลงเหรอครับ”

     “ใครเกร็ง กูออกจะชอบ มีคนมองสิดี เราจะได้ดูน่าอิจฉาไง”

     น้องนายส่ายหัวให้ผิง เพื่อนผมต่างหัวเราะกันใหญ่ มีแต่ผมที่หน้าเรียบเฉยไม่เปลี่ยน ซนที่หัวเราะตามคนอื่น พอหันมาเห็นผมก็หยุดหัวเราะแล้วมองมาอย่างงุนงง ผมยิ้มให้มันก่อนจะทำเป็นทานข้าวต่อ ขณะที่ในใจยังคงพะวงเรื่องศัตรูหัวใจ





     “คุยกันหน่อยสิ”

     ผมชะงักเท้าที่กำลังจะเดินออกจากตึก หันไปมองคนที่จู่ๆ ก็เข้ามาทัก เต้ยืนล้วงกระเป๋ากางเกง มองมาด้วยสายตาที่ชวนให้หงุดหงิด ผมรู้ทันทีว่ามันจะคุยเรื่องอะไร

     “เอาสิ”

     “กูชอบซน”

     ผมนึกว่าเต้จะพาไปหาที่เงียบๆ คุยกัน แต่มันกลับเข้าประเด็นโดยไม่รีรอ ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องอ้อมค้อม

     “มาบอกกูทำไม”

     “แค่อยากให้มึงรู้ไว้ว่ากำลังมีคู่แข่ง”

     “หึ” ผมแค่นยิ้มให้คนตรงหน้า “ดูเหมือนความเป็นเพื่อนของมึงกับกูจะจบลงตรงนี้สินะ”

     “ตรงกันข้ามเลย เพราะกูยังเห็นมึงเป็นเพื่อนเลยมาขอตรงๆ”

     “อย่าหวังว่ากูจะยกซนให้มึง” ผมตอบกลับไปทันควัน ไม่เสียเวลาคิดแม้แต่น้อย เต้ดุนลิ้นที่กระพุ้งแก้ม ท่าทางมันยังสบายอารมณ์ ผิดกับผมที่เสียงเริ่มแข็ง

     “งั้นความเป็นเพื่อนของเราก็คงต้องจบอย่างที่มึงว่า”

     “กูไม่คิดจะแข่งกับมึง สำหรับกูซนไม่ใช่ของรางวัลในการแข่งขัน”

     “พูดซะพระเอกเชียวนะ จะดีเหรอ กูถือแต้มนำมึงอยู่นะ”

     “แต้มอะไร” ผมขมวดคิ้ว

     “มึงชอบซนมานาน ทำไมกูจะไม่รู้ แต่ที่ตอนนี้ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเพราะมึงมีเหตุผลบางอย่างเลยไม่กล้าเดินหน้า กูพูดถูกไหม”

     “…” คำพูดคนตรงหน้าราวกับหมัดหนักๆ ที่ชกเข้ามากลางใบหน้า เต้ยิ้มมุมปาก มันทำหน้าเหมือนได้คำตอบแล้วทั้งที่ผมยังไม่ได้พูดอะไร

     “ก็ไม่รู้หรอกนะว่ามึงมีเหตุผลอะไร แต่ถ้ายังทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ ก็ถอยออกไปดีกว่าไหม ปล่อยให้คนที่พร้อมดูแลซนไม่ดีกว่าเหรอ”

     “ซนมันไม่ได้ชอบผู้ชาย”

     “มาลองดูกันไหมล่ะ ว่ากูหรือมึงจะเปลี่ยนใจซนได้ก่อนกัน” เต้ทำท่าจะเดินผ่านผมไป แต่มันก็หยุดยืนข้างๆ เอื้อมมือมาตบบ่าเบาๆ “ไม่ต้องห่วง ถ้าซนเลือกมึงเมื่อไหร่กูจะถอยทันที แต่กูไม่คิดว่าจะมีวันนั้นหรอกนะ”

     ผมยังยืนนิ่ง ถึงแม้คนที่ทิ้งคำพูดชวนหงุดหงิดไว้จะจากไปแล้วก็ตาม มือของผมกำเข้าหากันแน่น วินาทีนั้นเองที่ผมสลัดความกลัวและความลังเลออกไปจากใจ ต่อไปนี้ผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ซนรักผม ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหน ไม่ว่าอุปสรรคจะเยอะเท่าไหร่ ผมก็จะไม่มีวันยอมแพ้ ผมรักซนมานาน นานเกินกว่าจะปล่อยให้ใครได้ไป ซนต้องเป็นของผม แค่ของผมคนเดียวเท่านั้น



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter :    earthxxide  (https://twitter.com/earthxxide? t=muF0165hiRexxkrO2QLULw&s=09)

     Fanpage :    Earthxxide  (https://www.facebook.com/earthxxide? mibextid=ZbWKwL)
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 17] ✪ 10/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 10-05-2023 19:06:06
 :hao7: :katai1:
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 17] ✪ 10/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 11-05-2023 16:33:48
 :z6: :z6: :z6: :z6: :z6:
หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 18] ✪ 11/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 11-05-2023 19:30:21
ตอนที่ 18
คำถามที่ไม่มีคำตอบ


     “มีอะไรว่ามา” ผมถามผิงที่นัดแต่เช้าทั้งที่มีเรียนสิบโมง ข้างๆ คือน้องนายที่กำลังปิดปากหาวหวอดๆ

     “กูรู้สึกว่าพักนี้มักจะเกิดเรื่องแปลกๆ กับกลุ่มเรา”

     “อะไรคือเรื่องแปลกๆ”

     ผิงทำหน้าจริงจังราวกับเรื่องที่จะพูดเป็นเรื่องสำคัญระดับชาติ หันไปหาน้องนายที่หน้าตาง่วงงุน

     “เริ่มจากมึงก่อนเลย”

     “ผม?” น้องนายชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง

     “ตอนแรกกูไม่พูดเพราะอยากให้มึงรู้ด้วยตัวเอง แต่ในเมื่อเมื่อวานพี่บอนด์แสดงออกชัดขนาดนั้น กูในฐานะเพื่อนสนิทคงไม่พูดไม่ได้”

     “คุณผิงจะพูดอะไรครับ”

     “กูเกริ่นขนาดนี้มึงยังเดาไม่ออกอีกเหรอ ต้องให้พี่บอนด์บอกชอบตรงๆ ใช่ไหมมึงถึงจะรู้ตัว”

     ถ้าเป็นคนอื่นคงตกใจตาค้าง ไม่ก็ยิ้มหน้าบานที่รู้ว่าหนุ่มฮอตของมหา’ลัยมาชอบ แต่เพื่อนผมเพียงแค่เอียงคองง ไม่มีวี่แววตกใจสักนิด จนผมอดคิดไม่ได้ว่าต่อมความรู้สึกมันยังทำงานปกติอยู่หรือเปล่า

     “คุณผิงจะบอกว่าพี่บอนด์ชอบผมเหรอครับ”

     “ใช่ รอบนี้กูมั่นใจ ใครเห็นสายตาพี่บอนด์เมื่อวานก็รู้ทั้งนั้น มีมึงคนเดียวนั่นแหละที่ไม่รู้”

     “ใครว่าผมไม่รู้ ผมรู้มาตั้งนานแล้วว่าพี่บอนด์ชอบผม”

     “…”

     “พี่บอนด์เคยบอกว่าเป็นลูกคนเดียว แกคงเหงาเลยสนใจผมอยากเอาไปเป็นน้องชาย เรื่องนี้ผมรู้อยู่แล้วครับ”

     ผิงทำหน้าเหมือนคนหมดแรง หันมามองผมเหมือนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ผมส่ายหน้าให้ผิงพอแค่นี้ เรื่องแบบนี้คงต้องให้มันไปคุยกับพี่บอนด์เอง พวกผมเป็นแค่เพื่อน พูดยังไงก็คงไม่เข้าใจ

     “เอาเป็นว่าเรื่องมึงจบเพียงเท่านี้ และกูอาจไม่พูดเรื่องนี้อีกเพราะยิ่งพูดกูยิ่งเพลีย ต่อไปก็เรื่องมึง” ผิงเบนสายตามาทางผม “ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องของมึงหรอก แต่กูคิดว่ามึงน่าจะรู้ พี่ธารกับพี่เต้ทะเลาะกันเหรอ”

     “ทำไมมึงคิดแบบนั้น” ผมย่นคิ้ว นึกแปลกใจที่เพื่อนคิดเหมือนกัน

     “มึงไม่เห็นพี่ธารเมื่อวานเหรอ ปกติก็หน้าดุอยู่แล้ว ตอนจ้องตากับพี่เต้ยิ่งดุเข้าไปใหญ่ ไหนจะเรื่องที่ไม่ให้พี่เต้นั่งร่วมโต๊ะอีก คิดเป็นอย่างอื่นได้ด้วยเหรอนอกจากทะเลาะกัน”

     น้องนายพยักหน้าเห็นด้วยกับผิง ผมเองก็คิดเหมือนมัน แต่จะให้ถามออกไปตรงๆ ก็กลัวโดนดุกลับมา เลยได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ

     “กูไม่รู้หรอก กูไม่ได้สนิทกับพี่ธารขนาดนั้น”

     ผิงหรี่ตา สีหน้าเหมือนหมั่นไส้คำพูดผม

     “ถ้าอย่างมึงเรียกไม่สนิท พวกกูก็คงเป็นคนแปลกหน้าสำหรับพี่เขาแล้วล่ะ ในมหา’ลัยไม่มีใครสนิทกับพี่ธารเท่ามึงแล้วค่ะ”

     “กูดูสนิทกับพี่ธารขนาดนั้นเลยเหรอ”

     “ยิ่งกว่าขนาดนั้นเลยแหละ พักหลังมานี้กูนึกว่าพ่อลูก นอกจากเวลาเรียนก็ตัวติดกันตลอดเวลา”

     นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมสงสัย พักหลังมานี้พี่ธารมักมาอยู่กับผมบ่อยๆ ทำเหมือนมีเวลาว่างมากทั้งที่งานตัวเองก็ใช่ว่าจะน้อย ไม่รู้เป็นผู้ปกครองหรือเป็นบอดี้การ์ดกันแน่

     “เอาเป็นว่ามึงไปสืบเรื่องพี่ธารกับพี่เต้ให้หน่อย ลองเลียบๆ เคียงๆ เดี๋ยวพี่ธารก็ยอมบอกเอง” ผิงมอบหน้าที่ให้ผม เป็นอันจบการซักฟอกยามเช้า

     “ทำไมกูต้องทำแบบนั้น”

     “เพราะกูอยากรู้ น้องนายก็อยากรู้ และมึงเองก็คงอยากรู้เหมือนกัน ใช่ไหมคุณน้องนาย” ผิงหันไปหาพวก ใช้สายตากดดันจนน้องนายยอมเออออตาม

     “ใช่ก็ได้ครับ”

     “สืบมาให้ได้ล่ะ ภารกิจนี้ห้ามมีคำว่าล้มเหลว กูรอฟังอยู่”

     ผมล่ะเพลียใจกับเพื่อนตัวเองจริงๆ กับเรื่องเรียนไม่เห็นจริงจังขนาดนี้เลย แต่ว่ามันไม่ได้ ผมเองก็อยากรู้อย่างที่มันบอกจริงๆ งั้นลองดูหน่อยแล้วกัน อย่างมากคงโดนว่ายุ่งไม่เข้าเรื่อง ถามนิดๆ หน่อยๆ พี่ธารคงไม่โกรธหรอก





     “เป็นอะไร” พี่ธารถามเมื่อเห็นผมเอาแต่ขยุกขยิก นั่งไม่นิ่ง ผมยกมือมาเกาแก้ม ยิ้มแห้งให้ร่างสูง

     “มันไม่ชินยังไงไม่รู้น่ะครับ” วันนี้พี่ธารพาผมมาทานข้าวบ้านน้าพร พี่ธารอยากทำอาหารฝรั่ง แต่ครัวบ้านผมไม่มีเตาอบเลยต้องมาทำบ้านนี้ ผมเคยเข้าบ้านน้าพรแค่ครั้งเดียวตอนมาขอร้องพี่ธารเรื่องถ่ายวีทีอาร์ พอมานั่งทานข้าวแบบนี้เลยรู้สึกแปลกๆ

     “ทำตัวให้ชินไว้ อีกหน่อยมึงต้องเข้าออกบ้านนี้บ่อยๆ”

     “ทำไมผมต้องทำแบบนั้น”

     “กูไม่ได้ขยันพอจะไปกลับสองบ้านทุกวันหรอกนะ ใจคอจะให้กูไปทำอาหารบ้านมึงทุกวันเลยหรือไง”

     บ่นเป็นคนแก่ไปได้ ได้ข่าวว่าบ้านผมกับบ้านพี่ห่างกันสองก้าวถึง รั้วก็ติดกัน ปีนข้ามมายังได้เลย เอาอะไรมาเหนื่อย

     “งั้นวันไหนพี่อยากอยู่บ้านตัวเองบอกมาแล้วกัน เดี๋ยวผมมาทานข้าวที่นี่” แต่เพื่อปากท้องของตัวเองผมจึงต้องยอมสงบปากสงบคำ แม้ว่ามันจะไม่ค่อยสมเหตุสมผลก็ตาม





     “อิ่มแล้วเหรอ”

     “ครับ” ผมตอบพลางวางช้อนส้อม ที่ผ่านมาพี่ธารทำแต่อาหารไทย พอได้ลองทานอาหารฝรั่งผมเลยรู้ว่าพี่ธารทำอาหารเก่งมาก จนผมอดเสียดายไม่ได้ที่หน้าหล่อๆ ฝีมือการทำอาหารดีๆ ดันมาอยู่กับคนอย่างพี่ธาร

     “ขอบคุณสำหรับอาหาร ผมกลับก่อนนะ” ผมลุกขึ้นยืนเตรียมกลับบ้านตัวเอง แต่คนตัวสูงกลับเรียกเอาไว้

     “ไม่คิดจะช่วยกูล้างจานเลยหรือไง”

     “หือ?”

     “อุตส่าห์ทำอาหารให้ กินเสร็จแล้วจะชิ่งกลับเลยเหรอเอ๋อ”

     “พี่จะให้ผมล้างจานเหรอ”

     “ทำไม มีปัญหา? งั้นวันหลังมึงทำกินเองนะ”

     “เฮ้ย ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลย ล้างก็ล้างสิ แค่นี้เองทำไมจะช่วยไม่ได้” ผมไม่ได้ไร้น้ำใจ แต่ที่เห็นผมงงคือนึกไม่ถึงว่าพี่ธารจะไว้ใจให้ผมล้างจานบ้านเขา จานบ้านตัวเองผมยังทำแตกมาแล้วเลย คิดอะไรของพี่มันอยู่วะ

     “งั้นก็มาช่วยยกไปในครัว ถือดีๆ อย่าให้แตกนะมึง”

     “คร้าบๆ”





     “พี่ธาร ไหนบอกว่า...” ผมได้แต่ยืนงง เมื่อจู่ๆ คนที่บอกให้ช่วยล้างจานกลับแย่งจานที่ผมยกมาไปล้างเองหน้าตาเฉย

     “มึงชักช้า”

     อ้าว! คนอุตส่าห์จะช่วย ดันโดนด่าซะงั้น

     “ตกลงผมไม่ต้องช่วยล้างแล้วใช่ไหมจะได้กลับบ้าน”

     “เดี๋ยว”

     พี่ธารจับแขนผมดึงให้ไปอยู่หน้าตัวเอง ก่อนจะยื่นมือผ่านตัวผมไปล้างจานต่อทั้งแบบนั้น เท่ากับตอนนี้ผมตกอยู่ในวงแขนพี่ธาร ถ้ามองเผินๆ จะดูเหมือนผมกำลังถูกพี่ธารกอดจากด้านหลัง

     “ทำอะไรของพี่เนี่ย เดี๋ยวก็ล้างจานไม่สะดวก” ผมพยายามฝืนตัวออกจากวงแขน แต่พี่ธารกลับใช้มือข้างหนึ่งรวบเอวผมไปชิดอกตัวเอง

     “กูจะล้างไม่สะดวกเพราะมึงเอาแต่ดิ้นนี่แหละ อยู่เฉยๆ เป็นไหม”

     “ก็พี่เอาผมมาอยู่ตรงนี้ทำไมเล่า” ผมถามเสียงอ่อย สู้เสียงดุๆ พี่ธารไม่ได้สักครั้ง ได้ยินทีไรเป็นต้องกลัวทุกที

     “เอ๋อ อยู่นิ่งๆ”

     เพียงเท่านั้นผมก็ยืนนิ่งเป็นหุ่นไล่กา ไม่กล้าต่อล้อต่อเถียงอะไรอีก ผมไม่เข้าใจพี่ธารจริงๆ จะล้างจานก็ล้างไปสิ ผมแค่จะกลับบ้านไม่ได้หนีเที่ยวสักหน่อย สงสัยอินกับบทบาทผู้ปกครองเกินไป





     ผมยกมือปิดปากหาว ตรงหน้าคือรายการหนังผีที่ไม่น่ากลัวเลยสักนิด นาฬิกาบนผนังบอกเวลาสี่ทุ่มครึ่ง สาเหตุที่ผมยังอยู่บ้านพี่ธารเพราะเจ้าของบ้านบอกว่าอยากดูหนังผีแต่กลัวผี ผมเลยต้องอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าหนังจะจบ

     ผมหันไปมองคนข้างๆ ที่ตั้งแต่หนังเริ่มก็ไม่มีท่าทางกลัวหรือสะดุ้งให้เห็นสักแอะ นี่น่ะเหรอคนกลัวผี ผมไม่เห็นว่าจะกลัวตรงไหน ออกแนวเบื่อด้วยซ้ำ ผมหันกลับมาเมื่อพระเอกในหนังฆ่าผีได้สำเร็จ จึงลุกขึ้นยืนด้วยอาการง่วงงุน

     “หนังจบแล้ว ผมกลับบ้านก่อนนะ”

     มือหนาเอื้อมมาจับข้อมือผม พี่ธารเงยหน้าขึ้นมอง ริมฝีปากยกยิ้มนิดๆ เมื่อเห็นผมขยี้ตา

     “ง่วงแล้วเหรอ”

     “ครับ”

     “งั้นคืนนี้ค้างที่นี่เถอะ นอนห้องกูก็ได้”

     “ฮะ!?” อาการงัวเงียหายเป็นปลิดทิ้ง ผมตกใจจนเผลออ้าปากค้าง พี่ธารหัวเราะเบาๆ มองผมด้วยแววตาขบขัน

     “ตกใจอะไร มึงเป็นผู้หญิงเหรอที่พอผู้ชายชวนนอนด้วยกันก็เขินอายขึ้นมา”

     “ไม่ใช่แบบนั้น ผมแค่นึกไม่ถึงว่าพี่จะชวน”

     “กูเห็นสภาพมึงแล้วสงสาร กลัวจะกลับไม่ถึงบ้าน สลบคาประตูซะก่อน”

     ก็ใครล่ะบังคับให้อยู่ดูหนังจนดึกดื่น แล้วยังจะมาพูดเหมือนไม่ใช่ความผิดตัวเองอีก มันน่านัก

     “ก็ได้ แต่ผมไม่อาบน้ำแล้วนะ ผมอาบจากบ้านตัวเองมาแล้ว ไม่อยากอาบใหม่”

     “ตามใจ จะนอนทั้งชุดนี้ก็ได้” ปกติผมใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นนอนอยู่แล้ว เลยไม่ต้องเปลี่ยนชุดนอนให้มากความ

     “งั้นพี่จะขึ้นห้องเลยไหม ผมง่วงแล้ว” เมื่อเจ้าของบ้านอนุญาตแล้วผมจึงไม่คิดจะเกรงใจ มันง่วงจริงๆ ครับ ตาจะปิดอยู่รอมร่อ

     “อืม ขึ้นเลยก็ได้”

     ไม่รู้ผมตาฝาดไปหรือเปล่า เหมือนผมจะเห็นพี่ธารยิ้มตอนที่ผมถาม คงตาฝาดแหละ ไม่เห็นมีอะไรน่ายิ้มเลย ก็แค่ผมถามเหมือนห้องพี่ธารเป็นห้องตัวเอง อย่าถือสาคนง่วงเลยครับ แค่พูดรู้เรื่องก็บุญแล้ว





     “ไม่เอา” ผมส่ายหน้าจนผมกระจาย มองคนบนเตียงด้วยสายตาหวาดหวั่น

     “แล้วมึงจะนอนไหน”

     ผมชี้ไปยังที่ว่างข้างเตียง พี่ธารมองตามก่อนจะถอนหายใจ

     “ห้องกูไม่มีผ้านวม มึงแน่ใจเหรอว่าจะนอนบนพื้นแข็งๆ ในห้องที่เปิดแอร์จนหนาว”

     “พี่ก็อย่าเปิดแอร์แรงดิ”

     “กูขี้ร้อน”

     “งั้นผมกลับไปนอนบ้านตัวเอง”

     “มาถึงนี่แล้วจะกลับทำไม แค่นอนเตียงเดียวกันไม่เห็นเป็นไรเลย”

     เป็นสิ เป็นมากด้วย ผมยังจำความรู้สึกวันที่ถ่ายวีทีอาร์ได้อยู่เลย แค่โดนตัวนิดๆ หน่อยๆ ก็ใจเต้นแรงแล้ว ถ้าต้องนอนเตียงเดียวกันอกผมไม่ระเบิดเลยเหรอ

     “หรือว่า...” พี่ธารยิ้มมุมปากพร้อมกับคลานเข้ามา ผมเผลอก้าวถอยหลัง จู่ๆ ก็รู้สึกถึงอันตรายบางอย่าง “มึงคิดอะไรกับกู”

     “ชะ...ใช่ที่ไหนเล่า!!” ผมโพล่งออกไปเสียงดัง มันเป็นไปเองอัตโนมัติ

     “แล้วทำไมหน้าแดง”

     “ผม...ผมร้อน ห้องพี่อย่างกับซาวน่า จะช่วยลดโลกร้อนเหรอถึงเปิดแอร์เบาขนาดนี้” ผมเถียงข้างๆ คูๆ ทั้งที่ความจริงไม่จำเป็นด้วยซ้ำ

     “ไหนเมื่อกี้ห้ามไม่ให้กูเปิดแอร์แรง”

     “…” ผมเถียงไม่ออกเมื่อโดนคำพูดตัวเองย้อนเล่นงาน พี่ธารหัวเราะหึๆ ถอยไปนอนตามเดิม ตบมือลงบนที่ว่างข้างตัวเอง

     “ไม่แกล้งแล้ว มานอนเถอะ ง่วงไม่ใช่เหรอ”

     ผมยังคงมองด้วยสายตาไม่ไว้ใจ แต่สุดท้ายก็ค่อยๆ ก้าวขึ้นเตียง ผมล้มตัวลงนอนโดยเว้นระยะห่างกับเจ้าของห้อง พี่ธารขมวดคิ้ว เอื้อมมือมาดึงผมเข้าไปชิดจนแทบไม่มีช่องว่าง

     “เฮ้ยพี่!”

     “นอนชิดขอบขนาดนั้นเดี๋ยวก็ตกลงไปหรอก ทำไม กลัวกูปล้ำเหรอ”

     “ปะ...ปล้ำอะไรของพี่!!”

     “หึ” พี่ธารกระตุกยิ้ม โน้มหน้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ “เด็กน้อยจังนะมึง แค่ปล้ำก็ไม่รู้จัก อยากให้กูสาธิตไหม”

     “อ๊ากกก” ผมใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักคนตัวสูงออกไปจากตัว ผมไม่ได้โง่ถึงขนาดไม่รู้จักเสียหน่อย ไอ้พี่ธารนั่นแหละตาบอดหรือเปล่า ผมเป็นผู้ชายนะ มาปลงมาปล้ำอะไร ไม่ขนลุกบ้างเหรอวะตอนพูดออกมา

     “มีแรงแค่นี้เหรอ”

     “เรื่องของผม หลังจากนี้พี่ห้ามเข้ามาใกล้อีก ไม่งั้นผมไล่ไปนอนนอกห้องจริงๆ ด้วย”

     “เดี๋ยว นี่ห้องกู”

     “ไม่รู้แหละ ถ้าเข้ามาใกล้เมื่อไหร่โดนแน่”

     “โดนอะไร”

     นั่นสิ โดนอะไรดี อะไรที่คนตัวเล็กๆ อย่างผมพอจะทำให้คนตัวเท่าควายอย่างไอ้พี่ธารร้องโอดโอยได้บ้าง

     “เอาเป็นว่าถ้าพี่มาโดนตัวผมแม้แต่นิดเดียวจะโดนไม่ใช่น้อย อยากรู้ว่าหมัดผมหนักแค่ไหนก็ลองเข้ามา”

     “หึๆ กลัวจนหัวหดเลยเตี้ยเอ๊ย” สายตาที่มองมาบอกว่าคนพูดไม่ได้กลัวเหมือนอย่างที่พูดแม้แต่น้อย แต่ผมจะไม่เสียเวลาต่อปากต่อคำอีกต่อไป ผมพลิกตัวหันหน้าหนี ไม่พูดอะไรอีก ได้ยินเสียงหัวเราะลอยมาเบาๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบสงบ

     ไฟกลางห้องถูกปิดลง พี่ธารคงลุกไปปิด ผมรู้ได้เพราะหลังจากนั้นไม่นานเตียงอีกด้านก็ยวบลง ผ้าห่มผืนใหญ่ถูกดึงมาคลุมถึงคอ ผมลืมตาท่ามกลางความมืด หลังรอให้เวลาผ่านไปสักพักจึงค่อยๆ หันไปหาอีกคน

     พี่ธารหายใจสม่ำเสมอ น่าจะหลับไปแล้ว ผมยกมือแตะอกข้างซ้ายตัวเอง หวนคิดถึงอาการใจเต้นตึกตักที่กลับมาอีกครั้งตอนพี่ธารโน้มหน้ามาใกล้ ทำไมผมถึงใจเต้นแรงกับผู้ชาย ทำไมตอนพี่ธารพูดสองแง่สองง่ามผมถึงเขินแทนที่จะขยาด ทำไมผมถึงรู้สึกอยากยิ้มแค่เพราะพี่ธารห่มผ้าให้ คำถามมากมายวนเวียนอยู่ในหัว ล้วนแต่เป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ ดวงตาผมเริ่มปิดลงเพราะความเพลีย หรือที่จริงแล้วผม...Zzz



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter :    earthxxide  (https://twitter.com/earthxxide? t=muF0165hiRexxkrO2QLULw&s=09)

     Fanpage :    Earthxxide  (https://www.facebook.com/earthxxide? mibextid=ZbWKwL)
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 18] ✪ 11/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 11-05-2023 21:00:37
 :mc4: :n1:
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 18] ✪ 11/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 12-05-2023 14:44:10
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 19] ✪ 12/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 12-05-2023 19:21:29
ตอนที่ 19
ใจเต้นแรง


     “แล้วมึงก็หลับไปทั้งอย่างนั้น ไม่ได้ถามเรื่องพี่เต้” ผิงสรุปหลังผมเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง ผมยิ้มแห้งให้เพื่อน

     “ตามนั้น”

     “กูว่าแล้ว” ผิงทำหน้าไม่แปลกใจจนผมแปลกใจซะเอง

     “มึงรู้อยู่แล้วเหรอว่าพี่ธารจะชวนกูไปนอนบ้านเขา”

     “เปล่า กูรู้อยู่แล้วว่าไหว้วานมึงทีไรไม่เคยได้เรื่องสักครั้ง”

     “คุณผิงก็อย่าว่าคุณซนเลยครับ ที่จริงเราไม่ควรทำอะไรแบบนี้เลยนะครับ มันไม่ใช่เรื่องของเรา”

     “ไอ้น้องนาย มึงพูดขนาดนี้ด่ากูว่าเสือกเลยเถอะ”

     “ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น”

     ผิงทำเสียงขึ้นจมูกใส่น้องนาย เชิดหน้าจนผมกลัวคอจะเคล็ด

     “กูไม่ได้เสือก เขาเรียกว่าเอาใจใส่ด้วยความปรารถนาดี คนหนึ่งกูแอบกรี๊ดมานาน อีกคนก็เป็นถึงพี่ชายข้างบ้านเพื่อน จะให้กูทนอยู่เฉยๆ มองพวกเขาทะเลาะกันเหรอ”

     “พูดอย่างกับมึงจะไปช่วยอะไรเขาได้” ผมอดขัดไม่ได้

     “ถูก กูช่วยอะไรไม่ได้ แต่อย่างน้อยขอกูได้รับรู้ข่าวสารแบบชิดขอบเวทีก็ยังดี”

     ผมกับน้องนายส่ายหน้าพร้อมกัน ถ้าบอกว่าหาความโรแมนติกจากน้องนายยากแล้ว ผมว่าหาสาระจากผิงน่าจะยากกว่า

     “เอาเป็นว่ากูจะลองไปถามพี่ธารให้แล้วกัน คราวนี้กูจะพยายามไม่ลืม” ผมไม่ได้ทำเพราะเพื่อนขอ แต่เพราะผมก็สงสัยเหมือนกัน

     “ว่าแต่คุณซนมีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่าครับ”

     “หือ?” ผมงงเมื่อจู่ๆ น้องนายก็ถามถึงเรื่องอื่น

     “เมื่อเช้าผมเห็นคุณซนเดินขมวดคิ้วมา เหมือนมีเรื่องคิดมากอยู่เลย”

     ผิงหันมามองอย่างสงสัย ผมอึกอัก ไม่นึกว่าเพื่อนจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา และไม่แน่ใจว่าควรพูดกับเพื่อนดีไหม

     “ทำหน้าแบบนี้ ไอ้น้องนายพูดถูกชัวร์ มีอะไรหรือเปล่า มึงพูดกับพวกกูได้นะเว้ย”

     “มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก คือ...” ผมหลุบตามองต่ำ

     “คือ?” ผิงทำหน้าลุ้นว่าผมจะพูดอะไร น้องนายมองมาด้วยสายตาเป็นห่วง

     “กูแค่กำลังสงสัยน่ะ ว่ามันมีเหตุผลอะไรบ้างที่คนเราจะใจเต้นแรงกับใครสักคน”

     เพื่อนผมต่างทำหน้าเหลอหลา เหมือนไม่คิดว่าผมจะกำลังคิดมากเรื่องนี้ ผิงเอื้อมมือมาจับไหล่ เขย่าจนหัวสั่นหัวคลอน

     “มึงกำลังมีความรักเหรอซน!”

     “เฮ้ย! กูยังไม่ได้พูดเลยว่ามีความรัก” ผมสะดุ้ง

     “โธ่เพื่อนกู โตขนาดนี้แล้วยังไม่ประสีประสาอีก กูถามก่อน คนที่ใจเต้นแรงคือมึงใช่ไหม”

     ผมคิดจะโกหกว่าเป็นเรื่องคนอื่น แต่พอเห็นสายตารู้ทันของเพื่อนก็โกหกไม่ลง ได้แต่พยักหน้ากลับไป

     “งั้นคำตอบก็ง่ายนิดเดียว มันมีไม่กี่เหตุผลหรอกที่เราจะใจเต้นแรงกับใครสักคน ถ้าไม่ใช่เพราะมึงซัดกาแฟเข้าไปสิบแก้วก็แสดงว่ามึงชอบเขาไง”

     !!!

     ผมไม่รู้จะทำหน้ายังไงเมื่อเจอคำตอบของผิงเข้าไป ในหัวเอาแต่เล่นคำพูดของเพื่อนซ้ำไปซ้ำมา มึงชอบเขา มึงชอบเขา ผมชอบพี่ธาร พี่ธารที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน...

     “อ๊ากกก” ผมยกมือทึ้งหัวตัวเอง ผิงกับน้องนายตกใจที่จู่ๆ ท่าทางผมก็แปลกไป

     “มึงเป็นอะไรเนี่ย ผีเข้าเหรอ”

     “กู...กูชอบเขาจริงๆ เหรอวะ” ผมถามผิงอย่างต้องการความแน่ใจ ผิงดูงงๆ แต่ก็พยักหน้า

     “มันจะมีเหตุผลอะไรอีกถ้าไม่ใช่ว่ามึงชอบเขา ทำไมถามแบบนี้วะ คนที่มึงชอบเขาไม่น่าชอบขนาดนั้นเลยเหรอ”

     ไม่ใช่ไม่น่าชอบ แต่มันไม่ควรชอบต่างหาก ผมกับไอ้พี่ธารเนี่ยนะ แค่คิดเฉยๆ ก็รู้สึกแปลกแล้ว ผมเป็นผู้ชายนะเว้ย ผู้ชายที่มองแต่ผู้หญิงมาตลอด แล้วทำไมถึง...

     “ผิง”

     “อะไร”

     “กูเป็นเกย์เหรอวะ”

     “ฮะ!?” สองเสียงดังพร้อมกัน ขนาดน้องนายที่เรียบร้อยที่สุดในกลุ่มยังหลุดคำอุทาน ผมทำหน้าว้าวุ่นใจ นี่เป็นสิ่งที่ผมไม่คิดว่าจะเกิดกับตัวเอง ผมชอบพี่ธารเหรอ ชอบได้ยังไง ชอบตั้งแต่ตอนไหน หรือพี่มันเล่นของใส่ผม

     “มึงอธิบายมาให้เคลียร์ซิ ทำไมถึงคิดว่าตัวเองเป็นเกย์” ผิงถามจบก็เบิกตาโต “อย่าบอกนะว่าคนที่มึงชอบเป็นผู้ชาย”

     “กู...”

     “กูอะไร”

     “กู...ไม่มั่นใจว่ะ กูชอบพี่ธารจริงๆ เหรอ มันเหลือเชื่อมากเลยนะ ใครจะไปทำใจยอมรับได้วะ”

     “พี่ธาร!?” ผิงกับน้องนายตะโกนออกมาพร้อมกัน ก่อนจะหันไปค้อมหัวให้โต๊ะอื่นที่เสียงดังเกินไป วินาทีนั้นเองที่ผมรู้ตัวว่าพลาด

     “เรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่ครับคุณซน” น้องนายเริ่มไต่สวน

     “เล่ามาให้หมดเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นก็โดดเรียนกันยกกลุ่มนี่แหละ” ผิงยื่นคำขาด ดูจากสีหน้าแล้วผมรู้ว่ามันเอาจริงแน่นอน โธ่ แล้วผมจะทำอะไรได้ล่ะครับนอกจากเล่าเรื่องทุกอย่างให้เพื่อนฟัง

     แต่เอาเถอะ ไหนๆ ก็หลุดปากไปแล้ว คิดซะว่าเล่าสู่กันฟังแล้วกัน ไม่แน่พวกมันอาจมีคำแนะนำดีๆ ให้ก็ได้ ผมเชื่ออย่างนั้นนะ





     “อย่างนี้นี่เอง” ผิงยกมือลูบคาง ผมที่เล่าเรื่องตัวเองหมดเปลือกแล้วได้แต่รอความเห็นจากเพื่อน

     “คุณซนกำลังสับสนในตัวเอง”

     “ใช่”

     “ใครจะไม่สับสนบ้างวะ ชอบผู้หญิงมาทั้งชีวิต จู่ๆ วันหนึ่งดันใจเต้นแรงกับผู้ชาย” ผมพูดออกมาตามตรง

     “กูรู้ว่ามันทำใจยอมรับยาก แต่ในเมื่อมึงชอบพี่ธารไปแล้วมันก็คือชอบ ความรักไม่เลือกเพศหรอกนะ”

     “มึงคิดว่ากูชอบพี่ธารเหรอ”

     “อ้าวไอ้นี่ อาการชัดขนาดนี้ มึงคงเกลียดพี่ธารมั้งคะ”

     “อย่าเพิ่งประชดดิ กูไม่มั่นใจจริงๆ กูชอบพี่ธารจริงเหรอวะ” ผมรู้ว่ามันเป็นคำถามที่ควรถามตัวเองมากกว่าคนอื่น แต่นาทีนี้ผมคิดอะไรไม่ออกเลย ตั้งแต่คำว่าชอบออกจากปากผิงสมองผมก็เหมือนหยุดทำงาน ในหัวเอาแต่ถามตัวเองซ้ำๆ ว่าผมชอบพี่ธารจริงเหรอ

     ผิงกับน้องนายหันไปมองตากัน สีหน้าเหมือนไม่รู้จะตอบผมยังไงดี แต่ผ่านไปสักพักผิงก็ทำหน้าเหมือนนึกอะไรดีๆ ออก มันหันมายิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้มที่แค่มองก็รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ชอบกล

     “กูนึกวิธีดีๆ ออกแล้ว”

     “วิธีอะไร”

     “วิธีที่จะพิสูจน์ว่ามึงชอบพี่ธารจริงหรือเปล่า” ผิงอมยิ้มเหมือนภูมิใจความฉลาดของตัวเอง ก่อนจะเริ่มบอกแผนการของมันให้ฟัง





     “ยังไม่ชินอีกเหรอ”

     “ครับ?” ผมหน้าเหลอหลาเมื่อจู่ๆ พี่ธารก็ถามขึ้นมา

     “กูเห็นมึงเอาแต่ขมวดคิ้ว ทำหน้ายุ่งอย่างกับโดนรถทับ ยังไม่ชินกับบ้านกูอีกหรือไง”

     “อ๋อ เริ่มชินแล้วครับ” ผมทำเป็นยิ้มกลบเกลื่อน ใครจะไปบอกว่าที่หน้าผมยับย่นอยู่ตอนนี้เพราะแผนการสุดบ้าระห่ำของเพื่อนตัวเอง

     “แล้วมึงเป็นอะไร มีเรื่องเครียดเหรอ”

     “เปล่าครับ ไม่มีเลย” ผมยิ้มกว้างขึ้น พี่ธารจะได้ไม่รู้ว่าผมโกหก

     “ไม่มีก็ยิ้มซะบ้าง เอาแต่ทำหน้าอย่างนั้นอาหารกูกร่อยหมด”

     พักหลังมานี้ผมเริ่มจับทางได้แล้วว่าเวลาพี่ธารเป็นห่วงมักจะชอบดุ อย่างเช่นตอนนี้ แต่ผมชินแล้วล่ะ ถ้าไม่ปากอย่างใจอย่างก็ไม่ใช่พี่ธารหรอก

     “เอ่อ...พี่ธาร” ผมเรียกคนตรงหน้าเสียงอ่อย มือที่อยู่ใต้โต๊ะถูกันไปมา ท่องไว้ว่าเพื่อความชัดเจน มึงต้องทำได้ซน

     “อะไร”

     “คือ...คือผม...คือแบบว่า...”

     “ถ้ายังพูดคืออีกคำเดียวกูจะดีดปากให้บวม มีอะไรก็พูดมา ท่ามากอยู่นั่นแหละ”

     อย่าเร่งได้ไหมเล่า คนมันเขินนี่หว่า ตั้งแต่เกิดมาเคยพูดอะไรแบบนี้ที่ไหน

     “คืนนี้ผม...ขอไปนอนห้องพี่อีกได้ไหม”

     มือที่กำลังตักอาหารเข้าปากค้างเติ่งกลางอากาศ พี่ธารเลิกคิ้ว สีหน้าแปลกใจกับคำขอของผม

     “ห้องผมมันร้อน เลยอยากไปนอนตากแอร์เย็นๆ ที่ห้องพี่” ผมรีบพูดต่อเพื่อความแนบเนียน ช้อนตามองสบกับดวงตาคม “ได้ไหมอะ”

     พี่ธารมองผมนิ่ง มันนานจนผมคิดว่าคงไม่ได้ผล แต่จู่ๆ ร่างสูงก็ถอนหายใจ พึมพำบางอย่างที่ผมจับใจความไม่ได้

     “มองกันขนาดนี้ ใครจะปฏิเสธลงวะ”

     “พี่ว่าอะไรนะ”

     “กูบอกว่าจะมานอนก็ได้ แต่ช่วยจ่ายค่าไฟด้วยแล้วกัน”

     อะไรวะ บ้านออกจะรวยแต่งกฉิบหาย ผมยังเรียนอยู่เลยนะ จะรีดไถกันลงจริงๆ เหรอ

     “แต่ค่าขนมเดือนนี้ผมเหลือน้อยแล้วนะ”

     “ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูเก็บกับอาไพโรจน์เอง”

     ผมมองคนตรงหน้าด้วยความอึ้ง คนแบบนี้น่ะเหรอที่ทำให้ผมสับสนถึงขั้นทำตามแผนการบ้าบอของเพื่อน ไม่อยากจะเชื่อ ผมเริ่มสงสัยแล้วสิว่าพี่ธารทำคุณไสยใส่ผมหรือเปล่า ดูยังไงก็ไม่เห็นมีอะไรที่น่าจะทำให้ผมชอบได้เลย





     ผมนอนไม่หลับ

     ทั้งที่ตัวเองเอ่ยปากขอมานอนด้วยแท้ๆ แต่พอถึงเวลาจริงกลับข่มตาหลับไม่ลงซะงั้น ผมหันไปมองคนข้างๆ พี่ธารกำลังนอนหลับตา ไม่แน่ใจว่าเข้าห้วงนิทราไปหรือยัง

     “พี่ธาร”

     “อะไร”

     อ่า...ยังไม่หลับแฮะ

     “ผมขอถามอะไรอย่างหนึ่งได้ไหม” ไหนๆ ก็หลับไม่ลงแล้ว ถือโอกาสถามคำถามที่เพื่อนฝากมาเลยแล้วกัน

     “จะถามก็ถามมา มึงจะเกริ่นให้เสียเวลาทำไม”

     ตอบว่าได้คำเดียวมันจะตายหรือไง ดุมันได้ทุกเรื่องสิน่า

     “พี่กับพี่เต้ทะเลาะกันเหรอ”

     คำถามผมคงเป็นอะไรที่คาดไม่ถึง เพราะพอถามจบพี่ธารถึงกับลืมตา ลดมือที่หนุนท้ายทอยแล้วหันมามอง

     “ทำไมคิดแบบนั้น”

     “โหพี่ ใครบ้างจะไม่คิด วันที่พี่เต้ขอมาร่วมโต๊ะพี่เล่นทำขนาดนั้น”

     “หึๆ” นอกจากเสียงหัวเราะแล้วก็ไม่มีคำพูดอื่นอีก ผมเลยเดาไม่ถูกว่าทะเลาะหรือไม่ทะเลาะกันแน่

     “ตอบหน่อยดิพี่ ผมอยากรู้”

     “มีอะไรมาแลก”

     “แค่นี้ยังจะเอาอีกเหรอ” ผมโอดครวญ

     “เคยบอกแล้วไงว่าอยากให้คนอื่นทำอะไรก็ต้องมีของแลกเปลี่ยน”

     “งั้นผมไม่รู้แล้วก็ได้” ผมพลิกตัวไปอีกทาง ยกมือกอดอกหน้าบึ้ง พี่ธารหัวเราะเบาๆ

     “งอนเหรอ”

     “ผมไม่ได้งอน” อย่าพูดเหมือนผมเป็นผู้หญิงได้ไหม แค่มีแนวโน้มว่าจะชอบผู้ชายผมยังสับสนขนาดนี้เลย

     “อืม ไม่งอนก็ดี กูจะได้ไม่เสียเวลาง้อ”

     พูดอย่างกับตัวเองเคยง้อคนอื่น นอกจากดุผมแล้วผมยังไม่เคยเห็นพี่ธารในโหมดอื่นเลยเถอะ

     “จะไม่บอกผมจริงเหรอ” สุดท้ายความอยากรู้ความเห็นก็ชนะทุกสิ่ง ผมหันกลับมาจ้องตาพี่ธารอีกครั้ง พยายามทำหน้าออดอ้อนเผื่อพี่แกจะใจอ่อน

     “อยากรู้ไปทำไม”

     “ผมไม่อยากให้พี่ธารทะเลาะกับพี่เต้ พวกพี่เป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ เพื่อนทะเลาะกันมันไม่ดีหรอกนะ” ถึงเหตุผลหลักที่ถามเพราะเพื่อนฝากมา แต่สิ่งที่ผมพูดก็เป็นสิ่งที่ผมคิดจริงๆ ถ้าพี่ธารทะเลาะกับพี่เต้จริงๆ ผมคงไม่สบายใจ

     “เป็นเด็กเป็นเล็กหัดสั่งสอนผู้ใหญ่เหรอ”

     “เขาเรียกว่าเป็นห่วงต่างหาก แล้วผมกับพี่ก็ห่างกันแค่สองปี อย่าพูดเหมือนตัวเองโตกว่านักเลย” ผมย่นจมูกใส่ ก่อนจะชะงักเมื่อสายตาของอีกฝ่ายเปลี่ยนไป

     “พูดอีกทีสิ”

     “พูดอะไร”

     “พูดว่ามึงเป็นห่วงกู”

     หน้าผมกำลังแดง ผมรู้ได้แม้จะไม่ส่องกระจกก็ตาม มันใช่เรื่องที่ควรสนใจไหม ผมกำลังถามเรื่องพี่เต้อยู่นะ

     “อย่าเปลี่ยนเรื่องดิ พี่ตอบผมมาเร็ว”

     พี่ธารถอนหายใจ เอียงตัวมาหาผม เอามือรองศีรษะ “กูกับเต้ไม่ได้ทะเลาะกัน แค่มีเรื่องผิดใจกันนิดหน่อย”

     “เรื่องอะไรอะ”

     “ทำไมกูต้องบอกมึง”

     “เผื่อผมช่วยอะไรได้ไง”

     พี่ธารกระตุกยิ้ม ยื่นมือมาดีดหน้าผากผมเบาๆ “ถ้าอยากช่วยจริงๆ ก็ช่วยอยู่เฉยๆ เถอะ”

     “อีกแล้วนะ ชอบพูดเหมือนผมไม่ได้เรื่องตลอดเลย”

     “กูพูดจริง” พี่ธารจ้องเข้ามาในดวงตา บางอย่างในดวงตาคู่นั้นทำให้ผมนิ่งงัน “ถ้ามึงอยากช่วยกูจริงๆ ก็อยู่ใกล้กูไว้ อย่าไปยุ่งกับเต้มาก แค่นี้ทำให้กูได้ไหม”

     ถึงจะเป็นคำขอที่ฟังดูแปลกๆ แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ลง เพราะพี่ธารเล่นมองมาด้วยสายตาอ้อนวอน ราวกับเรื่องที่ขอมันสำคัญมาก

     “ทำไมพี่พูดเหมือนพี่เต้นิสัยไม่ดี ไม่น่าคบหาเลย”

     “ไม่ใช่อย่างนั้น”

     “แล้วมันอย่างไหน”

     “เอาเป็นว่าวันไหนที่พร้อมกูจะบอกเหตุผล ตอนนี้ทำตามที่กูขอก่อน ได้ไหมซน” ผมไม่เคยเห็นพี่ธารทำหน้าแบบนี้มาก่อน ใบหน้าที่เหมือนกังวลอะไรสักอย่าง กลัวจะสูญเสียบางอย่างไป ผมไม่ชอบพี่ธารที่เป็นแบบนี้เลย ให้เขาดุผมเหมือนเดิมยังจะดีกว่า

     “ก็ได้ครับ ผมสัญญา”

     พี่ธารยิ้มให้ผม มันเป็นยิ้มที่ดูดีจนผมใจเต้นแรงขึ้นมา ไม่บ่อยนักที่พี่ธารจะยิ้ม แต่บทจะยิ้มทีก็เล่นเอาคนรอบข้างตายกันเป็นแถบ และดูเหมือนผมเองก็คงเป็นหนึ่งในนั้น

     “นอนได้แล้วเอ๋อ นอนดึกมากๆ เดี๋ยวร่างกายหยุดโตกันพอดี” พอได้สิ่งที่ต้องการแล้วก็กลับมาเป็นพี่ธารคนเดิมทันที ผมล่ะอยากถอนคำพูดจริงๆ ไม่น่าชมพี่มันเลย

     “พี่ก็นอนก่อนดิ ผมยังไม่ง่วง”

     “แล้วมึงจะนอนตอนไหน”

     “ช่างผมเถอะ พี่นั่นแหละนอนไปเลย พรุ่งนี้มีเรียนเช้าไม่ใช่เหรอ”

     “เดี๋ยวนี้กล้าสั่งกูเหรอ” พี่ธารว่าแต่ก็ยอมถอยไปนอนที่ตัวเอง จากที่ตอนแรกขยับมาใกล้ “ปิดไฟให้ด้วยแล้วกัน”

     “ครับๆ”

     ผมเดินไปปิดไฟ พอกลับมาที่เตียงพี่ธารก็หลับไปแล้ว เป็นคนที่หลับง่ายจริงๆ ผมค่อยๆ ก้าวขึ้นเตียง ขยับเข้าไปใกล้เจ้าของห้อง มองผ่านความมืดเห็นใบหน้าหล่อเหลาของพี่ธาร ผมขยับไปใกล้อีกนิด

     ขนตายาว จมูกโด่ง ริมฝีปากได้รูป โครงหน้าก็เหมือนผู้ชายทั่วไป แล้วทำไมถึงได้หล่อนักวะ ผมนั่งมองพี่ธารก่อนจะส่ายหัวไปมา นี่ไม่ใช่เวลามาชื่นชมพี่มันนะเว้ย ผมรีบดึงสติกลับมาแล้วเริ่มแผนการค้นหาความจริงของเพื่อน ค่อยๆ โน้มหน้าลงไปจนริมฝีปากเราสองคนห่างกันเพียงนิดเดียว ไม่ต้องถามถึงหัวใจนะครับ มันเต้นแรงจนกลัวว่าจะกระดอนออกมานอกอก





     “ให้กูจูบพี่ธารเนี่ยนะ!” ผมเผลอตกใจเสียงดัง ก่อนจะก้มหน้างุดหลบสายตาโต๊ะอื่น น้องนายหน้าตื่นไม่ต่างจากผม

     “ไม่ได้ให้จูบ กูบอกว่าให้เอาปากแตะปากเบาๆ”

     “เพื่ออะไรวะ”

     “ถ้ามึงไม่ได้คิดอะไร มึงจะเฉยๆ เหมือนจูบกับหมอนข้าง แต่ถ้ามึงทำแล้วใจเต้นแรง หน้าร้อนไปหมด เขินจนทำอะไรไม่ถูก มั่นใจได้เลยว่ามึงชอบพี่ธารชัวร์”





     ผมชะงักริมฝีปากที่กำลังจะทาบทับลงไป ขนาดยังไม่ได้แตะใจเจ้ากรรมก็เต้นแรงแล้ว อย่าตื่นเต้นสิวะซน ทำใจดีสู้เสือเข้าไว้ มึงต้องทำได้ มึงต้องทำได้ มึงต้องทำ...

     จุ๊บ

     ผมรีบถอนริมฝีปากออกอย่างรวดเร็ว ราวกับปากพี่ธารเป็นของร้อน ผมยกมือกุมอกข้างซ้ายตัวเอง ก้อนเนื้อภายในเต้นตุบๆ หัวใจสูบฉีดเลือดเหมือนเพิ่งวิ่งมาราธอนมา

     ‘ถ้ามึงไม่ได้คิดอะไร มึงจะเฉยๆ เหมือนจูบกับหมอนข้าง แต่ถ้ามึงทำแล้วใจเต้นแรง หน้าร้อนไปหมด เขินจนทำอะไรไม่ถูก มั่นใจได้เลยว่ามึงชอบพี่ธารชัวร์’

     คำพูดของเพื่อนกลับเข้ามาในหัว ผมย้ายมือจากอกมาจับแก้มตัวเอง ร้อน ร้อนไปหมด ร้อนจนผมนึกว่ากำลังเอาหน้าอังเตาผิง ทำไมหน้าผมร้อนล่ะ แล้วทำไมผมถึงรู้สึกเขิน ทำไมผมถึงไม่รังเกียจ แถมยัง...อยากลองอีกครั้ง...

     “อ๊ากกก” ผมยกมือทึ้งหัวตัวเอง ล้มตัวลงนอนแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมโปง นี่มันชัดยิ่งกว่าชัดเสียอีก ชัดระดับฟูลเอชดี ผมชอบพี่ธาร นาทีนี้ผมมั่นใจเกินร้อย

     นี่มันเรื่องอะไรกัน ผมที่เป็นผู้ชายกลับชอบพี่ธารที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน พระเจ้าเล่นตลกกับผมอยู่ใช่ไหม!!



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter :    earthxxide  (https://twitter.com/earthxxide? t=muF0165hiRexxkrO2QLULw&s=09)

     Fanpage :    Earthxxide  (https://www.facebook.com/earthxxide? mibextid=ZbWKwL)
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 19] ✪ 12/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 12-05-2023 19:36:52
 :-[ :o8:
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 19] ✪ 12/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 13-05-2023 12:23:22
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 20] ✪ 14/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 14-05-2023 16:15:21
ตอนที่ 20
ใกล้กว่านี้


     -ธาร-

     ซนกำลังหวั่นไหว ผมค่อนข้างมั่นใจหลังเกิดเหตุการณ์เมื่อคืน ผมตกใจไม่น้อยตอนที่เจ้าตัวดีแตะริมฝีปากลงมา แต่พอเห็นท่าทางหลังจากนั้นผมก็คิดเข้าข้างตัวเองว่าอย่างน้อยมันก็เริ่มสนใจผมแล้ว ไม่งั้นคงไม่ทำอะไรแบบนี้

     ปากมันนุ่มมาก นุ่มเสียจนผมเกือบดึงมาจูบอีกรอบถ้าไม่ติดว่าแกล้งหลับอยู่ สิ่งที่ซนทำไม่ใช่จูบ มันคือปากแตะปากแบบเด็กหัดรู้หัดลอง แต่ผมกลับรู้สึกดีจนอดคิดไม่ได้ว่า...แค่แตะยังขนาดนี้ ถ้าจูบจริงจะขนาดไหน

     ผมตื่นมาอย่างอารมณ์ดี สิ่งแรกที่เห็นหลังลืมตาคือใบหน้าหลับสนิทของเด็กเอ๋อ วันนี้ซนไม่มีเรียนผมจึงไม่คิดจะปลุก ปล่อยให้มันนอนต่อไป เมื่อคืนก็เหมือนจะฟุ้งซ่านใต้ผ้าห่มอยู่นานกว่าจะหลับ

     ผมเอื้อมมือไปลูบจมูกเล่น ซนเป็นผู้ชายที่ถ้ารู้จักเผินๆ จะคิดว่าเป็นเด็กธรรมดา ไม่มีอะไรโดดเด่น แต่พอรู้จักไปนานๆ จะเริ่มเห็นความน่ารักของมัน ผมไม่ได้พูดถึงหน้าตา อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน รู้แค่ว่าทุกอย่างที่มารวมเป็นมันชวนให้รู้สึกว่าเจ้าเด็กนี่โคตรน่ารัก

     ผมลุกจากเตียงเพราะวันนี้มีเรียนเช้า ปล่อยให้เด็กเอ๋อนอนบนเตียงไปคนเดียว ส่วนตัวเองเดินไปอาบน้ำ ผมมองตัวเองในกระจก กระตุกยิ้มมุมปาก ยิ่งคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนก็ยิ่งอารมณ์ดี

     ยังหรอก นี่แค่เริ่มต้น ผมจะทำให้มันหวั่นไหวกว่านี้อีก เตรียมรับมือให้ดีล่ะเจ้าเด็กเอ๋อ เพราะผมจะไม่รออีกต่อไป





     “กินข้าวหรือยัง” ผมโทรหาซนหลังเรียนช่วงเช้าเสร็จ บอนด์กับไกด์กำลังมองหาโต๊ะว่างในโรงอาหาร

     [กินแล้วครับ]

     “เช้าหรือกลางวัน”

     [เช้า]

     “แล้วกลางวันล่ะ”

     [กำลังจะไปหาอะไรกินหน้าปากซอย แต่พี่โทรมาก่อน] เสียงซนเบาเหมือนพูดในลำคอ

     “พูดให้มันดังๆ หน่อย คอแหบหรือไง”

     [ก็คนมันเขิน...]

     “อะไรนะ” ต่อให้เบาแค่ไหนผมก็ได้ยิน เพียงแต่ที่ถามซ้ำเพราะไม่นึกว่าจะได้ยินประโยคนี้

     [ผมบอกว่าเพิ่งตื่นได้สักพัก เสียงเลยยังแหบอยู่]

     “หึ” ผมหัวเราะเด็กขี้โกหก แต่ก็ไม่เซ้าซี้ต่อ “วันนี้แดดแรง ถ้าจะออกไปข้างนอกก็ใส่เสื้อแขนยาวไป”

     [ผมมีที่ไหน]

     “เอาเสื้อกูไปใส่ หาดูในตู้ พวกแขนยาวน่าจะอยู่ด้านใน”

     [ปากซอยแค่นี้เอง เดินไปกลับไม่ทันผิวไหม้หรอก]

     “อย่าเถียง บอกให้ใส่ก็ใส่ไป”

     [พี่ธารนั่นแหละอย่าบังคับ เอาแต่ใจเกินไปแล้วนะ]

     “ทำไม กูห่วงไม่ได้เหรอ ทีเมื่อคืนมึงยังห่วงกูได้เลย”

     […]

     ปลายสายเงียบไปจนผมนึกว่าเผลอกดวางสาย ผมยกโทรศัพท์มาดูก่อนจะเอาแนบหูเหมือนเดิม

     “เอ๋อ ได้ยินที่กูพูดไหม”

     [...อื้อ ได้ยินแล้ว] ซนพูดเสียงเบา เสียงเล็กๆ ของมันทำให้ผมรู้ว่าทำไมมันถึงเงียบไป เขินอยู่นี่เอง

     “ได้ยินแล้วก็ทำตามด้วย อย่าให้กูห่วงบ่อยๆ เข้าใจไหม”

     [เข้าใจแล้ว ไม่ต้องพูดย้ำนักก็ได้]

     “กูพูดอะไร”

     […ไม่มีอะไร ช่างเถอะครับ] ซนตัดบท ไม่ยอมพูดคำที่ทำให้เขินออกมา [แค่นี้นะ ผมหิวแล้ว]

     “เดี๋ยว”

     [อะไรอีก]

     “เย็นนี้รอด้วยนะ กูจะรีบกลับ อยากกินข้าวพร้อมมึง”

     เสียดายที่ผมโทรเบอร์เลยได้ยินแต่เสียง ไม่งั้นคงได้เห็นหน้าคนเขินไปแล้ว ซนรับคำเสียงเบาจนเกือบไม่ได้ยิน หลังบอกลาเสร็จผมก็วางสาย เดินไปหาเพื่อนที่หาโต๊ะได้แล้วด้วยใบหน้าติดรอยยิ้ม

     “ยิ้มมาแต่ไกลเชียว คุยกับน้องซนเหรอ” โอปอล์ถามขึ้นมา ตั้งแต่วันที่ผมกับเต้มีเรื่องกัน เพื่อนผมก็รู้กันหมดว่าผมคิดยังไงกับซน

     “อืม”

     “อิจฉาจัง แฟนเรานี่แทบต้องกราบอ้อนวอนกว่าจะรับสาย เอาแต่บอกติดเรียนอย่างเดียว”

     “งั้นโอปอล์ก็อิจฉาผมด้วยสิ ใครว่ามีแต่ธารที่ได้คุยกับคนที่ชอบทุกวัน”

     “กล้าอวดนะมึง เอาให้น้องมันเลิกตีมึนก่อนเถอะ กูพนันร้อยเอาบาทเลย น้องนายยังไม่รู้ชัวร์ว่ามึงชอบ”

     บอนด์หุบยิ้มทันทีที่โดนไกด์พูดเบรก ผมเห็นใจมันนะ แต่ตอนนี้ขอมีความกับสุขเรื่องตัวเองก่อน ผมยิ้มไม่หุบเมื่อนึกถึงเสียงเขินๆ ของคนบางคน ก็น่ารักซะแบบนี้ แล้วใครจะไปหยุดรักได้





     ที่บอกให้ซนรอไม่ใช่ว่าผมจะกลับไปทำอาหารที่บ้าน แต่ผมจะพามันมาทานอาหารข้างนอก ผมกลัวซนเบื่อบ้านเลยอยากพามาเปลี่ยนบรรยากาศ อีกอย่างวันนี้ผมเรียนหนักเลยขี้เกียจทำอาหารเอง

     “มีแต่แพงๆ ทั้งนั้นเลย” ซนพูดเสียงเบาเพราะห่างไปไม่ไกลมีพนักงานยืนรอรับเมนูอยู่ คิ้วบางย่นเข้าหากัน

     “กูบอกเหรอว่าจะให้มึงจ่าย”

     “ผมรู้ว่าพี่ธารจะจ่ายให้ เพราะรู้ถึงเกรงใจไง อาหารจานละสามร้อย ใครจะไปกล้าสั่ง”

     ผมลอบยิ้ม ไม่รู้ซนรู้ตัวหรือเปล่าว่าพักหลังนี้มันเป็นห่วงผมมากขึ้น คิดถึงผมมากขึ้น ไม่เหมือนช่วงแรกที่ตั้งแง่จะดื้อกับผมท่าเดียว และนั่นทำให้ผมรู้สึกดี

     “สั่งเถอะ นานๆ ทีขนหน้าแข้งกูไม่ร่วงหรอก”

     “แต่...”

