รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- Special Part 1 [05/Oct/2022]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: รักนะครับ...รู้ตัวบ้างไหม #คลื่นอิงเดือน -​-------- Special Part 1 [05/Oct/2022]  (อ่าน 12502 ครั้ง)

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 18 : คำพูดที่คอยย้ำเตือน





     -ข้าวหอม-


     “ไอ้เดือนว่าไงบ้างวะ” ฝนถามเมื่อเห็นควีนเดินกลับเข้ามาในร้าน ตอนแรกก็นั่งคุยโทรศัพท์อยู่ด้วยกัน แต่พอเดือนขอให้ทำอะไรสักอย่างควีนก็ลุกออกไปนอกร้านเลย

     “มันให้กูสอนทำข้าวต้ม”

     “ฮะ? ข้าวต้มเนี่ยนะ”

     “เออ ไม่ต้องถามแล้ว กูก็งงเหมือนมึงนั่นแหละค่ะ”

     “เดือนจะทำให้พี่คลื่นกินหรือเปล่า” ผมพูดตามความเป็นไปได้ เพื่อนทั้งสองคนหันมามองพร้อมกัน

     “มึงจะบอกว่าที่ไอ้เดือนรีบไปหาพี่คลื่นเพราะจะไปดูแลเขาเหรอ”

     “ข้าวก็ไม่รู้เหมือนกัน”

     ฝนกับควีนทำหน้าหนักใจ ผมเองก็หนักใจไม่แพ้กัน เดือนบอกว่าระหว่างที่เกมวิดีโอคอลยังไม่จบจะทำตัวเหมือนเดิมกับพี่คลื่น เกมจบเมื่อไหร่ค่อยตัดใจจากเขา แต่พอเห็นสิ่งที่เดือนทำวันนี้ บอกตรงๆ ว่าผมกลัวเดือนจะกลืนน้ำลายตัวเอง

     “เดี๋ยวนะมึง ไอ้เดือนมันทำอาหารไม่เป็นไม่ใช่เหรอ พี่คลื่นจะกินได้เหรอวะ” ฝนถามหน้าตาตื่น

     “โอ๊ย ไม่ต้องห่วงค่ะ มีปรมาจารย์อย่างกูคอยช่วยทั้งที ต่อให้เป็นไอ้เดือนที่ไม่มีเสน่ห์ปลายจวักก็ทำได้แน่นอน”

     พี่ทิวหลุดขำกับคำเยินยอตัวเองของเพื่อนผม เคลื่อนตัวไปใกล้ก่อนจะเอ่ยถามเหมือนต้องการหยอกล้อ “พูดแบบนี้แปลว่าน้องควีนมีเสน่ห์ปลายจวักเยอะมากเลยสินะครับ”

     “แหมพี่ทิว ตอนไปค่ายอาสาก็ได้ชิมฝีมือหนูแล้วไม่ใช่เหรอคะ”

     “ชิมไปแค่ครั้งเดียวมันตัดสินไม่ได้หรอกนะครับ”

     “พี่ทิวไม่รู้อะไรซะแล้ว ตอนเด็กๆ หนูช่วยแม่เปิดร้านอาหาร โต๊ะว่างแทบไม่มี ลูกค้าเต็มร้านทุกวันเลยนะคะ”

     “พูดซะพี่อยากลองไปอุดหนุนเลย”

     “ถ้าพี่ทิวมาจริงหนูให้ทานฟรีเลยค่ะ โปรโมชันพิเศษเฉพาะคนหน้าตาดี”

     ผมส่ายหัวให้กับโปรโมชันพิเศษของเพื่อน คิดว่าควีนคงพูดเล่นๆ กับพี่ทิวเท่านั้น ฝนที่นั่งข้างผมหันมาคุยกับพี่องศาโดยมีผมนั่งอยู่ตรงกลาง ถึงจะอยู่ในผับแต่เพราะตอนนี้เพิ่งจะหนึ่งทุ่มทำให้มีเพียงเสียงเพลงที่เปิดคลอเบาๆ พวกเราเลยไม่ต้องตะโกนคุยกัน

     “เอ่อ...พี่องศาคะ”

     “ครับ?”

     “อย่าหาว่าหนูเรื่องมากเลยนะคะ แต่พี่พาพวกหนูมานั่งที่วีไอพีแบบนี้มันจะดีเหรอคะ หนูกลัวจ่ายไม่ไหว” ฝนทำหน้าปั้นยาก ผมเองก็กำลังคิดแบบเดียวกับฝนเหมือนกัน ตอนเข้ามาในร้านพี่องศาพาพวกผมมาตรงโซนวีไอพีโดยไม่บอกกล่าวอะไรเลย พอผมจะทักท้วงพี่องศาก็พูดหน้าตายว่าจองโต๊ะไว้ล่วงหน้าแล้ว โต๊ะอื่นในร้านก็เต็มหมดแล้ว ถ้าจะเปลี่ยนโต๊ะต้องทำเรื่องยุ่งยาก

     “น้องฝนไม่ต้องห่วง เจ้าของร้านนี้เป็นพ่อของเพื่อนไอ้องศา เขาให้นั่งฟรีไม่จำกัดเวลา” พี่ยี่หวาขยิบตาให้ ฝนเลยพอจะโล่งใจขึ้นมาบ้าง

     “พี่แม่งเรื่องมากว่ะ เขาพามาเที่ยวแล้วยังจะมีปัญหาอีก” น้องบาสยกเหล้าขึ้นดื่ม ยักคิ้วหลิ่วตาให้เพื่อนผม

     “เขาเรียกเกรงใจย่ะ ไม่ได้มีปัญหาสักหน่อย นายนั่นแหละสะกดคำว่าเกรงใจเป็นไหม คนชวนก็ไม่มียังจะขอตามมาด้วยอีก”

     “ฝน” ผมปรามเพื่อนเบาๆ เมื่อเห็นว่าพูดแรงเกินไป

     “แล้วพี่จะเดือดร้อนทำไม ผมขอพี่องศาไม่ได้ขอพี่สักหน่อย”

     “นี่นายหาว่าพี่เสือกเหรอ”

     “ผมยังไม่ได้พูดเลย พี่ร้อนตัวเองนะ”

     “เด็กบ้า พี่องศาไม่น่าชวนมาด้วยเลย” ฝนขยับปากเหมือนพูดกับตัวเอง แต่น้องบาสดันหูดีกว่าที่คิด

     “บ้าไม่บ้าก็ทำให้พี่อยากอ่อยได้แล้วกัน” พูดจบก็กระดกเหล้าเข้าปากอีกครั้ง ยิ้มกวนๆ จนเพื่อนผมได้แต่นั่งควันออกหู

     ตอนที่พวกผมกำลังจะเดินเข้าร้าน น้องบาสที่ผ่านมาแถวนี้พอดีก็เข้ามาทักทาย พอพี่ยี่หวาบอกว่าจะมาเลี้ยงฉลองปีใหม่ย้อนหลังน้องเขาก็ขอตามมาด้วย พวกรุ่นพี่น่ะไม่มีปัญหาอะไร ออกจะดีใจด้วยซ้ำที่มีคนมาเพิ่ม มีแต่คนข้างผมนี่แหละที่ไม่รู้ไปเกลียดอะไรเขานักหนาถึงได้เอาแต่ทำหน้าบอกบุญไม่รับ

     “มึงจะอยู่ถึงร้านปิดเลยไหมวะองศา กูจะได้โทรบอกรูมเมทให้นอนไปก่อนเลย” พี่ทิวถามเพื่อนตัวเอง แต่คนโดนถามกลับหันมาถามผม

     “ว่าไงครับข้าว อยากอยู่ถึงร้านปิดไหม”

     “มาถามผมทำไมครับ” ผมพูดเสียงเรียบพลางยกน้ำอัดลมขึ้นดื่ม ผมไม่ดื่มแอลกอฮอล์ พี่องศาเลยสั่งน้ำอัดลมมาให้แทน

     “ก็พี่บอกแล้วไงว่าตั้งใจชวนเรามาโดยเฉพาะ พี่ก็ต้องตามใจเราสิ”

     เมื่อเห็นว่าผมเอาแต่เงียบไม่ตอบอะไร ควีนเลยเป็นคนอาสาตอบแทน “พวกหนูยังไงก็ได้ค่ะ แล้วแต่พี่องศาเลย”

     “งั้นอยู่จนร้านปิดเลยนะครับ พรุ่งนี้ไม่มีเรียนชดเชยกันแล้วใช่ไหม”

     “ไม่มีค่ะ” เพื่อนผมทั้งสองคนตอบพร้อมกัน

     “ดีเลย นานๆ ทีจะได้มาสนุกพร้อมหน้าพร้อมตากัน” พี่องศาชวนเพื่อนผมชนแก้ว ทุกคนล้วนหัวเราะอย่างสนุกสนาน ผมลุกขึ้นยืนโดยไม่ให้สัญญาณล่วงหน้า ฝนที่นั่งข้างกันเลยหันมาทำหน้างง

     “มึงยืนทำไมวะข้าว จะไปห้องน้ำเหรอ”

     “ข้าวจะกลับแล้ว”

     “ฮะ!?” ฝนกับควีนส่งเสียงพร้อมกัน

     “มึงจะรีบกลับทำไมวะ พวกพี่เขาอุตส่าห์ชวนมานะเว้ย”

     “ข้าวไม่ได้บอกพ่อไว้ ถ้ากลับดึกเดี๋ยวพ่อว่า”

     “ไหนมึงบอกว่าคืนนี้จะไปค้างห้องไอ้เดือน เลยขอพ่อไว้แล้วว่าจะไม่กลับบ้านไง”

     ผมทำหน้าอึกอักเมื่อโดนจับได้ว่าโกหก ทุกคนบนโต๊ะมองมาเหมือนรอให้ผมพูดอะไรสักอย่าง จริงอยู่ที่วันนี้ผมจะไปค้างกับเดือน ผมกลัวเดือนคิดมากเรื่องพี่คลื่นเลยตั้งใจจะไปอยู่เป็นเพื่อน แต่ผมไม่อยากอยู่ที่นี่เลยต้องโกหกออกไปแบบนั้น จะให้ยกเรื่องอื่นมาอ้างผมก็นึกไม่ออก

     มือผมถูกดึงไปจับไว้ พอหันไปมองก็เจอเข้ากับใบหน้าเป็นห่วงของพี่องศา “ข้าวไม่สนุกเหรอครับ”

     ใช่ครับ ผมไม่สนุกเลย การต้องอยู่ใกล้คนที่เรารักแต่ไม่สามารถบอกรักได้มันไม่สนุกเลยสักนิด

     ผมได้แต่ตอบคำถามอีกฝ่ายในใจ ขณะที่คิดว่าจะทำยังไงดีก็มีผู้หญิงเดินมากอดคอพี่องศาจากด้านหลัง ผมเลยอาศัยจังหวะนั้นดึงมือออกพลางหันหน้าหนี

     “องศามากินเหล้าร้านนี้ด้วยเหรอ ไม่เห็นบอกแพรวกันบ้างเลย”

     “เอ่อ...เรามากับเพื่อนในคณะน่ะ มันกะทันหันเลยไม่ทันได้ชวน” พี่องศาเหลือบมามองผม พยายามเอามือคนที่ชื่อแพรวออกไปจากตัวแต่ก็ไม่สำเร็จ

     “วันนี้แพรวยกโทษให้ แต่วันหลังองศาห้ามลืมชวนแพรวนะ”

     “แพรว...คือว่าเรา...”

     “นี่เพื่อนๆ ขององศาเหรอ” ผู้หญิงคนนั้นหันมายิ้มให้ผมกับคนอื่นๆ “ยินดีที่รู้จักค่ะ แพรวเป็นเพื่อนคนละคณะขององศา ถ้าไม่รังเกียจขอร่วมโต๊ะด้วยคนนะคะ”

     พี่ทิวกับพี่ยี่หวาได้แต่ทำหน้าลำบากใจ พี่แพรวไม่รอให้ใครตอบ เดินมานั่งข้างพี่องศาแทนผมที่กำลังยืนอยู่

     “ผมไปห้องน้ำก่อนนะครับ อยากไปล้างหน้าล้างตาหน่อย” ผมหันไปบอกพี่ยี่หวาก่อนจะเดินออกมาทันที ได้ยินเสียงฝนกับควีนเหมือนจะขอตามมา แต่ผมไม่สนใจจะหันกลับไปมอง ลำพังอยู่ใกล้พี่องศาหัวใจผมก็ทรมานพอแล้ว นี่ยังต้องมาเห็นภาพที่ผมไม่อยากเห็นมากที่สุดอีก แค่ควบคุมตัวเองไม่ให้เดินออกจากร้านได้ก็เกินพอแล้วสำหรับผม

     ได้อยู่ใกล้คนที่ชอบแล้วจะมีความสุข...ประโยคนี้ไม่เป็นจริงเสมอไปหรอก



     ผมวักน้ำขึ้นมาลูบหน้า หวังให้มันช่วยกลบเกลื่อนคราบน้ำตาไปได้บ้าง ผมไม่รู้ว่าน้ำตาไหลลงมาเมื่อไหร่ รู้แค่ว่าพอเข้ามาในห้องน้ำภาพตรงหน้าก็เบลอไปหมด

     “ข้าว!” ฝนกับควีนที่เข้ามาในห้องน้ำมองผมหัวจรดเท้าอย่างตกใจ เป็นเพราะยืนคิดอะไรเพลินไปหน่อยผมเลยเผลอทำน้ำกระเด็นเปียกเสื้อกับกางเกง

     “ข้าวซุ่มซ่ามเองน่ะ ไม่ต้องห่วงหรอกเดี๋ยวก็แห้ง”

     “มึงเป็นอะไรวะ ไม่สบายเหรอ สีหน้าดูไม่ดีตั้งแต่เข้าร้านมาแล้วนะ”

     “ข้าวสบายดี ไม่ได้เป็นอะไร” ผมฝืนยิ้มให้เพื่อนสนิท “แล้วฝนเข้ามาได้ไง นี่มันห้องน้ำชายนะ”

     “ถามมาได้ กูก็กลัวมึงจะเป็นลมในห้องน้ำน่ะสิ รู้ไหมว่าตอนเดินออกมาหน้ามึงซีดมากเลยนะ”

     เห็นภาพบาดตาซะขนาดนั้น ใครจะไปทนยิ้มอยู่ได้ล่ะครับ

     “วันนี้มึงดูแปลกไปนะ พี่องศาพามาเที่ยวทั้งทีแต่มึงไม่ยิ้มเลย”

     “ข้าวไม่ชอบเที่ยวตอนกลางคืนควีนก็รู้”

     “ไม่จริงอ่ะ มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น” ควีนยื่นหน้ามาใกล้เหมือนกำลังจับผิด “มึงหึงพี่องศากับพี่แพรวใช่ไหม”

     “ขะ...ข้าวจะไปหึงเขาทำไม ข้าวไม่ได้เป็นอะไรกับพี่องศาซะหน่อย”

     “ข้างนอกน่ะใช่” คนพูดเอามือมาจิ้มตรงอกข้างซ้ายของผม “แต่ข้างในนี้มึงไม่คิดอะไรจริงเหรอ มึงกล้าพูดหรือเปล่าว่าไม่ได้ชอบพี่องศา”

     ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ว่าเพื่อนๆ กำลังสงสัยเรื่องของผมกับพี่องศา เพียงแต่ที่ผ่านมาไม่มีใครพูดออกมาตรงๆ พอควีนถามขึ้นมาผมเลยเผลอแสดงสีหน้าตกใจออกไป ผมไม่ตอบอะไร เอาแต่เงียบจนเพื่อนทั้งสองคนเริ่มทำหน้าเลิ่กลั่ก ฝนหันไปตีควีนเบาๆ ก่อนจะส่งยิ้มมาให้

     “พวกกูไม่ได้เร่งเร้าให้มึงพูดนะเว้ย ที่ถามเพราะเป็นห่วงเฉยๆ ถ้ามึงไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร”

     ผมหลบตาเพื่อนก้มมองเท้าตัวเอง ระหว่างนั้นก็มีคนเดินเข้าออกห้องน้ำไม่หยุด ฝนเลยชวนผมกลับไปที่โต๊ะเพราะไม่อยากยืนขวางทาง และเกรงว่าถ้าออกมานานคนอื่นๆ อาจจะสงสัย

     “ฝนกับควีนอย่าบอกพี่องศานะ”

     “หือ? บอกอะไร”

     “เรื่องที่ข้าวชอบเขา”

     คนที่กำลังจะเดินออกจากห้องน้ำรีบย้อนมาหาทันที ฝนที่ลืมเรื่องยืนขวางทางไปสนิทเอื้อมมือมาจับแขนผมทั้งสองข้าง “ไอ้ข้าว! เมื่อกี้มึงบอกว่าชอบพี่องศาเหรอ!”

     “อืม” ผมเห็นว่าปิดบังไปก็ไม่มีประโยชน์ บอกไปตรงๆ เลยดีกว่า

     “ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”

     “ข้าวก็ไม่รู้”

     “แล้วทำไมที่ผ่านมามึงไม่บอกพวกกูเลยอ่ะ”

     “ขอโทษนะ ข้าวไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังหรอก แต่ข้าวคิดว่าถึงบอกไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นอยู่ดี เลยเก็บเงียบคนเดียวมาตลอด”

     ควีนถอนหายใจ เดินมาจับไหล่ผมอีกคน “ที่จริงกูก็พอจะดูออกว่าพี่องศาชอบมึง แต่มึงจะชอบพี่องศาด้วยไหมกูไม่มั่นใจเลย ไม่คิดเลยว่ามึงจะพูดออกมาเองอย่างนี้”

     “พี่องศาไม่ได้ชอบข้าวหรอก” ผมเถียงเพื่อนกลับไปทันควัน

     “แต่การกระทำของเขามันทำให้พวกกูคิดแบบนั้น”

     “ฝนกับควีนไม่เห็นพี่คลื่นเหรอ เขาทำดีกับเดือนขนาดนั้นแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ชอบเดือน”

     “มันไม่เหมือนกัน กรณีพี่คลื่นยังเอาเรื่องเกมวิดีโอคอลมาอธิบายได้ แต่กรณีพี่องศามันจะเป็นอะไรได้อีกถ้าไม่ใช่ว่าเขาชอบมึง”

     ผมเม้มปากแน่น ดวงตาสั่นระริก น้ำตาที่เหือดแห้งไปแล้วกำลังจะไหลลงมาอีกครั้ง ฝนที่เห็นสีหน้าผมไม่ดีมองมาอย่างเป็นห่วง

     “ข้าว...ทำไมมึงทำหน้าแบบนั้นอ่ะ”

     “ฝนกับควีนเข้าใจผิดแล้วล่ะ พี่องศาเขาไม่ได้คิดอะไรกับข้าว” ผมพูดเสียงสั่น

     “มึงมั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอ”

     “ไม่ใช่มั่นใจ แต่มันต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ข้าวไม่น่ารัก พี่องศาไม่มีทางชอบข้าวได้หรอก



     พอผมกับเพื่อนๆ กลับมาจากห้องน้ำก็ไม่เห็นพี่แพรวแล้ว พี่ยี่หวาบอกว่าระหว่างที่ผมไปห้องน้ำ พี่องศาพาพี่แพรวออกไปคุยกันนอกร้าน แต่ตอนกลับมามีแค่พี่องศาคนเดียว

     “พอแล้วพี่ กินเยอะเกินเดี๋ยวก็กลับไม่ได้หรอก” น้องบาสแย่งเหล้าในมือฝนไปถือ ทำหน้าเหมือนพ่อกำลังดุลูก

     “ปล่อยให้มันกินไปเถอะน้องบาส อีนี่มันคอแข็ง ช้างสิบตัวยังล้มมันไม่ได้เลย”

     “ใช่ อีควีนพูดถูก เพราะงั้นเอาเหล้าคืนมาได้แล้ว” ฝนคว้ามือไปจะหยิบแก้วเหล้า แต่น้องบาสเอาไปวางข้างตัวเองฝนเลยหยิบไม่ได้

     “พี่กินเยอะแล้ว กินเหล้ามากๆ มันไม่ดี”

     “มาร้านเหล้าก็ต้องกินเหล้าสิยะ นายจะให้สั่งผัดกะเพราหมูกรอบมากินหรือไง”

     “เพ้อเจ้อใหญ่แล้วนะพี่ ถามจริงเถอะ ปกติเพี้ยนแบบนี้อยู่แล้วป่ะ”

     ฝนหน้าแดง คงโกรธที่โดนรุ่นน้องว่าเพี้ยน น้องบาสกระดกเหล้าที่ยังเหลืออยู่ของฝนรวดเดียวหมดก่อนจะรินน้ำเปล่าลงไปแทน

     “ถ้าจะกินก็กินน้ำเปล่า คืนนี้ผมไม่ให้กินเหล้าแล้ว”

     “สั่งเหมือนเป็นพ่อเชียวนะ นายนี่มันน่ารำคาญจริงๆ” ฝนเหน็บแนมรุ่นน้องเสร็จก็แลบลิ้นใส่ หันไปคุยกับคนอื่นต่อ “พี่ยี่หวาคะ ฝนว่าเราไปแดนซ์กันดีกว่า เบื่อคนขี้บ่นแถวนี้”

     ฝนจูงมือพี่ยี่หวาไปเต้นบนเวทีด้วยกัน น้องบาสส่ายหน้าก่อนจะตามไปอีกคน พอฝนไม่อยู่แล้วควีนก็ลุกมานั่งข้างผมแทน โน้มหน้ามาพูดใกล้หูเพราะตอนนี้เสียงดนตรีเริ่มดังแล้ว

     “ข้าว มึงยังจะไปค้างห้องไอ้เดือนอยู่ป่ะวะ”

     “ไม่แล้ว เดือนส่งข้อความมาบอกว่าคืนนี้ไม่สะดวก”

     “แล้วทีนี้มึงจะกลับยังไงอ่ะ”

     “ข้าวก็ไม่รู้” ผมตอบเพื่อนอย่างหมดหนทาง ที่ผมอยู่ถึงห้าทุ่มนี่ไม่ใช่เพราะอยากอยู่ แต่ยังหาวิธีกลับบ้านไม่ได้ต่างหาก จะโทรให้พ่อมารับโทรศัพท์ผมก็แบตฯ หมด พอจะยืมของฝนกับควีน คนหนึ่งก็แบตฯ หมดเหมือนกัน อีกคนก็ไม่มีเงินโทรศัพท์

     “กูว่ามีทางเดียวแล้วล่ะ มึงต้องให้พี่องศาไปส่ง”

     “ก็คงต้องเป็นแบบนั้น” ถึงจะไม่เต็มใจแต่ผมไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

     “งั้นขอให้โชคดีนะมึง”

     “หือ? ทำไมควีนพูดเหมือนจะไม่กลับกับข้าวเลยล่ะ”

     “กูกับฝนแล้วก็น้องบาสจะให้พี่ทิวไปส่ง พวกกูคุยกันแล้ว”

     “อ้าว! ทำไมทิ้งให้ข้าวกลับกับพี่องศาแค่สองคนอ่ะ”

     “ก่อนจะถามมึงหันไปดูหน้าพี่องศาก่อน ตั้งแต่มึงกลับมาจากห้องน้ำเขาก็เอาแต่มองมึงหน้าบึ้ง พวกกูคงกล้ากลับด้วยหรอก”

     ผมลองหันไปมองตามที่ควีนบอก ก่อนจะพบว่าพี่องศากำลังมองผมอยู่จริงๆ ใบหน้านิ่งเรียบเหมือนกำลังหงุดหงิดอะไรสักอย่าง

     “เหมือนเขามีเรื่องอยากคุยกับมึงนะ”

     “ไม่ใช่หรอก ควีนคิดมากเกินไปแล้ว”

     “มึงนั่นแหละคิดน้อยเกินไป” ควีนพูดจบก็ลุกขึ้นยืนทันที “กูหนีก่อนดีกว่า เคลียร์กันเองนะมึง”

     “อ้าวควีน!”

     “พี่ทิวคะ เราไปแดนซ์กันด้วยดีกว่า หนูเห็นอีฝนโชว์ลีลาอยู่คนเดียวแล้วยอมไม่ได้”

     พี่ทิวทำหน้างง แต่ก็ยอมเดินตามควีนไปรวมกลุ่มกับพวกฝนที่กำลังเต้นบนเวทีอย่างเมามัน ตอนนี้ทั้งโต๊ะเลยเหลือแค่ผมกับพี่องศา ผมชำเลืองหางตาไปมองอีกครั้ง พี่องศายังมองผมเหมือนเดิมไม่ละสายตาไปไหน ผมทำเป็นยกน้ำอัดลมมาดื่ม ในใจรู้สึกอึดอัดจนอยากเดินออกจากร้านให้รู้แล้วรู้รอด

     “ข้าวเป็นอะไร” พี่องศาพูดประโยคแรกหลายจากนั่งเงียบมาหลายชั่วโมง

     “ผมไม่ได้เป็นอะไรครับ”

     “ไม่จริงอ่ะ ข้าวกำลังไม่พอใจพี่”

     “พี่องศาไม่ได้ทำอะไร ทำไมผมต้องไม่พอใจด้วยล่ะครับ”

     “ก็นั่นแหละที่พี่ไม่รู้ พี่คิดมาตั้งนานแล้วยังคิดไม่ออกเลย ข้าวโกรธอะไรบอกพี่มาตรงๆ สิครับ”

     “ผมไม่ได้โกรธพี่องศา”

     “พี่ไม่เชื่อ” ร่างสูงเคลื่อนตัวมาแนบชิดจนแทบไม่มีช่องว่าง พอผมจะขยับหนีพี่องศาก็เอื้อมมือมาโอบเอวเอาไว้ “โกรธเรื่องแพรวเหรอ”

     “ปะ...เปล่าครับ”

     “แล้วทำไมข้าวดูไม่ค่อยสนุกเลย”

     “ผม...ผมไม่ชอบเที่ยวกลางคืน” ผมไม่กล้าพูดเหตุผลที่แท้จริงเลยยกเรื่องนี้มาอ้าง

     “อ้าว แล้วทำไมไม่บอกพี่ล่ะ” พี่องศาทำหน้าเหลอหลา

     “พี่เคยถามผมไหมล่ะครับ เอาแต่จะพาผมมาท่าเดียว”

     “งั้นข้าวอยากกลับเลยไหม เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

     “ไม่เป็นไรครับ ผมกลับแท็กซี่ได้”

     “จะกลับยังไง กลับไม่เป็นไม่ใช่เหรอ”

     “กลับเองบ่อยๆ เดี๋ยวก็เป็นเองครับ” ผมเถียงข้างๆ คูๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเตรียมเดินออกจากร้าน แต่แรงกระตุกที่ฝ่ามือทำให้ผมเสียหลักจนล้มไปนั่งตักคนตัวสูง

     “พี่จะไปส่ง”

     “ไม่เป็นไร...”

     “ข้าวหอม” เสียงทุ้มต่ำดังอยู่ข้างหู ใบหน้าที่โน้มมาใกล้ฉายแววไม่พอใจ “อย่าดื้อกับพี่ครับ เราก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าเถียงพี่ไปก็ไม่ชนะ”

     ผมเม้มปากแน่น รู้สึกพ่ายแพ้อีกฝ่ายอย่างหมดท่า พี่องศาที่เห็นผมไม่ตอบอะไรยิ้มมุมปากนิดหนึ่ง ก่อนจะบอกให้ผมรออยู่ที่นี่แล้วเดินไปบอกลาคนที่อยู่บนเวที

     กับพี่องศาผมไม่เคยชนะหรอก ต่อให้พยายามแค่ไหนก็ไม่มีวันชนะ ไม่สิ...ไม่ต้องเป็นพี่องศาก็ได้ จะกับใครผมก็เอาชนะใจไม่ได้ทั้งนั้น





(มีต่อนะครับ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-10-2022 22:03:47 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
     “พ่ออยู่บ้านไหมครับ” จู่ๆ คนที่ขับรถอยู่ก็พูดขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย ผมเลยต้องถามซ้ำเพราะไม่แน่ใจ

     “พ่อผมเหรอครับ”

     “ใช่”

     “อยู่ครับ”

     “แล้วเขานอนหรือยัง”

     “ยังครับ พ่อผมเป็นบรรณาธิการนิตยสารต่างประเทศ ชอบทำงานตอนดึก กว่าจะนอนก็ตีหนึ่งตีสองเป็นอย่างต่ำ” ผมพูดจบก็ขมวดคิ้ว “พี่องศาถามทำไมครับ”

     “ไม่มีอะไรครับ พี่อยากรู้เฉยๆ”

     ผมพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมามองถนนต่อ ตอนนี้ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว ผมเลยอดเป็นห่วงฝนกับควีนไม่ได้ ถึงพี่ทิวจะเอารถมาด้วยแต่ผมก็ยังห่วงเพื่อนอยู่ดี ไม่อยากให้เมามากเพราะกลัวจะเสียสุขภาพ

     แต่พอมาคิดๆ ดูแล้วน้องบาสน่าจะดูแลเพื่อนผมได้อยู่ ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมน้องเขาถึงดูแลเพื่อนผมดีขนาดนี้ แต่ก็ต้องขอบคุณเพราะอย่างน้อยก็ทำให้ผมสบายใจขึ้นมาบ้าง

     “พี่กับแพรวเป็นแค่เพื่อนกัน”

     คำพูดของพี่องศาทำให้ผมหันไปมองอย่างแปลกใจ “มาบอกผมทำไมครับ”

     “แค่อยากบอกเฉยๆ พี่เคยควงแพรวก็จริง แต่ก็แค่ช่วงเวลาสั้นๆ และมันก็ผ่านมานานแล้ว”

     “พี่ไม่จำเป็นต้องบอกผมหรอกครับ ต่อให้พวกพี่ยังควงกันอยู่ผมก็ไม่มีสิทธิ์ไปว่าอะไร”

     “คิดซะว่าฟังเรื่องดินฟ้าอากาศก็ได้ครับ พี่บอกเพราะไม่อยากให้ข้าวเข้าใจผิด ไม่ว่าจะในสถานะอะไรก็ตาม”

     ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่เหมือนคำพูดพี่องศาจะมีความนัยบางอย่าง แต่เพราะผมไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเองเลยไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

     “ตรงไปอีกหน่อยแล้วเลี้ยวซ้ายครับ” ผมบอกทางเมื่อเห็นว่าใกล้ถึงบ้านแล้ว

     “พี่จำได้ครับ มารับส่งเราตั้งหลายครั้ง ถ้าจำไม่ได้ก็แย่แล้ว”

     รถของพี่องศาขับมาจอดหน้ารั้วบ้าน ผมบอกขอบคุณเบาๆ ก่อนจะเปิดประตูลงมา แต่คราวนี้คนตัวสูงลงมาจากรถด้วย ไม่ขับออกไปอย่างที่ควรจะเป็น ผมเลยหันไปทำหน้างง

     “พี่องศามีอะไรหรือเปล่าครับ”

     “ข้าว”

     เสียงเรียกที่ดังมาจากประตูบ้านทำให้ผมหันไปมอง คุณพ่อกำลังเดินมาทางนี้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง ผมเดินเข้าบ้านไปทางประตูเล็ก พี่องศาก็ตามมาด้วย

     “ไหนลูกบอกว่าจะไปค้างห้องเดือนไง”

     “พอดีมีปัญหานิดหน่อยเลยไปค้างไม่ได้แล้วน่ะครับ”

     “แล้วทำไมถึงกลับเอาป่านนี้ล่ะ ไม่โทรมาบอกพ่ออีกต่างหาก”

     “ขอโทษนะครับ พอดีโทรศัพท์ข้าวแบตฯ หมด”

     พ่อผมหันไปมองพี่องศาที่มายืนข้างๆ ผมก็หันไปมองเหมือนกัน นึกว่ากลับไปแล้วซะอีก ทำไมถึงยังอยู่ล่ะเนี่ย

     “สวัสดีครับ”

     พ่อผมรับไหว้พี่องศาก่อนจะถามผม “ข้าว ผู้ชายคนนี้...”

     “พี่องศาครับ รุ่นพี่ที่มารับมาส่งข้าวตอนที่พ่อไม่อยู่” ผมแนะนำพี่องศาให้คุณพ่อรู้จัก สายตาคุณพ่อเปลี่ยนไปทันทีที่รู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร พ่อผมมองคนตรงหน้าหัวจรดเท้าเหมือนกำลังพิจารณา

     “ขอบใจนะที่คอยมารับมาส่งลูกชายฉัน”

     “ไม่เป็นไรครับ ผมเต็มใจ แต่ถ้าคุณพ่อจะกรุณา ผมอยากขออะไรอย่างนึงได้ไหมครับ”

     “ว่ามาสิ”

     “หลังจากนี้ผมขอมารับมาส่งข้าวหอมอีกได้ไหมครับ”

     “พี่องศา!” ผมเรียกอีกฝ่ายอย่างตกใจ ต่างกับพ่อผมที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ทั้งนั้น

     “ผมรู้ครับว่าคุณพ่อเป็นห่วงข้าวหอมมากถึงได้คอยไปรับไปส่งที่มหา’ลัยทุกวัน แต่ผมก็ห่วงข้าวหอมไม่แพ้กัน ผมอยากดูแลข้าวหอมและอยากแบ่งเบาภาระคุณพ่อด้วย”

     ผมได้แต่ยืนอึ้ง หัวสมองไม่ทำงานไปชั่วขณะ นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมจู่ๆ พี่องศาถึงทำแบบนี้ล่ะ ไม่เห็นบอกผมก่อนเลยสักคำ

     “แล้วฉันจะไว้ใจนายได้ยังไง อะไรจะทำให้ฉันมั่นใจว่าถ้าอนุญาตให้นายมารับส่งลูกชายฉันแล้วจะไม่เกิดปัญหาตามมาทีหลัง” พ่อผมนี่ก็อีกคน แทนที่จะปฏิเสธกลับไปดันเอาแต่ถามหาความไว้ใจ พูดเหมือนกำลังจะอนุญาตให้พี่องศามารับส่งผมจริงๆ อย่างนั้นแหละ

     “คุณพ่ออยากพิสูจน์ยังไงบอกมาได้เลยครับ”

     ผมมองผู้ชายสองคนที่กำลังยืนคุยกันอย่างทำอะไรไม่ถูก ใจจริงอยากไล่พี่องศากลับไปตอนนี้เลยด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่กล้าพอเพราะมันจะดูเสียมารยาท

     “ข้าว จำเบอร์ฝนได้ไหม” จู่ๆ คุณพ่อก็หันมาถามผม

     “จะ...จำได้ครับ”

     “โทรหาฝนให้พ่อที พ่ออยากคุยอะไรด้วยหน่อย”

     “คุณพ่อครับ...” ผมรู้สึกว่าตัวเองพลาดที่เผลอพูดความจริงกับพ่อ

     “ทำตามที่พ่อบอกครับ”

     คุณพ่อยื่นโทรศัพท์มาให้ ผมที่ไม่มีทางเลือกจึงต้องทำตามอย่างช่วยไม่ได้ พ่อรู้ว่าผมคบกับเดือน ฝนและควีนมานาน พ่อเลยไว้ใจเพื่อนทั้งสามคนนี้มาก ถ้ารู้ว่าผมอยู่กับเพื่อนพ่อจะไม่ถามอะไรเพราะมั่นใจว่าเพื่อนๆ จะดูแลผมได้ดีพอ

     [ฮัลโหลค่าาาา] เสียงฝนดังออกมานอกโทรศัพท์จนผมได้ยิน เสียงยานคางแบบนี้แสดงว่าหลังจากผมกลับมาแล้วคงดื่มเหล้าไปอีกแน่นอน

     “ฝนใช่ไหม”

     [ช่ายยยค่ะ แล้วคุณล่ะคะเป็นครายยยย]

     “พ่อเอง”

     [พ่อ? พ่อครายยค้าาา พ่อหนูตายไปตั้งนานแล้วค่าาาา]

     “พ่อข้าวหอม”

     [อ๋อ พ่อข้าว...ฮะ!? พ่อไอ้ข้าว!! อะ...เอ่อ...สวัสดีค่ะคุณพ่อ] พอรู้ว่าใครโทรมาเสียงเพื่อนผมก็กลับมาปกติทันที พ่อผมกระแอมสองสามทีก่อนจะเข้าประเด็นสำคัญ

     “รู้จักรุ่นพี่ของข้าวหอมที่ชื่อองศาไหม”

     [รู้...รู้จักค่ะ]

     “นิสัยเป็นยังไง” ระหว่างที่ถามเพื่อนผมตาก็มองคนตรงหน้าไปด้วย

     [นิสัยดีค่ะ]

     “ดียังไง อธิบายมาให้ชัดๆ”

[เอ่อ...ก็เป็นสุภาพบุรุษ ใจดี คอยดูแลพวกหนูอยู่บ่อยๆ ให้เป็นคนขับรถตั้งหลายครั้งก็ไม่เคยบ่นสักคำ อ้อ! พี่องศาคือคนที่ไปรับไปส่งข้าวตอนพ่อไม่อยู่นั่นแหละค่ะ พ่อลองถามไอ้ข้าวก็ได้]

     “พ่อรู้อยู่แล้ว”

     [อ้าว แล้วที่คุณพ่อมาถามหนู...]

     “ขอบใจมาก อย่าเมาให้มากล่ะเรา เดี๋ยวจะกลับบ้านไม่ได้” คุณพ่อพูดจบก็วางสายทันที ผมคิดว่าหลังจากนี้ต่อให้น้องบาสไม่ห้ามฝนก็คงไม่กล้ากินเหล้าอีกแล้วล่ะ พ่อผมเล่นพูดเสียงเย็นขนาดนี้

     “พ่อถามฝนเรื่องพี่องศาทำไมครับ” ผมถามเรื่องที่สงสัยโดยไม่อ้อมค้อม ในใจก็ภาวนาอย่าให้สิ่งที่กำลังกลัวเป็นจริงเลย

     “พ่อแค่อยากรู้ว่ารุ่นพี่ของลูกไว้ใจได้แค่ไหน” คุณพ่อเดินเข้าไปหาพี่องศาที่ยืนตัวตรง มองตากันสักพักก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “หลังจากนี้ฝากมารับข้าวหอมไปมหา’ลัยด้วยล่ะ อย่าให้ความไว้ใจที่ฉันให้นายต้องเสียเปล่า”

     “ขอบคุณครับ ผมจะดูแลข้าวหอมอย่างดีแน่นอน”

     “พ่อครับ!”

     คุณพ่อเอื้อมมือมาลูบหัวเบาๆ ไม่สนใบหน้าที่กำลังตกใจของผมเลย “ฝากยืนส่งพี่เขาหน่อยนะ พ่อขอกลับไปทำงานในห้องก่อน”

     ผมกะพริบตาปริบๆ รู้สึกเหมือนทุกอย่างผ่านไปเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน พอคุณพ่อเข้าไปในบ้านแล้วผมก็หันไปหาคนตัวสูงที่ยืนอารมณ์ดีอยู่

     “พี่องศาทำแบบนี้ทำไม”

     “บอกแล้วไงว่าพี่อยากมารับมาส่งเรา”

     “ผมไม่เข้าใจครับ พี่ลงทุนทำขนาดนี้ไปเพื่ออะไร” ผมถามคนตรงหน้าก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “พี่อยากให้ผมแทนตัวเองว่าข้าวใช่ไหมครับ ถ้าเหตุผลมีแค่นี้เดี๋ยวผมทำให้ตอนนี้เลยก็ได้ พี่จะได้ไม่ต้องพยายามตีสนิทกับผมให้เหนื่อย”

     “นี่ข้าวยังไม่เข้าใจอีกเหรอ” พี่องศาผ่อนลมหายใจ เอื้อมมือมาจับไหล่ทั้งสองข้าง “พี่กำลังจีบข้าวอยู่ แบบนี้พอจะเข้าใจขึ้นบ้างหรือยัง”

     !!!!!!

     นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ผมเอาแต่ยืนนิ่งไม่พูดไม่จา รู้แค่ว่าในหัวมันขาวโพลนไปหมด จนกระทั่งพี่องศายื่นหน้ามาใกล้ผมถึงได้สติ

     “ข้าวเป็นอะไรครับ”

     “พะ...พี่พูดว่าอะไรนะครับ”

     “พี่กำลังจีบเราอยู่” คนตัวสูงจิ้มหน้าผากผมเบาๆ

     “พี่ชอบผม...เหรอครับ”

     “พี่รู้สึกสนใจเรา อยากทำความรู้จักกับเรา ถ้าทั้งหมดนี้มันคือการชอบใครสักคน...ก็ใช่ครับ พี่ชอบข้าว”

     “พี่ตัดใจเถอะครับ” ผมถอยออกมายืนห่างๆ ร่างสูงที่มองมารีบหุบยิ้มทันที

     “ทำไมครับ ข้าวมีแฟนแล้วเหรอ”

     “ผมยังไม่มีแฟนและไม่คิดจะมีด้วยครับ”

     “พี่ไม่ทำให้ข้าวเสียคนแน่นอน ไม่ต้องห่วงนะครับ ข้าวยังไม่ต้องตอบรับก็ได้ แค่ให้โอกาสพี่จีบก็พอ”

     “พี่องศา ผมขอร้องล่ะครับ” ผมสบตากับคนตรงหน้า ของเหลวที่กระบอกตากำลังจะไหลลงมา แต่ผมต้องกลั้นมันไว้ “ลืมที่พี่พูดแล้วกลับไปเถอะครับ แล้วผมจะคิดซะว่าเราไม่เคยคุยกันเรื่องนี้”

     “ข้าว...” เสียงของพี่องศาช่างแผ่วเบา มันเต็มไปด้วยความตกใจและเสียใจ

     “เราสองคนคบกันไม่ได้หรอกครับ อย่าพยายามในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย พี่มีตัวเลือกที่ดีกว่าผมเยอะ อย่ามาเสียเวลากับคนอย่างผมเลยครับ” ไม่รู้ว่าสองประโยคหน้าผมพูดถึงพี่องศาหรือตัวเอง แต่ตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้น สองขาของผมรีบวิ่งเข้ามาในบ้าน ไม่แม้กระทั่งหันไปมองคนที่เรียกชื่อผมไม่หยุด และเมื่อประตูถูกปิดเรียบร้อยน้ำตาที่กลั้นมานานก็ไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่

     ผมทิ้งตัวคุกเข่ากับพื้นอย่างหมดสภาพ ส่ายหน้าไปมาแรงๆ เพื่อให้ประโยคบอกชอบในหัวหายไปเสียที นอกจากคำพูดของพี่องศาแล้วยังมีอีกหลายคำพูดที่ผุดขึ้นมาในหัว คำพูดเหล่านั้นคอยย้ำเตือนให้ผมปฏิเสธใจตัวเองเหมือนที่ทำมาตลอด

     ‘คนนี้น่ะเหรอเพื่อนของน้องเดือน’

     ‘ไม่เห็นจะน่ารักเหมือนน้องเดือนเลย คบเพราะผลประโยชน์หรือเปล่า’

     ‘หน้าตาก็งั้นๆ สู้น้องเดือนไม่ได้สักนิด’

     ‘จะสวยก็ไม่ใช่ จะหล่อก็ไม่ใช่อีก น้องเดือนคิดยังไงถึงเลือกคนแบบนี้มาเป็นเพื่อนนะ’


     ผมไม่เหมาะกับพี่องศา ไม่เหมาะกับใครเลยแม้แต่น้อย คนอย่างผมน่ะ...สมควรอยู่คนเดียวที่สุดแล้ว





     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-09-2022 21:14:12 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ออฟไลน์ RedQueen

  • Memois Of A Calamity Queen
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
เห้อ พี่คลื่นก็อธิบายไม่เคลียก็รู็นะว่าน้องอ๋อง เป็นงะ น่าให้น้องงอลให้เข็ด :เฮ้อ:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 19 : สิ่งที่ควรเลือก





     หลังจากได้หยุดยาวถึงหนึ่งสัปดาห์เต็ม พวกผมก็ต้องกลับมาชดใช้กรรมที่มหา’ลัยกันต่อ วันนี้ผมตื่นเช้าเพราะเผลอตั้งนาฬิกาปลุกเร็วกว่าปกติ พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วผมเลยมานั่งแกว่งเท้ารอบรรดาเพื่อนรักอยู่ใต้ตึกเรียนเป็นคนแรก

     ผมหยิบโทรศัพท์มาเลื่อนดูข้อความในไลน์ มุมปากทั้งสองข้างยกยิ้ม ตั้งแต่วันที่ผมชนะเกมในอินสตาแกรมของพี่คลื่น นี่ก็ผ่านมาจะครบหนึ่งเดือนแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าระยะเวลาแค่นี้จะเกิดเรื่องขึ้นมากมาย ทั้งเรื่องที่ชวนยิ้มและเรื่องที่ชวนร้องไห้...

     ผมกับพี่คลื่นยังวิดีโอคอลกันทุกคืน ถึงแม้จะมีคนในใจแล้วแต่พี่คลื่นก็ยังเอนเตอร์เทนผมเหมือนวันแรกที่เรารู้จักกัน แต่นั่นกลับทำให้ผมลำบากกว่าเดิม เพราะผมต้องคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าพี่คลื่นแค่เล่นไปตามเกม ห้ามหวั่นไหว ห้ามคิดเข้าข้างตัวเองเด็ดขาด ต้องมีความสุขอยู่กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเท่านั้น

     “วันนี้ลมอะไรเหาะมาคะเนี่ย มาเช้าขนาดนี้มึงจะมาช่วยภารโรงกวาดพื้นเหรอ” ควีนที่มาพร้อมฝนเอ่ยทักทายก่อนที่ตัวจะมาถึงโต๊ะ คำทักทายของมันทำเอาผมอยากกระโดดถีบขาคู่มาก

     “เออ ว่าจะกวาดขยะแถวนี้หน่อย มีอยู่สองชิ้นขนาดพอดีถังขยะเลย”

     “มึงตาต่ำมากนะที่เห็นพวกกูเป็นขยะ สวยขนาดนี้กระเป๋าแบรนด์เนมยังต้องชิดซ้าย” ฝนเชิดหน้าใส่ก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้าม “เมื่อเช้ากูแทบไม่อยากตื่นเลย ได้นอนตื่นสายมาตั้งหลายวัน จู่ๆ ต้องตื่นเช้าโคตรทรมาน”

     มาถึงก็บ่นเป็นอย่างแรกเลยครับ หน้าง่วงๆ ของคนพูดทำให้ผมรู้ว่ามันพูดจริงไม่ได้ล้อเล่น

     “งั้นมึงคงต้องทนหน่อยนะ เพราะหลังจากนี้มึงต้องทรมานไปอีกยาวๆ จนปิดเทอมเลย”

     “ถ้ามีแฟนคอยโทรปลุกก็ดีน่ะสิ กูจะได้ไม่ต้องตื่นเอง แถมยังหน้าตาสดชื่นทุกเช้าด้วย” ฝนยิ้มหวานเหมือนกำลังฝันกลางวันอยู่

     “มึงก็เอาน้องบาสมาทำแฟนซะเลยสิ ไหนๆ ก็จะอ่อยเขาแล้วไม่ใช่เหรอ”

     คนอยากมีแฟนรีบหุบยิ้มเหมือนฝันสลาย หันไปมองตาขวางใส่เพื่อนตัวเอง “มึงหยุดพูดเรื่องนี้ได้ไหม แค่เด็กบ้านั่นคนเดียวกูก็จะกระอักแล้วนะ ไม่รู้เกลียดอะไรกูนักหนาถึงขยันขุดเรื่องนี้มาพูดอยู่ได้”

     “แต่เท่าที่กูเห็นเหมือนมึงจะเกลียดน้องเขามากกว่านะ”

     “จะไม่ให้เกลียดได้ไง ก็หมอนั่นทั้งขี้บ่น เจ้ากี้เจ้าการ ทำตัวเหมือนพ่อกูเข้าไปทุกวัน”

     “น้องเขาอาจจะอยากเป็นพ่อจริงๆ ก็ได้นะ” ผมยิ้มล้อเลียน “พ่อทูนหัวน่ะ”

     “ไอ้เดือน!” ฝนชี้หน้าผม หน้าแดงไม่รู้ว่าเพราะโกรธหรืออาย “พอกูไม่แซวเรื่องพี่คลื่นได้ใจใหญ่เลยนะ อย่าให้เห็นว่ามึงไปสนิทกับผู้ชายคนอื่นล่ะ แม่จะชงให้แต่งงานกันพรุ่งนี้เลย”

     “อีฝน” ควีนรีบตีมือฝนเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก มันดึงแขนฝนไปใกล้ พูดเสียงเบาไม่ให้ผมได้ยิน “เมื่อกี้มึงพูดว่าไงนะ”

     “จะชงให้ไอ้เดือนแต่งงานกับผู้ชายคนอื่น” ฝนขมวดคิ้วมุ่น

     “นั่นไง! มึงกับกูมัวแต่ห่วงไอ้เดือนจนลืมเรื่องสำคัญอีกอย่างไปเลย”

     “เรื่องอะไรวะ”

     “ก็เรื่องพี่เมศไง”

     “เออว่ะ กูลืมไปได้ไงว่าพี่เมศชอบไอ้เดือน”

     “พวกมึงคุยอะไรกันอ่ะ” ผมทำหน้างงเมื่อจู่ๆ ท่าทางพวกมันก็เปลี่ยนไป ฝนหันมามองผมด้วยใบหน้าจริงจัง แววตาล้อเล่นหายไปแล้ว

     “เดือน กูถามจริงๆ นะ”

     “ถะ...ถามอะไร” ไม่ต้องทำเสียงเข้มก็ได้ กูกลัวนะเว้ย

     “ถ้าสมมติมีคนอื่นที่โปรไฟล์ดีไม่แพ้พี่คลื่นมาชอบมึง มึงจะยอมตัดใจจากพี่คลื่นไปหาเขาไหม”

     “ทำไมถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาวะ”

     “เอาน่า ตอบมาเถอะ กูอยากรู้”

     ผมหรี่ตามองคนตรงหน้า “พวกมึงคงไม่ได้มีเรื่องปิดบังกูอยู่ใช่ไหม”

     “ปิดบงปิดบังอะไร กูก็แค่สงสัยเฉยๆ รีบตอบสักทีสิพวกกูรอฟังอยู่” ฝนพูดเหมือนรำคาญ แต่มันคงไม่รู้ตัวว่ากำลังเสียงสูง ผมรู้ว่ามันมีเรื่องปิดบังแน่นอนแต่ขี้เกียจจะไล่ถามเลยยอมตอบให้มันจบๆ ไป

     “ถ้าเป็นตอนนี้กูคงยังไม่ตัดใจอ่ะ กูชอบพี่คลื่นมาก กูยังอยากมีความสุขกับเขาถึงแม้จะเหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วัน”

     “แล้วถ้าเกมของพี่คลื่นจบลงแล้วล่ะ”

     “อืม...” ผมนิ่งคิดสักพัก “ก็คงไม่เปิดใจให้คนใหม่อยู่ดี ถึงตอนนั้นกูคงกำลังเสียใจอยู่ กูไม่อยากเอาใครมาเป็นเครื่องมือรักษาแผลใจตัวเอง แบบนั้นมันใจร้ายกับคนที่ชอบกูมากเกินไป เพราะยังไงกูก็คงไม่แกร่งพอที่จะอกหักจากผู้ชายคนนึงแล้วไปรักผู้ชายอีกคนได้ทันทีอยู่แล้ว”

     ฝนกับควีนยกมือทาบอก ทำหน้าซาบซึ้งจนผมอดหมั่นไส้ไม่ได้

     “สุดยอดเลยเพื่อนกู เวทีนางงามปีหน้ากูจะส่งมึงเข้าประกวด”

     “รู้แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน กูจะได้ไม่ต้องเป็นกามเทพสื่อรักช่วยมึงในทางที่ผิด”

     “พูดแบบนี้แปลว่ามีเรื่องปิดบังอยู่จริงๆ สินะ” ผมหรี่ตามองฝนอีกรอบ

     “เปล่า! ไม่มี! มึงคิดมากเกินไปแล้ว!”

     ผมคิดมากจริงหรือเปล่าไม่รู้ แต่เสียงไอ้ฝนอ่ะ ถ้าสูงกว่านี้อีกนิดคือยอดเขาเอเวอเรสต์แล้วนะ

     “เฮ้ยพวกมึง” ควีนพยักพเยิดให้หันไปมองหน้าตึก ผมกับฝนเลยหยุดเกมถามตอบกันชั่วคราว ภาพที่ข้าวหอมกำลังลงมาจากรถพี่องศาทำให้พวกผมสามคนขมวดคิ้วพร้อมกัน พอพี่องศาขับรถออกไปแล้วข้าวหอมก็เดินมาทางนี้ แต่พอเห็นพวกผมกำลังมองตาไม่กะพริบเจ้าตัวก็สะดุ้งเล็กน้อย

     ผมว่าผมมีอย่างอื่นให้สนใจมากกว่าเรื่องที่ไอ้ฝนปิดบังอยู่แล้วล่ะ

     ข้าวหอมเดินมานั่งข้างผมแต่ไม่ยอมสบตาใครสักคน ฝนกับควีนยิ้มกริ่ม เห็นหน้าพวกมันแล้วผมรู้เลยว่าข้าวหอมกำลังจะถูกสอบสวนในไม่ช้า

     “ไหนมึงบอกว่าพ่อกลับมาแล้ว พี่องศาเลยไม่ต้องมาส่งอีกไง” ควีนเริ่มเปิดประเด็น

     “หรือพ่อมึงกลับไปบ้านย่าอีกแล้ว”

     “ปะ...เปล่า”

     “แล้วทำไมเช้านี้มึงถึงมากับพี่องศาได้คะ”

     ข้าวหอมหันซ้ายหันขวา เหมือนกำลังหาทางหนีทีไล่ “ข้าว...ข้าวไปซื้อข้าวก่อนนะ พอดีเมื่อเช้ารีบไปหน่อยเลยลืมกินข้าวมา”

     พอพูดจบก็รีบลุกออกไปทันที ไม่เปิดโอกาสให้พวกผมอ้าปากถามอะไรอีก ฝนมองตามข้าวหอม คิ้วยังขมวดไม่หาย

     “ไอ้ข้าวแม่งมีเรื่องปิดบังอยู่แน่นอน คราวก่อนที่พ่อมันโทรมาหากูยังไม่อธิบายอะไรเลย”

     “เดี๋ยวๆๆ พ่อข้าวโทรหามึงเหรอ” ผมถามฝน

     “ใช่ วันที่มึงไปคอนโดฯ พี่คลื่นนั่นแหละ วันนั้นไอ้ข้าวกับพี่องศากลับไปก่อน ประมาณเที่ยงคืนพ่อไอ้ข้าวก็โทรมาหากู”

     “เขาโทรหามึงทำไมวะ”

     “เขาถามเรื่องพี่องศา ประมาณว่านิสัยดีไหม ไว้ใจได้หรือเปล่า”

     ได้ยินฝนพูดแล้วผมยิ่งงงเข้าไปใหญ่ “ทำไมจู่ๆ เขาก็โทรมาถามเรื่องนี้กับมึงอ่ะ”

     “จะไปรู้ไหมล่ะ กูทักไปถามไอ้ข้าวมันก็ไม่ตอบ นี่ก็ตั้งใจจะมาเค้นคำตอบจากมันเหมือนกัน แต่ดันมีเรื่องน่าสงสัยเพิ่มขึ้นมาอีก ทำเอากูเลือกไม่ถูกเลยว่าจะถามเรื่องไหนก่อนดี”

     ผมค่อนข้างมั่นใจว่าพี่องศาชอบข้าวหอมแน่นอน ส่วนข้าวหอมนั้นผมรู้จากฝนมาว่าชอบพี่องศาอยู่แล้ว ชอบมานานแล้วด้วย ตอนแรกผมนึกว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปคือทั้งสองคนจะประกาศคบกัน แต่รอมาหนึ่งสัปดาห์แล้วยังไม่เห็นอะไรเปลี่ยนแปลงผมเลยนึกว่าพี่องศากำลังรอจังหวะดีๆ ในการขอคบอยู่ แต่พอมาได้ยินฝนเล่าเรื่องพ่อข้าวหอม บอกตรงๆ ว่าผมงงไปหมดแล้วตอนนี้

     ข้าวหอมวางจานข้าวลงบนโต๊ะ นั่งลงข้างผมเหมือนเดิมก่อนจะลงมือกินข้าวโดยไม่พูดจากับใคร พวกผมสามคนมองหน้ากัน ถกเถียงกันทางสายตาว่าใครจะเป็นคนถาม ฝนที่อยากรู้มากที่สุดทนไม่ไหวเลยอาสาถามด้วยตัวเอง

     “ข้าว มึงไม่คิดจะบอกอะไรพวกกูหน่อยเหรอ”

     มือที่กำลังจะตักข้าวเข้าปากค้างอยู่กับที่ ข้าวหอมมองจานข้าวตรงหน้าพลางเม้มปากแน่น

     “หรือต้องให้กูไปถามพี่องศาเอาเอง”

     คราวนี้ข้าวหอมหันมาส่ายหน้ารัวๆ จนผมกลัวคอจะหลุดจากไหล่ “ห้ามไปถามพี่องศานะ!”