     “กูอยากให้มึงกินของอร่อย”

     เจ้าตัวดีนิ่งไป ไม่ต่อล้อต่อเถียงอะไรอีก มันก้มหน้างุดอยู่สักพักก่อนจะยกมือเรียกพนักงาน แต่ผมแอบเห็นว่าหูมันแดง ผมยิ้มมุมปาก เขินง่ายแบบนี้มันน่าแกล้งให้เขินบ่อยๆ นัก

     “พี่ธารเอาอะไร” ซนหันมาถามหลังสั่งของตัวเองเสร็จแล้ว

     “ขี้เกียจเลือก มึงเลือกมาให้หน่อย” ผมวางใบเมนูที่ยังไม่ได้เปิดดูลงตรงหน้า

     “ผมจะไปรู้ไหมว่าพี่อยากกินอะไร”

     “อะไรที่มึงสั่งมากูอยากกินหมดนั่นแหละ”

     รอบสองยังได้ผลดี พอผมพูดจบแก้มมันก็ขึ้นสีแดงอีกครั้ง ซนทำเป็นก้มมองเมนู ก่อนจะหันไปบอกพนักงานเสียงตะกุกตะกัก ผมหัวเราะในลำคอ นึกเอ็นดูเด็กขี้เขิน

     ทีเมื่อคืนไม่เห็นเขิน พอตอนนี้กลับเขินเอาๆ ผมอยากรู้จริงๆ ว่าถ้ามันรู้ว่าผมรู้สึกยังไง จะเขินจนเป็นลมไปเลยหรือเปล่า





     ผมคิดว่าซนกำลังหลบหน้าผม ตอนแรกไม่มั่นใจเท่าไหร่ แต่ผมเพิ่งมามั่นใจเอาตอนนี้ วันนี้ทั้งวันซนไม่ยอมมองหน้าผมตรงๆ แถมตอนนี้มันยังหนีไปนั่งบนพรมแทนโซฟาอีก

     “นั่งแบบนั้นจะสบายเหรอ” ผมถามเจ้าตัวดีที่ทำเป็นสนใจรายการในโทรทัศน์

     “สบายสิ”

     “มานั่งโซฟากับกูดีกว่า”

     “ไม่เอา” ซนส่ายหน้าทั้งที่ยังไม่หันมา แต่ผมเห็นจากด้านข้างว่ามันกำลังเม้มปาก ราวกับครุ่นคิดบางอย่างอยู่ ผมค่อยๆ เขยิบไปใกล้โดยไม่ให้เด็กเอ๋อรู้ตัว ก่อนจะฉวยโอกาสรวบเอวมันขึ้นมานั่งตัก

     “เฮ้ย! พี่ทำอะไรเนี่ย” ซนหันมาทำท่าจะโวยวาย ก่อนจะนิ่งไปเมื่อสบตากับผม

     “พูดดีๆ แล้วไม่ฟังเอง”

     “อะไรเล่า ก็ผมชอบนั่งบนพรมมากกว่า ผิดด้วยเหรอ”

     “แล้วกูอยากนั่งกับมึงนี่ผิดด้วยเหรอ”

     “…” มันเงียบครับ เม้มปากแน่นแล้วเบือนหน้าหนี ผมลอบยิ้ม จะหนีได้สักกี่น้ำเชียว

     “ผมลงได้ยัง” ซนพูดทั้งที่ยังหลบตา

     “ลงทำไม ตักกูนุ่มกว่าพรมตั้งเยอะ”

     “นั่งแบบนี้ผมดูหนังไม่ถนัด”

     ผมขยับตัวเล็กน้อย ยืดหลังตรง รั้งคนบนตักเอนมาพิงอก “ถนัดหรือยัง”

     “ยะ...ยังไม่ถนัด...” ซนพูดติดอ่าง ตัวมันแข็งทื่อ ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่ปลายนิ้ว ผมหัวเราะในลำคอ โดนตัวนิดๆ หน่อยๆ ก็เขินแล้วเหรอ

     “เชื่อกูสิ นั่งไปนานๆ เดี๋ยวก็ถนัด”

     “ผม...ผมนั่งโซฟาก็ได้ แต่ขอนั่งข้างๆ ได้ไหม”

     “จะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาทำไม นั่งตักกูนี่แหละ”

     “แต่...”

     “เอ๋อ กูจะดูหนังอย่าพูดมาก”

     เพียงเท่านั้นซนก็ไม่พูดอะไรอีก ผมยิ้มพอใจ อาศัยจังหวะที่มันไม่กล้าต่อปากต่อคำยื่นมือไปกอดรอบเอว ซนก้มมองมือผมด้วยดวงตาตื่น แต่พอหันมาเจอตาดุๆ ของผม จากที่จะอ้าปากค้านจึงเงียบลงอีกรอบ

     คิดจะสู้ผมยังเร็วไปสิบปีนะเด็กเอ๋อ มาดูกันซิว่าโดนรุกไม่พักแบบนี้เจ้าตัวดีของผมจะทำยังไง





     ผมพาเด็กเอ๋อขึ้นมาบนห้องหลังหนังจบ ซนตั้งท่าจะกลับบ้านอย่างเดียว แต่คิดเหรอว่าผมจะยอม

     “นอนบ้านใครก็เหมือนกัน มึงจะไปๆ มาๆ ให้เหนื่อยทำไม”

     “อยู่ใกล้แค่นี้ เดินสามก้าวถึงเอาอะไรมาเหนื่อย ไม่รู้ล่ะ ผมจะกลับบ้าน” ซนทำท่าจะออกจากห้อง ผมจับมือมันไว้ ใช้แรงที่มากกว่าดึงเข้าหาตัวจนร่างเล็กถลามาชนกับอก

     “ทำไม มึงคิดอะไรกับกูหรือไงถึงไม่อยากนอนด้วยกัน” ผมโน้มหน้าไปใกล้ มองเข้าไปในดวงตากลม

     “คะ...คิดอะไรเล่า ใครจะไปคิด”

     “แน่ใจ?”

     “แน่ใจสิ” คนแน่ใจพูดตะกุกตะกัก ก้มหน้างุดไม่ยอมสบตา ผมยิ้มมุมปาก สอดมือไปกอดรอบเอว ซนกำลังพะวงกับคำพูดของผมจึงไม่ทันรู้ตัว

     “จะว่าไป เมื่อคืนกูรู้สึกเหมือนโดนผีอำด้วย”

     “หือ?”

     “ไม่ใช่สิ เรียกผีอำคงไม่ถูก ต้องพูดว่าโดนผีขโมยจูบจะถูกกว่า”

     !!!

     ผมมองหน้าตื่นๆ ของซนด้วยดวงตากลั้นขำ มันทำหน้าโคตรตลก ปากเล็กๆ เผยอออกเหมือนอยากแก้ตัวแต่ก็ปิดลง เป็นแบบนี้หลายครั้งจนผมอยากฉกปากมันให้รู้แล้วรู้รอด

     “กูเป็นคนกลัวผีซะด้วย เพราะงั้นคืนนี้มึงต้องนอนกับกู ผีจะได้ไม่กล้าอำกูอีก”

     “ผะ...ผีมีจริงที่ไหน พี่แม่งเพ้อเจ้อ”

     ใช่ ผีไม่มีจริง เพราะคนที่ขโมยจูบผมคือคนตรงหน้านี่ไง

     “ไม่รู้ล่ะ กูไม่ให้มึงกลับบ้าน”

     “พี่จะมาบังคับแบบนี้ไม่ได้นะ มันเข้าข่ายกักขังหน่วงเหนี่ยว ถ้าพี่ยังไม่ปล่อยผมจะแจ้งตำรวจจริงๆ...” คำพูดซนหายไปในลำคอเมื่อโดนผมรวบมากอด ผมอาศัยจังหวะที่มันไม่ทันตั้งตัวสูดกลิ่นหอมจากกลุ่มผม

     “กูไม่ได้บังคับ แต่ขอร้อง”

     “…”

     “นอนห้องกูนะซน กูอยากนอนกับมึง”

     ซนยืนนิ่งเหมือนรูปปั้น ผมกอดมันอยู่สักพักก่อนจะถอนตัวออกเพื่อมองหน้า เด็กเอ๋อหน้าแดงอย่างเห็นได้ชัด ปากมันเม้มเข้าหากันแล้วคลายออก ผมโน้มหน้าไปใกล้ เริ่มเห็นความหวังอยู่รำไร

     “นะ นอนกับกู”

     “…อื้อ ก็ได้” ซนพยักหน้าหงึกๆ ริมฝีปากผมจุดยิ้มพอใจ ผมจูงมือมันกลับมาที่เตียง ซนยอมเดินตามมา ไม่หือไม่อือเหมือนก่อนหน้า ผมลอบยิ้ม ดูเหมือนผมจะเจอจุดอ่อนเจ้าตัวดีเข้าแล้ว





     “พี่ธาร”

     “อะไร” ผมขานรับหลังจากเดินไปปิดไฟกลางห้อง ซนนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ผมก้าวขึ้นเตียงไปนั่งมองตามันผ่านความมืด

     ซนอ้าปากแล้วก็หุบปาก ก่อนจะอ้าใหม่อีกครั้ง ทำแบบนี้สลับกันเหมือนอยากพูดบางอย่างแต่ไม่กล้า

     “ถ้าไม่พูดกูจะนอนแล้วนะ ง่วง”

     “แป๊บดิพี่” ซนเอื้อมมือมาห้ามผมที่ทำท่าจะล้มตัวนอน มันอึกอักอยู่สักพักก่อนจะพูดออกมาในที่สุด “พี่ธาร...เอ่อ...พี่เคยชอบคนที่ไม่ควรชอบไหม”

     “เคยสิ”

     “จริงเหรอ” ซนตาโต รีบขยับมาใกล้จนผมได้กลิ่นครีมอาบน้ำจากตัวมัน “แล้วพี่ตัดใจยังไงอะ”

     “ทำไมต้องตัดใจ”

     “ก็เขาเป็นคนที่ไม่ควรชอบไม่ใช่เหรอ”

     “การที่เราชอบใครสักคนแปลว่าคนๆ นั้นต้องมีข้อดีบางอย่าง ยิ่งถ้าเป็นคนที่ไม่ควรชอบ มันก็ยิ่งชัดว่าเราชอบเขาจริงๆ ถึงยอมเปลี่ยนใจไม่ใช่เหรอ”

     ซนเงียบไป คงกำลังเก็บคำพูดผมไปคิด เจ้าตัวดีหลุบตา เอาแต่มองตักตัวเอง ผมเห็นว่ามันไม่พูดอะไรต่อจึงล้มตัวลงนอน

     “แล้ว...แล้วผมควรชอบเขาต่อไปหรือตัดใจดี”

     ผมเบนสายตาไปมอง ดวงตาเราสบกันผ่านความมืด สีหน้าของซนมีความไม่แน่ใจ ความลังเล และความกลัว ผมยิ้มให้มัน เป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความหมาย

     “ชอบต่อไปเถอะ เพราะบางทีคนๆ นั้นอาจจะใจตรงกับมึงก็ได้”

     ซนเงียบไปอีกรอบ มันหลบตาผม ถึงจะอยู่ในความมืดแต่ผมก็เดาออกว่ามันกำลังทำหน้ายังไง ซนล้มตัวนอนโดยหันหลังให้ผม ไม่ถามอะไรอีก

     “ผมจะนอนแล้ว ฝันดีครับ”

     “อืม ฝันดี”

     ผมรออยู่พักใหญ่ๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอจึงชะโงกหน้าไปดู ซนหลับไปแล้ว พอรู้อย่างนั้นผมจึงค่อยๆ ขยับไปใกล้ ผมพลิกตัวเด็กเอ๋อให้หันมา รวบตัวมันมากอดแนบอก กดจูบบนหน้าผากด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี

     ผมรู้ว่าที่ซนพูดถึงหมายถึงผม แต่ที่ไม่รู้คือมันกำลังกังวลอะไร แต่ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร ผมจะทำให้ซนมั่นใจว่าผมเป็นคนที่ดีพอสำหรับมัน

     ตอนนี้ซนเริ่มชอบผมขึ้นมาแล้ว อย่างต่อไปที่ต้องทำคือเข้าไปใกล้มันกว่านี้ ผมเอาแต่มองมันจากที่ไกลๆ มาตลอด แต่หลังจากนี้จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter :    earthxxide  (https://twitter.com/earthxxide? t=muF0165hiRexxkrO2QLULw&s=09)

     Fanpage :    Earthxxide  (https://www.facebook.com/earthxxide? mibextid=ZbWKwL)
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 20] ✪ 14/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 14-05-2023 17:36:08
 :katai3: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 20] ✪ 14/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 15-05-2023 16:10:20
 :z1: :z1: :z1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 20] ✪ 14/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: prateep ที่ 15-05-2023 18:10:12
 :m20:
หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 21] ✪ 16/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 16-05-2023 18:57:50
ตอนที่ 21
ข้อดีของผู้ชายปากร้าย


     เช้านี้ผมตื่นมาด้วยความรู้สึกเหมือนโดนผีอำ

     ผมเกือบร้องแหกปากออกมา ถ้าไม่เห็นมือที่กำลังกอดรอบเอวเสียก่อน ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอก ไม่ใช่ผีแต่เป็นมือพี่ธารเองเหรอเนี่ย เกือบขวัญหนีดีฝ่อแล้วไหมล่ะ

     หือ? มือพี่ธารเหรอ

     “ว้ากกกก”

     “ซน! เป็นอะไร” พี่ธารสะดุ้งตื่นขึ้นมา ถามผมด้วยใบหน้าตกใจ ผมขยับไปชิดขอบเตียง ได้แต่มองอีกฝ่ายด้วยดวงตาตื่น มือที่ชี้ไปข้างหน้าสั่นเทา

     “พี่...พี่มากอดผมได้ไง”

     พี่ธารขมวดคิ้ว แต่ครู่เดียวก็คลายคิ้วออกแล้วระเบิดเสียงหัวเราะ “อย่าบอกนะว่ามึงตกใจที่โดนกูกอด”

     ผมไม่ตอบแต่พยักหน้า เสียงหัวเราะจึงดังกว่าเดิม

     “ให้ตายสิ มึงนี่นะ...” พี่ธารขยับมาใกล้ ผมอยากหนีแต่ติดที่ไม่มีที่ให้หนี หน้าพี่ธารอยู่ห่างแค่คืบเดียว มันใกล้เสียจนหัวใจผมเต้นโครมคราม

     “อะ...เอาหน้ามาใกล้ทำไม”

     “แค่อยากเห็นชัดๆ ว่าหน้าตาเด็กขี้ตกใจเป็นยังไง”

     “แล้วพี่มากอดผมทำไมเล่า โดนผู้ชายด้วยกันกอดใครจะไม่ตกใจ”

     “งั้นกูกอดมึงทุกคืนเลยดีไหม มึงจะได้ชิน”

     “มันใช่เรื่องที่ควรชินไหม” ผมถลึงตาใส่ เจอแบบนี้เข้าไปอาการงัวเงียหายเป็นปลิดทิ้งทันที พี่ธารถอนหน้าออกไป รอยยิ้มขำยังติดใบหน้า ผมเสมองไปทางอื่น พออาการตกใจหายไปแล้วความรู้สึกประหม่าเมื่อคืนก็กลับมา

     “จะอาบน้ำที่นี่หรือกลับไปอาบบ้านตัวเอง”

     “อาบบ้านผม”

     “งั้นเดี๋ยวกูตามไป ขออาบน้ำก่อนแล้วจะไปทำอาหารเช้าให้”

     ผมขานรับในลำคอ รีบลงจากเตียงแล้วออกมาจากห้อง ผมเดินกลับบ้านตัวเองด้วยอาการเหม่อลอย มาถึงบ้านตอนไหนไม่รู้ตัวสักนิด เช้านี้ผมโดนพี่ธารกอด และดูเหมือนจะกอดมาทั้งคืนด้วย ผมไม่ควรรู้สึกดีกับอ้อมกอดพี่ธาร แต่มันก็เป็นไปแล้ว

     จนถึงตอนนี้ผมยังไม่อยากเชื่อว่าผมชอบพี่ธาร ยิ่งได้อยู่ด้วยกันความรู้สึกข้างในก็ยิ่งเด่นชัด การชอบผู้ชายด้วยกันไม่ใช่สิ่งผิด ผมไม่เคยรังเกียจเพศที่สาม แต่ผมไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดกับตัวเอง การทำใจยอมรับจึงไม่ใช่เรื่องง่าย

     ถึงจะเสียศูนย์ไปหน่อยแต่ผมก็ไม่คิดจะหลอกตัวเอง ไม่ว่าตอนนี้ผมจะรับได้หรือไม่ ความจริงที่ว่าผมชอบพี่ธารก็ไม่เปลี่ยน ผมชอบพี่ธาร หลังถามตัวเองเป็นร้อยๆ รอบผมก็มั่นใจ แต่จากนี้ผมควรทำอะไรต่อ หลังรู้ใจตัวเองแล้วผมควรทำอะไรต่อไป ผมไม่รู้สักนิด

     ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ลงมาชั้นล่าง ไม่นานพี่ธารก็มาทำอาหารเช้าให้ วันนี้ทั้งผมและพี่ธารไม่มีเรียน เราจึงเอื่อยเฉื่อยได้เต็มที่ ระหว่างพี่ธารทำอาหารผมก็เอาผ้าในตะกร้าไปใส่เครื่อง

     เดี๋ยวนี้ผมใช้เครื่องซักผ้าเป็นแล้วนะ ก็ได้พี่ธารช่วยสอนให้นั่นแหละ พี่ธารสอนผมทำงานบ้านทุกอย่าง ทั้งกวาด เช็ด ถู จนผมรู้สึกเป็นเด็กดีขึ้นมาทันที

     พอคิดมาถึงตรงนี้ผมก็เริ่มฉุกคิดบางอย่าง หรือนี่จะเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมชอบพี่ธาร ผมอาจจะชอบความเอาใจใส่ ความเป็นห่วงเป็นใย ความอ่อนโยนของพี่ธาร ผมหันไปมองคนที่อยู่ในครัว ผู้ชายตัวโตๆ กำลังทอดอะไรสักอย่างในกระทะ ภาพตรงหน้าทำให้ผมหลุดยิ้ม วินาทีนั้นเองที่ผมได้คำตอบให้ตัวเอง

     รู้ใจตัวเองแล้วควรทำอะไรต่อ ไม่เห็นยาก ก็แค่ชอบต่อไปเรื่อยๆ ไง





     “ยิ้มอะไร” พี่ธารหันมาถาม เราหยุดยืนหน้าโซนผักเพื่อแวะซื้อผักกาดขาวกับเห็ดเข็มทอง

     “ไม่บอก”

     “เดี๋ยวนี้หัดมีความลับกับกูเหรอเอ๋อ” พี่ธารถามน้ำเสียงหาเรื่องแต่มุมปากยกยิ้ม เราสองคนมาซูเปอร์มาเก็ตใกล้บ้านเพื่อซื้อของไปทำสุกี้

     “ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก พี่อย่าสนเลย” ผมทำเป็นเดินไปหยิบผักกาดขาวบนชั้น เลือกไม่เป็นหรอก หยิบมาส่งๆ ไปงั้นแหละ

     “มึงหยิบมาทำไม” พี่ธารมองผักที่ผมเพิ่งวางลงตะกร้า

     “พี่จะเอาผักกาดขาวไม่ใช่เหรอ”

     “นี่มันกะหล่ำปลี”

     “…”

     รีบหยิบไปวางที่เดิมแทบไม่ทัน ไม่น่าเลย ไม่น่าเปลี่ยนเรื่องด้วยวิธีนี้เลยกู พี่ธารมองมาด้วยสายตาขำ ผมมุ่ยหน้า อยู่ดีไม่ว่าดีหาเรื่องให้ตัวเองหน้าแตกเล่นซะงั้น

     “สงสัยนอกจากงานบ้านแล้วกูต้องสอนความรู้รอบตัวด้วยสินะ”

     “หยิบผิดนิดเดียวเอง พี่จะใส่ใจทำไม”

     “จำผักกาดขาวกับกะหล่ำปลีสลับกัน กูว่าไม่นิดแล้วนะ”

     ใครๆ ก็ต้องเคยจำผิดปะวะ แม่งคล้ายกันขนาดนั้น ผมไม่เชื่อหรอกว่าทั้งโลกมีแค่ผมคนเดียวที่จำผิด

     เอ๊ะ หรือมีแต่ผมจริงๆ วะ ชักไม่แน่ใจ

     “หึๆ” พี่ธารขำหน้ามุ่ยๆ ของผมก่อนเดินไปโซนอื่นต่อ ผมรีบเดินตามไป พอพ้นสายตาริมฝีปากก็คลี่ยิ้มอีกครั้ง ตอนแรกว่าจะบอกว่าผมยิ้มอะไร แต่แกล้งกันขนาดนี้ไม่บอกดีกว่า ปล่อยให้สงสัยนั่นแหละ

     ผมก็แค่ดีใจที่เมื่อเช้าผมพูดเล่นๆ ว่าอยากกินสุกี้ พี่ธารว่าผมเรื่องมาก แต่ยังไม่พ้นครึ่งวันก็พาผมมาซื้อของแล้ว ผมเลยอดยิ้มไม่ได้ มันก็เท่านั้นเอง





     “ยิ้มหน้าบานมาเชียวนะ มีเรื่องดีๆ เหรอ” ผิงถามทันทีที่ผมหย่อนก้นลง

     “ใช่”

     “เล่ามา” ผิงปิดหนังสือในมือ หันมาตั้งใจฟัง น้องนายเองก็หันมาเตรียมฟังทั้งที่ปากยังดูดชานมอยู่ เพื่อนผมไม่ค่อยอยากรู้เรื่องผมกันเท่าไหร่เลย

     “กูชอบพี่ธาร”

     “เหี้ย!!” ผิงตกใจจนเผลอปล่อยสัตว์เลื้อยคลานออกจากปาก น้องนายอ้าปากค้างจนหลอดตกลงไปในแก้ว ดูเหมือนเพื่อนผมจะตั้งตัวไม่ทันกับการสารภาพแบบปุบปับของผม

     “กูชอบพี่ธาร” ผมพูดซ้ำเผื่อเพื่อนได้ยินไม่ชัด

     “ไอ้ซน มึงพูดจริงเหรอ”

     “จริงสิ มึงบอกเองไม่ใช่เหรอว่ากูชอบพี่ธาร แล้วทำไมถึงตกใจอย่างนั้น”

     “กูไม่ได้ตกใจที่มึงชอบพี่ธาร แต่กูไม่นึกว่ามึงจะพูดออกมาเต็มปากแบบนี้ วันก่อนมึงยังดูลังเลอยู่เลย”

     “จริงครับ หรือคุณซนเอาวิธีของคุณผิงไปใช้แล้ว เลยมั่นใจว่าชอบพี่ธารจริงๆ”

     “ใช่” ผมตอบเพื่อนตามตรง ในเมื่อรู้ใจตัวเองแล้วก็ไม่มีอะไรต้องปกปิด ผิงทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อหูตัวเอง แต่สักพักก็เปลี่ยนเป็นหน้าเซ็ง พาให้ผมเลิกคิ้ว

     “เสียเงินแต่เช้าเลยกู” ผิงหยิบธนบัตรสีม่วงออกมายื่นให้น้องนาย

     “ผมยังไม่รับท้าพนัน คุณผิงไม่ต้องจ่ายก็ได้ครับ”

     “เอาไปเถอะ กูพูดเองก็ต้องทำให้ได้ ใครจะไปรู้ล่ะว่าไอ้ซนจะกล้า” ผิงยัดเงินใส่มือน้องนาย ผมที่จับต้นชนปลายไม่ถูกรีบถามออกไป

     “พวกมึงพนันอะไรกัน”

     “คุณผิงพนันกับผมว่าคุณซนจะกล้าเอาแผนปากแตะปากไปใช้กับพี่ธารหรือเปล่า”

     “พวกมึงนี่มัน...”

     “ผมไม่ได้รับพนันนะครับ” น้องนายรีบยกมือปฏิเสธ แต่พอรู้ตัวว่าในมือตัวเองมีเงินอยู่จึงเปลี่ยนเป็นยิ้มเจื่อน

     “ใครจะคิดล่ะว่าคนอย่างมึงจะกล้า ถ้าเป็นกูก็ว่าไปอย่าง” ผิงพูดอย่างเซ็งๆ แต่ไม่นานก็ยิ้มแปลกๆ อะไรของมัน เปลี่ยนอารมณ์ไวชะมัด “ว่าแต่...นุ่มหรือเปล่าวะ”

     “อะไรนุ่ม”

     “ปากพี่ธารไง”

     “มะ...ไม่บอกโว้ย” ผมรีบหันหน้าหนี ไม่อยากให้เพื่อนเห็นหน้าแดงๆ ของตัวเอง พอผิงพูดแบบนี้ผมดันนึกไปถึงตอนที่ปากผมกับพี่ธารแตะกัน หยุด! หยุดคิดเดี๋ยวนี้ไอ้ซน

     “แหม พอรู้ใจเข้าหน่อยเก็บอาการไม่มิดเชียวนะ”

     “คุณซนหน้าแดงมากเลยครับ”

     “จะแซวให้ได้อะไรวะพวกมึงนี่” ผมโมโหกลบเกลื่อน ถามขนาดนี้ใครจะไม่หน้าแดง แล้วปากพี่ธารก็ดันนุ่มเหมือนที่ผิงถามจริงๆ พูดแล้วก็อยากลองอีกรอบ...

     อ๊ากกกก บอกให้หยุดคิดไงไอ้ซน!!





     “ซน”

     “…”

     “ซน”

     “…”

     “เอ๋อ!”

     “ครับ?” ผมกะพริบตาปริบ พี่ธารขมวดคิ้ว หยุดมือที่กำลังทำอาหารมามองผม

     “เป็นอะไร กูเรียกตั้งนานก็ไม่ได้ยิน หูตึงเหรอ”

     “ผม...เหม่อนิดหน่อย”

     “ไปหยิบกุ้งในตู้เย็นมาให้หน่อย ไข่สองฟองด้วย”

     “ครับ” ผมรีบไปหยิบของตามคำบัญชา สะบัดหน้าเบาๆ ไล่ความคิดในหัวออกไป ผิงนะผิง ไม่น่าเอาเรื่องปากนุ่มมาใส่หัวเลย ตาผมเลยเอาแต่มองปากพี่ธารตลอดเวลา

     “นี่ครับ” ผมส่งกุ้งกับไข่ให้พี่ธาร ถอยออกมาสองก้าวเพื่อมองพี่มันทำอาหาร พี่ธารนี่เหมาะกับคำว่าพ่อบ้านจริงๆ หน้าตาก็หล่อ ทำอาหารก็เก่ง งานบ้านก็ไม่ขาดตกบกพร่อง ดูอย่างตอนนี้สิ แค่แกะเปลือกกุ้งด้วยหน้านิ่งๆ ยังดูดีเลย

     “พี่จะทำอะไรอะ”

     “กุ้งผัดกระเทียมกับไข่เจียวหัวหอม”

     “ผมไม่ชอบหัวหอม” ผมนิ่วหน้า

     “ไม่ชอบก็ต้องกิน มันมีประโยชน์”

     “แต่มันไม่อร่อย”

     “หวานเป็นลมขมเป็นยา เคยได้ยินไหม” พี่ธารละมือที่กำลังตีไข่ หันมาเคาะหน้าผากผมเบาๆ “เลือกกินเป็นเด็กเลยนะมึง หัดโตซะบ้าง”

     “พูดอย่างกับตัวเองไม่มีของที่เกลียด”

     “กูไม่ได้เลือกกินเหมือนมึง”

     ผมนิ่วหน้ากว่าเดิม พี่ธารหัวเราะหึๆ ท่าทางชอบใจที่ทำให้ผมหน้าบูดได้

     “ยังไงผมก็ไม่กิน” ผมยกมือกอดอก ทำปากยื่นปากยาว แต่แทนที่จะดุเหมือนทุกทีพี่ธารกลับยิ้ม

     “ที่เคยบอกว่าเป็นห่วงกู มึงพูดจริงหรือเปล่า”

     ผมหน้าเหลอหลาเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็เปลี่ยนประเด็น อารมณ์ไหนของพี่มันวะ

     “พูดจริงสิ”

     “งั้นมึงก็อยากให้กูกินอาหารมีประโยชน์ใช่ไหม”

     “ก็...ก็ใช่”

     “กูก็เหมือนกัน กูเป็นห่วงมึงถึงอยากให้กินอาหารมีประโยชน์ รู้แบบนี้แล้วยังจะดื้ออยู่อีกไหม”

     ยังจะถามอีกเหรอ พูดขนาดนี้ใครจะไปดื้ออยู่ได้ล่ะ ผมได้แต่พยักหน้าขานรับในลำคอ พี่ธารยิ้ม เอื้อมมือมาลูบหัวผม

     “เด็กดี”

     น้อยครั้งมากที่พี่ธารจะชมผม ถ้าเป็นปกติผมคงหัวฟัดหัวเหวี่ยงที่พี่มันพูดเหมือนผมเป็นเด็ก แต่ตอนนี้ผมรู้ใจตัวเองแล้ว ความรู้สึกจึงต่างออกไป พอโดนคนที่ตัวเองชอบชมหัวใจมันเลยพองโต

     ‘การที่เราชอบใครสักคนแปลว่าคนๆ นั้นต้องมีข้อดีบางอย่าง ยิ่งถ้าเป็นคนที่ไม่ควรชอบ มันก็ยิ่งชัดว่าเราชอบเขาจริงๆ ถึงยอมเปลี่ยนใจไม่ใช่เหรอ’

     จู่ๆ คำพูดพี่ธารก็ผุดขึ้นมาในหัว ผมมองอีกฝ่ายนิ่งก่อนจะถามออกไป

     “พี่ธาร”

     “อะไร”

     “พี่เคยทำแบบนี้กับใครหรือเปล่า”

     พี่ธารหยุดมือที่กำลังเทไข่ลงกระทะ หันมาเลิกคิ้วให้ผม

     “ทำอะไร ทอดไข่น่ะเหรอ”

     “ไม่ใช่” ผมส่ายหน้า “ที่พี่ดุผม ว่าผมเอ๋อบ่อยๆ สอนผมหลายๆ อย่าง แล้วก็...ที่เป็นห่วงผม พี่เคยทำแบบนี้กับคนอื่นไหม”

     พี่ธารทำหน้าเหมือนอยากพูดว่า ‘อ๋อ เรื่องนี้เอง’ ก่อนจะหันไปทอดไข่เหมือนเดิม จนผมต้องทวงคำตอบอีกครั้ง

     “ตอบผมก่อนดิ”

     “มึงเห็นกูอยู่กับใครหรือเปล่าล่ะ”

     ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบ

     “ก็รู้นี่ วันๆ กูอยู่แต่กับมึง จะให้ไปดุไปด่าใครได้ มีมึงคนเดียวก็ป่วนพอแล้ว อย่าหาภาระเพิ่มให้กูเลย”

     ผมควรโกรธที่พี่ธารพูดอย่างนั้น แต่ที่ผมไม่รู้สึกอะไรคงเพราะพี่ธารพูดด้วยเสียงนุ่มทุ้มจนไม่เหมือนกำลังโดนว่า ริมฝีปากผมยกยิ้ม รอยยิ้มนั้นกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนผมต้องเบือนหน้าหนี ผมว่าผมเจอแล้วล่ะ ข้อดีที่ทำให้ผมชอบคนที่ไม่ควรชอบ

     ผมชอบพี่ธารที่ดุผมคนเดียว เรียกผมว่าเอ๋อคนเดียว และเป็นห่วงผมคนเดียว ข้อดีของผู้ชายปากร้ายคนนี้ คือการทำให้ผมรู้สึกเป็นคนพิเศษยังไงล่ะ



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter :    earthxxide  (https://twitter.com/earthxxide? t=muF0165hiRexxkrO2QLULw&s=09)

     Fanpage :    Earthxxide  (https://www.facebook.com/earthxxide? mibextid=ZbWKwL)
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 21] ✪ 16/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 16-05-2023 22:39:28
 :pighaun: :haun4:
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 21] ✪ 16/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 17-05-2023 14:04:24
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 22] ✪ 19/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 19-05-2023 15:58:17
ตอนที่ 22
เข้าใจไหม?


     -น้องนาย-

     “พี่ธารพูดอย่างนั้นเหรอ” คุณผิงพูดขึ้นมาหลังคุณซนเล่าเรื่องพี่ธารกับพี่เต้ให้ฟัง หลังจากเมื่อวานไม่ได้ถามเพราะมัวแต่สนใจเรื่องที่คุณซนชอบพี่ธาร

     “ใช่”

     “แปลก”

     “ใช่ไหม กูก็ว่าแปลก พี่ธารพูดเหมือนพี่เต้เป็นคนไม่ดี ไม่น่าคบอย่างนั้นแหละ”

     “กูไม่ได้หมายถึงแปลกอย่างนั้น”

     “อ้าว แล้วมึงหมายถึงอะไร”

     คุณผิงจ้องคุณซนอยู่นาน จนคนถูกจ้องต้องถามว่ามองอะไร

     “กูคิดว่าพี่ธารชอบมึง”

     “เฮ้ย!” คุณซนดูจะตกใจคำพูดของคุณผิงไม่น้อย แม้แต่ผมที่นั่งฟังเงียบๆ ยังอดตกใจไม่ได้ ไม่นึกว่าคุณผิงจะยังคิดแบบนี้อยู่

     “ไม่ต้องเฮ้ย กูพูดจริงๆ”

     “อะไรทำให้มึงคิดแบบนั้นวะ”

     “ก็ไม่ได้อยากพูดอย่างนี้หรอก พูดเองก็เจ็บเอง แต่เหมือนทั้งพี่ธารกับพี่เต้จะกำลังชอบมึง และตอนนี้พี่ธารก็กำลังกันมึงออกจากพี่เต้ที่เป็นศัตรูหัวใจ”

     “มึงดูละครเยอะไปแล้วผิง” คุณซนทำหน้าไม่เชื่อ แน่ล่ะครับ เรื่องแบบนี้ใครจะไปเชื่อลง ผมไม่ได้ว่าคุณซนขี้เหร่ แต่การที่คนดังอย่างพี่ธารกับพี่เต้จะมาชอบพร้อมกัน ดูยังไงก็เหลือเชื่อเกินไป

     “กูก็ไม่ได้มั่นใจความคิดตัวเองหรอก แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้แล้วจะเป็นอะไรได้อีก อีกอย่าง...”

     “อีกอย่างอะไร”

     “วันที่พี่ธารเอาดอกกุหลาบมาให้มึง ตอนนั้นกูกับน้องนายก็คิดว่าหรือพี่ธารจะชอบมึง”

     “เฮ้ย!!” วันนี้เพื่อนผมดูท่าจะขวัญอ่อนกว่าปกติ คุณผิงพูดอะไรสะดุ้งตลอด

     “แต่พวกกูก็เลิกคิดไป เพราะถ้าพี่ธารชอบมึงจริงป่านนี้คงมีอะไรคืบหน้าไปแล้ว”

     “แต่ละอย่างที่มึงคิดนี่สุดโต่งทั้งนั้นเลยนะ”

     “ตอนนั้นกูอาจจะดูละครเยอะเกินไป แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกันนะซน”

     “จะบอกว่าพี่ธารกับพี่เต้กำลังแข่งกันแย่งกู?”

     “มีความเป็นไปได้”

     “ไอ้ห่า พูดซะกูเหมือนสาวสวยที่มีผู้ชายมารุมจีบเลย” คุณซนทำท่าขนลุกขนพอง

     “แล้วไม่ใช่เหรอ”

     “ไม่ใช่โว้ยยย กูออกจะมาดแมน”

     “ความแมนมึงหายไปตั้งแต่ชอบพี่ธารแล้วค่ะ”

     “พูดกับมึงแล้วปวดหัว ไม่พูดดีกว่า” คุณซนหันมาทางผม ส่งยิ้มเห็นฟันมาให้ “มึงว่าไงน้องนาย ทำไมพี่ธารถึงอยากให้กูอยู่ห่างพี่เต้”

     “...”

     “น้องนาย”

     “…”

     “ไอ้น้องนาย!!”

     “ครับ!?” ผมสะดุ้ง รีบขานรับเสียงดัง “เมื่อกี้คุณซนว่าไงนะครับ”

     “กูถามว่ามึงคิดว่ายังไง ทำไมพี่ธารถึงอยากให้กูอยู่ห่างพี่เต้”

     “อ๋อ ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ แต่ทางที่ดีคุณซนอย่าเพิ่งเดาสุ่มสี่สุ่มห้าเลย รอฟังเหตุผลจากปากพี่ธารดีกว่า”

     คุณซนกับคุณผิงยังเอาแต่มองไม่หยุด ผมเลยเลิกคิ้ว หรือที่ผมพูดไปมีอะไรผิด

     “มึงเป็นไรวะวันนี้ ดูเหม่อๆ ไม่พูดไม่จาเลย”

     “เปล่าครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร” ผมคลี่ยิ้มเพื่อไม่ให้เพื่อนกังวล

     “แน่นะ”

     “แน่ครับ”

     คุณซนกับคุณผิงยังมองอย่างเป็นห่วง แต่ในเมื่อผมพูดอย่างนั้นทั้งสองคนจึงไม่ถามต่อ เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน

     รอยยิ้มผมค่อยๆ ลดลง สวนทางกับอาการปวดหัวที่เพิ่มขึ้น อยากกลับหอไปนอนจัง รู้แบบนี้เมื่อคืนกินยาดักไว้ก็ดี วันนี้มีเรียนเต็มวันด้วย แล้วผมจะรอดไหมเนี่ย





     “กูอยากกินน้ำแข็งไสอะ” คุณผิงพูดขึ้นมาหลังเรียนเสร็จ

     “เอาดิ กูกินด้วย วันนี้แม่งโคตรร้อนเลย มึงล่ะน้องนายอยากกินอะไร”

     “...”

     “น้องนาย”

     “…”

     คุณซนกับคุณผิงหันมามองเมื่อไม่เห็นผมตอบ ผมกำลังจะถามว่าเมื่อกี้คุณซนพูดอะไร แต่คุณผิงก็ยื่นหน้ามาใกล้เสียก่อน

     “เป็นอะไรวะ ทำไมหน้ามึงแดงแบบนั้น”

     “ผม...”

     คุณซนเอื้อมมือมาแตะหน้าผาก ก่อนจะทำตาโตหน้าตื่น “มึงมีไข้เหรอน้องนาย”

     “เฮ้ย ไหนๆ” คุณผิงเอามือมาแตะหน้าผากบ้าง ก่อนจะหลุดคำอุทาน “มึงไม่สบายแล้วทำไมไม่บอกพวกกู”

     “คือผม...”

     “ซน ผิง น้องนาย”

     พวกผมหันไปตามเสียงเรียก พี่บอนด์กับพี่ธารกำลังเดินมาทางนี้ ด้านหลังมีพี่ไกด์กับพี่โอปอล์ตามมา

     “จะไปกินข้าวกันใช่ไหม ดีเลย ไปด้วยกัน ไอ้ธารจะมาหาซนอยู่พอดี”

     คุณซนกับคุณผิงไม่ตอบ เอาแต่เหลือบมามองผมอย่างพะวง พี่ธารที่จับสังเกตได้เลยถาม

     “มีอะไรกัน”

     “เอ่อ...ตอนแรกพวกผมก็จะไปกินข้าวแหละครับ แต่น้องนายดันไม่สบายขึ้นมา เลยกำลังคิดอยู่ว่าจะเอายังไงดี”

     ผมได้ยินเสียงพี่โอปอล์อุทาน พี่บอนด์รีบเข้ามาหา ยกมือแตะหน้าผากเหมือนที่เพื่อนผมทำ

     “ทำไมร้อนขนาดนี้ แล้วนี่เป็นมานานหรือยัง” พี่บอนด์ก้มมาถาม แต่คนตอบไม่ใช่ผม

     “เหมือนจะเป็นมานานแล้วนะคะ ผิงเห็นมันแปลกๆ ตั้งแต่เช้า เมื่อกี้ผิงยังถามอยู่เลยว่าทำไมไม่บอก”

     “ผมไม่อยากให้คุณซนกับคุณผิงเป็นห่วง” ผมพูดเสียงอ่อย พยายามยิ้มทั้งที่ยิ้มแทบไม่ออก

     “มันใช่เรื่องที่ควรเกรงใจไหม” พี่บอนด์พูดเสียงดุ เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ผมเห็นพี่บอนด์ทำหน้าดุแบบนี้

     “ผมไม่เป็นไรครับ พี่บอนด์ไม่ต้องห่วง รีบไปกินข้าวกันเถอะครับเดี๋ยวโรงอาหารจะเต็มก่อน”

     “ยังจะห่วงเรื่องนั้นอีกเหรอ” พี่บอนด์ดุผมอีกครั้ง สีหน้าเหมือนผู้ใหญ่ดุเด็ก

     “ผมบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร...” ผมหยุดคำพูดไว้เมื่อจู่ๆ พี่บอนด์ก็คว้ามือไปจับ

     “พวกมึงพาน้องไปกินข้าวกันก่อน กูจะพานายกลับไปนอนพัก”

     “พี่บอนด์ ก็ผมบอกว่า...”

     “อย่าดื้อ” เจ้าของมือที่จับอยู่หันมาทำตาดุ อะไรเล่า ก็ผมไม่เป็นไรจริงๆ นี่ครับ แค่ปวดหัวนิดหน่อยเอง

     “ฝากเพื่อนผิงด้วยนะคะพี่บอนด์”

     “ครับ”

     พี่บอนด์จูงมือผมออกมา ไม่สนว่าผมจะร้องให้หยุดแค่ไหน ทำไมแรงเยอะแบบนี้นะ ผมฝืนไม่ได้เลย

     “พี่บอนด์ ผมมีเรียนตอนบ่าย”

     “เป็นหนักขนาดนี้ยังเรียนไหวอีกเหรอ รู้หรือเปล่าว่าตัวเองตัวร้อนแค่ไหน โดดสักวันไม่เป็นไรหรอก”

     “แต่ผมยังไม่อยากกลับ...”

     จู่ๆ คนตรงหน้าก็หยุดเดิน พาให้ผมหยุดตาม พี่บอนด์ตวัดสายตามามอง โน้มหน้ามาใกล้จนแทบชนกัน

     “จะมากับพี่ดีๆ หรือจะให้พี่อุ้ม”

     หือ!?

     “ไม่ตอบ แสดงว่าอยากให้อุ้มสินะ” พี่บอนด์ย่อตัวลง ทำท่าจะช้อนแขนเข้ามาใต้ขา ผมเลยต้องรีบห้ามไว้

     “ผม...ผมยอมแล้วครับ ผมกลับก็ได้”

     พี่บอนด์กระตุกยิ้ม หลังได้คำตอบพอใจแล้วก็จูงมือผมไปที่รถต่อ ผมได้แต่เดินตามคนตัวสูงไป ไม่กล้าพูดอะไรอีก กลัวจะโดนอุ้มโชว์คนที่เดินผ่านไปมาจริงๆ





     พี่บอนด์พาผมกลับมาที่หอ ตอนแรกผมคิดว่าเขาจะมาส่งอย่างเดียว แต่พี่บอนด์กลับตามขึ้นมาบนห้องทั้งที่ตัวเองมีเรียน ผมบอกให้กลับก็ไม่กลับ

     “ทีหลังถ้ารู้สึกไม่ดีต้องรีบบอกเพื่อน ไม่ก็ไลน์มาบอกพี่ เข้าใจไหม” พี่บอนด์ที่ตอนนี้ผันตัวมาเป็นคุณหมอชั่วคราวกำลังนั่งข้างเตียง ส่วนผมที่อยู่บนเตียงก็กัดแซนด์วิชที่ซื้อมาจากเซเว่นเข้าปาก บนหน้าผากมีเจลลดไข้แปะไว้ ผมไม่ได้หิวหรอก พี่บอนด์นั่นแหละบังคับให้กิน บอกว่าจะได้กินยาหลังอาหารแล้วนอนพัก

     “เข้าใจหรือเปล่า” พี่บอนด์ถามซ้ำเมื่อเห็นผมไม่ตอบ

     “ไม่เข้าใจครับ” ผมตอบทั้งที่ยังเคี้ยวแซนด์วิชไม่หมด พี่บอนด์ขมวดคิ้ว

     “ไม่เข้าใจอะไร”

     “ไม่เข้าใจว่าทำไมพี่บอนด์ต้องมาเป็นห่วงผมด้วย ผมไม่ได้เป็นหนักนะครับ”

     “จะหนักหรือเบาพี่ก็ห่วงทั้งนั้น ทีหลังต้องดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้ เข้าใจไหม” อีกแล้ว เอาแต่ถามเข้าใจไหมอย่างเดียว จะให้ผมเข้าใจอะไรล่ะ ตัวเองยังไม่ยอมอธิบายเลยว่าทำไมถึงเป็นห่วง

     “เข้าใจครับ” ผมตอบตัดปัญหา ทึกทักเอาเองว่าพี่บอนด์คงเห็นผมเป็นน้องชายจริงๆ ถึงเป็นห่วง ถ้าอย่างนี้ผมก็พอจะเข้าใจได้

     พี่บอนด์เห็นว่าผมกินแซนด์วิชหมดแล้วเลยส่งยากับแก้วน้ำมาให้ ผมรับมากรอกเข้าปาก พี่บอนด์รับแก้วคืนไปก่อนจะดันตัวผมลงนอน ดึงผ้าห่มมาคลุมให้

     “ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ครับ พี่บอนด์รีบไปเรียนเถอะ” ผมหันไปบอกคนตัวสูง

     “หน้ายังแดงอยู่เลย จะให้พี่ทิ้งเราอยู่คนเดียวได้ไง”

     “แต่...”

     “ไม่มีแต่ นอนไปได้แล้วอย่าดื้อ” พี่บอนด์ลุคนี้ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ผมเคยเห็นแต่หน้ายิ้มๆ กับเสียงหัวเราะที่มักจะได้ยินบ่อยๆ แต่พี่บอนด์ในตอนนี้ดูเป็นผู้ใหญ่ สุขุมและจริงจัง เขาทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กที่กำลังถูกปกป้อง

     “หนาวไหม อยากให้ลดแอร์หรือเปล่า” พี่บอนด์โน้มหน้ามาถาม ผมส่ายศีรษะเป็นคำตอบ

     “พอผมหลับแล้วพี่บอนด์ก็กลับไปเรียนนะครับ”

     “ไล่อีกแล้ว”

     “ผมไม่ได้ไล่ครับ แต่ผมไม่เห็นความจำเป็นที่พี่ต้องอยู่ต่อ ผมกินยาแล้ว เจลลดไข้ก็อยู่บนหัว แถมกำลังจะนอนพักอีก ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว”

     “นี่จะให้พี่กลับให้ได้เลยใช่ไหม”

     “ก็พี่บอนด์มีเรียน”

     ร่างสูงพ่นลมหายใจ ดวงตาที่มองมาทั้งขำทั้งเหนื่อยใจ “ตกลง ไว้เราหลับแล้วพี่จะกลับไปเรียน”

     ผมคลี่ยิ้มพอใจ พี่บอนด์ไม่ชวนคุยอะไรอีก ผมเองก็ตาเริ่มปิดเพราะฤทธิ์ยาลดไข้ แต่ก่อนที่ผมจะหลับไป มือหนาก็เอื้อมมาวางบนศีรษะ พร้อมกับเสียงทุ้มที่เบาจนผมได้ยินไม่ชัด

     “ป่วยขนาดนี้ยังจะห่วงคนอื่นอีก จะน่ารักไปถึงไหนนะ”





     ผมค่อยๆ ลืมตา สิ่งแรกที่มองเห็นคือเพดานห้องตัวเอง อาการหนักหัวทุเลาลงไปบ้างแล้ว ผมค่อยๆ ดันตัวเองลุกขึ้น เจลลดไข้หล่นมาอยู่บนตัก มองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นพี่บอนด์ คงจะกลับไปเรียนแล้ว ผมกำลังจะก้าวลงจากเตียง แต่สายตาดันเหลือบไปเห็นบางอย่างก่อน

     ผมเดินไปหยิบสิ่งนั้นมาดู มันคือโทรศัพท์ของพี่บอนด์ สงสัยเจ้าตัวจะรีบไปเรียนจนลืมไว้ ผมนิ่วหน้าเล็กน้อย ชั่งใจว่าจะเอายังไงดี ถ้าไม่รีบเอาไปคืนพี่บอนด์อาจเดือดร้อน แต่จะให้ไปคืนตอนนี้เลยผมก็ยังไม่ฟื้นตัวจากไข้ขนาดนั้น

     ขณะที่ผมกำลังยืนจ้องโทรศัพท์ ประตูห้องน้ำก็เปิดออก ก่อนที่ร่างของคนที่ผมนึกว่ากลับไปแล้วจะออกมา พี่บอนด์ชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าผมยืนอยู่กลางห้อง ต่างกับผมที่มีสีหน้าแปลกใจ

     “ตื่นแล้วเหรอ” พี่บอนด์เดินมาหาผม ก่อนสายตาจะตกลงมองโทรศัพท์ในมือ “มีคนโทรมาเหรอ”

     “เปล่าครับ ผมนึกว่าพี่บอนด์กลับไปแล้วลืมโทรศัพท์ไว้” ผมส่งโทรศัพท์คืนให้อีกฝ่าย “พี่บอนด์อยู่เฝ้าผมตลอดเลยเหรอครับ”

     “ใช่”

     ผมมุ่ยหน้า บอกให้กลับไปเรียนทำไมไม่ฟังบ้างเลย มาส่งผมถึงห้องแล้วยังต้องห่วงอะไรอีก ผมแค่ไม่สบาย ไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงเสียหน่อย

     “ทำไมทำหน้าแบบนั้น”

     “พี่บอนด์โกหกผม”

     “โกหกอะไร”

     “โกหกว่าจะไปเรียน”

     “ก็ถ้าไม่ทำอย่างนี้เด็กแถวนี้ก็เอาแต่ดื้อ ไม่ยอมนอนท่าเดียว” พี่บอนด์พูดยิ้มๆ ยกมือมาแตะหน้าผาก “ไข้ลดลงแล้วนี่ เห็นไหม เพราะพี่ดูแลดีขนาดนี้เราถึงหาย ไหนล่ะคำขอบคุณ”

     “ผมไม่ได้ขอให้มาดูแลซะหน่อยครับ” ผมหันหน้าหนี ไม่บ่อยที่ผมจะทำตัวเสียมารยาทกับคนอายุมากกว่า แต่ครั้งนี้มันอดไม่ได้จริงๆ

     “ทำไมพูดแบบนั้น” พี่บอนด์ขมวดคิ้ว

     “ก็พี่บอนด์โกหกผมก่อนทำไมล่ะครับ”

     “นี่คือจะงอนเรื่องนี้จริงๆ ใช่ไหม”

     “ไม่รู้ครับ”

     พี่บอนด์ถอนหายใจ จูงมือผมกลับมาที่เตียง คนตัวสูงนั่งลงปลายเตียง มีผมยืนอยู่ตรงหน้า พี่บอนด์ยังไม่ยอมปล่อยมือ แต่ยกมาลูบเล่นจนผมรู้สึกแปลกๆ

     “ถ้าซนหรือผิงไม่สบาย เราจะเป็นห่วงไหม” จู่ๆ พี่บอนด์ก็ถามขึ้นมา ผมงงนิดหน่อยแต่ก็ยอมตอบ

     “ก็ต้องห่วงสิครับ”

     “แล้วเราจะทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวไหม”

     “ไม่ทิ้งแน่นอนครับ ถ้าคุณซนกับคุณผิงไม่สบายผมจะอยู่เป็นเพื่อนทั้งวันทั้งคืนเลย” ผมตอบออกไปแล้วก็ชะงัก เริ่มเข้าใจสิ่งที่คนตรงหน้าตั้งใจจะสื่อ

     “เห็นไหม พี่ก็เหมือนกัน พี่เป็นห่วงเรา อยากอยู่ดูแลจนกว่าจะมั่นใจว่าเราหายดีแล้วจริงๆ”

     “แต่พี่บอนด์ไม่ได้เป็นเพื่อนผมเหมือนคุณซนกับคุณผิงนะครับ”

     “พี่ก็ไม่ได้บอกว่าเป็นเพื่อน ใครว่าพี่อยากเป็นเพื่อนกับเรา”

     ผมมองตาพี่บอนด์นิ่ง พี่บอนด์ก็มองกลับมา ผ่านไปสักพักผมจึงร้องอ๋อในลำคอ พี่บอนด์เลิกคิ้ว

     “รู้เหรอว่าที่พูดหมายถึงอะไร”

     “รู้สิครับ” ผมยิ้มให้คนตรงหน้า “พี่บอนด์อายุมากกว่าผม ให้เป็นเพื่อนคงไม่ได้ เลยอยากเป็นพี่ชายผมใช่ไหมล่ะครับ ก็พี่บอนด์ขี้เหงาแถมไม่เคยมีน้อง เลยอยากได้ผมไปเป็นน้อง...โอ๊ย!”

     ผมยกมือกุมหน้าผาก จู่ๆ พี่บอนด์ก็มาดีดหน้าผากไม่บอกไม่กล่าว รังแกคนป่วยมันไม่ดีนะครับ

     “เอาความคิดนี้มาจากไหน”

     “ผมคิดเองครับ”

     “งั้นก็เลิกคิดเดี๋ยวนี้เลย คิดจะเป็นแค่พี่น้องเหรอเจ้าตัวยุ่ง ฝันไปเถอะ” พี่บอนด์เอื้อมมือมาบีบจมูกเบาๆ ผมปัดมือออกก่อนจะถามกลับไป

     “พี่ว่าผมยุ่งเหรอครับ”

     “หรือไม่ใช่ คนเขาจีบแทบตาย จู่ๆ จะให้เป็นพี่ชาย ใครจะไปยอม”

     “อะไรนะครับ” ประโยคหลังพี่บอนด์พูดเสียงเบา ผมเลยได้ยินไม่ถนัด รู้แค่ว่าอะไรแทบตายนี่แหละ

     “ถามจริงเถอะ พี่ทำขนาดนี้เราไม่รู้จริงๆ เหรอ” คนตรงหน้าตอบกลับมาด้วยคำถาม

     “พี่บอนด์ทำอะไรครับ แล้วผมต้องรู้อะไร”

     พี่บอนด์ถอนหายใจ สีหน้าทั้งขำ ทั้งเหนื่อยใจ ทั้งอยากยิ้มพร้อมๆ กัน

     “เอาเถอะ ไว้หายดีก่อนแล้วค่อยมาคุยเรื่องนี้กันจริงๆ จังๆ”

     “คุยอะไรครับ”

     “เดี๋ยวเราก็รู้ แต่ตอนนี้ลืมความคิดนั่นไปซะ จำไว้ว่าพี่ไม่ใช่พี่ชายเรา เข้าใจไหม” พี่บอนด์วางมือบนศีรษะแล้วโยกเบาๆ คำถามเดิมรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของวัน ผมที่ไม่มีทางเลือกเลยได้แต่ตอบว่า...

     “เข้าใจครับ”

     เอาเถอะครับ ถ้าพี่บอนด์ไม่อยากเป็นพี่ชายผมก็ไม่บังคับ บางทีเพื่อนกันไม่จำเป็นต้องอายุเท่ากันก็ได้ อยากเป็นเพื่อนผมก็บอกดีๆ สิ จะอ้อมค้อมทำไมก็ไม่รู้นะพี่บอนด์เนี่ย



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter :    earthxxide  (https://twitter.com/earthxxide? t=muF0165hiRexxkrO2QLULw&s=09)

     Fanpage :    Earthxxide  (https://www.facebook.com/earthxxide? mibextid=ZbWKwL)
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 22] ✪ 19/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 20-05-2023 00:12:30
 :jul3:
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 22] ✪ 19/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 20-05-2023 11:32:55
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 23] ✪ 21/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 21-05-2023 18:14:22
ตอนที่ 23
“ชอบ”


     “มึงหายดีแล้วแน่นะ”

     “แน่ครับ”

     “มึงก็ถามอะไรที่ไม่ควรถาม พี่บอนด์ตามไปดูแลถึงห้อง ไม่หายให้มันรู้ไป” ผิงพูดไปมองน้องนายยิ้มๆ ไป “กูแกล้งไม่สบายบ้างดีไหมวะ เผื่อพี่ไกด์จะเป็นห่วงกูเหมือนที่พี่บอนด์ห่วงน้องนาย”

     “ทำไมพักนี้คุณผิงพูดถึงพี่ไกด์บ่อยจังครับ” น้องนายถามคำถามที่ผมกำลังสงสัยอยู่พอดี ผมเห็นผิงเพ้อถึงผู้ชายมาเยอะ แต่ยังไม่เคยเห็นมันสนใจใครเท่าพี่ไกด์มาก่อน

     “กูมาคิดๆ ดู ตามกรี๊ดผู้ชายหลายคนมันเหนื่อย กูเลยตั้งใจว่าหลังจากนี้จะกรี๊ดทีละคน เริ่มจากพี่ไกด์เป็นคนแรก”

     “กูสงสารพี่ไกด์ว่ะ”

     โครม!!