     “งั้นมึงก็อธิบายมา ทั้งเรื่องที่พ่อมึงโทรมาหากูแล้วก็เรื่องที่มึงมากับพี่องศา”

     ข้าวหอมทำหน้าอึกอัก ยังไม่ยอมพูดอะไร ขณะที่พวกผมรอให้ข้าวหอมเปิดปากอยู่นั้นคนที่กำลังเป็นหัวข้อสนทนาก็โผล่มาจากด้านหลัง

     “ขอพี่นั่งด้วยคนนะครับเด็กๆ” พี่องศานั่งลงข้างข้าวหอม เอื้อมมือมาโอบไหล่ก่อนจะมองจานข้าวบนโต๊ะ “ข้าวผัดน่ากินจัง พี่ขอกินด้วยได้ไหมครับ”

     “พี่องศา! มาทำไมครับ”

     “ก็มากินข้าวกับเราไงครับ”

     “โรงอาหารคณะพี่ก็มี จะมาคณะผมทำไม”

     “คณะพี่มีโรงอาหารแต่ไม่มีข้าวหอม พี่กินไม่ลงหรอกครับ”

     พี่องศาคุยกับเพื่อนผมโดยไม่สนสีหน้างุนงงของพวกผมเลย จนกระทั่งควีนพูดขึ้นมาทั้งสองคนถึงได้หยุดคุยกัน

     “เอ่อ...นี่มันอะไรกันคะพี่องศา”

     คนตัวสูงที่กำลังทำหน้ากระเง้ากระงอดหันมาเลิกคิ้วใส่คนถาม “อะไรยังไงเหรอครับ”

     “ก็ที่พี่มาหาไอ้ข้าวนี่ไงคะ”

     “อ้าว ข้าวยังไม่ได้บอกพวกเราเหรอว่ากำลังถูกพี่ตามจีบอยู่”

     “หา!! จีบ!?” พวกผมสามคนอุทานพร้อมกัน ฝนรีบหันไปหาข้าวหอมที่ก้มหน้าหลบตาทันที

     “ไอ้ข้าว นี่มันหมายความว่ายังไง”

     “ทำไมมึงไม่บอกเรื่องนี้กับกูสักคำ”

     “พี่องศาเขาล้อเล่นน่ะ เราคุยกันแล้ว เขาไม่ได้จีบข้าวจริงๆ”

     “ไม่ครับ พี่จีบข้าวจริงๆ จริงจังมากด้วย” พี่องศารีบแก้ไขคำพูดเพื่อนผม

     “ผมบอกแล้วไงครับว่าให้พี่ลืมมันไป”

     “พี่จะไม่ลืมและไม่ถอนคำพูดอะไรทั้งนั้นจนกว่าข้าวจะบอกเหตุผลให้พี่รู้”

     “ผมก็บอกไปตั้งแต่วันนั้นแล้วไงครับ”

     “เหตุผลแบบนั้นพี่ไม่ยอมรับครับ พี่ไม่รู้นะว่าข้าวคิดอะไรอยู่ แต่ถ้าจะปฏิเสธพี่เพราะเรื่องแค่นั้นพี่ไม่มีวันยอมเด็ดขาด”

     ผมหันไปมองฝนกับควีนอย่างต้องการคำอธิบาย แต่มันก็มองหน้าผมกลับประมาณว่ากูก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้าวหอมกับพี่องศาคุยอะไรกันอยู่วะ หันมาอธิบายหน่อยได้ไหม พวกผมตามไม่ทันแล้วนะ

     “สรุปก็คือพี่กำลังจีบเพื่อนหนูใช่ไหมคะ” ฝนรวบยอดถามเข้าประเด็นสำคัญ พี่องศาหันมาพยักหน้ายิ้มๆ

     “ใช่ครับ”

     “พี่ชอบไอ้ข้าวเหรอคะ”

     คนถูกถามหันมามองเพื่อนผมที่กำลังหน้าแดงแบบปิดไม่มิด “ครับ...พี่ชอบข้าว”

     “กรี๊ด!!!” ฝนกับควีนส่งเสียงแหลมๆ พร้อมกัน ทำเอาแก้วหูผมเกือบแตก

     “แสดงว่าที่พ่อไอ้ข้าวโทรมาเมื่อวันก่อนคือพี่องศาไปขอคบกับลูกชายเขาใช่ไหมคะ” ฝนถามด้วยท่าทางตื่นเต้น

     “อ๋อ วันนั้นพี่คุยกับพ่อเรื่องขอมารับมาส่งข้าวเหมือนเดิมครับ พ่อข้าวคงอยากรู้ว่าพี่ไว้ใจได้หรือเปล่าเลยโทรไปถามน้องฝน”

     “แล้วยังไงคะ คบกันแล้วใช่ไหม”

     “ยังครับ”

     “อ้าว ทำไมล่ะคะ”

     “ข้าวไม่ยอมให้พี่จีบ”

     และทุกสายตาก็หันไปมองข้าวหอมอีกรอบ คำพูดของพี่องศาทำให้พวกผมงงยิ่งกว่าเดิม

     “ทำไมมึงไม่ให้พี่องศาจีบวะข้าว ไหนมึงบอกว่า...”

     “ฝน อย่าพูดนะ” ข้าวหอมทำหน้าจริงจังจนฝนไม่กล้าพูดต่อ หันไปหาคนตัวสูงก่อนจะพูดเสียงหนักแน่น “ผมพูดจริงๆ นะครับ พี่อย่าพยายามในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย เราสองคนต่างกันเกินไป ต่อให้ได้คบกันจริงพี่ก็ไม่มีความสุขหรอก”

     ข้าวหอมลุกเดินออกไปทันที ทิ้งคำพูดชวนงงให้คนที่ยังอยู่ขมวดคิ้วเล่น พี่องศามองตามไปก่อนจะหันกลับมาหาพวกผม สีหน้าแสดงออกชัดว่ากำลังเสียใจและสับสน

     “ข้าวหอมเป็นอะไรเหรอครับ เอาแต่พูดว่าคบกันไม่ได้มาสองครั้งแล้ว”

     “หนูก็ไม่รู้ค่ะ ไม่เคยเห็นมันเป็นแบบนี้มาก่อนเลย”

     พวกผมรีบเดินตามข้าวหอมไป ส่วนพี่องศาก็ขอตัวไปเรียน ในใจผมตอนนี้มีแต่คำถามเต็มไปหมด

     เป็นอะไรไปนะข้าวหอม ชอบพี่องศาเหมือนกันแท้ๆ แต่กลับปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยได้ลงคอ



     ถึงจะโดนข้าวหอมพูดแบบนั้นใส่ แต่ความตั้งใจของพี่องศาก็ไม่ลดลงเลย ตอนกลางวันพี่องศาพาเพื่อนๆ มากินข้าวที่โรงอาหารคณะผม ข้าวหอมจะแยกตัวไปก็โดนฝนกับควีนรั้งไว้ อันที่จริงตลอดคาบเรียนพวกผมก็พยายามถามเหตุผลแล้ว แต่ข้าวหอมไม่ยอมบอกอะไรเลย

     “เบาๆ หน่อยก็ได้องศา จานน้องเขาแทบจะไม่เห็นข้าวแล้ว” พี่ยี่หวาแซวยิ้มๆ เมื่อเห็นเพื่อนตักกับข้าวของตัวเองมาใส่จานเพื่อนผมไม่หยุด

     “พี่องศา พอได้แล้วครับ”

     “ข้าวตัวเล็กเกินไป ต้องกินเยอะๆ เข้าใจไหมครับ”

     “ปกติผมก็กินเยอะอยู่แล้ว”

     “งั้นก็ต้องกินให้เยอะมากขึ้น”

     “นี่มึงห่วงน้องเขาจริงๆ หรือหวังทำคะแนนวะ” พี่ทิวเอ่ยแซวอีกคน ดูจากคำพูดแล้วผมคิดว่าพวกพี่เขาน่าจะรู้เรื่องที่พี่องศากำลังจีบข้าวหอมแล้ว

     “เป็นห่วงจริงๆ ไม่ได้หวังอย่างอื่นเลย แต่ถ้าได้คะแนนด้วยก็จะดีใจมาก” ประโยคหลังพี่องศาหันมาส่งสายตาให้เพื่อนผม ข้าวหอมรีบเบือนหน้าหนี แต่ผมเห็นว่าข้าวหอมแอบทำแก้มพองลม

     ต่อให้ปากปฏิเสธยังไงแต่ในใจก็อดเขินไม่ได้สินะ แสดงว่าที่บอกว่าชอบพี่องศาคงไม่ใช่เรื่องโกหก

     “ไม่คิดจะทำให้พี่บ้างเหรอ”

     “ครับ?” ผมทำหน้าเหลอหลา พี่คลื่นที่นั่งตรงข้ามผมพยักพเยิดหน้าไปทางพี่องศากับข้าวหอม

     “องศายังดูแลข้าวหอมได้เลย แล้วเดือนไม่คิดจะดูแลพี่บ้างเหรอครับ”

     “พี่คลื่นหมายถึง...อยากให้ผมทำเหมือนพี่องศาเหรอครับ”

     “ไหนใครกันนะที่บอกให้พี่กินข้าวเยอะๆ จะได้หายไวๆ” พี่คลื่นไม่ยอมตอบคำถามตรงๆ เอาแต่เฉไฉไปพูดเรื่องอื่น “ตอนนี้พี่ดีขึ้นแล้วแต่ยังไม่หายสนิท เดือนดูแลพี่แล้วก็ต้องดูแลให้ตลอดสิครับ”

     พี่คลื่นไม่ได้พูดเสียงดังก็จริง แต่เพราะโต๊ะไม่ได้กว้างทำให้ทุกคนที่นั่งกินข้าวอยู่ได้ยินที่เราสองคนคุยกัน ฝนกับควีนหันมามองตาปริบๆ ส่วนพี่ยี่หวากับพี่ทิวก็เลิกแซวพี่องศาแล้วหันมาแซวพี่คลื่นแทน

     “ไข้หวัดสายพันธุ์อะไรวะ เป็นหนึ่งสัปดาห์แล้วยังไม่หายเลย”

     “อยากให้น้องเขาเอาใจก็บอกมาเถอะ ไม่ต้องเอาหวัดมาอ้างหรอก”

     จริงอยู่ที่หลายวันมานี้พี่คลื่นอาการดีขึ้นมาก แต่ทุกครั้งที่วิดีโอคอลกันพี่คลื่นมักจะบอกว่ายังไม่หายดี สงสัยจะเป็นไข้หวัดใหญ่ ผมบอกให้ไปหาหมอก็ไม่ยอมไป สุดท้ายเลยจบที่ผมต้องทำหน้าที่คุณหมอชั่วคราวคอยกำชับให้กินข้าวเยอะๆ และกินยาให้ตรงเวลาอยู่ทุกวัน

     “ตกลงมันยังไงกันแน่วะ ไหนพี่คลื่นบอกว่ามีคนในใจแล้วไง ทำไมถึงทำท่าเหมือนจีบไอ้เดือนอยู่เลย” ฝนกระซิบกับควีนสองคน

     “กูก็งงเหมือนมึงนั่นแหละค่ะ ตอนนี้หัวจะระเบิดอยู่แล้ว คู่นั้นก็ชวนงงคู่นี้ก็ชวนปวดหัว ไม่รู้จะช่วยใครก่อนดี”

     ผมตักทอดมันของตัวเองจะเอาไปใส่จานพี่คลื่น แต่คนตัวสูงกลับจับมือผมไว้ไม่ให้ทำแบบนั้น

     “ไม่เอาตักให้ครับ อยากให้ป้อนมากกว่า”

     “ปะ...ป้อนเหรอครับ” ผมทวนคำพูดอย่างอึ้งๆ ไม่คิดว่าพี่คลื่นจะขออะไรแบบนี้ต่อหน้าคนอื่น

     “นะครับ”

     สงสัยผมคงต้องพูดกับพี่คลื่นอย่างจริงจังแล้วว่าอย่ามองคนอื่นแบบนี้อีก พี่ควรเก็บสายตานี้ไว้มองคนที่พี่รักคนเดียวนะครับ...

     ผมค่อยๆ ยื่นช้อนไปตรงหน้า พยายามทำเหมือนไม่คิดอะไรทั้งที่ในใจกำลังเต้นโครมคราม พี่คลื่นยิ้มจนลักยิ้มโผล่ก่อนจะอ้าปากกินทอดมัน

     “หูยยยยย ไอ้คลื่นแม่งสุดยอดเลยว่ะ”

     “กูเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าไข้หวัดก็ทำให้เป็นง่อยได้”

     “หวานกันไม่เกรงใจสถานที่เลยนะมึง”

     เสียงแซวจากรอบโต๊ะทำให้ผมรีบชักมือกลับมา ขณะที่ผมทำหน้าไม่ถูก พี่คลื่นกลับเอาแต่ยิ้มสบายๆ เหมือนไม่คิดอะไรจนผมอดสงสัยไม่ได้

     ไม่คิดจะแก้ตัวเลยหรือไงวะ คนอื่นกำลังเข้าใจผิดว่าพี่กับผมสวีทกันอยู่นะ

     “อีควีน มึงอยู่กับไอ้ข้าวไปก่อน” ฝนพูดกับควีนพอให้ได้ยินสองคนก่อนจะหันมาสั่งผม “เดือน มากับกูหน่อย”

     “มึงจะไปไหน”

     “เถอะน่า ตามมาเงียบๆ ก็พอ” ฝนหันไปขอตัวกับคนอื่นก่อนจะจูงมือผมเดินออกมา ผมได้แต่เดินตามมันไปด้วยความงง





(มีต่อนะครับ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-09-2022 21:14:42 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
     “มึงมีอะไรที่ยังไม่ได้เล่าให้กูฟังอีกหรือเปล่า” พอออกมาพ้นโรงอาหารแล้วฝนก็ยิงคำถามใส่ผมทันที

     “เรื่องอะไร”

     “ก็เรื่องของมึงกับพี่คลื่นไง”

     “กูก็เล่าให้ฟังไปหมดแล้วไง จะเอาอะไรอีก”

     ฝนยกมือมาลูบคาง เหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง “กูว่ามันแปลกๆ”

     “อะไรแปลกวะ”

     “ท่าทางที่พี่คลื่นมีต่อมึง ดูยังไงก็เหมือนเขากำลังจีบมึงไม่มีผิด”

     “มึงจะบ้าเหรอ เขาก็บอกอยู่ว่ามีคนที่รักแล้ว” พูดไปก็เจ็บไป ทำไมไอ้ฝนต้องให้ผมมาพูดอะไรแบบนี้ด้วยเนี่ย

     “ก็นั่นแหละที่กูงงอยู่ตอนนี้ พี่คลื่นบอกว่ารักคนอื่น แต่การกระทำแม่งสวนทางกันชัดๆ”

     “มึงคิดมากเกินไปแล้ว พี่คลื่นคงเห็นว่าใกล้จะครบหนึ่งเดือนเลยอยากเซอร์วิสกูเป็นพิเศษก็ได้” ผมเองก็อยากให้สิ่งที่ฝนสงสัยเป็นจริงเหมือนกัน แต่ความจริงก็คือความจริงวันยังค่ำ ผมไม่สามารถหลอกตัวเองได้ว่าคนที่พี่คลื่นรักคือผม

     “กูพูดตรงๆ นะเดือน ก่อนพี่คลื่นจะบอกว่ามีคนในใจแล้ว กูเคยคิดเล่นๆ ว่าเขาสร้างเกมวิดีโอคอลขึ้นมาเพื่อหลอกจีบมึง”

     “เพ้อเจ้อใหญ่แล้วนะมึงอ่ะ” ผมว่าฝนพร้อมกับดีดหน้าผากมันไปหนึ่งที ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงตอนอยู่ในค่ายอาสาพี่คลื่นต้องบอกรักผมแล้วสิ

     “เดือน”

     ผมหันไปมองคนที่เข้ามาทัก พี่เมศส่งยิ้มมาให้ผมกับฝน

     “สวัสดีครับพี่เมศ”

     “มาซื้อน้ำเหรอครับ” ฝนพาผมมายืนคุยกันบริเวณหน้าร้านขายน้ำ พี่เมศเลยเข้าใจว่าพวกผมมาซื้อน้ำ

     “ใช่ครับ” ผมยิ้มกลับไป “แล้วพี่เมศมาทำอะไรที่คณะผมเหรอครับ”

     “พี่แวะมาหาเพื่อนน่ะ คิดเล่นๆ อยู่เหมือนกันว่าจะเจอเดือนหรือเปล่า ไม่คิดว่าจะได้เจอจริงๆ”

     “เหรอครับ” ผมรู้สึกว่าเสียงหัวเราะตัวเองฟังดูแห้งๆ ยังไงชอบกล “งั้นพวกผมขอตัวก่อนนะครับ”

     “อ้าว ไม่ซื้อน้ำแล้วเหรอ”

     “เอ่อ...พอดีผมให้เพื่อนยืนรออยู่น่ะครับ กลัวพวกมันรอนาน” ไม่รู้ว่าทำไม แต่พักหลังมานี้ผมรู้สึกแปลกๆ เวลาอยู่ใกล้พี่เมศ ผมเลยคิดว่าถ้าไม่จำเป็นก็อย่าทำตัวสนิทกันจะดีกว่า

     “เดี๋ยวครับ” พี่เมศเรียกผมไว้ตอนที่กำลังจะเดินกลับไปในโรงอาหาร “พี่มีเรื่องอยากคุยกับเดือนหน่อย สะดวกไหมครับ”

     “ตอนนี้เหรอครับ”

     “ใช่ครับ ที่จริงพี่อยากรอให้นานกว่านี้อีกหน่อย แต่ถ้าไม่พูดตอนนี้พี่กลัวว่ามันจะสายเกินไป”

     ฝนทำหน้าตกใจ ขณะที่ผมทำหน้างงกับคำพูดของอีกฝ่าย “พี่เมศมีอะไรเหรอครับ”

     คนตรงหน้าขยับมาใกล้จนผมเผลอก้าวถอยหลัง สายตาที่พี่เมศมองมาดูจริงจังต่างกับก่อนหน้านี้ลิบลับ

     “พี่ชอบเดือน”

     !!!!!!

     ตอนแรกผมนึกว่าพี่เมศจะคุยเรื่องเรียน เรื่องค่ายอาสา หรือเรื่องอะไรก็ตามที่เราสองคนพอจะคุยกันได้ ไม่คิดเลยว่าพี่เมศจะคุยเรื่องความรัก และที่คิดไม่ถึงยิ่งกว่านั้นคือพี่เมศจะบอกชอบผม ประโยคของคนตรงหน้าดังก้องอยู่ในหัวผมซ้ำไปซ้ำมา ฝนที่ยืนฟังอยู่ด้วยกันเบิกตาโพลง พี่เมศดึงมือผมไปกุม ไม่สนใจคนรอบข้างที่มองมาอย่างอยากรู้อยากเห็น

     “พี่รู้ว่ามันเร็วไปที่จะพูดคำนี้ แต่พี่มั่นใจว่าความรู้สึกนี้เป็นของจริงแน่นอน ถ้าพี่บอกว่าอยากจีบ...เดือนพอจะให้โอกาสพี่ได้ไหม”

     ผมไม่ตอบเพราะยังไม่หายตกใจ จนกระทั่งฝนใช้ศอกกระทุ้งเบาๆ สติผมถึงได้กลับมา

     “พะ...พี่ชอบผมเหรอครับ”

     “พี่ชอบเดือนจริงๆ ครับ อาจจะตั้งแต่ตอนอยู่ในค่าย หรือไม่ก็ตอนที่พี่ให้ผ้าเช็ดหน้าเราในห้องน้ำ”

     “พี่จะบอกว่าชอบผมตั้งแต่ตอนเจอกันครั้งแรกเหรอครับ”

     “คงแบบนั้นครับ ตอนรู้ตัวพี่เองก็แปลกใจเหมือนกัน ไม่คิดว่ารักแรกพบจะมีอยู่จริงจนกระทั่งมาเจอกับตัวเอง”

     ยิ่งได้ฟังความรู้สึกของคนตรงหน้าผมก็ยิ่งตกใจ จู่ๆ อดีตเดือนมหา’ลัยก็มาบอกชอบท่ามกลางผู้คนมากมาย ใครไม่ตกใจก็แปลกแล้วครับ ผมลองนึกทบทวนการกระทำของพี่เมศที่ผ่านมา ก่อนจะพบว่าพี่เมศแสดงออกว่าชอบผมมาตลอด แต่ผมซื่อบื้อเกินไปเลยดูไม่ออกเท่านั้นเอง

     ไม่ใช่ว่าทั้งชีวิตไม่เคยมีคนมาบอกชอบ แต่ผมไม่คิดว่าหนึ่งในนั้นจะมีพี่เมศด้วย นี่มันเกินความคาดหมายของผมไปมากจริงๆ

     “ว่าไงครับ ให้โอกาสพี่จีบเดือนได้ไหม” พี่เมศถามซ้ำเมื่อเห็นผมไม่พูดอะไร ผมหันไปหาฝนเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่มันกลับส่ายหน้าเบาๆ เหมือนอยากให้ผมตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยตัวเอง

     ผมค่อยๆ ดึงมือออกมา เงยหน้ามองคนที่กำลังรอคำตอบ “ผมขอตัดสินใจก่อนได้ไหมครับ”

     “ได้ครับ พี่ไม่ได้จะเร่ง แค่อยากบอกความรู้สึกให้เดือนรับรู้เฉยๆ” พี่เมศยิ้มพลางเอื้อมมือมาลูบหัว เรายืนคุยกันอีกนิดหน่อยพี่เมศก็ขอตัวไปหาเพื่อน

     “มึง...โอเคป่ะวะ” ฝนจับมือผมไปเขย่า มันคงเห็นสีหน้าผมไม่ค่อยดีเลยเป็นห่วง

     “มึงรู้เรื่องนี้อยู่แล้วใช่ไหม เมื่อเช้าถึงได้ถามกูอย่างนั้น”

     “ไม่ใช่แค่กูหรอก ทุกคนเขาก็รู้กันหมดนั่นแหละ มีแต่มึงที่เอาแต่อ๊องไม่ได้รู้อะไรกับเขาเลย”

     ผมยกมือมากุมขมับ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนผมตั้งตัวไม่ทัน

     “มึงจะเอายังไงต่อ” ฝนถามผม

     “ไม่รู้ ตอนนี้กูไม่รู้อะไรเลย”

     “ไม่รู้ก็ยังไม่ต้องตอบ ค่อยๆ คิดไม่ต้องรีบ”

     “ฝน”

     “หือ?”

     “สมมตินะ ถ้ากูตัดใจจากพี่คลื่นแล้วหันไปหาพี่เมศแค่เพราะไม่อยากอกหัก กูจะดูเลวไหมวะ” ถึงแม้เมื่อเช้าผมจะตอบฝนไปอย่างนั้น แต่พอมันเกิดขึ้นกับตัวเองจริงๆ ผมก็เริ่มไม่มั่นใจในคำพูดของตัวเอง

     “ไม่หรอก ทุกคนก็อยากเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองทั้งนั้นแหละ มึงไม่ได้เลว มึงแค่รักตัวเอง การรักตัวเองไม่ผิดสักหน่อย แต่ถ้าจะทำแบบนั้นจริงๆ มึงต้องพูดกับพี่เมศให้ชัดเจน ไม่อย่างนั้นคนที่เจ็บจะไม่ได้มีแค่มึงคนเดียว”

     ฝนตบไหล่เบาๆ สองที ผมพยักหน้าให้มันก่อนที่เราสองคนจะเดินกลับไปในโรงอาหาร ถ้าให้อธิบายความรู้สึกผมตอนนี้ มันทั้งตกใจ ว้าวุ่น สับสน มองไม่เห็นทางออกของเรื่องนี้เลย

     ผมควรทำยังไงดี...คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกเลย



     ผมคว้าตุ๊กตาหมีบนหัวเตียงมากอด ซุกหน้าเข้ากับขนนุ่มๆ ก่อนจะผ่อนลมหายใจเบาๆ วันนี้ผมแทบไม่มีสมาธิกับการเรียนเลย ในหัวเอาแต่คิดเรื่องพี่คลื่นกับพี่เมศตลอดเวลา ถ้าพ่อแม่ผมรู้เข้าคงรีบหยิบไม้เรียวมาไล่ตีแทบไม่ทัน

     ฝนเล่าเรื่องพี่เมศให้ข้าวหอมกับควีนฟังแล้ว ทั้งสองคนไม่ได้มีท่าทางตกใจ แค่แปลกใจนิดหน่อยที่พี่เมศบอกชอบผมเร็วขนาดนี้

     ผมยังชอบพี่คลื่นอยู่ ดีไม่ดีตอนนี้อาจจะพัฒนาไปถึงขั้นรักแล้วก็ได้ แต่เพราะผมรู้สึกกับพี่คลื่นมาก ความกลัวที่จะต้องอกหักเลยมีมากขึ้นตามไปด้วย มันก็เหมือนกับการปีนยอดเขา ยิ่งปีนขึ้นไปสูงเท่าไหร่ความกลัวว่าจะตกลงมาก็ยิ่งมีมากเท่านั้น และเพราะความกลัวนี้ผมเลยลังเลว่าควรซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเองต่อไป หรือควรเปิดใจให้คนที่จะไม่มีวันทำให้ผมเสียใจดี

     จริงอยู่ที่ผมตั้งใจจะเลิกรักพี่คลื่นหลังเกมจบอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ความรู้สึกของผมมันมาไกลเกินกว่าจะทำแบบนั้นได้ง่ายๆ แต่จะให้ผมทิ้งโอกาสนี้ไปเลยก็กลัวจะดูใจร้ายกับตัวเองและพี่เมศเกินไป

     ผมเป็นแค่คนธรรมดาที่กลัวเจ็บเป็นและมีความขี้ขลาดอยู่ไม่น้อย ไม่ได้โลกสวยถึงขนาดจะมั่นคงกับรักข้างเดียวไปตลอด ผมพูดแบบนี้อาจจะเห็นแก่ตัวไปหน่อย แต่ถ้าต้องเลือกระหว่างคนที่รักเรากับคนที่เรารัก หากไม่อยากเสียใจภายหลังใครๆ ก็ต้องเลือกคนที่รักเราอยู่แล้ว

     แต่ถ้าผมให้โอกาสพี่เมศ ผมจะมั่นใจได้ยังไงว่าเราสองคนจะไปกันรอด ผมไม่อยากให้ความหวังใครลมๆ แล้งๆ และยิ่งไปกว่านั้นผมไม่อยากดึงใครมาเจ็บแค่เพราะผมอยากเลิกรักใครสักคน

     โอ๊ยยยย ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด!!

     ระหว่างที่นอนคิ้วขมวดอยู่นั้นโทรศัพท์ข้างตัวก็สั่น ผมหยิบมาดูก่อนจะเม้มปากแน่น พี่คลื่นวิดีโอคอลมาหาเหมือนอย่างทุกคืน แต่คืนนี้ผมกลับไม่อยากรับสาย ผมกลัวว่าถ้าได้เห็นหน้าพี่คลื่นจะทำให้ตัดสินใจยากเข้าไปอีก

     “ครับพี่คลื่น” เกลียดตัวเองชะมัด ปากบอกไม่อยากรับแต่มือกดปุ่มสีเขียวไปแล้ว อะไรที่เกี่ยวกับพี่คลื่นผมปฏิเสธไม่ลงทุกที พี่คลื่นทำของใส่ผมหรือเปล่าวะ

     [เป็นอะไรครับ สีหน้าดูไม่ดีเลย]

     ผมลุกขึ้นนั่งให้เรียบร้อย หยิบตุ๊กตามากอดต่อพร้อมกับถือโทรศัพท์ให้อยู่ระดับเดียวกับใบหน้า “มีเรื่องเครียดนิดหน่อยน่ะครับ”

     [ใช่เรื่องเดียวกับเมื่อตอนกลางวันหรือเปล่า]

     “พี่รู้เหรอครับ” ผมถามกลับไปอย่างตกใจ อย่าบอกนะว่าตอนพี่เมศบอกชอบผมพี่คลื่นผ่านมาได้ยิน

     [ไม่ครับ พี่แค่เห็นว่าหลังกลับมากับน้องฝนเดือนก็เปลี่ยนไป เหมือนมีอะไรในใจตลอดเวลา]

     ผมลอบถอนหายใจนิดหน่อย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงไม่อยากให้พี่คลื่นรู้เรื่องนี้

     [อยากปรึกษาหรือระบายกับพี่ไหม]

     “ขอบคุณนะครับ แต่ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมเท่าไหร่” อันที่จริงต้องพูดว่าปรึกษาไม่ได้มากกว่า พี่คลื่นคงนึกไม่ถึงหรอกว่าผมกำลังเครียดเรื่องของเขาเอง “ห่วงแต่ผม แล้วพี่คลื่นล่ะครับเป็นไงบ้าง ยังปวดหัวหรือมีไข้อยู่ไหม” ผมชวนคุยเรื่องอื่นเพื่อไม่ให้บรรยากาศมาคุเกินไป

     [มีคนคอยบอกให้กินยาอยู่ทุกวัน ถ้าไม่หายก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วครับ] คนในสายพูดยิ้มๆ

     “ตอนกลางวันยังทำเหมือนไม่สบายอยู่เลย ตอนนี้หายดีแล้วเหรอครับ”

     [อันนั้นเขาเรียกอ้อนครับ ถ้าพี่ไม่ทำอย่างนั้นเดือนก็ไม่ป้อนพี่น่ะสิ]

     เห็นไหมครับ บอกแล้วว่าตอนอยู่กับพี่คลื่นผมมักจะลำบากกว่าเดิม ต้องคอยเตือนตัวเองเสมอว่าห้ามหวั่นไหวไปกับคำพูดเขาเด็ดขาด...

     [เดือนจะไม่ปรึกษาพี่จริงๆ เหรอ]

     “ปรึกษาอะไรครับ”

     [เรื่องที่เดือนกำลังเครียดไง] พี่คลื่นวกกลับมาเรื่องเดิมอีกครั้ง [พี่ไม่อยากเห็นเราทำหน้าเครียดแบบนี้เลย]

     “ผมขอเวลาหน่อยนะครับ ยังไม่อยากพูดถึงตอนนี้”

     เราสองคนไม่มีใครพูดอะไรอีก พี่คลื่นนั่งมองหน้าผม ผมก็นั่งกอดตุ๊กตาหมีที่พี่คลื่นซื้อให้ ผ่านไปสักพักคนตัวสูงก็ลุกออกจากกล้องไป ผมเลยคิดเอาเองว่าเขาคงไปห้องน้ำ

     มีวูบหนึ่งที่ผมอยากบอกพี่คลื่นไปตรงๆ เหมือนกัน ให้ความสัมพันธ์ของเรายุติเพียงเท่านี้แล้วผมก็ไปเริ่มต้นใหม่กับพี่เมศ แต่พอคิดว่าผมจะไม่ได้เห็นหน้า ไม่ได้คุย ไม่ได้บอกฝันดีพี่คลื่นอีก ผมก็รู้สึกกลัวจนไม่กล้าขึ้นมา พี่คลื่นคือคนสำคัญสำหรับผม ไม่ว่าปลายทางข้างหน้าจะเป็นยังไงผมก็ไม่อยากเสียพี่คลื่นไป...