     “ขัดกูนะมึง” ผิงชี้หน้าคาดโทษผม หลังจากมันส่งผมลงมาทักทายพื้นเป็นที่เรียบร้อย ผมลืมบอกว่าผิงเป็นผู้หญิงที่แรงเยอะตามน้ำหนัก ที่ถีบมาเมื่อกี้ใช่ว่าจะเบาที่ไหน ถ้าเอามันไปแข่งกับกระทิงผมว่ามีสูสี

     “ทำไมคุณผิงไม่หาแฟนเป็นตัวเป็นตนไปเลยล่ะครับ หน้าตาคุณผิงก็ไม่ได้แย่นะ” แหมน้องนาย เห็นกูโดนถีบหน่อยอยู่เป็นขึ้นมาเลยนะ

     “กูก็อยากมี แต่มันยังไม่มีใครเข้าตาเลยไง”

     “เหรอ แล้วบรรดารุ่นพี่ที่มึงตามกรี๊ดล่ะ”

     “นั่นเขาเรียกว่ากรี๊ดความหล่อ แต่ถ้าพูดถึงคนที่จะมาเป็นแฟนยังไม่มีใครตรงใจกูสักคน”

     “แล้วต้องเป็นคนแบบไหนถึงจะตรงใจคุณผิงเหรอครับ”

     “หล่อ สุภาพบุรุษ กูพูดอะไรก็เชื่อฟัง ไม่หือไม่อือไม่มีปากเสียง ว่าง่ายๆ ก็คุมง่ายนั่นแหละ”

     “เดี๋ยว มึงกำลังพูดถึงแฟนหรือลูก” ผมอดขัดไม่ได้ รู้สึกสงสารแฟนในอนาคตของมันขึ้นมาจับใจ

     “มึงไม่รู้อะไร หล่ออย่างเดียวอะคุมยาก ต้องหล่อด้วยว่านอนสอนง่ายด้วย สมัยนี้เขาฮิตให้ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหน้าย่ะ”

     “แล้วถ้าอย่างพี่ไกด์ล่ะครับ” น้องนายถามหยั่งเชิง ผมว่ามันคงแซวเล่น

     “พี่ไกด์เหรอ อืม...ไม่รู้สิ หน้าตาผ่านอยู่แล้ว แต่อย่างอื่นต้องดูกันต่อไป”

     “พูดอย่างกับมึงจะจีบเขาจริงๆ”

     “ใครจีบใครเหรอครับ” จู่ๆ พี่ไกด์ก็โผล่มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง ผมกับน้องนายสะดุ้งพร้อมกัน แต่ผิงกลับหันไปยิ้มทะเล้น

     “ก็ผิงจีบพี่ไกด์ไงคะ”

     “ฮะ!?” พี่ไกด์สะดุ้งโหยง เพื่อนผมหัวเราะเสียงดัง

     “ล้อเล่นค่ะ พวกหนูคุยกันไปเรื่อย ไม่มีอะไรหรอก”

     คนเกือบถูกจีบทำหน้าโล่งอก สงสารนะครับ แกคงตกใจน่าดู นอกจากพี่ไกด์แล้วคนอื่นๆ ก็มาเหมือนกัน เรียกได้ว่าครบองค์ประชุมคนหน้าตาดี

     “เย็นนี้ไปฉลองกับพวกพี่ไหม” พี่โอปอล์พูดขึ้นมา

     “ฉลองอะไรครับ”

     “วันเกิดพี่ เราตกลงกันว่าจะไปร้าน F&D พวกซนก็ไปด้วยสิ”

     ผมตาโต ไม่รู้มาก่อนว่าวันนี้เป็นวันเกิดพี่โอปอล์ เสียดายถ้ารู้เร็วกว่านี้จะได้เตรียมของขวัญทัน พี่ธารนะพี่ธาร บอกกันหน่อยก็ไม่ได้

     “พวกผมไปด้วยจะดีเหรอครับ”

     “ดีสิ ไปกันเยอะๆ สนุกดี ขากลับก็ให้ธารกับบอนด์แบ่งกันไปส่ง ได้ใช่ไหม”

     พี่ธารกับพี่บอนด์พยักหน้า ผมเลยหันไปมองเพื่อนเป็นเชิงปรึกษา น้องนายยังไงก็ได้ ขณะที่ผิงพยักหน้ารัวจนคอแทบหลุดจากบ่า เพื่อนผมไม่ค่อยเห็นแก่ของฟรีเท่าไหร่เลย

     “ตกลงครับ พวกผมไปด้วย”

     “งั้นห้าโมงเย็นมาเจอกันที่คณะพี่นะ”

     “ครับ”





     “มึงเลือกเลย”

     “ใช่ครับ คุณผิงเป็นผู้หญิงเหมือนกัน น่าจะเหมาะกว่าผมหรือคุณซนเลือก” ผมกับน้องนายพูดเป็นเสียงเดียวกันหลังเดินเข้ามาในร้านของใช้ผู้หญิง โชคดีที่อาจารย์ยกคลาสช่วงบ่าย พวกผมเลยมีเวลามาหาซื้อของขวัญให้พี่โอปอล์

     “ได้ พวกมึงไว้ใจกูได้เลย”

     “ไม่เอาตุ๊กตากบนะครับ” น้องนายพูดดักไว้ ปีก่อนผิงซื้อของขวัญให้พี่รหัสเป็นตุ๊กตากบ ไม่ใช่กบน่ารักแต่เป็นกบที่เหมือนของจริงจนกอดไม่ลง

     “รู้ย่ะ นั่นกูแกล้งพี่รหัสเฉยๆ ใครจะไปทำแบบนั้นกับพี่โอปอล์ล่ะ”

     ผิงเดินไปเลือกของในร้าน มีผมกับน้องนายเดินตาม ด้วยวัยและฐานะพวกผมจึงไม่คิดจะซื้อของแพงเกินกำลัง แต่ก็ควรมีของขวัญติดมือไปบ้างเพื่อไม่ให้น่าเกลียด พี่โอปอล์อุตส่าห์มาชวนด้วยตัวเองทั้งที

     ผมเห็นของน่าสนใจเลยแวะดู ปล่อยให้ผิงกับน้องนายเดินนำไปก่อน แต่จังหวะที่จะหยิบมาดูก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา

     “ซน”

     ผมหันไปมองคนที่เข้ามาทัก พี่เต้ในชุดนักศึกษาเดินเข้ามาหาผม รอยยิ้มที่ติดใบหน้าพาให้ผู้หญิงในร้านมองมาเป็นแถบ แหม ฮอตจริงๆ พ่อคุณ

     “มาซื้อของเหรอ”

     “ครับ มากับเพื่อน” ผมรีบบอกเมื่อเห็นสายตาสงสัยของพี่เต้ ร้านนี้เป็นร้านของใช้ผู้หญิง จะงงก็ไม่แปลก

     “พี่เห็นเราแล้วคุ้นๆ เลยลองเข้ามาทักดู ไม่นึกว่าจะใช่จริงๆ”

     “พี่เต้ก็มาซื้อของเหรอครับ”

     “ใช่”

     “ซน มึงว่าอะไรดีกว่ากัน” ผิงเดินถือที่คาดผมกับกระเป๋าใบเล็กมาถาม ก่อนที่มันกับน้องนายจะชะงักเมื่อเห็นว่าผมอยู่กับใคร “เอ่อ...พี่เต้”

     “สวัสดีครับ” พี่เต้ยิ้มทักทายเพื่อนผม “พี่ชื่อเต้ เป็นเพื่อนธารนะครับ”

     น้องนายยิ้มรับก่อนจะแนะนำตัวเอง ผมอยากบอกพี่เต้เหลือเกินว่าไม่ต้องแนะนำตัวก็ได้ เพื่อนผมรู้จักพี่อยู่แล้ว แต่แปลกแฮะ ผมนึกว่าผิงจะทำหน้าเคลิ้มเหมือนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้มันกลับไม่มีท่าทีอะไรเลย สายตาที่มองพี่เต้ก็แปลกไป

     “ทานข้าวกันหรือยัง” พี่เต้ถามพวกผม

     “ยังครับ ผมกะว่าซื้อของเสร็จแล้วจะไปหาอะไรทาน”

     “ดีเลย ไปทานข้าวกลางวันเป็นเพื่อนพี่หน่อยสิ เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง เลือกร้านกันมาเลย”

     “อย่าเลยค่ะ น้องนายมันกินจุ ผิงเกรงใจพี่เต้”

     น้องนายหน้าเหลอหลา ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง ก่อนจะปิดปากเงียบเมื่อผิงเหลือบมามอง ผมว่าผมไม่ได้คิดไปเองแล้วล่ะ วันนี้เพื่อนผมแปลกไปจริงๆ อดีตเดือนมหา’ลัยที่ตามกรี๊ดมานานชวนไปทานข้าวแต่มันกลับปฏิเสธหน้าตาเฉย

     “ไม่เป็นไรพี่จ่ายไหว พี่รอหน้าร้านนะ ซื้อของกันตามสบายเลย” พี่เต้ยิ้มให้ก่อนเดินออกไปจากร้าน ปิดโอกาสไม่ให้ใครปฏิเสธอีก ผมกับน้องนายหันไปมองผิงทันที

     “อะไรของมึงวะผิง ไม่สมเป็นมึงเลย”

     “จริงครับ แล้วไหนจะบอกว่าผมกินจุอีก ผมไม่ได้กินเยอะขนาดนั้นเสียหน่อย”

     “เขาเรียกว่าข้ออ้าง ไม่รู้จักเหรอยะ”

     “นั่นแหละที่ไม่สมเป็นมึง พี่เต้ตัวเป็นๆ มาชวนทานข้าวเลยนะเว้ย ปกติมึงต้องรีบรับไม่ใช่เหรอ”

     “กูไม่ได้บ้าผู้ชายขนาดนั้น แล้วพี่ธารก็บอกให้มึงอยู่ห่างพี่เต้ไว้ไม่ใช่เหรอ”

     “แค่ทานข้าวเอง ไม่เป็นไรหรอกมั้ง”

     “อีกอย่าง ตั้งแต่รู้ว่าพี่ธารพูดอย่างนั้นกับมึง กูก็รู้สึกว่าพี่เต้มีอะไรแหม่งๆ”

     “อะไรแหม่งๆ ที่ว่าคืออะไรเหรอครับ”

     “สายตาที่เขามองไอ้ซนเมื่อกี้ไง” ผิงทำหน้าจริงจังใส่ผม

     “กูไม่เห็นจะมีอะไรแหม่ง”

     “มึงมันเอ๋ออย่างที่พี่ธารบอก จะมองไม่ออกก็ไม่แปลก แต่กูผ่านโลกมามากกว่ามึง พี่เต้คิดอะไรอยู่ทำไมกูจะไม่รู้”

     ได้ข่าวว่าอายุเท่ากัน แล้วมันเอาอะไรมาผ่านโลกมากกว่าวะ

     “เดี๋ยวนะ มึงหลอกด่ากูเอ๋อเหรอ” ผมโวยวาย

     “กูพูดความจริง”

     “อย่าเพิ่งทะเลาะกันครับ พี่เต้รออยู่หน้าร้าน คุณผิงจะเอายังไง” น้องนายรีบห้ามทัพ

     “ก็ถ้าเขาพูดขนาดนั้นเราคงปฏิเสธไม่ได้ อย่าให้พี่ธารรู้เรื่องนี้แล้วกัน ไม่งั้นเดี๋ยวไอ้ซนจะซวย”

     “งั้นคุณผิงรีบซื้อเถอะครับ เดี๋ยวพี่เต้รอนาน”

     “โอเค”





     หลังจากเลือกของขวัญอยู่ครึ่งชั่วโมงก็ได้มาเป็นสร้อยข้อมือรูปตุ๊กตาหมี ผิงให้ความเห็นว่าคนสวยๆ อย่างพี่โอปอล์เหมาะกับของน่ารักๆ พี่เต้ให้พวกผมเลือกร้านอาหาร ผมเลยเลือกอาหารญี่ปุ่น หลังสั่งเมนูกันเรียบร้อยพี่เต้ก็ชวนคุย

     “มาซื้ออะไรกัน”

     “ของขวัญวันเกิดพี่โอปอล์ครับ เย็นนี้พี่โอปอล์ชวนไปเลี้ยงวันเกิด พวกผมเลยมาหาซื้อของขวัญก่อน”

     โอ๊ะ!

     ผมเกือบอุทานออกไป ดีที่ยั้งปากไว้ทัน ผมหันไปมองคนที่ยื่นเท้ามาเตะใต้โต๊ะ ผิงถลึงตาใส่ อะไรของมันวะ

     “วันนี้วันเกิดโอปอล์เหรอ”

     “ใช่ครับ” ผมคิดว่าที่พี่เต้ถามเพราะพี่โอปอล์ไม่ได้ชวน ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะไม่สนิทกัน พี่เต้นิ่งไปเหมือนครุ่นคิดบางอย่าง ก่อนมุมปากจะยกยิ้ม

     “พี่ไปด้วยสิ”

     อ่า...ผมว่าผมเข้าใจสายตาที่ผิงมองมาแล้วล่ะ ทำไมผมปากโป้งแบบนี้วะ ชักเริ่มเห็นหายนะลางๆ

     “พี่เต้อยากไปด้วยเหรอครับ”

     “ใช่ ถึงจะไม่สนิทกันแต่โอปอล์ก็เป็นเพื่อนร่วมคณะ อีกอย่างพี่จะได้ไปส่งพวกเราด้วย ไม่มีรถกันไม่ใช่เหรอ”

     “เรื่องเดินทางไม่ต้องห่วงค่ะ ซนมันนัดกับพี่ธารแล้ว ขอบคุณนะคะพี่เต้” ผิงตอบแทนผม พี่เต้เลิกคิ้ว ก่อนจะทำเสียงหึในคอพลางกระตุกยิ้ม

     “ธารไปด้วยเหรอ”

     “ครับ”

     “งั้นพี่ยิ่งพลาดไม่ได้เข้าไปใหญ่”

     “พลาดอะไรเหรอครับ”

     “ไม่มีอะไร เอาเป็นว่าซนบอกร้านพี่มาหน่อย ทานข้าวเสร็จแล้วก็มาช่วยเลือกของขวัญหน่อยนะ พี่จะซื้อให้โอปอล์เหมือนกัน”

     ผิงจ้องผมเขม็ง ราวกับกำลังกดดันให้ผมปฏิเสธ แต่สถานการณ์อย่างนี้บอกได้คำเดียวว่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ผมไม่ใช่เจ้าของวันเกิด จะให้ห้ามพี่เต้ก็คงไม่ใช่เรื่อง สุดท้ายเลยต้องยอมบอกชื่อร้านไป ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าถ้าพี่ธารรู้ทีหลังต้องโกรธแน่

     ไอ้ซนเอ๊ย ไม่น่าหลุดปากไปเลย แล้วแบบนี้จะเป็นยังไงต่อล่ะเนี่ย





     -ธาร-

     ผมค่อนข้างแปลกใจและไม่พอใจเมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามาในร้าน เต้ยิ้มให้พวกผมที่นั่งอยู่ หันไปหาโอปอล์พร้อมยื่นกล่องของขวัญให้ เพื่อนผมต่างทำหน้างง

     “สุขสันต์วันเกิดครับโอปอล์”

     “ขอบคุณนะ ว่าแต่เต้มาได้ไง” โอปอล์รับของขวัญมาอย่างงงๆ ผมเพิ่งสังเกตว่าตั้งแต่เต้มา สีหน้าซนกับเพื่อนๆ ก็เปลี่ยนเป็นยิ้มเจื่อน

     “ซนบอกผมว่าวันนี้วันเกิดโอปอล์ ผมเลยอยากเอาของขวัญมาให้”

     ผมหันไปมองเจ้าตัวดีทันที ซนยิ้มแหะๆ มิน่าตอนนั่งรถมามันถึงเงียบแปลกๆ ที่แท้ก็ทำความผิดมานี่เอง

     “ไหนโอปอล์บอกว่าชวนเพื่อนมาครบแล้วไง” ปืนที่เป็นแฟนโอปอล์ถามขึ้นมา ปืนอยู่คนละมหา’ลัยเลยไม่รู้จักเต้

     “ผมกับโอปอล์ไม่สนิทกัน เป็นเพื่อนร่วมคณะเฉยๆ จะไม่ชวนก็ไม่แปลกหรอกครับ ขอโทษนะที่มาทั้งที่ไม่ได้ชวน”

     “ไม่เป็นไร เต้อุตส่าห์มาทั้งที อยู่ด้วยกันก่อนก็ได้” โอปอล์เหลือบมองผมนิดหนึ่ง เพื่อนผมน่าจะเดากันออกว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของเต้คืออะไร เต้พูดขอบคุณก่อนจะนั่งลงร่วมโต๊ะ ไกด์อาสาชงเหล้าให้ ร้านที่พวกผมมาแทบไม่ต่างจากผับ แค่ลุกขึ้นเต้นไม่ได้เท่านั้นเอง

     “ซนไปบอกมึงตอนไหน” ผมถามออกไปตรงๆ บรรยากาศครึกครื้นก่อนหน้านี้เปลี่ยนไปทันที เต้กระตุกยิ้ม เป็นยิ้มที่เห็นแล้วชวนให้หงุดหงิด

     “วันนี้ตอนกลางวันกูบังเอิญเจอซนที่ห้าง เลยอาสาเลี้ยงข้าวนิดหน่อย”

     “มึงโดดเรียนเหรอ” ผมหันไปถามเด็กเอ๋อ ซนกับเพื่อนรีบยกมือปฏิเสธ

     “เปล่านะครับ วันนี้อาจารย์ยกคลาส พวกผมเลยไปหาซื้อของขวัญให้พี่โอปอล์”

     “ทีหลังไม่ต้องหวังดี คนของกู กูเลี้ยงข้าวเองได้” ผมพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่คิดจะเปิดศึกเพราะเห็นว่าเป็นวันเกิดเพื่อน แต่ก็ปล่อยผ่านไม่ได้เช่นกัน ซนตาโตเมื่อได้ยินอย่างนั้น ต่างกับคู่สนทนาที่เพียงแค่ยิ้มมุมปาก

     “ไม่ยักรู้ว่าซนมีเจ้าของแล้ว”

     “งั้นก็รู้ไว้ตั้งแต่ตอนนี้”

     “ถามน้องมันหรือยังว่าอยากเป็นคนของมึงหรือเปล่า อย่าพูดเองเออเองสิธาร”

     ทุกคนบนโต๊ะต่างทำหน้าไม่ถูก ไม่เว้นแม้แต่ปืนที่เหมือนจะจับบรรยากาศมาคุได้ ผมถอนหายใจหนักๆ พยายามข่มอารมณ์ไม่อาละวาด

     “ให้ของขวัญเสร็จแล้วก็กลับไปซะ กูไม่อยากทะเลาะกับมึงที่นี่” ผมรู้ว่าพูดอย่างนี้ไม่ต่างกับการหักหน้า แต่ถ้าเต้ยังอยู่ต่อเพื่อนผมคงไม่เป็นอันฉลองวันเกิด ผมไม่อยากให้วันเกิดเพื่อนกร่อยเพราะเรื่องส่วนตัวของผม

     “อยู่ต่อก็ได้เต้” โอปอล์พูดขึ้นมา ผมรู้ว่าโอปอล์ไม่ได้เต็มใจแต่เกรงใจอีกฝ่ายเฉยๆ

     “ไม่เป็นไร ผมตั้งใจเอาของขวัญมาให้อยู่แล้ว ขอโทษที่ทำเสียบรรยากาศนะครับ เชิญสนุกกันต่อเลย” เต้ลุกขึ้นยืนทั้งที่ยังไม่แตะแอลกอฮอล์แม้แต่น้อย มันยิ้มมุมปากให้ผม เอ่ยขอตัวแล้วออกไปจากร้าน ผมหันไปขอโทษเจ้าของวันเกิด โอปอล์ส่ายหน้าพลางยิ้มให้ สีหน้าทุกคนดูดีขึ้น บรรยากาศเริ่มกลับมาเหมือนเดิม

     ผมหันไปมองทางที่เต้เพิ่งเดินไป คิ้วขมวดเข้าหากัน ผมรู้ว่าที่เต้ยอมถอยเพราะเห็นแก่เพื่อนผม แต่มันยังไม่ตัดใจจากซน ดวงตาที่มันทิ้งท้ายไว้บอกผมแบบนั้น





     ผมพาซนกลับบ้านหลังอยู่รอเจ้าภาพเป่าเค้กวันเกิดแล้ว ส่วนคนอื่นอยู่สนุกกันต่อ ผมฝากบอนด์ไปส่งผิงกับน้องนายแล้วจึงไม่ต้องเป็นห่วง

     เหมือนซนจะรู้ว่าทำไมผมถึงพากลับก่อน มันเลยไม่ดื้อ ไม่ถามอะไรสักแอะ ผมเหลือบมองคนข้างๆ ที่ตั้งแต่ขึ้นรถมาก็ไม่พูดอะไร เอาแต่นั่งนิ่งไม่ขยับ

     “กูบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าไปยุ่งกับเต้”

     เจ้าตัวดีสะดุ้ง มันยิ้มแห้งให้ผม หน้าเหมือนเด็กถูกจับได้ว่าทำความผิด

     “ผมขอโทษ ปากมันเผลอพูดออกไปเอง แต่เรื่องที่เจอพี่เต้มันบังเอิญจริงๆ นะ ผมสาบาน” ซนชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว ดวงตาแป๋วที่มองมาบอกว่าเจ้าตัวไม่ได้โกหก ผมพ่นลมหายใจ รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรผิดแต่ก็อดหงุดหงิดไม่ได้

     “ต่อไปนี้ผมจะอยู่ห่างพี่เต้ ไม่พูดด้วย ไม่มองหน้า จะทำเหมือนพี่เขาเป็นอากาศ ดีไหมครับ” ซนเห็นว่าผมไม่พูดอะไรเลยนึกว่าผมโกรธ รีบพูดเอาใจใหญ่ ผมเหลือบไปมองมัน เจ้าตัวดียิ้มให้

     “รู้บ้างไหมว่าที่กูไม่อยากให้มึงยุ่งกับเต้เพราะอะไร”

     ผมนึกว่าจะได้เห็นหน้าเอ๋อๆ เหมือนทุกครั้ง แต่พอผมถามจบซนกลับหุบยิ้ม เบือนสายตาหนีพลางเม้มปาก

     “ที่เงียบนี่คือรู้?” ผมลองถามหยั่งเชิง

     “ตอนแรกไม่รู้หรอก ผิงมันก็บอกแล้วแต่ผมไม่เชื่อ แต่พอได้ยินพี่พูดกับพี่เต้ในร้านผมก็เริ่มคิดว่า...หรือที่ผิงพูดจะเป็นความจริง”

     “ผิงพูดอะไร”

     “...”

     “เอ๋อ”

     “ถ้า...ถ้าผมบอกแล้วห้ามหัวเราะนะ” สีหน้าซนมีความลังเล จากที่หงุดหงิดเรื่องเต้ตอนนี้ผมเริ่มเห็นความหวังลิบๆ

     “ไม่หัวเราะหรอก บอกมาเร็ว”

     ซนยังคงอ้ำอึ้ง แต่พอโดนผมเร่งอีกครั้งมันก็พูดออกมาในที่สุด

     “ผิงบอกว่าพี่ธารกำลังกันผมออกจากพี่เต้ เพราะพี่เต้ชอบผม และ...”

     “และอะไร”

     “และพี่ธาร...ก็ชอบผมเหมือนกัน”

     เกิดความเงียบขึ้นในรถ ไม่มีใครพูดอะไรต่อ ผมนิ่งไปสักพักก่อนจะหลุดเสียงขำออกมา พยายามแล้วแต่มันกลั้นไม่อยู่จริงๆ

     “ไหนบอกว่าไม่หัวเราะไง” ซนพูดทั้งที่หน้าแดง ไม่รู้แดงเพราะเขินหรือโกรธ

     “ไม่ถามหน่อยเหรอว่ากูหัวเราะอะไร”

     “จะอะไรล่ะ ก็หัวเราะคำพูดผมไง ผมไม่น่าเชื่อเพื่อนเลย รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้”

     “ถูก กูหัวเราะคำพูดมึง แต่ไม่ได้หัวเราะเพราะมันผิด”

     ซนหันขวับมามอง หน้าตกใจปนแปลกใจของมันน่ารักจนผมลืมความหงุดหงิดในวันนี้ไปหมด

     “กูแค่กำลังคิดว่าเพื่อนมึงฉลาดดี เดาถูกทุกอย่างไม่มีผิดเลย”

     ซนตาลุกโพลง อ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก ถ้าไม่ติดว่าขับรถอยู่ผมคว้ามันมาจูบแล้ว เด็กอะไรตกใจได้น่ารักชะมัด

     “พี่กำลังจะบอกว่า...”

     “อืม ตามที่มึงคิดนั่นแหละ” ผมจอดรถเมื่อมาถึงหน้าบ้าน หันไปสบตากับอีกคน มองเข้าไปในดวงตา “กูชอบมึง”



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter :    earthxxide  (https://twitter.com/earthxxide? t=muF0165hiRexxkrO2QLULw&s=09)

     Fanpage :    Earthxxide  (https://www.facebook.com/earthxxide? mibextid=ZbWKwL)
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 23] ✪ 21/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 21-05-2023 19:00:52
 :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 23] ✪ 21/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 22-05-2023 15:16:32
 :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 24] ✪ 22/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 22-05-2023 19:16:56
ตอนที่ 24
วันที่ความกลัวหายไป


     ผมนอนแผ่หลาอยู่บนเตียง ถอนหายใจรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ ดวงตาที่เงยมองเพดานเหม่อลอย เอาแต่คิดเรื่องเดิมวนไปมา

     ปกติแล้วถ้าเราชอบใครสักคน และคนๆ นั้นก็ชอบเราเหมือนกัน เราก็ควรจะดีใจ แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงเอาแต่กลัว กังวล สับสน ทุกอย่างผสมปนเปจนผมไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไร

     เป็นไปได้ไหมว่าผมอาจกำลังตกใจ ก็ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าพี่ธารจะชอบผู้ชาย แถมผู้ชายคนนั้นยังเป็นผมอีก เมื่อคืนหลังจากโดนบอกชอบผมก็รีบหนีเข้าบ้านทันที มันตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ผมยังจำความรู้สึกตอนนั้นได้ดี หัวใจผมเต้นแรงจนนึกว่าจะกระดอนออกมานอกอก

     ผมชอบพี่ธาร พี่ธารชอบผม เราสองคนใจตรงกัน แล้วหลังจากนี้จะเป็นยังไงต่อ ต้องคบกันเลยไหม แล้วใครจะเป็นคนขอคบ ถ้าเป็นแฟนกันแล้วจะมีอะไรเปลี่ยนไปหรือเปล่า คำถามมากมายผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด แต่กลับไม่มีคำตอบเลย

     เสียงถอนหายใจดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ผมจะสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู ผมเดาได้ทันทีว่าใคร

     ผมเดินไปเปิดประตูช้าๆ พี่ธารยืนอยู่ตรงหน้า เขาก้มมองผม แต่ผมหลุบตาลงต่ำอย่างไม่กล้าสบตา

     “เพิ่งตื่นเหรอ”

     “ตื่นสักพักแล้วครับ”

     “กูเตรียมอาหารเสร็จแล้ว ไปล้างหน้าแปรงฟันจะได้มากินข้าว”

     ผมพยักหน้า พี่ธารยังยืนอยู่ที่เดิม ถึงจะไม่เงยหน้าแต่ผมก็รู้ว่าเขากำลังมองอยู่

     “ซน เรื่องเมื่อคืน...”

     “พี่ลงไปก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวผมตามไป ขอทำธุระส่วนตัวก่อน” ผมรีบพูดตัดหน้าอีกฝ่าย หันหลังเดินหายไปในห้องน้ำ ผมรู้ว่าพี่ธารอยากพูดอะไร แต่ผมยังไม่พร้อม ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไร อย่างเดียวที่รู้คือผมกำลังกลัวบางอย่าง





     “วันนี้ผมออกไปข้างนอกกับเพื่อนนะครับ” ผมบอกพี่ธารที่นั่งตรงข้าม หลังทานอาหารเช้ากันมาสักพัก

     “ไปไหน”

     “ไม่รู้เหมือนกันครับ ผิงบอกว่าเบื่อๆ เลยอยากชวนไปเที่ยว แต่ยังไม่ได้คิดว่าจะไปไหน” ผมโกหก ก็ผมนี่แหละที่ชวนเพื่อนออกมาเอง

     พี่ธารมองผมนิ่ง ก่อนจะพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร เราสองคนต่างทานอาหารของตัวเอง ไม่มีใครพูดอะไรอีก จนกระทั่งทานเสร็จพี่ธารก็เอาจานไปล้างให้ ถ้าเป็นปกติคงให้ผมล้างเอง แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้ถึงใจดี

     หรือบางทีพี่ธารอาจดูออกว่าผมสับสนกับเรื่องเมื่อคืน เลยอยากออกไปข้างนอกเพื่อหลบหน้า ผมได้แต่ขอโทษอีกฝ่ายในใจ ไม่กล้าพูดออกไป เหมือนที่ไม่กล้าเผชิญหน้ากับเรื่องที่เกิดขึ้น





     “กลับดีๆ นะมึง” ผมโบกมือลาผิงกับน้องนายหลังไปเดินห้างด้วยกันมาทั้งวัน กิจกรรมวันหยุดของเด็กมหา’ลัยอย่างผมมีไม่กี่อย่างหรอกครับ ดูหนัง ทานข้าว ช็อปปิ้ง สามอย่างนี้คือสิ่งที่ผมใช้เป็นข้ออ้างหลบหน้าพี่ธาร ผิงกับน้องนายค่อนข้างแปลกใจ เพราะวันก่อนผมยังบ่นกับพวกมันอยู่เลยว่าช่วงนี้เรียนหนัก เลยอยากพักอยู่บ้านในวันหยุด

     ผมยืนมองจนแท็กซี่หายไปจากสายตา จึงหมุนตัวเตรียมเดินเข้าบ้าน แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นร่างสูงของใครบางคนยืนอยู่หลังรั้วบ้านถัดไป

     “นั่งแท็กซี่มากับเพื่อนเหรอ”

     “ครับ” ผมตอบพี่ธาร แต่ยังหลบตาเหมือนเดิม

     “ทำไมไม่โทรมาบอกให้กูไปรับ”

     “ผมไม่อยากรบกวนพี่”

     “รบกวนห่าอะไร มึงนั่งรถกูมากี่ครั้งแล้ว” พี่ธารทำท่าจะเดินมาบ้านผม

     “วันนี้ผมเหนื่อย ขอไปอาบน้ำก่อนนะครับ ไม่ต้องทำอาหารเย็นนะผมกินมาแล้ว” ผมรีบพูดรีบเดินเข้าบ้าน ไม่อยากเผชิญหน้าไปมากกว่านี้ อย่าถามนะครับว่าผมเป็นอะไร ผมถามตัวเองหลายรอบแล้วยังไม่ได้คำตอบเลย ผมรู้แค่ว่าไม่กล้าสู้หน้าพี่ธาร มันสับสนไปหมด อยากขอเวลาทำใจอีกหน่อย ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำใจเรื่องอะไร

     ผมกำลังจะเดินขึ้นชั้นสอง แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้เดินไปที่ห้องครัว โต๊ะอาหารกลางห้องมีฝาชีตั้งอยู่ พอลองเปิดออกก็เจอกับข้าวสองสามอย่าง ผมรู้ทันทีว่าพี่ธารเป็นคนเตรียมไว้ให้ วินาทีนั้นความรู้สึกผิดก็ถาโถมเข้ามา

     จากที่จะขึ้นไปอาบน้ำ ผมเปลี่ยนเป็นเดินไปตักข้าวมานั่งกินคนเดียว ผมไม่รู้ว่ากับข้าวพวกนี้พี่ธารทำเผื่อตัวเองด้วยหรือเปล่า ผมเองก็อยากชวนพี่มันมากินด้วยกัน แต่แค่สบตายังไม่กล้า นับประสาอะไรกับชวนมากินข้าว ผมเลยได้แต่ขอโทษในใจอีกครั้ง

     ขอโทษนะครับ...พี่ธาร





     หลายวันมานี้ผมเอาแต่หลบหน้าพี่ธาร พอพี่มันทำท่าจะพูดเรื่องคืนนั้นผมก็จะเบี่ยงประเด็นทุกครั้ง ยิ่งนานวันเข้าอาการผมก็ยิ่งออก จนเพื่อนๆ เริ่มสังเกตความผิดปกติ

     “มึงมีอะไรที่ไม่ได้บอกกูหรือเปล่า” ผิงเริ่มเป็นคนแรก ผมกะแล้วว่าสักวันต้องโดนถาม ผมเก็บอาการเป็นที่ไหน

     “คุณซนมีอะไรบอกพวกผมได้นะครับ อย่าเก็บไว้คนเดียว” น้องนายพูดอย่างเป็นห่วง

     “ท่าทางกูชัดขนาดนั้นเลยเหรอ”

     “พูดอย่างนี้แสดงว่ามี ท่าทางมึงไม่ได้ชัดธรรมดาแต่โคตรชัด มีอะไรก็บอกกูกับน้องนายดิ พวกกูเพื่อนมึงนะเว้ย”

     ผมมองหน้าเพื่อนทั้งสองคน ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะเริ่มเกริ่นเรื่องหนักใจของตัวเอง

     “กูเหมือนคนโง่เลยว่ะ”

     “ทำไมคิดแบบนั้นครับ” น้องนายค่อยๆ ตะล่อมถาม ผมถอนหายใจอีกหนึ่งเฮือก

     “พวกมึงอยากรู้ใช่ไหมว่ากูเป็นอะไร เชื่อไหมว่าขนาดตัวกูเองยังไม่รู้เลย กูถามตัวเองเป็นร้อยรอบแล้วก็ยังไม่รู้ หงุดหงิดตัวเองฉิบหาย”

     “ใจเย็นๆ ถ้าไม่รู้ว่าเป็นอะไรงั้นเล่าให้ฟังหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น การที่จู่ๆ มึงเป็นแบบนี้แปลว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นใช่ไหม”

     ผมมองหน้าผิง พยายามเรียบเรียงคำพูดในหัวว่าควรเริ่มจากตรงไหน ตอนนี้ความคิดผมสะเปะสะปะไปหมด เหมือนใครเทจิ๊กซอว์มารวมกันจนยากที่จะประกอบคืนเหมือนเดิม

     “พี่ธารบอกชอบกู”

     “หา!?” ผิงกับน้องนายตาโต สีหน้าตกใจกับคำพูดของผม ผมเล่าตรงไปเหรอ ก็ผมไม่รู้นี่ว่าควรเล่าอะไรก่อน

     “มึงไม่ได้อำกูเล่นใช่ไหม”

     “กูจะอำทำไม”

     “เหี้ย” ดูเหมือนผิงจะตกตะลึงจนเผลอปล่อยสัตว์เลื้อยคลานออกมา “เห็นไหม กูบอกแล้ว พี่ธารชอบมึงจริงๆ โอ๊ย กูอยากกรี๊ดอะมึง”

     “ดีใจด้วยนะครับคุณซน สมหวังแล้วนะครับ” น้องนายยิ้มให้ผม ก่อนรอยยิ้มจะค่อยๆ ลดลงเมื่อเห็นผมไม่ยิ้มตาม “คุณซนไม่ดีใจเหรอครับ”

     พอน้องนายทักอย่างนั้นผิงก็หยุดตื่นเต้น หันมามองผม “เออนั่นดิ พี่ธารชอบมึง มึงก็ชอบพี่ธาร มึงกับพี่เขาใจตรงกันแต่ทำไมดูไม่ดีใจเลย”

     “อย่าบอกนะครับว่าที่คุณซนกำลังคิดมากคือเรื่องนี้”

     ผมพยักหน้าช้าๆ ตอบคำถามน้องนาย เพื่อนผมต่างทำหน้างงเป็นไก่ตาแตก

     “มึงคิดมากอะไรวะ”

     “กูไม่รู้” ผมพูดประโยคเดิมออกไปอีกครั้ง “กูยังงงตัวเองอยู่เลย ปกติกูควรดีใจ แต่มันกลับไม่รู้สึกอย่างนั้นเลยว่ะ”

     “แล้วตอนนี้มึงรู้สึกยังไง”

     “กูสับสน กูกลัว แต่...กูไม่รู้ว่าตัวเองกลัวอะไร”

     ผิงกับน้องนายมองผมนิ่ง เวลาผ่านไปสักพักก่อนเสียงถอนหายใจจะดังเบาๆ ผิงเอื้อมมือมาจับบ่า ดวงตาที่มองมาจริงจัง

     “มึงยังชอบพี่ธารอยู่ไหม”

     ผมนิ่งทบทวนความรู้สึกนิดหนึ่งก่อนพยักหน้า ถึงจะมีหลายอย่างที่คลุมเครือ แต่สิ่งหนึ่งที่มั่นใจคือผมชอบพี่ธารแน่นอน

     “ถ้างั้นคำตอบก็ง่ายนิดเดียว มึงกำลังกลัวการคบผู้ชายด้วยกัน”

     ผมเงยหน้ามองผิง จากที่ตอนแรกเอาแต่ก้มมองตัก น้องนายทำหน้าไม่เข้าใจ ไม่ต่างอะไรจากผม

     “ยังไงวะ”

     “มึงชอบผู้หญิงมาตลอด จู่ๆ ก็เปลี่ยนมาชอบผู้ชาย แถมผู้ชายคนแรกในชีวิตยังชอบมึงเหมือนกันอีก จะสับสนก็ไม่แปลก”

     “กูไม่ได้รังเกียจพี่ธาร” ผมรีบออกตัวเพราะกลัวเพื่อนเข้าใจผิด

     “กูรู้ ถ้ามึงรังเกียจจะชอบเขาเหรอ แต่ที่พูดเนี่ยกูหมายถึง การชอบผู้ชาย การมีแฟนเป็นผู้ชาย เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งแปลกใหม่ เป็นอะไรที่มึงไม่เคยมีประสบการณ์ จะสับสนหรือกลัวบ้างมันก็เป็นเรื่องธรรมดา” ผิงที่ตอนนี้สถาปนาตัวเองเป็นกูรูด้านความรัก พูดได้คล่องแคล่วราวกับมานั่งอยู่กลางใจ เป็นครั้งแรกที่ผมอยากชมมันว่าโคตรฉลาด นอกจากเดาเรื่องพี่ธารกับพี่เต้ได้ถูกแล้วยังรู้อีกว่าผมเป็นอะไร ขนาดผมยังไม่รู้ตัวเองเลย

     “แล้ว...แล้วกูต้องทำยังไงถึงจะหายกลัว”

     “กูไม่รู้”

     “อ้าว!” ผมร้องเสียงหลง เมื่อจู่ๆ คนที่เพิ่งชมว่าฉลาดดันทิ้งกันกลางทาง

     “ก็นี่ไม่ใช่เรื่องของกู ถ้ามึงอยากรู้ต้องไปเปิดอกคุยกับพี่ธารเอง ให้เดานะ ที่มึงยังคิดมากอยู่ตอนนี้เพราะยังไม่ได้คุยกับพี่ธารใช่ไหม”

     ผมพยักหน้าช้าๆ น้องนายยื่นมือมาแตะไหล่เบาๆ

     “ไปคุยกับพี่ธารเถอะครับคุณซน การคบกับผู้ชายมันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นหรอก เชื่อผมสิ”

     “พูดเหมือนมีประสบการณ์เลยนะคะคุณน้องนาย”

     “ประสบการณ์อะไรล่ะครับ คุณผิงก็รู้ว่าคนอย่างผมไม่มีใครมาชอบหรอก”

     “แน่ใจเหรอ กูว่ามีอยู่คนนึงนะ”

     บรรยากาศตึงเครียดผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย ผมมองผิงแซวน้องนายแล้วเผลอยิ้มออกมา เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่ผมยิ้มจริงๆ ไม่ใช่ฝืน พอได้ระบาย ได้ปรึกษาเพื่อนแล้วมันรู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก ทำไมที่ผ่านมาผมถึงเอาแต่เก็บเรื่องคิดมากไว้คนเดียวนะ

     พอได้ยินผิงพูดวันนี้แล้วผมถึงเข้าใจ ผมกำลังกลัว กังวลและสับสนกับความรักในอีกรูปแบบ เป็นความรักที่ผมไม่เคยคิดว่าจะเกิดกับตัวเอง และอีกอย่างที่เพื่อนผมพูดถูกคือการที่จะเลิกกลัวได้ มีทางเดียวคือผมต้องไปคุยกับพี่ธารให้รู้เรื่อง มันไม่สมเหตุสมผลเลยที่ผมเอาแต่หลบหน้า ทั้งที่จริงเราควรหันหน้าคุยกันตรงๆ หลังจากนี้ผมจะไม่กลัวอีกแล้ว ผมจะไปคุยกับพี่ธารให้เรื่อง คุยเรื่องความรักของเรา ความรักของผมกับพี่ธาร





     ผมนั่งถูมือไปมาอยู่ในรถ ข้างๆ คือพี่ธารที่กำลังขับรถด้วยใบหน้านิ่ง ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แต่พอถึงเวลาจริงๆ ก็ใช่ว่าจะพูดออกไปได้เลย ควรเริ่มจากตรงไหน ต้องเกริ่นก่อนไหมหรือเข้าเรื่องได้เลย หรือจะรอไปคุยกันที่บ้าน ผมจะได้มีเวลาเตรียมตัวอีกหน่อย

     เพราะมัวแต่คิดอะไรคนเดียว รู้ตัวอีกทีก็มาถึงหน้าบ้านแล้ว ไอ้พี่ธารขับเร็วเกินไปไหม ผมยังไม่ได้เตรียมตัวเลย

     ขณะที่ผมเงอะๆ งะๆ เพราะไม่รู้ว่าควรโพล่งออกไปเลยหรือรอจังหวะเหมาะๆ ก่อนดี พี่ธารที่ยังหน้านิ่งไม่เปลี่ยนก็เลื่อนเบาะไปข้างหลัง ก่อนจะดึงข้อมือผมให้ข้ามไปยังเบาะที่ตัวเองนั่งโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ผมที่ไม่ทันตั้งตัวจึงลอยไปตามแรงดึง รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่บนตักอีกฝ่ายแล้ว

     “เฮ้ย! พี่ธารทำอะไร” ผมถามอย่างตกใจ ก่อนจะนิ่งไปเมื่อเห็นสายตาที่มองมา พี่ธารในตอนนี้เหมือนกำลังหงุดหงิดบางอย่าง และถ้าผมไม่ได้คิดไปเอง บางอย่างที่ว่าก็คือผม

     “มึงเกลียดกูมากเลยเหรอ”

     “เกลียด? ผมไปเกลียดพี่ตอนไหน”

     “ถ้าไม่เกลียดแล้วทำไมถึงเอาแต่หลบหน้า อย่าคิดว่ากูไม่รู้นะซน” แววตาพี่ธารดูเจ็บปวด สายตาคู่นั้นทำให้ผมที่คิดจะกลับที่ตัวเองได้แต่นิ่งงัน “มึงเป็นอะไรบอกกูมาตรงๆ สิ ไม่ใช่ทำเหมือนรังเกียจกู อยากอยู่ห่างกูตลอดเวลา”

     “ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น”

     “แต่การกระทำของมึงมันทำให้กูคิด”

     ผมไม่เคยรู้เลยว่าความสับสนของตัวเองจะทำให้พี่ธารเจ็บปวดขนาดนี้ ในตอนที่ผมกำลังคิดมาก ใครบางคนกลับคิดมากกว่าผมเป็นร้อยเท่า

     “กูจะไม่คิดอะไรเลยถ้ามึงไม่ได้เปลี่ยนไปหลังคืนนั้น มึงไม่ชอบกูก็ปฏิเสธกูสิ อย่าทำกับกูแบบนี้ มึงทำเหมือนกูเป็นตัวน่ารังเกียจที่ไม่ควรชอบใคร มึงเห็นความรู้สึกกูเป็นของเล่นเหรอวะ”

     ดวงตาพี่ธารสั่นระริก แม้ไม่มีน้ำตาแต่ผมรับรู้ได้ว่าข้างในเขากำลังเสียใจ ผมไม่พูดอะไร ค่อยๆ สอดมือไปกอดรอบเอว พี่ธารชะงักกับการกระทำของผม ใจผมเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ กลัวว่าพี่ธารจะผลักออก แต่สุดท้ายเขาก็ปล่อยให้ผมกอดอยู่อย่างนั้น

     “ทำอะไรของมึง”

     “ผมขอโทษ” ผมพูดเสียงอู้อี้กับอกกว้าง กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น “ผมไม่ได้รังเกียจพี่ ไม่ได้เห็นความรู้สึกพี่เป็นของเล่นด้วย ผมพูดจริงนะ เชื่อผมเถอะ”

     “ถ้างั้นมึงเป็นอะไร หลบหน้ากูทำไม”

     “ผม...ผมกลัว”

     ดูเหมือนคำตอบผมจะเป็นอะไรที่คาดไม่ถึง เพราะพี่ธารถึงกับดันตัวผมออกเพื่อจะได้มองหน้าถนัด

     “มึงกลัวอะไร”

     “ผมไม่เคยคบผู้ชายมาก่อน ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าตัวเองจะชอบผู้ชาย ตอนรู้ตัวว่าชอบพี่ผมยังยอมรับได้ แต่พอรู้ว่าพี่ก็ชอบผมเหมือนกัน ผมก็เอาแต่คิดไปไกล มันกลัว กังวล สับสนไปหมด ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าความรักของเราสองคนจะออกมาเป็นยังไง” ผมพรั่งพรูความในใจออกไป ก่อนจะหยุดพูดเพื่อดูท่าทางคนตรงหน้า แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อแววตาคู่นั้นเปลี่ยนไป พี่ธารกำลังยิ้ม ยิ้มเหมือนดีใจอะไรสักอย่าง อะไรของพี่มันวะ เห็นผมคิดมากแล้วอารมณ์ดีเหรอ

     “เมื่อกี้มึงว่าไงนะ”

     “ผมนึกภาพไม่ออกว่าความรักของเราจะออกมาเป็นยังไง”

     “ไม่ใช่ ก่อนหน้านี้”

     “ผมกลัว กังวล สับสน”

     “ก่อนหน้านี้อีก”

     “ตอนรู้ตัวว่าชอบพี่ผมยังยอมรับได้ แต่พอรู้ว่าพี่ก็ชอบผมเหมือนกัน ผมก็เอาแต่คิดไปไกล” ผมพูดจบถึงได้รู้ว่าคนตรงหน้าดีใจอะไร ผมเม้มปากแน่น อาการเห่อร้อนพุ่งขึ้นมาบนหน้าทันที

     “มึงบอกชอบกู”

     “…”

     “มึงชอบกูเหรอซน”

     “…”

     “เอ๋อ”

     ไม่ตอบครับ เงียบสถานเดียว แถมหันหน้าหนีด้วย พี่ธารหลุดขำเบาๆ เชยคางผมหันไปสบตาอีกครั้ง สายตาพี่ธารอ่อนลง ไม่หงุดหงิดเหมือนก่อนหน้านี้ แต่กลับมีประกายบางอย่างที่ทำให้ผมใจเต้นแรง

     “หน้าแดงเชียวนะ ไม่เห็นปากเก่งเหมือนตอนเถียงเลย ไหนเมื่อกี้เด็กเอ๋อคนไหนบอกชอบกู พูดให้ฟังอีกทีซิ”

     ใครจะไปยอมพูด แค่นี้ก็อายจนไม่รู้จะอายยังไงแล้ว ก็รู้อยู่หรอกว่าถ้าคุยกันตรงๆ ยังไงก็ต้องบอกชอบอยู่ดี แต่ตอนปรึกษาเพื่อนมันไม่เหมือนกันนี่นา ของจริงน่าอายกว่าตั้งเยอะ

     “ยัง ยังไม่พูดอีก ต้องให้เอาคีมมางัดปากก่อนใช่ไหม”

     “…”

     “เอ๋อ”

     “…”

     “ไม่พูดกูจูบนะ”

     “ชอบ! ผมชอบพี่ธาร! ชอบมากๆ เลยครับ!” ผมรีบโพล่งออกไปเมื่อใบหน้าคมโน้มมาใกล้ ยกมือปิดปากไม่ให้อีกคนทำอย่างที่พูดได้ พี่ธารยิ้มทั้งที่ยังโดนปิดปากอยู่ ดวงตาพราวระยับ

     “ผม...ผมชอบพี่” ผมลดมือลงพร้อมกับพูดความในใจอีกครั้ง ไหนๆ ก็พูดแล้วอยากให้พี่ธารได้ยินชัดๆ คราวนี้พี่ธารเป็นฝ่ายสอดมือมากอดรอบเอว รั้งเข้าหาตัวเองจนอกผมชิดกับอกแกร่ง

     “ก็แค่นี้ เล่นตัวอยู่ได้”

     “ผมก็เขินเป็นไหมล่ะ” ผมมองค้อน พี่ธารหัวเราะหึๆ วางมือลงบนหัวแล้วโยกเบาๆ

     “แล้วที่บอกว่ากลัวนั่นล่ะ”

     “มันก็ไม่เชิงว่ากลัวหรอก ไม่รู้สิ ผมไม่เคยคบผู้ชายมาก่อน เลยไม่รู้ว่าถ้าคบแล้วจะเป็นยังไง อะไรที่เราไม่รู้จักมันก็ต้องกลัวเป็นธรรมดาไม่ใช่เหรอ”

     “อย่ายึดติดกับเพศสิ ถ้าเอาคำว่าผู้ชายออกมันก็แค่คนสองคนรู้สึกดีต่อกัน มึงชอบกู กูชอบมึง คิดแค่นี้พอ จะคิดเยอะแยะให้ปวดหัวทำไม”

     “ทำไมพี่คิดง่ายจัง”

     “กูต้องถามมึงมากกว่าว่าทำไมต้องคิดให้มันยาก”

     “นี่ครั้งแรกเลยนะที่ผมชอบผู้ชาย จะให้คิดน้อยเหมือนพี่ได้ไง” ผมพูดออกไปแล้วถึงได้นึกบางอย่างออก ดวงตาที่มองอีกฝ่ายเบิกกว้างเล็กน้อย “พี่ธาร”

     “อะไร”

     “ตอนพี่รู้ตัวว่าชอบผม พี่รู้สึกยังไงอะ”

     “รู้สึกชอบไง” พี่ธารมองเข้ามาในดวงตาผม แววตาคู่นั้นแฝงไปด้วยความรู้สึกมากมาย “กูชอบมึง สำหรับกูแค่นี้ก็พอแล้ว ชอบก็คือชอบ ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลมากมาย”

     ผมสบตากับพี่ธารอยู่นาน รู้สึกอิจฉาที่อีกฝ่ายคิดได้ง่ายๆ แต่พอคิดตามแล้วมันก็จริงอย่างที่พี่ธารบอก ชอบก็คือชอบ ไม่ว่าอีกคนจะเป็นเพศอะไร ความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นก็ไม่มีวันเปลี่ยนอยู่ดี

     ผมคลี่ยิ้มหลังเจอคำตอบที่ตามหามานาน พี่ธารที่เห็นผมยิ้มออกก็ยิ้มตาม สอดมือเข้ากับมือผม

     “สบายใจแล้วใช่ไหม”

     ผมพยักหน้า

     “งั้น...ทีนี้ก็คบได้แล้วใช่ไหม”

     “ครับ เฮ้ย!” ผมสะดุ้ง พี่ธารยิ้มเจ้าเล่ห์ โน้มหน้ามาใกล้จนปลายจมูกแตะกัน

     “ตกใจอะไร มึงชอบกู กูก็ชอบมึง ใจตรงกันขนาดนี้ มึงจะรอคนมาตัดริบบิ้นก่อนเหรอถึงค่อยคบ”

     “จู่ๆ พี่ก็วกมาเรื่องคบกัน ผมก็ต้องตกใจดิ แล้วนี่เหรอประโยคขอเป็นแฟน ไม่เห็นโรแมนติกเลย” ผมพูดเสียงขึ้นจมูก พี่ธารหัวเราะในลำคอ

     “เป็นแค่เด็กเอ๋อจะอยากโรแมนติกอะไรมากมาย แค่นี้ก็พอแล้ว”

     ดูพี่มันนะครับ ไม่คิดจะชมแฟนแบบคนอื่นเขาหรอก ก่อนคบเป็นยังไงหลังคบก็เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

     เอ๊ะ นี่ผมตกลงเป็นแฟนไอ้พี่ธารแล้วเหรอ

     “ตกลงว่าไง คบนะ” พี่ธารถามย้ำอีกครั้ง

     “จะถามทำไมเล่า พี่รู้คำตอบอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

     พี่ธารยิ้ม รั้งผมเข้าไปกอด ผมเขินนิดหน่อยแต่ก็กอดพี่ธารกลับไปเหมือนกัน ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม

     ผมไม่รู้ว่าความรักระหว่างผู้ชายจะออกมาในรูปแบบไหน จะมีอุปสรรคอะไรไหม ความรักจะราบรื่นหรือเปล่า แต่นั่นไม่สำคัญอีกแล้ว ไม่ว่าทางข้างหน้าจะเป็นยังไง ผมก็จะมั่นคงกับความรู้สึกตัวเอง และที่สำคัญ...

     “เอ๋อ”

     “ครับ?”

     “กูอยู่กับมึงตรงนี้”

     “ผมรู้ ถ้าพี่ธารไม่อยู่ตรงนี้ผมจะกอดได้ไง”

     “ไม่ใช่ กูหมายถึง กูอยู่กับมึงตรงนี้ และจะอยู่ข้างๆ เสมอ ไม่ว่ามึงกำลังกลัวอะไร สิ่งนั้นจะไม่มีทางเกิด เชื่อใจกูนะ”

     ผมยิ้มกว้างกว่าเดิม พยักหน้าขึ้นลงกับอกของร่างสูง บางทีการคบกับผู้ชายก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด โดยเฉพาะผู้ชายที่ชื่อธาร คนที่ผมเชื่อมั่นจนหมดใจ



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter :    earthxxide  (https://twitter.com/earthxxide? t=muF0165hiRexxkrO2QLULw&s=09)

     Fanpage :    Earthxxide  (https://www.facebook.com/earthxxide? mibextid=ZbWKwL)
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 24] ✪ 22/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 22-05-2023 21:33:59
 :pighaun: :haun4:
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 24] ✪ 22/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 23-05-2023 13:26:19
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 25] ✪ 25/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 25-05-2023 20:17:56
ตอนที่ 25
หึง หวง โหด


     ผมปัดป่ายมือไปทั่ว คลำไปตามหมอนข้างที่วันนี้ดูจะแข็งกว่าปกติ มันทั้งแข็งทั้งนุ่ม สัมผัสไม่เหมือนหมอนข้างที่กอดอยู่ทุกวัน ด้วยความสงสัยผมจึงปรือตามอง จากที่กำลังหลับสบาย แต่หลังจากนั้นดวงตาผมก็เบิกกว้าง ตาสว่างขึ้นมาทันที

     ใบหน้าพี่ธารที่กำลังหลับพริ้มอยู่ห่างไม่ถึงคืบ ผมถอยหน้าออกมา พยายามใช้สมองอันน้อยนิดประมวลผลว่าทำไมถึงมาอยู่ในสภาพนี้ได้ เมื่อวานหลังจากตกลงคบกัน พี่ธารก็พาผมมาทานข้าวบ้านน้าพร เราสองคนอยู่ดูหนังในห้องนั่งเล่นจนดึก พี่ธารเลยให้ผมค้างห้องเขา

     ผมหันไปมองคนที่ยังหลับอยู่อีกครั้ง พอคิดมาถึงตรงนี้แก้มมันก็ร้อนขึ้นมา ผมค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าไปใกล้ รับรู้ได้ถึงลมหายใจสม่ำเสมอของอีกคน ขนตายาวแบบฉบับผู้ชาย ริมฝีปากหนาที่ผมเคยสัมผัสไปแล้วครั้งหนึ่ง

     ไม่อยากเชื่อว่าผมจะกลายมาเป็นแฟนพี่ธาร พี่ชายข้างบ้านที่ผมแอบตั้งฉายาว่าหล่อเสียของ ใครจะไปคิดว่าคนแบบนี้จะทำให้ผมชอบได้ แต่ที่เหลือเชื่อยิ่งกว่าคือพี่ธารก็ชอบผมเหมือนกัน

     ผมเอื้อมมือไปจิ้มแก้มคนหลับ พี่ธารนี่เหมาะกับคำว่าเพอร์เฟกต์จริงๆ ขนาดหลับยังดูดีเลย ถ้าพี่ธารคือลูกรักพระเจ้าผมก็คงเป็นลูกเมียน้อย ปั้นมาต่างกันขนาดนี้พระเจ้าเกลียดผมแน่นอน

     ไม่ว่าอะไรก็ดูดีไปหมด อยากรู้จังว่าคนอย่างพี่ธารมีข้อเสียบ้างไหม

     “ซน” จู่ๆ คนที่ผมนึกว่าหลับอยู่ก็ยกมือมาจับมือผม พี่ธารลืมตามอง เราสบตากันโดยไม่ตั้งใจ

     “พี่เรียกผมเหรอ”

     “เปล่า กูกำลังว่ามึง เด็กอะไรซนแต่เช้า คนเขาหลับอยู่ยังเอานิ้วมาจิ้มอยู่ได้ นอกจากเอ๋อแล้วยังชอบก่อกวนอีก”

     อ่า...ผมว่าผมเจอข้อเสียพี่ธารแล้วล่ะ ไม่ต้องดูอื่นไกล ปากพี่มันนี่แหละที่เป็นข้อเสีย

     “แล้วทำไมวันนี้ถึงตื่นเช้า” พี่ธารที่ว่าผมจนพอใจแล้วยกมือรองศีรษะ หันตะแคงมาถามผม

     “มันตื่นเอง”

     “นอนไม่หลับเหรอ”

     “เปล่า ผมคงไม่ชินกับการนอนกับคนอื่นมั้ง”

     “งั้นต้องหัดบ่อยๆ ตั้งแต่วันนี้ไปมึงมานอนกับกู”

     “เดี๋ยว! เราเพิ่งคบกันเองนะพี่”

     “จะเพิ่งคบหรือคบนานแล้วยังไงก็ต้องนอนด้วยกันอยู่ดี” พี่ธารยิ้มมุมปาก เห็นรอยยิ้มนั่นแล้วรู้สึกสยิวแปลกๆ ไอ้พี่ธารจะไวไฟเกินไปแล้ว

     “บ้านผมก็มี เรื่องอะไรต้องมานอนกับพี่ทุกวันด้วยล่ะ”

     “แน่ใจเหรอว่าไม่อยากนอน เมื่อคืนกอดกูแน่นเชียวนะ”

     “ก็...ก็ผมนึกว่าพี่เป็นหมอนข้าง” ผมพูดไปหน้าแดงไป พี่ธารหัวเราะในลำคอ ผมกำลังจะลุกหนีแต่คนตัวโตก็คว้าไปกอดเสียก่อน ผมไม่ทันตั้งตัวเลยถลาเข้าหาอกแกร่ง พี่ธารรวบตัวผมไว้ด้วยสองแขน

     “พี่ธาร ทำอะไรเนี่ย” ผมพยายามขืนตัวออก แต่ให้ตายเถอะ ไอ้พี่ธารแรงเยอะชะมัด

     “มึงอาบน้ำแล้วเหรอ”

     “อาบอะไร ผมตื่นก่อนพี่นิดเดียวเอง”

     “เหรอ แล้วทำไมตัวหอมแบบนี้”

     ฟอด

     “แก้มก็หอม”

     ผมตัวแข็งทื่อ หยุดดิ้นไปเมื่อไหร่ไม่รู้ ได้แต่ตาโตมองคนที่ยังลอยหน้าลอยตา อะ...ไอ้...ไอ้พี่ธารหอมแก้มผม!!