     เริ่มไม่แน่ใจแล้วสิว่าพอเกมจบลงแล้วผมจะตัดใจจากพี่คลื่นได้จริงหรือเปล่า

     [หวัดดีครับ]

     ผมกะพริบตาปริบๆ มองตุ๊กตาหมีที่กำลังโบกมือในกล้องอย่างงุนงง เจ้าของตุ๊กตาที่หลบอยู่ข้างหลังขยับลำตัวกับแขนให้ดูเหมือนตุ๊กตามีชีวิตจริงๆ เสียงที่ปกติจะนุ่มทุ้มถูกบีบเล็กลงจนผมรู้สึกว่าน่ารักไปอีกแบบ

     [พี่คลื่นบอกว่าพี่เดือนมีเรื่องคิดมากอยู่แต่ไม่อยากปรึกษาเขา ถ้างั้นมาปรึกษาผมแทนได้นะครับ]

     จากที่ตั้งใจจะไม่หัวเราะ พอได้ยินแบบนั้นผมก็หลุดขำอย่างห้ามไม่อยู่

     “พี่คลื่นเล่นอะไรครับเนี่ย”

     [ผมไม่ใช่พี่คลื่น ผมคือน้องหมีต่างหาก]

     เอากับเขาสิครับ ทำอย่างกับกำลังปลอบเด็กอยู่งั้นแหละ

     [ผมเก่งนะ ให้คำปรึกษาได้ทุกเรื่องเลย ไม่เชื่อพี่เดือนลองปรึกษาผมสิ]

     “อืม...จะเชื่อดีไหมนะ น้องหมีเป็นที่ปรึกษาเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมแกล้งทำเป็นลังเล ในเมื่อพี่คลื่นเล่นมาแบบนี้ผมก็ต้องเล่นกลับ ในใจเอาแต่คิดว่าพี่คลื่นน่ารักจนผมหุบยิ้มไม่ได้เลย

     [แน่นอนครับ ทั้งเก่งทั้งหล่อเลยจะบอกให้]

     “ถ้างั้นน้องหมีอยู่ฟังพี่เดือนหน่อยได้ไหมครับ พี่มีเรื่องอยากเล่าให้น้องหมีฟัง” พี่คลื่นอุตส่าห์ทำเพื่อผมขนาดนี้ ใครจะไปใจแข็งอยู่ได้ล่ะครับ แต่ไม่ต้องห่วง ผมไม่เล่าทั้งหมดหรอก ผมจะเล่าเฉพาะส่วนที่เล่าได้

     [ยินดีครับ ให้อยู่ฟังทั้งคืนน้องหมีก็อยู่ได้]

     ผมยิ้มกว้างกว่าเดิมเมื่อได้ยินแบบนั้น สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเริ่มเล่า

     “พี่เดือนไปดูหนังเรื่องนึงมา นางเอกแอบหลงรักพระเอก แต่พระเอกมีคนในใจอยู่แล้ว นางเอกเลยเก็บเรื่องนี้เป็นความลับไม่บอกพระเอกมาตลอด” ผมเลือกที่จะเล่าให้ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ไม่รู้หรอกว่าจะได้ผลไหม แต่ก็ยังดีกว่าให้บอกตรงๆ ว่าเป็นเรื่องของตัวเอง “หลังจากนั้นก็มีผู้ชายอีกคนมาสารภาพรักกับนางเอก เธอเลยเกิดความลังเลว่าจะทำยังไงต่อไปดี”

     […]

     “นางเอกรักพระเอกมาก เธอไม่อยากเสียพระเอกไปเลยแม้แต่นิดเดียว...” เสียงของผมเริ่มสั่น แต่ผมก็ยังพยายามพูดต่อไป “แต่เพราะรักมาก นางเอกเลยกลัวว่าถ้าวันนึงพระเอกทิ้งตัวเองไปแล้วจะทนอยู่โดยไม่มีเขาได้หรือเปล่า”

     […]

     “นางเอกไม่เคยคิดจะนอกใจพระเอก แต่เพราะความกลัวเธอเลยเกิดความสับสนว่าควรจะเลือกอะไรดี ระหว่างคนที่เรารัก...หรือคนที่รักเรา”

     […]

     “ถ้าน้องหมีเป็นนางเอก น้องหมีจะเลือกใครครับ” ผมฝืนยิ้มให้ตุ๊กตาหมีตรงหน้า พยายามกลืนก้อนสะอื้นลงไปในคอ ผมรออยู่สักพักแต่ก็ไม่มีคำตอบกลับมาให้ ไม่รู้ว่าเพราะอีกฝ่ายกำลังคิดอยู่หรือรู้แล้วว่าผมเอาเรื่องตัวเองมาสมมติ ผมรอฟังด้วยใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ มือที่กอดตุ๊กตาอยู่กระชับแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว

     [ถ้าเป็นน้องหมีอาจจะตอบไม่ได้...] ในที่สุดคนในโทรศัพท์ก็ตอบกลับมาแล้ว แต่ขณะที่ผมงงกับคำตอบอยู่ ตุ๊กตาตรงหน้าก็ถูกยกออกไปพร้อมกับเสียงเล็กๆ ที่กลับมานุ่มทุ้มเหมือนเดิม [แต่พี่ตอบได้นะครับ]

     “พี่คลื่น!”

     [น้องหมีบอกว่าง่วงแล้วเลยให้พี่มาตอบแทน]

     ดูพูดเข้าสิครับ ผมไม่ใช่เด็กสามขวบนะจะได้เชื่ออะไรแบบนี้

     “ไหนน้องหมีบอกว่าอยู่ฟังได้ทั้งคืนไงครับ”

     [พี่ก็อยู่ฟังเดือนได้ทั้งคืนเหมือนกัน]

     เอาเถอะ ยังไงซะผมก็เล่าออกไปแล้ว จะพี่คลื่นหรือน้องหมีตอบก็ไม่ต่างกัน ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วผมก็มีแต่ต้องไปให้สุด

     [เดือนฟังดีๆ นะครับ พี่จะตอบแล้ว]

     “…ครับ”

     [พี่จะเลือกทำตามหัวใจตัวเอง พี่จะฟังแค่เสียงหัวใจตัวเองเท่านั้น ต่อให้เขาคนนั้นจะมีคนในใจอยู่แล้ว แต่ถ้าเขาสองคนยังไม่ได้คบหรือแต่งงานกัน พี่จะทำทุกวิถีทางให้คนในใจของเขากลายเป็นพี่ให้ได้ พี่ไม่สนว่าจะเป็นคนที่รักเราหรือคนที่เรารัก เพราะสุดท้ายแล้วคนสองคนนี้ก็ต้องเป็นคนเดียวกันอยู่ดี]

     ขณะที่กำลังพูดพี่คลื่นสบตากับผมตลอด แววตาตรงหน้าดูมุ่งมั่น ราวกับพี่คลื่นไม่ได้พูดถึงนางเอกในเรื่อง แต่กำลังพูดความรู้สึกของตัวเองให้ผมฟัง...

     [พี่อาจจะดูมั่นใจในตัวเองสูง หัวรั้น ไม่ยอมคน แต่เพราะพี่รักเขามากเลยไม่อยากเสียเขาไป พี่จะไม่ยอมแพ้จนกว่าคำว่าไม่ชอบจะออกมาจากปากเขา ตราบใดที่เขายังไม่พูดคำนั้น พี่จะทำทุกอย่างเพื่อให้เขารักพี่ให้ได้]

     คำพูดของพี่คลื่นเปรียบเสมือนสายลมที่พัดความลังเลในใจผมให้ลอยหายไปในพริบตา จากที่ตอนแรกไม่ได้คาดหวังอะไร ตอนนี้ผมกลับได้คำตอบทุกอย่างเหมือนเอาเรื่องตัวเองมาปรึกษาจริงๆ ผมสบตาพี่คลื่นกลับไป ริมฝีปากยกยิ้มด้วยความโล่งใจ ทั้งที่พี่คลื่นไม่ได้ให้กำลังใจแม้แต่น้อย แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนได้รับกำลังใจมาแล้วเรียบร้อย

     “ผมก็คิดแบบนั้นครับ ผมเองก็ไม่อยากเสียคนที่ตัวเองรักไปเหมือนกัน ขอบคุณสำหรับคำตอบนะครับ ผมคิดว่านางเอกคนนั้นได้คำตอบที่ต้องการแล้ว”

     ข้าวหอม ฝน ควีน กูขอโทษนะ แต่กูคงตัดใจจากพี่คลื่นอย่างที่บอกพวกมึงไว้ไม่ได้แล้ว

     ผมจะไม่ยอมแพ้คนในใจของพี่คลื่น ผมจะทำให้พี่คลื่นเปลี่ยนใจมารักผมให้ได้...





     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-09-2022 21:15:05 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
คือเนื้อเรื่องดีนะครับ  แต่ว่าเรื่องปากแข็งของตัวละคร มันดูน่าอึดอัดและน่ารำคาญเกินไปหน่อยนะครับ เอาแต่พอดีก็พอแล้วมั่งครับ

ออฟไลน์ RedQueen

  • Memois Of A Calamity Queen
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ปกติแหละนะ ถ้าคนที่มาบอกชอบเราเขาดูเกินเอื้อมมือมันก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา o22
ส่วนพี่คลื่นเนี้ย ถ้าไม่รีบล่ะก็ เสร๊จพี่เมศแน่นวล o18

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lovejinjunno

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
สนุกมากเลยค่ะ อ่านรวดเดียวเลย วางไม่ลงจริงๆ
เรารู้สึกสงสัยน้องข้าวอ่ะ เข้าใจความรู้สึกน้องเลยอ่ะ
เอาใจช่วยให้น้องคลายปมออกมาได้นะ

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 20 : ใจตรงกัน





     “หา!!” ฝนกับควีนอุทานพร้อมกัน ผมเลยเอามือไปปิดปากพวกมันพลางหันไปรอบตัวว่ามีใครมองไหม

     “จะเสียงดังกันทำไม”

     “ก็ดูมึงพูดสิ ใครบ้างจะไม่ตกใจ”

     “ผีเข้าสิงมึงอยู่ใช่ไหม เอาไอ้เดือนคนอ๊องของกูคืนมานะอีผีบ้า”

     “ผีไม่ได้เข้าสิงกู แต่ถ้ามึงยังไม่หยุดพูดคำว่าอ๊อง กูนี่แหละจะเสกควายเข้าท้องมึง”

     “เดือนพูดจริงเหรอ” ข้าวหอมถามเหมือนไม่ค่อยเชื่อสิ่งที่ผมพูด

     “เราพูดจริงข้าว และจะทำจริงด้วย”

     “ทำไมจู่ๆ มึงถึงอยากจีบพี่คลื่นขึ้นมาวะ ไหนบอกว่าหลังเกมวิดีโอคอลจบแล้วจะตัดใจจากเขาไง” ฝนขมวดคิ้วมอง ควีนกับข้าวหอมก็ทำหน้าแบบเดียวกัน

     “กูรักพี่คลื่น”

     เพื่อนทั้งสามคนต่างเบิกตาโพลง ไม่รู้ว่าตกใจคำพูดหรือท่าทางจริงจังของผม

     “ตอนนั้นกูกำลังเสียศูนย์ พอรู้ว่าพี่คลื่นมีคนในใจแล้วกูเลยคิดอยู่อย่างเดียวว่าต้องตัดใจ แต่ตอนนี้กูรู้แล้วว่ากูรักเขาเกินกว่าจะตัดใจได้ กูอยากเป็นคนในใจเขา กูไม่อยากยอมแพ้คนที่พี่คลื่นรักตั้งแต่ยังไม่เริ่มทำอะไร”

     ทุกคำที่ผมบอกเพื่อนผมคิดทบทวนมาอย่างดีแล้ว ผมรักพี่คลื่น...รักมากจนไม่อยากคิดว่าถ้าวันหนึ่งเขาไปคบกับคนอื่นแล้วผมจะเป็นยังไง ผมไม่รู้หรอกว่าคนที่พี่คลื่นรักคือใคร แต่สิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจคือความรู้สึกที่ผมมีให้พี่คลื่นไม่แพ้ใครแน่นอน

     “มึงแน่ใจแล้วใช่ไหมเดือน”

     “อืม”

     ฝนทำหน้าปลื้มปริ่ม เอื้อมมือมาจับไหล่ผมแล้วบีบเบาๆ “ตั้งแต่คบกับมึงมากูไม่เคยภูมิใจในตัวมึงเท่านี้มาก่อนเลย”

     “ให้มันได้อย่างนี้สิเพื่อนกู ไม่เสียแรงที่กูกับอีฝนเชียร์มานาน ลุยเลยมึง กูเอาใจช่วยเต็มที่ ใช้เสน่ห์กับความอ๊องของมึงพิชิตใจพี่คลื่นให้ได้”

     ผมว่าผมจะได้เสกควายเข้าท้องควีนจริงๆ ก็วันนี้แหละ เลิกว่าผมอ๊องสักวันมันจะตายหรือไง

     “ว่าแต่มึงจะทำยังไงวะ พรุ่งนี้ก็จะครบหนึ่งเดือนแล้วไม่ใช่เหรอ” คำถามของฝนทำให้ใจที่กำลังฮึกเหิมกลับมาห่อเหี่ยวอีกครั้ง

     “กูก็ไม่รู้ พี่คลื่นไม่เคยพูดเลยว่าถ้าเกมจบแล้วเขาจะเอายังไงต่อ”

     “แต่ถึงจะไม่ได้วิดีโอคอลด้วยกันมึงก็ยังไปมาหาสู่กับเขาได้ไม่ใช่เหรอ”

     “กูกลัวพี่คลื่นจะเอาเวลาไปให้คนที่เขารักหมดอ่ะดิ ที่ช่วงนี้เขาไม่พูดถึงเรื่องนี้เลยคงเพราะกำลังเอนเตอร์เทนผู้ชนะเกมอย่างกูอยู่”

     “มึงอย่าเพิ่งคิดมากเกินไป ถ้าเป็นแบบนั้นจริงมึงก็รีบทำคะแนนแซงหน้าไปเลย น้ำหยดลงหินทุกวัน เดี๋ยวหินก็ต้องใจอ่อนสักวันแหละ” ฝนตบไหล่ผมเบาๆ

     “แต่ก่อนจะไปสู้กับคนในใจของพี่คลื่น มึงไม่อยากรู้เหรอว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”

     “กูก็อยากรู้ แต่พี่คลื่นไม่บอกอะไรเลย จะให้กูถามออกไปตรงๆ ก็คงไม่เหมาะ”

     “ชักอยากเห็นขึ้นมาแล้วสิ ต้องน่ารักขนาดไหนวะถึงมัดใจพี่คลื่นได้”

     “อีควีน!” ฝนตีแขนเพื่อนเต็มแรง เหลือบมามองผมอย่างเป็นห่วง

     “ไม่เป็นไร กูไม่หวั่นไหวเพราะเรื่องแค่นี้หรอก ต่อให้ผู้หญิงคนนั้นจะน่ารักแค่ไหนกูก็จะไม่ยอมแพ้จนกว่าพี่คลื่นจะพูดออกมาเองว่าไม่ชอบกู”

     “มันต้องอย่างนี้สิคะ วันนี้มึงแกร่งถูกใจกูจริงๆ” ควีนมองผมอย่างภูมิใจเหมือนมันส่งลูกเรียนจบปริญญาเอกได้สำเร็จ

     พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายที่ผมจะได้วิดีโอคอลกับพี่คลื่น ที่จริงผมอยากถามมานานแล้วว่าถ้าครบหนึ่งเดือนแล้วพี่คลื่นจะเอายังไงต่อ แต่ทุกครั้งที่จะถามผมก็เกิดกลัวคำตอบขึ้นมา เลยกลายเป็นว่าผมไม่เคยคุยเรื่องนี้กับเขาเลยทั้งที่เกมใกล้จะจบแล้ว

     เราสามคนคุยเรื่องพี่คลื่นต่ออีกนิดหน่อย ก่อนที่ฝนจะสังเกตถึงความผิดปกติ ฝนบุ้ยปากให้ผมกับควีนหันไปมองข้าวหอมที่นั่งเงียบมาสักพักแล้ว สายตาข้าวหอมที่กำลังมองทางอื่นดูเหม่อลอย สีหน้าเหมือนมีเรื่องเครียดในใจ

     “ข้าว”

     “หือ?” คนถูกเรียกหันมามอง

     “มึงเป็นอะไรอ่ะ ทำหน้าน่ากลัวเชียว”

     “เปล่า ข้าวแค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ”

     มองหน้าก็รู้แล้วว่าโกหก ตั้งแต่คบกันมาข้าวหอมไม่เคยปิดบังอะไรพวกผมได้หรอก ผมว่าถ้าข้าวหอมจะเครียดก็คงมีอยู่เรื่องเดียวแหละ

     “ว่าแต่พี่องศาจีบมึงไปถึงไหนแล้ววะ” ควีนพูดขึ้นมาเหมือนมันรู้ว่าข้าวหอมกำลังเครียดเรื่องนี้

     “ก็ไม่ถึงไหน ข้าวกับพี่องศาไม่มีอะไรทั้งนั้น”

     “กูว่าแล้วว่ามึงต้องตอบแบบนี้” ฝนถอนหายใจเล็กน้อย “ตกลงมึงจะไม่บอกพวกกูจริงเหรอว่าทำไมถึงไม่ให้พี่องศาจีบ มึงเองก็ชอบเขาไม่ใช่หรือไง”

     “ใช่ ข้าวชอบพี่องศา แต่แค่ชอบอย่างเดียวมันคบกันไม่ได้หรอก”

     “ทำไมวะ”

     พอมาถึงคำถามนี้ข้าวหอมก็เอาแต่เงียบเหมือนทุกครั้ง ผมเลยลองพูดหยั่งเชิงอีกเผื่อข้าวหอมจะหลุดปากออกมาบ้าง

     “ข้าวกลัวพี่องศาไม่จริงจังเหรอ” ผมหยุดพูดเพื่อรอดูปฏิกิริยา เมื่อเห็นข้าวหอมไม่แสดงอาการอะไรผมเลยพูดต่อ “พี่องศาอาจจะเคยเจ้าชู้ก็จริง แต่ตอนนี้เขาถึงขั้นไปขอร้องพ่อข้าวเพื่อจะมารับมาส่งข้าวเลยนะ ข้าวคิดว่าคนที่เกลียดการตื่นเช้าอย่างพี่องศาจะยอมทำขนาดนี้ทำไมถ้าไม่จริงจัง”

     “กูเห็นด้วยกับไอ้เดือนนะ มึงลองให้โอกาสพี่องศาหน่อยไหม อย่าเพิ่งด่วนตัดสินเขาเลย”

     ข้าวหอมไม่ตอบอะไร พวกผมสามคนเลยได้แต่ทำหน้าหนักใจ ดูท่าข้าวหอมคงไม่ยอมพูดความในใจง่ายๆ แล้วแบบนี้พวกผมจะช่วยยังไงดีล่ะเนี่ย

     “ไม่ว่ายังไงมึงก็จะไม่พูดใช่ไหม”

     ข้าวหอมเม้มปากแน่น ปล่อยให้ความเงียบเป็นคำตอบ

     “โอเค กูยอมแพ้ ถ้ามึงไม่อยากพูดกูก็จะไม่เซ้าซี้ แต่มึงรู้ใช่ไหมว่าพวกกูรักมึง” ที่ฝนถามอย่างนี้คงเพราะมันเป็นห่วงข้าวหอมจริงๆ นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ผมคบฝนเป็นเพื่อนสนิท ถึงเวลาปกติมันจะปากหนักแถมยังชอบหยาบคายกับเพื่อน แต่ลึกลงไปนั้นฝนเป็นคนที่รักและแคร์เพื่อนมากๆ

     “อืม ข้าวรู้”

     “งั้นก็รู้ไว้ด้วยว่าที่กูถามบ่อยๆ เนี่ยเพราะเป็นห่วง ไม่ใช่ว่าอยากเสือกเลย”

     “เหรอคะ” ควีนรีบสวนขึ้นมาเสียงสูง

     “เออ ก็อยากเสือกนิดนึง แต่หลักๆ คือกูไม่อยากให้มึงคิดมากอยู่คนเดียว กูอยากให้มึงมีความสุข อยากให้มึงได้ทำตามใจตัวเอง กูไม่รู้นะว่ามึงคิดมากเรื่องอะไร แต่สัญญาได้ไหมว่าถ้ามันเกินกำลังเมื่อไหร่มึงจะมาปรึกษาพวกกู”

     คราวนี้ข้าวหอมพยักหน้าเล็กน้อยแต่ใบหน้ายังไม่คลายกังวล ผมเลยส่งยิ้มปลอบใจไปให้ เอาเถอะ อย่างน้อยวันนี้ข้าวหอมก็รับปากแล้ว ที่เหลือก็อยู่ที่พี่องศาแล้วล่ะว่าจะทำให้เพื่อนผมใจอ่อนได้เมื่อไหร่

     เหลืออีกไม่กี่นาทีก็จะถึงเวลาเรียนแล้ว ควีนเลยชวนทุกคนขึ้นไปนั่งตากแอร์รออาจารย์บนห้องเรียน ข้าวหอมกับฝนพยักหน้าเห็นด้วย แต่ผมกลับขอตัวแยกออกมา

     “มึงจะไปไหนวะเดือน”

     “ห้องน้ำ” ผมตอบเพื่อนสั้นๆ แล้วเดินออกมาทันที ห้องน้ำอยู่ทางซ้าย แต่ผมกลับเดินเลี้ยวไปทางขวา เพราะสถานที่ที่ผมจะไปจริงๆ คือคณะบริหารฯ

     ตอนนี้เรื่องข้าวหอมเอาไว้ทีหลัง ผมต้องจัดการเรื่องของตัวเองให้เรียบร้อยก่อน ในเมื่อผมมั่นใจว่าจะรักพี่คลื่นต่อไป ผมก็ต้องทำทุกอย่างให้มันชัดเจน



     พี่เมศเป็นถึงอดีตเดือนมหา’ลัย คนส่วนใหญ่เลยรู้จักพี่เขากันหมด การจะให้เพื่อนที่อยู่คณะบริหารฯ ช่วยสืบตารางเรียนของพี่เมศให้จึงไม่ใช่เรื่องยากเย็น

     คนตัวสูงกำลังเดินลงมาจากตึกเรียน ผมที่นั่งรออยู่ใต้ตึกเลยเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า มองจากระยะไกลยังเห็นรังสีความหล่อแผ่ออกมาชัดเจนเลย พี่เมศกับพี่คลื่นนี่กินกันไม่ลงจริงๆ หล่อพอกันทั้งคู่

     “พี่เมศครับ”

     เจ้าของชื่อที่กำลังจะเดินผ่านไปหันมามอง ก่อนจะยิ้มอย่างดีใจเมื่อเห็นว่าเป็นผม

     “เดือนมาหาพี่เหรอครับ” พี่เมศย่างสามขุมเข้ามาหา ผมยืนขึ้นแล้วเงยหน้าสบตา

     “ผมมีเรื่องอยากคุยด้วย พี่สะดวกหรือเปล่าครับ”

     “ได้สิ ถ้าเป็นเดือนพี่มีเวลาให้ทั้งวันเลย”

     พี่เมศพาผมเดินลัดเลาะมายังสวนที่อยู่ติดกับมหา’ลัย ที่จริงผมตั้งใจจะคุยกันใต้ตึกเลย แต่พอพี่เมศรู้ว่าผมจะคุยเรื่องอะไรเขาก็บอกว่าอยากเลือกสถานที่ให้เข้ากันหน่อย

     “วันนี้เดือนมีคำตอบให้พี่แล้วใช่ไหม” พอนั่งลงบนโต๊ะม้าหินอ่อนแล้วพี่เมศก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบเข้าประเด็นสำคัญทันที

     “อย่าคาดหวังมากนะครับ มันอาจจะไม่ใช่คำตอบที่พี่อยากฟังก็ได้”

     “จะคำตอบแบบไหนพี่ก็รับได้หมดครับ”

     ผมยิ้มให้คนตรงหน้าเล็กน้อย ส่งคำขอโทษผ่านไปให้ทางสายตา “ขอบคุณสำหรับความรู้สึกดีๆ ที่พี่มีให้ผมนะครับ พี่เมศเป็นคนมีเสน่ห์ ใจดี ดูแลเอาใจใส่คนอื่นเก่ง”

     “ชมกันก่อนแบบนี้แปลว่ากำลังจะหักอกพี่สินะ” พี่เมศพูดยิ้มๆ ไม่ได้มีท่าทางเสียใจอย่างที่ผมกังวล

     “ผมชมเพราะอยากให้รู้ว่าพี่เมศไม่ได้ทำอะไรผิดเลย พี่ดีกับผมทุกอย่าง แต่ผมผิดเองที่ตอบรับความรู้สึกของพี่ไม่ได้”

     “ที่บอกว่าตอบรับความรู้สึกของพี่ไม่ได้เพราะเดือนมีคนที่ชอบอยู่แล้วใช่ไหม”

     คำถามของคนตรงหน้าทำให้ผมนิ่งงัน พี่เมศที่เห็นสีหน้าผมเปลี่ยนไปยิ้มมุมปากเล็กน้อย

     “พี่จีบคนมาเยอะ ทำไมจะไม่ดูไม่ออกล่ะว่าเดือนปฏิเสธพี่เพราะอะไร”

     “ผมดูออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

     “ก็ไม่เชิงหรอก พี่แค่ถือแต้มเหนือกว่าเรานิดหน่อย”

     “ถือแต้ม?” ผมขมวดคิ้ว พี่เมศผ่อนลมหายใจเบาๆ แต่ยังคงยิ้มอยู่

     “พี่เคยคิดเล่นๆ ว่าถ้าแข่งจีบสาวกับคลื่นพี่คงชนะได้สบายๆ แต่กลายเป็นว่าพอมาแข่งจีบหนุ่มพี่กลับแพ้ราบคาบซะงั้น”

     “พี่เมศ...รู้เหรอครับว่าผมชอบพี่คลื่น”

     คนตัวสูงลุกขึ้นยืน เดินอ้อมมาฝั่งผมก่อนจะวางมือลงบนหัว “เดือนรู้ไหมว่าเวลาที่เดือนมองคลื่น สายตาเดือนมันฟ้องหมดเลยว่าชอบคลื่นมากแค่ไหน”

     ผมเงยหน้ามองพี่เมศอย่างตกใจ นี่ผมแสดงออกชัดขนาดนั้นเลยเหรอ ไม่เห็นรู้ตัวเลยสักนิด

     “แปลว่าพี่เมศรู้อยู่ก่อนแล้วเหรอครับว่าผมชอบพี่คลื่น”

     “ใช่”

     “แล้วทำไมพี่ถึง...” คำถามผมคงเดาง่ายไป พี่เมศเลยตอบกลับมาโดยไม่รอให้ผมพูดจบ

     “พี่รู้ว่ามันเป็นการหวังลมๆ แล้งๆ แต่พี่ก็อยากเดิมพันกับความหวังนั้น เผื่อเดือนเห็นความจริงใจของพี่แล้วจะใจอ่อน แต่มันก็ไม่ใช่อย่างที่หวัง”

     “ผมขอโทษครับ”

     “ขอโทษทำไม พี่สิต้องเป็นคนพูดคำนั้น กว่าจะมาพูดกับพี่ได้นี่คงลำบากใจไม่น้อยเลยใช่ไหม”

     ถึงจะเพิ่งรู้จักกันไม่นาน แต่ผมกลับรู้สึกว่าพี่เมศเป็นคนดีและอบอุ่นมากๆ ถ้าผมไม่ได้รักพี่คลื่นอยู่อาจจะให้โอกาสพี่เมศจีบไปแล้ว คนตัวสูงยิ้มให้ผม มันเป็นยิ้มที่ทั้งอ่อนโยนและดูเศร้าในเวลาเดียวกัน

     “แล้วยังไง เรากับคลื่นคบกันหรือยัง”

     “ยังครับ พี่คลื่นเขามีคนในใจอยู่แล้ว ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะสู้คนๆ นั้นได้หรือเปล่า แต่ผมจะพยายาม”

     “หืม? คนในใจ? เดือนจะสู้คนในใจของคลื่นไปทำไม” พี่เมศทำหน้างง

     “ผมอยากให้พี่คลื่นเปลี่ยนใจมารักผมครับ”

     “เปลี่ยนใจ?” ยิ่งผมพูดพี่เมศยิ่งงงกว่าเดิม จนผมอดคิดไม่ได้ว่าพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า แต่ผ่านไปสักพักคนที่ยืนอยู่ก็เผยยิ้มมุมปาก โยกหัวผมไปมาเบาๆ “อย่างนี้เองเหรอเนี่ย”

     “ครับ?” คราวนี้ผมเป็นฝ่ายทำหน้างงบ้าง

     “คลื่นเอ๊ย ไม่รู้ตัวเลยสินะว่ามัวแต่ปากแข็งจนเรื่องเลยเถิดไปใหญ่แล้ว”

     “พี่เมศหมายถึงอะไรครับ”

     “เดี๋ยวเราก็รู้เอง พี่คิดว่าคลื่นมันน่าจะบอกเร็วๆ นี้แหละ” พี่เมศพูดจบก็ถอนมือออกไป “ขอบคุณนะครับที่มาบอกตรงๆ พี่เสียใจเหมือนกันนะ แต่มันโล่งมากกว่า เหมือนได้ยกภูเขาออกจากอกเลย”

     พี่เมศขอตัวไปเรียนต่อ ส่วนผมนั่งอยู่ที่เดิม ยังงงกับคำพูดของคนตัวสูงไม่หาย อะไรคือเลยเถิดไปกันใหญ่ แล้วพี่คลื่นจะบอกอะไรผม นี่ผมมาปฏิเสธพี่เมศหรือมาหาเรื่องให้ตัวเองปวดหัวกันแน่เนี่ย

     ระหว่างที่กำลังนั่งเครียดอยู่นั้นก็มีคนโทรมา พอกดรับสายเท่านั้นแหละหูผมแทบหนวก

     [ไอ้เดือน มึงตกส้วมตายไปแล้วเหรอ อาจารย์เขาจะเช็กชื่อแล้วนะ!]

     “เชี่ย!!” ผมรีบลุกขึ้นยืนเหมือนเป็นริดสีดวง สองขารีบจ้ำอ้าวไปตึกเรียนอย่างไม่คิดชีวิต “ไอ้ฝน ฝากเช็กชื่อให้กูด้วย!!”