     “ตกใจขนาดนั้นเลยเหรอ อย่าบอกนะว่าหอมแก้มก็ไม่ชิน งั้นสงสัยต้องหัดบ่อยๆ เหมือนกัน”

     “เฮ้ย! ไม่เอาแล้ว!” ผมรีบยันหน้าอีกฝ่ายไม่ให้โน้มมาหอมแก้มได้ ทำไมถึงชอบทำคนอื่นใจเต้นแรงวะ นิสัยไม่ดี

     “เอ๋อ เอามือออก”

     “ไม่”

     “กูจะหอมแก้ม”

     “พะ...พูดตรงเกินไปแล้ว”

     “แล้วจะอ้อมค้อมให้เสียเวลาทำไม อย่ามัวแต่ลีลา มาให้กูหอมแก้มซะดีๆ”

     ใครว่าผมห้ามสำเร็จบ้างครับ เสียใจด้วย คุณตอบผิด กว่าผมจะรอดมาได้แก้มเกือบช้ำ ไอ้พี่ธารหอมทั้งซ้ายทั้งขวา ไม่รู้ไปมันเขี้ยวมาจากไหน





     “ไอ้ซนมึงตั้งโต๊ะแถลงข่าวเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นวันนี้ไม่ต้องขึ้นเรียน” ผิงเปิดประเด็นทันทีที่ผมหย่อนก้นนั่ง ไม่ให้เวลาพักหายใจหายคอ

     “โดดเรียนเป็นสิ่งไม่ดีนะครับคุณผิง”

     “หรือมึงไม่อยากรู้”

     “อยากครับ”

     “ก็แค่นั้น แถลงมาได้แล้ว ขอเนื้อเน้นๆ ไม่เอาน้ำ” ผิงหันมาไล่บี้ผมอีกครั้ง มันจะอยากรู้ขนาดนี้ก็ไม่แปลกหรอกครับ ก็ตอนพี่ธารมาส่งผมที่ลานหน้าคณะ พี่มันเล่นหอมแก้มโชว์ประชาชนหน้าตาเฉย ไม่รู้หอมจากบ้านไม่พอหรือไง เชื่อผมเถอะว่าไม่เกินเย็นนี้รูปผมโดนหอมแก้มไปโผล่บนเพจมหา’ลัยแน่นอน

     “มึงเห็นยังไงก็ตามนั้นแหละ”

     “อย่าพูดคลุมเครือสิวะ ลงรายละเอียดให้เพื่อนหน่อย”

     “ก็ไม่มีอะไร แค่กูกับพี่ธารคบกันแล้ว”

     น้องนายตาโต ขณะที่ผิงมองมาด้วยแววตาหมั่นไส้

     “กล้าพูดว่าไม่มีอะไร มึงรู้ไหมว่าคนที่จะพูดประโยคนี้ได้ต้องสวยมากเลยนะ”

     “สวยห่าอะไรของมึง”

     “ก็มึงดูคนที่ตามกรี๊ดพี่ธารสิ ตัดภาพมาที่มึงเมื่อกี้” ผิงทำเสียงล้อเลียน “แค่กูกับพี่ธารคบกันแล้ว”

     “น่าครับ คุณซนกับพี่ธารใจตรงกันแล้วก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดี เราควรดีใจไปกับคุณซนนะครับ”

     “กูก็ดีใจ แต่มันก็ใจหายด้วยว่ะ เพื่อนเอ๋อของเรามีแฟนแล้ว หลังจากนี้คงไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยเหมือนก่อนไม่ได้” ผิงถอนหายใจหลังพูดจบ

     “กูแค่มีแฟน ไม่ได้ย้ายมหา’ลัยซะหน่อย กูก็ยังอยู่กับพวกมึงนี่แหละ” ผมบอกผิง ก่อนจะโวยวายเมื่อรู้สึกตัว “เดี๋ยว มึงว่ากูเอ๋ออีกแล้วนะ”

     “คุณผิงลืมผมไปหรือเปล่าครับ ผมยังไม่มีแฟน ยังโสดเป็นเพื่อนคุณผิงนะครับ” น้องนายรีบบอกไม่ให้เพื่อนน้อยใจ

     “เดี๋ยวมึงก็มี เชื่อกูสิ”

     น้องนายทำหน้างง ผมเห็นแล้วก็แปลกใจ ป่านนี้มันยังไม่รู้อีกเหรอว่าพี่บอนด์ชอบ

     “เฮ้อ สงสัยกูต้องรีบหาแฟนตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วมั้งจะได้ไม่เหงา เอาใครดีวะ พี่ไกด์ดีไหม”

     “มึงพูดเหมือนเลือกเสื้อผ้าเลยนะ”

     “โอ๊ย ถ้าเป็นเสื้อผ้ากูไม่คิดเยอะแบบนี้หรอก จะซื้อมันทั้งร้านเลย แต่นี่แฟนเลยนะมันก็ต้องคิดกันบ้าง”

     ผมกับน้องนายได้แต่มองตากัน เกินจะเยียวยาแล้วครับ ปล่อยมันไปเถอะ

     “ยินดีด้วยนะครับคุณซน ในที่สุดก็สมหวังเสียที” น้องนายกลับมาเรื่องเดิมอีกครั้ง ผมยิ้มให้เพื่อนทั้งสองคน เพราะพวกมันแท้ๆ ผมถึงกล้ายอมรับความรู้สึกตัวเอง

     “ขอบคุณพวกมึงมากนะ”

     “ที่ช่วยให้มึงมีแฟนน่ะเหรอ ถ้ามึงอยากขอบคุณก็ช่วยกูจีบพี่ไกด์สิ”

     “คุณผิงงง ยังไม่หยุดพูดเล่นอีกเหรอครับ”

     ผมมองสีหน้าอ่อนใจของน้องนายกับใบหน้าทะเล้นของผิงแล้วก็ยิ้มออกมา ก่อนที่รอยยิ้มจะค่อยๆ ลดลงเมื่อนึกถึงใครอีกคน ผมไม่ได้บอกเพื่อนว่านอกจากเรื่องพี่ธารแล้วยังมีอีกเรื่องที่ผมครุ่นคิดมาหลายวัน และวันนี้ที่ผมรู้ใจตัวเองแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องทำให้ชัดเจนเสียที





     ผมบอกให้เพื่อนกลับไปก่อนโดยอ้างว่ามีนัดกินข้าวกับพี่ธาร ส่วนตัวเองมานั่งรอใครบางคนอยู่ใต้ตึกวิศวะ ผ่านไปไม่นานคนที่ผมรอก็ลงมาจากตึก ผมโบกมือทักทาย อีกฝ่ายเลยเดินมาหา

     “รอนานหรือเปล่า” พี่เต้ส่งยิ้มมาก่อนตัว ในมือถือชีทเรียนมาด้วย

     “ไม่นานครับ ผมเพิ่งมาถึงเหมือนกัน”

     “แล้วที่ว่ามีเรื่องอยากคุยกับพี่คือเรื่องอะไร” พี่เต้เข้าประเด็นทันทีโดยไม่อ้อมค้อม ผมยืนขึ้นแล้วยิ้มให้เขา

     “ไปหาที่อื่นคุยกันเถอะครับ ตรงนี้คงไม่เหมาะ”

     “โอเค”





     พี่เต้พาผมมาหลังตึกวิศวะ แถวนี้ผมเคยมาครั้งเดียวคือตอนผิงมาส่องผู้ชายคณะนี้ ระหว่างเดินตามพี่เต้ผมก็พยายามเรียบเรียงคำพูดในหัว คิดว่าจะพูดยังไงไม่ให้ดูใจร้ายเกินไป

     “ถ้าเป็นที่นี่คงได้นะ” พี่เต้หยุดยืนหน้าสระบัว สระนี้เห็นผิงเคยเล่าว่ามักจะมีดารามาถ่ายละครบ่อยๆ ตอนนี้เป็นเวลาสี่โมงเย็น บริเวณนี้จึงไม่ค่อยมีคน ผมเดินมายืนเทียบข้าง สูดหายใจลึกๆ แล้วพูดออกไป

     “พี่เต้ชอบผมใช่ไหมครับ” ถ้าเป็นปกติผมคงไม่กล้าถามอะไรแบบนี้ ความเป็นไปได้ที่อดีตเดือนมหา’ลัยอย่างพี่เต้จะมาชอบผมแทบเป็นศูนย์ แต่เพราะคนบอกคือพี่ธารผมเลยเชื่อว่ามันคือเรื่องจริง ถึงจะฟังดูเหลือเชื่อไปหน่อยก็ตาม

     “กะแล้วว่าต้องเป็นเรื่องนี้” พี่เต้ยิ้มให้ผม สีหน้าไม่มีความแปลกใจเหมือนอย่างที่คิด “ถามอย่างนี้แสดงว่าคงได้ยินมาจากธารแล้วสินะ”

     “ครับ” เอาจริงๆ คนที่พูดว่าพี่เต้ชอบผมคือผิง แต่ในเมื่อพี่ธารบอกว่าผิงพูดถูกมันก็เหมือนพี่ธารเป็นคนบอก

     “แล้วมาถามพี่ทำไม เรารู้คำตอบอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

     “ผมแค่อยากถามให้แน่ใจ”

     “งั้นก็แน่ใจได้เลย พี่ชอบเราจริงๆ”

     ถึงจะรู้อยู่แล้ว แต่พอมาได้ยินจากปากเจ้าตัวจริงๆ ก็อดตกใจไม่ได้ ผมหันไปมองพี่เต้ตรงๆ พยายามสังเกตสีหน้าอีกฝ่าย

     “บอกได้ไหมครับว่าทำไมถึงชอบผม”

     “ซนน่ารักดี”

     “แค่นั้นเหรอครับ”

     “แล้วต้องแค่ไหนล่ะ เหตุผลในการสนใจใครสักคนจำเป็นต้องมีเยอะด้วยเหรอ”

     ผมหัวเราะเมื่อได้ยินคำพูดของคนตรงหน้า พี่เต้พูดเหมือนพี่ธารเลย

     “ขอบคุณที่ชอบผมนะครับ ขอบคุณสำหรับความรู้สึกดีๆ ที่มีให้ แต่ผมคงรับไว้ไม่ได้”

     “พี่รู้อยู่แล้วล่ะ”

     “หือ? ทำไมรู้ล่ะครับ” ผมทำหน้างง พี่เต้หลุดขำ มองเข้ามาในดวงตาผม

     “เราเล่นทำหน้าเหมือนอยากขอโทษแบบนี้ ใครบ้างจะไม่รู้ ไม่มีใครทำหน้าแบบนี้ตอนจะสารภาพรักหรอกนะ”

     “ผมขอโทษ” ผมพูดออกไปจากใจจริง นี่คือประโยคที่ผมอยากบอกพี่เต้มากที่สุด

     “ไม่เลือกพี่ แสดงว่าเลือกธารสินะ”

     “ครับ ผมชอบพี่ธาร”

     “พี่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะแพ้ใครเรื่องความรัก ซนเป็นคนแรกเลยนะที่ทำให้พี่รู้จักคำว่าแพ้” พี่เต้พูดด้วยท่าทางสบายๆ ไม่เศร้าหรือเสียใจอย่างที่กังวล ผมเลยค่อยยิ้มออกได้

     “อย่างพี่มีคนชอบเยอะแยะไปครับ ไม่จำเป็นต้องมารอเด็กกะโปโลอย่างผมหรอก”

     “เผอิญว่าพี่ชอบเด็กกะโปโลน่ะสิ แต่ตอนนี้อกหักแล้ว คงต้องหาคนมาดามใจ” พี่เต้ยื่นมือมาลูบหัว สายตาที่มองมาจริงจังขึ้น “พี่ไม่มีโอกาสแล้วใช่ไหม”

     “ถ้าผมตอบว่าไม่มีจะดูใจร้ายไปไหมครับ”

     “หึๆ” พี่เต้หัวเราะในลำคอ ดูจะชอบใจกับคำตอบซื่อๆ ของผม “พี่ชอบเราก็ตรงนี้”

     “อย่าชอบผมเลยครับ ผมคบกับพี่ธารแล้ว ผมไม่อยากให้พี่เต้ตกนรกเพราะชอบแฟนคนอื่น”

     “ฮ่าๆๆ” พี่เต้ผละมือไปกุมท้องตัวเอง ขำจริงจังจนผมงงว่าที่พูดไปมันตลกขนาดนั้นเลยเหรอ “พี่กะจะเดินหน้าจีบเต็มกำลังกว่านี้ แต่เราดันมาปฏิเสธตัดหน้าซะก่อน ถ้าพูดขนาดนี้พี่ก็มีแต่ต้องตัดใจสินะ”

     “ผมขอโทษ”

     “ขอโทษทำไม ซนไม่ผิดอะไรเลย พี่ต่างหากที่ต้องขอบคุณ”

     “ขอบคุณอะไรครับ” ผมว่าผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะ เรียกว่ากำลังหักอกอยู่ด้วยซ้ำ แล้วพี่แกขอบคุณอะไรผมหว่า

     “ขอบคุณที่ทำให้พี่รู้จักรสชาติของการอกหัก จะว่าไปมันก็ไม่เลวนะ” พี่เต้ยักคิ้วให้ผม ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรเขาก็มองเลยผมไปด้านหลัง ทันใดนั้นมุมปากก็ยกยิ้ม “หึ ดูเหมือนจะได้รู้จักรสชาติของคนหึงหวงด้วยแฮะ”

     อะไรคือคนหึง...

     “มึงพาซนมาที่นี่ทำไม”

     อ่า...ผมว่าผมไม่ต้องถามพี่เต้ให้เปลืองแรงแล้วล่ะ ‘คนหึงหวง’ เล่นคว้าผมไปยืนชิดขนาดนี้ อีกนิดจะกระชากแล้ว ผมหันไปมองพี่ธารที่ไม่รู้ว่ามาได้ยังไง ดวงตาคมวาวโรจน์อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ถ้าผมโดนจ้องด้วยสายตาแบบนั้นคงเข่าอ่อนไปแล้ว แต่สงสัยพี่เต้จะมีภูมิต้านทานดี เพราะพี่แกเพียงแค่ยักไหล่ ทำหน้ากวนอวัยวะเบื้องล่างสุดๆ

     “ไม่ได้พามาทำอย่างที่มึงคิดหรอก สบายใจได้ ถึงกูจะอยากทำแค่ไหนก็ตาม”

     “ไอ้!!!”

     “พี่ธารใจเย็น” ผมยกมือดันอกพี่ธารที่ทำท่าจะถลาเข้าไปหาพี่เต้ ฝ่ายนั้นกระตุกยิ้ม มองพี่ธารด้วยแววตาขบขัน

     “วางใจเถอะ กูแพ้มึงแล้ว กลับไปขอบคุณเด็กมึงด้วยล่ะ เพราะถ้าซนไม่มาพูดเอง ชาตินี้ทั้งชาติอย่าหวังว่ากูจะยอมใครง่ายๆ”

     พี่ธารชะงัก หันมาขมวดคิ้วมองผม พี่เต้เดินเข้ามาใกล้ วางมือบนบ่าพี่ธารแล้วตบเบาๆ

     “ซนรักมึงมากนะ เพราะงั้นอย่าทำให้ความรักของซนเสียเปล่า กูอุตส่าห์ถอยให้ทั้งที ดูแลซนให้ดีสมกับที่กูถอยด้วยล่ะ”

     พี่เต้กับพี่ธารสบตากันนิ่ง ก่อนที่อดีตเดือนมหา’ลัยจะเดินจากไป ผมมองตามพี่เต้ได้ไม่ถึงวินาทีก็ต้องหันกลับมาเมื่อพี่ธารออกแรงจูงมือ

     พี่ธารพาผมเข้ามานั่งในรถ ทันทีที่ปิดประตูก็หันมาจ้องผมนิ่ง ดวงตาที่ดุกว่าทุกทีทำเอาผมลอบกลืนน้ำลาย

     “มึงไปพูดอะไรกับไอ้เต้”

     “ผม...ผมแค่ไปบอกให้เขาตัดใจจากผม แล้วก็...บอกเรื่องที่เราคบกัน” เขาว่ากันว่าเวลาใครพูดตะกักตะกักแปลว่าคนๆ นั้นกำลังโกหก แต่ที่ผมเป็นอยู่นี่กลับตรงกันข้ามเลย โดนจ้องขนาดนี้ใครจะไปเฉยอยู่ได้วะ ตาพี่ธารแม่งน่ากลัวฉิบ ผมไม่ฉี่ราดกางเกงก็บุญแล้ว

     “แค่นั้น?” ดวงตาพี่ธารคลายความดุลงเล็กน้อย

     “ครับ”

     “แล้วทำไมไม่บอกกูก่อน ทำไมต้องแอบมา”

     “...”

     “เอ๋อ”

     “...คำถามนี้ผมไม่ตอบได้ไหมอะ”

     พี่ธารโน้มหน้ามาใกล้ ดวงตาลุกวาบอีกครั้ง ผมรู้คำตอบทันทีว่าไม่ตอบคงไม่ได้

     “แน่ใจเหรอว่าจะปิดบังกู”

     อื้อหือ เสียงเย็นยะเยือกขนาดนี้ ไม่ต้องขู่ต่อไอ้ซนก็กลัวหัวหดแล้วครับ นี่กูได้แฟนหรือได้พ่อใหม่วะเนี่ย

     “ก็ผมไม่อยากพูดต่อหน้าพี่นี่ มัน...เขิน” พยางค์สุดท้ายผมเบือนหน้าหนี มันอายจนไม่อาจสบตาได้ แต่พี่ธารก็เชยคางผมหันกลับมาอีกครั้ง

     “เขินอะไร”

     “จะถามทำไมเล่า พี่น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอ”

     “เขินที่ต้องบอกไอ้เต้ว่าชอบกูเหรอ”

     ผมไม่ตอบแต่พยักหน้าแทน พี่ธารมองผมนิ่ง สักพักรอยยิ้มก็ปรากฏบนมุมปาก ใบหน้าดุเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์

     “งั้นตั้งแต่วันนี้มึงต้องบอกชอบกูทุกวัน สามเวลาหลังอาหารได้ยิ่งดี”

     “เฮ้ย!!” ผมสะดุ้งกับประโยคคำสั่งของคนตรงหน้า ทำไมจู่ๆ มาโผล่เรื่องนี้ได้วะ

     “มึงจะได้เลิกเขินไง”

     เขินหนักกว่าเดิมน่ะสิไอ้พี่บ้า!

     “ผมไม่ทำ”

     “มึงไม่มีสิทธิ์ต่อรอง อย่าลืมว่าวันนี้มึงมีความผิด ตอนมีคนบอกว่ามึงไปหลังคณะกับไอ้เต้สองต่อสอง รู้ไหมว่ากูโมโหแค่ไหน กูลงโทษแค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ”

     “ก็บอกแล้วไงว่าผมแค่มาคุยกับพี่เต้เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเลย”

     “พูดแบบนี้แสดงว่ามึงยังไม่รู้สินะ”

     “ไม่รู้อะไร”

     พี่ธารไม่ตอบในทันที แต่ยื่นหน้ามาใกล้กว่าเดิมจนผมได้กลิ่นน้ำหอมผู้ชาย ใบหน้าคมคลอเคลียอยู่แถวใบหู ไอร้อนจากร่างแกร่งพาให้หัวใจเต้นรัว

     “แฟนมึงเป็นคนหึงโหด จำไว้ให้ดีล่ะ ถ้าคราวหน้ามีเหตุการณ์แบบนี้อีก กูจะลงโทษให้หนักจนมึงลุกไม่ขึ้นเลยคอยดู”



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter :    earthxxide  (https://twitter.com/earthxxide? t=muF0165hiRexxkrO2QLULw&s=09)

     Fanpage :    Earthxxide  (https://www.facebook.com/earthxxide? mibextid=ZbWKwL)
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 25] ✪ 25/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 25-05-2023 22:31:40
 :jul3: :laugh:
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 25] ✪ 25/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 26-05-2023 14:24:57
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 26] ✪ 26/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 26-05-2023 20:41:21
ตอนที่ 26
LIMITED EDITION


     “มันเป็นไรวะ” ผิงที่เพิ่งมาถึง ถามน้องนายพลางชี้มือมายังผมที่กำลังคิ้วขมวด

     “ไม่รู้ครับ เป็นอย่างนี้มาสักพักแล้ว”

     “เป็นอะไร ทำหน้าอย่างกับโลกจะแตก” ผิงยื่นหน้ามาใกล้ก่อนจะเบิกตากว้าง “อย่าบอกนะว่าเลิกกับพี่ธารแล้ว”

     “สัด” ปกติผมไม่ด่าผู้หญิง แต่วันนี้คงต้องขอสักวัน คบยังไม่ถึงเดือนแช่งให้เลิกกันแล้ว ปากไม่มงคลเลยเพื่อนผม

     “ด่าแบบนี้แสดงว่าไม่ใช่ งั้นมึงเป็นอะไร บอกมาเลยกูขี้เกียจเล่นทายคำถาม”

     “ไม่มีประโยชน์หรอกครับ ผมถามหลายรอบแล้วคุณซนก็ไม่ยอมบอก จนผมขี้เกียจถามแล้ว”

     ที่ผมไม่อยากบอกเพราะรู้ว่าถ้าพูดไปแล้วเพื่อนผมต้องไม่เห็นด้วยแน่นอน นี่มันเรื่องคอขาดบาดตายเลยนะ ผมจะเอามาพูดเล่นไม่ได้

     “มันเป็นความลับขนาดนั้นเลยเหรอ” ผิงหันมาถาม

     “ไม่ใช่ความลับอะไรหรอก”

     “แล้วทำไมไม่ยอมบอก”

     “บอกแล้วเดี๋ยวพวกมึงก็ว่ากู”

     “แปลว่าเป็นเรื่องไม่ดี ยิ่งต้องเล่าเข้าไปใหญ่” ผิงเก็บกระเป๋าสตางค์ของตัวเอง จากที่กำลังจะลุกไปซื้อข้าว เพื่อนผมไม่ค่อยอยากรู้อยากเห็นเท่าไหร่เลย

     “มึงก็พูดเกินไป กูไม่ได้ไปก่อเรื่องที่ไหนซะหน่อย”

     “งั้นมึงก็พูดมาสิ เผื่อกูกับน้องนายจะช่วยอะไรได้ มึงจะได้ไม่ต้องทำหน้าเหมือนหมาโดนรถทับอยู่แบบนี้”

     บางทีผมก็ทึ่งผิงเหมือนกันนะ ไม่รู้มันไปสรรหาคำเปรียบเทียบมาจากไหน แต่ละอย่างดีๆ ทั้งนั้น

     “ก็วันก่อนน่ะสิ” ผมตัดสินใจเล่าให้เพื่อนฟัง คิดในแง่ดีว่าพวกมันอาจช่วยได้จริงๆ ก็ได้

     “วันก่อนทำไม”

     “กูไปคุยกับพี่เต้มา เรื่องที่พี่เขาชอบกู”

     “เหี้ย” ผิงอุทานอย่างลืมตัว ขยับมาใกล้ “มึงไปคุยเมื่อไหร่ ทำไมกูไม่รู้”

     “ก็กูไม่ได้บอก”

     “เดี๋ยวนี้หัดมีความลับนะมึง”

     “คุยกับพี่เต้แล้วเป็นยังไงบ้างครับ” น้องนายพากลับเข้าเรื่องเมื่อเห็นว่าผิงเริ่มออกทะเล

     “ก็ไม่ยังไง กูบอกไปตรงๆ ว่ากูชอบพี่ธาร และเราก็เป็นแฟนกันแล้ว พี่เต้เขาก็เข้าใจ ไม่ได้เศร้าหรือเสียใจ ยังขอบคุณด้วยซ้ำที่กูมาพูดตรงๆ”

     “ก็ดีแล้วนี่หว่า แล้วมึงจิตตกอะไร”

     ผมถอนหายใจเมื่อผิงถามถึงเรื่องถัดไป “ก็พี่ธารน่ะสิ เห็นกูแอบมาคุยกับพี่เต้สองต่อสองเลยโมโหหึงใหญ่ ตั้งนานกว่าจะหาย”

     “คนเป็นแฟนกัน เห็นแฟนไปไหนกับคนที่ชอบแฟนตัวเองก็ต้องหึงปะวะ อย่าบอกนะว่ามึงโกรธที่พี่ธารหึง”

     “เปล่า กูแค่งง”

     “งง?”

     “คุณซนงงอะไรครับ”

     “ก็ไอ้พี่ธารบอกว่าถ้าคราวหน้ามีเหตุการณ์แบบนี้อีกจะลงโทษให้กูลุกไม่ขึ้น”

     “อร๊าย!! กูเขิน พี่ธารเวอร์ชันหึงโหด บุญหูกูมากที่ได้ยินอะไรแบบนี้” ผิงหลับหูหลับตาฟิน มันเขินนำผมที่เป็นเจ้าของเรื่องไปแล้ว แต่สักพักมันก็หยุดกรี๊ด หันมาย่นคิ้วใส่ “ว่าแต่มึงงงอะไรวะ อย่าบอกนะว่ามึงไม่เข้าใจความนัย โธ่เพื่อนกู เอ๋อไม่พอเสือกโง่อีก”

     “กูไม่ได้โง่ กูเข้าใจความนัยที่พี่มันจะสื่อ แต่กูไม่เข้าใจว่าทำไมกูต้องลุกไม่ขึ้น”

     “อะไรของมึง ก็นั่นแหละที่เรียกว่าไม่เข้าใจ” ผิงหันไปหาน้องนาย “มึงเข้าใจที่พี่ธารพูดหรือเปล่า”

     “เข้าใจครับ”

     “เห็นไหม หงิมๆ อย่างน้องนายมันยังเข้าใจเลย กูเพิ่งรู้ว่ามีเพื่อนใสซื่อขนาดนี้”

     “ก็กูบอกว่าเข้าใจไง”

     “มึงไม่เข้าใจ”

     “กูเข้าใจว่าพี่ธารหมายถึงอะไร แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมกูต้องเป็นฝ่ายลุกไม่ขึ้น”

     “ฮะ!?” เพื่อนผมประสานเสียงกันอย่างพร้อมเพรียง แม้แต่น้องนายผู้แสนเรียบร้อยยังหลุดอุทาน ผมได้ยินผิงพึมพำเบาๆ

     “เวรเอ๊ย โลกจะแตกจริงๆ ก็คราวนี้แหละ”

     “เอ่อ...คุณซนอำเล่นใช่ไหมครับ คงไม่ได้คิดอย่างที่พูดจริงๆ ใช่ไหม”

     “กูจะอำมึงเล่นทำไม นี่กูจริงจังมากนะ”

     น้องนายทำหน้าตกตะลึง ไม่ต้องถามถึงผิง รายนั้นอ้าปากค้างแมลงวันบินเข้าปากไปเรียบร้อย

     “ซน กูรู้นะว่ามึงเอ๋อ แต่นี่มันเข้าขั้นบ้าระห่ำแล้วนะ มึงรู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา”

     “ทำไม มึงจะบอกว่ากูควรเป็นฝ่ายลุกไม่ขึ้นหรือไง”

     “กูไม่ได้จะบอก แต่ของแบบนี้มันเห็นๆ กันอยู่แล้ว โอ๊ย อกอีผิงจะแตก กูไม่น่าให้มึงเล่าเลย นี่กูต้องมาได้ยินอะไรแบบนี้จริงเหรอ” ผิงยกมือทึ้งหัวตัวเอง สีหน้าเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก เห็นไหมครับ รู้หรือยังว่าทำไมผมถึงไม่อยากบอกพวกมัน เอะอะจะให้ผมเพลี่ยงพล้ำอย่างเดียว ช่างไม่ยุติธรรม

     “ซน กูไม่รู้นะว่ามึงเอาหัวไปชนอะไรมา แต่มึงต้องเปลี่ยนความคิดเดี๋ยวนี้” ผิงเลิกทึ้งหัว หันมาจับบ่าสองข้างสีหน้าจริงจัง

     “มึงกำลังดูถูกกูนะผิง ของแบบนี้มันอยู่ที่ลีลาไม่ใช่ขนาดตัวโว้ย”

     “ถุย เป็นแค่ไม้ซีกเสือกคิดจะงัดกับไม้ซุง มึงคิดว่าพี่ธารจะยอมมึงเหรอ”

     ผมมุ่ยหน้าเมื่อคิดตามคำพูดผิง เวรแล้วไง ลืมคิดเรื่องนี้ไปสนิทเลย เอาไงดีวะ ดูท่าทางพี่มันแล้วคงไม่เปลี่ยนความคิดง่ายๆ แต่จะให้เข้าใจผิดต่อไปก็ไม่ดี ธารซนอะไรกัน มันต้องซนธารสิ บอกแล้วไงว่าผมไม่ยอมเป็นรับ ไม่มีวันยอมเด็ดขาด

     “ทำไมคุณซนเงียบล่ะครับ หรือเข้าใจสิ่งที่คุณผิงพูดแล้ว” น้องนายทำหน้าโล่งอกเมื่อคิดว่าผมล้มเลิกความคิดแล้ว

     “ให้มันได้อย่างนี้สิ เข้าใจอะไรง่ายเหมือนกันนะมึง”

     “เปล่า กูกำลังหาวิธีทำให้พี่ธารยอม”

     “เหี้ย!”

     “คุณซน...เอาจริงเหรอครับ”

     ผมพยักหน้า ผิงกับน้องนายทำหน้าอ่อนใจกว่าเดิม

     “เออ แล้วแต่มึงเลย กูไม่พูดแล้ว พูดไปก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เปลืองน้ำลายเปล่าๆ” ผิงทรุดตัวลงนั่งท่าทางหมดแรง

     “ผมไม่ได้ดูถูกคุณซนนะครับ แต่ของบางอย่างเราก็ควรปล่อยไปตามธรรมชาติ ไปฝืนมากๆ มันไม่ดี”

     ผมมองค้อนน้องนาย ที่มึงพูดมานั่นแหละเขาเรียกว่าดูถูก ได้ ในเมื่อไม่มีใครเชื่อ ผมก็จะพิสูจน์ให้ดูว่าคนอย่างไอ้ซนก็ไม่น้อยหน้าใครเหมือนกัน คอยดูเถอะพี่ธาร เตรียมตัวเป็นภรรยาของสามีคนนี้ได้เลย





     เสียงกรี๊ดดังกระหึ่มอัฒจันทร์ การันตีความฮอตของนักกีฬาในสนามได้เป็นอย่างดี ผมมาดูพี่ธารเล่นบาสกี่ครั้งก็เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง ฮอตจริงๆ เลยพ่อคุณ

     “พี่ธารของมึงนี่ฮอตปรอทแตกโคตรๆ เลยว่ะ ดูพวกนั้นดิ มีป้ายไฟมาเชียร์ด้วย” ผิงชี้ไปยังอีกฝั่งของอัฒจันทร์ที่มีคนชูป้ายไฟให้กำลังใจพี่ธาร ไม่น่าเชื่อว่าแค่การแข่งบาสเล่นๆ ในกลุ่มจะจริงจังกันขนาดนี้

     “คุณซนไม่ทำแบบนั้นบ้างเหรอครับ ผมว่าพี่ธารคงดีใจตาย”

     “ดีใจอะไรล่ะ เผลอๆ ด่ากูด้วยว่าทำอะไรไม่เข้าท่า” วันนี้พี่ธารมีนัดซ้อมบาสกับเพื่อนต่างคณะ ผมที่เป็นแฟนเลยต้องมาดูเสียหน่อย ผมเอาผิงกับน้องนายด้วยเพราะหนึ่งพวกมันเป็นเพื่อนผม เพื่อนไปไหนต้องไปด้วยกัน สองผิงอยากมาส่องผู้ชาย ผมไม่แน่ใจว่ามันเจาะจงถึงพี่ไกด์หรือพูดไปทั่ว และสามคือเหตุผลสำคัญที่สุด นั่นคือพี่บอนด์บอกให้พาน้องนายมาด้วย ผมว่าหลังจบการแข่งวันนี้ผมจะคุยกับน้องนายจริงๆ จังๆ เสียที พี่บอนด์ทำขนาดนี้มันควรรู้ตัวได้แล้ว

     “พี่ธารอาจจะชอบก็ได้ มึงรู้ได้ไงว่าไม่เข้าท่า” ผิงดูจะติดใจเรื่องที่คุยค้างไว้

     “เชื่อกูสิ กูรู้จักแฟนกูดี พี่ธารไม่ชอบอะไรแบบนั้นหรอก พี่มันบอกเองว่าแค่กูมาเชียร์เฉยๆ ก็ดีใจแล้ว”

     “ค่ะ พ่อคนรู้จักแฟนทุกซอกทุกมุม คบกันไม่เท่าไหร่เรียกแฟนเต็มปากเต็มคำเลยนะ”

     “กูก็เรียกแต่กับพวกมึงนี่แหละ กับคนอื่นกล้าที่ไหน มันยังไม่ชินยังไงไม่รู้ว่ะ” ผมไม่ได้อายที่เป็นแฟนกับพี่ธาร แต่ผมเพิ่งมีแฟนเป็นผู้ชายคนแรกเลยต้องใช้เวลาปรับตัว

     “ขนาดไม่ชินยังคิดจะจับเขากด กูไม่อยากนึกถึงตอนมึงชินแล้วเลย” ผิงยังจิกกัดเรื่องที่คุยกันตอนเช้าไม่เลิก ผมก็แค่พูดไปตามสิ่งที่มันควรเป็น หล่อๆ อย่างผมจะให้เป็นรับได้ไง เสียของที่พ่อแม่อุตส่าห์ให้มาหมด

     “อย่าเพิ่งเถียงกันครับ พี่ธารเรียกแล้ว” น้องนายสะกิดให้ผมมองไปข้างสนาม เพราะมัวแต่คุยกับเพื่อนเลยไม่รู้ว่าการแข่งเข้าสู่ช่วงพักครึ่งแล้ว

     “เหมือนเขาอยากให้เราไปนั่งด้วยกันนะ” ผิงเดาจากท่าทางกวักมือและชี้ไปยังที่นั่งข้างสนามของพี่ธาร

     “ไปได้เหรอวะ”

     “ได้มั้งไม่งั้นจะเรียกทำไม นี่แค่ซ้อมเฉยๆ ไม่ได้แข่งจริงเสียหน่อย”

     “งั้นไปกันเถอะครับ”

     พวกผมเดินลงมาจากอัฒจันทร์ ฝ่าด่านสายตาที่มองมา ผมเกือบลืมไปว่าเป็นแฟนคนฮอตต้องทำใจ ไปไหนก็มีแต่คนมอง เอาเป็นว่าผมจะคิดว่าผมฮอตเหมือนพี่ธารแล้วกัน

     “พวกผมมานั่งนี่จะดีเหรอครับ” ผมรีบถามพี่ธารเพราะตรงนี้มีแต่คนที่ลงแข่งกับพวกที่มาดูแลน้ำท่า

     “ดีสิ ไม่งั้นกูจะให้มาทำไม ถามแปลกๆ นะเอ๋อ”

     ตอบเหมือนเพื่อนผมเป๊ะ รู้แบบนี้ไม่น่าถามเลย เดี๋ยวนี้พี่ธารไม่เหมือนแต่ก่อนแล้วนะครับ ชอบเรียกผมว่าเอ๋อต่อหน้าบุคคลที่สาม บอกว่าเป็นการแสดงความเป็นเจ้าของ เรียกแล้วให้ความรู้สึกพิเศษ พิเศษตรงไหนวะ คนเขาจะเข้าใจผิดว่าผมเอ๋อกันทั้งมหา’ลัยแล้วเนี่ย

     “มาเชียร์พี่ด้วยเหรอ” พี่บอนด์ย่อตัวคุกเข่าตรงหน้าน้องนาย ผมอยากถามออกไปแต่คิดว่าไม่ดีกว่า ได้ข่าวว่าพี่ให้ผมพามันมาเองไม่ใช่เหรอครับ

     “ผมมากับเพื่อนครับ แต่ก็มาเชียร์พี่ด้วยเหมือนกัน”

     “งั้นมาดูแลพี่เพิ่มอีกอย่างก็ได้ใช่ไหม” พี่บอนด์พูดยิ้มๆ ส่งผ้าขนหนูให้เพื่อนผม

     “อะไรครับ”

     “เช็ดให้พี่หน่อย”

     “ไม่ใช่หน้าที่ผมครับ คนดูแลนักกีฬาก็มี” ไอ้น้องนาย กูรู้ว่ามึงไม่คิดอะไร แต่มึงช่วยเพลาๆ ความตรงหน่อยก็ได้

     “อะไร แค่นี้ทำให้ไม่ได้เหรอ พี่ยังอุตส่าห์ดูแลเราตอนป่วยเลย”

     “แต่นั่นมัน...”

     “นะครับ เช็ดให้หน่อย เหงื่อจะเข้าตาแล้ว” พี่บอนด์โน้มหน้ามาใกล้ ผมเห็นน้องนายผงะไปนิดหนึ่ง ก่อนมันจะผงกหัวช้าๆ พร้อมแก้มที่ขึ้นสีเล็กน้อย ผมถึงกับยกมือขยี้ตาทันที

     น้องนายเขินพี่บอนด์!! นี่ถือเป็นข่าวเด็ดประจำกลุ่มผมเลยนะ เอาแล้วโว้ยคู่นี้มีหวังแล้ว สงสัยเร็วๆ นี้ต้องมีข่าวดีแน่นอน

     “มองคนอื่นอยู่ได้ ไม่รู้หน้าที่เลยนะมึง”

     “หือ?” ผมหันกลับมาทำหน้าเอ๋อใส่คนตรงหน้า หน้าที่อะไรวะ

     พี่ธารโยนผ้าขนหนูมาใส่มือผม ย่อตัวลงแบบเดียวกับพี่บอนด์

     “…”

     “ยังไม่เช็ดอีก เร็วๆ สิเอ๋อ เดี๋ยวก็หมดพักแล้ว”

     ผมชี้ไปยังพี่บอนด์ที่มีน้องนายซับเหงื่อให้อยู่ “ขอแบบนั้นบ้างดิ” ความหมายของผมคืออยากให้พี่ธารขอแบบอ้อนๆ เหมือนพี่บอนด์บ้าง มันคงชวนให้รู้สึกดีไม่น้อย

     “เล่นตัวนักนะมึง อย่าเรื่องมากรีบๆ เช็ดให้กูได้แล้ว ดูแลให้สมกับเป็นแฟนหน่อย”

     ครับ ผมลืมไปได้ไงว่านี่คือพี่ธาร ผู้ชายหล่อเสียของที่มีดีแค่หน้าตาอย่างเดียว จะหวังให้มาอ้อนพูดจาเพราะๆ คงเป็นไปไม่ได้

     ผมเอื้อมมือไปซับเหงื่อบนหน้าผาก ตามไรผมและขมับ เอาเถอะครับ ผมจะถือว่าซ้อมไว้เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับชีวิตคู่ในอนาคต สามีที่ดีควรดูแลภรรยาไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม

     “เช็ดแขนด้วย”

     “ครับๆ” คนสั่งก็สั่งไปสิ ไม่ได้สนเลยว่าคนอื่นจะมองมาแค่ไหน ต่อมความรู้สึกพังเหรอวะถึงไม่เขินอะไรเลย

     “สวีทกันเกินไปแล้วนะคะ เห็นใจคนโสดบ้าง” ผิงร้องโอดโอยเมื่อมันเป็นคนเดียวที่ไม่มีคนให้เช็ดเหงื่อ

     “ผมไม่ได้สวีทกับพี่บอนด์ครับ” น้องนายทักท้วงขึ้นมา แต่ผิงทำหูทวนลม สอดส่ายตาไปทั่วก่อนหยุดที่พี่ไกด์

     “ผิงเช็ดให้ไหมคะพี่ไกด์ บริการฟรีไม่คิดเงิน แถมหัวใจดวงน้อยๆ ให้ด้วย”

     ดูเหมือนโปรโมชันเพื่อนผมจะดึงดูดน้อยไปหน่อย เพราะพี่ไกด์เอาแต่ยิ้มแหย ทำหน้าสยองไม่กล้าเดินเข้ามา แต่ผมเข้าใจนะครับ เพื่อนผมจ้องแทบทะลุผ้าขนาดนั้น ผู้ชายคนไหนไม่กลัวผมให้ถีบ

     “เสร็จแล้วครับ” ผมพูดหลังใช้มือสางเข้าไปในกลุ่มผมเพื่อจัดทรงให้เรียบร้อย พี่ธารขยับตัว ผมนึกว่าพี่มันจะยืนขึ้น แต่อีกฝ่ายกลับโน้มหน้ามาใกล้ โดยไม่ทันตั้งตัวริมฝีปากหนาก็แตะลงมาบนปากผม

     ผมนั่งนิ่งเหมือนถูกใครสตัฟฟ์ไว้ รอบข้างต่างมองมากันหมด พี่ธารที่เห็นรีแอคชันผมจุดยิ้มพอใจ วางมือลงบนหัวแล้วโยกเบาๆ

     “กูอ้อนใครไม่เก่ง เอารางวัลไปแทนแล้วกัน รางวัลนี้ LIMITED EDITION มากนะ ทั้งมหา’ลัยมีมึงได้คนเดียว”

     พี่ธารยักคิ้วให้ผม ส่งยิ้มชวนละลายให้ ก่อนเดินกลับไปในสนามเมื่อหมดเวลาพัก ผิงเข้ามาเขย่าแขนผม มันเพ้ออะไรบ้างผมไม่ได้ยินสักนิด ตอนนี้ผมได้ยินแต่เสียงหัวใจตัวเอง หัวใจที่เต้นโครมครามจนกลบเสียงรอบข้างไปหมด

     ผมค่อยๆ ยกมือแตะปาก สัมผัสอุ่นๆ ยังคงตราตรึงในความรู้สึก ผมลูบไล้ริมฝีปากตัวเองเบาๆ คำถามที่ค้างคาอยู่ในใจ ดูเหมือนตอนนี้ผมจะได้คำตอบแล้ว

     ปากพี่ธารนุ่มมาก แถมยังชวนให้รู้สึกดีมากอีกด้วย ทั้งที่พี่ธารก้มมาแตะปากไม่ถึงวินาที ทั้งที่มันเรียกว่าจูบไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่กลับทำให้ผมตกอยู่ในภวังค์ ถอนตัวจากความรู้สึกวาบหวามนี้ไม่ได้เลย

     อืม...สมกับเป็นรางวัล LIMITED EDITION จริงๆ แฮะ



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter :    earthxxide  (https://twitter.com/earthxxide? t=muF0165hiRexxkrO2QLULw&s=09)

     Fanpage :    Earthxxide  (https://www.facebook.com/earthxxide? mibextid=ZbWKwL)
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 26] ✪ 26/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 26-05-2023 22:44:35
 :jul3: :laugh:
หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 27] ✪ 28/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 28-05-2023 18:25:32
ตอนที่ 27
ความเป็นไปได้


     -น้องนาย-

     พักหลังมานี้ผมรู้สึกว่าพี่บอนด์เปลี่ยนไป มักจะทำอะไรแปลกๆ อย่างตอนนี้พี่บอนด์กำลังขับรถ แต่กลับดึงมือผมไปวางบนตัก ลูบหลังมือเบาๆ จะชักมือกลับก็ไม่ยอม

     “ขับรถมือเดียวมันอันตรายนะครับ” นี่เป็นประโยคที่ผมพูดมาสามรอบแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับไม่สนใจฟัง ยังคงจับมือผมอยู่อย่างนั้น

     “พี่บอนด์”

     “ครับ”

     “ผมบอกว่าขับรถมือเดียวมันอันตรายครับ”

     “ไม่เห็นอันตรายเลย นี่พี่ก็ขับได้ไม่ได้พาเราลงข้างทาง” ร่างสูงพูดอย่างสบายๆ ผมเลยได้แต่ทอดถอนใจ เอาเถอะครับ เจ้าของรถพูดอย่างนั้นก็คงต้องปล่อยเลยตามเลย อยากจับมือผมนักก็ตามใจ จับให้พอใจเลย

     มาคิดๆ ดู ผมว่าพี่บอนด์น่าจะเป็นคนติดสกินชิพ อีกอย่างที่แปลกคือพี่บอนด์ชอบจับมือโอบไหล่ผมบ่อยๆ เรียกว่าอยู่ด้วยกันเมื่อไหร่ต้องสัมผัสตัวผมตลอด ผมไม่คิดอะไรเลยไม่ได้ว่าอะไร พี่เขาอยากทำอะไรก็ปล่อยให้ทำ

     ใช่ครับ ผมไม่คิดอะไร แต่ดูเหมือนเพื่อนผมจะคิด คิดเยอะเกินไปด้วย

     ผมหวนนึกถึงบทสนทนาระหว่างผมกับเพื่อนๆ ตอนที่การแข่งบาสจบลงและพวกเรากำลังยืนรอพี่ๆ ไปเปลี่ยนชุด





     “น้องนาย ฟังกูนะ”

     “ครับ ผมฟังอยู่” ผมบอกคุณซนที่จู่ๆ ก็เปลี่ยนมาทำหน้าจริงจัง

     “มึงรู้ตัวไหมว่าตอนนี้กำลังมีคนชอบมึง”

     “ผม!?” ผมหน้าเหลอหลา ไม่นึกว่าคุณซนจะพูดประโยคสุดเหลือเชื่อออกมาเวลานี้ จุ๊บพี่ธารทำเพื่อนผมสมองเบลอเหรอ อะไรทำให้คุณซนคิดแบบนั้น

     “เออ มึงนั่นแหละ ทีแรกกูกับผิงไม่อยากยุ่ง แต่เห็นมึงไม่รู้ตัวเสียทีเลยต้องสะกิดหน่อย บอกตรงๆ กูสงสารพี่บอนด์”

     “พี่บอนด์เกี่ยวอะไรด้วยครับ”

     “ก็คนที่ชอบมึงคือพี่บอนด์ไง ทีนี้รู้ตัวยัง” คุณผิงเป็นคนตอบคำถาม สีหน้าเหมือนทนไม่ไหวกับความไม่รู้เรื่องรู้ราวของผม

     “พี่บอนด์ชอบผม? อ๋อ ผมรู้อยู่แล้วครับ ผมเป็นคนบอกเอง”

     “ไอ้น้องนาย มึงช่วยโยนความคิดนั่นทิ้งไปก่อน กูหมายถึงชอบแบบคนรัก ชอบแบบจับจูบลูบคลำได้ ไม่ใช่แบบพี่น้องโว้ย”

     “…”

     “…”

     “หือ!? พี่บอนด์เนี่ยนะครับชอบผมแบบนั้น!!”

     คุณผิงกับคุณซนทำหน้าเหนื่อยใจกับความรู้สึกช้าของผม

     “กูเชื่อแล้วว่ามันไม่รู้จริงๆ ตาแทบถลนออกมานอกเบ้า”

     “คุณผิงดูซีรีส์วายเยอะไปหรือเปล่าครับ ผมไม่ว่าถ้าอยากจิ้นพี่บอนด์กับผู้ชาย แต่ให้มาจิ้นกับผมนี่ไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่เลยนะครับ”

     “จิ้นบ้านอากงมึงสิ ใครมองเขาก็รู้กันทั้งนั้นว่าพี่บอนด์ชอบมึง มีแต่มึงนั่นแหละที่ไม่รู้”

     “แต่...แต่ผมเป็นผู้ชายนะครับ”

     “ไอ้ซนเป็นผู้ชายพี่ธารยังชอบได้เลย มันขี้เหร่กว่ามึงด้วย”

     “อ้าวไอ้นี่ ไหงจู่ๆ มาแว้งกัดกูวะ” คุณซนโวยวาย แต่คุณผิงหาได้สนใจไม่ ยังคงเดินหน้าป้อนข้อมูลอันน่าเหลือเชื่อใส่สมองผมต่อไป

     “สรุปคือพี่บอนด์ชอบมึง และตอนนี้เขาก็กำลังจีบมึง ที่บอกนี่ไม่ใช่อะไร แค่อยากให้มึงรู้ตัวซะที กูรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ควรเสือก แต่เพราะเป็นมึงกูถึงต้องบอก ไม่งั้นต่อให้พี่บอนด์จีบทั้งชาติมึงก็ไม่รู้หรอก”

     “เขาอาจไม่ได้จีบผมก็ได้ครับ คุณผิงคิดมากเกินไปหรือเปล่า”

     “กูพูดขนาดนี้ยังไม่เชื่อ งั้นมึงไปถามเขาเองเลยแล้วกัน สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น วันนี้มึงสงสัยอะไรถามเขาไปให้หมดเลย พวกกูจะได้เลิกลุ้นซะที”





     ถึงคุณผิงจะพูดแบบนั้นแต่ผมก็ไม่เห็นความจำเป็นต้องถามอยู่ดี คนอย่างพี่บอนด์ไม่มีทางชอบผมอยู่แล้ว จริงอยู่ที่ตอนเกิดเรื่องพี่ธารกับพี่เต้คุณผิงพูดถูกทุกอย่าง ไหนจะตอนคุณซนสับสนในตัวเองอีก จนผมกับคุณซนแอบตั้งฉายาให้คุณผิงลับๆ ว่าผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน แต่เรื่องนี้คุณผิงอาจพูดผิดก็ได้ ผมกับพี่บอนด์ ดูยังไงก็ไม่เห็นความเป็นไปได้เลย

     “เรากำลังจะไปไหนครับ” ผมหันไปถามร่างสูง ทางที่พี่บอนด์พามาผมไม่คุ้นเลย

     “ไปทานข้าว”

     “อ๋อครับ” ผมตอบรับในลำคอ ไม่นึกสงสัยอะไรอีก พี่บอนด์เองก็ไม่พูดอะไร เพียงแค่ขับรถพร้อมกับกุมมือผมไปตลอดทาง

     ผมหันกลับมามองตรง พยายามทบทวนความรู้สึกที่ผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร บอกแล้วว่าพักหลังมานี้พี่บอนด์ชอบทำอะไรแปลกๆ แล้วสิ่งที่เขาทำก็ดันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ เช่นกัน มันไม่ใช่คำว่าไม่ชอบ ไม่คล้ายคำว่าอึดอัด แต่มันเหมือนคำว่า...รู้สึกดี

     ผมเหลือบไปมองคนข้างๆ อีกครั้ง มองมือของเราสองคนที่จับกันอยู่ ผมกำลังรู้สึกดีเพราะไออุ่นจากมือพี่บอนด์เหรอ อืม...เป็นคำถามที่ตอบยากจัง





     ผมนึกว่าพี่บอนด์จะพาไปร้านอาหาร แต่เขากลับทำสิ่งที่ผมนึกไม่ถึง นั่นคือการพามาคอนโดฯ ผมยืนนิ่งอยู่หน้าห้อง ได้แต่มองเจ้าของห้องที่เดินเข้าไปก่อน พี่บอนด์หันมามองพลางเลิกคิ้ว
“ไม่เข้ามาเหรอ”

     “ไหนพี่บอกว่าจะพาผมไปทานข้าวไงครับ”

     “แล้วที่นี่ทานข้าวไม่ได้เหรอ พี่ว่าห้องพี่มีโต๊ะกินข้าวนะ”

     “…” อึ้งสิครับ ใครจะไปคิดว่าจะได้คำตอบแบบนี้ เล่นเอาผมไปไม่ถูกเลยทีเดียว

     “วันนี้พี่เหนื่อย ไม่อยากทานข้าวนอกบ้าน อยากกลับมาพักผ่อนห้องตัวเอง”

     “ถ้างั้นผมกลับเลยก็ได้ครับ พี่บอนด์จะได้พักผ่อน เดี๋ยวผมหาอะไรทานแถวหอก็ได้”

     คนตัวสูงไม่ตอบอะไร แต่เดินมาจูงมือผมให้เข้าไปในห้อง เหมือนกลัวว่าผมจะกลับจริงๆ

     “ลืมแล้วเหรอว่าพี่ขี้เหงา เราไม่อยู่แล้วพี่จะทานข้าวกับใคร”

     อ่า...ผมลืมไปได้ยังไงว่าผู้ชายคนนี้ขี้เหงาสุดๆ จะทานข้าวทีต้องมีเพื่อน เป็นคนที่รูปลักษณ์ภายนอกขัดกับนิสัยจริงๆ

     พี่บอนด์พาผมเข้ามาในห้องๆ หนึ่ง ผมเดาว่าเป็นห้องนอนเพราะมีเตียงกับตู้เสื้อผ้า ผมชี้ไปที่โซฟาหน้าห้อง บอกเป็นนัยว่าผมนั่งตรงนั้นก็ได้ แต่พี่บอนด์ก็ยังจะให้ผมอยู่ในห้องนี้อยู่ดี ตกลงผมสนิทกับพี่บอนด์ถึงขั้นเข้าห้องนอนพี่เขาได้แล้วใช่ไหม

     “อยากทานอะไรก็สั่ง คุยเสร็จแล้วส่งโทรศัพท์มา เดี๋ยวพี่บอกที่อยู่ให้” พี่บอนด์ส่งโทรศัพท์ให้ผมก่อนหันไปหยิบเสื้อผ้าในตู้

     “ปลดล็อกให้ผมก่อนสิครับ”

     “จำรหัสไม่ได้เหรอ”

     “หือ? พี่บอนด์ยังใช้รหัสเดิมอยู่เหรอครับ”

     “ใช่ ทำไมต้องเปลี่ยนด้วยล่ะ”

     ยังจะมาถาม ก็เพราะผมรู้รหัสแล้วไงถึงควรเปลี่ยน พี่บอนด์ไม่กลัวว่าผมจะแอบเอาโทรศัพท์ไปทำเรื่องไม่ดีเลยเหรอ อะไรจะไว้ใจผมขนาดนั้น

     ผมกรอกรหัสเพื่อปลดล็อกโทรศัพท์ เปิดดูเมนูเดลิเวอรี่ พอสั่งของตัวเองเสร็จก็หันไปถามเจ้าของห้องที่กำลังถอดเสื้อผ้า

     “พี่บอนด์ทานอะไรครับ”

     “อะไรก็ได้เลือกมาเถอะ เหมือนเราก็ได้” พี่บอนด์ตอบกลับมาในสภาพผ้าเช็ดตัวผืนเดียว ผมเลือกให้ไม่ถูกเลยสั่งเหมือนตัวเองให้ตามที่เจ้าตัวบอก ผมส่งโทรศัพท์คืนหลังทุกอย่างเรียบร้อย พอพี่บอนด์บอกที่อยู่เสร็จก็เดินไปเข้าห้องน้ำโดยบอกให้ผมรออยู่ในห้องนี้

     “ผมนั่งบนเตียงได้ไหมครับ” ผมตะโกนถามคนในห้องน้ำเพราะในห้องไม่มีที่นั่งอื่นแล้ว หลังได้รับอนุญาตก็นั่งลงที่ปลายเตียง ผมยกมือกุมหน้าอกตัวเอง อีกข้างยกมาจับแก้ม ทำไมจู่ๆ ผมถึงใจเต้นแรงล่ะ แล้วทำไมผมถึงรู้สึกร้อนที่แก้ม แอร์ห้องพี่บอนด์ก็ออกจะเย็น นี่ผมเป็นอะไร





     “ทำไมมีสองถาด” พี่บอนด์ถามตอนที่ผมวางถาดพิซซ่าที่เพิ่งมาส่งลงตรงหน้า

     “ก็ผมสั่งมาสองถาดนี่ครับ”

     “หิวมากเลยเหรอ” สายตาที่มองมาประหลาดใจเล็กน้อย คงกำลังนึกว่าตัวเล็กๆ อย่างผมทำไมถึงกินจุ

     “เปล่าครับ อีกถาดผมสั่งมาให้พี่บอนด์”

     “…”

     “ผมกับพี่บอนด์ คนละถาดไงครับ”

     “…”

     “ก็พี่บอกว่าเอาเหมือนผม ผมเลยสั่งพิซซ่ามาให้ พี่บอนด์ เอ่อ...ไม่ชอบทานพิซซ่าเหรอครับ” ท้ายประโยคผมมีความไม่แน่ใจ ยิ่งพูดหน้าพี่บอนด์ยิ่งเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง ผมผิดเองที่ไม่ถามก่อนว่าพี่บอนด์ทานได้ไหม ถึงเขาจะบอกเองว่าให้สั่งเหมือนผม แต่คนออกเงินคือพี่บอนด์ อย่างน้อยผมก็ควรถามสักนิดไม่ใช่สั่งมาตามใจตัวเอง

     “ผมจะลองส่งคืนดูครับ จะบอกว่าสั่งผิดหน้า หรือถ้าไม่ได้เดี๋ยวผมคืนเงินให้สองถาดเลยครับ” ถึงผมจะไม่ชอบโกหกเท่าไหร่แต่ครั้งนี้คงต้องยอมทำ ผมหยิบโทรศัพท์เตรียมทำอย่างที่พูด แต่ร่างสูงกลับยื่นมือมาห้าม

     “จะคืนทำไม”

     “ก็พี่บอนด์ไม่ชอบพิซซ่า...” ผมกะพริบตาปริบเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็ค่อยๆ คลี่ยิ้ม ก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะกลายเป็นเสียงหัวเราะ เล่นเอาผมตามไม่ทัน

     “โทษที พี่พยายามแล้วแต่มันกลั้นไม่อยู่” คนตัวสูงพูดกลั้วหัวเราะ ยิ่งฟังผมก็ยิ่งงง

     “พี่บอนด์ขำอะไรครับ”

     “ขำเด็กซื่อ”

     “เด็กซื่อ? ผมเหรอครับ?”