     ผมบอกว่าจะจีบพี่คลื่นก็จริง แต่เพราะทั้งชีวิตไม่เคยจีบใครมาก่อน ผมเลยไม่รู้ว่าการจีบใครสักคนต้องทำยังไง บวกกับตอนนี้มีเรื่องอื่นให้คิด ผมเลยไม่ได้ใส่ใจเรื่องจีบพี่คลื่นมากนัก

     “ไม่อร่อยเหรอครับ”

     ผมกะพริบตาปริบๆ มองข้าวแกงกะหรี่สลับกับคนตรงหน้า “อร่อยครับ”

     “ถ้าอร่อยแล้วทำไมไม่กินล่ะครับ เอาแต่มองพี่อยู่นานแล้ว” พี่คลื่นเอามือคลำไปทั่วหน้าตัวเอง “หรือหน้าพี่มีอะไรติดอยู่”

     “เปล่าครับ ผมแค่กำลังคิดอะไรเพลินๆ เลยเหม่อไปหน่อย”

     “บอกแล้วไงครับว่าเวลาอยู่กับพี่ห้ามคิดถึงคนอื่น”

     “ผมไม่ได้คิดถึงคนอื่นสักหน่อย” แค่กำลังคิดว่าทำไมพี่ดูปกติจัง ประโยคหลังผมพูดในใจนะครับ

     “ถ้างั้นก็รีบกินได้แล้วครับ จะได้ไปซื้อของกันต่อ” พี่คลื่นว่าจบก็ลงมือกินข้าวต่อ ผมเลยไม่ได้พูดอะไรอีกหลังจากนั้น

     วันนี้พี่คลื่นชวนผมมาเดินเที่ยวห้างหลังเลิกเรียน ผมยอมมาด้วยเพราะส่วนหนึ่งผมว่างอยู่แล้ว อีกส่วนคือผมคิดว่าพี่คลื่นจะมีเซอร์ไพรส์เนื่องในโอกาสที่เราสองคนเล่นเกมกันจะครบหนึ่งเดือนแล้ว แต่พอถึงเวลาจริงพี่คลื่นกลับพาผมมากินข้าวเฉยๆ ผมที่ตั้งความหวังไว้เยอะเลยอดนอยด์ไม่ได้

     “พี่คลื่นครับ”

     “หืม?”

     “พี่ไม่มีอะไรจะพูดกับผมเลยเหรอครับ” ผมลองพูดเกริ่นนำ เผื่อพี่คลื่นอยากพูดบางอย่างจริงๆ แต่ลืม

     “ไม่มีนะครับ” ท่าทางที่ตอบกลับมาทันทีทำให้ผมนอยด์หนักเข้าไปอีก “เดือนมีอะไรหรือเปล่า”

     “…เปล่าครับ ไม่มีอะไร พี่คลื่นกินต่อเถอะครับ”

     ข้าวแกงกะหรี่ของโปรดไร้รสชาติไปในพริบตา ยิ่งพี่คลื่นทำตัวปกติมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งกระวนกระวายมากเท่านั้น

     พรุ่งนี้ก็จะครบหนึ่งเดือนแล้วนะครับ พี่จะไม่พูดหรือทำอะไรเลยจริงๆ เหรอ

     “เดือนอิ่มแล้วเหรอ” ร่างสูงถามเมื่อเห็นผมวางช้อนลงบนจาน

     “อิ่มแล้วครับ”

     “งั้นคิดเงินเลยนะ”

     ผมพยักหน้าเล็กน้อย พยายามทำหน้านิ่งเข้าไว้ ไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าผมกำลังไม่พอใจ

     ไหนบอกว่ามีความสุขที่ได้วิดีโอคอลกับผมไง แล้วทำไมพี่ดูไม่เสียใจเลยล่ะครับ





(มีต่อนะครับ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-09-2022 21:15:32 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
     [มึงก็เลยโทรมาหากูตอนสี่ทุ่มด้วยเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ]

     “ก็กูไม่รู้จะระบายกับใครแล้วอ่ะ ข้าวหอมนอนไปแล้ว ไอ้ควีนก็ไม่รับสาย เหลือแต่มึงที่กูพอจะพึ่งได้” ผมพูดอย่างเซ็งๆ กับคนในสาย ฝนถอนหายใจเสียงดังเหมือนตั้งใจให้ผมได้ยิน

     [แล้วมึงไม่คิดว่ากูจะนอนแล้วบ้างเหรอ]

     “ถ้ามึงไม่รับสายกูก็คงไม่ว่าอะไรหรอก แต่มึงดันรับสายไง มึงเลยต้องอยู่ฟังกูบ่น” ผมโยนความผิดให้เพื่อนหน้าตาเฉย เดาได้เลยว่าตอนนี้ไอ้ฝนคงกรอกตามองบนอยู่

     [แล้วทำไมถึงโทรมาหากูอ่ะ วันนี้เป็นวันสุดท้ายไม่ใช่เหรอ กูนึกว่ามึงจะรีบชวนพี่คลื่นวิดีโอคอลตั้งแต่หกโมงเย็นซะอีก]

     “พี่คลื่นทำงานกลุ่มอยู่ แต่เขาบอกว่าจะรีบเคลียร์งานแล้วมาวิดีโอคอลให้ทัน”

     [ผัวมึงนี่ขยันดีเนอะ เกมจะจบอยู่แล้วยังห่วงงานมากกว่าผู้ชนะเกมตัวเองอีก]

     “นั่นน่ะสิ กูก็ไม่อยากงี่เง่าแบบนี้หรอก แต่พอเห็นพี่คลื่นทำเหมือนไม่ทุกข์ร้อนอะไรกูก็อดเสียใจไม่ได้” ผมพูดเสียงอ่อยอย่างน้อยใจ ก่อนจะรีบโพล่งขึ้นมาเมื่อรู้สึกตัว “เดี๋ยวก่อน พี่คลื่นไม่ใช่ผัวกูสักหน่อย!”

     [อีกหน่อยเดี๋ยวก็เป็น มึงบอกว่าจะจีบเขาไม่ใช่เหรอ]

     “มันก็ใช่ แต่กูยังไม่ได้เริ่มจีบเลย และก็ไม่รู้ด้วยว่าจะจีบติดหรือเปล่า เพราะงั้นพี่คลื่นเลยยังไม่เป็นผัวกู”

     [นี่มึงยังไม่เริ่มจีบเขาอีกเหรอ]

     “เออ”

     [ทั้งที่เมื่อวานกับวันนี้มึงตัวติดกับเขาแทบจะตลอดเวลาเนี่ยนะ]

     “กะ...ก็กูกำลังน้อยใจเขาอ่ะ” ผมไม่ยอมพูดเหตุผลที่แท้จริงว่าจีบไม่เป็น กลัวไอ้ฝนจะเอามาล้อทีหลัง แต่ที่พูดไปนั่นก็ไม่ได้โกหก ผมน้อยใจพี่คลื่นจริงๆ เมื่อวานหลังจากมาส่งผมแล้วเราสองคนก็วิดีโอคอลกันจนถึงเที่ยงคืน แถมวันนี้ยังมานั่งกินข้าวกับผมทั้งตอนกลางวันและตอนเย็นอีก เพิ่งจะแยกกันก็ตอนที่พี่ทิวเรียกพี่คลื่นให้ไปช่วยงาน ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันพี่คลื่นทำตัวปกติมาก ไม่พูดเรื่องเกมวิดีโอคอลแม้แต่นิดเดียว จากที่เมื่อวานแค่นอยด์นิดหน่อย ตอนนี้ผมเลยน้อยใจมากถึงขนาดต้องโทรไประบายกับเพื่อนสนิท

     [เดือน กูรู้นะว่ามึงอยากให้พี่เขามีท่าทางเสียใจบ้างที่จะไม่ได้วิดีโอคอลกับมึงอีกแล้ว แต่มึงอย่าลืมว่าเขาไม่ได้คิดอะไรกับมึง สิ่งที่มึงควรทำตอนนี้คือจีบเขาให้ติด ไม่ใช่มานั่งน้อยใจด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง ขืนมึงมัวชักช้าเดี๋ยวพี่คลื่นก็หันไปหา...]

     “เฮ้ยมึงๆๆ พี่คลื่นทักมาแล้ว” ผมรีบร้องบอกเพื่อนเมื่อเห็นข้อความในไลน์เด้งขึ้นมา “แค่นี้ก่อนนะ ขอบใจมากที่อยู่เป็นเพื่อน”

     [เดี๋ยวไอ้เดือน มึงคิดจะวางก็...]

     ผมวางสายฝนก่อนจะกดเข้าไปอ่านข้อความ พี่คลื่นทักมาถามว่าหลับหรือยัง ผมดีใจจนเนื้อแทบเต้นแต่ต้องเก็บอาการเอาไว้เพราะยังน้อยใจอยู่ พอเห็นผมตอบแล้วพี่คลื่นก็วิดีโอคอลมาทันที ผมปล่อยให้เวลาผ่านไปสักพักก่อนจะกดรับ ไม่อยากให้เขารู้ว่าผมตั้งหน้าตั้งตารอแค่ไหน

     “ทำงานเสร็จแล้วเหรอครับ” ผมถามเสียงเรียบ แต่ข้างในปั่นป่วนไม่หยุด

     [เสร็จแล้วครับ เพิ่งกลับมาถึงห้องเมื่อกี้เอง ยังไม่ได้อาบน้ำเลย กลัวเดือนหลับไปก่อนเลยรีบมา]

     “พี่ไปอาบน้ำก่อนก็ได้ครับ ผมไม่ว่าอะไร”

     [ไม่เอาครับ อยากคุยกับเราก่อน]

     “เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะได้เล่นเกมด้วยกันสินะครับ” ในที่สุดผมก็ทนไม่ไหวพูดออกไปจนได้ ในเมื่อพี่คลื่นไม่ยอมพูดสักทีผมพูดเองเลยแล้วกัน

     [เปล่าครับ เพราะพี่คิดถึงเดือนจนรอไม่ไหวต่างหาก]

     ผมไม่รู้ว่าตัวเองแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป แต่อย่างหนึ่งที่รู้คือมันต้องแดงมากแน่ๆ พี่คลื่นพูดประโยคเดียวความน้อยใจผมแทบจะหายไปหมดสิ้น ผมรีบตั้งสติ แอบตบแก้มตัวเองเบาๆ ไม่ให้หวั่นไหวไปกับคำพูดนั้น

     “เอ่อ...แล้ว...คืนนี้พี่จะทำอะไรบ้างเหรอครับ ไหนๆ เราก็จะวิดีโอคอลกันครั้งสุดท้ายทั้งที” ผมพยายามพูดให้ดูเหมือนไม่ได้คาดหวังอะไร

     [เดือนอยากรีเควสอะไรเป็นพิเศษไหมครับ อย่างเช่นให้พี่ร้องเพลงหรือเล่าเรื่องส่วนตัว]

     “แล้วแต่พี่คลื่นเลยครับ ผมได้หมด”

     [งั้น...] พี่คลื่นยิ้มแปลกๆ เหมือนมีเลศนัย [พี่จะเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟังแล้วกัน เรื่องนี้พี่ไม่เคยเล่าที่ไหนมาก่อน เดือนเป็นคนแรกเลยนะครับที่จะได้ฟัง]

     ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าพี่คลื่นไม่ได้คิดอะไร แต่ผมก็อดรู้สึกดีกับคำพูดนั้นไม่ได้ ผมเม้มปากแน่นเพื่อไม่ให้ตัวเองหลุดยิ้ม ทำตัวนิ่งๆ ไว้ทั้งที่ในใจอยากฟังจะแย่แล้ว

     [เมื่อประมาณสองเดือนก่อนพี่ต้องไปทำธุระที่ตึกอักษรฯ พี่จำไม่ได้แล้วว่าธุระอะไร แต่จำได้ว่าตอนนั้นเป็นช่วงกลางวัน]

     “ตึกอักษรฯ เหรอครับ ก็คณะผมน่ะสิ” ผมแอบแปลกใจนิดหน่อย เห็นพี่คลื่นบอกว่าจะเล่าเรื่องส่วนตัวผมเลยนึกว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติตัวเอง ความชอบ หรือวีรกรรมตอนเด็กอะไรทำนองนั้น

     [ใช่ครับ พอพี่ทำธุระเสร็จแล้วและเดินลงมาจากตึกก็เห็นรุ่นน้องปีสองกลุ่มนึงกำลังนั่งคุยกันอยู่ใต้ตึก]

     ผมฟังคนตัวสูงพลางคิดตามไปด้วย รุ่นน้องที่นั่งอยู่ใต้ตึกอักษรฯ ก็น่าจะเป็นนักศึกษาคณะอักษรฯ แถมยังอยู่ปีสองเหมือนผมด้วย ใครกันนะ อยากเห็นหน้าจังเผื่อผมรู้จัก

     [ตอนนั้นพี่ไม่ได้สนใจอะไร กำลังจะเดินผ่านไปเพราะมีนัดกับเพื่อนต่อ แต่พอผู้ชายหนึ่งในกลุ่มนั้นยิ้มขึ้นมา พี่ก็เผลอมองตาค้างจนเดินไปชนคนอื่น]

     พี่คลื่นความจำดีมาก นี่คือสิ่งที่ผมได้รู้ในวันนี้ เหตุการณ์ผ่านมาถึงสองเดือนแต่พี่เขายังจำรายละเอียดได้ขนาดนี้ ผมอยากลุกขึ้นปรบมือให้จริงๆ

     [พี่ชอบรอยยิ้มของผู้ชายคนนั้น มันเป็นรอยยิ้มที่พี่เห็นแค่แวบเดียวยังรู้เลยว่าเขายิ้มออกมาจากใจจริงๆ เวลาเขายิ้มมันดูสดใส ไม่มีพิษมีภัย เห็นแล้วก็อยากเห็นอีกเรื่อยๆ ถ้าจ้างเขามานั่งยิ้มให้มองได้พี่คงทำไปแล้ว นี่คือสิ่งที่พี่คิดตอนนั้น]

     เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมยิ่งฟังผมยิ่งรู้สึกแหม่งๆ อย่าบอกนะว่าพี่คลื่น...กำลังเล่าถึงคนที่ตัวเองรัก

     คนที่พี่คลื่นรัก!! คนนั้นเขาอยู่คณะเดียวกับผมเองเหรอเนี่ย มิหนำซ้ำยังเป็นผู้ชายอีก นี่มันอะไรกัน!!

     ผมอยากจะถามออกไปแต่ก็ไม่กล้าพูดแทรก ได้แต่นั่งฟังคนในโทรศัพท์เล่าไปเรื่อยๆ เอาเถอะ รอให้พี่คลื่นเล่าจบแล้วค่อยถามก็ได้

     [หลังจากนั้นพี่ก็แวะไปตึกอักษรฯ อยู่บ่อยๆ ก็เจอเขาบ้างไม่เจอบ้าง บางวันไม่มีธุระก็ยังจะไป คิดแค่ว่าได้เห็นรอยยิ้มเขาก็คุ้มแล้ว จนวันนึงเพื่อนพี่เอาไอจีรุ่นน้องในมหา’ลัยที่กำลังเป็นกระแสมาให้ดู และก็เหมือนโลกกลมเพราะน้องคนนั้นคือเจ้าของรอยยิ้มที่พี่ตกหลุมรัก พี่เลยรู้ว่าเขาดังพอสมควร]

     ผมไม่น่าให้พี่คลื่นเล่าเรื่องส่วนตัวเลย รู้อยู่หรอกว่าพี่คลื่นมีคนในใจแล้ว แต่พอต้องมาฟังจากปากเจ้าตัวแบบนี้มันก็อดเสียใจไม่ได้ ยิ่งพี่คลื่นชมผู้ชายคนนั้นมากเท่าไหร่หัวใจผมยิ่งเหมือนถูกกรีดมากเท่านั้น ตอนนี้ผมได้แต่ภาวนาให้พี่คลื่นเล่าจบเร็วๆ

     [ยิ่งนานวันเข้าพี่ก็ยิ่งตกหลุมรักเขามากขึ้นเรื่อยๆ จากที่ได้แต่แอบมองพี่ก็อยากทำมากกว่านั้น แต่จะให้เข้าไปจีบตรงๆ พี่ก็ไม่รู้จะเริ่มยังไง พี่คิดอยู่หลายวันจนในที่สุดก็นึกวิธีที่จะได้ใกล้ชิดกับเขาออก]

     “วิธีอะไรเหรอครับ” ผมถามให้ดูเหมือนกำลังตั้งใจฟัง ทั้งที่ในใจแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว

     [พี่คิดว่าถ้าได้เห็นเขายิ้มก่อนนอนทุกคืนคงจะดีไม่น้อย แล้วพอดีตอนนั้นไอจีพี่มีคนติดตามครบหนึ่งแสนคน พี่เลยคิดเกมสนุกๆ ขึ้นมาในไอจี เป็นเกมที่ผู้ชนะจะได้วิดีโอคอลกับพี่เป็นเวลาหนึ่งเดือน]

     หืม???

     จากที่กำลังคิดว่าจะขอตัวไปนอนแล้วแอบไปร้องไห้ดีไหม ตอนนี้ผมถึงกับหูผึ่งเมื่อจู่ๆ คนตัวสูงก็พูดถึงเกมวิดีโอคอลขึ้นมา

     [พี่ประกาศไปว่าเกมนี้ถูกจัดขึ้นมาเพื่อขอบคุณทุกคนที่ติดตามพี่ แต่จุดประสงค์จริงๆ คือพี่อยากหาข้ออ้างที่จะได้วิดีโอคอลกับเขาคนนั้นทุกคืน]

     ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ความคิดบางอย่างที่ผุดขึ้นมาในหัวทำให้ผมเผลอกัดปากตัวเอง

     อย่าบอกนะว่าคนที่พี่คลื่นรักก็คือ...

     ไม่จริงใช่ไหม...เรื่องเหลือเชื่อแบบนั้นมันจะเป็นไปได้ยังไง...

     [พี่กดเข้าไปดูคอมเมนต์ทุกห้านาที เลื่อนขึ้นเลื่อนลงอยู่ทั้งวันเพราะหวังว่าเขาคนนั้นจะมาเล่นเกมของพี่ แต่รออยู่นานก็ไม่เห็นเขามาคอมเมนต์เลย พี่เลยตั้งใจจะไปขอให้เพื่อนของเขาช่วยเกลี้ยกล่อม แต่ตอนนั้นเองพี่ก็เห็นคอมเมนต์ของใครบางคนเด้งขึ้นมา...เขาคนนั้นชมว่ารอยยิ้มของพี่ดูสดใส]

     ผมไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอกลั้นหายใจตั้งแต่ตอนไหน ทุกคำพูดของพี่คลื่นทำให้ผมลุ้นได้ตลอดเหมือนกำลังดูการแข่งขันฟุตบอล พี่คลื่นหยุดพูดแค่นั้น เอาแต่มองยิ้มๆ จนผมทนไม่ไหวต้องถามออกไป ทั้งที่ความจริงแล้วพอจะเดาได้แต่ผมไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเอง

     “ละ...แล้วยังไงต่อครับ”

     ร่างสูงยื่นหน้ามาใกล้จนแทบจะเต็มจอ เสียงนุ่มทุ้มที่ออกมาจากโทรศัพท์เหมือนจะพาให้สติของผมหลุดลอยไป [พี่ให้เจ้าของคอมเมนต์นั้นเป็นผู้ชนะ...เพราะเขาคือคนที่พี่ตกหลุมรักไงครับ]

     “พี่คลื่น!!”

     คนในโทรศัพท์ประสานสายตากับผม ดวงตาสีดำคู่นั้นทำให้แก้มของผมเห่อร้อนยิ่งกว่าเดิม [พี่รักเดือนนะครับ]

     ราวกับโลกใบนี้หยุดนิ่ง ราวกับสิ่งรอบข้างหยุดเคลื่อนไหว ผมไม่ได้ยินอะไรเลยแม้แต่เสียงหายใจของตัวเอง สิ่งเดียวที่ผมได้ยินตอนนี้คือคำสารภาพรักของคนตรงหน้าที่ดังซ้ำไปซ้ำมาในหัว

     “คนที่พี่รัก...คือผมเองเหรอครับ” เสียงของผมแผ่วเบาเหมือนกระซิบ คนถูกถามพยักหน้าเล็กน้อย แก้มทั้งสองข้างขึ้นสีจางๆ ไม่ต่างกับผม

     [เป็นไงครับ ชอบเรื่องที่พี่เล่าให้ฟังไหม]

     “นี่มันเรื่องจริงเหรอครับ ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่าจะเป็นแบบนี้ คือผม...คือมันแบบ...ผมคิดว่า...”

     [ใจเย็นๆ ครับเดือน ตั้งสติก่อน] พี่คลื่นพูดกลั้วหัวเราะ [ตกใจขนาดนั้นเลยเหรอ]

     “ก็แน่สิครับ! พี่คลื่นกำลังบอกรักผมเชียวนะ!!”

     [พี่ว่าพี่แสดงออกชัดเจนมาตลอดเลยนะ]

     “ก็ตอนที่ดูดาวด้วยกันพี่บอกว่ามีคนที่รักแล้ว”

     [คนๆ นั้นก็คือเดือนไงครับ]

     ผมขมวดคิ้วมุ่น พยายามเรียบเรียงเรื่องราวในหัว “แล้วทำไมพี่ไม่บอกผมตั้งแต่ตอนนั้นล่ะครับ ปล่อยให้ผมเข้าใจผิดว่าพี่รักคนอื่นอยู่ตั้งนาน”

     [พี่ไม่กล้าครับ] คนพูดค่อยๆ หุบยิ้ม ผมที่กำลังจะโวยวายเลยชะงักไป [พี่กลัวว่าถ้าบอกไปตั้งแต่ตอนนั้น เดือนอาจจะลำบากใจจนขอเลิกวิดีโอคอล พี่เลยอยากรอให้ครบหนึ่งเดือนก่อนแล้วค่อยบอก อย่างน้อยพี่จะได้มีความทรงจำว่าครั้งหนึ่งพี่ได้เห็นรอยยิ้มของเดือนก่อนนอนทุกคืน]

     ผมไม่รู้จะพูดอะไรเลย มันตื้นตันในอกจนพูดไม่ออก อยากลุกไปหยิบหนังสือมาตีหัวตัวเองตอนนี้ด้วยซ้ำ ผมจะได้แน่ใจว่าไม่ได้อยู่ในความฝัน

     คนที่พี่คลื่นรักมาตลอดคือผมเองงั้นเหรอ แถมพี่คลื่นยังแอบรักผมมาตั้งสองเดือนอีก...

     [แต่ไม่ใช่ว่าพี่จะยอมแพ้นะครับ บอกแล้วไงว่าถ้าพี่รักใครแล้วพี่จะทำทุกอย่างเพื่อให้เขารักพี่ให้ได้ ถ้าหนึ่งเดือนยังจีบไม่ติดพี่ก็จะจีบไปเรื่อยๆ ต่อให้นานแค่ไหนพี่ก็จะไม่ล้มเลิกความตั้งใจจนกว่าเขาคนนั้นจะรักพี่]

     กระบอกตาผมเริ่มร้อนผ่าว หลังสบตากับพี่คลื่นได้ไม่นานน้ำตาผมก็ไหลลงมา คนตัวสูงที่เห็นอย่างนั้นเลยรีบถามอย่างตกใจ

     [เดือน! ร้องไห้ทำไมครับ]

     ผมยกมือมาปาดน้ำตาลวกๆ แต่ยิ่งเช็ดเท่าไหร่มันก็ยิ่งไหลลงมาไม่หยุด

     [เดือนอึดอัดเหรอครับ พี่ขอโทษนะ พี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เราลำบากใจเลย]

     “ที่พี่คลื่นบอกว่าขออนุญาตจีบ หมายถึงจะจีบผมใช่ไหมครับ”

     [เอ่อ...ใช่ครับ]

     “งั้นพี่ก็ไม่ต้องกลัวว่าผมจะลำบากใจหรอกครับ...” ผมยิ้มให้อีกฝ่ายทั้งน้ำตา “เพราะพี่จีบสำเร็จแล้ว”

     [เดือน!] พี่คลื่นยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มทั้งสองข้าง [พูดจริงเหรอครับ]

     ผมพยักหน้าเป็นคำตอบ ยกมือเช็ดน้ำตาไปด้วย “ไม่รู้เลยเหรอครับว่าพี่ทำให้ผมหวั่นไหวแค่ไหน”

     [ที่จริงก็พอดูออกครับ แต่พี่ไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเอง เดือนเป็นคนแรกเลยนะที่ทำให้พี่เป็นแบบนี้]

     “งั้นหลังจากนี้ก็มั่นใจในตัวเองให้มากๆ นะครับ เพราะผมเองก็รักพี่คลื่นเหมือนกัน” น้ำตาผมจะไหลลงมาอีก แต่ผมกลั้นเอาไว้เพราะไม่อยากให้เสียบรรยากาศ ผมไม่ได้ร้องไห้เพราะอึดอัดหรือเสียใจ แต่ผมกำลังดีใจจนไม่รู้จะพูดออกมายังไงเท่านั้นเอง

     [อะไรนะครับ พี่ไม่ค่อยได้ยินเลย พูดอีกทีได้ไหม]

     ผมหลุดขำกับการแสดงของคนในกล้อง เอาปากไปใกล้จอโทรศัพท์ก่อนจะพูดช้าๆ ทว่าชัดเจนทุกคำ “ผมรักพี่คลื่นครับ”

     ตอนนี้ผมไม่รู้แล้วว่าระหว่างผมกับพี่คลื่นใครยิ้มกว้างกว่ากัน รู้แค่ว่ามันมีความสุขจนหุบยิ้มไม่ได้เลย

     จากที่ตั้งใจจะจีบพี่คลื่น ตอนนี้ผมล้มเลิกความคิดนั้นไปเรียบร้อยแล้ว ไม่จำเป็นต้องจีบ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนใจพี่คลื่นแล้ว เพราะคนที่อยู่ในใจพี่คลื่นคือผม...ไม่ใช่ใครอื่น

     [ขอบคุณนะครับเดือน ขอบคุณจริงๆ พี่ไม่เคยมีความสุขขนาดนี้มาก่อนเลย]

     “ผมก็ขอบคุณเหมือนกันครับ ขอบคุณที่พี่รักผม” ผมพูดอย่างเขินๆ ก่อนจะถามเรื่องที่สงสัย “แล้วเรื่องเกมล่ะครับ พี่จะเอายังไงต่อ”

     [เราสองคนใจตรงกันขนาดนี้ คิดว่าพี่จะให้เกมจบลงจริงๆ เหรอ] พี่คลื่นพูดไปยิ้มไป [พี่ไม่ให้เราไปไหนหรอกนะ เดือนต้องยิ้มให้พี่มองทุกคืน ห้ามหนีพี่ไปยิ้มให้คนอื่นเข้าใจไหมครับ]

     แล้วคิดว่าผมจะไปไหนรอดเหรอ ไม่รู้ตัวหรือไงว่าผมหลงรักพี่จนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว

     ผมได้แต่พูดในใจคนเดียว ไม่กล้าพูดออกไปตรงๆ พี่คลื่นยกมือมาเท้าคาง มองมาด้วยสายตาที่ทำให้ผมแทบละลาย

     [เดือนรักพี่ พี่ก็รักเดือน ถ้างั้นเรา...เป็นแฟนกันนะครับ]

     คำพูดที่ตรงไปตรงมาทำให้ผมอยากหายตัวได้ขึ้นมาทันที พี่คลื่นไม่รู้เลยเหรอว่าการขอคนอื่นเป็นแฟนด้วยใบหน้าแบบนั้นมันอันตรายกับหัวใจของเขาแค่ไหน

     ผมยกสองแขนมาวางบนโต๊ะ ยื่นหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มไปใกล้ ก่อนจะตอบคำถามให้คนที่รอฟังอยู่ได้ยินชัดๆ

     “ไม่ครับ”





     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-09-2022 21:15:51 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 21 : ของแปลก





     -ข้าวหอม-


     “แล้วมึงก็ปฏิเสธเขาไปอ่ะนะ?” ฝนถามเดือนเสียงสูง ข้างๆ คือควีนที่กำลังเท้าเอวมองคนถูกถามตาเขียว

     “ก็กูอยากเอาคืนเขาอ่ะ” เดือนพูดไปดูดชานมไข่มุกไป ไม่ได้มีท่าทางเกรงกลัวแม้แต่น้อย แต่ถ้าผมโดนฝนทำหน้าแบบนั้นใส่น่ะเหรอ คงอึกอักจนพูดไม่ออกไปนานแล้ว

     “พี่คลื่นก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าทำไมถึงบอกมึงไม่ได้ มึงจะงอนอะไรเขาอีก”

     “แล้วมึงจะโมโหทำไมเนี่ย กูยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”

     “เดือน รู้ไหมว่าตอนนี้มึงเป็นคนที่น่าอิจฉาที่สุด มึงโดนเดือนมหา’ลัยอย่างพี่คลื่นขอเป็นแฟนทั้งที แต่มึงกลับปฏิเสธเขาหน้าตาเฉย มึงคิดว่าพวกกูจะไม่หงุดหงิดเหรอคะ” คราวนี้ควีนเป็นคนพูดแทนฝน ส่วนผมนั้นได้แต่ตักข้าวเข้าปากคำแล้วคำเล่า นั่งมองเพื่อนสนิทโต้วาทีกันอย่างไม่มีความคิดเห็น

     เมื่อเช้าเดือนมาเล่าให้พวกผมฟังว่าความจริงแล้วคนที่พี่คลื่นรักมาตลอดก็คือเดือน แต่เพราะเหตุผลบางอย่างพี่คลื่นเลยอยากเก็บไว้บอกวันสุดท้ายของการวิดีโอคอล เมื่อได้ยินดังนั้นฝนกับควีนก็กรี๊ดลั่นมหา’ลัยด้วยความดีใจที่เพื่อนสมหวังเสียที แต่พอเดือนบอกว่ายังไม่ตอบรับคำขอเป็นแฟนของพี่คลื่นเพราะอยากเอาคืนที่เขาทำให้เดือนคิดมากอยู่หลายวัน ฝนกับควีนเลยเอาแต่บ่นเดือนตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ที่พวกเรากำลังทานข้าวกลางวัน

     ผมเองก็คิดเหมือนฝนกับควีนว่าพี่คลื่นไม่ได้ผิดอะไร แต่ผมรู้ว่าเดือนไม่ได้โกรธพี่คลื่นจริงๆ แค่แกล้งพอหอมปากหอมคอเฉยๆ ผมเลยไม่ได้ว่าอะไร ต่างกับฝนกับควีนที่แทบจะกินหัวเดือนอยู่แล้ว

     “มึงไม่ต้องห่วง กูไม่ใจร้ายกับพี่คลื่นนานหรอก อย่าลืมสิว่ากูก็รักพี่คลื่นเหมือนกัน”

     “แล้วมึงคิดจะปฏิเสธไปถึงเมื่อไหร่”

     “จนกว่ากูจะพอใจล่ะมั้ง” เดือนยิ้มเหมือนกำลังสนุก ส่วนควีนกลอกตามองบน

     “เล่นตัวมากๆ ระวังเขาจะหนีไปหาคนอื่น”

     “นั่นปากเหรอไอ้ควีน ถ้าปากดีนักเดี๋ยวกูเรียกพี่ทิวมาปิดปากให้ดีไหม”

     “หืม? ทำไมต้องเป็นพี่ทิวอ่ะเดือน” ผมถามอย่างสงสัย

     “นั่นสิ พี่ทิวมาเกี่ยวอะไรด้วยวะ” ฝนก็สงสัยเหมือนกัน

     “อ้าว มึงยังไม่ได้เล่าให้ข้าวกับฝนฟังเหรอ” เดือนหันไปถามควีนที่จู่ๆ ก็หน้าซีดขึ้นมา ไม่รู้เป็นอะไร “ไม่เป็นไร กูเล่าเองก็ได้ คือเรื่องมันมีอยู่ว่า...”