     พี่บอนด์ไม่ตอบแต่วางมือลงบนศีรษะ แต่แค่ดวงตาขำที่มองมาก็แทนคำตอบได้แล้ว

     “บอกให้สั่งเหมือนตัวเองก็สั่งจริงๆ ลืมนึกล่ะสิว่าพิซซ่าถาดนึงเยอะแค่ไหน ทานถาดเดียวกันก็ได้”

     พอได้ยินอย่างนั้นผมก็ได้แต่ยิ้มแห้ง รู้แล้วว่าทำไมพี่บอนด์ถึงเรียกผมว่าเด็กซื่อ อันที่จริงผมว่ามันควรมีต่อนะ ไม่ใช่ซื่อเฉยๆ แต่เป็นซื่อบื้อ

     “ผมลืมนึกไป ขอโทษนะครับ พี่บอนด์เลยต้องเสียเงินเพิ่ม”

     “ไม่เป็นไร อีกถาดพี่ให้เราเอากลับไปทาน ชอบพิซซ่าเหรอ”

     “ชอบครับแต่ไม่ขนาดนั้น บอกแล้วไงว่าผมชอบของอร่อย อะไรอร่อยผมชอบหมด ไม่ได้เจาะจงเป็นพิเศษ”

     พี่บอนด์หัวเราะเสียงดังเหมือนคำพูดผมมันน่าขำมากมาย ก่อนจะหันมาสบตากับผมอีกครั้ง ริมฝีปากจุดยิ้มเจ้าเล่ห์

     “พี่ก็อร่อยนะ ไม่สนใจชอบพี่บ้างเหรอ”

     ถ้าเป็นปกติผมคงเอียงคองง ถามกลับไปว่าพี่บอนด์ไม่ใช่อาหารจะอร่อยได้ไง แต่ผมในตอนนี้เพิ่งถูกคุณผิงกับคุณซนเป่าหูมา เลยเผลอเข้าใจว่าประโยคนั้นมีความหมายแฝง ผมจึงไม่รู้ว่าควรทำหน้าอย่างไรหรือพูดอะไรดี

     “พี่ล้อเล่น ไม่ต้องตะลึงขนาดนั้นก็ได้” คำพูดพี่บอนด์พาให้ผมยิ้มออก หลุดพ้นจากสีหน้าปั้นยาก พวกคนหล่อเขาล้อเล่นกันแรงขนาดนี้เลยเหรอ ดีนะที่เป็นผม ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นคงเป็นลมไปแล้ว

     เราสองคนนั่งทานพิซซ่าด้วยกัน ระหว่างนั้นผมก็ถือวิสาสะมองไปรอบๆ ห้องของพี่บอนด์เป็นห้องชุด ลักษณะเปิดเป็นพื้นที่โล่งระหว่างห้องรับแขก ห้องครัวและโต๊ะอาหาร มีเพียงห้องนอนกับห้องน้ำที่เป็นส่วนตัว นอกนั้นจะใช้เฟอร์นิเจอร์กำหนดสัดส่วนพื้นที่

     “ห้องพี่บอนด์สวยจังครับ” ผมเอ่ยชมตามที่รู้สึก ผมเคยคิดอยากอยู่ห้องหรูหราแบบนี้ แต่เพราะเกรงใจพ่อแม่เลยได้แต่เช่าหอพักราคาถูก คิดเสียว่าเอาแค่พออยู่ได้ ไม่โกโรโกโสเกินไปก็พอ

     “ห้องพี่สวยแล้วน่าอยู่ไหม”

     “ก็ต้องน่าอยู่สิครับ ทำไมถามแปลกๆ อย่างนั้นล่ะครับ”

     พี่บอนด์ชะโงกหน้ามาใกล้ ดวงตาเต้นระยิบระยับ รอยยิ้มอ่อนๆ แตะแต้มบนมุมปาก “ถ้าน่าอยู่ ก็มาอยู่ด้วยกันสิ”

     “พี่บอนด์...เอ่อ...ล้อเล่นอีกแล้วนะครับ” ผมได้แต่หัวเราะเสียงแห้ง ทั้งที่ภายในอกเต้นโครมครามเหมือนกลองรัว อีกแล้ว ทำไมวันนี้เกิดเหตุการณ์แปลกๆ กับผมบ่อยจัง

     “พี่ดูเหมือนล้อเล่นเหรอ”

     “หรือพี่จะบอกว่าอยากให้ผมมาอยู่ด้วยจริงๆ”

     “ถ้าตอบว่าใช่ล่ะ”

     ผมค่อยๆ หุบยิ้ม จ้องมองคนที่กำลังมองมา พี่บอนด์กำลังยิ้มก็จริง แต่สายตานั้นไม่มีแววล้อเล่นแม้แต่น้อย หลังสบตาอยู่สักพักผมจึงถามออกไปด้วยความสงสัย

     “พี่บอนด์ชอบผมเหรอครับ” อย่าคิดว่าผมใจกล้านะครับ ปกติใครจะกล้าถามแบบนี้กับคนที่ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ที่ผมถามเพราะพอเอาคำพูดของเพื่อนมารวมกับพฤติกรรมแปลกๆ ของพี่บอนด์ในช่วงที่ผ่านมา ถึงจะน่าเหลือเชื่อแต่มันก็มีความเป็นไปได้

     คนถูกถามเพียงแค่เลิกคิ้ว หลังจากนั้นก็ขยับหน้าออกไป ยกมือกุมท้องแล้วหัวเราะ ท่าทางที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นทำเอาผมมึนงง ไม่แน่ใจว่าตัวเองพูดอะไรผิดหรือเปล่า

     “พี่บอนด์หัวเราะอะไรครับ”

     “หัวเราะเด็กความรู้สึกช้า” ร่างสูงตอบกลับมาหลังจากหยุดขำแล้ว ผมมุ่ยหน้าเล็กน้อย เมื่อกี้ให้ผมเป็นเด็กซื่อ ตอนนี้ให้เป็นเด็กความรู้สึกช้า ทำไมให้ผมเป็นแต่ละอย่างดีๆ ทั้งนั้น แล้วผมความรู้สึกช้าตรง...

     !!!

     “หึๆ” เสียงขำในลำคอดังขึ้นเมื่อผมเบิกตากว้าง พี่บอนด์วางมือบนหัวผม ดวงตาฉายแววขบขัน “รู้ตัวสักทีนะ นึกว่าต้องจีบไปตลอดเสียอีก”

     คำพูดพี่บอนด์ช่วยยืนยันว่าสิ่งที่ผมคิดเป็นความจริง ผมนั่งนิ่ง ได้แต่มองอีกคนอย่างตกตะลึง เนิ่นนานกว่าผมจะหาเสียงตัวเองเจอ ถามกลับไปด้วยเสียงอันแผ่วเบาอย่างไม่อยากจะเชื่อ

     “พี่บอนด์ชอบผม...จริงเหรอครับ”

     “จริงสิ” คนตรงหน้าชะโงกมาใกล้อีกครั้ง แต่คราวนี้เหมือนจะใกล้กว่าเดิม “พี่ชอบเรา เท่านี้ชัดพอไหม”

     ผมผละหน้าออกด้วยความตกใจ พี่บอนด์กระตุกยิ้ม ถอยกลับไปนั่งที่ตัวเอง มองมาด้วยสายตาแพรวพราว

     “พี่บอนด์เข้าใจที่ผมถามหรือเปล่าครับ ผมหมายถึงชอบแบบคนรัก ไม่ใช่พี่น้องหรือเพื่อนนะครับ”

     “พี่ชอบเราแบบคนรักมาตลอด มีแต่เรานั่นแหละที่เข้าใจผิดอยู่คนเดียว เพราะแบบนี้ถึงเรียกว่าเด็กความรู้สึกช้าไง”

     ดีที่เสียงพูดนั้นทุ้มต่ำอ่อนโยน ผมจึงรู้ว่าคนพูดกำลังเอ็นดูไม่ใช่เหน็บแนม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังทำตัวไม่ถูกอยู่ดี

     “ผม...คือผม...”

     “ไม่ต้องตอบก็ได้ พี่ไม่ได้เร่งรัดเอาคำตอบ ที่พูดเพราะเราถามขึ้นมา”

     “แต่ผมเป็นผู้ชาย”

     “พี่รู้ ใส่ชุดนักศึกษาชายขนาดนี้ มองไม่ออกก็ตาบอดแล้ว”

     ผมเผลอส่งค้อนให้คนตรงหน้า มันใช่แบบนั้นที่ไหนเล่า ที่ผมหมายถึงคือผมเป็นผู้ชายเหมือนกัน แล้วพี่บอนด์จะมาชอบได้ไง

     “พี่รู้ว่านายหมายถึงอะไร แต่พี่ไม่อยากให้ใส่ใจ มันไม่สำคัญว่าเราเป็นเพศอะไร สำคัญแค่ว่าพี่อยู่กับเราแล้วสบายใจ มีความสุข ยิ้มได้หัวเราะได้ และถ้าเป็นไปได้พี่ก็อยากให้นายรู้สึกอย่างนั้นกับพี่เหมือนกัน” พี่บอนด์ดึงมือผมไปจับ ดวงตาคู่นั้นจริงจังจนผมไม่คิดว่ากำลังโกหก

     “ไหนๆ ก็พูดแล้วขอพูดชัดๆ เลยแล้วกัน ขออนุญาตจีบนะครับ ว่าไง ตกลงไหม”

     “ผม...ผม...”

     “ตอบไม่ถูกเหรอ งั้นเอาใหม่ พี่จะค่อยๆ ถาม เราแค่ตอบตามที่รู้สึก ไม่ต้องคิดอะไรเยอะแยะ ตกลงไหมครับ”

     ผมพยักหน้า ก้มหน้างุดไม่กล้าสบตา โชคดีที่พี่บอนด์เข้าใจความรู้สึกผม จึงไม่ต้องอธิบายให้เขินอายไปกว่านี้

     “นายรังเกียจพี่ไหม”

     “ไม่ครับ” คำถามนี้ผมไม่จำเป็นต้องคิด ถ้ารังเกียจผมจะมาอยู่ที่นี่เหรอ

     “คิดว่าพี่ดีพอจะดูแลใครได้หรือเปล่า”

     “ได้ครับ” นี่ก็ไม่ต้องคิดอีกเช่นกัน เท่าที่รู้จักกันมาพี่บอนด์ไม่ได้มีดีเพียงหน้าตา แต่นิสัยยังดีอีกด้วย

     “คิดว่าพี่เจ้าชู้ ชอบทำให้แฟนเสียใจไหม”

     คำถามนี้ผมจำเป็นต้องหยุดคิด ก่อนหน้านี้ผมไม่รู้จักพี่บอนด์ หลังรู้จักก็ไม่เคยเห็นเขาควงผู้หญิงคนไหน ผมจึงไม่รู้ว่าในแง่ของคนรักพี่บอนด์เป็นคนอย่างไร แต่ถ้าเดาจากนิสัยแล้ว...

     “ผมคิดว่าพี่บอนด์ไม่ใช่คนแบบนั้นครับ” ผมตอบออกไปตามที่คิด พี่บอนด์ยิ้มขอบคุณ

     “คำถามสุดท้าย คำถามนี้พี่ไม่รีบเอาคำตอบ แต่จะให้เราเก็บไปคิด” พี่บอนด์ดึงมือผมไปชิดริมฝีปาก กดจูบบนหลังมือเบาๆ “อยู่กับพี่แล้วมีความสุขไหม รู้สึกดีกับพี่บ้างหรือเปล่า”

     “ผม...”

     “อย่าเพิ่งตอบ ค่อยๆ คิดไปเรื่อยๆ ระหว่างนี้พี่จะทำให้เราเห็นเอง พร้อมเมื่อไหร่ค่อยบอก ขออย่างเดียวคืออย่าปิดกั้นตัวเอง ให้โอกาสพี่แสดงความจริงใจ พี่ขอแค่นี้ นายรับปากพี่ได้ไหม”

     “…ครับ ผมรับปาก”

     “ขอบคุณครับ”

     ผมมองรอยยิ้มของพี่บอนด์ มันเป็นรอยยิ้มที่ผมมักจะชินตา แต่วันนี้กลับให้ความรู้สึกต่างออกไป จนถึงตอนนี้ผมยังไม่อยากเชื่อว่าพี่บอนด์จะชอบผม เราสองคนต่างกันในทุกๆ ด้าน เหมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันมาบรรจบกัน ผมคิดอย่างนั้นมาตลอด แต่พี่บอนด์ก็ทำให้ผมรู้ว่าเรื่องบางเรื่องก็เกิดขึ้นได้ต่อให้ความเป็นไปได้จะน้อยแค่ไหนก็ตาม พี่บอนด์ที่เป็นที่หมายตาของสาวๆ ทั้งมหา’ลัย กับผมผู้ซึ่งใช้ชีวิตจืดชืดไปวันๆ ความเป็นไปได้ที่พี่บอนด์จะชอบผมเกิดขึ้นแล้ว แต่ความเป็นไปได้ที่ผมจะชอบพี่บอนด์มีมากน้อยแค่ไหน ผมจำเป็นต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง

     ช่วยรอผมหน่อยนะครับพี่บอนด์ รอเด็กความรู้สึกช้าคนนี้สักนิด แล้วเมื่อถึงเวลานั้น ไม่ว่าคำตอบจะออกมายังไง ผมจะพูดอย่างตรงไปตรงมาให้สมกับความจริงใจของพี่แน่นอน



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter :    earthxxide  (https://twitter.com/earthxxide? t=muF0165hiRexxkrO2QLULw&s=09)

     Fanpage :    Earthxxide  (https://www.facebook.com/earthxxide? mibextid=ZbWKwL)
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 27] ✪ 28/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 28-05-2023 18:46:56
 :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 27] ✪ 28/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 29-05-2023 15:17:37
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 28] ✪ 29/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 29-05-2023 19:07:41
ตอนที่ 28
แผนการอันแยบยล


     “ไม่ไหวแล้ว” ผมไถลหน้าลงไปบนโต๊ะกระจก ไม่สนว่าจะมีชีทวางอยู่หรือไม่ นาทีนี้ผมต้องการนอน นอนอย่างเดียวเท่านั้น

     “อีกนิดเดียวครับคุณซน สู้ๆ”

     “มึงสู้ไปคนเดียวเถอะ ฝากสู้เผื่อด้วย ขอกูงีบเอาแรงก่อน”

     “ไอ้ซนอย่ามาขี้เกียจ อยากติดเอฟวิชานี้เหรอ มึงก็รู้ว่าข้อสอบอาจารย์บงกตโหดหินขนาดไหน กัดฟันให้จบๆ ไปดีกว่า” ผิงผู้ขยันที่สุดในกลุ่มพูดเตือนสติไม่ให้ผมท้อ แต่จริงๆ ผมว่ามันน่าจะขยาดมากกว่าขยัน ชื่อเสียงอาจารย์บงกตเลื่องลือในหมู่นักศึกษาปีสองมาก ไม่มีใครอยากเรียนซ้ำกับแกถ้าไม่จำเป็น เพราะแค่เทอมเดียวก็ทรมานพอแล้ว

     “เอ้า กินเข้าไป ตาจะได้สว่าง” ผิงดันแก้วกาแฟมาตรงหน้า ผมรับมาดูดโดยหวังว่ามันจะช่วยให้ตาสว่างได้จริงๆ วันนี้พวกผมมาติวหนังสือกันที่ร้านกาแฟแถวหอน้องนาย ช่วงเทศกาลสอบร้านนี้จะเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงให้นักศึกษาเข้ามาจับจองพื้นที่อ่านหนังสือ

     ผมวางแก้วกาแฟ ยกมือตบแก้มสองสามทีเพื่อไล่ความง่วงงุน น้องนายที่เห็นผมกลับมานั่งหลังตรงเหมือนเดิมเริ่มอธิบายเนื้อหาอีกครั้ง โดยมีผมกับผิงที่วันนี้กลายเป็นนักเรียนนั่งฟังอย่าง (พยายาม) ตั้งใจ

     ในกลุ่มผมน้องนายฉลาดที่สุดแล้ว มันเป็นคนเดียวที่ตั้งใจฟังอาจารย์ในคาบเรียน ดังนั้นเวลาใกล้สอบมันจึงเปรียบเสมือนความหวังของผมกับผิง แต่ฉลาดแค่เรื่องเรียนนะครับ เรื่องอื่นโง่ฉิบหาย ไม่ต้องดูอื่นไกล ดูเรื่องพี่บอนด์ก็พอ กว่ามันจะรู้ตัวว่าพี่บอนด์ชอบก็ปาเข้าไปนานโข ถ้าเป็นคนอื่นป่านนี้คงคบจนหมั้นหมายกันไปแล้ว

     ผมนั่งถ่างตาฟังน้องนายพล่ามเนื้อหาการเรียน พยายามไม่หลับกลางอากาศอยู่นาน จนกระทั่งน้องนายพูดว่าพอแค่นี้ก่อนผมแทบกระโดดร้องเฮลั่นร้าน ในที่สุดก็จบเสียที จะได้กลับไปนอนแล้วโว้ย

     “เก็บความรู้ใส่หัวไปจนถึงวันสอบนะมึง ไม่ใช่พรุ่งนี้ก็ลืมแล้ว”

     “ไม่ต้องห่วง กูไม่ลืมพรุ่งนี้หรอก เพราะกูลืมตั้งแต่น้องนายวางชีทแล้ว”

     “คุณซนครับ” น้องนายพูดด้วยเสียงอ่อนใจ ผมหัวเราะ ใครจะไปทำอย่างนั้นล่ะครับ เห็นแบบนี้ผมก็จริงจังกับการเรียนเหมือนกัน และยิ่งการสอบครั้งนี้มีรางวัลล่อตาล่อใจ ผมไม่มีทางติดเอฟแน่นอน

     ผิงกับน้องนายเก็บชีทลงกระเป๋า เอ่ยลาสั้นๆ ก่อนแยกย้ายกันกลับ ส่วนผมยังนั่งอยู่ที่เดิมเพราะต้องรอคุณแฟนมารับ ไปไหนมาไหนเองไม่เป็นก็แบบนี้แหละครับ แต่ผมก็ชอบเพราะมีสารถีส่วนตัวก็สบายดี อยากไปไหนพี่ธารก็ขับรถพาไป สบายกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว จะว่าไปผมนี่ก็คุ้มอยู่นะ ได้ทั้งแฟน ผู้ปกครอง คนทำอาหาร คนขับรถในคนเดียวกัน อิจฉาตัวเองฉิบหาย

     ระหว่างรอพี่ธารผมหยิบชีทเรียนออกมาทบทวนอีกรอบ ไอ้ง่วงมันก็ง่วงอยู่หรอก แต่เพราะไม่อยากลืมเนื้อหาอย่างที่ผิงเตือนเลยต้องหมั่นทบทวน ปกติผมไม่ขยันขนาดนี้ แต่ครั้งนี้ผมไม่อยากทำให้พี่ธารผิดหวัง พี่มันอุตส่าห์ตั้งใจพาผมไปเที่ยวทั้งที

     ยังจำวันที่ผมท้องเสียกันได้ไหมครับ วันนั้นพี่ธารสัญญาว่าถ้าผมยอมกินยาจะพาไปทะเลตอนปิดเทอม เพียงแต่ตอนนี้มีอีกเงื่อนไขเพิ่มเข้ามาคือต้องตั้งใจอ่านหนังสือ เราสองคนตกลงไปเสม็ด เพราะผมไม่ได้ไปนานแล้ว พี่ธารเองก็อยากไปพักผ่อนก่อนจะไม่มีเวลาเนื่องจากต้องฝึกงานในเทอมสุดท้าย เล่ามาถึงตรงนี้ก็แอบใจหายนิดหน่อย เผลอแป๊บเดียวพี่ธารก็จะเรียนจบแล้ว เวลาผ่านไปเร็วชะมัด ผมยังรู้สึกเหมือนเพิ่งรู้จักพี่มันเมื่อวานอยู่เลย

     ผมอ่านชีทไปพลางขยี้ตาไปพลาง เพราะนอนน้อยติดกันหลายวันเลยทำให้หาวบ่อย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ยอมแพ้ ตั้งหน้าตั้งตาอ่านต่อไป หลายคนอาจคิดว่าที่ผมฟิตขนาดนี้เพราะอยากไปเที่ยว ถูกครับ ผมไม่เถียง แต่ไม่ถูกทั้งหมด

     ผมยิ้มมุมปากเมื่อนึกถึงอีกเหตุผลที่เลือกเสม็ดในทริปปิดเทอมคราวนี้ ไม่มีใครรู้นอกจากตัวผมว่าผมได้วางแผนการบางอย่างเอาไว้





     “หมดเวรหมดกรรมกันสักที กลับไปกูจะหลับเป็นตายเลยคอยดู” ผิงพูดขึ้นมาตอนเดินออกจากห้องเรียน วันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้าย กว่าจะมาถึงวันนี้ใช้คำว่าทุลักทุเลยังน้อยไป สภาพผมกับผิงแทบไม่ต่างกัน ใต้ตาคล้ำ ใบหน้าอิดโรย มองไกลๆ นึกว่าซอมบี้ จะมีก็น้องนายคนเดียวที่ยังยิ้มแย้มได้

     “คุณผิงจะกลับเลยเหรอครับ ผมอุตส่าห์จะชวนไปทานเค้กฉลองที่สอบเสร็จ”

     “กูไม่ได้เป็นผู้ท้าชิงเกียรตินิยมเหมือนมึงจะได้สอบฉลุย กว่าจะฝ่าแต่ละวิชามาได้ต้องสละเวลานอนไปเท่าไหร่ และอีกอย่าง...” ผิงยกยิ้มเมื่อมองเลยไปยังคนที่กำลังเดินมา “กูไม่ได้มีคนเลี้ยงเหมือนมึง”

     น้องนายทำหน้างง แต่พอหันไปตามสายตาผิงก็เข้าใจทันที พี่บอนด์ส่งยิ้มมาให้ ข้างหลังคือพี่ธารกับพี่ไกด์ ผิงผู้เป็นเพื่อนที่ดีรีบเอ่ยปากให้โดยไม่ถามเจ้าตัวสักคำ

     “พี่บอนด์สอบเสร็จยังคะ”

     “เสร็จแล้วครับ”

     “งั้นพาเพื่อนผิงไปทานเค้กหน่อยได้ไหมคะ ผิงกับซนจะกลับเลยแต่ไม่อยากให้น้องนายไปคนเดียว” เรื่องระหว่างพี่บอนด์กับน้องนายพวกผมรู้หมดแล้ว กลุ่มผมไม่เคยมีความลับต่อกัน ผิงเลยเปลี่ยนจากกูรูความรักมาเป็นกามเทพสื่อรัก หวังช่วยให้น้องนายรู้ใจตัวเองเร็วๆ

     “ได้ครับ”

     “ขอบคุณค่ะ” ผิงเดินไปคล้องแขนพี่ไกด์ ส่งยิ้มประจบที่ผมแอบค้านในใจว่าน่าจะเป็นยิ้มสยองมากกว่า “งั้นเราก็ไปกันเถอะค่ะ ผิงอยากกลับแล้ว”

     “หือ?” พี่ไกด์ดูจะประหลาดใจไม่น้อยกับประโยคไม่มีปี่มีขลุ่ยของเพื่อนผม “ผิงอยากกลับแล้วเกี่ยวอะไรกับพี่ครับ”

     “เกี่ยวสิคะ ผิงรู้ว่าพี่ไกด์เป็นสุภาพบุรุษ ไม่มีทางปล่อยให้ผู้หญิงที่อ่อนเพลียกลับบ้านคนเดียว พี่ไกด์เลยจะไปส่งผิงไงคะ” คนอ่อนเพลียยิ้มกว้าง สีหน้าขัดกับคำพูดตัวเอง พี่ไกด์ทำหน้าอึ้ง เหลือเชื่อ ประหลาดใจ สารพัดความรู้สึกที่จะยกขึ้นมาได้ในเวลานี้

     “ไปส่งน้องหน่อยก็ได้ มึงไม่มีธุระที่ไหนไม่ใช่เหรอ” พี่ธารพูดขึ้นมา

     “ไอ้ได้มันก็ได้อยู่หรอก แต่กูไม่นึกว่าจะโดนจู่โจมแบบนี้ไง” พี่ไกด์พูดเนือยๆ สีหน้าไม่ได้อึดอัดหรือไม่พอใจ ออกไปทางขำขันมากกว่า

     “แหม จู่โจมอะไรกันคะ ผิงยังไม่ได้รุกจีบพี่ไกด์สักหน่อย ถึงจะตั้งใจว่าทำแน่ๆ ก็เถอะ”

     “ผิง!” “คุณผิงครับ!” พี่ไกด์กับน้องนายต่างเหนื่อยใจพอๆ กันกับความตรงของกุลสตรีหนึ่งเดียว ผิงยิ้มเผล่ หัวเราะเสียงดัง

     “ผิงล้อเล่นค่ะ ไปกันเถอะ หอผิงอยู่แค่นี้ ไม่เปลืองน้ำมันพี่ไกด์แน่นอน”

     พี่ไกด์พยักหน้าเนือยๆ ก่อนจะถูกผิงลากแขนออกไป ผมได้แต่อวยพรตามหลังไปว่าขอให้เพื่อนผมเพลาๆ มือหน่อย

     “มึงจะกลับเลยไหม”

     ผมหันกลับมามองพี่ธาร พยักหน้าเป็นคำตอบ พี่ธารเอ่ยลาพี่บอนด์แล้วจูงมือผมออกมา ระหว่างทางคนตัวสูงก็ชวนคุย

     “สอบเป็นไงบ้าง”

     “สบาย พี่รอดูเอช้วนผมได้เลย”

     “หึ” เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้น ผมนึกว่าพี่ธารจะเหน็บแนมที่ผมมั่นใจในตัวเองเกินไป แต่ไม่ใช่ “ไม่เอช้วนก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว มึงเล่นโหมอ่านหนังสือขนาดนี้ อยากไปทะเลขนาดนั้นเลยเหรอ”

     “โหพี่ ถามแปลกๆ ใครบ้างจะไม่อยากไป ยิ่งรู้ว่ามีคนจ่ายให้ทั้งทริปยิ่งอยาก” ผมตอบคนละอย่างกับใจนึก ไม่คิดจะแก้คำพูดว่าไม่ได้อยากไปทะเลแต่อยากไปเสม็ด บอกไม่ได้ครับว่าวางแผนอะไรไว้ เดี๋ยวไก่ตื่น คิดจะทำการใหญ่ใจต้องนิ่ง ยิ่งพี่ธารเป็นเป้าหมายในแผนการครั้งนี้ผมยิ่งให้รู้ไม่ได้เด็ดขาด





     “ง่วงเหรอ” ร่างสูงถามเมื่อเห็นผมสัปหงก ศีรษะโงนเงนมาตั้งแต่พ้นมหา’ลัย

     “นิดหน่อยครับ”

     “ง่วงก็นอนไป ถึงแล้วเดี๋ยวกูปลุก”

     ผมบอกขอบคุณพี่ธาร ขยับตัวเล็กน้อยให้นั่งสบาย เอนศีรษะพิงหน้าต่างแล้วหลับตาลง แอร์เย็นๆ ภายในรถทำให้ความง่วงงุนเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ผมไม่ได้หลับเต็มอิ่มมาหนึ่งสัปดาห์เต็ม คาดว่าคืนนี้คงหลับเป็นตายเหมือนอย่างที่ผิงบอก





     “เอ๋อ”

     “…”

     “ไอ้เอ๋อ”

     “…”

     “ซน”

     ผมขยับหน้าหนีเมื่อรู้สึกถึงบางอย่างที่จิ้มลงมาบนแก้ม ได้ยินเสียงดังมาจากที่ไกลๆ คุ้นหูแต่นึกไม่ออก

     เสียงถอนหายใจดังเบาๆ ก่อนตามมาด้วยเสียงเปิดประตูรถ หลังจากนั้นผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองลอยขึ้นแต่แค่ครู่เดียว ตามมาด้วยเสียงปิดประตูอีกครั้ง ผมซุกหน้าเข้าหาอะไรบางอย่างเมื่อรู้สึกถึงอุณหภูมิรอบตัวที่เปลี่ยนไป อะไรบางอย่างที่ผมคิดว่าเป็นหมอน แต่แปลกแฮะ หมอนใบนี้เคลื่อนไหวได้ ขยับขึ้นลงเป็นจังหวะ แถมยังมีกลิ่นหอมเข้มๆ อีก มันไม่ถึงกับสบายแต่มันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่น สงบและปลอดภัย หมอนใบนี้พี่ธารซื้อมาจากไหนนะ ผมอยากรู้จัง





     ผมสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา ความรู้สึกแรกที่ผุดขึ้นมาคือหิว หิวเหมือนไม่ได้กินอะไรมาแรมเดือน ผมมองไปรอบๆ ก่อนสายตาจะสะดุดกับร่างสูงที่นอนอยู่ ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกตัวว่ากำลังอยู่ในอ้อมกอดพี่ธาร

     แขนแข็งแรงที่โอบเอวไว้ทำให้ผมไม่สามารถลุกนั่งได้ จึงต้องดึงออกจากตัวเสียก่อน แต่เพราะแขนพี่ธารหนักกว่าที่คิดไว้ ภาพที่ออกมาจึงทุลักทุเลพอสมควร แขนหรือท่อนซุงวะ หนักฉิบหาย

     จากที่ค่อยๆ ดึงออกเพราะไม่อยากให้คนหลับตื่น ผมเปลี่ยนมาผลักร่างพี่ธารให้พ้นจากตัวแทน พอถูกผลักเข้ามากๆ คนหลับก็เริ่มรู้สึกตัว ลมหายใจขาดห้วงครู่หนึ่งก่อนดวงตาคมจะลืมขึ้น

     “ทำอะไร” เสียงแหบพร่าอย่างคนเพิ่งตื่นถามระยะประชิด เสียงนั้นอยู่ใกล้มากจนผมชะงักมือที่กำลังดันอกกว้าง

     “พี่กอดผมอยู่ ผมลุกไม่ได้”

     แทนที่จะลุกออกไปตามที่ผมบอก อีกฝ่ายกลับรัดเอวแรงขึ้นเล็กน้อย พลิกตัวผมมาอยู่ข้างบนจนคางผมแนบไปกับแผ่นอกแกร่ง

     “อะไรของพี่เนี่ย” ผมพยายามยื้อแรงลุกขึ้น แต่ร่างสูงก็ไม่ยอมปล่อยมือเสียที “พี่ธาร ผมจะลุก”

     “ทำมาเป็นหวงตัวนะมึง กอดนิดกอดหน่อยไม่ได้เหรอ ทีเมื่อคืนเอาแต่ซุกอกกูยังไม่ว่าสักคำ”

     “ผม? ซุกอกพี่ธาร?”

     อีกฝ่ายกระตุกยิ้ม ดวงตาง่วงงุนหายไปแล้ว เหลือเพียงดวงตาพราวระยับที่มีประกายข้างใน

     “จำได้ไหมว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้น”

     ผมนิ่วหน้า พยายามคิดเท่าที่สมองน้อยๆ จะคิดออก “ผมจำได้ว่ากำลังหลับอยู่บนรถ หลังจากนั้นก็จำไม่ได้อีกเลย”

     “ก็ไม่แปลก มึงเล่นหลับยาวมาตั้งแต่ตอนนั้น”

     “หือ!? ผมหลับนานขนาดนั้นเลยเหรอ” ที่ผมตกใจเพราะตอนนี้เจ็ดโมงเช้าแล้ว เท่ากับเมื่อวานผมหลับไปทั้งที่ไม่ได้กินอะไรเลย มิน่าตื่นมาถึงหิว

     “ใช่ หลับจนกูนึกว่าตาย ดีที่เอานิ้วอังจมูกแล้วยังมีลมหายใจ”

     บนโลกนี้จะมีสักกี่คนวะที่พูดว่าแฟนตัวเองตายได้หน้าตาเฉย ผมล่ะเชื่อไอ้พี่ธารจริงๆ

     “แล้วที่บอกว่าซุกอกคือ?”

     “มึงหลับลึกมาก กูปลุกยังไงก็ไม่ตื่นเลยต้องอุ้มขึ้นมาบนห้อง ตอนอุ้มมามึงเอาแต่ซุกกู จะวางบนเตียงก็ไม่ยอมปล่อย ไม่รู้มือหรือคีมเหล็ก”

     อ่า...ผมว่าผมรู้แล้วล่ะครับว่าหมอนแข็งๆ ในฝันคืออะไร ผมยิ้มแหยเมื่อรู้ตัวว่าทำให้อีกฝ่ายลำบากแค่ไหน ได้แต่ส่งยิ้มประจบประแจงไปให้

     “ผมนอนน้อยมาหลายวันมันก็ต้องเพลียเป็นธรรมดา พี่บอกเองไม่ใช่เหรอว่าให้ผมตั้งใจอ่านหนังสือ”

     “กูบอกให้มึงตั้งใจอ่านหนังสือ ไม่ใช่อดหลับอดนอนอ่านหนังสือแบบนี้” เอาแล้วไง ชั่วโมงเทศนากำลังจะเริ่มแล้ว ก่อนที่จะโดนสวดไปมากกว่านี้ผมคงต้องรีบเบรกไว้ก่อน

     “คร้าบๆ ผมขอโทษ ผมผิดไปแล้ว แต่ตอนนี้ผมหิวแล้วอะ พี่ไปทำอาหารให้หน่อยดิ”

     “เห็นกูเป็นคนใช้เหรอ”

     “ไม่ใช่” ผมส่ายหน้ายิ้มๆ “เห็นเป็นแฟนที่ใจดีต่างหาก”

     “…”

     นี่ครับ มันต้องเบรกแบบนี้ถึงจะได้ผล ไอ้พี่ธารอึ้งไปเลย คงไม่คิดว่าผมจะพูดอะไรแบบนี้ล่ะสิ

     “พูดว่าอะไรนะ”

     ผมหุบยิ้ม เมื่อคนที่คิดว่ากำลังเขินกลับถามกลับมาด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป สายตาพี่ธารแพรวพราวกว่าเดิม จู่ๆ ผมก็รู้สึกถึงภัยอันตรายบางอย่าง มือที่วางแหมะบนอกจึงพยายามยันตัวลุกขึ้นทว่าไม่เป็นผล

     “ผมรู้ว่าพี่ได้ยินแล้ว”

     “พูดอีกรอบไม่ได้หรือไง”

     “เสียใจ ของดีมีครั้งเดียว พี่ปล่อยได้แล้วผมจะไปเข้าห้องน้ำ” ผมออกแรงยันตัวลุกอีกครั้ง แต่คราวนี้อีกฝ่ายกลับคลายอ้อมกอดอย่างง่ายดาย

     “ให้ห้านาที รีบล้างหน้าแปรงฟันแล้วกลับมาหากู”

     “อะไรของพี่”

     “ไม่เถียงสักเรื่องจะตายไหม ทำตามที่กูบอกเถอะน่า”

     ผมยังคงไม่เข้าใจ แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้รู้ว่าเถียงไปก็ป่วยการ จึงได้แต่พยักหน้าโดยไร้ข้อโต้แย้ง ก้าวลงจากเตียงแล้วรีบเดินไปเข้าห้องน้ำ ที่ต้องรีบไม่ใช่อะไร กลัวจะไม่ทันห้านาที





     “พี่ธาร ผมเสร็จแล้ว พี่จะไปทำอาหารได้ยังผมหิว...อื้อ!” ผมส่งเสียงในลำคอเมื่อเปิดประตูห้องน้ำออกมาแล้วโดนจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัว ริมฝีปากที่ประกบลงมาทำให้ผมนิ่งงัน มือที่ยกขึ้นเตรียมผลักไสกลับตกลงบนบ่าอย่างไร้เรี่ยวแรง พี่ธารผละริมฝีปากออกให้ผมได้หายใจ แต่ไม่ทันไรก็ทาบทับลงมาใหม่ ปิดโอกาสไม่ให้ผมทักท้วง

     ปากร้อนแนบลงมาบดเบียดเนิ่นนาน นานจนผมรู้สึกว่าปากตัวเองกำลังบวมเจ่อ ผมเหมือนคนเมายานอนหลับ สมองไม่อาจประมวลผลอะไรได้ แม้กระทั่งตอนที่อีกฝ่ายถอนหน้าออกไปภายในหัวก็ยังว่างเปล่า

     พี่ธารยกมือไล้ไปตามริมฝีปาก สายตาที่มองมาชวนให้ร้อนผ่าวไปทั้งหน้า

     “ชอบไหม”

     ประโยคคำถามง่ายๆ แต่ผมกลับต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะจับใจความได้

     “พะ...พี่จูบ...พี่จูบผม...”

     “ทำไม กูจูบแฟนตัวเองไม่ได้หรือไง”

     มันก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่ทำไมไม่บอกกันก่อนเล่า ปุบปับแบบนี้ใครจะตั้งตัวทัน

     “เดี๋ยวนะ” พอสติกลับเข้าร่างผมก็เริ่มรู้สึกตัว ดวงตาที่มองอีกคนเบิกกว้างเล็กน้อย “ที่ไล่ให้ไปแปรงฟันเพราะแบบนี้ใช่ไหม”

     “หึๆ” เสียงหัวเราะในลำคอแทนคำตอบได้เป็นอย่างดี พี่ธารยกยิ้ม โน้มหน้ามาชิดริมหู “ไม่ต้องห่วง ก่อนเข้านอนกูแปรงฟันแล้ว วางใจได้”

     “อะ...ไอ้พี่ธาร!!” ผมยกมือเตรียมทุบลงไปบนอกกว้าง แต่ร่างสูงกลับรวบสองมือผมไว้ด้วยมือเดียว สายตาที่มองมายั่วเย้า

     “ใครใช้ให้มึงพูดแบบนั้นล่ะ กูไม่จับมึงปล้ำก็ดีแค่ไหนแล้ว”

     ปะ...ปล้ำ!!

     “หึๆ ไม่ต้องห่วง กูยังไม่ทำเวลานี้หรอก สบายใจได้” คนบอกให้สบายใจรวบตัวผมช้อนอุ้มขึ้น ผมเลยต้องรีบคล้องคอไว้เพราะกลัวตก พี่ธารพาผมกลับมาบนเตียงนอน หลังหัวแตะหมอนไม่ถึงวินาทีก็ตามมาคร่อมทับ ผมกำลังจะถามว่าจะทำอะไร แต่ริมฝีปากที่ทาบทับลงมาทำให้ผมต้องกลืนคำถามกลับไปในคอ

     พี่ธารจูบผมราวกับจะดูดวิญญาณออกไปจากร่าง รสจูบที่ผมเคยนึกสงสัยว่าเป็นยังไง ตอนนี้คำตอบชัดเจนไปทุกอณูขุมขน พี่ธารประกบปากลงมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับอดอยากมานาน จนผมต้องยกมือดันอกเพื่อบอกให้พอ

     “อื้อ...พอแล้ว”

     ร่างสูงชะงักใบหน้าที่จะโน้มลงมาอีกครั้ง ดวงตาที่มองปากเจ่อๆ ของผมฉายแววพอใจ

     “ถ้าไม่อยากโดนอีกก็อย่าพูดแบบนั้น”

     “แบบไหน”

     “แบบที่ทำให้กูอยากกินมึงทั้งตัว”

     ผมหน้าร้อนกว่าเดิม ได้แต่ก่นด่าตัวเองว่าไม่น่าถามออกไปเลย ใครจะรู้ล่ะว่าประโยคแค่นั้นจะไปกระตุกต่อมหื่นของพี่มัน ผมสาบานกับตัวเองในใจว่าหลังจากนี้จะไม่พูดอะไรทำนองนั้นอีก

     “ผม...ผมหิวแล้ว ไปทำอาหารเช้าเร็ว”

     “ยังไม่อิ่มอีกเหรอ”

     “อะไรของพี่”

     “จูบกูเมื่อกี้ไง โดนไปขนาดนั้นแต่ยังไม่อิ่ม สงสัยอยากโดนอีกสินะ”

     !!!

     ผมยกมือปิดปากอัตโนมัติ เสียงหึดังมาจากลำคอคนด้านบน พี่ธารโน้มหน้าลงมาอีกครั้ง ผมปิดปากแน่นขึ้น หลับตาปี๋ แต่คนที่ผมคิดว่าจะก้มมาจูบกลับกระซิบข้างหูด้วยเสียงนุ่มทุ้ม

     “ชอบจูบกูไหม” คำถามเดิมรอบที่สองทำให้ผมลืมตา สายตาเราจึงประสานกัน ภายในดวงตาคู่นั้นไม่มีแววล้อเล่น ผมที่คิดจะโวยวายเบี่ยงประเด็นจึงเปลี่ยนใจ ได้แต่พยักหน้ารับอย่างเขินๆ

     “อื้อ”

     รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าอันหล่อเหลา พี่ธารก้มลงมาจูบหน้าผาก ส่งยิ้มอ่อนโยนให้ การกระทำที่ไม่เคยเห็นมาก่อนทำให้ผมตกใจปนแปลกใจนิดๆ

     “ไม่ต้องห่วง กูไม่คิดจะทำมากกว่าจูบอยู่แล้ว กูจะรอจนกว่ามึงจะพร้อม ต่อให้นานแค่ไหนก็ตาม” สายตาที่มองมาทั้งอ่อนโยนและอบอุ่น ราวกับคนพูดคือพี่ธารตัวปลอม ร่างสูงยิ้มให้ผมก่อนขยับตัวออกไป บอกให้ผมนอนเล่นไปก่อนส่วนตัวเองลงไปทำอาหารเช้า ผมค่อยๆ ยันตัวเองขึ้นนั่ง มองประตูห้องที่อีกฝ่ายเพิ่งเดินออกไป เสียงถอนหายใจดังขึ้นแทรกความเงียบ โล่งอกจริงๆ

     โล่งอกที่ไม่ได้พูดออกไปว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงในการไปเสม็ดก็เพื่อแผนการจับพี่ธารมัดมือชกเป็นภรรยา

     เขาว่ากันว่าไปเสม็ดมักเสร็จทุกราย ดังนั้นผมจึงมั่นใจเกินครึ่งว่ามันต้องสำเร็จแน่นอน อย่าถามหาประสบการณ์ อย่าถามหาข้อมูล ถึงตอนนี้ผมจะสู้ลีลาไอ้พี่ธารเมื่อครู่ไม่ได้ แต่ขอแค่มีความตั้งใจและความมั่นใจ สิ่งเหล่านี้ก็ไม่จำเป็น นี่คือปณิธานอันแรงกล้าของผม

     ผมไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้ใครรู้แม้แต่เพื่อนสนิท เพราะพวกมันย่อมไม่อยู่ข้างผมล้านเปอร์เซ็นต์ แผนการลอบกินพี่ธารในครั้งนี้จึงมีผู้สมรู้ร่วมคิดคนเดียวซึ่งคือผมเอง แต่ไม่เป็นไร คนเดียวก็เฟี้ยวได้ พี่ธารก็พี่ธารเถอะ เจอแผนการอันแยบยลของผมเข้าไปรับรองกลายเป็นน้องธารแทบไม่ทัน



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     ปล.เรื่องนี้ไม่มีพลิกโพนะครับ สบายใจได้ แค่ความอยากรู้อยากลองของเด็กเอ๋อเฉยๆ ^^

     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter :    earthxxide  (https://twitter.com/earthxxide? t=muF0165hiRexxkrO2QLULw&s=09)

     Fanpage :    Earthxxide  (https://www.facebook.com/earthxxide? mibextid=ZbWKwL)
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 28] ✪ 29/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 29-05-2023 21:33:53
 :katai4: :katai5:
หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 29] ✪ 31/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 31-05-2023 13:57:24
ตอนที่ 29
แอลกอฮอล์เป็นเหตุสังเกตได้


     ผมหันหน้าออกสู่ทะเลกว้าง เชิดหน้าสี่สิบห้าองศา กางแขนสองข้างเพื่อรับลมทะเล ในที่สุดผมก็มาถึงเสม็ด สถานที่ที่ซ่อนแผนการลับของผมเอาไว้ วันนี้แดดไม่แรง ท้องฟ้าแจ่มใส มองเห็นทะเลใสแจ๋ว ผมจะถือว่ามันคือนิมิตหมายอันดีในการเริ่มต้นภารกิจแต่งตั้งภรรยา

     “อีกนิดหน้ามึงจะบานพอๆ กับจานดาวเทียมแล้ว แค่มาทะเลดีใจอะไรขนาดนั้นวะ” มารทางความคิดส่งเสียงนำมาก่อนตัว ผมหันไปส่งค้อนให้ผิงที่ขัดจังหวะอารมณ์สุนทรีย์ นอกจากผมกับพี่ธารแล้วยังมีผิง น้องนาย พี่บอนด์ พี่ไกด์ พี่โอปอล์ และพี่ปืนแฟนพี่โอปอล์ รวมทั้งหมดแปดชีวิต ไม่น่าเชื่อว่าจากแผนหลอกล่อให้กินยาของพี่ธารจะกลายมาเป็นทริปรวมพลคนหน้าตาดี

     “คุณซนคงดีใจที่ได้มาเที่ยวกับพี่ธารน่ะครับ นี่ถ้ามากันสองคนผมคงเรียกว่าฮันนีมูนไปแล้ว” น้องนายพูดยิ้มๆ ก่อนรอยยิ้มจะค้างเติ่งเมื่อเจอสายตาแบบเดียวกันจากผิง

     “แล้วมึงล่ะ ว่าแต่ไอ้ซน มึงดีใจหรือเปล่าที่ได้มาเที่ยวกับพี่บอนด์”

     “พูดแบบนั้นไม่ถูกนะครับ ผมไม่ได้มากับพี่บอนด์สองคน แถมมาเที่ยวคราวนี้คนต้นคิดคือคุณซนกับพี่ธาร”

     “มันก็เรียกว่ามาเที่ยวได้เหมือนกัน ถามจริงเถอะ สมมติว่าทริปนี้พี่บอนด์ไม่มาด้วยมึงจะนอยด์ไหม” ผิงถามโดยไม่อ้อมค้อม ผมหันมาตั้งใจฟังคำตอบจากที่ตอนแรกไม่ได้สนใจ

     “ทำไมผมต้องนอยด์ด้วยครับ ผมอยากมาเที่ยวกับเพื่อนไม่ได้อยากมากับพี่บอนด์”

     “แน่ใจ?”

     “…”

     “น้องนาย”

     “แน่ใจครับ” คนพูดหลบสายตา ชะงักนิดหนึ่งคล้ายไม่มั่นใจคำตอบตัวเอง น้องนายมีสีหน้าลังเล สับสน ไม่แน่ใจ เดาว่าตอนมันตอบครั้งแรกคงไม่ได้ฉุกคิดจริงจัง ท่าทางของน้องนายทำให้ผมนึกถึงตัวเองตอนสับสนเรื่องพี่ธาร หรือว่า...

     ผมกับผิงหันมาสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย บางทีพี่บอนด์อาจมีหวัง เพื่อนผมอาจไม่ได้ตายด้านเรื่องความรักอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจมาตลอด

     “ว่าแต่ทำไมมึงมาเสม็ดวะ หัวหินใกล้กว่าแท้ๆ” ผิงเปลี่ยนประเด็น ที่มันไม่ไล่ต้อนเรื่องพี่บอนด์ต่อคงอยากให้น้องนายมีเวลาขบคิด แต่หัวข้อประเด็นใหม่ที่มันยกมาพูดกลับทำให้ผมจนมุมเสียเอง

     “กู...กูชอบเสม็ดมากกว่า เคยมาครั้งหนึ่งตอนเด็กๆ แล้วติดใจ” ผมหาทางแถไปจนได้

     “กูก็ถามไปงั้น ที่จริงกูว่าเสม็ดก็ดีเหมือนกัน มุมถ่ายรูปเยอะดี กูจะถ่ายจนเมมฯ เต็มเลยคอยดู” พวกผมเช่าบังกะโลไว้สี่วันสามคืน กะเล่นน้ำให้เบื่อทะเลกันไปข้าง แต่จริงๆ ผมว่าไม่ขนาดนั้นหรอก อาจจะมีกิจกรรมอื่นปะปนกันไป โดยเฉพาะผมกับพี่ธาร ไม่มีทางเล่นน้ำได้ทุกวันแน่นอน

     ตั้งแต่มีแฟนเป็นผู้ชายผมก็หาข้อมูลประดับหัวไว้นิดหน่อย จึงพอรู้ว่าหลังเสร็จภารกิจบนเตียงคนที่อยู่ข้างล่างจะอ่อนเพลีย บางทีอาจมีไข้ขึ้น ผมจึงตั้งใจว่าจะเริ่มแผนการคืนที่สองแล้วให้พี่ธารนอนพักเป็นผู้ป่วยติดเตียงในวันถัดไป โดยมีสามีดีเด่นอย่างผมคอยปรนนิบัติดูแล

     แหม แผนการผมนี่ทั้งแยบยลและฉลาดจริงๆ ก็ไม่อยากชมตัวเองหรอกแต่มันคือความจริง

     “แต่เอาจริงๆ กูรู้สึกว่ามาเที่ยวครั้งนี้ไม่ค่อยคุ้มยังไงไม่รู้ว่ะ” ผิงที่ดีใจที่จะมีรูปไปลงอินสตาแกรมกลับถอนหายใจเสียงดัง

     “ทำไมวะ”

     “ก็มึงดู มากันเป็นคู่ทั้งนั้น มึงกับพี่ธาร น้องนายกับพี่บอนด์ พี่โอปอล์กับพี่ปืน”

     “มึงก็คู่กับพี่ไกด์ไง” ผมต่อประโยคให้มัน

     “กูหมายถึงคู่รักจริงๆ ไม่ใช่คู่ในมโนเหมือนกู”

     “เดี๋ยวนะครับ ผมกับพี่บอนด์ไม่ใช่คู่รักกัน คุณผิงลืมหรือเปล่า” น้องนายกลับมามีเสียงอีกครั้งหลังเงียบไปนาน

     “เดี๋ยวก็ใช่ เชื่อกูสิ”

     น้องนายพยายามคัดค้าน แต่พวกผมไม่สนใจฟัง กลับมาเรื่องเดิมต่อ

     “จะไปยากอะไร มึงก็รีบจีบพี่ไกด์ให้ติดสิ” มาถึงตอนนี้ผมเชื่อไปกว่าครึ่งแล้วว่าผิงชอบพี่ไกด์แน่นอน ไม่มากก็น้อย มันอาจไม่รู้ตัว แต่พักหลังมานี้มันไม่พร่ำเพ้อถึงผู้ชายคนอื่นให้ได้ยินเลย

     “กูต้องรุกพี่ไกด์มากกว่านี้เหรอวะ”

     “ผิงมึงพูดจาให้สมกับเพศสภาพตัวเองหน่อยก็ได้ กูหมายถึงจีบแบบคนทั่วไป ไม่ใช่เอะอะจับทำสามีไปซะทุกครั้ง พี่เขาจะคิดว่ามึงเล่นๆ ไม่จริงจัง”

     “แบบนั้นก็ไม่ใช่กูสิ ให้จีบแบบคนทั่วไปมันจะไปมีเอกลักษณ์อะไร ต้องรุก แรง เร็วแบบกูนี่ ผู้ชายถึงจะจำไม่ลืม”

     ครับ มีเอกลักษณ์มากๆ ผมมั่นใจว่าผู้ชายไม่มีวันลืมมันแน่นอน ลืมไม่ลง





     บังกะโลที่เช่าไว้มีทั้งหมดสี่หลัง พอดีกับจำนวนคนหารสองลงตัว หลังใช้เวลาตกลงกันอยู่นานก็ได้ข้อสรุปว่าผมนอนกับพี่ธาร ผิงนอนกับพี่โอปอล์ พี่ไกด์นอนกับพี่ปืน และพี่บอนด์นอนกับน้องนาย

     คู่สุดท้ายผมไม่ได้จับให้ น้องนายเป็นขอนอนกับพี่บอนด์เอง ผมค่อนข้างแปลกใจ เพราะตอนคุยกันมันยังพูดเหมือนไม่ได้คิดอะไรกับพี่บอนด์อยู่เลย เห็นทีว่างๆ คงต้องจับมานั่งซักแบบละเอียดเสียหน่อย

     ส่วนพี่ปืน พี่แกไม่มีปัญหาที่ต้องนอนแยกกับแฟน เพราะเข้าใจว่าผิงเป็นผู้หญิงเลยต้องนอนกับพี่โอปอล์ที่เป็นผู้หญิงเหมือนกัน ถึงแม้เพื่อนผมจะพยายามออกตัวว่านอนกับใครก็ได้โดยเฉพาะพี่ไกด์ก็ตาม

     หลังตกลงกันได้แล้วก็แยกย้ายเอาของไปเก็บ ผมเลือกบังกะโลหลังริมสุด โดยให้เหตุผลกับพี่ธารว่ามองเห็นทะเลชัด แต่เหตุผลจริงๆ คือหลังนี้ค่อนข้างอยู่ไกลหลังอื่น ผมไม่แน่ใจว่าห้องพักเก็บเสียงหรือเปล่า แต่อย่างน้อยก็ควรกันไว้ก่อน

     หึๆ บอกแล้วว่าแผนผมแยบยล แถมยังรัดกุมอีกต่างหาก ผมวางแผนมาดี ดังนั้นไม่ต้องห่วง แผนการผมสำเร็จไปด้วยดีแน่นอน

     “ยืนบื้ออยู่ทำไมเตี้ย รีบเอาของมาเก็บสิ” พี่ธารเรียกผมที่ยืนคาอยู่หน้าประตู ผมรีบซ่อนสีหน้าหื่นไว้แล้วเดินเข้าไปหา ร่างสูงกำลังจัดเสื้อผ้าเข้าตู้ ทั้งเนื้อทั้งตัวมีเพียงกางเกงยีนส์เอวต่ำคาดอยู่บนเอว ท่อนบนอวดร่างเปลือยเปล่าที่มองไปตรงไหนก็เห็นแต่กล้าม ผมลอบกลืนน้ำลาย ตอนไม่คิดอะไรมันก็ไม่คิดหรอก แต่พอเป็นแฟนกันแล้วมาเห็นแบบนี้มันก็ชวนรู้สึกวูบวาบอยู่เหมือนกัน

     ผมหันกลับมามองตัวเอง ก่อนจะถอนหายใจโดยไม่รู้ตัว ไม่เป็นไร บอกแล้วว่าเรื่องแบบนี้วัดกันที่ลีลาไม่ใช่ขนาด ผมปลอบใจตัวเอง สามีที่หุ่นบางกว่าภรรยามีให้เห็นถมเถไป

     “จัดของเสร็จแล้วนอนเล่นไปก่อน กูอาบน้ำล้างเหงื่อแป๊บเดียว ถ้าง่วงก็หลับไปเลยเดี๋ยวกูปลุก”

     “ครับ”

     พี่ธารเดินมาหยุดยืนข้างๆ ผมที่กำลังหยิบเสื้อผ้าออกจากเป้จึงเงยหน้าขึ้นมอง พี่ธารโน้มหน้าลงมา รอยยิ้มมุมปากกับดวงตาวาววับพาให้ใจเต้นแรง

     “หรือมึงจะอาบกับกูก็ได้นะ กูกำลังอยากได้คนถูหลังอยู่พอดี”

     !!!

     “ฮ่าๆๆ กูล้อเล่น หน้ามึงตอนตกใจแม่งโคตรตลก” พี่ธารโยกศีรษะผมเบาๆ เดินไปเข้าห้องน้ำอย่างอารมณ์ดี ผมมองตามแผ่นหลังกว้าง จนกระทั่งประตูห้องน้ำปิดลงจึงยกมือตบแก้มเบาๆ

     ไอ้ซนหนอไอ้ซน แค่พี่มันหยอกนิดหน่อยก็เขินจนทำอะไรไม่ถูกแล้วเหรอวะ แล้วแบบนี้จะไปจับพี่มันกินได้ยังไง ไม่ได้ๆ ต่อไปผมต้องใจกล้ามากกว่านี้





     พวกผมตกลงกันว่าวันแรกจะให้ทุกคนพักผ่อนจากการเดินทางก่อน แล้ววันถัดไปค่อยลงเล่นน้ำ หลังกลับมาจากทานอาหารเย็นเรียบร้อยก็แยกกันไปอาบน้ำอาบท่า ก่อนจะมารวมตัวกันที่ห้องพี่ไกด์กับพี่ปืน

     ทริปนี้มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพราะทุกคนต่างบรรลุนิติภาวะกันหมดแล้ว เรื่องน่าเหลือเชื่ออย่างหนึ่งคือในกลุ่มผมน้องนายเป็นคนคอแข็งที่สุด ตามมาด้วยผิง ส่วนผมผู้ที่ทั้งชีวิตไม่เคยแตะแอลกอฮอล์ พี่ธารเลยให้ดื่มน้ำอัดลมแทน

     “หาอะไรสนุกๆ เล่นกันไหมคะ” ผิงที่น่าจะดื่มไปพอสมควรโพล่งขึ้นมากลางวง ทุกคนเลยหยุดเรื่องที่คุยกันหันไปมอง

     “อะไรสนุกๆ เหรอครับคุณผิง”

     “ผิงคิดเกมๆ หนึ่งขึ้นมาได้ เคยเล่นกับเพื่อนสมัยอยู่มอปลาย เราจะตั้งขวดเหล้าไว้ตรงกลาง ขวดหมุนไปหยุดที่ใครให้คนนั้นเล่าเรื่องโกหกกี่เรื่องก็ได้แต่ต้องมีเรื่องจริงอยู่ในนั้นหนึ่งเรื่อง คนที่เหลือใครทายถูกคนแรกว่าเรื่องไหนคือเรื่องจริงมีสิทธิ์สั่งเจ้าของเรื่องหนึ่งอย่าง แต่ถ้าใครทายผิดต้องวางเงินคนละร้อย เอาไว้เป็นเงินกินเที่ยวในทริปนี้”

     ทุกคนต่างดูสนใจเกมที่เพื่อนผมคิดขึ้นมาไม่น้อย จะว่าไปก็น่าสนุกเหมือนกัน หลังตกลงกันว่าจะเล่นตามที่ผิงบอก เจ้าตัวก็วางขวดเหล้าไว้กลางวงโดยหันปากขวดเข้าหาตัวเอง

     “เพื่อเป็นการยกตัวอย่าง ผิงจะเริ่มก่อนโดยไม่ต้องหมุนขวดนะคะ” ผิงส่งยิ้มให้ทุกคนรอบวง แต่ผมรู้สึกว่าตอนมันยิ้มให้พี่ไกด์ดูแปลกๆ ชอบกล “ผิงเพิ่งถูกผู้ชายหักอก ผิงกำลังลดความอ้วนเพื่อจีบผู้ชายบางคน เมื่อวานผิงถูกผู้ชายหอมแก้ม ตอนก่อนสอบผิงไม่ได้อ่านหนังสือเลย วันก่อนผิงแอบดูโทรศัพท์ซนแล้วเจอคลิปโป๊”

     “เฮ้ย! กูไม่มี” ผมรีบยกมือปฏิเสธ ผิงหันมาถลึงตาใส่ ผมเลยเปลี่ยนเป็นลูบท้ายทอยแก้เก้อ เวรแล้วไง อยู่ดีไม่ว่าดีดันไปตัดช้อยส์ให้มันหนึ่งข้อ

     “ไม่มีจริงเหรอซน” พี่บอนด์ถามผมแต่ตามองพี่ธารเหมือนต้องการหยอกเย้า พี่ธารเลยหันมาจ้องผมเขม็งเพื่อขอคำตอบ แต่ใครจะไปหลุดไก่ซ้ำสองล่ะครับ

     “ไม่ได้อ่านหนังสือก่อนสอบหรือเปล่า” พี่โอปอล์ลองทายเป็นคนแรก

     “ไม่ใช่ค่ะ” ผิงส่ายหน้า พี่โอปอล์เลยต้องหยิบเงินหนึ่งร้อยมาวางกลางวง

     “เพิ่งถูกผู้ชายหักอก” พี่ไกด์ทายเป็นคนถัดมา

     “ไม่ใช่ค่ะ แหม ที่ทายเรื่องนี้เพราะอยากมาดามใจให้เหรอคะ” คำพูดเพื่อนผมทำเอาทั้งวงฮากันครืน จะมีก็แต่คนทายที่ได้แต่ทำหน้าปูเลี่ยน หลังพี่ไกด์วางเงินพี่ปืนก็ทายต่อ

     “ถูกผู้ชายหอมแก้ม”

     “ไม่ใช่ค่ะ” พี่ปืนหยิบเงินหนึ่งร้อยมาวาง ทันใดนั้นน้องนายก็รีบยกมือ

     “คุณผิงกำลังลดความอ้วนเพื่อจีบผู้ชายบางคน”

     “จะสั่งอะไร”

     คนอื่นๆ ต่างทำหน้าสนใจ ผมกับน้องนายลอบมองตากัน เรารู้กันทันทีว่าผิงหมายถึงใคร

     “บอกหน่อยครับว่าคุณผิงกำลังจีบใคร”

     ผมคิดว่าน้องนายคงกะขุดหลุมผิงเล่นๆ ไม่ได้อยากรู้คำตอบจริงๆ แต่มันคงลืมว่านี่คือผิง ให้มาเหนียมอายบิดตัวกระมิดกระเมี้ยนไม่มีทางเกิดขึ้นกับผิงแน่นอน

     “ง่ายแค่นี้เหรอวะ กูนึกว่าจะยากกว่านี้เสียอีก ผิงก็กำลังจีบพี่ไกด์อยู่ไง รู้อย่างนี้แล้วรับผิงไว้พิจารณาด้วยนะคะ” รอยยิ้มหวานถูกส่งไปหาเจ้าของชื่อ พี่ไกด์ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก รีบยกเหล้าขึ้นดื่มเหมือนอยากเรียกขวัญกำลังใจให้ตัวเอง เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนอีกครั้ง พวกพี่ๆ คงมองเป็นเรื่องตลกเฮฮา มีแต่ผมกับน้องนายที่รู้ว่ามันคือเรื่องจริง

     คราวนี้ผิงเริ่มหมุนปากขวด คนแรกของเกมที่มาจากการหมุนขวดคือน้องนาย เจ้าตัวทำหน้าคิดหนักราวกับกำลังสอบโอลิมปิก อย่างว่าแหละครับ น้องนายโกหกไม่เก่ง จู่ๆ ให้มาคิดเรื่องโกหกคงไม่ง่ายสำหรับมัน

     “ตอนเด็กผมเคยผลักเพื่อนตกบันได ผมไม่ชอบทานผัก ผมมีพี่น้องสามคน ผมชอบอ่านหนังสือในที่มืดๆ ผมเคยคบซ้อนแฟนตัวเอง...”

     ผมเห็นพี่บอนด์หุบยิ้ม หน้าเรียบตึงขึ้นมาเล็กน้อย เอ่อ ขอถอนคำพูดนะครับที่บอกว่ามันโกหกไม่เก่ง อีกนิดจะได้รางวัลออสการ์แล้ว มึงจะโกหกอะไรก็ได้แต่ช่วยเกรงใจคนที่จีบมึงหน่อยได้ไหมไอ้น้องนาย

     “และผมกำลังคิดว่าตัวเองเป็นคนโง่”

     จบประโยคเรื่องเล่าของน้องนาย คิ้วผมขมวดเข้าหากัน ผมคิดไปเองหรือเปล่าว่าอย่างสุดท้ายมันต่างไปจากพวก

     “คบซ้อนแฟนตัวเอง” พี่บอนด์ทายเป็นคนแรกพร้อมกับวางเงินลงตรงหน้า เหมือนมั่นใจว่าเรื่องนี้โกหกแน่นอน หรือพูดอีกนัยคืออยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องโกหก

     “ไม่ใช่ครับ”

     รอยยิ้มโล่งอกปนดีใจของพี่บอนด์ทำให้ผมรู้ทันทีว่าถ้าคู่นี้คบกันจริงๆ ใครจะเป็นคนคลั่งรักใคร

     “ชอบอ่านหนังสือในที่มืด” ผิงทายขึ้นมา เมื่อน้องนายส่ายหน้าจึงหยิบเงินตัวเองมาวาง

     “มึงคิดว่าตัวเองเป็นคนโง่” ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมทายเรื่องนี้ออกไป ผมคิดว่าอีกเดี๋ยวน้องนายคงยื่นปากใส่ผม ต่อว่าที่ผมไปด่ามัน แต่เจ้าตัวกลับยิ้มบางๆ ไม่ปฏิเสธคำตอบ

     “สั่งมาได้เลยครับ แต่ถ้าเป็นอะไรที่ผมทำได้จะดีมาก”

     ผมกับผิงเลิกคิ้ว พี่บอนด์มองมาด้วยสายตาแปลกใจ ผมคงจะมึนงงนานเกินไป พี่ธารเลยวางมือลงบนตักให้รู้ว่าเพื่อนกำลังรอคำสั่งอยู่

     “ทำอะไรดี” ผมมองซ้ายมองขวา พอเห็นหน้าพี่บอนด์ไอเดียบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัว “พรุ่งนี้มึงกับพี่บอนด์ต้องแยกไปเล่นน้ำกันสองคน เอาที่ๆ ไม่ค่อยมีคนยิ่งดี”

     คนในวงต่างแปลกใจกับคำสั่งของผม ยกเว้นน้องนายที่กำลังสบตาผมอยู่ ภายในห้องเกิดเดดแอร์ชั่วขณะ ผิงผู้ตั้งกติการีบชวนเล่นเกมต่อ บรรยากาศจึงกลับมาเป็นเหมือนเดิม

     ระหว่างที่คนอื่นเล่นเกมผมก็ขยับไปใกล้น้องนาย มันกำลังควงแก้วในมือ ดวงตาที่มองน้ำสีอำพันเหม่อลอย

     “อยากปรึกษาอะไรกูไหม” ผมค่อนข้างมั่นใจว่าที่น้องนายบอกว่าตัวเองโง่ต้องเกี่ยวกับพี่บอนด์ แต่ถึงจะพูดอย่างนั้นผมก็ไม่รู้ว่าจะช่วยยังไง แค่ไม่อยากให้มันเก็บเรื่องคิดมากไว้คนเดียว

     “ไม่เป็นไรครับ อีกอย่างคุณซนก็ช่วยผมแล้ว” น้องนายมองกลับมา ผมรู้ว่ามันพูดถึงคำสั่งของผมเมื่อครู่

     “ไปคุยกับเขาให้เรียบร้อย รู้สึกยังไงก็บอกไปตรงๆ”

     “ผมพูดตรงๆ แน่ครับ แต่แค่ผมไม่รู้จะพูดอะไร”

     “หือ?” ผมเอียงคอเล็กน้อย ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้น “อย่าบอกนะว่าที่มึงว่าตัวเองโง่...”

     “ครับ” น้องนายตอบรับเสียงเรียบ ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อเลยเงียบ น้องนายก็เช่นกัน ผมมองใบหน้าครุ่นคิดของเพื่อนอยู่สักพัก ก่อนจะแย่งเหล้ามันมากระดกรวดเดียวหมดแก้ว น้องนายหันมาทำตาโต

     “แหวะ ไม่อร่อยเลย” ผมหลับตาปี๋เมื่อรู้สึกถึงความขมที่แล่นผ่านลำคอ

     “คุณซน! ทำอะไรครับเนี่ย”

     “กินเหล้าเป็นเพื่อนมึงไง มึงจะได้ไม่เครียดอยู่คนเดียว”

     สีหน้าน้องนายทั้งซาบซึ้งและอ่อนใจกับคำพูดผม แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นตกใจ “แต่คุณซนไม่เคยกินเหล้าไม่ใช่เหรอครับ แถมกินไปขนาดนั้นอีก”

     “ไม่เป็นไร สบายมาก” มันก็แค่เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ไม่ได้มียาพิษเสียหน่อย ในเมื่อคนอื่นกินได้ทำไมผมจะกินไม่ได้

     น้องนายยังมองมาอย่างเป็นห่วง ผมยิ้มให้มันพลางชวนดูคนอื่นเล่นเกม แต่ผ่านไปสักพักก็เริ่มรู้สึกร้อนภายในช่องท้อง ผมหันซ้ายหันขวา เห็นแก้วน้ำวางอยู่ข้างๆ ผิงจึงไม่รีรอที่จะยกมาดื่มดับร้อน แต่ยิ่งกระดกเข้าปากลำคอยิ่งร้อนผ่าวขึ้นเรื่อยๆ ฉิบหาย! นี่ก็เหล้าเหมือนกันนี่หว่า

     ผมรีบวางแก้วของผิงไว้ที่เดิม พอดีกับที่ใครสักคนหมุนปากขวดมาทางผม ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง จู่ๆ ก็รู้สึกมึนหัว สมองตื้อไปหมด

     “ตาผมเหรอครับ”

     “ใช่ค่ะ ตามึง ขอเรื่องเด็ดๆ นะ แล้วก็รอบนี้พี่ธารห้ามตอบนะคะ เป็นแฟนกันแถมอยู่บ้านติดกัน ผิงรู้ว่าพี่ธารรู้เรื่องทุกอย่างของไอ้ซน”

     พี่ธารพยักหน้าพร้อมยกยิ้ม เหมือนถูกใจคำพูดของผิง ผมพยายามเค้นสมองคิดเรื่องโกหก โอย ทำไมคิดอะไรไม่ออกเลย รู้แต่ว่ามึนหัวมากๆ

     อืมมม คิดเรื่องโกหกไม่ออก งั้นพูดเรื่องจริงไปก่อนแล้วกัน

     “คืนพรุ่งนี้ผมจะปล้ำพี่ธารแล้วจับทำเมีย”

     “เหี้ย!!” ผิงหลุดคำอุทาน ลืมมารยาทอันดีไปหมดสิ้น น้องนายมองมาด้วยดวงตาตื่น แต่ไม่เท่าคนอื่นๆ ที่ตะลึงตาค้างกันถ้วนหน้า

     “น้องซน เอ่อ...ว่าอะไรนะ” พี่โอปอล์ถามขึ้นมา ผมเห็นผิงกับน้องนายทำท่าจะเข้ามาปิดปากแต่ถูกพี่ธารห้ามไว้ ผมโงนเงนนิดหน่อยแต่ก็พยายามนั่งหลังตรง ตอบออกไปอีกครั้งด้วยเสียงดังฟังชัด

     “ผมจะปล้ำพี่ธาร ผมจะจับพี่ธารทำเมีย”

     ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง สีหน้าแต่ละคนยากจะบรรยาย

     “เหี้ยเอ๊ย เด็ดจริงๆ เด็ดจนอยากร้องไห้เลยกู”

     นั่นคือคำพูดของผิงที่ผมได้ยิน ก่อนที่ผมจะจำอะไรไม่ได้อีกเลย...



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter :    earthxxide  (https://twitter.com/earthxxide? t=muF0165hiRexxkrO2QLULw&s=09)

     Fanpage :    Earthxxide  (https://www.facebook.com/earthxxide? mibextid=ZbWKwL)
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 29] ✪ 31/05/2023
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 31-05-2023 18:56:06
 :jul3: :laugh:
หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 30] ✪ 02/06/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 02-06-2023 17:21:19
ตอนที่ 30
เด็กเอ๋อกับเสม็ด ใครจะเสร็จก่อนกัน


     -ธาร-

     “ซน กูอวยพรให้มึงโชคดีนะ พรุ่งนี้กูจะเล่นน้ำเผื่อไม่ต้องห่วง” ผิงพูดกับคนที่ผมกำลังประคองอยู่ เด็กเอ๋อผงกหัวมามองเพื่อนจากที่พิงศีรษะกับไหล่ผม

     “ทำไมต้องเล่นเผื่อ กูก็ลงเล่นกับมึง” น้ำเสียงยานคางบอกให้รู้ว่าคนพูดดื่มเข้าไปแค่ไหน ทำเอาอยากฟาดมันซะตรงนี้ ผมไม่ว่าถ้าซนจะดื่ม แต่อย่างน้อยควรบอกกันก่อน ดื่มโดยไม่รู้ลิมิตตัวเองแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน

     “ก่อนจะมาเล่นน้ำมึงลุกจากเตียงให้ไหวก่อนเถอะ”

     “อะไร มึงห่วงผิดคนแล้ว คนที่มึงต้องห่วงคือพี่ธารโว้ย บอกแล้วว่ากูจะปล้ำพี่มัน”

     เพื่อนผมต่างหันหน้าไปคนละทางเหมือนกำลังกลั้นขำ ผิงส่งสายตาขอโทษมาให้ผม สีหน้าละเหี่ยใจกับเจ้าตัวดี

     “คุณผิงพอเถอะครับ พูดอะไรไปคุณซนก็ไม่ฟังหรอก ผมว่าเราแยกย้ายกันเถอะคุณซนจะได้พักผ่อน ถ้าได้พักนะครับ”

     “ช่ายยย มึงรีบกลับไปเคลียร์กับพี่บอนด์เลย คุยกันดีๆ นะเว้ย” คนในอ้อมแขนผมมีปากมีเสียงขึ้นมา ซนขยับไปขยับมาเหมือนจะล้มได้ตลอดเวลา ผมจึงต้องกอดไหล่มันไว้

     “ไม่ต้องไปห่วงน้องนายหรอก มึงห่วงตัวเองก่อนเถอะ”

     “มึงนี่พูดไม่รู้เรื่อง กูอยู่ข้างบนจะเป็นอะไรได้ไง ไปห่วงไอ้พี่ธารนู่น”

     ผิงดูเหนื่อยใจที่จะพูดกับซนต่อ จึงหันมาพูดกับผมแทน “ฝากดูแลเพื่อนผิงด้วยนะคะ”

     “ครับ” ผมดูแลแน่ครับ แต่ดูแลแบบไหนขอไม่กล่าวถึง วันนี้เด็กเอ๋อของผมก่อแต่วีรกรรมดีๆ รับรองผมจะดูแลให้ดีสมกับวีรกรรมของมันแน่นอน





     -ซน-

     ผมส่งเสียงอืออาเมื่อรู้สึกตัว ความนุ่มที่แผ่นหลังทำให้รู้ว่ากำลังอยู่บนเตียง ผมค่อยๆ ยันตัวขึ้นนั่ง ทันใดนั้นความปวดก็แล่นขึ้นมาบนหัวจนต้องนิ่วหน้า ผมยกมือกุมหัว นั่งนิ่งๆ พยายามใช้สมองอันน้อยนิดนึกว่าเกิดอะไรขึ้น

     ใช่แล้ว! เรากำลังสังสรรค์ในห้องพี่ไกด์กับพี่ปืน แล้วผิงก็ชวนทุกคนเล่นเกม ตอนนั้นผมกินเหล้าของน้องนายกับผิงเข้าไป หลังจากนั้นเกมก็วนมาที่ผม แล้ว...แล้วอะไรอีกนะ นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเกิดเรื่องบางอย่าง แต่ความจำผมกลับสิ้นสุดเท่านี้ เหมือนจู่ๆ ก็ภาพตัดไป

     เสียงเปิดประตูห้องน้ำทำให้ผมเลิกคิดแล้วหันไปมอง พี่ธารเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นผมรู้สึกตัวแล้ว แต่ไม่นานสายตาที่มองมาก็เปลี่ยนไป แต่เนื่องจากผมเพิ่งฟื้นแถมสติเพิ่งกลับมา เลยไม่รู้ว่าสายตาคู่นั้นกำลังสื่ออะไร

     “รู้สึกตัวสักทีนะ”

     “ผมหลับไปเหรอ” ผมรู้ว่ามันเป็นคำถามที่โง่มาก แต่เวลานี้ผมไม่รู้จะถามอะไรจริงๆ

     “จำไม่ได้?”

     “ก็...จำได้นิดนึง แต่ให้พี่เล่าทวนน่าจะดีกว่า”

     “ได้สิ เดี๋ยวกูจะเล่าให้ฟังแบบละเอียดเลย” พี่ธารยิ้มมุมปาก ก้าวขึ้นมาบนเตียง ขยับมานั่งเสียจนชิด สัญชาตญาณบางอย่างทำให้ผมกระเถิบออกห่างเล็กน้อย ทำไมผมใจคอไม่ดีกับรอยยิ้มพี่มันเลยวะ

     “วันนี้มึงเมามาก กูไม่รู้ว่ามึงดื่มไปแค่ไหน แต่ก็น่าจะมากพอที่จะสร้างวีรกรรมจนทำให้วงแตกได้ กูเลยต้องแบกมึงกลับมาดูแลนี่ไง”

     “หือ? นี่ห้องเราเหรอ ผมนึกว่าห้องพี่ไกด์กับพี่ปืน” ผมหันไปเห็นกะละมังใส่น้ำกับผ้าขนหนูบนโต๊ะหัวเตียง เลยเดาว่าพี่ธารน่าจะเช็ดตัวให้ผม

     “ไม่ถามหน่อยเหรอว่ามึงสร้างวีรกรรมอะไรไว้”

     ผมหันกลับมาทำตาปริบๆ หลังเค้นหัวสมองว่าตัวเองทำอะไรลงไปจนนึกออกก็เปลี่ยนเป็นยิ้มเจื่อน ชัดเลย ดวงตาวาววับขนาดนี้ ไอ้พี่ธารกำลังจะเฉ่งเรื่องที่ผมกินเหล้าแน่ ผมรีบยกมือไหว้ท่วมหัว พี่ธารมองมาอย่างงงๆ

     “ผมขอโทษที่กินโดยพลการ ตอนนั้นมันแค่อยากรู้อยากลองเฉยๆ สัญญาว่าคราวหน้าผมจะบอกพี่ก่อน”

     พี่ธารขมวดคิ้ว “กินอะไร”

     “เหล้าไง พี่จะดุผมเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ”

     เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มมุมปาก พี่ธารขยับมาใกล้ด้วยท่าทางคุกคาม จนผมเริ่มรู้สึกแหม่งๆ

     “ไม่ต้องห่วง มึงโดนดุสมใจแน่ แต่หลังจากคิดบัญชีอีกเรื่องเสร็จแล้ว”

     “อีกเรื่อง?”

     “ลองนึกดีๆ สิว่าตอนเล่นเกมมึงพูดอะไรไว้”

     ผมย่นคิ้ว ไม่เข้าใจว่าพี่ธารพูดถึงอะไร ก็มีแต่เรื่องกินเหล้าไม่ใช่เหรอ ผมพยายามเค้นสมองอีกครั้ง ไอ้พี่ธารโคตรใจร้ายเลย คนเพิ่งสร่างเมาแต่ให้มาคิดโน่นคิดนี่ มันปวดหัวนะรู้...

     ‘คืนพรุ่งนี้ผมจะปล้ำพี่ธารแล้วจับทำเมีย’

     !!!

     เหมือนผมได้ยินเสียงตัวเองในหัว ร่างกายแข็งทื่อไปทุกส่วน จู่ๆ ก็รู้สึกเย็นเฉียบขึ้นมา ภาพเหตุการณ์ตอนเล่นเกมค่อยๆ ฉายขึ้นมาในหัว เหมือนใครกดย้อนหนังที่เล่นไปแล้วให้ผมดู

     ‘น้องซน เอ่อ...ว่าอะไรนะ’

     ‘ผมจะปล้ำพี่ธาร ผมจะจับพี่ธารทำเมีย’


     ฉิบหาย!! ชัดเจนแจ่มแจ้ง ชัดกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว หน้าผมซีดเผือดเมื่อนึกวีรกรรมตัวเองออก ฮือ กลับไปนึกไม่ออกเหมือนเดิมได้ไหม ตายแน่ๆ ตายสถานเดียว ดันไปโพล่งแผนการลับแบบนั้น ไม่ตายก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว

     พี่ธารกระตุกยิ้มเมื่อเห็นผมเบิกตาโพลง โน้มตัวมาหาช้าๆ น้ำเสียงนุ่มทุ้มแต่เย็นยะเยือกในความรู้สึกผม “ว่าไง นึกออกหรือยัง”

     “ฮ้าววว ผมง่วงแล้ว ขอนอนก่อนนะครับ ราตรีสวัสดิ์” นาทีนี้กลบเกลื่อนเท่านั้นครับถึงจะรอด ผมล้มตัวลงนอน หมุนตัวหันหน้าหนี อยากดึงผ้าห่มมาปิดด้วยแต่พี่ธารนั่งทับไว้

     “แน่ใจนะว่าจะเล่นแบบนี้” เสียงเย็นๆ ที่ดังอยู่ด้านหลังชวนให้ขนลุกตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่เพื่อความปลอดภัยของตัวเองผมจึงต้องเล่นตามน้ำต่อไป

     “ฟี้...คร่อก ฟี้...คร่อก” อยากทำน้ำลายยืดด้วยนะครับแต่ติดตรงที่ทำยากเกิน

     “ได้ มึงเลือกเองนะ” พี่ธารพูดแค่นั้นแล้วเงียบไป ผมสองจิตสองใจ อยากหันไปมองแต่ก็ไม่กล้า จนกระทั่งวินาทีที่ผมกำลังจะกลั้นใจหันกลับไป ฝ่ามือหนาก็รุกล้ำเข้ามาในเสื้อ ผมลืมตาโพลง รีบตะครุบมือนั้นไว้ทันที

     “พี่ธาร!!” ผมหันขวับไปมองร่างสูง ใบหน้าพี่ธารอยู่ห่างไม่ถึงคืบ ลมหายใจอุ่นเป่ารดหน้า ตาวาวๆ ที่มองมาชวนให้ใจเต้นรัว

     “จะจับกูทำเมียไม่ใช่เหรอ กูเห็นมึงไม่เริ่มสักทีเลยเริ่มให้ไง” คนพูดใช้มืออีกข้างรั้งผมเข้าไปชิด สอดมือเข้ามาในเสื้อ ไล้วนบนหน้าท้อง ผมอยากห้ามแต่ติดที่ใช้สองมือจับอีกมือของพี่ธารอยู่ จะขยับหนีก็ไม่ได้เพราะโดนรวบเอวไว้

     “พี่ธารอย่าเล่นแบบนี้”

     “กูดูเหมือนเล่นอยู่เหรอ” ปลายนิ้วยาวลากผ่านยอดอก ผมสะดุ้งเล็กน้อย ความรู้สึกแปลกประหลาดไหววูบเข้ามาแล้วผ่านไป “ว่าไง กูรอเป็นเมียอยู่นะ รีบๆ ทำหน้าที่สิครับคุณสามี”

     ปากบอกให้ทำแต่มือกลับอยู่ไม่สุข ผมตะครุบมือนี้พี่มันก็ใช้อีกมือ โอ๊ย! มือคนหรือปลาหมึกวะ

     “ผม...ผมบอกว่าคืนพรุ่งนี้ ไม่ใช่คืนนี้เสียหน่อย”

     “จะคืนไหนก็เหมือนกัน เร็วสิ กูอยากเป็นเมียใจจะขาดแล้ว” สายตาที่ส่งมาไปคนละทางกับคำพูด พอๆ กับการกระทำที่ไม่ได้ใกล้เคียงคำว่าเมียเลยสักนิด เสื้อที่ผมใส่อยู่ถูกดึงขึ้นมาชิดคอ แผ่นอกเปลือยเปล่าปรากฏต่อสายตา

     “เฮ้ย!” ผมกำลังจะดึงเสื้อลง แต่อีกฝ่ายกลับรวบมือผมไว้เหนือหัว พี่ธารก้มลงมา ใช้ปากขบเม้มติ่งหูเบาๆ

     “ชักช้าจัง เมียรอนานแล้วนะ”

     “จะ...จะให้ผมทำก็อยู่เฉยๆ สิ จับมือไว้แบบนี้ใครจะไปทำ...อ๊ะ!” ผมสะดุ้งเมื่อปลายนิ้วสะกิดเข้าที่ตุ่มไต พี่ธารกระตุกยิ้ม ดวงตาที่มองมาลุ่มลึก

     “อยากได้กูเป็นเมียก็พยายามหน่อยสิ เก่งไม่ใช่เหรอ เก่งนักก็หาทางเอาเอง” นิ้วยาวที่จับยอดอกบีบบี้เบาๆ อารมณ์ปั่นป่วนภายในอกทำให้ผมบิดตัวไปมา

     “อื้อ อย่าจับตรงนั้น”

     “ตรงไหน ตรงนี้เหรอ” แรงสะกิดรัวเร็วทำให้ผมพูดต่อไม่ออก ลิ้นร้อนที่ไล้เลียใบหูพาให้สติเลือนหายทีละนิด

     “พี่ธาร อย่า...”

     “อยากให้กูหยุดเหรอ แต่ตรงนี้ของมึงไม่บอกแบบนั้นนะ” พี่ธารเลื่อนมือไปกอบกุมส่วนลำตัวของผมที่แข็งขืนขึ้นมา ผมเบิกตากว้าง ตั้งใจจะปัดมือออก แต่แรงเคล้นคลึงจากฝ่ามือกลับทำให้หมดเรี่ยวแรง ทำได้แค่บิดตัวเร่าๆ

     “ว่าไง อยากให้หยุดไหม”

     “นะ...ไหนบอกว่าจะให้ผมทำไง”

     “แน่ใจเหรอว่าอยากทำเอง” พี่ธารล้วงมือไปในกางเกง กอบกุมแก่นกายของผมแล้วรูดรั้งเบาๆ ปลายลิ้นร้อนลากผ่านลำคอ กดจูบตรงหน้าอก ก่อนหันมาครอบครองเม็ดสีชมพูที่แข็งชูชัน ผมร้องเสียงหลง หัวสมองขาวโพลนไปหมด คิดอะไรไม่ออกอีกต่อไป

     “อื้อ! พะ...พี่ธาร อ๊า!” มือกับปากที่เล่นงานผมอยู่ทำเอาผมครางไม่เป็นภาษา ผมบิดตัวเร่า รู้สึกได้ว่าความต้องการกำลังปะทุขึ้นมา ผมเพิ่งรู้ว่าพี่ธารเก่งขนาดนี้ เก่งจนผมตามไม่ทัน ภาพทฤษฎีอันน้อยนิดที่สะสมในหัวหายไปหมดเมื่อเจอลีลาของจริงเข้าไป

     “ตกลงใครเป็นเมีย” คนถามไม่เปิดโอกาสให้ตอบ ขบเม้มยอดอกแล้วกัดเบาๆ

     “อื้อ!”

     “ตอบ”

     ผมหลับตาปี๋ นาทีนี้ช่างแม่งแล้ว เสียศักดิ์ศรีก็ยอมวะ ใครใช้ให้พี่ธารเก่งขนาดนี้ล่ะ

     “ผม...ผมเป็นเมียก็ได้”

     เสียงหัวเราะดังในลำคอ พี่ธารเคลื่อนหน้ามาใกล้ ดวงตาคมฉายแววขบขัน ผมเจ็บใจแต่ทำอะไรไม่ได้

     “แล้วกูเป็นอะไร”

     นี่จะเอาให้ได้เลยใช่ไหม จะให้ผมพูดคำนั้นจริงๆ สินะ ฝันไปเถอะไอ้พี่ธาร แค่นี้ผมก็อายแทบแทรกแผ่นดินแล้ว

     “อ๊ะ! ยะ...อย่า อื้อ!” ผมร้องเสียงหลงเมื่อมือที่อยู่ในกางเกงลูบไล้ส่วนหัวแล้วบดขยี้หนักๆ พี่ธารกระตุกยิ้ม ก้มหน้าลงมาจนชิด

     “ตอบมา”

     “ปะ...เป็นสามี”

     “เพราะไป”

     ไอ้พี่ธาร! ไอ้คนร้ายกาจ!!

     “อ๊า! พี่ธาร ผะ...ผมเสียว...”

     “พูดก่อนสิ แล้วกูจะทำให้”

     เอาก็เอาวะ เป็นไงเป็นกัน

     “เป็น...เป็นผัว พี่ธารเป็นผัว”

     “เด็กดี” ริมฝีปากร้อนประกบลงมา ขบกัดเบาๆ ให้เผยอปากออกก่อนส่งปลายลิ้นเข้ามาภายใน กวาดหาความหวานทุกซอกทุกมุม จูบของพี่ธารปลุกเร้าจนผมต้องยกมือขยุ้มกลุ่มผมอีกฝ่ายเพื่อระบายอารมณ์

     พี่ธารถอนหน้าออก หยาดน้ำใสไหลยืดตามออกมา เสื้อที่ผมใส่อยู่ถูกรูดออกไปทางศีรษะ ตามด้วยกางเกงและกางเกงใน พี่ธารโน้มตัวลงมา ริมฝีปากดูดเม้มซอกคอจนเกิดเสียงเบาๆ มือหนาลูบไล้ไปทั่วร่างเปลือยเปล่า ความร้อนของฝ่ามือทำให้ช่องท้องผมมวนไปหมด

     “อ๊ะ!”

     ร่างสูงเลื่อนมือไปกอบกุมแท่งเนื้อสีอ่อนของผมแล้วขยับขึ้นลง พี่ธารกดปากลงมาจูบบดเคล้า เสียงครางที่จะเปล่งออกมาจึงกลับเข้าไปในคอ ความวาบหวามที่แล่นผ่านทั่วร่างทำให้ผมเพิ่มแรงบีบของมือลงไปบนไหล่กว้าง

     “อะ...อื้อ...” ผมส่งเสียงร้องทั้งที่ลิ้นเราสองคนยังเกี่ยวกระหวัดกันอยู่ รู้สึกถึงปลายทางที่อยู่ไม่ไกล เหมือนพี่ธารจะรู้จึงเร่งจังหวะรัวเร็วขึ้น เพียงไม่นานหยาดน้ำสีขุ่นก็พวยพุ่งออกมาเต็มฝ่ามือใหญ่

     พี่ธารจูบขมับผมแรงๆ ก่อนผละออก จับขาผมพาดบ่า ยกสะโพกให้ลอยขึ้น ผมอายจนต้องยกมือปิดหน้า แต่อีกฝ่ายกลับเอื้อมมือมาเอามือออก พี่ธารส่งยิ้มให้ มันเป็นยิ้มที่อ่อนโยนจนผมไม่อาจละสายตา

     “อย่าปิด กูอยากเห็นหน้ามึง”

     “แต่...แต่ผมอาย...”

     “มึงในตอนนี้น่ามองที่สุดแล้ว” คำพูดที่แสนเถรตรงไม่ได้ทำให้ผมอายน้อยลง พี่ธารกระตุกยิ้ม โน้มตัวมาทาบทับริมฝีปากอีกครั้ง ผมกำลังเคลิบเคลิ้มไปกับจูบของพี่ธาร แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อรู้สึกถึงอะไรเย็นๆ ที่ถูไถไปมาตรงปากช่องทาง ผมถอนปากออกด้วยความตกใจ เหลือบไปมองด้านล่าง

     “พี่...พี่ธาร...”

     “กูไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้เลยไม่ได้เตรียมอะไรมา แต่จะพยายามทำให้เบาที่สุด” พี่ธารใช้น้ำลายป้ายลงไป ก่อนส่งนิ้วเข้าไปในช่องทาง ผมนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ มือที่อยู่บนไหล่ออกแรงดันคนด้านบน

     “ผะ...ผมเจ็บ”

     “ทนหน่อย เดี๋ยวก็ดีขึ้น”

     “แต่...แต่ผมกลัว” เสียงผมสั่นอย่างเห็นได้ชัด น้ำตาคลอเบ้า ความกลัวที่ไม่รู้จักถาโถมเข้ามา

     “มองตากู แล้วมึงจะหายกลัว”

     “ไม่หายหรอก มันจะหายได้ไง”

     “เอ๋อ”

     “ไม่เอา ไม่เอาแล้ว พี่ธารเอาออกไปเลย ผมไม่...”

     “ซนครับ”

     ผมหยุดนิ่ง เลิกโวยวาย ลืมตาขึ้นมองร่างสูงที่กำลังยิ้ม

     “เชื่อใจพี่นะครับ”

     แค่คำว่าพี่กับคำว่าครับ กลับทำให้ความกลัวมลายหายไปในพริบตา ผมสบตากับดวงตาอ่อนโยน รู้สึกได้ว่ามันอ่อนโยนกว่าทุกครั้ง พี่ธารก้มมาจูบซับน้ำตาเบาๆ สายตาที่มองมาบอกถึงความรักใคร่

     “พี่สัญญาว่าจะทะนุถนอมให้ดีที่สุด พี่รักซนนะ พี่ขอได้ไหมครับ”

     ไอ้พี่ธาร ไอ้คนขี้โกง มาพูดเพราะในเวลาแบบนี้ไม่คิดถึงใจคนฟังเลยใช่ไหม...

     ผมพยักหน้าช้าๆ ใจเหลวกลายเป็นน้ำเมื่อเจอคำพูดอีกฝ่ายเข้าไป พี่ธารยกยิ้ม นิ้วที่อยู่ภายในเริ่มขยับอีกครั้ง ผมกัดริมฝีปากข่มความเจ็บ พี่ธารอุตส่าห์อ่อนโยนเพื่อผม ผมอยากอดทนเพื่อเขาบ้าง

     “อ๊ะ!” ผมเด้งตัวขึ้นเมื่อนิ้วพี่ธารไปโดนอะไรบางอย่างเข้า ผมไม่รู้ว่าอะไรแต่จู่ๆ มันก็เสียวขึ้นมา

     “ตรงนี้เหรอ” พี่ธารสะกิดถี่ๆ ผมดิ้นทุรนทุราย รู้สึกเหมือนจะถึงฝั่งฝันทั้งที่เพิ่งเสร็จไป

     “พะ...พี่ธาร”

     “ครับ”

     “ผม...ผมไม่ไหว...”

     “พร้อมหรือยัง”

     ผมเม้มปาก ชั่งใจกับความลังเลที่ไหววูบเข้ามา แต่พอเงยหน้าสบตากับคนด้านบนความลังเลก็หายไป ผมพยักหน้าอย่างอายๆ พี่ธารยิ้มก่อนขยับกายเข้ามาชิด ถอนนิ้วออกไปแล้วแทนที่ด้วยบางอย่างที่ใหญ่กว่า

     “อื้อ!” ผมขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกถึงความคับแน่น พี่ธารก้มลงมาจูบปากคล้ายอยากปลอบประโลม

     “อย่าเกร็ง ผ่อนคลายครับ” ร่างสูงขยับสะโพกช้าๆ เนิบนาบแต่ชวนให้รู้สึกดีอย่างไม่เคยมาก่อน พี่ธารก้มมาอีกครั้ง ลิ้นสากไล้วนรอบตุ่มไต กัดเม้มเบาๆ สลับไปมาสองข้าง ทุกสัมผัสของพี่ธารค่อยๆ เปลี่ยนความเจ็บเป็นความเสียวซ่าน ผมจิกมือลงบนที่นอน ความต้องการในอกพุ่งทะยานขึ้นเรื่อยๆ

     “อะ...อา พะ...พี่ธาร อ๊า!” ผมครางลั่นเมื่อจังหวะกระแทกเร็วแรงขึ้น มันหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ จนผมเผลอยกมือจับส่วนอ่อนไหวของตัวเองรูดรั้งไปพร้อมกัน พี่ธารย้ายปากจากแผ่นอกมาประกบปากอีกครั้ง เราแลกลิ้นกันชุ่มจนเปียกไปหมดขณะที่ส่วนล่างยังคงกระแทกกระทั้น

     เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังผสานกับเสียงคราง ผมเร่งมือเป็นครั้งสุดท้าย ปลดปล่อยน้ำรักสีขาวออกมาอีกระลอก แรงรัดภายในทำให้พี่ธารคำรามในลำคอ ใบหน้าบิดเบี้ยวบอกผมว่าเขากำลังจะถึงฝั่งฝันเช่นกัน

     “อ๊า!” เสียงครางยาวดังขึ้น ก่อนพี่ธารจะดึงท่อนลำออก รูดรั้งไม่กี่ครั้งหยาดน้ำสีขุ่นก็พวยพุ่งออกมาเต็มหน้าท้อง พี่ธารล้มตัวทาบทับผม จูบลงมาบนขมับ ดึงผมเข้าไปกอดจนได้ยินเสียงหัวใจ

     “เจ็บมากไหม”

     “นิดหน่อยครับ” ที่จริงเจ็บมากเลยแหละ แต่ผมไม่อยากพูดให้พี่ธารรู้สึกไม่ดี

     “ขอบคุณนะเอ๋อ”

     “เรื่องอะไรครับ”

     “ที่เชื่อใจกู ให้กูได้รักมึง” สายตาที่มองลงมาชวนให้หน้าร้อนผ่าว ผมก้มหน้างุด ซุกเข้ากับอกแกร่ง

     “ผม...ก็รักพี่ธารเหมือนกัน”

     “พูดแบบนี้ระวังกูจะต่อรอบสอง”

     “อื้อ ไม่ไหวแล้วครับ แค่นี้ก็หมดแรงแล้ว”

     “หึๆ กูล้อเล่น” พี่ธารผละตัวออกไป ผมมองตามก่อนจะหันหนีแทบไม่ทัน ไอ้พี่ธารลืมเหรอว่าตัวเองล่อนจ้อนอยู่ ลงไปยืนข้างเตียงโทงๆ แบบนั้นได้ไงกัน

     “นอนไปก่อน เดี๋ยวกูเอาผ้ามาเช็ดตัวให้” พี่ธารพูดแค่นั้นก่อนหายไปในห้องน้ำ ผมหันไปมองอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจออกมา ล้มตัวลงนอนพร้อมกับยกมือก่ายหน้าผาก

     นี่มันผิดแผนที่ผมวางไว้ทั้งหมด ไม่มีอะไรสำเร็จเลยสักอย่าง บอกจะจับพี่ธารทำเมียแต่ดันเพลี่ยงพล้ำเป็นเมียเสียเอง แล้วอย่างนี้ผมจะเอาหน้าที่ไหนไปเจอเพื่อน ผมไม่ปฏิเสธว่าการอยู่ข้างล่างก็รู้สึกดีเหมือนกัน เรียกว่าโคตรดีเลย แต่การที่จู่ๆ ต้องมาอยู่ในสถานะนี้มันไม่ใช่อะไรที่จะยอมรับได้ง่ายๆ โดยเฉพาะหลังจากที่รู้ว่าต้องอยู่ไปตลอดเพราะไม่มีทางสู้ไอ้พี่ธารได้เนี่ยแหละ

     เอาเถอะ ตำแหน่งเมียพี่ธารก็คงไม่แย่ ในเมื่อเป็นไปแล้วก็คงต้องเป็นให้ถึงที่สุด และจริงๆ มันก็มีอย่างหนึ่งที่สำเร็จ ประโยคที่ว่ามาเสม็ดเสร็จทุกราย เสร็จสมคำร่ำลือจริงๆ ถึงคนที่เสร็จจะเป็นผมไม่ใช่พี่ธารก็เถอะ



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter :    earthxxide  (https://twitter.com/earthxxide? t=muF0165hiRexxkrO2QLULw&s=09)

     Fanpage :    Earthxxide  (https://www.facebook.com/earthxxide? mibextid=ZbWKwL)
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 30] ✪ 02/06/2023
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 02-06-2023 23:02:18
 :oo1: o13
หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 31] ✪ 04/06/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 04-06-2023 19:37:34
ตอนที่ 31
คำสามคำ


     -บอนด์-

     “เป็นอะไรหรือเปล่า” ผมถามคนที่กำลังเดินกลับห้องด้วยกัน น้องนายชะลอฝีเท้า หันมาเลิกคิ้ว

     “ถามผมเหรอครับ”

     “อยู่ด้วยกันสองคน ไม่ถามเราแล้วจะถามใคร”

     น้องนายหยุดเดิน ผมเลยต้องหยุดตาม คนถูกถามยกมือแตะหน้าผากตัวเอง ผมเลยต้องรีบขยายความเพิ่ม

     “ไม่ได้หมายถึงไม่สบายหรือเปล่า แต่หมายถึงมีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

     “ผมดูเหมือนคนกำลังมีเรื่องเหรอครับ” น้องนายตอบคำถามด้วยคำถาม ผมอยากยกมือตบหน้าผากแรงๆ บางทีความซื่อของเด็กคนนี้ก็ทำให้ผมไปไม่เป็น

     “ที่พี่จะถามคือ เรามีเรื่องคิดมากหรือไม่สบายใจหรือเปล่า” สาเหตุที่ผมถามเพราะหลังจากวันที่ผมบอกชอบน้องนายก็ดูแปลกไป ทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันน้องนายจะทำหน้าเหมือนคิดอะไรตลอดเวลา และที่ชัดเจนที่สุดคือน้องนายขอนอนห้องเดียวกับผม ไม่ใช่ว่าผมไม่ต้องการ แต่ผมแปลกใจ ปกติคนที่ควรพูดประโยคนั้นน่าจะเป็นผมที่กำลังตามจีบมากกว่า

     น้องนายร้องอ๋อก่อนเงียบไป หลุบตาลงต่ำ สักพักก็เงยหน้ามายิ้มให้ แต่เป็นยิ้มที่ผมไม่คุ้นตา

     “ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่กำลังทำให้ตัวเองหายโง่”

     “หมายความว่าไง” ผมขมวดคิ้ว นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมคาใจตั้งแต่ตอนเล่นเกม เท่าที่รู้จักกันมาผมมั่นใจว่าน้องนายไม่ใช่คนที่จะดูถูกใครแม้กระทั่งตัวเอง แล้วทำไมถึงบอกว่าตัวเองโง่

     “บอกไม่ได้ครับ ต้องรอให้ผมหายโง่ก่อน”

     “อย่าพูดถึงตัวเองแบบนั้น”

     “แบบไหนครับ” น้องนายเอียงคองง ก่อนจะเข้าใจในวินาทีถัดมา “ที่บอกว่าผมโง่เหรอครับ ไม่เป็นไรครับ ก็ผมโง่จริงๆ โง่มากด้วย”

     “นาย” ผมลงเสียงหนัก หวังให้คนตรงหน้ารู้ตัวว่าผมไม่ชอบให้พูดแบบนี้

     “ครับ?” ดวงตาใสที่มองมาทำให้ผมไปไม่เป็นอีกครั้ง ผมชอบคุยกับน้องนาย แต่หลายครั้งน้องนายก็ทำให้ผมไร้คำพูดเช่นกัน

     ผมเลิกอธิบาย เปลี่ยนชวนคุยเรื่องอื่นระหว่างเดินกลับห้องแทน ดูเหมือนวิธีนี้จะทำให้อีกฝ่ายเลิกว่าตัวเองได้ ซึ่งก็ดีแล้ว เพราะผมไม่ชอบให้ใครมาว่าคนที่ผมชอบว่าโง่ แม้จะเป็นตัวคนว่าเองก็ตาม ผมชักอยากรู้แล้วสิว่าเรื่องอะไรที่ทำให้น้องนายคิดแบบนี้ หวังว่าคงไม่มีใครมาพูดอะไรกับเด็กซื่อของผมหรอกนะ





     เพราะคำสั่งของซนทำให้ผมกับน้องนายต้องแยกตัวออกมา ผมรู้ว่าซนอยากให้เราสองคนปรับความเข้าใจกัน ซนคงรู้สึกเหมือนกันว่าน้องนายแปลกไป และคงคิดด้วยว่าสาเหตุมาจากผม ผมเองก็คิดแบบนั้น แต่ผมมั่นใจว่าไม่เคยทำอะไรให้น้องนายคิดมาก ผมชัดเจนมาตลอดว่าจริงจังกับเด็กคนนี้คนเดียว ดังนั้นเรื่องนอกลู่นอกทางตัดไปได้เลย

     “เป็นอะไร” ผมถามเมื่อคนข้างๆ เอาแต่หันไปมองบังกะโลที่อยู่ห่างออกไป เหมือนพะวงอะไรสักอย่าง

     “เป็นห่วงคุณซนครับ ป่านนี้ยังไม่ออกมาเลย ทานข้าวหรือยังก็ไม่รู้”

     “ไม่ต้องห่วงหรอก มีธารคอยดูแลทั้งคน” ผมพูดยิ้มๆ ตั้งแต่แยกกันเมื่อคืนผมก็ไม่เห็นหน้าเพื่อนตัวเองกับแฟนมันอีกเลย ซึ่งผมไม่แปลกใจเพราะเดาได้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น

     “ถ้าจะห่วงก็มาห่วงพี่ดีกว่า”

     “พี่บอนด์เป็นอะไรครับ”

     “ไม่ได้เป็น”

     “อ้าว แล้วจะให้ผมห่วงอะไรครับ”

     “ไม่ได้เป็นแต่อยากเรียกร้องความสนใจ” ผมดึงมือน้องนายมาจับ ไม่สนว่ารอบข้างคนเยอะแค่ไหน “เอาแต่มองอย่างอื่น ไม่เห็นมองพี่เลย พี่น้อยใจนะรู้ไหม”

     “ไม่เห็นต้องน้อยใจเลยครับ พักนี้ผมอยู่กับพี่มากกว่าเพื่อนอีก ผมว่าคนที่ควรน้อยใจคือคุณซนกับคุณผิงมากกว่านะครับ”

     ผมไม่รู้ว่าน้องนายพูดออกมาด้วยความรู้สึกอย่างไร แต่คำพูดนั้นทำให้ผมยิ้มกว้างกว่าเดิม ผมกระชับมือเล็กน้อย มือเล็กๆ ที่จับกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อ

     “ยังไงพี่ก็น้อยใจอยู่ดี นายต้องสนใจพี่มากกว่านี้ มองพี่มากกว่านี้ เข้าใจไหม”

     น้องนายหันมามอง มองนิ่งๆ จนผมต้องมองกลับไป

     “ผมเพิ่งรู้นะครับว่าพี่บอนด์เป็นคนเอาแต่ใจ”

     “ฮ่าๆๆ” ผมหลุดขำอย่างห้ามไม่อยู่ อยู่กับเด็กคนนี้ไม่เคยเบื่อเลยสักนิด น้องนายก้มมองมือที่จับกันอยู่ มองอยู่นานจนผมหยุดขำ ผมหยุดเดิน หันไปหาอีกคน

     “ไม่อยากจับก็ไม่เป็นไรครับ พี่เข้าใจ” พี่ปล่อยมือน้องนาย ถึงจะเสียดายความนุ่มที่ได้จับต้องแต่ก็รู้ว่าควรให้เวลาอีกฝ่าย น้องนายยังไม่ชิน และเราก็ไม่ได้อยู่กันสองคน ผู้ชายกับผู้ชายเดินจับมือกันบนชายหาด ใครเห็นก็คงคิดไปในทางเดียวกัน

     น้องนายเงยหน้ามาสบตา ก่อนสายตาจะตกลงมองมือผมอีกครั้ง สีหน้าครุ่นคิดบางอย่าง ผมกำลังจะชวนไปนั่งพักที่ร่มๆ แต่จู่ๆ คนตรงหน้าก็ดึงมือผมไปจับเหมือนเดิม

     “จับก็ได้ครับ ผมอยากจับมือพี่บอนด์”

     ผมเหมือนโดนชกใต้เข็มขัด นึกไม่ถึงว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้จากคนตรงหน้า แต่วินาทีถัดมาริมฝีปากก็ยกยิ้ม ผมไม่เคยอยากชมผู้ชายว่าน่ารัก แต่กับเด็กคนนี้ผมกลับอยากชมทุกวัน โดยเฉพาะเวลานี้

     “ไม่คิดว่าเราจะพูดอะไรแบบนี้”

     “มัน...แปลกเหรอครับ”

     ผมส่ายหน้าช้าๆ พลิกฝ่ามือมากุมมือเล็กเอาไว้ โน้มหน้าไปใกล้ก่อนกระซิบเสียงเบา

     “ไม่แปลก แต่น่ารัก พูดแบบนี้บ่อยๆ นะ พี่ชอบ”

     ผมถอนหน้าออกมา มองใบหน้าแดงซ่านตรงหน้าด้วยความพอใจ ถึงจะมีหลายอย่างที่สงสัย แต่อย่างน้อยผมก็ได้รู้ว่าความตั้งใจของผมไม่ได้สูญเปล่า วันนี้น้องนายอยากจับมือผม วันนี้น้องนายเขินผม อย่างน้อยความสัมพันธ์ของเราก็พัฒนาขึ้นมาอีกนิด ไม่ได้หยุดอยู่ที่เดิมเหมือนที่ผ่านมา





     “คุณซนเป็นไงบ้างครับ ขอโทษนะครับที่โทรมารบกวน”

     “คือ...ผมอยากปรึกษาอะไรหน่อยน่ะครับ”

     “จำวิธีพิสูจน์ของคุณผิงได้ไหมครับ”

     “ใช่ครับ ตอนที่คุณซนสับสนความรู้สึกตัวเองนั่นแหละครับ ผม...เอ่อ...ผมอยากถามว่าตอนนั้นคุณซนรู้สึกยังไงเหรอครับ”

     “อย่าเพิ่งแซวสิครับ ผมจริงจังอยู่นะ คุณซนช่วยผมหน่อยไม่ได้เหรอ”

     ผมเดินมาหยุดยืนข้างเตียง ใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมที่เพิ่งสระมา น้องนายกำลังนั่งหันหลังคุยโทรศัพท์กับเพื่อน ผมไม่รู้ว่าคุยอะไรกันแต่เหมือนจะเป็นเรื่องสำคัญ เพราะน้องนายดูจะจดจ่อกับบทสนทนาจนไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องน้ำของผม

     “นาย อาบน้ำได้แล้ว”

     !!!

     ผมคิดว่าตัวเองพูดโทนเสียงปกติ ไม่ได้เสียงดังหรือตะคอก แต่คนบนเตียงกลับหันขวับมามองด้วยดวงตาตื่น ละล่ำละลักบอกลาเพื่อนก่อนรีบวางสาย

     “พี่บอนด์...เอ่อ...อาบเสร็จแล้วเหรอครับ”

     “เสร็จแล้ว ไปอาบเร็วจะได้มานอน” พรุ่งนี้ทุกคนนัดกันไปดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า ผมเลยอยากให้น้องนายเข้านอนเร็วหน่อย

     “ครับ ผมจะรีบอาบนะครับ”

     “ไม่ต้องรีบก็ได้ เดี๋ยวพี่รอ”

     น้องนายหยิบเสื้อผ้ากับผ้าเช็ดตัวลวกๆ ก่อนเดินไปเข้าห้องน้ำเหมือนกลัวผมไม่รอ ผมขมวดคิ้ว รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายมีพิรุธแปลกๆ ไม่หรอกมั้ง ผมคงคิดไปเอง





     “พี่บอนด์หลับยังครับ”

     “ยัง มีอะไรหรือเปล่า” ผมหันไปหาคนข้างๆ มองผ่านความมืดเห็นคนถามกัดริมฝีปาก สีหน้าเหมือนขัดใจอะไรสักอย่าง

     “เปล่าครับ ว่าแต่วันนี้พี่บอนด์ไม่เพลียเหรอครับ แดดแรงทั้งวันเลย”

     “ห่วงพี่เหรอ” ผมยิ้มออกมา แค่คำถามง่ายๆ กลับทำให้รู้สึกดีอย่างเหลือเชื่อ

     “ห่วงสิครับ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าด้วย ผมว่าพี่บอนด์รีบนอนเอาแรงดีกว่านะครับ”

     “พี่ไม่เป็นไร เรานั่นแหละรีบนอน”

     “ผมยังไม่ง่วงครับ พี่บอนด์นอนก่อนเลย พี่นอนแล้วเดี๋ยวผมนอนตาม”

     ผมขมวดคิ้ว ครั้งเดียวไม่เท่าไหร่ แต่พอมากๆ เข้าผมก็เริ่มเอะใจ ผมคิดไปเองหรือเปล่าว่าน้องนายอยากให้ผมหลับให้ได้

     “งั้นพี่นอนก่อนนะ ฝันดีครับ”

     “ฝันดีครับ”

     ผมหลับตาลง วางมือประสานบนอก แกล้งหายใจสม่ำเสมอ ผ่านไปสักพักคนข้างๆ ก็ชะโงกหน้ามาใกล้เหมือนอยากดูว่าผมหลับแล้วหรือยัง ผมรู้ได้เพราะแอบลืมตาไว้นิดหนึ่ง พอมั่นใจว่าผมหลับแล้วน้องนายก็ลุกขึ้นนั่ง ค่อยๆ โน้มตัวมาหา แต่ไม่นานก็ถอยไปนั่งที่เดิม ก่อนจะโน้มมาใหม่แล้วถอยไปอีก เป็นอย่างนี้อยู่หลายครั้ง

     “มาถึงขั้นนี้แล้ว ห้ามถอยนะนาย คุณซนยังผ่านมาได้เลย” น้องนายพูดเสียงเบาเหมือนพูดกับตัวเอง แต่ผมได้ยินเพราะอยู่ใกล้ มาถึงตอนนี้ผมมั่นใจแล้วว่าน้องนายมีบางอย่างในใจแน่นอน ผมยังนอนนิ่ง รอดูว่าเด็กซื่อจะทำอะไรต่อ น้องนายยังยึกยักเหมือนอยากทำอะไรสักอย่างแต่ไม่กล้า แต่ในตอนที่ผมกำลังจะลืมตาแล้วถามออกไป คนที่นอนเตียงเดียวกันก็ทำในสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง

     น้องนายก้มมาแตะริมฝีปากกับปากผมเร็วๆ แล้วผละออก ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในหนึ่งวินาที เป็นหนึ่งวินาทีที่ทำเอาผมตกตะลึงไม่น้อย ผมเผลอลืมตา ก่อนจะรีบหรี่ตาให้เหมือนว่ายังหลับอยู่ น้องนายยกมือกุมอก หันมามองผมนิ่ง ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน

     “ใจเต้นแรงอย่างที่คุณซนบอกจริงๆ ด้วย”

     ผมไม่ได้ยินว่าน้องนายพูดอะไรอีกเพราะมันเบามาก เหมือนเจ้าตัวพูดอยู่ในคอ น้องนายโน้มหน้ามาใกล้ ผมเลยรีบหลับตาสนิท ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ เหมือนโล่งอกก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบลง ผมลืมตาอีกครั้ง ค่อยๆ หันไปหาอีกคน น้องนายหลับไปแล้ว พอรู้อย่างนั้นผมจึงลุกขึ้นนั่งแล้วชะโงกหน้าไปใกล้บ้าง

     ผมยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความสงสัยในหลายวันที่ผ่านมาเริ่มปะติดปะต่อเป็นรูปร่าง กำลังสับสนอยู่สินะ เพราะสับสนถึงอยากพิสูจน์ให้แน่ใจว่ารู้สึกยังไง ที่ว่าตัวเองโง่ก็เพราะเหตุผลเดียวกัน เขาว่ากันว่าถ้าเราชอบใครเราจะเข้าใจความคิดเขา ผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้ว่ามันคือเรื่องจริง น้องนายเป็นเด็กคาดเดายาก มักจะพูดหรือทำอะไรที่คนอื่นคาดไม่ถึง แต่ผมกลับเข้าใจความคิดของเด็กคนนี้ทุกอย่าง

     ผมขยับหน้าไปใกล้ ปลายจมูกเฉียดแก้มไปนิดเดียว กลิ่นแป้งเด็กลอยมาจางๆ ริมฝีปากผมแตะลงบนข้างแก้ม ผมยกยิ้มบาง ดวงตาที่มองคนหลับทั้งรักและเอ็นดู

     “รีบรู้ตัวเร็วๆ นะครับ พี่อยากเป็นแฟนเราใจจะขาดแล้ว”

     ว่าแต่...ผมปลุกน้องนายมารับผิดชอบได้ไหม บอกให้ผมรีบนอนแต่ดันมาทำแบบนี้ ไม่รู้หรือไงว่ามันทำให้ผมนอนไม่หลับ





     พวกผมเหมารถเที่ยวรอบเกาะ ส่วนใหญ่ก็หาทำเลถ่ายรูปกัน เป็นอีกวันที่เต็มไปด้วยความสนุก ตอนแรกลงมติกันไว้ว่ากลางคืนจะไปดูโชว์ควงกระบอกไฟ แต่เนื่องจากเที่ยวเพลินไปหน่อย สภาพแต่ละคนเลยดูไม่จืดเพราะเดินหามุมถ่ายรูปกันทั้งวัน เลยเปลี่ยนแผนมารวมตัวกันที่ห้องใครสักคนแทน

     “เอาหมอนกับผ้าห่มมานอนห้องกูเลยก็ได้นะ” ไกด์ว่าอย่างไม่จริงจัง ใช่แล้วครับ ห้องที่พวกผมเลือกมาสังสรรค์กันคือห้องมันกับปืนเหมือนคืนก่อน

     “ได้เหรอคะ” ผิงถามตาวาวๆ เล่นเอาคนพูดกลับลำแทบไม่ทัน ท่าทางลนลานปฏิเสธของไกด์เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคน ผมเคยคิดเล่นๆ ว่าถ้าคู่นี้เป็นแฟนกันจริงคงน่ารักดี

     คืนนี้ไม่มีแอลกอฮอล์ สิ่งที่สร้างสีสันในห้องจึงเป็นขนมขบเคี้ยวกับเรื่องที่แต่ละคนยกมาเล่า ผิงเสนอให้เล่นเกมเหมือนคืนก่อน แต่ซนคัดค้านสุดใจ หน้าแดงๆ ของซนทำให้ทุกคนรู้เหตุผลทันที จึงไม่มีใครคิดจะเล่นเกม

     “ไม่สนุกเหรอ” ผมถามคนข้างๆ ขณะที่ทุกคนต่างหัวเราะวีรกรรมโลดโผนตอนเด็กของผิง น้องนายกลับเอาแต่เหม่อลอย คิ้วย่นเข้าหากัน

     “สนุกครับ แต่ผมมีเรื่องให้คิดนิดหน่อย”

     ผมอมยิ้ม เหตุการณ์เมื่อคืนทำให้ผมพอเดาออกว่าเรื่องอะไร ผมกำลังจะบอกว่าไม่ต้องรีบคิด ผมรอได้เสมอ แต่จู่ๆ น้องนายก็หันตัวเข้าหาผม ขยับมาใกล้จนเข่าเราสองคนชิดกัน

     “แต่ผมคิดออกแล้วครับ ตอนนี้ผมหายโง่แล้ว”

     “หือ?”

     “ผมชอบพี่บอนด์”

     !!!