     “ไอ้เดือน หยุด!”

     “เสียใจ มึงอยากแช่งให้พี่คลื่นนอกใจกูก่อนเอง ไอ้ฝน ถ้ามึงอยากฟังก็ล็อกตัวมันไว้” เดือนสั่งฝนพลางยิ้มชั่วร้าย ซึ่งฝนก็ทำตามคำสั่งแต่โดยดีด้วยการล็อกแขนควีนทั้งสองข้างไว้แน่น

     “อีฝน ปล่อยกู ปล่อยยยย”

     “ขอโทษนะมึง แต่ความเสือกไม่เข้าใครออกใครจริงๆ อ่ะ มึงรีบเล่ามาเลยก่อนที่กูจะเอาอีควีนไม่อยู่”

     “ไอ้เดือน อย่าเล่า!” ควีนร้องห้ามเสียงดัง แต่รู้สึกเหมือนจะช้าไปแล้ว

     “เมื่อคืนก่อนที่กูจะโทรไปหามึง กูโทรหาไอ้ควีนก่อนแต่มันไม่รับ ตอนแรกกูนึกว่ามันนอนไปแล้ว แต่พอเมื่อเช้ากูลองถามเล่นๆ มันดันหลุดปากมาว่าคุยโทรศัพท์กับพี่ทิวอยู่เลยรับสายไม่ได้”

     ฝนอ้าปากตาโต หันมามองคนที่ตัวเองล็อกแขนไว้ “อีควีน มึงไปได้เบอร์พี่ทิวมายังไงคะ ตอบ”

     “กะ...กูไม่ได้ขอนะ เขาให้กูเอง”

     “พี่ทิวให้เบอร์มึงเอง!?” เดือนกับฝนพูดเสียงดังพร้อมกันจนผมสะดุ้งข้าวเกือบติดคอ

     “อือ เขาบอกว่าตอนเข้าค่ายเห็นกูทำอาหารอร่อย เลยอยากโทรมาขอสูตรอาหาร”

     “กูไม่เชื่อว่ามันจะมีแค่นี้ ไม่งั้นมึงจะปิดบังพวกกูทำไม” ฝนไล่จี้เมื่อควีนไม่พูดต่อ ควีนทำหน้าลังเล แต่พอโดนจ้องมากๆ ก็ยอมเล่าต่อในที่สุด

     “ตอนแรกก็คุยเรื่องสูตรอาหารกันอยู่หรอก แต่คุยไปคุยมาพี่ทิวก็ชวนคุยนอกเรื่อง จากที่คิดว่าไม่กี่นาทีเลยคุยกันเป็นชั่วโมง แล้วพอจะวางสาย…” ควีนหยุดเล่าไปดื้อๆ จนเดือนต้องถามออกมาเอง

     “จะวางสายแล้วทำไม รีบเล่าต่อเร็วๆ”

     “พะ...พอจะวางสายพี่ทิวก็ถามกูว่าขอโทรมาคุยแบบนี้ทุกวันได้ไหม เขาบอกว่าคุยกับกูแล้วสนุก”

     “กรี๊ด!!” เสียงแหลมๆ ของฝนทำให้ผมสะดุ้งอีกรอบ ฝนปล่อยมือจากแขนควีนแล้วยกมาปิดปากตัวเอง “อีควีนกำลังจะมีแฟน!!!”

     “ใครจะเป็นแฟนใครเหรอครับน้องฝน”

     “ก็อีควีนไงคะ มันกับพี่...ว้าย! พี่องศา” ฝนหยุดคำพูดไว้เมื่อหันไปเห็นว่าใครถาม “มะ...ไม่มีอะไรค่ะ ว่าแต่พี่องศามานี่ได้ไงคะ”

     “เดินมาครับ พี่มาเป็นเพื่อนไอ้คนที่กำลังโดนว่าที่แฟนงอน” พี่องศาพยักพเยิดหน้าไปทางพี่คลื่นที่นั่งลงข้างเดือนทันที มีการเอาหน้าไปซบไหล่ด้วย

     “เดือนครับ หายงอนพี่ยัง”

     “ใครงอนครับ ไม่มี”

     “ถ้าไม่ได้งอนแล้วทำไมถึงไม่ยอมเป็นแฟนกับพี่”

     “เอาคืนที่เมื่อวานพี่ทำตัวปกติเกินไปจนผมน้อยใจไงครับ”

     “ก็พี่ไม่อยากให้เดือนรู้นี่ครับว่าพี่กำลังตื่นเต้น” พี่คลื่นทำหน้ากระเง้ากระงอดแบบที่พวกผมไม่เคยเห็นมาก่อน “สรุปเดือนยอมรับแล้วใช่ไหมว่างอน”

     “ผมไม่ได้งอน”

     “เมื่อกี้เรายังพูดว่าน้อยใจอยู่เลย”

     “น้อยใจกับงอนมันคนละอย่างกันครับ”

     “เดือนนนน”

     “ถ้าอยากให้เลิกน้อยใจพี่คลื่นก็เอาใจผมให้มากๆ สิครับ”

     ผมมองภาพตรงหน้าก่อนจะยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อเช้าผมพูดแสดงความยินดีกับเดือนไปแล้ว และตอนนี้ผมก็อยากพูดมันอีกครั้ง ผมดีใจแทนเดือนจริงๆ ที่สมหวังกับพี่คลื่นในที่สุด

     “ยิ้มแบบนี้คืออยากมีแฟนเหมือนเพื่อนหรือไง” พี่องศาที่มานั่งข้างผมเมื่อไหร่ไม่รู้ถามขึ้นมา ผมรีบหุบยิ้มก่อนจะเบือนหน้าหนีทันที

     “เปล่าครับ”

     “อย่าปากแข็งสิครับ ถ้าข้าวอยากมีแฟนก็ไม่เห็นยากเลย แค่ยอมให้พี่จีบ รับรองไม่เกินสองวันข้าวจะได้แฟนสุดหล่อแน่นอน”

     “ผมไม่ได้อยากมีแฟน และผมก็พูดเรื่องนี้ไปแล้วครับ ผมไม่อยากพูดซ้ำ” ผมตอบคนตัวสูงเสียงเบาเพราะไม่อยากขัดคู่รักที่กำลังง้องอนกันอยู่

     “แต่พี่อยากพูดซ้ำ จะให้พูดบ่อยแค่ไหนก็ได้ พี่ยังยืนยันคำเดิมว่าจะจีบข้าว เหตุผลเดียวที่พี่จะหยุดจีบคือข้าวไม่ชอบพี่”

     “แปลว่าถ้าผมบอกว่าไม่ชอบพี่ก็จะหยุดใช่ไหมครับ” ผมหันไปสบตากับอีกฝ่าย ความรู้สึกบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นภายในใจ

     “ถ้าคิดจะพูดเพื่อให้พี่หยุดเฉยๆ ก็อย่าเลยครับ มันไม่ได้ผลหรอก”

     “เมื่อไหร่พี่จะเข้าใจสักทีครับว่าเราสองคนคบกันไม่ได้”

     “ข้าวก็บอกเหตุผลมาสิครับว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น” ร่างสูงเคลื่อนตัวมาใกล้ ผมจะถอยหนีก็ไม่ได้เพราะนั่งอยู่ริมโต๊ะ “หรือข้าวไม่มั่นใจในตัวพี่”

     ผมเม้มปากแน่น หลุบตามองตักตัวเอง พี่องศาที่เห็นผมไม่ตอบเลยพูดขึ้นมาอีก

     “ตั้งแต่พี่รู้ใจตัวเองว่าชอบข้าวพี่ก็ไม่เคยมองคนอื่นอีกเลย พี่ตามดูแลเช้ากลางวันเย็น ไปรับไปส่งข้าวทุกวัน พี่เอาใจใส่ขนาดนี้ข้าวยังไม่ไว้ใจพี่อีกเหรอครับ”

     “ผม...ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น” ในที่สุดผมก็ต้องพูดออกไป ขืนยังเงียบต่อไปผมกลัวว่าพี่องศาจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่ ผมแอบชอบพี่องศามานาน ทำไมจะไม่รู้ว่าเขาเป็นคนยังไง ถึงที่ผ่านมาจะมีผู้หญิงไม่ห่างกาย แต่พี่องศาก็ไม่เคยคบซ้อน เขาให้เกียรติผู้หญิงทุกคนที่เขาคุยด้วย

     “ถ้างั้นข้าวหมายถึงเรื่องอะไรครับ”

     “เรื่องที่ผมไม่อยากบอกให้ใครรู้ครับ”

     พี่องศาทำหน้างง แต่ผมไม่คิดจะอธิบายเพิ่มเติม เลยหันไปหาฝนกับควีนที่กำลังแซวเดือนอย่างสนุกสนาน

     “ข้าวไปร้านถ่ายเอกสารก่อนนะ”

     “ไปทำไมวะ”

     “เมื่อเช้าข้าวลืมชีทไว้ที่นั่นน่ะ ไปไม่นานหรอก เดี๋ยวมานะ” ผมพูดจบก็ลุกเดินออกมาทันที พี่องศามองมาไม่วางตา แต่ไม่ได้เดินตามมาด้วย

     ผมไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใคร แม้แต่เพื่อนสนิทก็เช่นกัน ผมไม่อยากให้ใครมาเห็นความอ่อนแอในตัวผม...



     “ขอบคุณครับ” ผมยิ้มให้ป้าร้านถ่ายเอกสาร รับชีทเรียนมาถือไว้ก่อนจะหันตัวเดินกลับโรงอาหาร แต่พอเห็นทางเดินที่คับแน่นไปด้วยผู้คน ผมเลยอ้อมไปอีกทางที่มีคนน้อยกว่า

     เมื่อเช้าผมเอาชีทเรียนมาถ่ายเอกสาร แต่เพราะรีบไปหน่อยเลยลืมต้นฉบับไว้ที่ร้าน ผมมานึกขึ้นได้ตอนคุยกับพี่องศา ตอนนั้นผมคิดหาเหตุผลที่จะปลีกตัวออกมาอยู่พอดี

     โรงอาหารคณะผมจะมีทางเข้าอยู่สองทางคือด้านหน้ากับด้านหลัง ทางที่ผมกำลังเดินอยู่เป็นด้านหลังโรงอาหาร บริเวณนี้ไม่ค่อยมีร้านขายอาหาร คนส่วนใหญ่เลยมักจะไปเข้าด้านหน้ามากกว่า

     ระหว่างที่เดินทอดน่องผมก็หวนคิดถึงคำพูดของพี่องศา จนถึงตอนนี้ผมยังไม่อยากเชื่อเลยว่าพี่องศาจะชอบผมจริงๆ ผมพยายามหาเหตุผลมารองรับว่าทำไมเขาถึงชอบผม แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกเสียที ไม่เข้าใจเลยว่าคนอย่างผมมีอะไรดีด้วยเหรอพี่องศาถึงอยากจีบขนาดนี้

     ที่ผมไม่ยอมให้พี่องศาจีบทั้งที่ผมเองก็มีใจให้เขา ไม่ใช่ว่าผมอยากเล่นตัว เพียงแต่ผมแค่ไม่กล้าหวังอะไรที่เกินตัว ยิ่งปีนป่ายขึ้นไปสูงเท่าไหร่ตอนตกลงมาก็ยิ่งเจ็บเท่านั้น ผมเจ็บมามากพอแล้ว ดังนั้นเพื่อไม่ให้เจ็บไปมากกว่านี้ผมจึงต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม

     ตอนที่เดือนเข้าใจผิดเรื่องพี่คลื่น เดือนบอกว่าจะจีบพี่คลื่นให้ได้ ผมฟังแล้วก็รู้สึกอิจฉาเพื่อนขึ้นมา ถ้าผมมีความกล้าได้อย่างเดือนก็คงดีสิ...ผมจะได้ก้าวข้ามความกลัวของตัวเองไปเสียที

     “โอ๊ะ!”

     ไม่รู้ว่าเพราะผมเหม่อเกินไปหรือคู่กรณีเดินไม่ดูทาง จู่ๆ ผมก็ชนเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่งจนชีทเรียนกระจัดกระจายเต็มพื้น ผมรีบตามไปเก็บก่อนที่มันจะโดนลมพัดไป ปากก็พร่ำขอโทษไว้ก่อนทั้งที่ไม่รู้ว่าใครผิด

     “ขอโทษนะครับ”

     ผมนั่งยองๆ ทยอยเก็บชีทบนพื้นจนเหลือแค่แผ่นเดียว แต่พอกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบก็เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น

     !!!!!!

     ผมได้แต่นิ่งงันอย่างตกตะลึงกับภาพตรงหน้า ผู้หญิงที่เดินชนผมกำลังเอาเท้าเหยียบชีทเรียนจนกระดาษเต็มไปด้วยรอยรองเท้า พอเงยหน้าไปมองก็เจอเข้ากับสายตาเย้ยหยันที่มองมา และไม่ใช่แค่คนเดียว นอกจากคนที่ชนผมแล้วยังมีผู้หญิงอีกสองคนยืนข้างกันและกำลังทำหน้าแบบเดียวกัน

     “อุ๊ยตาย ขอโทษนะ ตั้งใจจะช่วยเก็บแต่เผลอเหยียบซะก่อน” น้ำเสียงและท่าทางตรงหน้าทำให้ผมรู้ว่าคนพูดกำลังแสดงละคร ขณะที่ปากขอโทษผมแต่ใบหน้ายังคงเหยียดยิ้ม ผมยืนขึ้นเต็มความสูง ผ่อนลมหายใจเบาๆ เพื่อระงับความรู้สึกภายในอก

     “ไม่เป็นไรครับ” ผมพูดจบก็เดินเลี่ยงออกมา ทิ้งชีทเรียนให้อยู่ใต้เท้าของผู้หญิงคนนั้นต่อไป โชคดีที่ชีทแผ่นนั้นไม่ได้สำคัญอะไร เอาไว้ผมไปถ่ายเอกสารเพิ่มทีหลังก็ได้

     “จะรีบไปไหนล่ะน้อง ไม่อยากได้ชีทคืนเหรอ” ผู้หญิงอีกสองคนเดินมาล้อมหน้าล้อมหลังผมไว้ ก่อนที่ผู้หญิงคนแรกจะหยิบชีทที่มีรอยเปื้อนขึ้นมาโชว์ ฟังจากสรรพนามที่ใช้เรียกแล้วผมเลยคิดว่าน่าจะเป็นรุ่นพี่ ผมมองคนตรงหน้าอย่างไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ต่างกับในใจที่กำลังโอดครวญด้วยความเบื่อหน่าย

     อีกแล้วเหรอ

     “เป็นใบ้หรือไง รุ่นพี่ถามไม่ยอมตอบ ไม่มีมารยาทเอาซะเลย” หลังจากพูดจาถากถางผมแล้วรุ่นพี่คนนั้นก็ขยำชีทเรียนเป็นก้อนกลมๆ แล้วโยนมาให้ ก้อนกระดาษลอยมากระทบอกผมเบาๆ ก่อนที่มันจะหล่นลงพื้น แต่ผมไม่คิดจะชายตามองหรือเก็บมันขึ้นมา

     “พี่ต้องการอะไรครับ” ผมถามทั้งที่พอจะรู้คำตอบอยู่แล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมโดนหาเรื่อง ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้สาเหตุมักจะไม่พ้นเรื่องที่ผมหน้าตาขี้เหร่แต่ดันมีเพื่อนสนิทเป็นถึงคนดังของมหา’ลัย...ใช่แล้วครับ ผมกำลังหมายถึงเดือน

     เจ้าตัวอาจจะไม่รู้หรือไม่ได้สนใจ แต่ความจริงแล้วเดือนมีชื่อเสียงในมหา’ลัยอยู่ไม่น้อย พอเดือนเริ่มดังขึ้นพวกผมเลยมีคนรู้จักตามไปด้วย และนั่นจึงเป็นที่มาว่าทำไมผมถึงโดนหาเรื่องบ่อยๆ

     เพราะผมไม่น่ารักเหมือนเดือน คนส่วนใหญ่เลยพากันตัดสินว่าผมไม่เหมาะที่จะเป็นเพื่อนของเดือน

     “อืม...นั่นสินะ อีส้ม ต้องการอะไรดีวะ” คนตรงหน้าหันไปถามเพื่อนตัวเองเหมือนตั้งใจจะยั่วโมโห ส่วนคนถูกถามก็รับมุกด้วยการตอบกลับมาพร้อมกับแสยะยิ้ม

     “ต้องการให้น้องอยู่ห่างจากองศา น้องทำให้พี่ได้ป่ะล่ะ”

     คำตอบของคนที่ชื่อส้มทำให้ผมแปลกใจ ผมนึกว่าอีกฝ่ายจะเอาเรื่องเดือนมาหาเรื่องเหมือนทุกครั้ง แต่คราวนี้กลับเป็นเรื่องพี่องศาแทน

     “คงมีความสุขมากสินะที่มีผู้ชายหล่อๆ เดินตามทั้งวัน แถมยังได้นั่งรถเขามามหา’ลัยทุกวันอีก แต่ขอโทษนะคะ หน้าตาแบบน้องเนี่ยไม่รู้เหรอว่าไม่เหมาะจะเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้ใครทั้งนั้น ดันทุรังคบเพื่อนคนละระดับกับตัวเองแล้วยังคิดจะจับผู้ชายที่อยู่สูงเกินเอื้อมอีก”

     ถ้อยคำทำร้ายจิตใจถูกพ่นออกมาจากปากสีสวยคู่นั้น คนตรงหน้าพูดราวกับผมเป็นสิ่งของที่ไม่มีความรู้สึก ผมยืนนิ่ง ไม่ตอบโต้หรือแสดงความโกรธออกไป ไม่ใช่ว่าผมไม่สู้คน แต่ผมสู้มาจนเหนื่อยแล้วต่างหาก

     ผู้หญิงที่ชนผมเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า ริมฝีปากยิ้มกว้างเหมือนหวังดี แต่แววตากำลังเชือดเฉือนผม “จำใส่กะลาหัวไว้ด้วยว่าองศาเขาชอบผู้หญิงน่ารักๆ ไม่ใช่ผู้ชายหน้าตาหมาไม่แดกอย่างน้อง”

     น่าแปลกที่โดนว่าขนาดนี้แต่ผมกลับไม่มีน้ำตาสักหยด ไม่รู้ว่าเพราะตัวเองเข้มแข็งเกินไปหรือเพราะโดนว่าบ่อยๆ จนหัวใจมันด้านชาไปหมดแล้ว

     “ทำอะไรกัน!”

     เสียงทุ้มต่ำดังมาจากด้านหลัง ก่อนที่แขนของใครบางคนจะมาพาดบนไหล่ของผม พี่องศารั้งผมไปชิดตัวเอง จ้องมองผู้หญิงทั้งสามคนอย่างหาเรื่อง

     “เมย์แค่จะช่วยน้องเขาเก็บชีทเรียน องศาอย่าเพิ่งดุสิ” คนที่ผมเพิ่งรู้จักชื่อยิ้มบางๆ ให้คนที่ยืนอยู่ข้างผม แต่เหมือนพี่องศาจะไม่เชื่อคำพูดนั้น เพราะพอเขาเหลือบไปเห็นก้อนกระดาษบนพื้น ดวงตาก็ฉายความโกรธชัดยิ่งกว่าเดิม

     “ด้วยการขยำชีทเขาแบบนี้น่ะเหรอ”

     “ก็เมย์เผลอเหยียบไปแล้ว จะให้เอาไปใช้ต่อก็คงไม่เหมาะ เมย์เลยขยำเป็นก้อนให้น้องเขาเอาไปทิ้งสะดวกไง”

     “อย่ามัวแต่เล่นลิ้นอยู่เลยเมย์ บอกมาเถอะว่ากำลังทำอะไรข้าวหอม”

     พี่เมย์ชักสีหน้านิดหนึ่ง ก่อนจะรีบยิ้มกลบเกลื่อนเหมือนเดิม “เมย์เห็นว่าช่วงนี้องศาอยู่กับเด็กคนนี้บ่อย เลยอยากมาเตือนน้องเขาให้ทำใจรอไว้เฉยๆ”

     “หมายความว่ายังไง” พี่องศาทำหน้างง

     “เมย์รู้นะว่าองศาแค่อยากลองของแปลก ไม่ได้คิดจริงจังกับน้องเขา ก็องศาชอบคนน่ารักๆ ไม่ใช่เหรอ เด็กคนนี้ไม่ตรงสเป็กองศาเลยสักนิด”

     “เมย์อย่าพูดแบบนี้ ถ้าไม่รู้อะไรจริงก็เงียบไว้ดีกว่า” วงแขนที่โอบไหล่ผมอยู่กระชับแน่นขึ้น ผมหันไปมองคนข้างตัวที่พูดเหมือนกำลังปกป้องผม

     “ทำไมเมย์จะไม่รู้ ไม่ใช่แค่เมย์นะ ทุกคนในมหา’ลัยเขาก็รู้กันทั้งนั้นว่าน้องคนนี้ไม่มีอะไรดีสักอย่าง หน้าตาก็น่ารักสู้เพื่อนตัวเองไม่ได้ยังหวังสูงจะเอาผู้ชายหล่อรวยมาทำผัวอีก”

     “เมย์!” พี่องศาตวาดเสียงลั่น พาให้คนที่อยู่แถวนี้หันมามอง

     “องศาอย่ามาว่าเมย์เลย ถามน้องเขาเองเถอะว่าที่ผ่านมาโดนอะไรมาบ้าง ถ้าเลือกคบเพื่อนให้เข้ากับหนังหน้าตัวเองสักนิดก็คงไม่โดนคนค่อนมหา’ลัยแอนตี้ขนาดนี้หรอก”

     พี่องศาที่กำลังจะเถียงกลับชะงักไปเล็กน้อย แววตาที่เต็มไปด้วยความงุนงงหันมามองผม

     “เมย์ไปก่อนนะ องศาก็รีบเบื่อของเล่นชิ้นใหม่เร็วๆ ล่ะ ถึงจะขี้เหร่แค่ไหนแต่ก็มีหัวใจ เมย์กลัวน้องเขาจะเสียใจจนเผลอคิดสั้นไปซะก่อน”

     พี่เมย์พูดจบก็พาเพื่อนตัวเองเดินจากไป ปล่อยให้ผมอยู่กับพี่องศาสองคน ผมหยิบก้อนกระดาษขึ้นมาเพื่อจะเอาไปทิ้ง แต่ยังไม่ทันเดินไปหาถังขยะพี่องศาก็ลากแขนผมไปอีกทางซะก่อน

     “พี่จะพาผมไปไหนครับ”

     ไม่มีคำตอบกลับมา มีเพียงใบหน้าบึ้งตึงถูกส่งมาให้ ผมพยายามดึงมือออกแต่สู้แรงอีกฝ่ายไม่ได้เลยจำต้องเดินตามไปอย่างไม่มีทางเลือก พี่องศาพาผมมาด้านหลังตึกเรียนที่ผมไม่เคยมา พอเห็นว่าแถวนี้ไม่มีใครคนตัวสูงจึงปล่อยมือผมให้เป็นอิสระ

     “โดนแบบนี้กี่ครั้งแล้ว”

     “ครับ?” ผมขมวดคิ้วมุ่น ไม่เข้าใจคำถามของอีกคน

     “พี่ถามว่าโดนหาเรื่องแบบนี้กี่ครั้งแล้ว”

     “พี่จะถามทำไม”

     “พี่ให้ตอบครับ ไม่ได้ให้ถามกลับ”

     ผมไม่อยากตอบเลยสักนิด แต่เพราะสายตาดุดันที่มองมาผมเลยต้องตอบอย่างช่วยไม่ได้ “...ไม่รู้ครับ ไม่ได้นับ”

     “ไม่ได้นับ? แปลว่าบ่อยมากเลยเหรอ”

     “ครับ”

     พี่องศาผงะไปเมื่อได้ยินอย่างนั้น สายตาของเราสองคนประสานกัน ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วคราว

     “พี่ไม่ต้องสงสารหรือเห็นใจผมหรอกครับ เพราะที่พี่เมย์พูดมันเป็นความจริงทั้งนั้น” ผมรีบพูดดักไว้เมื่อเห็นพี่องศาอ้าปากจะพูดอะไร ผมไม่ต้องการความเห็นใจจากใคร เพราะมันทำให้ผมสมเพชตัวเองยิ่งกว่าเดิม

     “ที่เมย์บอกว่าให้เลือกคบเพื่อน อย่าบอกนะว่าหมายถึงน้องเดือน”

     “ใช่ครับ” ไหนๆ พี่องศาก็ได้ยินหมดแล้ว ผมเลยไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป

     “ถ้างั้นก็หมายความว่าข้าว...”

     “ผมโดนด่าว่าไม่เหมาะจะเป็นเพื่อนเดือนมาหลายครั้งแล้ว เหตุผลคือผมไม่น่ารักเท่าเดือน” ผมพูดออกไปด้วยเสียงที่พยายามไม่ให้สั่น “นี่ใช่ไหมครับคือคำตอบที่พี่ต้องการ ถ้าได้คำตอบแล้วผมขอตัวนะครับ”

     ที่ผมไม่บอกเรื่องนี้กับเพื่อนสนิทเพราะผมไม่อยากให้เดือนคิดมาก ตอนแรกผมสู้กลับทุกคน ไม่เคยเก็บคำพูดแย่ๆ มาคิดแง่ลบกับตัวเอง แต่พอโดนหลายครั้งเข้าผมก็เริ่มเปรียบเทียบตัวเองกับเดือน และมันก็ทำให้รู้ว่าผมไม่น่ารักเท่าเดือนจริงๆ

     เดือนเป็นคนที่มีรอยยิ้มสวย ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายคนไหนเห็นต่างก็ต้องตกหลุมรัก ส่วนตัวผมนั้นไม่มีอะไรดีเลย เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่มีค่าพอให้ใครมาสนใจ

     ถึงแม้จะรู้ถึงความจริงเรื่องนี้ ผมกับเดือนก็ยังเป็นเพื่อนสนิทกันเหมือนเดิม ผมไม่เคยคิดร้ายกับเดือน ไม่เคยอิจฉาเดือนสักครั้ง เดือนยังเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผม เพียงแต่ผมต้องยอมรับว่าผมไม่ได้หน้าตาดีเหมือนเดือนอย่างที่ทุกคนพูด

     ผมกำลังจะเดินไปโรงอาหาร แต่ข้อมือผมก็ถูกจับไว้อีกครั้ง ผมเลยต้องหันกลับไปเผชิญหน้ากับคนตัวสูงที่มองมานิ่งๆ

     “เพราะเรื่องนี้ใช่ไหม ข้าวถึงเอาแต่บอกว่าเราสองคนไม่เหมาะสมกัน”

     ผมเผลอกัดปากตัวเองเมื่อถูกแทงใจดำ สายตาของพี่องศาราวกับอ่านความคิดผมได้ทะลุปรุโปร่ง สายตานั้นมันอันตรายเกินไปจนผมต้องเบือนหน้าหนี

     “ผมไม่น่ารักเหมือนเดือน ขืนคบกันจริงๆ ดีไม่ดีพี่จะโดนสังคมแอนตี้ด้วย ปล่อยให้ของแปลกอย่างผมถูกด่าทอคนเดียวก็พอแล้วครับ”

     “ข้าวอย่าคิดแบบนั้น พี่ไม่เคยมองว่าข้าวเป็นของแปลกเลย”

     “เดี๋ยวพี่ก็เบื่อผมเหมือนที่พี่เมย์บอก”

     “พี่ไม่มีวันเบื่อข้าวแน่นอน สำหรับพี่แล้วข้าว...”

     “พอเถอะครับ!” ผมหันไปตวาดใส่ร่างสูง เนื้อตัวเริ่มสั่นเทิ้มตามแรงอารมณ์ที่พุ่งสูงขึ้น “ผมไม่รู้นะว่าพี่ชอบผมเพราะอะไร แต่พี่ช่วยตาสว่างสักทีเถอะครับ ผมไม่ได้มีความน่ารักเลย พี่ตัดใจจากผมแล้วไปหาคนอื่นเถอะ บนโลกนี้ยังมีคนที่น่ารักกว่าผมอีกเยอะ...อย่ามัวแต่สนใจคนขี้เหร่อย่างผมเลยครับ”

     น่าแปลกที่เวลาโดนคนอื่นต่อว่าผมไม่เคยร้องไห้เลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่พอต้องมาพูดเรื่องนี้กับพี่องศา หัวใจที่ผมคิดว่าตายด้านไปแล้วกลับรู้สึกปวดแปลบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน คงเพราะพี่องศาทำให้ผมมีความหวัง แต่ผมเข็ดขยาดกับความเจ็บปวดจนไม่กล้าไขว่คว้าความหวังนั้นไว้ เลยทำได้แค่ผลักไสเขาทั้งที่ส่วนลึกในใจผมไม่ต้องการจะทำอย่างนี้เลย

     ผมพูดจบก็เดินออกมาทันที เพราะถ้ายืนนานไปกว่านี้พี่องศาต้องเห็นน้ำตาของผมแน่ๆ ผมยกมือมาเช็ดน้ำตาบนแก้มอย่างลวกๆ เม้มปากแน่นเพื่อไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมา คนที่เดินสวนกันต่างมองผมอย่างแปลกใจ แต่ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์จะมาสนใจใครแล้ว

     ของบางอย่างควรมีไว้ชื่นชม แต่ไม่ควรมีไว้ครอบครอง กับคนบางคนก็เช่นกัน





(มีต่อนะครับ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-10-2022 18:51:29 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
     -อิงเดือน-

     “ไอ้ข้าวไปนานจังวะ” ฝนชะเง้อคอมองอย่างเป็นห่วง ผมเองก็แปลกใจเหมือนกันที่ข้าวหอมยังไม่กลับมา ทั้งที่ร้านถ่ายเอกสารก็อยู่ใกล้แค่นี้

     “ไม่ต้องห่วงหรอก พี่องศาก็ไปดูให้แล้วไม่ใช่เหรอ อาจจะแวะเข้าห้องน้ำก็ได้”

     “ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ กูกลัวมันจะไปทะเลาะกับพี่องศาน่ะสิ”

     “ทำไมคิดแบบนั้นอ่ะ” ผมถามฝน

     “คนนึงยืนกรานว่าจะจีบ อีกคนก็เอาแต่ยืนกรานว่าจะไม่ให้จีบ มึงคิดว่าจะไม่ทะเลาะกันเลยหรือไง”

     “น้องฝนอย่าคิดมากครับ เพื่อนพี่เป็นคนมีเหตุผล ไม่ชวนใครทะเลาะเพราะเรื่องแค่นั้นแน่นอน” พี่คลื่นออกตัวแทนเพื่อน ก่อนจะเหลือบมามองผม “ไม่เหมือนใครบางคน ใจร้ายกับแฟนตัวเองโดยไม่มีเหตุผลเลย”

     “อ้าว พี่คลื่นมีแฟนแล้วเหรอครับ คนไหนเหรอผมจะได้ไปทำความรู้จัก” ผมแกล้งทำหน้าตื่นเต้น คนตัวสูงยิ้มกริ่มก่อนจะเอานิ้วมาจิ้มแก้ม

     “ถามมาได้ ก็คนนี้ไง”

     “งั้นพี่คงเข้าใจผิดแล้วล่ะครับ ผมยังไม่ใช่แฟนพี่ซะหน่อย”

     “ตกลงเราจะน้อยใจเพราะเรื่องนี้จริงๆ เหรอ”

     “ถ้าพี่คลื่นไม่อยากง้อผมก็ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ว่าอะไร” ผมพูดพลางจิ้มขนมปังเนยมากิน ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ให้คนตัวสูง

     “พี่ยังไม่ได้บอกเลยว่าไม่อยากง้อ” พี่คลื่นอาศัยช่วงที่ผมวางส้อมแล้วคว้าตัวผมไปนั่งตักตัวเอง ผมตกใจจนเกือบอุทานออกมาแต่ยังดีที่ยั้งปากไว้ทัน

     “พี่คลื่น! ทำอะไรครับเนี่ย ปล่อยเลยนะ” ผมพูดไปหน้าแดงไป ถ้าตรงนี้มีแค่เพื่อนๆ ผมจะไม่ว่าอะไรเลย แต่นี่เรากำลังอยู่ในโรงอาหาร แถมยังมีน้องบาสที่มาขอนั่งกินข้าวด้วย ถึงผมจะรู้สึกดีที่ได้นั่งตักพี่คลื่นแต่ผมก็อายคนอื่นเหมือนกันนะ

     “นั่งแบบนี้จะได้ป้อนถนัดไง” คนที่ซ้อนหลังผมอยู่เอื้อมมือไปจิ้มขนมปังเนยมาจ่อปาก

     “ผมกินเองได้ครับ”

     “ไม่ได้ครับ พี่กำลังง้อเดือนอยู่ พี่ต้องเอาใจเดือนให้มากๆ”

     ผมชักไม่แน่ใจแล้วสิว่าการแกล้งน้อยใจพี่คลื่นเป็นความคิดที่ถูกต้องหรือเปล่า ยิ่งเห็นสายตาที่มองมาผมยิ่งรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ยังไงไม่รู้

     “ตกลงพี่คลื่นกับพี่เดือนเป็นแฟนกันใช่ไหมครับ” น้องบาสถามยิ้มๆ น้ำเสียงที่อยากแซวอยู่ในทีทำให้ผมเขินอายกว่าเดิม ผมไม่ตอบอะไร อ้าปากกินขนมปังที่พี่คลื่นป้อนแล้วเคี้ยวเอาๆ

     “ตอนนี้ไอ้เดือนมันเล่นตัวอยู่ แต่อีกไม่นานคบกันแน่นอนค่ะน้อง” ควีนจีบปากจีบคอพูด หันมามองแซวผมอีกคน

     “ผมก็คิดอยู่ว่าพวกพี่สองคนน่าจะมีซัมติงกัน ยังไงก็ขอแสดงความยินดีล่วงหน้าด้วยนะครับ”

     “แล้วน้องบาสล่ะคะ ไม่คิดจะมีแฟนกับเขาบ้างเหรอ”

     คนถูกถามไม่ตอบทันที แต่เหลือบไปมองเพื่อนผมที่ตั้งหน้าตั้งตาดูดน้ำเหมือนกำลังกลบเกลื่อน “ก็อยากมีอยู่นะครับ แต่คนบางคนแถวนี้ไม่ยอมมาอ่อยผมสักที ทั้งที่ตัวเองพูดไว้เองแท้ๆ”

     “แค่กๆๆ!!” ฝนสำลักน้ำที่ดูดอยู่จนหน้าแดง แต่คิดไปคิดมาผมว่ามันคงหน้าแดงเพราะอายมากกว่า

     “พี่ฝนเป็นอะไรเหรอครับ หน้าแดงเชียว” น้องบาสได้โอกาสแกล้งไอ้ฝนใหญ่

     “เมื่อไหร่นายจะหยุดพูดเรื่องนี้สักที ก็บอกแล้วไงว่าแค่พูดเล่นๆ”

     “แต่ผมไม่เล่นนะ ผมอยากให้พี่อ่อยผมจริงๆ” น้องบาสพูดจบก็หยิบขนมเข้าปากหน้าตาเฉย ต่างกับพวกผมที่ตะลึงกันหมดทุกคน

     “น้องบาสชอบไอ้ฝนเหรอครับ” ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมจึงอาสาเป็นตัวแทนหมู่บ้านเอ่ยปากถาม น้องบาสยักคิ้วให้เพื่อนผมหนึ่งทีก่อนจะตอบ

     “ถ้าพี่ฝนยอมสารภาพว่าสนใจผม ผมก็ไม่คิดจะปฏิเสธอยู่แล้ว ถึงจะเพี้ยนไปหน่อยแต่พี่เขาก็น่ารักดี ผมชอบ”

     น้องบาสพูดโดยไม่สนเลยว่าเพื่อนผมกำลังหน้าแดงลามไปถึงใบหู ปกติถ้ามีคนหล่อมาให้ท่าขนาดนี้ฝนจะรีบลงไปเล่นด้วยทันที แต่ไม่รู้ทำไมคราวนี้ถึงเอาแต่เงียบ ดูแล้วไม่สมเป็นมันเลย

     “กูว่า...คงไม่ได้มีแค่กูแล้วล่ะที่กำลังจะมีแฟน” ผมเอ่ยแซวเพื่อนสนิท นึกว่ามันจะตวาดกลับมาเหมือนทุกครั้ง แต่น่าแปลกที่ฝนกลับไม่พูดอะไร เอาแต่หันหน้าหนีเหมือนไม่อยากให้ใครบางคนเห็นหน้าแดงๆ ของมัน

     น้องบาสนี่สุดยอดเลย ทำให้คนบ้าผู้ชายอย่างไอ้ฝนพูดไม่ออกได้ ไม่ธรรมดาเลยแฮะ

     “เมื่อกี้เดือนว่าไงนะครับ” พี่คลื่นถามด้วยตาเป็นประกาย ตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองพลาดซะแล้ว

     “ผม...ผมไม่ได้พูดอะไร”

     “มันพูดว่ากำลังจะมีแฟนค่ะ” ควีนรีบโพล่งขึ้นมาทันที ยิ้มแถมมาให้ด้วย

     “แปลว่าไม่ได้งอนพี่จริงๆ สินะ แกล้งพี่เหรอครับ หืม?” พี่คลื่นหัวเราะในลำคอ กระชับอ้อมแขนที่เอวให้แน่นขึ้น ขณะที่ผมไม่รู้จะตอบอะไรดีข้าวหอมก็กลับมาซะก่อน ผมเลยหันไปคุยกับข้าวหอมเพื่อเปลี่ยนเรื่อง

     “ทำไมไปนานจังอ่ะข้าว”

     ข้าวหอมนั่งลงข้างฝนเหมือนเดิม ดวงตาที่แดงก่ำเหมือนผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักทำให้พวกผมตกใจกันเป็นแถว

     “ข้าว มึงร้องไห้มาเหรอ” ควีนเอ่ยถาม ฝนที่หลบหน้าน้องบาสอยู่รีบหันขวับมามองเหมือนกัน

     “ปะ...เปล่า พอดีฝุ่นเข้าตาน่ะ ข้าวเลยไปล้างหน้าในห้องน้ำมา”

     ไม่นานหลังจากนั้นพี่องศาก็กลับมาเหมือนกัน ใบหน้าบึ้งตึงของพี่องศาทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

     “เป็นอะไรวะมึง ทำหน้าเหมือนจะไปต่อยใครงั้นแหละ” พี่คลื่นทักเพื่อนตัวเอง

     “เออ กูอยากต่อย พวกที่มันเที่ยวว่าคนอื่นไปทั่วกูจะต่อยให้ปากแตกแม่งหมดเลย” พี่องศาตอบพี่คลื่นแต่ตากลับมองเพื่อนผม บรรยากาศแปลกๆ ที่เริ่มก่อตัวพาให้ผมกับคนอื่นหันมามองหน้ากันอย่างงุนงง

     ผมว่าผมไม่ได้คิดไปเอง ระหว่างข้าวหอมกับพี่องศาต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน





     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-10-2022 18:58:34 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ RedQueen

  • Memois Of A Calamity Queen
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ไม่ให้เป็นแฟนแต่ให้เป็นผัวแน่นวล :hao7:

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 22 : แค่นอนกอดเฉยๆ





     “คิดอะไรอยู่ครับ”

     เสียงทุ้มที่เอ่ยถามทำให้ผมหันไปมองคนที่เดินข้างกัน พี่คลื่นมองผมอยู่ก่อนแล้ว ริมฝีปากหนายกยิ้มอย่างสงสัย

     “เรื่องพี่องศากับข้าวหอมครับ”

     “หืม?” คนตัวสูงเลิกคิ้ว “สองคนนั้นทำไมครับ”

     “วันที่พี่มากินข้าวกับผมที่โรงอาหาร ผมรู้สึกว่าสองคนนั้นดูแปลกๆ น่ะครับ”

     “อืม พี่ก็คิดเหมือนกันว่ามันน่าจะมีอะไรบางอย่าง”

     “แล้วพี่คลื่นไม่สงสัยเหรอครับว่าเรื่องอะไร”

     คนถูกถามส่ายหัวไปมาเบาๆ “พี่ก็ห่วงไอ้องศานะ แต่ชีวิตใครชีวิตมัน ถ้ามันไม่เอ่ยปากขอความช่วยเหลือก็แสดงว่ามันอยากแก้ปัญหาด้วยตัวเอง”

     “แต่ผมห่วงข้าวหอมอ่ะครับ ผมอยากช่วยเพื่อนแต่ไม่รู้จะช่วยยังไง”

     “ถ้าข้าวหอมอยากให้ช่วยเดี๋ยวเขาก็มาปรึกษาเองครับ ระหว่างนี้เราอย่าเพิ่งคิดมากเลย มันอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ก็ได้”

     มือซ้ายพี่คลื่นจับมือผมอยู่ เขาเลยยกมือขวามาลูบหัวผมเบาๆ ผมคิดตามก่อนจะพยักหน้าให้นิดหนึ่ง หันไปมองรอบตัวที่มีผู้คนเดินสวนกันไปมา

     วันนี้ผมกับพี่คลื่นไม่มีเรียน เราสองคนเลยนัดกันมาเดินห้าง พี่คลื่นจะมาซื้อของเข้าห้อง ส่วนผมไม่ได้ซื้ออะไร พอถึงเวลาบ่ายสองโมงพี่คลื่นก็พาผมมาที่โซนร้านอาหาร แต่เดินมาสักพักแล้วยังไม่เจอร้านที่ถูกใจเลย

     “อันที่จริง คนที่ควรคิดมากน่าจะเป็นพี่มากกว่านะ”

     “ครับ?” ผมหันไปทำหน้างง

     “ตามง้อมาหลายวันแล้ว แต่เด็กแถวนี้ยังไม่ยอมเป็นแฟนด้วยเลย”

     พี่คลื่นพูดเท่านั้นผมก็เข้าใจได้ทันที ผมหลุดขำ นึกเอ็นดูใบหน้ากระเง้ากระงอดของอีกฝ่าย คิดดูสิครับว่าคนหน้าตาหล่อเหลาระดับเดือนมหา’ลัยแต่กลับทำหน้าแบบนี้ มันดูไม่เข้ากันเลยสักนิด

     “ขำอะไรครับ พี่ไม่ได้พูดเล่นนะ พี่คิดมากจริงๆ ด้วย”

     “เดี๋ยวนะครับ คนที่งอนต้องเป็นผมสิไม่ใช่พี่”

     “เดือนเลิกงอนไม่ได้เหรอ พี่อยากเป็นแฟนเดือนแล้ว”

     “ทำไมถึงอยากเป็นขนาดนั้นครับ”

     หลังผมถามจบ มือหนาที่จับมือผมไว้ก็เลื่อนมาอยู่ที่เอวแทน พี่คลื่นรั้งผมไปแนบชิดตัวเอง โน้มหน้ามากระซิบข้างใบหู “พี่จะได้ทำอะไรๆ ที่แฟนเขาทำกันได้ซะทีไง”

     “พะ...พี่คลื่น!! พูดอะไรของพี่เนี่ย” ผมผลักคนตัวสูงออกห่างตัวอย่างรวดเร็ว คนรอบข้างหันมามองเพราะเสียงของผม แต่ผมไม่สนใจ รีบเดินหนีเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นทันที

     ไม่ได้เลือกร้านนี้เพราะอยากกินนะครับ แต่เห็นว่ามันใกล้ที่สุดผมเลยเดินเข้ามาเพื่อหนีคนลามก

     “กินอาหารญี่ปุ่นบ่อยๆ ไม่เบื่อเหรอครับ” พี่คลื่นถามตอนที่พนักงานพาเรามานั่งโต๊ะด้านในสุด

     “เบื่อครับ”

     “แล้วเลือกร้านนี้ทำไม”

     “อยากหนีคนบางคนที่พูดอะไรไม่ดูสถานที่เลย”

     คนโดนว่ากระทบส่งเสียงขำในลำคอ มือหนาเอื้อมมาจับมือผมอีกครั้ง ลูบไล้ไปมาเบาๆ ให้ความรู้สึกวาบหวิวแปลกๆ

     “อยากให้พี่ ‘ทำอะไร’ โดยไม่ดูสถานที่ด้วยไหมล่ะครับ”

     “หยุดเลยนะครับ ถ้าขืนยังพูดลามกอยู่ผมโกรธจริงๆ นะ”

     “พี่ยังไม่ได้พูดลามกเลย”

     “ทำไมจะไม่ได้พูด ก็เมื่อกี้ไง”

     “พี่หมายถึงหอมแก้มครับ”

     เหมือนมีเสียงกระจกแตกดังขึ้นในหัว เพียงแต่ที่แตกไม่ใช่กระจกแต่เป็นหน้าผมเอง ผมอายจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ชักมือหนีสัมผัสอันอ่อนโยน พี่คลื่นยิ้มมุมปาก แววตาล้อเลียนทำให้ผมอายยิ่งกว่าเดิม

     “คิดไปไกลเชียวนะครับ หมกมุ่นเหมือนกันนะเราเนี่ย”

     ผมถลึงตาใส่คนตรงหน้า โชคดีที่พนักงานเอาเมนูมาให้พอดีผมเลยรอดพ้นจากบทสนทนานี้ได้ พอสั่งอาหารเสร็จแล้วผมก็ทำเป็นหันไปมองอย่างอื่น ไม่อยากสบตาให้พี่คลื่นจับได้ว่ากำลังอาย

     “เดือนครับ”

     ผมหันไปตามเสียงเรียก แต่กว่าจะรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไรก็สายไปเสียแล้ว พี่คลื่นกำลังมองดูโทรศัพท์ตัวเอง รอยยิ้มบนใบหน้าทำให้รู้ว่าเจ้าตัวกำลังพอใจกับรูปถ่ายในนั้น

     “พี่คลื่น! ลบเลยนะครับ จะถ่ายก็บอกกันดีๆ สิ” ผมยื่นมือไปข้างหน้าจะแย่งโทรศัพท์ แต่คนตัวสูงก็ยกมือหลบไม่ให้ผมหยิบได้ มีการหันหน้าจอมาโชว์รูปอีกด้วย

     “แบบนี้แหละธรรมชาติดี ดูสิ น่ารักจะตาย”

     “น่ารักตรงไหน หน้าผมเหวอมากเลยนะนั่น”

     “ก็เพราะเหวอไงครับถึงน่ารัก”

     ผมอยากโวยวายก็ทำได้ไม่เต็มที่เพราะเกรงใจลูกค้าคนอื่นในร้าน หลังจากยื้อยุดฉุดกระชากอยู่สักพักผมก็จำต้องยอมแพ้เพราะแขนพี่คลื่นยาวกว่าเยอะ ผมได้แต่นั่งกระฟัดกระเฟียดอย่างทำอะไรไม่ได้ ขณะที่อีกคนยิ้มระรื่นเหมือนสนุกมากที่ได้แกล้งผม

     “ห้ามโพสต์ลงโซเชียลนะครับ ไม่งั้นผมจะงอนเป็นเดือนจริงๆ ด้วย” ผมต้องขู่ไว้ก่อน เดี๋ยวพวกเพื่อนตัวดีเอารูปมาล้อเลียนผมทีหลัง

     “ถึงเดือนไม่บอกพี่ก็ไม่ทำอยู่แล้วครับ รูปน่ารักขนาดนี้พี่ไม่ให้คนอื่นเห็นหรอก เก็บไว้ดูคนเดียวดีกว่า”

     พี่คลื่นพูดเหมือนไม่คิดอะไร ต่างกับผมที่แทบจะแทรกพื้นหนีอยู่แล้ว ทำไมถึงชอบทำให้ผมเขินนักนะ ได้เห็นผมหน้าแดงแล้วมีความสุขมากหรือไง

     ใช้เวลารอไม่นานอาหารที่สั่งไปก็ถูกยกมาเสิร์ฟ ผมตั้งหน้าตั้งตากินไม่พูดอะไรกับพี่คลื่นเลย ส่วนหนึ่งเพราะหิว อีกส่วนเพราะความเขินอายยังไม่หายไป

     “ค่อยๆ กินก็ได้ครับ ไม่ต้องรีบ วันนี้พี่มีเวลาให้เดือนทั้งวัน”

     ผมไม่ได้รีบ ผมเขิน เข้าใจไหม ผมเขินโว้ยยยย!!



     หนึ่งในกิจกรรมที่เวลาคู่รักมาเดินห้างต้องทำกันก็คือดูหนัง คราวนี้ผมเป็นคนชวนเพราะผมมีหนังที่อยากดูมานานแล้วแต่หาเวลาว่างไม่ได้เสียที แต่พอมาถึงหน้าโรงหนังผมก็ต้องผิดหวังเมื่อรู้ว่าหนังที่ผมอยากดูถูกถอนออกจากโรงฯ ไปนานแล้ว ผมจะชวนพี่คลื่นไปเดินเล่นแก้ช้ำใจแต่พี่คลื่นก็รั้งไว้

     “ไหนๆ ก็มาแล้ว ดูเรื่องอื่นก็ได้ครับ”

     “ไม่เอาครับ ผมไม่รู้จะดูเรื่องอะไร” ผมบอกอย่างเซ็งๆ

     “งั้นเดี๋ยวพี่เลือกให้” พี่คลื่นว่าจบก็หันไปมองรายการหนังที่มีกำหนดการฉายวันนี้ ดวงตาสีดำสนิทไล่ดูหนังทีละเรื่องก่อนจะมาหยุดอยู่ที่เรื่องสุดท้าย “ฆ่าซ่อนศพ…”

     “ผมไม่ดูนะ” ผมรีบบอกอย่างไวเมื่อเห็นสายตาไม่น่าไว้ใจของคนตัวสูง พี่คลื่นเหลือบมามองก่อนจะยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย

     “เดือนไม่อยากดูเหรอ”

     “ไม่อยากครับ พี่ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าผมกลัวผี”

     “เรื่องนี้ไม่มีผีครับ เป็นแค่หนังฆาตกรรม”

     “มันก็น่ากลัวอยู่ดีครับ”

     “แต่พี่อยากดูนี่ครับ”

     “งั้นพี่ก็ดูไปคนเดียวเลยครับ หนังจบแล้วโทรมาบอกด้วย ผมจะไปเดินเล่นรอ” ผมกำลังจะเดินออกจากโรงหนัง แต่ก็ถูกพี่คลื่นดึงแขนไว้ก่อน

     “ดูเป็นเพื่อนพี่หน่อย”

     “ไม่เอาครับ”

     “แต่พี่อยากดูกับเดือน...” ใบหน้าคมเข้มเคลื่อนมาใกล้ เสียงทุ้มต่ำข้างหูทำให้หน้าผมเห่อร้อนขึ้นมาอีกครั้ง “เวลาเดือนกลัวผีพี่จะได้หลอกหอมแก้มเหมือนในบ้านผีสิงไง”

     “อะ...ไอ้พี่บ้า!” สาบานว่าผมไม่เคยอยากหยาบคายกับพี่คลื่นมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่ผมทนไม่ไหวจริงๆ ก็ดูคำพูดเขาสิครับ พูดมาแต่ละคำมีแต่ชวนผมเขินทั้งนั้น ขนาดโดนผมตีแขนไปเต็มแรงยังหัวเราะร่าได้อยู่เลย

     “ไม่ชอบให้พี่หอมแก้มเหรอ งั้นเปลี่ยนเป็นหอมแก้มพี่แทนก็ได้นะ”

     “เงียบไปเลยครับ ไม่ต้องพูดแล้ว ถ้าพี่พูดอีกคำเดียวผมหนีกลับหอแน่!!”



     “เดือน”

     “…”

     “เดือนครับ”

     “…”

     “เฮ้อ งอนพี่อีกแล้วเหรอ”

     ผมทำหูทวนลม หันหน้าเข้าหากระจกรถเพื่อหลบหน้าใครบางคน เสียงถอนหายใจดังมาให้ได้ยิน ก่อนที่พี่คลื่นจะเอื้อมมือข้างที่ไม่ได้บังคับพวงมาลัยมาดึงมือผมไปกุม

     “เป็นอะไรครับ วันนี้พี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”

     “แน่ใจเหรอครับ” ผมรีบสวนกลับไปทันควัน หวังให้อีกฝ่ายรู้ความผิดด้วยตัวเอง

     “วันนี้พี่ทำตัวดีทั้งวัน คอยดูแลเอาใจใส่เดือนตลอดเวลาเลยนะ”

     “พี่ชอบแกล้งให้ผมเขิน” ในเมื่ออีกฝ่ายไม่รู้ตัวซะทีผมจึงต้องเอ่ยปากด้วยตัวเอง

     “ก็เวลาเดือนเขินมันน่ารักดี”

     “เห็นไหม ขนาดตอนนี้พี่ยังไม่หยุดทำผมเขินเลย”

     พี่คลื่นหัวเราะในลำคอ ยื่นมือมาเปิดเพลงคลอเบาๆ ในรถ ก่อนจะจับมือผมไปกุมไว้เหมือนเดิม

     “แล้วเดือนมีความสุขไหม”

     คำถามที่ดูจริงจังทำให้ผมหันหน้าไปมอง พี่คลื่นกำลังขับรถอยู่ แต่ก็เหลือบมามองผมเป็นระยะ

     “ว่าไงครับ ตอบให้พี่ชื่นใจหน่อย”

     ผมหลุบตามองต่ำ อ้อมแอ้มตอบเสียงเบาเพราะไม่กล้าพูดตรงๆ “มาเที่ยวกับคนที่ตัวเองรักมันก็ต้องมีความสุขอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ”

     “พี่ไม่ได้แกล้งให้เดือนเขินเล่นๆ ทุกอย่างที่พี่ทำวันนี้เพราะอยากให้เดือนมีความสุข และพี่ก็อยากทำแบบนี้ทุกวัน เดือนเข้าใจไหมครับ”

     “เข้าใจครับ และผมก็ไม่ได้จะงอนจริงๆ ผมแค่...” ผมหันหน้าหนี เสียงที่เบาอยู่แล้วยิ่งเบาเข้าไปอีก “ผมแค่เขินจนทำอะไรไม่ถูก”

     “แต่ก็รู้สึกดีใช่ไหม”

     “...ครับ”

     ตอนที่พี่คลื่นบอกว่าจะดูหนังผีผมเกือบงอนจริงๆ แต่สุดท้ายพี่คลื่นก็เลือกหนังตลกแทน พี่คลื่นมาเฉลยตอนกลับว่าไม่คิดจะดูหนังผีอยู่แล้ว แค่อยากแกล้งให้ผมนึกถึงตอนโดนเขาหอมแก้มเฉยๆ ผมเลยสบายใจหน่อยที่อย่างน้อยเขาก็จำรายละเอียดของผมได้และไม่บังคับให้ผมทำสิ่งที่ไม่ชอบ

     “ขอบคุณสำหรับวันนี้นะครับ” ผมพูดเสียงเบาจนคำพูดเกือบลอยหายไปกับเสียงเพลง วันนี้พี่คลื่นออกเงินให้ผมทุกอย่าง ผมจะขอออกบ้างเขาก็ไม่ยอม ผมเลยคิดว่าควรพูดอะไรบ้างเพื่อไม่ให้ดูเอาเปรียบเกินไป

     “เปลี่ยนคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นได้ไหม”

     “อะไรครับ”

     คนตัวสูงไม่ตอบ แต่ทำแก้มป่องแล้วเอียงหน้ามาใกล้เหมือนจะบอกทางอ้อมว่าต้องการอะไร ผมหลุดขำนิดหน่อย ถึงจะรู้แล้วแต่ก็ยังนั่งนิ่งทำเป็นไม่เข้าใจท่าทางของอีกฝ่าย

     “เร็วสิครับ”

     “อะไรเร็วครับ”

     “หอมแก้มพี่ไง”

     “ผมก็พูดขอบคุณไปแล้วไง”

     “ไม่พอครับ อยากให้หอมแก้มด้วย”

     ผมหลุดขำอีกรอบ เอาแต่ใจเป็นเด็กสามขวบไม่เข้ากับหน้าตาเลยแฮะ ผมเคลื่อนใบหน้าไปใกล้ กำลังจะกดจมูกลงไปบนแก้ม แต่จู่ๆ พี่คลื่นก็หันหน้ามาโดยไม่บอกกล่าว ริมฝีปากของเราสองคนเลยแตะกันเล็กน้อยอย่างไม่ตั้งใจ

     ผมรีบหันมานั่งเหมือนเดิม เกิดความเงียบระหว่างเราสองคน ทั้งรถมีเพียงเสียงเพลงดังเบาๆ ถ้าตอนอยู่ในห้างว่าเขินแล้ว ตอนนี้ผมเขินมากกว่าเป็นร้อยเท่า

     ผมยกมือมาแตะริมฝีปากเบาๆ สัมผัสอันแผ่วเบาที่ได้รับเมื่อครู่ยังคงชัดเจนในความรู้สึก ผมเหลือบมองคนที่ขับรถอยู่ว่ามีอาการเดียวกันไหม แต่พี่คลื่นกลับทำหน้าสบายๆ เหมือนไม่ได้คิดอะไร

     “ขะ...ขอโทษนะครับ” เป็นเพราะอึดอัดจนทนไม่ไหวผมเลยคิดว่าต้องพูดอะไรสักอย่าง

     “เรื่องอะไรครับ”

     “ที่ปากเราชนกันเมื่อกี้...”