     ไม่มีการเกริ่นนำ ไม่มีสายตาหวานซึ้งหรือเขินอาย มีเพียงสายตานิ่งๆ ที่มองตรงมายังผม พร้อมกับคำพูดสามคำ

     ผมได้แต่จ้องหน้าน้องนาย ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา เพราะอีกฝ่ายพูดตอนผิงเล่าจบพอดี ทุกคนในห้องจึงได้ยินเหมือนที่ผมได้ยิน ผิงรีบเคลื่อนตัวมาใกล้น้องนาย ดวงตาที่มองเบิกกว้าง

     “เมื่อกี้มึงบอกชอบพี่บอนด์เหรอ!!” ผมรู้ว่าผิงได้ยินแล้ว แต่แค่อยากถามให้แน่ใจเพราะคงไม่นึกว่าน้องนายจะพูดออกมาเวลานี้ น้องนายทำหน้าอึกอัก ผมเห็นดังนั้นจึงหันไปบอกเพื่อน

     “กูขอตัวก่อนนะ”

     “ไปเถอะ” ธารตอบผมด้วยรอยยิ้มมุมปาก ผมดึงมือน้องนายให้ลุกขึ้นแล้วพาเดินออกมา ให้ตายเถอะเจ้าเด็กนี่ ทั้งชีวิตผมโดนบอกชอบมาเยอะ แต่ยังไม่เคยเจอใครแหวกแนวเท่าเด็กคนนี้มาก่อน





     “เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรครับ” ผมกลับเข้าเรื่องเดิมหลังพาน้องนายมาหยุดยืนริมชายหาด เสียงคลื่นซัดเข้าฝั่งลอยมาเข้าหูเป็นระยะ แต่ตอนนี้ผมรอฟังแค่ประโยคจากคนตรงหน้า

     “ผมชอบพี่บอนด์ครับ”

     ผมพยายามฝืนแล้วแต่มันอดหัวเราะไม่ได้จริงๆ ทำไมเจ้าเด็กนี่ถึงน่ารักนัก

     “เราจะบอกชอบพี่แบบนี้เหรอ”

     “แล้วผมต้องบอกแบบไหนเหรอครับ”

     คำถามคนตรงหน้าทำเอาผมหัวเราะหนักกว่าเดิม นั่นสิ ถ้าไม่บอกแบบนี้ก็คงไม่ใช่น้องนายที่ผมรู้จัก

     ผมใช้ปลายนิ้วดันคางน้องนายให้เงยขึ้น มองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น ดวงตาที่รู้สึกอย่างไรก็แสดงออกมาหมด ไม่โกหก ไม่เสแสร้ง ดวงตาที่ทำให้ผมตกหลุมรัก

     “บอกชอบพี่แบบนี้แปลว่าตอบได้แล้วใช่ไหม”

     “ตอบอะไรครับ”

     “คำถามที่พี่ให้เราเก็บไปคิดคราวก่อน” ผมยกยิ้ม มือที่จับคางเปลี่ยนเป็นลูบไล้แก้มเบาๆ “อยู่กับพี่แล้วมีความสุขไหม รู้สึกดีกับพี่บ้างหรือเปล่า”

     น้องนายหลุบตาลงต่ำ ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน สักพักก็เงยหน้าขึ้นมาใหม่พร้อมแก้มที่เปลี่ยนเป็นสีแดงจางๆ

     “ผมไม่รู้ว่าคำว่ามีความสุขกับรู้สึกดีของพี่บอนด์เป็นแบบไหน แต่ทุกครั้งที่อยู่กับพี่ผมรู้สึกอุ่นใจ สบายใจ พี่ทำให้ผมกล้าเป็นตัวของตัวเอง เวลาคุยกับพี่ผมสามารถพูดอะไรก็ได้โดยไม่ต้องกลัวว่าพี่จะโกรธหรือเข้าใจผิด และที่สำคัญ...” น้องนายยกมือแตะอกข้างซ้ายของตัวเอง

     “ตรงนี้มันมักจะเต้นแรงเวลาอยู่ใกล้พี่บอนด์ ตอนแรกผมนึกว่าตัวเองเป็นโรคหัวใจ แต่พอมาคิดดีๆ ผมถึงรู้ว่าผมชอบพี่บอนด์เข้าแล้ว”

     ผมไม่แน่ใจว่าควรซึ้ง ดีใจ หรือขำคำสารภาพที่ตรงยิ่งกว่าไม้บรรทัดของคนตรงหน้าดี แต่ที่แน่ๆ คือผมไม่สามารถกลั้นยิ้มได้เลย ผมรั้งน้องนายมากอด ความรู้สึกตื้นตันพุ่งขึ้นจนเต็มอก คำพูดของน้องนายอาจไม่หวานซึ้ง แต่มันเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ มันทำให้รู้ว่าผมเลือกรักไม่ผิดคน

     “เราบอกช้าไป ตอนนี้พี่ไม่ได้ชอบเราแล้ว”

     ผมรับรู้ได้ถึงแรงชะงักจากคนที่กำลังกอด น้องนายเงียบไปนานก่อนพูดขึ้นมา

     “พี่บอนด์...ไม่ชอบผมแล้วเหรอครับ” เสียงเล็กสั่นน้อยๆ คล้ายเจ้าตัวพูดด้วยความผิดหวัง

     “ใช่ ไม่ชอบแล้ว” ผมกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น “เพราะตอนนี้พี่เปลี่ยนมารักเราแทน”

     “…”

     “พูดอะไรบ้างสิ” ผมถอนตัวออก สบตากับคนตัวเล็ก สีหน้าน้องนายเหมือนปรับอารมณ์ไม่ถูก จากเศร้ากลายเป็นเขินกะทันหัน

     “เป็นแบบนี้เองสินะ”

     “หือ?” นี่ไม่ใช่ประโยคที่ผมคิดว่าจะได้ยินเวลานี้

     “ตอนพี่บอนด์พูดว่าไม่ชอบผมแล้ว ข้างในนี้มันเจ็บแปลกๆ” น้องนายยกมือแตะอกข้างซ้ายอีกครั้ง “นี่คงเป็นอาการของคนอกหักสินะครับ”

     “หึๆ แล้วรู้ไหมว่าทำไมเราถึงเจ็บ”

     “ทำไมครับ”

     ผมยิ้มมุมปาก โน้มหน้าไปกระซิบข้างหู “เพราะเราชอบพี่มากจนไม่อยากให้พี่เลิกชอบเราไง”

     น้องนายมองผมนิ่ง ไม่มีท่าทางเขินอายให้เห็นแม้แต่น้อย สักพักเจ้าตัวก็หลุดขำออกมา ดวงตาที่มองมาสว่างสดใส

     “คงจะเป็นอย่างนั้นครับ เพราะตอนพี่บอนด์เฉลยว่าไม่ชอบแต่รัก ผมรู้สึกดีมากๆ เลย”

     คำพูดใสซื่อที่ไม่มีการปรุงแต่ง พูดออกมาจากใจจริงทำให้ผมอดใจไม่ไหว ก้มลงไปทาบทับริมฝีปากบนปากเล็ก น้องนายตาโต ยกมือทาบอกผมเหมือนจะผลักออก แต่สุดท้ายก็ยืนนิ่ง ปล่อยให้ผมดูดซับความหวานจากกลีบปากนุ่ม

     “ตอนแรกพี่ว่าจะค่อยเป็นค่อยไป แต่เราอยากพูดจาน่ารักเอง” ผมพูดหลังถอนริมฝีปากออก เด็กซื่อหน้าแดงหูแดง ก้มหน้างุดไม่ยอมมองตา

     “ชอบไหม” ผมถามความรู้สึกคนตรงหน้า ไม่มีคำตอบให้ได้ยิน แต่ศีรษะที่ผงกขึ้นลงก็แทนคำตอบได้แล้ว ผมคลี่ยิ้ม รักคนโกหกไม่เป็นมันดีแบบนี้เอง

     “กลับกันเถอะ ออกมานานป่านนี้พวกนั้นแซวแล้ว” ผมยื่นมือไปตรงหน้า น้องนายมองมาเหมือนยังไม่หายเขินแต่ก็ยอมส่งมือมาให้จับ ผมยกมือแตะหลังให้ออกเดินพร้อมกัน น้องนายประสานมือเข้ากับมือผม ผมหันไปมองก่อนจะยิ้ม บีบกระชับมือเล็กกลับไป

     ที่ผ่านมาผมคิดว่าตัวเองชอบคนที่ความโดดเด่น แต่พอได้รู้จักน้องนาย ผมก็รู้ว่าความน่ารักที่ไม่ปรุงแต่งก็ทำให้ผมตกหลุมรักได้เช่นกัน





     “พี่บอนด์”

     “ครับ”

     “ผมบอกชอบพี่บอนด์ แต่ผมลืมขอพี่เป็นแฟน”

     “...”

     “เป็นแฟนกันนะครับ”

     เจ้าเด็กนี่! ให้ตายเถอะ!!



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter :    earthxxide  (https://twitter.com/earthxxide? t=muF0165hiRexxkrO2QLULw&s=09)

     Fanpage :    Earthxxide  (https://www.facebook.com/earthxxide? mibextid=ZbWKwL)
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 31] ✪ 04/06/2023
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 04-06-2023 20:43:28
 :z3: :z2:
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 31] ✪ 04/06/2023
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 05-06-2023 13:30:22
 :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 32] ✪ 05/06/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 05-06-2023 17:30:42
ตอนที่ 32
เผชิญหน้า


     การมาเที่ยวครั้งนี้มีทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดี แน่นอนว่าเรื่องดีคือพี่บอนด์กับน้องนายคบกัน (สักที) ไม่เสียแรงที่ผมเปิดโอกาสให้ปรับความเข้าใจกัน ส่วนเรื่องไม่ดี (สำหรับผม) คือการที่ทุกคนรับรู้สถานะของผมกับพี่ธารกันถ้วนหน้า ตั้งแต่วันที่ผมตกเป็นเมียพี่ธารจนถึงตอนนี้ผมเลยโดนผิงล้อเลียนไม่หยุด

     “หลีกทางหน่อยค่ะ สามีภรรยามาแล้ว” ผิงพูดเมื่อเห็นผมกับพี่ธารเดินมา ดูจากสายตาที่มองมาไม่ต้องถามก็รู้ว่ามันให้ใครเป็นสามี

     “คุณผิงอย่าแซวสิครับ คุณซนยังไม่ชิน ให้เวลาปรับตัวหน่อย” น้องนายพูดเหมือนหวังดี แต่ท่าทางรีบลุกไปนั่งอีกฝั่งเพื่อให้ผมกับพี่ธารนั่งข้างกันช่างไม่เข้ากันสักนิด เช้านี้ผมตื่นสายเลยมาทานข้าวช้ากว่าคนอื่น ดูจากจานอาหารแต่ละคนคงทานกันมาสักพักแล้ว

     “มึงนั่งไป เดี๋ยวกูตักมาให้” พี่ธารกดบ่าผมให้นั่งลงเหมือนเดิม จากที่จะลุกไปตักอาหาร พอพ้นสายตาคนตัวสูงเพื่อนผมก็มองมายิ้มๆ

     “แหม ดูแลดีอย่างกับไข่ในหินเลยนะยะ แต่อย่างว่าแหละ ใครจะปล่อยให้เมียตัวเองลำบาก”

     “เมียเลยเหรอผิง” พี่ปืนทำหน้าไม่ถูกกับสรรพนามก้าวกระโดดของเพื่อนผม

     “เอาเวลาแซวกูไปหาของตัวเองเถอะ ไม่เห็นเหรอว่ากูกับน้องนายแซงหน้ามึงไปแล้ว” อย่าคิดว่าผมจะยอมให้มันแซวอยู่ฝ่ายเดียว

     “ได้ยินแล้วใช่ไหมคะพี่ไกด์ เรามาเป็นแฟนกันเถอะค่ะ” คนที่ผมตั้งใจพูดให้เป็นเดือดเป็นร้อน กลับหันไปยิ้มเห็นฟันครบทุกซี่ให้คนที่นั่งตรงข้าม

     “พี่ว่าพี่นั่งเงียบๆ แล้วนะ ผิงปล่อยพี่ไปไม่ได้เหรอ” สีหน้าไปไม่เป็นของพี่ไกด์ทำเอาทุกคนขำกันพร้อมเพรียง

     “ปล่อยได้ยังไงคะ พี่ไกด์ทั้งหล่อ นิสัยดี สุภาพบุรุษ ใครๆ ก็อยากได้เป็นแฟน แถมทริปนี้มีแค่เราสองคนที่โสด พี่ไม่คิดว่ามันคือบุพเพสันนิวาสเหรอคะ”

     ผมว่าสำหรับพี่ไกด์ไม่น่าจะใช่บุพเพสันนิวาสแต่เป็นเวรกรรมมากกว่า บางทีผมก็กลัวว่าพี่แกจะเก็บคำพูดเพื่อนผมไปฝันร้ายในสักวัน

     พี่ธารเดินกลับมาพร้อมจานใส่อาหาร พอเห็นสิ่งที่พี่มันตักมาให้ผมก็นิ่วหน้าทันที ไอ้พี่ธารแกล้งกันหรือไง เนื้อนิดเดียวแต่ผักโคตรเยอะ แล้วดันเป็นผักที่ผมไม่ชอบด้วย

     “ถ้ากินหมดจะพาไปเที่ยวอีก” เสียงทุ้มรีบบอกเหมือนรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ จากที่จะลุกไปตักใหม่ผมเลยต้องหยุดพิจารณาข้อเสนอล่อตาล่อใจ

     “ครั้งหน้าผมขอไปน้ำตกได้ไหม” ผมลองถามหยั่งเชิง

     “กูพาไปได้ทุกที่” คำตอบของร่างสูงพาให้ผมยิ้มกว้าง ยอมตักผักที่แสนจะเกลียดเข้าปาก ล้มเลิกความคิดที่จะไปตักจานใหม่ พี่โอปอล์หัวเราะเบาๆ ดวงตาที่มองมาขบขัน

     “ธารนี่ไม่เบาเลยแฮะ คุมแฟนซะอยู่หมัดเชียว ทำไมแฟนเราไม่เชื่อฟังแบบนี้บ้างนะ”

     “โอปอล์ครับ ผมนั่งอยู่นี่เผื่อคุณลืม”

     ทั้งโต๊ะหัวเราะครืนกับคำพูดของพี่โอปอล์กับพี่ปืน ผิงหันไปหาพี่บอนด์ ยิ้มเจ้าเล่ห์

     “พี่บอนด์อย่ายอมนะคะ คุมน้องนายให้ได้ เพื่อนผิงคุมไม่ยากค่ะ มันซื่อจะตาย”

     พี่บอนด์หัวเราะในคอ ยกมือลูบหัวเพื่อนผม สายตาที่ทอดมองทั้งอ่อนโยนและอบอุ่น “สายไปแล้วล่ะผิง ดูเหมือนคนที่ถูกคุมจะเป็นพี่มากกว่า รักจนยอมได้ทุกอย่างแล้ว”

     ทั้งสีหน้า คำพูด สายตาของพี่บอนด์ ผมมั่นใจว่าถ้าเป็นผู้หญิงทั่วไปไม่มีทางรอดแน่นอน แต่เพราะคนที่พี่บอนด์พูดคือน้องนาย ปฏิกิริยาที่ได้รับจึงมีเพียงรอยยิ้มกว้าง แต่ถึงอย่างนั้นคนพูดก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเข้าใจว่าน้องนายเป็นแบบนี้ มันทำให้รู้ว่าพี่บอนด์รักเพื่อนผมจริงๆ

     “โอ๊ย หวานเกินไปแล้วนะคะ ไม่สงสารคนโสดกันบ้างเลย พี่ไกด์อยากโดนจีบแบบไหนบอกมาเลยค่ะ ผิงอยากจีบติดเร็วๆ แล้ว”

     “ผิง พี่ขอ เมตตาพี่สักวันเถอะ” ท่ายกมือไหว้ท่วมหัวของพี่ไกด์ทำให้บรรยากาศซึ้งเปลี่ยนเป็นเฮฮาในพริบตา ผมไล่สายตามองทุกคนรอบโต๊ะ รู้สึกอยากรักษาบรรยากาศแบบนี้ไปตลอด ภาพรอยยิ้มของทุกคนชวนให้อบอุ่นหัวใจ นี่คือภาพที่ผมอยากเห็นในทุกๆ วัน

     สายตาผมหยุดอยู่ที่คนข้างๆ ผมสบตากับพี่ธาร รอยยิ้มอ่อนโยนถูกส่งมาให้ ดูเหมือนภาพนี้ผมจะได้เห็นทุกวัน แต่ผมก็ไม่เคยเบื่อที่จะมองเลย





     หลังกลับมาจากเสม็ดชีวิตผมก็ดำเนินไปอย่างปกติ ที่ต่างไปจากเดิมคือพักนี้ผมแทบไม่ได้อยู่บ้านตัวเอง พี่ธารแทบไม่ปล่อยให้ผมไปไหน เราตัวติดกันแทบยี่สิบสี่ชั่วโมง อย่างเวลานี้ที่ผมกำลังโดนพี่ธารกอดแนบแน่นปานจะกลืนกิน

     “พี่ธาร” ผมเรียกคนที่กำลังหลับสบาย โดยไม่ได้รู้เลยว่าแฟนตัวเองกำลังจะขาดอากาศหายใจเพราะกอดแน่นเกิน

     “…”

     “พี่ธาร กอดแน่นเกินไปแล้ว” ผมพูดเสียงดังกว่าเดิม เสียงครางเบาๆ เล็ดลอดมาจากคออีกฝ่าย วงแขนคลายลงเล็กน้อยแต่ยังไม่ยอมยกออกไป

     ผมเงยหน้ามองคนหลับที่ไม่ว่าจะเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น ไม่บ่อยที่ผมจะตื่นก่อนพี่ธาร และทุกครั้งที่ตื่นผมก็มักจะเจอเหตุการณ์แบบนี้เสมอ

     “พี่ธาร” ผมลองเรียกอีกครั้ง แต่ผลลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิม ผมนิ่วหน้าอย่างหงุดหงิดนิดๆ โน้มหน้าไปใกล้แล้วจัดการงับจมูกโด่งเป็นสันของอีกฝ่าย

     “โอ๊ย!” ได้ผลชะงัด ไอ้พี่ธารตื่นในพริบตา แต่สงสัยผมจะกัดแรงไปหน่อย คนโดนกัดเลยมองมาอย่างดุๆ “เอ๋อ ทำอะไรเนี่ย!”

     “ก็ผมเรียกแล้วพี่ไม่ยอมตื่นอะ”

     พี่ธารหันไปมองนาฬิกาก่อนขมวดคิ้ว “เพิ่งเจ็ดโมง มึงจะปลุกกูมาบิณฑบาตหรือไง”

     “ใช่ที่ไหนเล่า พี่กอดผมแน่นจนผมเผลอตื่นต่างหาก”

     แทนที่จะเอามือออกไป คนโดนว่ากลับเพิ่มแรงรัดมากขึ้น พี่ธารกอดผมแรงๆ ก่อนคลายออกเล็กน้อย

     “พี่! แกล้งผมเหรอ”

     เสียงหึดังมาจากลำคอพร้อมรอยยิ้มมุมปาก “ทำไม กูชอบกอดแรงๆ มีปัญหาเหรอ”

     “ไม่กลัวผมจะตายคาอกพี่เหรอ”

     “หึๆ ตายดีเกินไปหรือเปล่า”

     ผมย่นจมูกให้คนหลงตัวเอง ขยุกขยิกตัวจะออกจากอ้อมกอด แต่ไอ้พี่ธารกลับไม่ยอมปล่อย

     “พี่ปล่อย ผมจะไปเข้าห้องน้ำ”

     “ไม่ ให้มันราดบนเตียงนี่แหละ”

     ตื่นมาไม่ทันไรก็แกล้งซะแล้ว พี่มันไปเอานิสัยขี้แกล้งมาจากไหนวะ

     “พี่ชอบแกล้งว่ะ”

     “ว่ะกับใคร”

     “กับพี่ไง โอ๊ย!” ผมร้องเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็มาดีดปาก

     “พูดให้มันเพราะๆ หน่อย”

     “ทีพี่ยังพูดไม่เพราะเลย แถมยังแกล้งผมอีก”

     “ทำไม แกล้งนิดแกล้งหน่อยไม่ได้เหรอ” คนขี้แกล้งซุกหน้าลงมาตรงซอกคอ มือที่กอดเอวก็เริ่มซุกซนไปทั่ว ผมหัวเราะลั่นเพราะจั๊กจี้ พี่ธารที่เห็นผมบ้าจี้เลยเอาใหญ่

     “พี่ธารพอแล้ว ผมจั๊กจี้”

     “ไม่”

     “ผมฉี่จะเล็ดแล้วววว”

     คนตัวสูงทำหูทวนลม ยังคงเดินหน้าแกล้งต่อไป จนผมต้องตะครุบมือใหญ่ไว้พี่มันถึงจะหยุด ผมหอบหายใจเพราะเพิ่งผ่านการหัวเราะหนักมา

     “ขี้แกล้ง” ผมบ่นอุบ พี่ธารยิ้มมุมปากพลางโน้มหน้าลงมา ผมหลับตาปี๋เพราะนึกว่าจะโดนแกล้งอีก แต่สัมผัสเบาๆ ที่แก้มทำให้ต้องลืมตา

     “แกล้งแต่มึงนี่แหละ กับคนอื่นกูแกล้งแบบนี้ที่ไหน”

     “บางทีผมก็คิดว่าพี่เกลียดผมหรือเปล่า”

     “ไม่ได้แกล้งเพราะเกลียด แต่แกล้งเพราะรัก”

     “…”

     “อยากให้กูหยุดแกล้งก็เลิกน่ารักดิ มึงทำได้ไหมล่ะ”

     อย่าถามว่าทำไมผมถึงไม่โต้ตอบ เสียงผมลอยหายไปพร้อมสติเรียบร้อยแล้ว ไอ้พี่ธารนอกจากขี้แกล้งแล้วยังเจ้าเล่ห์อีก ตบหัวแล้วลูบหลังแบบนี้ใครจะไปสู้ได้

     “ผม...ผมจะไปเข้าห้องน้ำ” ผมอ้อมแอ้มพูดเสียงเบา

     “อยากให้ปล่อยเหรอ”

     “ก็ถ้าพี่ไม่ปล่อยผมจะไปเข้าห้องน้ำได้ไง”

     พี่ธารไม่พูดอะไร แต่เอียงแก้มมาทางผม ผมย่นคิ้วงง จนกระทั่งพี่มันพูดขึ้นมาเลยเข้าใจ

     “อยากให้ปล่อยก็ต้องมีของแลกเปลี่ยน”

     ของแลกเปลี่ยนอีกแล้ว ชีวิตนี้พี่ไม่รู้จักคำว่าไม่หวังผลตอบแทนเลยเหรอวะ

     ผมอยากเปลี่ยนจากหอมแก้มเป็นกัดแก้มแรงๆ อีกสักที แต่เนื่องจากปวดเบามาสักพักแล้วเลยคิดว่าหอมให้จบๆ ไปดีกว่า ผมชะโงกหน้าไปหอมแก้มแรงๆ พี่ธารยิ้มพอใจก่อนจะเอาแขนออก ผมรีบก้าวลงจากเตียงเพราะกลัวราดกางเกง แต่ตอนที่กำลังจะเดินเข้าห้องน้ำเสียงทุ้มก็ดังขึ้นมา

     “รีบมาล่ะ กูอยากกอดมึงต่อ”

     ไอ้พี่ธาร! ไม่คิดจะให้ผมหายใจหายคอเลยใช่ไหม!!





     ผมนอนเหยียดขาบนโซฟา หัวหนุนตักพี่ธารอยู่ ตรงหน้าคือหนังฝรั่งที่ทางเคเบิลเอามาฉาย เป็นเรื่องที่ผมอยากดูมานาน

     “เอ๋อ”

     “ครับ” ผมขานรับขณะที่ตายังมองทีวี

     “มะรืนนี้พ่อแม่กูจะกลับมาแล้ว”

     “ผมรู้แล้ว พ่อโทรมาบอก พ่อแม่ผมก็กลับมาพร้อมพ่อแม่พี่นั่นแหละ”

     “กูจะบอกพวกท่านว่าเรากำลังคบกัน”

     ผมเด้งตัวขึ้นนั่งอัตโนมัติ เลิกสนใจหนังไปในพริบตา ผมเงยหน้ามองตาพี่ธาร ดวงตาคู่นั้นไม่มีแววล้อเล่น

     “พี่...พูดจริงเหรอ” เสียงผมเบาอยู่ในลำคอ

     “จริง”

     หน้าผมซีดอย่างเห็นได้ชัด ที่ผ่านมาผมไม่เคยคิดเรื่องนี้เลยยังไม่ได้เตรียมใจ เหมือนพี่ธารจะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ มือหนาจึงดึงมือผมไปกุมแล้วบีบเบาๆ

     “กลัวอะไร กูอยู่ตรงนี้ทั้งคน”

     “พี่ไม่กลัวเหรอ”

     “กลัวสิ” พี่ธารยิ้ม “เผลอๆ กูกลัวมากกว่ามึงอีก ยังไม่ทันได้บอกผู้ใหญ่ก็เอาลูกเขามาเป็นเมียแล้ว ถ้าอาไพโรจน์รู้คงเอากูตาย”

     ผมส่งค้อนให้คนตรงหน้า เวลาแบบนี้ยังจะพูดเล่นอีก

     “ถ้ากลัวแล้วทำไมถึงบอก”

     “เพราะกูรักมึงมากกว่าจะคบแบบหลบๆ ซ่อนๆ”

     เสียงพูดพี่ธารแม้ไม่หวานซึ้งแต่ก็เปี่ยมไปด้วยความหนักแน่น ดวงตาคู่นั้นทำให้ความกังวลในใจลดฮวบลงไป แค่มองตาก็รับรู้ได้ถึงความรักที่พี่ธารมีให้

     “ถ้าพ่อแม่ไม่เห็นด้วยล่ะ”

     “กูก็จะทำทุกทางให้พวกเขายอมรับความรักของเรา”

     “พี่จะไม่ถอดใจใช่ไหม”

     “กูรักมึงขนาดนี้ มึงคิดว่ากูจะถอดใจเหรอ”

     ผมมองเข้าไปในตาของพี่ธาร ความรู้สึกที่สะท้อนอยู่ในนั้นทำให้ภายในอกอบอุ่นขึ้นมา พี่ธารขยับมาใกล้ ดึงมือผมขึ้นชิดริมฝีปาก การกระทำที่ไม่เห็นบ่อยนักพาให้ผมหน้าร้อนผ่าว

     “ซน กูรักมึง ไม่ว่าทางข้างหน้าจะมีอะไรรออยู่ กูสัญญาว่าจะไม่ปล่อยมือ เชื่อใจกูได้ไหม”

     “ผม...”

     “นะครับ เชื่อใจพี่”

     อีกแล้ว พี่ธารขี้โกงอีกแล้ว...

     “ผม...ผมเชื่อใจพี่ธาร”

     “ขอบคุณครับ” พี่ธารโน้มหน้าลงมา จรดริมฝีปากบนหน้าผากแผ่วเบา สายตาเราประสานกัน มือที่จับกันอยู่กระชับแน่น

     ผมยังคงกลัว แม้พี่ธารจะพูดปลอบใจก็ยังไม่หายกลัว แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือผมกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความกลัวนั้น พี่ธารรักผม ผมก็รักพี่ธาร เราต่างคนต่างรักเหมือนกัน แล้วจะให้พี่ธารเผชิญหน้าคนเดียวได้ยังไง

     อย่าปล่อยมือผมนะพี่ธาร เพราะผมก็จะไม่ปล่อยมือพี่เหมือนกัน



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter :    earthxxide  (https://twitter.com/earthxxide? t=muF0165hiRexxkrO2QLULw&s=09)

     Fanpage :    Earthxxide  (https://www.facebook.com/earthxxide? mibextid=ZbWKwL)
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 32] ✪ 05/06/2023
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 05-06-2023 20:21:46
 :a5: :z6:
หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 33] ✪ 06/06/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 06-06-2023 18:53:52
ตอนที่ 33
สิ่งที่ต้องก้าวผ่าน


     “มีอะไรว่ามา บอกก่อนว่าถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญกูถีบ” ผิงถามถึงเรื่องร้อนรนใจที่ผมต้องนัดมันกับน้องนายออกมา ตอนที่ผมโทรไปผิงกำลังจะดูหนังที่รอเข้าโรงฯ มานาน ผมไม่อยากรบกวนเวลาเพื่อนแต่ครั้งนี้มันจำเป็นจริงๆ

     “พรุ่งนี้พ่อแม่กูจะกลับมา”

     “ครับ” น้องนายขานรับ

     “พ่อแม่พี่ธารก็กลับมาเหมือนกัน”

     “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่มึงเรียกพวกกูมาหา”

     “พี่ธารจะบอกเรื่องที่เราคบกันกับพ่อแม่”

     “เหรอ ก็ไม่เห็นเกี่ยวกับพวกกูอยู่ดี” ผิงยกกาแฟขึ้นดื่มก่อนจะสำลักออกมา ไอไปด้วยมองหน้าผมอย่างตกใจไปด้วย “มึงว่าไงนะ!”

     “พี่ธารจะบอกเรื่องที่คบกับคุณซนกับคุณพ่อคุณแม่ครับ” น้องนายทวนประโยคให้ผมเสียจนครบ ไม่มีตกหล่นแม้แต่คำเดียว เลยโดนผิงหันไปมองค้อน

     “กูได้ยินแล้ว แค่ตกใจเฉยๆ ย่ะ”

     “ตกใจทำไมครับ ผมไม่เห็นตกใจ”

     “กูไม่ได้ต่อมความรู้สึกช้าเหมือนมึง”

     “ใช่เรื่องนั้นที่ไหนครับ ที่ผมไม่ตกใจเพราะเดาได้อยู่แล้วว่าพี่ธารจะบอกคุณพ่อคุณแม่ คุณผิงคิดว่าคนอย่างพี่ธารจะคบคุณซนเล่นๆ เหรอครับ”

     “นั่นมันก็จริง แต่นี่มันปุบปับเกินไป พรุ่งนี้แล้วนะเว้ย”

     “คุณซนกำลังกังวลอะไรครับ” น้องนายหันมาถาม

     “มึงไม่ต้องตอบ กูตอบให้ มึงกำลังกลัวว่าพ่อแม่จะไม่ยอมรับความรักของมึงใช่ไหม”

     ผมได้แต่พยักหน้า สิ่งที่ผิงพูดคือสิ่งที่ผมกลัวมาตลอดทั้งคืน

     “แต่พ่อแม่มึงก็ดูใจดีนี่ มันอาจไม่เป็นอย่างที่มึงกลัวก็ได้” ผิงกับน้องนายเคยไปบ้านผมหลายครั้งเลยสนิทกับพ่อแม่ผม

     “แต่นี่มันเรื่องใหญ่ กูไม่รู้ว่าพ่อแม่จะโอเคหรือเปล่าที่กูคบผู้ชายด้วยกัน ไหนจะพ่อแม่พี่ธารอีก”

     “มึงอย่าเพิ่งสติแตก ถึงจะปุบปับไปหน่อยแต่ก็ยังมีเวลา มาซ้อมกันดีกว่า”

     “ซ้อมอะไรครับ”

     “ซ้อมรับมือสถานการณ์จริง” ผิงยกมือกระแอมไอ วางท่าจริงจัง “มา กูเป็นแม่พี่ธารให้ เดี๋ยวกูจะช่วยสร้างความมั่นใจให้มึงเอง”

     “กูว่าน้าพรสวยกว่านี้นะ”

     “ไอ้ซน กูกำลังจะช่วยมึงยังเสือกมาว่าอีก เดี๋ยวก็ไม่ช่วยซะเลย”

     ผมรีบยกมือไหว้เมื่อเพื่อนรักทำหน้าจริงจัง ถึงไม่เห็นว่ามันจะช่วยอะไรได้แต่นาทีนี้อะไรทำได้ผมก็คงต้องทำไปก่อน

     “มา เริ่มเลย กูพร้อมแล้ว”

     “เธอคบกับลูกชายฉันเหรอ” ผิงเก๊กเสียงเข้มที่ฟังยังไงก็น่าขำมากกว่าน่ากลัว

     “กูว่าน้าพรไม่พูดห่างเหินกับกูแบบนี้นะ”

     “ขัดกูจริง” ผิงบ่นแต่ก็ยอมเปลี่ยนรูปประโยค “ซนคบกับลูกน้าเหรอ”

     “…”

     “ไม่ตอบล่ะวะ”

     “กูไม่รู้จะตอบอะไร” ผมพูดอย่างหมดท่า นี่เป็นคำถามที่ผมรู้ว่าต้องเจอแน่นอนแต่ไม่รู้จะตอบอย่างไร คำตอบน่ะมีอยู่แล้ว แต่จะตอบยังไงนี่สิ ถ้าผมตอบว่าคบกันแล้วพ่อแม่สั่งให้เลิก ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะรับไหวไหม

     “มันจะไปยากอะไร มึงแค่ตอบว่าใช่ครับ”

     “ผมว่ามันดูห้วนไปนะครับ เอาเป็น ครับ ผมคบกับพี่ธารอยู่ครับ แบบนี้ดีกว่านะครับ” น้องนายผู้เรียบร้อยที่สุดในกลุ่ม เสนอประโยคที่ยิ่งกว่าทางการออกมา

     “เอาอย่างที่น้องนายว่าก็ได้ ไหนมึงลองพูดซิ”

     “ครับ ผมคบกับพี่ธารอยู่ครับ”

     “อย่าพูดหงอๆ แบบนั้น มึงต้องพูดด้วยเสียงมั่นคงมั่นใจแต่ก็ไม่แข็งกระด้างเกินไป เอาใหม่”

     “ครับ ผมคบกับพี่ธารอยู่ครับ” ผมปรับโทนเสียงตามที่เพื่อนแนะนำ

     “ดีมาก ทีนี้ถ้าแม่พี่ธารพูดว่า แต่น้าไม่อยากให้ลูกน้าคบผู้ชายด้วยกัน มึงจะทำยังไง”

     “คุณผิงใจร้ายไปไหมครับ คุณแม่พี่ธารอาจไม่ได้คิดแบบนั้นก็ได้”

     “น้องนายมึงอย่าเพิ่งมาปกป้องแม่ผัวเพื่อน เวลานี้เราต้องช่วยไอ้ซนก่อน ว่าไง ถ้าแม่พี่ธารพูดแบบนี้มึงจะตอบว่า?”

     “…”

     “โอเค กูลืมไปว่าต้องคิดไดอะล็อกให้มึง” ผิงพูดเมื่อเห็นหน้าเอ๋อๆ ของผม มึงเข้าใจกูหน่อย ตอนนี้กูมืดแปดด้านคิดอะไรไม่ออก

     “ในกรณีนี้มึงควรตอบว่า ถึงผมกับพี่ธารเป็นผู้ชายเหมือนกันแต่เราก็รักกันจริงๆ นะครับ ความรักของเราสองคนไม่ได้ด้อยไปกว่าใครเลย”

     “ผมว่ามันแปลกๆ นะครับ” น้องนายพูดขึ้นมา

     “แปลกยังไง”

     “ไม่รู้สิครับ ผมอธิบายไม่ถูก ผมว่าคำพูดมันควรอ่อนน้อมกว่านี้อีกนิด”

     “แต่กูว่าถ้าจะให้แม่พี่ธารยอมรับก็ต้องพูดจาฉะฉานแบบนี้แหละ สิ่งสำคัญคือความมั่นใจ มึงต้องทำให้แม่พี่ธารเห็นว่ามึงรักพี่ธารจริงๆ มึงทำได้ไหม”

     “กู...”

     ป้าบ!

     “โอ๊ย! ตีกูทำไม” จู่ๆ ผิงก็มาตีหลังผมเสียงดัง เล่นซะหลังเกือบหัก

     “มัวแต่ติดอ่างแบบนี้แม่ผัวที่ไหนจะยกลูกให้ มั่นใจในตัวเองหน่อย”

     “เออ กูทำได้”

     “ดี จำไว้ว่าห้ามเหลาะแหละ อกยืดหลังตรงเข้าไว้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไปแข็งกระด้างกับเขานะ พยายามทำตัวให้ผู้ใหญ่เอ็นดู กูเชื่อว่าแม่พี่ธารคงไม่ใจร้ายแบบที่กูแสดงหรอก”

     นี่คำแนะนำหรือสมการอัลกอริทึม ทำไมมันยากแบบนี้ ผมอยากเถียงว่ามันยากเกินไป แต่เห็นแก่ความหวังดีของเพื่อนผมจึงพยักหน้าหงึกๆ แทน

     เอาเถอะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เอาแต่กลัวไปก็เท่านั้น ผมตั้งใจแล้วว่าจะเผชิญหน้าไปพร้อมพี่ธาร ผมต้องผ่านมันไปให้ได้





     ผมกุมมือตัวเองที่อยู่ใต้โต๊ะ มันสั่นจนรู้สึกได้ มือทั้งสองชื้นไปด้วยเหงื่อ ความตื่นเต้นกับความกลัวผสมกันจนแยกไม่ออก

     “ซนอยู่กับพี่เขาเป็นเด็กดีใช่ไหม ไม่ใช่ว่าไปดื้อให้พี่เขาปวดหัวนะ” แม่ผมถามขึ้นมา เรากำลังทานข้าวกันในบ้านผม แม่บอกว่าอยากเลี้ยงอาหารขอบคุณพี่ธารที่ช่วยดูแลผมมาตลอดสามเดือน

     ตอนนี้ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า ผม พี่ธาร พ่อแม่ผม พ่อแม่พี่ธาร ในสายตาคนอื่นอาจเหมือนการมาดูตัว แต่สำหรับผมมันคือวันสิ้นโลก

     “ซนไม่ดื้อเลยครับคุณน้า ผมพูดอะไรก็เชื่อฟังทุกอย่าง” ขณะที่ผมกำลังจะตอบ คนข้างๆ ก็ชิงตอบให้ ผมหันไปมอง พี่ธารยิ้มกลับมาพร้อมกับดึงมือผมไปกุมหลวมๆ เหมือนเขาจะรู้ว่าผมกำลังประหม่าเลยไม่อยากให้ผมพูดเยอะ

     “ที่ธารพูดมาฟังไม่เหมือนลูกอาเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจอากับน้า เล่ามาเถอะว่าเจ้าซนก่อวีรกรรมอะไรบ้าง”

     “พ่อก็ ถึงผมจะชื่อซนแต่ก็ไม่ได้ซนขนาดนั้นเสียหน่อย ผมโตแล้วนะครับ” ผมบ่นอุบ เสียงหัวเราะของผู้ใหญ่ในห้องอาหารดังขึ้น ผมอยากให้บรรยากาศตอนพวกท่านรู้ว่าผมกับพี่ธารคบกันเป็นแบบนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าถึงตอนนั้นจะมีใครหัวเราะออกไหม

     “ซน น้ามีอะไรจะถามหน่อย”

     “ครับ” ผมขานรับน้าพร หลังยืดตรงอัตโนมัติ มือที่ถูกพี่ธารกุมอยู่กระตุกเล็กน้อย มาแล้วสินะ ช่วงเวลาที่ผมทั้งอยากและไม่อยากให้มาถึง ผมพยายามท่องสคริปต์ที่ซักซ้อมมากับเพื่อนอย่างดี สู้เว้ยไอ้ซน

     “ได้ข่าวว่าซนมานอนกับธารแทบทุกวัน”

     “ครับ ผมคบกับพี่ธารอยู่ครับ”

     “…”

     “…”

     เหี้ย!! ผมรีบยกมือตะครุบปากตัวเอง แต่ดูจากสีหน้าแต่ละคนแล้วบอกได้คำเดียวว่าไม่ทัน ผู้ใหญ่ทั้งสี่มองมาด้วยสายตาตกใจ ไม่เว้นแม้แต่พี่ธาร ผมลอบกลืนน้ำลาย ไม่เคยรู้สึกอยากให้โลกแตกขนาดนี้มาก่อน

     “อะไรนะ?”

     “คือ...ผม...ผมจะบอกว่า...”

     “ผมกับซน เราคบกันอยู่ครับ”

     ตาผมแทบถลนออกมานอกเบ้าเมื่อคนข้างๆ ทวนประโยคให้ด้วยเสียงดังฟังชัด ผมเขย่ามือที่จับกันอยู่ใต้โต๊ะแต่พี่ธารก็ไม่หันมาแม้แต่น้อย พ่อแม่พวกเรานิ่งไป ห้องอาหารเงียบกริบ ก่อนที่พ่อพี่ธารจะพูดขึ้นมา

     “จริงเหรอธาร”

     “จริงครับ”

     “ซน ลูก...” แม่ผมถามขึ้นมาแล้วเงียบไป ผมรู้ว่าแม่อยากถามอะไร ถึงจะกลัวจนฉี่ใกล้เล็ดเต็มทีแต่ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วก็คงมีแต่ต้องเดินหน้า

     “ครับ ผมกำลังคบกับพี่ธาร”

     “นานหรือยัง” พ่อผมถาม

     “สองเดือนครับ”

     “แปลว่าคบกันตอนพวกพ่อไปทำงาน?”

     “ครับ”

     ทุกประโยคที่พ่อผมกับพี่ธารคุยกันประสานเข้ากับเสียงหัวใจของผม มันเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ราวกับมีใครกำลังตีกลองรัว พ่อผมนิ่งไปไม่พูดอะไรอีก เหมือนกำลังตรึกตรองว่าควรรู้สึกอย่างไรกับเรื่องราวกะทันหันนี้

     “พวกลูกรักกันเหรอ”

     “ผมรักซนครับ” พี่ธารตอบแม่ตัวเอง น้าพรหันมามอง ผมเลยละล่ำละลักตอบออกไปเหมือนกัน

     “ผม...ผมก็รักพี่ธารครับ”

     ผู้ใหญ่ทั้งสี่หันไปมองตากันเหมือนกำลังปรึกษาหารือ ผมที่กังวลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอเห็นสีหน้าพ่อกับแม่ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองหดเหลือสองนิ้ว พี่ธารบีบกระชับมือราวกับอยากให้กำลังใจ ผมอยากยิ้มกลับไปแต่เวลานี้ปากมันยกยิ้มไม่ขึ้นสักนิด

     “อาขอพูดตรงๆ แล้วกัน หวังว่าธารคงไม่โกรธนะ” พ่อผมพูดกับพี่ธารหลังปล่อยให้ห้องอาหารเงียบมาสักพัก คำพูดของพ่อทำให้ผมหน้าเสีย ต่างกับคนตัวสูงที่สีหน้าไม่เปลี่ยน

     “ครับ”

     “ถามว่ารู้สึกยังไง อาค่อนข้างไม่พอใจ อาไว้ใจให้ธารดูแลซนแบบพี่น้อง ไม่นึกว่าสุดท้ายจะลงเอยแบบนี้ ต่อให้ลูกอาไม่ใช่ผู้หญิงแต่การใช้ความไว้ใจของผู้ใหญ่มาแอบคบกันก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอยู่ดี หวังว่าธารจะเข้าใจอา”

     “ผมเข้าใจครับ ผมรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันผิด ผมไม่มีข้อแก้ตัว สิ่งเดียวที่ผมพอจะบอกคุณอาได้คือผมรักซน มันไม่ใช่ความรู้สึกชั่ววูบ แต่มันคือความรักอย่างที่พ่อผมมีให้แม่ หรืออย่างที่คุณอามีให้คุณน้า ผมรักซน อยากดูแลซน อยากทำให้ซนมีความสุขครับ”

     ผมหันไปมองคนพูด ถึงแม้เราจะคบกันมานานแต่ผมก็ไม่เคยเห็นพี่ธารทำหน้าจริงจังแบบนี้มาก่อน มือที่ไม่เคยปล่อยจากมือผมแม้ในเวลานี้ ความรักที่สื่อออกมาผ่านคำพูดและสายตา สิ่งที่พี่ธารทำมันทำให้ผมสลัดความกลัวทิ้งไปแล้วพูดออกไปบ้าง

     “ผม...ผมก็รักพี่ธารครับพ่อ ถึงผมกับพี่ธารจะเป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่เราสองคนก็รักกันจริงๆ นะครับ ผมรักพี่ธาร อยากอยู่ข้างพี่ธาร อยากมีความสุขไปกับพี่ธาร พ่ออย่าให้เราเลิกกันเลยนะครับ”

     ผมดัดแปลงคำพูดผิงนิดหน่อย เพราะรู้สึกว่าแบบนี้ฟังดูหนักแน่นกว่าเยอะ ผมไม่รู้ว่าตัวเองแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป ผู้ใหญ่ที่มองมาจึงต่างนิ่งงันกันหมด พี่ธารหันมามองเหมือนไม่อยากเชื่อว่าผมจะกล้าพูดขนาดนี้ พี่มันจะแปลกใจก็ไม่แปลก ปกติผมกล้าที่ไหน แต่ผมบอกแล้วว่าผมจะเผชิญหน้าไปพร้อมพี่ธาร ผมจะไม่ปล่อยให้พี่ธารสู้อยู่คนเดียว

     “คุณพรกับคุณสันต์ว่าไง” พ่อผมหันไปถามพ่อแม่พี่ธาร

     “เอ่อ...”

     “พูดมาเลย ไม่ต้องเกรงใจผมกับลิน”

     “มันก็แปลกๆ อยู่นะคะ ถามว่าพรกับคุณสันต์รับได้ไหมมันก้ำกึ่ง ใจหนึ่งไม่อยากยอมรับ แต่อีกใจก็รู้ว่าของแบบนี้มันห้ามกันไม่ได้”

     “ผมเข้าใจ ผมกับลินก็รู้สึกแบบนั้น”

     “พ่อครับ” ใจผมหล่นไปอยู่ตาตุ่ม น้ำตารื้นขึ้นมา ทำไมพ่อผมพูดเหมือนจะให้ผมเลิกกับพี่ธารเลยล่ะ ไม่นะ ผมไม่อยากเลิก

     “โอ๊ย!” ผมร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆ คนตรงหน้าก็เอื้อมมือมาเขกกลางศีรษะ

     “คิดไปถึงไหน พ่อได้บอกสักคำหรือยังว่าไม่อนุญาตให้เราคบกัน”

     หือ???

     “พ่อ...หมายความว่าไงครับ”

     “พ่อกับแม่เป็นผู้ใหญ่ เรียกว่าเริ่มแก่ก็ได้ เราเลยยังไม่ชินกับโลกที่เปลี่ยนไปเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ใช่ว่ายอมรับไม่ได้”

     “พ่ออนุญาตให้เราคบกันใช่ไหมครับ” ผมถามอย่างมีความหวัง

     “คบกันไปแล้วไม่ใช่เหรอ มาห้ามตอนนี้ก็คงไม่ทัน อีกอย่างพวกลูกก็ไม่ได้ทำอะไรเสียหาย พ่อจะห้ามทำไม”

     ผมได้แต่ขอโทษพ่อในใจที่ความจริงมันเกิดเรื่องเสียหายไปแล้ว แถมคนเริ่มยังเป็นผมอีกด้วย แต่เวลานี้ช่างมันก่อนครับ แค่รู้ว่าพ่อแม่ไฟเขียวผมก็ดีใจมากแล้ว

     “น้าไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้มาก่อน ที่ผ่านมาน้าคิดว่าธารชอบผู้หญิงมาตลอด ก็ให้เวลาคนแก่หน่อยแล้วกัน มันอาจอึดอัด ขัดๆ เขินๆ บ้าง แต่เดี๋ยวก็คงชินไปเอง มาพยายามไปด้วยกันนะ”

     ผมมองรอยยิ้มของน้าพรกับอาคมสันต์ รอยยิ้มที่ถึงแม้จะมีความประดักประเดิดแต่ก็เห็นได้ชัดว่ายินดีกับความรักของลูกชาย มันทำให้ผมซาบซึ้งและตื้นตัน ผมกับพี่ธารยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสี่คน ตอนนี้ผมโล่งเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก

     “หลังจากนี้อาฝากซนด้วยนะธาร ดุได้เต็มที่ไม่ต้องเกรงใจ อาให้เป็นทั้งแฟนทั้งพ่อเลย”

     “พ่อครับ” ผมลากเสียงยาว เรียกเสียงหัวเราะจากผู้ใหญ่ บรรยากาศในห้องอาหารผ่อนคลายขึ้นในพริบตา

     ผมกับพี่ธารหันมาสบตากัน คำขอบคุณที่ไม่มีเสียงถูกส่งมาให้ ผมยิ้มรับพร้อมกับพูดขอบคุณกลับไปเช่นกัน เป็นคำขอบคุณที่เราต่างรู้ความหมายกันดี

     ขอบคุณที่รักกัน สู้ไปด้วยกัน ไม่ปล่อยมือจากกัน ผมรู้ว่าไม่ใช่แค่วันนี้ แต่มันจะเป็นแบบนี้ไปตลอด สายตาพี่ธารบอกผมแบบนั้น และผมเชื่อว่ามันคือเรื่องจริง





     “ยิ้มกว้างเชียวนะ มีความสุขล่ะสิ” พี่ธารดึงผมเข้าไปกอด โน้มหน้ามาพูดชิดริมฝีปาก ผมยิ้มกลับไป คนมีความสุขก็ต้องยิ้มสิครับ

     “ไหน วันนี้เด็กเอ๋อคนไหนบอกรักกู พูดให้ฟังอีกทีซิ”

     “ไม่เอา” ผมหันหน้าหนี คิดไว้แล้วว่าต้องเจอแบบนี้ ตอนที่พูดผมคิดอย่างเดียวคืออยากให้ผู้ใหญ่รับรู้ แต่พอมานึกทีหลังมันก็อดเขินไม่ได้

     “อาไพโรจน์ให้กูดุได้เต็มที่ มึงแน่ใจนะว่าอยากโดนกูดุ”

     จากที่หลบตาเพราะเขิน ผมหันกลับมามองคนพูดแทบไม่ทัน สายตากรุ้มกริ่มบอกผมว่าดุของพ่อผมกับดุของพี่ธารเป็นคนละอย่างกัน มันทำให้ผมหน้าร้อนขึ้นมา

     “พี่แม่งหื่น”

     “ก็หื่นกับมึงคนเดียว” นอกจากไม่สะทกสะท้านยังยอมรับหน้าชื่นตาบานอีก ไม่ใช่พี่ธารทำไม่ได้นะครับ

     “เร็ว กูอยากฟังอีก ตอนนั้นมัวแต่อึ้งเลยไม่ทันได้ฟัง”

     “ไม่ครับ ของดีมีครั้งเดียว”

     “เล่นตัวนักนะมึง” เดี๋ยวนี้พอรู้ว่าจุดอ่อนผมคือบ้าจี้ไอ้พี่ธารก็เอาใหญ่ เอะอะจี้เอวผมอย่างเดียว ผมหัวเราะปนหอบ พยายามตะครุบมือพี่มันให้อยู่นิ่ง พี่ธารแกล้งผมอยู่พักใหญ่ก่อนจะยอมหยุด เล่นเอาผมหายใจแทบไม่ทัน

     “ผมจะฟ้องพ่อว่าพี่แกล้ง” ผมพูดหลังจากหยุดหัวเราะ พี่ธารยิ้มมุมปาก โน้มหน้าลงมาจนชิด

     “เอาสิ ให้กูฟ้องด้วยไหมว่ามึงเสียหายไปแล้ว”

     “พี่ธาร!!” ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ทำจริงแต่เรื่องแบบนี้ใครเขาเอามาพูดเล่นกัน ผมฟาดลงไปบนแขนล่ำๆ เต็มแรง โมโหครับ แค่ผมยอมเป็นเมียข่มขู่ใหญ่เลยนะ

     “หยุดนอกเรื่องได้แล้ว บอกรักกูก่อนเร็ว” พี่ธารรวบสองมือผมไว้ด้วยมือเดียว ผมมองค้อน พี่ไม่ใช่เหรอที่ชวนนอกเรื่อง

     “เอ๋อ”

     “ไม่เอา ผมเขิน”

     “เขินอะไร แฟนบอกรักกันปกติจะตาย”

     “งั้นพี่ก็บอกรักผมก่อนดิ” ผมตั้งใจพูดเชิงท้าทายให้อีกฝ่ายเขินเหมือนกัน แต่ผมลืมไปว่านี่คือพี่ธาร ผู้ชายที่ผมไม่เคยชนะได้สักครั้ง

     “กูรักมึง”

     “…”

     “พี่รักซนครับ”

     “ฮื่อ ไม่เอาแบบนี้” ผมซุกหน้าเข้ากับอกกว้าง ไม่อยากให้อีกคนเห็นหน้าแดงก่ำของตัวเอง

     “ไม่ชอบเหรอ?”

     “…”

     “เอ๋อ ตอบกันก่อน ไม่ชอบให้กูพูดเพราะเหรอ”

     “…ไม่ได้ไม่ชอบ” ผมพูดเสียงอู้อี้กับอกพี่ธาร ตอนแรกว่าจะไม่ตอบ แต่ได้ยินเสียงไม่มั่นใจของพี่ธารแล้วมันอดไม่ได้

     “แล้วทำไมถึงไม่ให้พูด”

     “ก็ผม...โว้ยยย พี่จะถามอะไรนักหนา ดูไม่ออกเหรอว่าผมเขินจะเป็นลมแล้ว”

     “ฮ่าๆๆ” พี่ธารหัวเราะงอหายกับคำสารภาพอย่างหมดท่าของผม มือหนาเชยคางให้แหงนเงย ดวงตาเราสองคนสบกัน

     “งั้นพี่จะพูดบ่อยๆ ซนจะได้ชินดีไหมครับ”

     “พี่ธารผมพูดจริงๆ นะ ตอนแรกมันเขิน แต่พอพี่พูดบ่อยๆ มันไม่ชินอะ เหมือนไม่ใช่พี่ธารยังไงไม่รู้”

     “ฮ่าๆๆ” เอาเข้าไปครับ หัวเราะมันเข้าไป เอาให้ท้องแข็งตายไปเลย

     “งั้นพูดแค่เวลาสำคัญดีไหม”

     “แล้วตอนไหนถึงเรียกว่าสำคัญ”

     “ตอนนี้ไง” พี่ธารขยับมาใกล้กว่าเดิม จนหน้าผากเราสองคนแนบชิดกัน “พี่รักซน แล้วซนล่ะ รักพี่ไหม”

     “…”

     “ซนครับ”

     จุ๊บ

     “ถ้าผมไม่รักพี่ วันนี้ผมไม่กล้าพูดกับพ่อแม่แบบนั้นหรอก” ผมตอบหลังถอนริมฝีปากออกจากแก้ม อย่าถามว่าเอาความกล้ามาจากไหน พอพี่ธารเรียกด้วยเสียงอ่อนโยนแล้วปากมันก็ไปเอง พี่ธารนิ่งไปครู่หนึ่ง แต่พอตั้งสติได้รอยยิ้มก็ปรากฏบนหน้าคม ร่างของผมถูกดึงไปทาบทับบนอกแกร่ง พี่ธารสอดมือมากอดรอบเอว เท่ากับตอนนี้ผมกำลังนอนอยู่บนตัวพี่ธาร

     “รู้ไหมว่าวันนี้มึงน่ารักมาก น่ารักจนกูอยากให้รางวัล” สายตาวาววับที่มองมา ไม่ต้องถามก็รู้ว่ารางวัลที่จะให้คืออะไร ผมพยายามตะเกียกตะกายลงจากตัว แต่มือที่กอดรอบเอวทำให้ขยับไม่ได้เลย

     “พี่ธารไม่เอา ไม่กลัวน้าพรกับอาสันต์ได้ยินเหรอ”

     “กลัวทำไม ห้องกูเก็บเสียง”

     “แต่ผมยังไม่พร้อม”

     “เจอลีลากูเข้าไปเดี๋ยวก็พร้อมเอง”

     อะ...ไอ้พี่ธาร!!

     “หยุดเล่นตัวได้แล้ว กูอยากให้รางวัลจะแย่แล้ว มารับรางวัลซะดีๆ”

     และแล้วคืนนั้นผมก็ได้รับรางวัลทั้งคืน เป็นรางวัลที่ทั้งใหญ่ทั้งจุก เล่นเอาหมดแรงข้าวต้มเลยทีเดียว แต่ถามว่าชอบไหม ถึงจะอายนิดหน่อยแต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าชอบ ก็ลีลาพี่ธารดีอย่างที่คุยจริงๆ นี่ครับ คนอะไรช่ำชองชะมัด

     ว่าแต่...ถ้าผมน่ารักทุกวันพี่ธารจะให้รางวัลทุกวันเลยหรือเปล่านะ ผมชอบรางวัลก็จริง แต่ให้บ่อยขนาดนั้นผมก็ไม่ไหวเหมือนกัน ร่างกายสึกหรอกันพอดี



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter :    earthxxide  (https://twitter.com/earthxxide? t=muF0165hiRexxkrO2QLULw&s=09)

     Fanpage :    Earthxxide  (https://www.facebook.com/earthxxide? mibextid=ZbWKwL)
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 33] ✪ 06/06/2023
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 06-06-2023 22:14:28
 :pighaun: :haun4:
หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 34] ✪ 07/06/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 07-06-2023 16:44:47
ตอนที่ 34
ผู้ปกครองหัวใจ


     “อะ กูซื้อมาให้” ผมวางน้ำปั่นสองแก้วลงบนโต๊ะ ผิงเงยมาทำหน้าแปลกใจ เหมือนมันกำลังมองสิ่งมหัศจรรย์อันดับที่แปดของโลก

     “มึงซื้อมาให้พวกกู?”

     “ใช่”

     เพื่อนผมหันไปมองตากัน ก่อนที่น้องนายจะยื่นมือมาอังหน้าผากผม “คุณซนอย่าเลียนแบบผมสิครับ ไม่สบายก็บอกว่าไม่สบาย”

     “กูสบายดี”

     “มึงเลี้ยงน้ำพวกกู แค่นี้ก็ถือว่าไม่สบายแล้ว ร้อยวันพันปีมึงเคยควักเงินตัวเองซื้ออะไรให้กูกับน้องนายที่ไหน”

     ผมส่งค้อนให้พวกมัน คนอุตส่าห์อยากดึงเข้าบรรยากาศซึ้ง ไอ้พวกนี้พาลงเหวหมด

     “กูแค่อยากขอบคุณพวกมึง”

     “ขอบคุณอะไร”

     ผมอมยิ้ม ดวงตาที่มองเพื่อนเป็นประกายสุข “ขอบคุณที่มึงสองคนเป็นเพื่อนที่ดีและช่วยกูมาตลอด”

     ผิงกับน้องนายทำหน้าไม่ถูกเมื่อเจอคำพูดผมเข้าไป มันคงเห็นว่าผมจริงจัง เลยไม่แซวต่อแต่เปลี่ยนมาถามแทน

     “ทำไมจู่ๆ ถึงอยากขอบคุณพวกกูวะ”

     “ก็ถ้าไม่มีมึงสองคน กูคงไม่ได้เป็นแฟนพี่ธารอย่างทุกวันนี้ และคงไม่กล้าเปิดอกคุยกับพ่อแม่”

     “งั้นคุณซนต้องขอบคุณคุณผิงครับ คุณผิงช่วยคุณซนไว้ตั้งเยอะ ผมไม่ได้ทำอะไรเลย” ที่น้องนายพูดก็ถูกครับ ทุกครั้งที่ผมหรือน้องนายมีเรื่องทุกข์ใจ ผิงจะเป็นที่รับฟังและที่ปรึกษา ถึงปกติจะปากหมา ห่ามเกินผู้หญิง แต่พอถึงเวลาคับขันมันคือเพื่อนที่พึ่งพาได้เสมอ

     “ทำไมมึงจะไม่ทำ มึงคอยตักเตือนพวกกูไม่ให้นอกลู่นอกทาง คิดดูสิว่าถ้ากูคบกับผิงสองคนจะมีชีวิตรอดมาถึงวันนี้เหรอ มึงเป็นเพื่อนที่ดีของกู นั่นแหละคือสิ่งที่มึงทำให้กูมาตลอด”

     น้องนายยิ้มเก้อเขิน มันคงไม่ชินเพราะปกติผมไม่ค่อยพูดอะไรแบบนี้ แต่ที่วันนี้ผมพูดเพราะรู้สึกว่าช่วงนี้ชีวิตผมมีแต่ความสุข และมันจะไม่มีทางเกิดขึ้นถ้าผมไม่มีพวกมันคอยอยู่ข้างๆ

     “ที่จริงมึงไม่ต้องขอบคุณได้ มึงเป็นเพื่อนกู เพื่อนต้องช่วยเพื่อนอยู่แล้ว แต่ในเมื่อมึงอุตส่าห์ซื้อมาให้กูจะขอรับไว้ด้วยความเต็มใจแล้วกัน” ผิงพูดเหมือนซาบซึ้งคำพูดของผมมากมาย แต่ผมว่าส่วนหนึ่งที่มันรีบยกน้ำขึ้นดูดเพราะเดือนนี้มันกินแกลบมากกว่า

     “ว่าแต่...ไม่มียาพิษใช่ไหม”

     “ตอนแรกไม่ได้ใส่ แต่มึงพูดแบบนี้วันหลังกูจะให้คนขายใส่ยาเบื่อหนูมาให้”

     “มึงไม่ทำหรอก”

     “มั่นใจ?” เราต่างรู้กันว่าผมพูดเล่น แต่เพราะอยากกวนประสาทเพื่อนเลยต้องขอเสียหน่อย

     “มั่นใจ เพราะกูรู้ว่ามึงไม่ใจร้ายพอจะให้เพื่อนตายทั้งที่ยังโสด”

     “คุณผิงยังจีบพี่ไกด์ไม่ติดอีกเหรอครับ” น้องนายถามไปดูดน้ำปั่นไป ถ้าเป็นคนอื่นคงสะอึกกับคำถามแทงใจดำของเพื่อนผมไปแล้ว แต่ผิงมันกลับยักไหล่สบายๆ เหมือนไม่ยี่หระกับคำถาม

     “เดี๋ยวก็ติด คนอย่างกูเสียอย่าง”

     “มั่นใจขนาดนั้นเลย”

     “ยิ่งกว่ามั่นใจ อะ ไม่ต้องมองกูแบบนั้น รอบนี้กูไม่ได้หลงตัวเอง กูมั่นใจว่าพี่ไกด์เริ่มมีใจให้กูแล้วนิดหนึ่ง”

     “จริงเหรอครับ” น้องนายทำหน้าตื่นเต้น ผมชักอยากเห็นว่าตอนพี่บอนด์บอกชอบมันทำหน้าแบบนี้ด้วยหรือเปล่า

     “วันก่อนที่ไอ้ซนเรียกมึงกับกูมาปรึกษาเรื่องพ่อแม่ กูก็ทักไปบ่นกับไกด์ว่าอดดูหนังที่รอมานาน กูบ่นไปงั้นๆ ไม่ได้คิดอะไร อารมณ์เมาท์มอยอะมึง แต่พี่ไกด์กลับชวนไปดูใหม่ด้วยกันเพราะเขาได้กิฟต์การ์ดหนังมาแต่ไม่รู้จะดูอะไร”

     “เขาแค่สงสารมึงหรือเปล่า” ผมพูดตามที่คิด ไม่ได้จะตัดกำลังใจเพื่อน แต่ผมไม่คิดว่าแค่นี้จะเรียกว่ามีใจได้

     “กูไม่รู้ แต่กูจะถือว่ามันคือสัญญาณอันดีที่บอกให้กูเดินหน้าจีบต่อไป วันนี้ได้ดูหนังด้วยกัน วันหน้าต้องได้เป็นแฟนกันเชื่อสิ”

     ผมกับน้องนายไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่ปล่อยให้เพื่อนมีความสุขกับความคิดตัวเอง เอาเถอะครับ ถ้ามันแน่วแน่ว่าจะจีบพี่ไกด์ก็ปล่อยไป เพราะเท่าที่ดูเขาก็ไม่ได้อึดอัดอะไร ถึงจะทำเป็นสะบัดสะบึ้งปฏิเสธ แต่ดูก็รู้ว่าพี่ไกด์ทำไปเพราะอยากเอาฮาในกลุ่มเพื่อนเฉยๆ ถ้าไม่ชอบจริงๆ คงไม่ชวนเพื่อนผมไปดูหนังด้วยกันหรอก

     “เตี้ย กลับกัน” พี่ธารเดินมาเรียกผมที่นั่งอยู่กับเพื่อน พักนี้พี่แกชอบเรียกผมสลับไปมา เอ๋อบ้างเตี้ยบ้าง บางทีก็เรียกดื้อ แล้วแต่อารมณ์ในตอนนั้น

     วันนี้พี่ธารมาทำธุระแถวหอน้องนาย ผมเห็นว่าผิงอยู่แถวนี้เหมือนกันเลยเรียกออกมาเจอกัน ระหว่างที่พี่ธารทำธุระผมก็มานั่งเล่นในร้านกาแฟกับเพื่อน

     ผมหันไปยิ้มกว้างให้คนเรียก ลุกขึ้นยืนเพื่อเตรียมกลับ ผิงกับน้องนายก็เช่นกัน แต่ก่อนจะแยกกันหน้าร้านผมก็เข้าไปกอดพวกมันอีกรอบ ผิงกับน้องนายเกือบรับไม่ทัน แต่พอได้ยินคำพูดผมมันก็ยิ้มให้แล้วกอดกลับมา

     “ขอบคุณพวกมึงมากนะเว้ย”

     “เออ กูรู้แล้ว รีบไปเถอะ เปิดเทอมเจอกัน”

     “กลับดีๆ นะครับคุณซน”

     ผมยิ้มให้เพื่อนอีกครั้งก่อนกลับมาหาพี่ธารที่ยืนรออยู่หน้ารถ คนตัวสูงขมวดคิ้ว มองผิงกับน้องนายก่อนเบนสายตามาหาผม

     “มีอะไรหรือเปล่า” พี่ธารคงเห็นพวกผมกอดกันเลยนึกว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

     “ไม่มีอะไรครับ กลับกันเถอะ” ผมยิ้มให้ร่างสูง เปิดประตูขึ้นไปนั่งบนรถ จนพี่ธารออกรถผมก็ยังไม่หุบยิ้ม อีกฝ่ายเลยถามขึ้นมา

     “ยิ้มอะไรของมึง”

     “ทำไมครับ ผมยิ้มไม่ได้เหรอ”

     “ยิ้มแล้วเหนียงออก ไม่รู้ตัวหรือไง”

     ผมรีบยกมือจับคางทันที แต่พอได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอถึงรู้ว่าตัวเองพลาด

     “แกล้งผมอีกแล้วนะ”

     “บอกแล้วไงว่าถ้าอยากให้หยุดแกล้งมึงก็ต้องหยุดน่ารัก”

     “พี่กำลังชมผมน่ารักเหรอ”

     “ฉลาดนี่ ยังดีที่ไม่โง่คิดว่ากูด่า”

     นี่คงเป็นการชมที่แปลกที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา แต่ผมชินแล้วล่ะ คนอย่างพี่ธารไม่มีทางชมเหมือนคู่รักคู่อื่นหรอก แต่ก็เพราะแบบนี้ผมถึงได้รักพี่ธาร ผู้ชายที่พูดไม่เพราะกับผมคนเดียวแต่ก็รักผมคนเดียวเช่นกัน

     ผมอมยิ้ม โน้มหน้าไปซบไหล่คนที่กำลังขับรถ พี่ธารหันมามองแวบหนึ่ง เสียงหัวเราะดังเบาๆ

     “กูคิดไปเองหรือเปล่าว่าวันนี้มึงดูแปลกไป”

     “แปลกยังไงครับ”

     “มึงมีความสุขมากกว่าปกติ พูดเพราะกว่าปกติ แถมอ้อนกูมากกว่าปกติ”

     “แล้วไม่ดีเหรอ พี่จะได้รักผมมากขึ้นไง”

     “หึๆ เป็นเด็กขาดความรักเหรอมึง”

     “ตอนนี้ไม่ใช่แต่กำลังจะใช่แล้วครับ เดี๋ยวเปิดเทอมพี่ก็ต้องไปฝึกงาน มีเวลาให้ผมน้อยลง”

     พี่ธารผละมือข้างหนึ่งจากพวงมาลัย ดึงมือผมไปวางบนตักแล้วกุมเบาๆ น้ำเสียงจริงจังขึ้น “กูอาจมีเวลาให้มึงน้อยลง แต่ความรักที่มีให้มึงไม่เคยน้อยตามไปด้วย จำไว้ว่ากูรักมึงคนเดียว ไม่ว่าอยู่ที่ไหนในสายตากูจะมีแต่มึง ตกลงไหม”

     ผมผงกหัวมามองหน้าคนพูด ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อย

     “อะไร” พี่ธารที่หันมาเห็นสายตาผมถามขึ้นมา

     “ใครเอาพี่ธารผมไป นี่ใช่พี่ธารที่ผมรู้จักแน่เหรอ”

     “ฮ่าๆๆ” พี่ธารหัวเราะเสียงดัง มือที่อยู่บนตักเปลี่ยนมายีหัวผมจนยุ่ง “ไอ้เด็กเอ๋อเอ๊ย ไม่เคยทำให้กูผิดหวังจริงๆ”

     “ผมเคยทำให้พี่ผิดหวังด้วยเหรอ”

     “คำถามนี้กูขอไม่ตอบ ไม่ใช่ไม่มีแต่มีเยอะจนพูดไม่หมด”

     “พี่ธารรร”

     เจ้าของชื่อยิ้มมุมปาก ดึงมือผมไปจับเหมือนเดิมพลางลูบเบาๆ ผมมุ่ยหน้าได้ครู่เดียวก็หลุดยิ้มออกมา เอนศีรษะไปพิงไหล่พี่ธารอีกครั้ง เราต่างคนต่างไม่พูดอะไร แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อึดอัดแม้แต่น้อย

     เรื่องที่พี่ธารต้องไปฝึกงาน ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้สึกอะไร จะมีมือที่สามไหม ตอนไม่อยู่ด้วยกันพี่ธารจะไปมองใครหรือเปล่า สังคมที่เปลี่ยนไปจะทำให้พี่ธารเปลี่ยนไปด้วยไหม เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็ต้องกลัวต่อให้รักกันแค่ไหนก็ตาม แต่ที่ผมยังยิ้มได้เพราะผมเชื่อใจพี่ธาร ผมเชื่อว่าความเชื่อใจจะทำให้เราผ่านมันไปได้ และในขณะที่ผมกลัวพี่ธารก็คงกลัวเหมือนกัน เราต่างต้องเชื่อใจอีกฝ่าย พอคิดแบบนี้ผมเลยไม่รู้สึกว่าตัวเองพยายามอยู่คนเดียว

     ผมแหงนมองใบหน้าด้านข้างของพี่ธาร นึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาแล้วก็อดขำไม่ได้ สามเดือนที่พ่อแม่ทิ้งให้ผมอยู่บ้านคนเดียว ใครจะคิดว่ามันจะเป็นสามเดือนที่มีความหมายกับผมมากที่สุด ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นล้วนมีค่ากับผม และผมจะจดจำมันตลอดไป





     “พี่ธาร ผมมีอะไรจะบอก” ผมเดินมาหยุดยืนหน้าคนตัวสูง สองมือไขว้ไว้ข้างหลัง พี่ธารเงยหน้าจากหนังสือมามอง

     “อะไร อย่าบอกนะว่ามึงไปก่อเรื่องมาอีกแล้ว”

     “ใช่ที่ไหนเล่า” ผมยู่ปาก พี่ธารหัวเราะในคอ วางหนังสือลงข้างตัวแล้วหันมาสนใจผมจริงจัง

     “อะ กูไม่แกล้งแล้ว มีอะไรว่ามา”

     ผมค่อยๆ เอามือออกมาข้างหน้า ให้คนตรงหน้าเห็นสิ่งที่กำลังถือ พี่ธารมองผ้าเช็ดหน้าในมือผมด้วยแววตางุนงง

     “จำได้ไหม มันคือผ้าเช็ดหน้าที่ทำให้พี่กับผมมารู้จักกัน”

     “อ๋อ ผ้าเช็ดหน้าที่มึงจะปีนต้นไม้ไปเก็บแต่ดันตกลงมาก่อนน่ะเหรอ”

     ผมถลึงตาใส่คนพูด เรื่องแบบนี้ลืมไปบ้างก็ได้นะ

     “พี่รู้ไหมว่าผ้าเช็ดหน้านี้ใครให้มา”

     “ไม่ใช่ว่ามึงซื้อมาเองเหรอ”

     ผมส่ายหน้า “ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ผมได้มาจากผู้หญิงที่เป็นรักแรกตอนมัธยม”

     ภายในห้องนั่งเล่นเกิดความเงียบชั่วขณะ พี่ธารละสายตาจากผ้าเช็ดหน้ามามองผม ดวงตาคู่นั้นมีความแปลกใจแต่ไม่มีความหึงหวง หลังจ้องตากันสักพักพี่ธารก็ถามขึ้นมา

     “มาบอกกูทำไม”

     “พี่ไม่หึงเหรอ” ผมเริ่มจากถามเรื่องที่อยากรู้ก่อน

     “อยู่ที่ว่ามึงเอาเรื่องนี้มาบอกทำไม ถ้าบอกว่าจะกลับไปหาผู้หญิงคนนั้นอันนี้กูหึงแน่ แต่กูรู้ว่ามึงไม่ทำแบบนั้น”

     ผมยิ้มกว้าง รู้สึกดีกับประโยคเชื่อใจของอีกฝ่าย

     “ผมได้ผ้าเช็ดหน้านี้มาตอนมอหก ตอนนั้นผมเป็นวัยรุ่นทั่วไป โมเมนต์แอบรักก็ต้องมีบ้างเป็นธรรมดา ตอนนั้นผมตัดสินใจสารภาพรักในวันวาเลนไทน์ แล้วก็โดนปฏิเสธกลับมาทันที แต่เหมือนผู้หญิงคนนั้นจะสงสารผม เลยให้ผ้าเช็ดหน้ามาแทนคำขอโทษ”

     พี่ธารนั่งฟังด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง เดาไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ ผมเลยพูดต่อไป

     “ผมเก็บผ้าเช็ดหน้าผืนนี้มาตลอด ยอมรับว่ายังคิดถึงผู้หญิงคนนั้นอยู่บ่อยๆ แต่ตอนนี้ผมเป็นแฟนพี่แล้ว ผมรู้ว่าไม่มีใครอยากให้แฟนเก็บของของคนที่ตัวเองเคยชอบไว้กับตัว แต่เพราะผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ทำให้ผมได้มาเจอพี่ ทำให้ผม...ได้รักพี่ ผมเลยอยากเก็บมันเอาไว้” ผมเงยหน้ามองร่างสูง จากที่เอาแต่มองผ้าเช็ดหน้าในมือ “พี่อนุญาตไหมครับ”

     เราสบตากันอยู่นาน ไม่มีวี่แววว่าคนตรงหน้าจะตอบอะไร แต่ในตอนที่ผมกำลังจะถามอีกครั้ง พี่ธารก็เอื้อมมือมาวางบนหัว ริมฝีปากคลี่ยิ้มอ่อนโยน

     “กูมีสิทธิ์ห้ามมึงด้วยเหรอ ผ้าเช็ดหน้าก็ของมึงไม่ใช่ของกู”

     “แล้วพี่ไม่โกรธเหรอ”

     “จะโกรธทำไม เท่าที่ฟังมึงพูด เหตุผลที่มึงขอเก็บไว้เพราะกูทั้งนั้น มันทำให้รู้ว่ามึงรักกูมาก แฟนน่ารักขนาดนี้กูโกรธไม่ลงหรอก”

     สายตาที่มองมา มือที่กำลังลูบศีรษะ มันทำให้ผมลืมว่าจะพูดอะไรต่อ พี่ธารส่งสายตากรุ้มกริ่มมาให้ ผมหันเหไปทางอื่น ไม่ไหว สู้สายตาแบบนี้ไม่ได้เลยสักครั้ง

     “เห็นแก่ที่มึงเอาความลับของมึงมาบอก กูจะบอกความลับด้วยแล้วกัน”

     ผมหันขวับมามองคนพูดทันที ลืมความเขินไปสนิท “พี่ธารมีความลับด้วยเหรอ”

     “มีสิ” คนตัวสูงเดินไปที่ตู้ลิ้นชัก หยิบบางอย่างออกมา ผมมองอยู่สักพักถึงเห็นว่ามันคือกรอบรูป พี่ธารเดินกลับมานั่งที่เดิม หันรูปมาทางผม

     “จำคนในรูปได้ไหม”

     ดวงตาผมค่อยๆ เบิกกว้าง รู้สึกถึงจังหวะการเต้นหัวใจที่ถี่ขึ้นเรื่อยๆ ในรูปมีเด็กผู้ชายสองคนกอดไหล่กันอยู่ เด็กที่อยู่ซ้ายมือจะสูงกว่าหน่อย ส่วนเด็กอีกคนกำลังชูสองนิ้วมองมาที่กล้อง ผมมองรูปนั้นสลับกับคนถือ พี่ธารส่งยิ้มให้

     “พี่ธาร...” ผมไม่ได้เรียกคนที่อยู่ตรงหน้า แต่ผมกำลังพูดชื่อพี่ชายใจดีในวัยเด็กที่ผมเกือบจะลืมเลือนไป ภาพผมเล่นกับพี่ธาร ภาพผมขี่คอพี่ธาร ภาพผมกินขนมกับพี่ธาร และอีกหลายๆ ภาพที่บอกเรื่องราวในอดีตผุดขึ้นมาในหัว ผมมองคนตรงหน้านิ่ง ไม่มีคำพูดใดออกจากปาก

     พี่ธารยิ้มอ่อนโยน ดึงมือผมไปกุมหลวมๆ

     “จำได้แล้วสินะ”

     “ผม...”

     “ไม่ต้องขอโทษ” พี่ธารพูดขึ้นมาเหมือนรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ “กูไม่โกรธ เพราะกูเข้าใจว่าสักวันมึงก็ต้องไปมีสังคมของมึง จะให้อยู่กับพี่ชายข้างบ้านอย่างกูไปตลอดคงเป็นไปไม่ได้ อีกอย่างกูในตอนนี้หล่อกว่าตอนเด็กตั้งเยอะ มึงจะจำไม่ได้ก็ไม่แปลก”

     เคยซึ้งอยู่แล้วถูกเปลี่ยนอารมณ์กะทันหันไหมครับ ผมกำลังเป็นแบบนั้น ผมถลึงตาใส่คนตรงหน้า เวลาแบบนี้ยังมาหลงตัวเองอีก

     “ทำไมพี่ไม่บอกว่าเราเคยรู้จักกันมาก่อน”

     “กูอยากให้มึงจำได้ด้วยตัวเอง และถึงมึงจะจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ว่ามึงจะจำกูได้หรือไม่ กูก็ยังรักมึงเหมือนเดิมอยู่ดี”

     ผมเบิกตากว้างกว่าเดิม หัวใจเต้นแรงขึ้นจนแทบทะลุมานอกอก พี่ธารพูดแบบนี้ก็แสดงว่า...

     “พี่รักผมมาตั้งแต่เด็กเลยเหรอ”

     “ใช่” มือที่กุมมือผมอยู่บีบกระชับ สายตาที่มองมาทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน “เพราะงั้นวางใจเถอะ ไม่ว่าจะอยู่ห่างกันแค่ไหน ไม่ว่ามึงจะเก็บอะไรไว้ ความรู้สึกกูก็ไม่มีวันเปลี่ยนอยู่ดี กูรักมึง นี่คือประโยคที่กูอยากพูดมาตลอด และหลังจากนี้กูก็จะพูดทุกวัน เอาให้มึงเบื่อไปข้างนึงเลย”

     ผมส่ายหน้าช้าๆ ตอนนี้หัวใจมันพองฟูไปหมด มีความสุขจนแทบล้นอกเมื่อรู้ว่าพี่ธารรักผมมากขนาดนี้ มันทำให้ผมอยากรักเขากลับไปมากๆ เช่นกัน

     “ไม่เบื่อหรอก ผมชอบให้พี่บอกรักผม บอกเยอะๆ ยิ่งดี”

     พี่ธารยิ้มเหมือนถูกใจคำพูดผม ดึงผมไปนั่งตักพลางโน้มหน้ามาหอมแก้มซ้ายขวาจนเกิดเสียง ผมหัวเราะ สองมือพยายามดันใบหน้าคมให้ออกห่าง พี่ธารแกล้งผมอยู่สักพักก่อนจะยอมอยู่นิ่ง

     “มาคิดๆ ดู พี่ธารนี่เป็นทุกอย่างให้ผมจริงๆ นะ” ผมพูดหลังพี่ธารผละหน้าออกไป แต่ยังคงคลอเคลียอยู่ไม่ห่าง

     “เป็นอะไรบ้าง”

     “อืม...” ผมยกนิ้วขึ้นมานับ “พี่ชาย พ่อ คนทำอาหาร คนขับรถ คนซักผ้า คนตากผ้า คนสอนหนังสือ คนรดน้ำต้นไม้ แฟน...”

     “ทำไมเอาแฟนไว้หลังสุด” พี่ธารมุ่ยหน้า สีหน้าที่นานๆ ทีจะได้เห็นเป็นบุญตาทำให้ผมหลุดขำ

     “หลังสุดที่ไหนครับ ยังมีอีกอย่าง” ผมยิ้มเจ้าเล่ห์ ชูนิ้วสุดท้ายขึ้นมาพร้อมกับหันไปมอง “พี่ธารเป็นผู้ปกครองหัวใจของผม”

     คนตัวสูงนิ่งงัน คล้ายนึกไม่ถึงว่าผมจะพูดคำนี้ ฮ่าๆๆ ในที่สุดผมก็ชนะไอ้พี่ธารได้แล้ว อย่างพี่ต้องเจอไม้นี้ เป็นไงล่ะ อึ้งเลยล่ะสิ

     “เขินเหรอครับ” ผมโน้มหน้าไปพูดใกล้ๆ แต่จู่ๆ คนที่ผมคิดว่าเขินจนทำอะไรไม่ถูกกลับยิ้มมุมปาก เพียงเสี้ยววินาทีที่ผมไม่ทันตั้งตัว ร่างของผมก็ถูกผลักลงมานอนราบบนโซฟา พี่ธารคร่อมผมไว้ด้วยร่างอันสูงใหญ่ ก้มลงมาใกล้จนปลายจมูกแตะกัน

     “มาพูดแบบนี้วันที่พ่อแม่ไม่อยู่บ้าน แปลว่าเตรียมใจไว้แล้วสินะ”

     !!!

     “ผมไม่...” ผมไม่ทันได้พูดจบคนด้านบนก็ประกบปากลงมา จัดการไม่ให้ผมพูดอะไรได้อีก จูบของพี่ธารทั้งนุ่มนวลและอ่อนหวาน พัดพาคำทัดทานของผมให้ลอยหายไปตามลม ผมเอื้อมมือไปคล้องรอบลำคอ ปล่อยใจไปกับสัมผัสอันวาบหวามที่พี่ธารกำลังจะมอบให้

     เฮ้อ...สุดท้ายก็แพ้อีกจนได้นะเรา แต่ไม่เป็นไร ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ขอแค่พี่ธารยังรักผมอยู่ก็พอแล้ว รักผมให้มากๆ นะครับ คุณผู้ปกครองหัวใจของผม



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     ตอนหน้าเป็นตอนสุดท้ายแล้วนะครับ เป็นบทสรุปของแต่ละคู่ครับ

     Twitter :    earthxxide  (https://twitter.com/earthxxide? t=muF0165hiRexxkrO2QLULw&s=09)

     Fanpage :    Earthxxide  (https://www.facebook.com/earthxxide? mibextid=ZbWKwL)
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 34] ✪ 07/06/2023
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 07-06-2023 17:18:19
 :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 35] [End] ✪ 08/06/2023
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 08-06-2023 14:25:18
ตอนที่ 35
Till the End


     -ไกด์-

     ผมมองผู้หญิงร่างอวบนิดๆ ที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาทางนี้ ผิงส่งยิ้มมาแต่ไกล แค่มองก็สัมผัสได้ถึงความร่าเริง ผมขยับตัวเล็กน้อยจากที่กำลังยืนพิงเสา

     “รอนานไหมคะ”

     “ไม่นาน พี่เพิ่งมาถึงสักพัก”

     “พี่ไกด์อยากทานอะไรคะ”

     “คนที่ชวนมาคือเราไม่ใช่เหรอ” ผมหัวเราะเบาๆ

     “ผิงถามพี่ไกด์น่ะถูกแล้ว คนจีบต้องตามใจคนถูกจีบ พี่ไกด์เลือกร้านมาได้เลย แต่ตอนจ่ายหารครึ่งนะคะ ที่จริงผิงก็อยากใจป้ำแต่เดือนนี้ไม่ไหวจริงๆ”

     ผมทำหน้าไม่ถูกเมื่อเจอคำพูดอีกฝ่ายเข้าไป ผิงมักจะล้อเล่นแบบนี้เสมอ ที่ผ่านมาผมเลยเล่นไปตามน้ำเพื่อให้มันเฮฮาสมกับมุกที่น้องส่งมาให้ แต่ตอนนี้ผมอยู่กับผิงสองคน ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเล่นอีก

     “งั้นเอาเป็นอาหารเกาหลีไหม” ผมเห็นผิงกับโอปอล์มักจะคุยกันเรื่องซีรีส์เกาหลีบ่อยๆ เลยเข้าใจว่าชอบอาหารเกาหลีด้วย

     “พี่ไกด์ชอบทานอาหารเกาหลีเหรอคะ” คนพูดพยักหน้าหงึกๆ เหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าถามผม “โอเคค่ะ ผิงจะจำไว้ ได้ข้อมูลมาเพิ่มอีกอย่างแล้ว”

     เป็นอีกครั้งที่ผมทำหน้าไม่ถูก ได้แต่มองคนที่เดินนำหน้าไปร้านอาหาร จากที่จะอธิบายว่าไม่ได้ชอบเลยเปลี่ยนเป็นเดินตามคนตรงหน้าไป คิดอย่างปลงๆ ว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ปล่อยให้เข้าใจอย่างนั้นไปก็ได้





     “ทำไมพักนี้พี่ไกด์ใจดีจัง ผิงชวนไปไหนก็ไปตลอดเลย” ผิงถามผมไปพลางคีบหมูสามชั้นใส่จานตัวเอง

     “พี่ไม่ได้มีธุระอะไร ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ”

     “เฮ้อ นึกว่าจะตอบว่าอยากมาเที่ยวกับผิงเสียอีก ผิงอุตส่าห์เลือกชุดที่ดีที่สุดเลยนะคะ” เสียงถอนหายใจไปคนละทางกับรอยยิ้มร่าเริง คล้ายเจ้าตัวไม่ได้น้อยใจจริงๆ แค่พูดไปอย่างนั้น

     “แค่มาทานข้าวต้องเลือกชุดด้วยเหรอ”

     “พี่ไกด์ไม่รู้อะไร ผู้หญิงต่างก็อยากสวยกันทั้งนั้นแหละค่ะ โดยเฉพาะตอนเดตกับคนที่ชอบ”

     “แค่กๆๆ” ผมสำลักน้ำซุปที่เพิ่งซดลงคอ คนตรงหน้ารีบหยิบทิชชูมาให้

     “ค่อยๆ ทานสิคะ ผิงไม่หนีไปไหนหรอก อยู่เดตกับพี่ไกด์ได้ทั้งวัน”

     นี่น้องเขาไม่รู้จริงๆ เหรอว่าผมเป็นอะไร

     “ผิง” พอเริ่มพูดจาได้ผมก็เรียกคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงจริงจัง

     “คะ?”

     “พี่ถามอะไรหน่อย ตกลงที่ผิงพูดๆ มาตลอดคือผิงเล่นเอาขำหรือพูดจริง” ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ผมคิดว่าถามให้ชัดเจนไปเลยน่าจะดีกว่า ผมไม่ได้อึดอัดหรือมีปัญหาที่ผิงชอบพูดเล่น เพราะรู้ว่าน้องแค่เล่นเอาสนุกเฉยๆ แต่ตอนนี้ผมชักไม่แน่ใจ บางคำพูดของผิงก็ดูจะเกินเลยคำว่าล้อเล่นไปหน่อย

     “ถ้าให้ตอบตรงๆ ผิงก็พูดเอาฮานั่นแหละค่ะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่คิดอะไรเลย”

     “หมายถึง?” ผมคิดว่าผมเข้าใจความหมาย แต่ผมอยากให้ผิงพูดชัดๆ กว่านี้

     “หมายถึงผิงชอบพูดให้ดูเหมือนเล่นขำๆ พี่ไกด์กับคนอื่นจะได้หัวเราะไม่อึดอัด แต่ผิงก็ไม่ได้บอกว่าตัวเองโกหก”

     “ผิงชอบพี่?”

     “ขึ้นอยู่กับว่าชอบแบบไหนค่ะ ถ้าแบบซนกับพี่ธารก็ยังไม่ใช่ แต่ถ้าแบบที่ว่าผู้ชายคนนี้น่าสนใจดี น่าจะเข้ากับเราได้อะไรแบบนั้นก็ใช่” ผิงยังคงคีบอาหารเข้าปากเรื่อยๆ เดาไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่

     “อย่าบอกนะว่าตอนที่เล่นเกม ที่บอกว่ากำลังลดความอ้วนเพื่อจีบใครบางคน คนๆ นั้นคือพี่”

     “ผิงว่าผิงบอกไปแล้วนะคะว่าเป็นพี่ไกด์” คำตอบทื่อๆ ตรงๆ ทำเอาผมต้องตั้งสติอยู่พักใหญ่ ใครจะไปนึกว่าผิงพูดจริง ผมกล้าพูดว่าถ้าตอนนั้นใครมาเป็นผมก็ต้องคิดเหมือนกันว่าผิงล้อเล่นเฉยๆ

     “พี่จะทวนใหม่อีกครั้งเพื่อให้เราเข้าใจตรงกัน ผิงชอบพี่ และตอนนี้ผิงก็กำลังจีบพี่ ไม่ได้เล่นขำๆ แต่จีบจริงจัง จีบแบบอยากเป็นแฟน”

     “ใช่ค่ะ”

     “ทำไมถึงชอบพี่ เพราะเพื่อนมีแฟนกันหมดแล้วหรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นเราจะเสียใจทีหลังนะ”

     “ผิงยอมรับว่ามันก็มีเหงาบ้าง เพื่อนมีแฟนกันหมดใครจะไม่เหงาบ้างล่ะคะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเหงาแล้วจะคว้าใครก็ได้มาเป็นแฟน มันก็ต้องเลือกกันหน่อย ให้เอาใครก็ไม่รู้มาเป็นแฟนผิงไม่ทำหรอกค่ะ”

     “จะบอกว่าพี่คือคนที่เราเลือก?”

     “ใช่ค่ะ”

     “เหตุผลล่ะ” ผมหรี่ตามอง อะไรบางอย่างบอกผมว่าเหตุผลที่ผิงเลือกผมไม่น่าจะธรรมดา

     “พี่ไกด์หล่อ นิสัยดี เป็นสุภาพบุรุษ มีน้ำใจกับคนรอบข้าง”

     ผมลอบถอนหายใจ รู้สึกโล่งอกที่คนตรงหน้าไม่พูดอะไรแปลกๆ ออกมา

     “และที่สำคัญพี่ไกด์น่าจะเป็นสามีที่เชื่อฟังง่าย ไม่หือไม่อือกับภรรยา ผู้ชายคุมง่ายแบบนี้ผิงชอบมากเลยค่ะ”

     “ผิง!” ผมได้แต่เรียกชื่อคนตรงหน้าอย่างหมดคำพูด

     “พี่ไกด์ถามเอง ผิงก็แค่ตอบความจริง”

     ผมกลืนน้ำลายดังเอื๊อก รู้สึกอ่อนใจกับคำตอบของผิง ได้แต่มองคนที่นั่งตรงข้ามอย่างปลงๆ แต่พอเห็นผิงยิ้มเห็นฟันทุกซี่ผมก็หลุดขำออกมา เสียงหัวเราะดังขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถหยุดได้





     ที่ผ่านมาผมมักเป็นฝ่ายเข้าหาผู้หญิง ถึงผมจะไม่ฮอตเท่าธารกับบอนด์ แต่เรื่องหน้าตาก็ไม่เป็นรองใคร นั่นจึงทำให้ผู้หญิงที่ผมเข้าหาต่างหลงเสน่ห์ผมทุกราย แต่ไม่ว่าจะคบกับใครผมก็จะรู้สึกขาดบางอย่างเสมอ ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไรจนกระทั่งได้คุยกับผิงวันนี้ ถึงรู้ว่าสิ่งที่ผมขาดและกำลังตามหาจริงๆ คือผู้หญิงที่สดใสและมีชีวิตชีวา

     ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีผู้หญิงเข้าหาก่อน แต่ผู้หญิงที่เข้าหาด้วยวิธีแปลกๆ แบบผิงผมยังไม่เคยเจอ และคิดว่าชีวิตนี้คงไม่มีทางได้เจออีกแล้ว ดังนั้นนี่อาจเป็นผู้หญิงคนเดียวที่จะมาช่วยเติมเต็มสิ่งที่ผมขาดไปได้ ความร่าเริง ความสดใส ความมีชีวิตชีวาของผิง ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ผมตามหามาตลอด

     “หัวเราะแบบนี้แปลว่าเอ็นดูผิงใช่ม้า” เสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆ ผมส่ายศีรษะให้รอยยิ้มทะเล้นของผิง

     “ปกติเราจีบผู้ชายทุกคนแบบนี้เหรอ”

     “แล้วแต่หน้างานค่ะว่าเป็นผู้ชายแบบไหน ผิงรู้ว่าพี่ไกด์ชอบผู้หญิงน่ารักเลยใช้ความน่ารักจีบ”

     “แต่พี่ว่าน่าจะเป็นความบ๊องมากกว่านะ”

     “บ๊องแต่น่ารัก เชื่อสิคะ นี่ถ้าลดความอ้วนได้จะน่ารักกว่านี้อีก”

     “ไม่ต้องลดหรอก แค่นี้ก็น่ารักแล้ว” ผมส่งยิ้มให้คนตรงหน้า ผู้หญิงที่ถึงแม้จะอวบนิดๆ แต่ในสายตาผมตอนนี้กลับดูดีไม่แพ้ใคร

     “หือ!! พี่ไกด์ชมผิงว่าน่ารักเหรอ” ผิงตาโต ท่าทางตกใจเกินเหตุทำให้ผมหลุดขำอีกครั้ง

     “ได้ยินว่ายังไงล่ะ”

     “ได้ยินว่าพี่บอกรักผิง”

     “เดี๋ยว พี่ว่าพี่ไม่ได้พูดแบบนั้นนะ”

     “อ้าว ผิงตกคำว่าน่าไป ขอโทษทีค่ะ”

     ผมต้องพยายามอย่างหนักที่จะไม่ขำเสียงดังกลางร้านอาหาร อยู่กับเด็กคนนี้แล้วรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนเส้นตื้นจริงๆ

     “ยิ้มแบบนี้แสดงว่าผิงจีบติดแล้วใช่ไหมคะ”

     “ถามกันตรงๆ แบบนี้เลยเหรอ”

     “งั้นพี่ไกด์อยากได้ยากแค่ไหนคะ บอกมาเลยเดี๋ยวผิงจัดให้”

     ผมว่าวันนี้ผมหัวเราะรวมกันน่าจะมากกว่าทั้งชีวิตที่ผ่านมาอีก ผิงทำให้ผมรู้สึกว่าวันนี้ไม่น่าเบื่อสักนิด

     “เอ้า จีบติดก็จีบติด” ในเมื่ออีกฝ่ายถามตรงๆ ผมก็ตอบตรงๆ

     “หือ!! จีบติด!! หมายถึงพี่ไกด์ยอมเป็นแฟนกับผิงใช่ไหมคะ!!” ผิงรีบกระโจนข้ามมาฝั่งผม สีหน้าตื่นเต้นเหมือนเด็กกำลังจะได้ของเล่น ผมต้องเอามือยันผิงไม่ให้เข้ามาใกล้เกินไป

     “เดี๋ยว ใจเย็นก่อน พี่แค่บอกว่าเราจีบติด”

     “ก็เพราะจีบติดถึงต้องเป็นแฟนไม่ใช่เหรอคะ นี่ผิงเนื้อเต้นไปทั้งตัวแล้วนะ ในที่สุดจะได้มีแฟนกับเขาเสียที”

     ผมไม่สงสัยเลยว่าทำไมผิงถึงคบกับซนได้ แต่ละคนล้นไม่ไหว เห็นทีจะมีแต่น้องนายที่ (เหมือนจะ) ปกติเหมือนคนทั่วไป

     “พี่จะยอมคบกับเรา แต่มีข้อแม้หนึ่งข้อ ถ้าผิงรับได้ก็...ตกลง มาลองคบกัน”

     “ว่ามาเลยค่ะ เพื่อพี่ไกด์ผิงทำได้ทุกอย่าง อุ๊ย แต่เว้นดาวกับเดือนนะคะ สองอย่างนี้ผิงคงเอามาให้ไม่ได้”

     ผมหัวเราะคำพูดของเด็กบ๊อง อดใจไม่ไหวเลยต้องยกมือเขกหน้าผากเบาๆ ไปหนึ่งที

     “ข้อแม้ที่ว่าคือ...” ผมดึงมือป้อมๆ บนโต๊ะมาจับ อืม นุ่มใช้ได้เลยแฮะ “พี่ขออย่างเดียว อย่าให้พี่เป็นพ่อบ้านกลัวเมียก็พอ”

     “ฮ่าๆๆ โอเคค่ะคุณแฟนของผิง”





     -บอนด์-

     “สนใจพี่บ้างสิครับ ไม่ใช่เอาแต่เล่นโทรศัพท์” ผมล้มตัวนอนหนุนตักน้องนาย ยกมือขึ้นบังจอสี่เหลี่ยมที่อีกฝ่ายนั่งจ้องมาทั้งวัน คนตัวเล็กดึงโทรศัพท์ออกห่างจากมือ ยังคงเลื่อนหน้าจอขึ้นลงไม่หยุด

     “นายครับ”

     “แป๊บเดียวครับ ผมใกล้หาเจอแล้ว”

     “โทรศัพท์มันน่ามองกว่าพี่อีกเหรอ” ผมจับข้อมือเล็กมาวางบนอก ไม่ได้สนว่าอีกฝ่ายหาอะไรอยู่ วันนี้เด็กซื่อของผมติดโทรศัพท์งอมแงม อุตส่าห์หลอกล่อชวนมาค้างคอนโดฯ ได้ทั้งที แทนที่จะหากิจกรรมทำด้วยกันกลับเมินกันซะงั้น

     “ทำไมวันนี้พี่บอนด์งอแงจังครับ”

     ผมหน้าเหวอเมื่อคนข้างบนพูดคำว่างอแงออกมา ตั้งแต่อายุพ้นเลขหลักเดียวก็ไม่เคยมีใครพูดคำนี้กับผมอีก น้องนายเป็นคนแรกและน่าจะเป็นคนเดียว

     “นายก็สนใจพี่เยอะๆ สิ พี่จะได้ไม่งอแง” ผมไม่ปฏิเสธแต่ยอมรับหน้าตาเฉย ถ้ามันทำให้แฟนหันมาสนใจได้ ต่อให้เป็นเด็กสามขวบผมก็ยอม

     “แล้วที่สนใจอยู่ทุกวันนี้ยังไม่พออีกเหรอครับ”

     “วันอื่นๆ อาจพอ แต่วันนี้นายเอาแต่เล่นโทรศัพท์ ไม่พูดไม่จากับพี่สักคำ แล้วแบบนี้จะไม่ให้น้อยใจได้ไง” ผมทำปากบึนประกอบคำพูด ไม่นึกว่าตัวเองจะทำอะไรแบบนี้ เชื่อแล้วว่าความรักทำให้เราทำได้ทุกอย่างจริงๆ

     “ผมไม่ได้เล่นโทรศัพท์นะครับ ผมกำลังหา...”

     “หาอะไรครับ” ผมถามเมื่อจู่ๆ น้องนายก็เงียบไป ไม่ยอมพูดต่อ

     “หา...” น้องนายอึกอัก สีหน้ามีพิรุธอย่างเห็นได้ชัด จากที่ไม่ได้สนใจผมจึงเริ่มเอะใจ น้องนายเป็นเด็กโกหกไม่เป็น เวลามีเรื่องอะไรเลยแสดงออกมาหมด ท่าทางพยายามหลบตาทำให้ผมรู้ว่าเจ้าตัวกำลังปกปิดบางอย่างอยู่แน่นอน

     “ว่าไงครับ นายหาอะไรอยู่”

     “หา...หา...”

     ผมไม่รอฟังคำตอบจากปากน้องนาย ดึงโทรศัพท์ในมือมาดูเสียเอง น้องนายทำท่าจะแย่งกลับไป แต่ผมชักมือหลบ ผมลุกขึ้นนั่ง รวบตัวเด็กซื่อมากอดแนบอก กดไว้แน่นๆ ไม่ให้ขยับได้

     “พี่บอนด์! อย่าเปิดครับ”

     ผมไม่ฟังคำทัดทาน จัดการปลดล็อกโทรศัพท์อีกฝ่าย ถึงเราจะรู้รหัสของกันและกันแต่ก็ไม่เคยรุกล้ำเรื่องส่วนตัวของอีกคน แต่ที่ผมทำอยู่ตอนนี้เพราะผมมั่นใจว่าสิ่งที่ดึงความสนใจของน้องนายต้องเกี่ยวกับผมแน่นอน

     ผมกรอกรหัสหกตัวลงไป แต่สิ่งที่ปรากฏบนจอหลังจากนั้นกลับทำให้ผมนิ่งงัน มันคือเว็บซื้อของออนไลน์เว็บหนึ่ง สินค้าในเว็บส่วนใหญ่เป็นนาฬิกาข้อมือ ผมคงคิดว่าน้องนายอยากได้นาฬิกาเรือนใหม่ ถ้ามันไม่ใช่รุ่นที่ผมเคยพูดกับเพื่อนเมื่อวันก่อนว่าอยากได้

     “นายครับ” ผมก้มไปเรียกคนในอ้อมกอดที่ตอนนี้หน้าแดงแจ๋เรียบร้อย น้องนายเม้มปากแน่น พยายามซุกหน้าเข้ากับแขน ผมหมุนตัวน้องนายมาประจันหน้า มองเข้าไปในดวงตา

     “อธิบายหน่อยสิครับ” ผมชูโทรศัพท์ในมือที่ยังโชว์รูปนาฬิกา ถึงจะพอเดาได้แต่อยากได้ยินจากปากชัดๆ มากกว่า น้องนายกัดปากตัวเอง เงยหน้าสบตาผมก่อนถอนหายใจเบาๆ

     “รู้แบบนี้ให้คุณซนกับคุณผิงช่วยก็ดีหรอก”

     “ช่วยอะไร”

     “ช่วยเซอร์ไพรส์พี่บอนด์ไงครับ” คนพูดมองโทรศัพท์ที่ผมถืออยู่ “วันเกิดพี่บอนด์ใกล้ถึงแล้ว ผมเลยตั้งใจจะซื้อนาฬิกาเป็นของขวัญวันเกิด ก่อนหน้านี้ผมไปตระเวนตามร้านนาฬิกาในห้าง แต่เพราะเป็นรุ่นที่ตกยุคไปนานแล้วเลยหาไม่เจอเสียที ผมเลยเปลี่ยนมาหาตามออนไลน์ กว่าจะเจอเว็บนี้เหนื่อยไม่ใช่เล่นเลยนะครับ ผมหาทั้งวันทั้งคืน...อุ๊บ”

     เสียงน้องนายหายไปในคอเมื่อผมโน้มหน้ามาประกบปาก กดจูบลงไปซ้ำๆ ใช้ปลายลิ้นโลมเลียไปตามรูปปากก่อนสอดกระหวัดเข้าไปรับรสหวานภายใน น้องนายครางประท้วงในลำคอ มือบางยกมาแตะไหล่เหมือนจะผลักออก แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นขยุ้มเสื้อที่ผมใส่อยู่ เคลิบเคลิ้มไปกับรสสัมผัสที่ผมมอบให้

     “ทำไมทำแบบนี้” ผมถามเสียงพร่าขณะถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง

     “พะ...พี่บอนด์ไม่ชอบเหรอครับ” เสียงเล็กๆ ถามขึ้นพร้อมใบหน้าแดงปลั่งที่น่ามองจนไม่อาจละสายตา

     “ชอบสิ ชอบมากๆ และมันก็น่ารักมากๆ ด้วย แต่พี่แค่นึกไม่ถึงว่าเราจะทำอะไรแบบนี้ ผิงเคยบอกว่าเราไม่ชอบเซอร์ไพรส์ใคร”

     น้องนายเม้มปากเข้าหากัน หลบสายตาผมก่อนกลับมาสบตาอีกครั้งด้วยสายตาเขิน เหมือนไม่อยากพูดแต่จำเป็นต้องพูด

     “ผมอยากให้พี่บอนด์ดีใจ อยากให้รู้ว่าพี่เป็นคนสำคัญสำหรับผม ก็ผม...รักพี่บอนด์นี่ครับ”

     ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองได้รับของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด หัวใจเต้นแรงและมีความสุขมากเหลือเกิน ไม่ใช่นาฬิกาที่อีกฝ่ายบอกจะซื้อให้ แต่เป็นคำว่ารักที่น้องนายพูดด้วยเสียงเขินอาย สำหรับผมมันเพราะและน่าฟังยิ่งกว่าคำไหนๆ ในโลกนี้

     “พี่ก็รักนายครับ รักที่สุดและจะรักตลอดไป ขอบคุณนะครับที่ทำเพื่อพี่ขนาดนี้” ผมสอดมือเข้ากับมือคนในอ้อมแขน กดจูบลงไปบนหน้าผากด้วยความรักทั้งหมดที่มีในหัวใจ

     “ไม่ได้สิครับ”

     “หือ?”

     “พี่บอนด์จะรักผมมากที่สุดไม่ได้ พี่ต้องรักคุณพ่อคุณแม่มากที่สุดสิ”

     “ฮ่าๆๆ” จากที่กำลังซึ้งผมถึงกับหัวเราะไม่หยุด ทั้งขำทั้งเอ็นดูคนพูด น้องนายก็คือน้องนาย ไม่ว่าเมื่อไหร่เด็กคนนี้ก็ทำให้ผมหัวเราะและมีรอยยิ้มได้เสมอ

     “งั้นพี่จะรักเราเท่าพ่อแม่ ตกลงไหม”

     “อืม...ถ้าแบบนั้นก็ได้ครับ ผมก็จะรักพี่บอนด์เท่าคุณพ่อคุณแม่ผมเหมือนกัน”

     ผมอดใจไม่ไหว ต้องขอโน้มหน้าไปฟัดแก้มนุ่มๆ ด้วยความมันเขี้ยว น้องนายดิ้นพล่าน เสียงหัวเราะดังไปทั่วห้อง ความสุขลอยตลบอบอวล ห้องที่กว้างขวางดูอบอุ่นกว่าทุกวัน

     อยู่รักกันไปนานๆ นะ เจ้าเด็กซื่อของผม





     -ซน-

     ผมเดินเข้าไปกอดแม่จากด้านหลัง กลิ่นอาหารหอมฟุ้งไปทั่วห้องครัว คนโดนกอดหันมามองก่อนจะยิ้ม มือที่อบอุ่นและอ่อนโยนยกมาลูบศีรษะ

     “อ้อนแต่หัววันเชียวนะ จะเอาอะไรบอกแม่ซิ”

     “ไม่ได้จะเอาอะไรครับ แค่อยากกอดเฉยๆ” ผมส่งยิ้มเห็นฟันให้แม่ตัวเอง

     “แน่ใจเหรอ”

     “วันนี้ทำไก่ทอดตะไคร้ให้หน่อยได้ไหมครับ ผมอยากกิน” คนที่พูดเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าไม่เอาอะไรเผยไต๋ตัวเองออกมา แม่ผมหัวเราะ มือที่ลูบศีรษะเปลี่ยนเป็นเขกลงมาเบาๆ

     “วันก่อนก็กินไปแล้ว วันนี้ยังจะกินอีกเหรอ”

     “ก็ผมชอบนี่ครับ พี่ธารก็ชอบ”

     “ตกลงที่มาขอนี่คือขอให้แฟนใช่ไหม”

     ผมยิ้มแหะๆ ให้แม่ที่รู้ทัน เมื่อวานตอนเย็นพี่ธารเปรยว่าคิดถึงไก่ทอดตะไคร้ฝีมือแม่ผม ทุกวันนี้ผมกับพี่ธารมักสลับกันไปทานข้าวบ้านอีกฝ่าย ผมไปบ้านพี่ธารบ้าง พี่ธารมาบ้านผมบ้าง พ่อแม่พวกเราต่างพูดเหมือนกันว่าเห็นผมกับพี่ธารเป็นลูกทั้งคู่ ตอนที่ได้ยินผมถึงกับน้ำตารื้นด้วยความตื้นตันทีเดียว

     “ไว้เย็นนี้แล้วกันนะ เช้านี้แม่ทำกับข้าวไว้หลายอย่างแล้ว”

     “ไม่เป็นไรครับ ตอนเย็นก็ได้”

     “งั้นไปเรียกพี่เขามากินข้าวไป เดี๋ยวแม่ไปเรียกพ่อเอง”

     “ครับ”

     ผมเดินออกมาหน้าบ้าน กำลังจะไปบ้านหลังข้างๆ แต่ร่างสูงที่กำลังยืนรดน้ำต้นไม้ทำให้ผมเปลี่ยนใจ เดินไปปีนกำแพงรั้วแล้วใช้แขนเท้าไว้ ผมเอาคางเกยบนแขน มองคนที่ยังไม่รู้ว่าผมมา หลังพี่ธารกว้างจัง เห็นแล้วอยากเข้าไปกอดเหมือนที่กอดแม่ตัวเอง

     “พี่ธาร”

     เจ้าของชื่อหันมามอง ทันใดนั้นใบหน้าคมก็ปรากฏรอยยิ้ม พี่ธารเดินไปปิดก๊อกน้ำที่ต่อกับสายยางแล้วเดินกลับมาหาผม

     “คิดถึงกูแต่เช้าเลยเหรอ”

     ขบวนการหลงตัวเองไม่มีใครเกินแฟนผมอีกแล้ว ผมแลบลิ้นให้คนตัวสูง หมั่นไส้ หล่อตายแหละไอ้พี่ธาร (ใช่ครับ หล่อจริงๆ หล่อกว่าผมอีก)

     “ใครคิดถึงพี่ ผมมาตามไปกินข้าวต่างหาก”

     “แน่ใจว่าไม่คิดถึงกู”

     “แน่ใจ”

     “ดี งั้นคืนนี้นอนบ้านใครบ้านมัน”

     “โห เล่นแบบนี้เลยเหรอ” ผมย่นจมูกใส่คนตรงหน้า พี่ธารหัวเราะหึๆ ถึงจะเป็นแฟนกันแต่เราก็ไม่ได้นอนด้วยกันทุกวัน มีแค่บางวันเท่านั้น พ่อผมบอกว่าวิธีนี้จะช่วยประคับประคองความรักในวัยที่ยังมีโลกส่วนตัวได้ดีที่สุด จะทำอะไรก็ได้ในพื้นที่ของตัวเอง ทำห้องรก โดดขึ้นเตียงโดยไม่อาบน้ำ หรือจะเปิดเพลงเสียงดังก็ทำได้เช่นกัน

     ตอนพ่อพูดครั้งแรกผมไม่เห็นด้วย แต่พออยู่ไปนานๆ ผมถึงได้เข้าใจ ถึงแม้ว่าเราจะรักกัน แต่ความรักที่เบียดกันเกินไปก็ทำให้อึดอัดได้ เพราะเราต่างรู้ว่าแต่ละคนยังมีโลกของตัวเอง เราจึงไม่เคยรู้สึกอึดอัด สิ่งสำคัญที่สุดคือรักกันด้วยความพอดี ไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป วิธีนี้ต่างหากที่จะช่วยให้ความรักยืนยาว

     “ว่าไง ตกลงคิดถึงกูไหม” พี่ธารโน้มหน้ามาถาม ดวงตาติดรอยยิ้มขำ

     “คิดถึงก็ได้” ผมพูดอย่างหมดท่า พี่ธารหัวเราะในคอ ผมก็อยากเล่นตัวต่ออีกหน่อย แต่อีกใจก็กลัวว่าจะอดนอนกับพี่ธารจริงๆ

     “คิดถึงแล้วต้องทำยังไง” ร่างสูงเอียงแก้มมาหา ไม่บอกก็รู้ว่าต้องการอะไร

     “ได้คืบจะเอาศอก”

     “กูจะได้รู้ไงว่ามึงคิดถึงกูจริงๆ”

     ผมหน้ามุ่ย แต่ไม่ทันไรก็หลุดขำออกมา ใครจะคิดว่าพี่ธารที่แสนจะเย็นชา โลกส่วนตัวสูงคนนั้นจะมีมุมแบบนี้ด้วย รู้สึกตัวเองโชคดีเหลือเกินที่ได้เห็นมุมนี้ของพี่ธารคนเดียว

     ผมโน้มหน้าไปหอมแก้มคนตรงหน้า พี่ธารยิ้มพอใจ ทำมือให้ผมเอียงแก้มไปบ้าง พี่ธารโน้มหน้ามาหอมแก้มแบบเดียวกับที่ผมทำ แต่คราวนี้พี่มันเล่นจับหน้าผมไว้ด้วยสองมือ หอมทั้งซ้ายทั้งขวาจนเกิดเสียง กว่าผมจะหลุดมาได้แก้มเกือบช้ำ

     “พี่ฉวยโอกาสผม”

     คนฉวยโอกาสไม่คิดจะแก้ตัว กลับยักคิ้วหลิ่วตา ทำหน้ากวนอวัยวะเบื้องล่างสุดๆ

     “ใครใช้ให้แก้มมึงน่าหอมล่ะ”

     ดูนะครับ ไม่เคยสลดหรอก แถมยังโยนความผิดมาให้ผมอีก

     “รดน้ำเสร็จยังอะ ผมหิวแล้ว” ผมเห็นว่าพูดเรื่องเดิมต่อไปก็มีแต่จะเข้าตัวเอง เลยเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น

     “ยังไม่เสร็จ แต่เดี๋ยวมาทำต่อก็ได้”

     “งั้นไปกินข้าวกัน”

     พี่ธารพยักหน้า แต่ไม่ยอมเดินมาบ้านผม เอาแต่ยืนที่เดิมมองมายิ้มๆ ผมเลยเลิกคิ้วกลับไป

     “พี่มองอะไร”

     “มองเด็กเอ๋อ”

     “…” นี่จะหาเรื่องกันใช่ไหม

     “รู้จักไหม เด็กเอ๋อที่หน้าตางั้นๆ ทำอะไรก็ไม่เป็น แถมยังชอบก่อเรื่องให้ปวดหัวอีก”

     “ไอ้พี่ธาร”

     เจ้าของชื่อยิ้มมุมปาก จังหวะที่ผมกำลังจะพ่นคำผรุสวาทกลับไป คนตัวสูงก็ทาบทับริมฝีปากลงมา ผมเบิกตากว้าง ตกใจจนเกือบหล่นลงมาจากรั้ว มึนงงกับการกระทำของอีกฝ่าย

     “ถึงมึงจะเป็นเด็กเอ๋อ แต่จำไว้ว่ามึงเป็นเด็กเอ๋อที่น่ารักที่สุด เป็นเด็กเอ๋อให้กูรักแบบนี้ไปตลอดนะ”

     “พี่ธาร...” ผมถึงกับพูดไม่ออกเมื่อจู่ๆ คนตรงหน้าก็เปลี่ยนมาพูดจริงจัง จากที่โมโหเพราะโดนว่า ตอนนี้หัวใจผมกลับเต้นแรง มือไม้เกะกะทำอะไรไม่ถูก

     “กูรักมึง...พี่รักซนครับ”

     น้ำตาผมไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ ไอ้พี่ธารบ้า จู่ๆ มาพูดแบบนี้ใครจะไปตั้งตัวทันวะ

     พี่ธารเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตา สายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย หนึ่งในนั้นคือความรู้สึกรัก ผมมองกลับไปด้วยสายตาแบบเดียวกัน

     “ผมจะเป็นเด็กเอ๋อให้พี่รักไปตลอด และผมก็จะรักพี่ไปตลอดเหมือนกัน”

     “สัญญาแล้วนะ”

     “สัญญาครับ สาบานเลยเอ้า”

     พี่ธารหัวเราะในลำคอ โน้มหน้ามาใกล้อีกครั้ง แต่คราวนี้ริมฝีปากหนาประทับบนหน้าผากแผ่วเบา รอยยิ้มของพี่ธารถูกส่งมาให้อีกครั้ง รอยยิ้มที่ผมไม่เคยเบื่อจะมอง รอยยิ้มที่ทำให้รู้ว่าพี่ธารรักผมมากแค่ไหน

     ‘รัก’ คำสั้นๆ ที่แทนความรู้สึกได้เป็นล้าน คำที่ได้ยินเมื่อไหร่ก็ชวนให้รู้สึกดีเสมอ

     เด็กเอ๋อคนนี้รักพี่ธารที่สุดเลยครับ



     THE END

     ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาถึงตรงนี้นะครับ หวังว่านิยายเรื่องนี้จะทำให้มีความสุขกันไม่มากก็น้อย ฝากคอมเมนต์ติชม เข้าไปส่ง feedback ในแท็ก #รักข้ามรั้วBL ด้วยน้าา ^^

     Twitter :    earthxxide  (https://twitter.com/earthxxide? t=muF0165hiRexxkrO2QLULw&s=09)

     Fanpage :    Earthxxide  (https://www.facebook.com/earthxxide? mibextid=ZbWKwL)
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 35] [End] ✪ 08/06/2023
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 09-06-2023 01:33:05
 o18 :bye2: o13
หัวข้อ: Re: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 35] [End] ✪ 08/06/2023
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 06-03-2024 17:59:11
หมดเขตสมัคร  30  เมษายน  2567
ดีแทค  ระบบเติมเงิน  #ได้ทุกเบอร์
เน็ตไม่อั้น  (เน็ตอย่างเดียว)
เร็ว  12 Mbps(เม็ก)  ราคา  193  บาท  นาน  7  วัน
*104*841*8488034#
เร็ว  12 Mbps(เม็ก)  ราคา  482  บาท  นาน  30  วัน
*104*842*8488034#
#ไม่ลดความเร็ว  #ห้ามใช้โหลดบิท
ร้านสราวุธคอมพิวเตอร์  สตูล
สาขามะนัง 0826499917
ไลน์  sarawutcomputer
เปิดทุกวัน  09.00 – 20.00  น.
ท่านเต็มใจมา  ร้านฯ  เต็มใจบริการ
https://web.facebook.com/photo/?fbid=885661673572866&set=a.496909265781444 (https://web.facebook.com/photo/?fbid=885661673572866&set=a.496909265781444)