     “ขอโทษทำไมครับ พี่ตั้งใจ” คนตัวสูงหักพวงมาลัยเลี้ยวรถเข้าที่จอด พอได้ยินดังนั้นผมก็เบิกตาโพลง กำลังจะหันไปโวยวายแต่ก็ชะงักไปเมื่อเห็นว่าพี่คลื่นขับรถมาจอดที่ไหน

     “นี่ไม่ใช่หอผมนะครับ”

     “แล้วพี่บอกเหรอว่าจะพาเราไปส่งที่หอ” พี่คลื่นพูดหน้าตาย ดับเครื่องยนต์แล้วลงไปหยิบของท้ายรถที่ซื้อมาจากห้าง พอผมลงมาจากรถบ้างถึงได้รู้ว่าที่เรากำลังยืนอยู่คือลานจอดรถใต้คอนโดฯ ของพี่คลื่น

     “พี่พาผมมาที่นี่ทำไมครับ” ผมพูดเสียงสั่น ลางสังหรณ์บางอย่างบอกผมว่าไม่ควรไว้ใจพี่คลื่น

     “ก็พาเดือนมานอนห้องพี่ไงครับ”

     “แต่พรุ่งนี้ผมมีเรียนนะ”

     “เรียนตอนบ่ายไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวพอตื่นแล้วพี่ขับรถไปส่งที่หอก็ได้”

     “ไม่เอาครับ ผมอยากกลับตอนนี้”

     ร่างสูงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า สายตาของพี่คลื่นทำให้ผมไม่กล้าพูดต่อ “เดือนไม่อยากนอนกับพี่เหรอครับ”

     เอาอีกแล้ว น้ำเสียงกับสายตาแบบนี้มาอีกแล้ว

     “ไม่ใช่แบบนั้นครับ...”

     “แปลว่าเดือนก็อยากนอนกับพี่เหมือนกัน?”

     “คือผม...” ผมไม่รู้จะพูดอะไรเลยครับ รู้สึกเหมือนกำลังโดนล่อลวงยังไงไม่รู้

     “พี่สัญญาว่าจะนอนกอดเฉยๆ จะไม่ทำอะไรมากกว่านี้ตราบใดที่เดือนยังไม่พร้อม” พี่คลื่นพูดเหมือนรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ ขณะที่ผมกำลังตัดสินใจเขาก็พูดขึ้นมาอีก “นะครับ ให้พี่นอนกอดวันนึงนะ แค่เห็นหน้าตอนวิดีโอคอลมันไม่หายคิดถึง”

     ถ้าจะอ้อนขนาดนี้ก็ไม่ต้องขอหรอกครับ อุ้มผมขึ้นห้องเลยน่าจะง่ายกว่า

     ผมพยักหน้าเบาๆ อย่างปฏิเสธไม่ลง พี่คลื่นยิ้มกว้างทันที รีบดึงมือผมไปจับเหมือนกลัวผมจะเปลี่ยนใจ

     “รีบขึ้นห้องกันเถอะครับ พี่อยากนอนกอดเดือนจะแย่แล้ว”

     ผมได้แต่ลอบถอนหายใจระหว่างที่เดินตามคนตัวสูงไป เห็นสายตาของพี่คลื่นแล้วผมกลัวเหลือเกินว่ามันจะไม่หยุดอยู่แค่กอด



     ถึงแม้จะเคยมานอนห้องพี่คลื่นแล้ว แต่ตอนนี้สถานะระหว่างเราสองคนเปลี่ยนไปแล้ว ความรู้สึกตอนนั้นกับตอนนี้เลยต่างกันอย่างสิ้นเชิง

     ผมได้แต่ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าประตู ไม่กล้าเดินเข้าไปในห้อง ขามันสั่นไปหมด จนพี่คลื่นที่เข้าไปแล้วเอ่ยปากเรียกผมจึงต้องตามไปอย่างไม่มีทางเลือก

     “เป็นอะไรครับ” พี่คลื่นที่เอาของไปวางไว้บนโซฟาเอ่ยถามเมื่อหันมาเห็นสีหน้าของผม

     “เปล่าครับ”

     “โกหก เห็นอยู่ชัดๆ ว่ากำลังตื่นเต้น”

     ถ้าพี่รู้อยู่แล้วจะมาถามผมทำไมวะ

     ผมได้แต่ตั้งคำถามในใจ พี่คลื่นเดินมาหยุดตรงหน้า ใช้มือเชยคางผมให้เงยหน้าไปสบตา “ทำตัวให้ชินไว้นะครับ เพราะไม่ใช่แค่คืนนี้หรอกที่เดือนต้องมานอนกับพี่”

     “ผมมีหออยู่นะครับ ไม่จำเป็นต้องมาค้างคอนโดฯ พี่สักหน่อย”

     “ไม่อยากนอนกอดคนที่ตัวเองรักทุกวันเหรอครับ”

     ตกลงพี่คลื่นจะให้ผมเขินจนขาดอากาศหายใจตายไปเลยใช่ไหม ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้เขาหยอดผมเยอะเกินไปแล้วนะ!!

     ผมกำลังจะพูดกลับไป แต่เสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นซะก่อน พี่คลื่นหยิบโทรศัพท์มาดู รอยยิ้มหายไปทันทีเมื่อเห็นชื่อของคนที่โทรมา

     ผมเอียงคอทำหน้างง พี่คลื่นเหลือบมามองผมนิดหนึ่ง ก่อนจะกดรับสายทั้งที่กำลังอยู่กับผม “ว่าไงหวาน”

     ชื่อที่ออกจากปากคนตัวสูงทำให้ใจผมกระตุกวูบไหวแปลกๆ เหมือนพี่คลื่นจะรู้ทันความคิดผม เขาดึงมือผมไปจับไว้แน่น สายตาจดจ้องอยู่ที่ใบหน้าผมตลอดการสนทนา

     “เราคุยเรื่องนี้กันแล้วนะหวาน คลื่นไม่อยากพูดซ้ำ”

     “…”

     “ไม่เป็นไร ถ้าหวานจะคิดแบบนั้นคลื่นก็ไม่เถียง”

     “…”

     “หวานได้ยินมายังไงก็เป็นอย่างนั้นแหละ”

     “…”

     “ใช่ คลื่นรักเดือน รักมานานแล้ว และหวานก็รู้ไว้ด้วยว่าความรักของคลื่นกับเดือนมันไม่เกี่ยวกับหวานมาตั้งแต่แรกแล้ว”

     ถึงผมจะไม่ได้ยินเสียงพี่น้ำหวาน แต่ฟังจากคำพูดพี่คลื่นผมก็พอจะเดาออกว่าเขาสองคนคุยอะไรกัน ผมกุมมือพี่คลื่นทับไว้อีกที บีบเบาๆ พร้อมกับส่งยิ้มไปให้

     “ไม่ว่าหวานจะทำอะไรคลื่นก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจทั้งนั้น หวานตัดใจเถอะ ยังมีคนอื่นที่อยากได้ความรักจากหวานอยู่นะ”

     “…”

     “โอเค ถ้าหวานพูดขนาดนี้เราก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก คลื่นไม่รู้นะว่าหวานคิดจะทำอะไร แต่คลื่นจะไม่ยอมให้หวานมาพังความรักของคลื่นเด็ดขาด”

     พี่คลื่นกดตัดสายก่อนจะโยนโทรศัพท์ไปบนโซฟา คนตัวสูงมองลึกเข้ามาในตาผม รั้งผมเข้าไปกอดหลวมๆ

     “ทะเลาะกับพี่น้ำหวานเหรอครับ” ผมถามขณะที่กำลังซบอกพี่คลื่นอยู่

     “ไม่รู้ว่าเรียกทะเลาะได้ไหม แต่พี่แค่พูดความรู้สึกตัวเองให้หวานเข้าใจ ส่วนเขาจะคิดยังไงพี่ไม่อยากรับรู้” พี่คลื่นผละใบหน้าออกไป เอื้อมมือมาลูบแก้มผม “พี่รักเดือนนะ เดือนเชื่อใจพี่ไหม”

     “ทำไมถามอย่างนั้นล่ะครับ”

     “พี่กลัวเดือนคิดมาก”

     “เผื่อพี่ลืม พี่ไม่ได้รักผมฝ่ายเดียวนะ ผมก็รักพี่เหมือนกัน คนรักกันต้องเชื่อใจกันสิครับ” ผมพูดจบก็สวมกอดพี่คลื่นต่อ รู้สึกเขินกับคำพูดตัวเองจนไม่กล้ามองหน้า “ผมรู้ว่าพี่ไม่ได้คิดอะไรกับพี่น้ำหวาน พี่เคยบอกผมแล้ว และผมก็เต็มใจที่จะเชื่อคำพูดของพี่ เพราะงั้นไม่ต้องห่วงหรอกครับ ไม่ว่าจะตอนไหนผมก็ไว้ใจพี่คลื่นเสมอ”

     ร่างสูงกดจมูกลงบนหัวของผม สูดเอากลิ่นหอมเข้าปอดสลับกับประทับจูบบนกลุ่มผมอย่างแผ่วเบา

     “พี่รู้ว่าเดือนน่ารัก แต่พอได้ยินแบบนี้แล้วเดือนดูน่ารักขึ้นเยอะเลย”

     พี่คลื่นกอดผมอยู่สักพักก่อนจะขอตัวไปอาบน้ำ ระหว่างนั้นก็ให้ผมเข้าไปรอในห้องนอน ผมทำตัวว่าง่ายเชื่อฟังอย่างดี แต่ตอนที่ผมกำลังจะเดินผ่านประตูไปพี่คลื่นก็เอ่ยเรียกอีกครั้ง

     “เดือน”

     “ครับ?”

     “มาอาบด้วยกันไหม เดี๋ยวพี่ถูหลังให้”

     จากที่กำลังตื่นเต้นที่จะได้เข้าห้องนอนพี่คลื่น สองขาผมรีบก้าวเข้าห้องไปทันทีโดยไม่คิดอะไรอีก เสียงหัวเราะลอยมาให้ได้ยิน ก่อนจะตามมาด้วยเสียงปิดประตูห้องน้ำ ทิ้งให้ผมยืนกุมหน้าอกตัวเองพร้อมใบหน้าที่แดงซ่านภายในห้องนอน

     ซึ้งได้ไม่ถึงห้านาทีก็ส่อแววทะลึ่งอีกแล้ว ตกลงผมคิดผิดสินะที่ยอมมาค้างกับพี่คลื่น…



     คราวก่อนที่มาผมเอาแต่ดูแลพี่คลื่น เลยไม่ได้สังเกตเห็นตุ๊กตาหมีที่วางอยู่ข้างเตียง ผมหยิบมากอดพร้อมกับขึ้นไปนั่งบนเตียง เล่นตุ๊กตาอยู่นานโดยลืมไปเลยว่าพี่คลื่นอาบน้ำอยู่

     ผมชอบตุ๊กตาหมีมาก เลยเล่นซะเพลินจนไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องน้ำ กระทั่งแผ่นหลังสัมผัสได้ถึงความเย็น ผมถึงได้รู้ตัวว่ากำลังถูกพี่คลื่นที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จโอบกอดไว้

     “เอาตุ๊กตามาเล่นขออนุญาตเจ้าของหรือยัง”

     “เอ่อ...ขอโทษครับ” ผมพูดเสียงอ่อยเพราะนึกว่าอีกฝ่ายโกรธจริงๆ พี่คลื่นเห็นผมหน้าเสียก็ยกยิ้ม เอื้อมมือมาลูบหัวเบาๆ

     “พี่ล้อเล่นครับ เดือนอยากเล่นก็เล่นไปเถอะ ของทุกชิ้นในห้องนี้พี่ไม่หวง หยิบได้ตามใจชอบเลย”

     ผมทำแก้มพองลมเลียนแบบข้าวหอม แต่ไม่ได้ทำเพราะเขิน เพราะผมงอนพี่คลื่นต่างหาก เล่นทำหน้าจริงจังผมก็นึกว่าโกรธซะอีก

     “แกล้งผมอีกแล้วนะ”

     “หยอกเล่นนิดหน่อยไม่ได้เหรอ”

     “พี่คลื่น!” ผมเอ่ยอย่างตกใจเมื่อจู่ๆ คนตัวสูงก็โน้มใบหน้ามาหอมแก้มแรงๆ

     “คนอะไรยังไม่อาบน้ำแต่ตัวโคตรหอม” ว่าจบก็ขโมยหอมแก้มอีกหนึ่งที ผมเลยรีบยกมือมาห้ามก่อนจะมีครั้งที่สาม

     “พอแล้วครับ”

     “ไม่พอครับ ถือเป็นค่าที่พี่ให้เล่นตุ๊กตา”

     “ไหนบอกว่าไม่หวงของไง”

     “ไม่หวงของแต่ก็ต้องคิดค่าเล่นด้วยครับ” พี่คลื่นยกตุ๊กตาไปวางที่เดิม ขยับไปพิงหัวเตียงก่อนจะรวบตัวผมไปนั่งซ้อนด้านหน้าตัวเอง สองแขนที่กอดเอวผมอยู่มันแน่นเสียจนหนีไปไหนไม่ได้ ทำได้แค่ดิ้นไปมาหลบหลีกใบหน้าคมคายที่จ้องจะฉวยโอกาสทุกขณะ

     “พอแล้วครับ ผมจะไปอาบน้ำแล้ว”

     “ตัวหอมขนาดนี้ไม่ต้องอาบก็ได้ นอนกันเลยดีกว่า”

     “ไม่เอาครับ ผมเหนียวตัว พี่คลื่นปล่อยผมก่อน”

     “เรื่องอะไรจะปล่อย”

     มือพี่คลื่นอย่างกับปลาหมึก ผมแงะเท่าไหร่ก็ไม่หลุดเสียที แถมใบหน้ายังโน้มลงมาไม่หยุด สุดท้ายผมเลยโดนหอมไปอีกหลายทีจนแก้มแทบจะช้ำไปหมดแล้ว

     “อยากกอดแบบนี้ทุกคืนเลย” พี่คลื่นพูดขึ้นมาเมื่อผมยอมอยู่นิ่งๆ ให้เอาหน้ามาเกยไหล่ ไม่ใช่ว่าผมยอมแพ้นะครับ แต่ผมเหนื่อยที่จะดิ้นแล้วต่างหาก

     “ถามผมหรือยังว่าอยากด้วยไหม”

     “เดือนไม่อยากนอนกอดพี่เหรอ”

     “ถ้ากอดเฉยๆ ก็อยากอยู่หรอกครับ แต่นี่พี่คลื่นเล่นรังแกผมไม่หยุดเลย”

     “ช่วยไม่ได้ เดือนอยากน่ารักเอง”

     คนตัวสูงโยนความผิดให้ผมหน้าตาเฉย ผมหันหน้าไปตั้งใจจะเถียงกลับ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสายตาที่พี่คลื่นมองมา

     “เดือน...ขอจูบได้ไหมครับ”

     !!!!!!

     คำขอที่ไม่อ้อมค้อมทำให้ผมนิ่งงันไปชั่วขณะ แววตาพี่คลื่นสื่อความต้องการออกมาอย่างชัดเจน หัวใจผมเต้นแรงจนกลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกได้ ยิ่งเห็นใบหน้าอันหล่อเหลาที่กำลังอ้อนวอนผมก็ยิ่งพูดอะไรไม่ถูก

     “ไม่ตอบแปลว่าอนุญาตใช่ไหมครับ” พี่คลื่นว่าก่อนจะเคลื่อนใบหน้ามาใกล้ ผมเลยรีบดึงสติกลับมา ยกมือขึ้นมาบังเอาไว้

     “ดะ...เดี๋ยวก่อนครับ”

     “พี่อยากจูบจริงๆ นะครับเดือน”

     “ในรถก็จูบไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ”

     “นั่นมันแค่ปากแตะกันครับ”

     “แต่ผมยังไม่พร้อม…”

     “แค่จูบครับ ไม่เกินเลยกว่านี้แน่นอน พี่สัญญา”

     ใบหน้าของเราสองคนอยู่ใกล้กันมาก ใกล้เสียจนปลายจมูกแตะกันเล็กน้อย ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีดำ ภายในนั้นเหมือนมีพลังงานบางอย่างที่ทำให้ผมไม่อาจปฏิเสธได้...

     ผมค่อยๆ พยักหน้า พี่คลื่นที่ได้รับอนุญาตแล้วยื่นหน้ามาใกล้มากขึ้น ลมหายใจอุ่นรินรดใบหน้าผม ก่อนที่ริมฝีปากเราสองคนจะแตะกัน คราวนี้พี่คลื่นไม่ได้ถอนหน้าหนีเหมือนในรถ แต่กลับออกแรงบดเข้ามาจนสติผมเลือนหายไปทีละนิด

     คนตัวสูงไม่เพียงแค่ประกบปากลงมา แต่ยังไล้เลียริมฝีปากเหมือนต้องการหยอกเย้าให้ผมรู้สึกมากขึ้น ผมเผลอเผยอปากออกด้วยอารมณ์ที่กำลังล่องลอย พี่คลื่นจึงใช้โอกาสนี้ส่งลิ้นร้อนเข้ามาทักทายภายในโพรงปาก เกี่ยวกระหวัดไปมาจนในหัวผมขาวโพลนไปหมด

     ผมเอื้อมมือไปจับไหล่อีกคนไว้แน่น หวังใช้มันเป็นที่ระบายความรู้สึกในอก พี่คลื่นไม่ได้เร่งเร้าก็จริง แต่ลิ้นของเราสองคนที่เกี่ยวพันกันอยู่มันก็ทำให้ผมอ่อนแรงได้ไม่น้อย

     “อะ...อื้อ...” ผมส่งเสียงร้องเมื่อเริ่มขาดอากาศหายใจ อีกฝ่ายจึงผละใบหน้าออกไปให้ผมโกยออกซิเจนเข้าปอด ผมหอบหายใจเหมือนวิ่งมาราธอนติดต่อกันเป็นชั่วโมง ต่างกับอีกคนที่มองมาพลางยกยิ้มเหมือนชอบใจ

     “สงสัยคงต้องฝึกบ่อยๆ จูบเหมือนเด็กอนุบาลแบบนี้พี่ไม่ให้ผ่านนะครับ”

     ผมไม่ได้อ่อนประสบการณ์ แต่พี่คลื่นจูบเก่งเกินไปต่างหาก

     “ผม...ผมจะไปอาบน้ำ” ผมรีบพูดจนลิ้นแทบพัน เอามือพี่คลื่นออกจากเอว เดินไปหยิบเสื้อผ้ากับผ้าเช็ดตัวที่พี่คลื่นเตรียมไว้ให้แล้วหายเข้าไปในห้องน้ำทันที หัวใจผมยังคงเต้นไม่เป็นจังหวะ ยิ่งนึกถึงความเร่าร้อนที่ได้สัมผัสใบหน้าผมก็ยิ่งเห่อร้อนเหมือนกำลังอยู่หน้าเตาผิง พี่คลื่นจูบเก่งมาก...มากเสียจนถ้าได้จูบกันอีกครั้งผมกลัวว่าจะหัวใจวายไปซะก่อน

     ไหนบอกแค่นอนกอดเฉยๆ ไง นี่ขนาดยังไม่นอนผมยังโดนทั้งหอมแก้มทั้งจูบเลย ถ้าถึงเวลานอนจริงๆ ไม่อยากคิดเลยว่าจะโดนอะไรอีกบ้าง

     พี่คลื่นชอบแกล้ง แถมยังชอบโกหกอีกด้วย





     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-10-2022 02:33:13 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ออฟไลน์ RedQueen

  • Memois Of A Calamity Queen
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0

ออฟไลน์ เปลว แว๊บแว๊บ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
อ่านตอนแรก รู้สึกลำไยเพื่อนน้องเดือนมาก แบบเฮ้อออออ

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 23 : ให้โอกาส





     -องศา-


     “พี่องศาจะพาผมไปไหนครับ”

     คำถามเดิมถูกถามรอบที่สาม แต่ผมก็ทำเหมือนทุกครั้งคือเอาแต่ยิ้มกลับไปอย่างเดียว ข้าวหอมที่ไม่ได้คำตอบสักทีเลยถอนหายใจเบาๆ หันไปมองถนนตรงหน้าเหมือนเดิมแต่ปากยังพูดกับผม

     “ผมจะกลับบ้านครับ รบกวนไปส่งผมด้วย”

     “พี่ไปส่งแน่ครับ” ผมพูดประโยคแรกหลังจากเมินคำถามเจ้าตัวเล็กมานาน “แต่ต้องหลังจากที่เราทำธุระกันเสร็จแล้ว”

     “ธุระ?” คิ้วบางๆ เลิกขึ้นพร้อมกับหันมาส่งสายตางุนงง “พี่องศาจะไปทำธุระอะไรครับ”

     “เดี๋ยวเราก็รู้”

     “ถ้าพี่จะทำธุระก็ไปส่งผมก่อนสิครับ”

     “ไม่ได้ครับ เพราะมันคือธุระของเราสองคน ไม่ใช่พี่คนเดียว”

     “ผมไปมีธุระอะไรกับพี่ตอนไหน”

     ผมหันไปยิ้มให้คนถามอีกครั้ง ไม่คิดจะอธิบายอะไรเพิ่มเติม นิ้วชี้เคาะพวงมาลัยรถพลางฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีเมื่อนึกถึงธุระที่เรากำลังจะไปทำกัน ข้าวหอมขมวดคิ้วมุ่น คงหงุดหงิดที่ผมไม่ยอมบอกเหตุผลสักที

     ใครจะยอมบอกล่ะครับ ขืนบอกไปตรงๆ คงไม่พ้นหนีกลับบ้านแน่นอน สู้มัดมือชกพามาด้วยแบบนี้เลยดีกว่าเยอะ

     วันนี้กลุ่มข้าวหอมมีเรียนแค่ตอนเช้า พอถึงเวลาเลิกเรียนผมก็รีบโดดวิชาของตัวเองไปรับข้าวหอมมาขึ้นรถทันที ตอนแรกเจ้าตัวไม่ได้เอะใจอะไร คงคิดว่าผมมารับกลับบ้านเหมือนทุกครั้ง แต่พอเห็นเส้นทางกลับที่ไม่คุ้นเคยก็หันมาถามทันที ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่คิดจะบอกก่อนถึงจุดหมายปลายทางอยู่แล้ว

     นักศึกษาปีสามที่มีชื่อเสียงในมหา’ลัยอย่างผมไม่ควรโดดเรียนก็จริง แต่เพราะปัญหาที่กำลังรบกวนจิตใจทำให้ผมต้องพิสูจน์บางอย่างให้เจ้าตัวเล็กเห็น...ผมอยากให้ข้าวหอมรู้ว่าสำหรับผม เขาสำคัญเหนือกว่าสิ่งอื่นใด

     “ถึงแล้วครับ” ผมบอกคนข้างๆ ในตอนที่ขับรถมาจอดชั้นใต้ดินแล้ว ข้าวหอมมองไปรอบๆ ใบหน้าที่ผมชอบมองเต็มไปด้วยความสงสัย

     “พี่พาผมมาห้างทำไม”

     “บอกแล้วไงครับว่ามาทำธุระ”

     “ธุระอะไรอยู่ในห้างครับ”

     “ก็ธุระ ‘พาว่าที่แฟนมาเดต’ ไงครับ”

     คนตัวเล็กตาโตเมื่อรู้ว่าธุระของผมคืออะไร แก้มเนียนใสขึ้นสีระเรื่อ ริมฝีปากเผยอเล็กน้อยเหมือนอยากพูดอะไรแต่พูดไม่ออก ภาพตรงหน้าช่างน่ารักจนผมอยากจับมาฟัดให้หายมันเขี้ยว แต่ต้องข่มใจไว้เพราะสถานะของเราสองคนตอนนี้ยังไม่เอื้ออำนวย

     “งั้นพี่ก็พามาผิดคนแล้วครับ คนที่พี่ควรพามาคือพี่แพรว ไม่ใช่ผม”

     “บอกแล้วไงว่าพี่กับแพรวไม่มีอะไรกันแล้ว” ผมรีบแก้ตัวทันที ตั้งใจจะพูดให้เขิน ทำไมจู่ๆ ถึงงานเข้าได้วะเนี่ย

     “ถ้างั้นก็ไปพาคนอื่นมาครับ ผมไม่ใช่ว่าที่แฟนของพี่”

     “ทำไมจะไม่ใช่ ที่จีบอยู่นี่ก็เพราะอยากให้ข้าวมาเป็นแฟนพี่นะ” ผมจับมืออีกคนไว้ในตอนที่กำลังจะเปิดประตูลงไปจากรถ

     “พี่องศา ผมพูดไปหลายรอบแล้วนะครับ พี่ก็รู้เหตุผลแล้วไม่ใช่เหรอว่าทำไมเราถึงคบกันไม่ได้” ข้าวหอมหันมาจ้องหน้าผม สายตาที่มองมาทำให้ผมอยากถอนหายใจสักร้อยรอบ ตัวก็เล็กแค่นี้ทำไมถึงดื้อนักนะ ผมกล้าพูดเลยว่าเด็กสามขวบยังไม่ดื้อเท่าคนตรงหน้าผมในตอนนี้เลย

     “ข้าวมีเหตุผลที่คบกับพี่ไม่ได้ พี่ก็มีเหตุผลที่ตัดใจจากข้าวไม่ได้เหมือนกัน” ผมสบตากลับไป หวังให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความจริงใจของผม

     “เหตุผลอะไรครับ”

     “พี่ชอบข้าว ชอบจนไม่อยากตัดใจไปหาคนอื่น แค่นี้พอจะเป็นเหตุผลได้ไหม”

     ข้าวหอมนิ่งงันไป แววตาวูบไหวเมื่อได้ยินคำว่าชอบจากปากผม คนตัวเล็กหลบตามองไปทางอื่น ไม่ต่อล้อต่อเถียงอะไรอีก ผมเลยถือโอกาสนี้ทึกทักเอาเองว่าข้าวหอมยอมไปกับผมแล้ว

     “ไปกันเถอะครับ พี่หิวแล้ว เมื่อเช้ารีบไปรับข้าวพี่ยังไม่ได้กินอะไรเลย”

     ถึงแม้จะดื้อแค่ไหน แต่ผมก็รู้ว่าจุดอ่อนของข้าวหอมอยู่ที่ความใจอ่อน เถียงกันไปมาไม่มีประโยชน์หรอกครับ ต้องเล่นทางน่าสงสาร รับรองว่าได้ผลแน่นอน

     ข้าวหอมเม้มปากแน่นเหมือนกำลังคิดอะไรในหัว ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ “ผมจะถือว่ามากินข้าวเป็นเพื่อนคนขี้เหงา จะไม่นับว่านี่คือการเดตนะครับ”

     “แล้วแต่ข้าวเลยครับ” ผมยิ้มกว้าง แอบกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ ที่จริงการมาห้างครั้งนี้ผมก็ไม่คิดว่าเป็นการเดตเหมือนกัน แต่มันคือการแสดงความรักของผมให้ข้าวหอมเห็น

     ขอเวลาแค่หนึ่งวัน แล้วผมจะเปลี่ยนความคิดของเจ้าตัวเล็กให้ดู



     “ไหนบอกจะมากินข้าวไงครับ”

     “พี่ยังไม่ได้บอกเลยว่าจะกินข้าว พี่แค่บอกว่าหิว”

     “แต่อาหารมื้อแรกของวันควรเป็นข้าวไม่ใช่เหรอครับ แล้วทำไมพี่ถึงพาผมมาร้านไอติม”

     ผมส่งยิ้มไปให้คนถาม ระหว่างนั้นพนักงานก็ยกไอศกรีมที่ผมสั่งไปมาเสิร์ฟ พอเห็นของโปรดมาอยู่ตรงหน้าเจ้าตัวเล็กก็ตาลุกวาวทันที แต่คงเพราะอยู่กับผมเลยไม่อยากแสดงอาการอะไรมากนัก ผมแอบขำกับท่าทางของข้าวหอม พยักพเยิดหน้าให้เป็นการอนุญาต

     “กินสิครับ”

     “ไม่ครับ ผมแค่มาเป็นเพื่อนพี่เฉยๆ”

     “ถ้ามาเป็นเพื่อนจริงๆ ก็ต้องกินเป็นเพื่อนด้วยครับ ให้พี่กินคนเดียวมันเหงามากเลยนะ”

     ผมว่าจบก็ตักไอศกรีมเข้าปากนำ ข้าวหอมยังไม่ยอมหันมามอง แต่ผมเห็นว่าแอบชำเลืองมามองถ้วยไอศกรีมนิดหนึ่ง

     “อร่อยนะครับ ไม่กินจริงๆ เหรอ” ผมแกล้งทำหน้าตกใจกับความอร่อยของไอศกรีม ข้าวหอมยังคงนั่งนิ่ง ผมเลยตักไอศกรีมเข้าปากอีกคำเพื่อยั่วคนที่วางท่าว่าไม่อยากกินแต่ที่จริงน้ำลายแทบไหลแล้ว

     ข้าวหอมมองผมกินอยู่สักพักก็ทนไม่ไหว ค่อยๆ ยื่นมือมาตักไอศกรีมเข้าปาก ใบหน้าดูมีความสุขมากเมื่อกินไอศกรีมคำแรกเข้าไป แต่ที่ไม่ยอมยิ้มออกมาคงเพราะไม่อยากให้ผมรู้ว่ากำลังอร่อย

     คิดไม่ผิดจริงๆ ที่ยอมเสี่ยงโดนบาทาไอ้คลื่นด้วยการขอเบอร์น้องเดือนเพื่อจะโทรไปถามความชอบของข้าวหอม

     เมื่อเช้าผมกินข้าวมาแล้ว แต่ที่ต้องโกหกเพราะผมอยากพาข้าวหอมมากินไอศกรีมที่เป็นของโปรดของเจ้าตัว วันนี้ผมอยากทำให้ข้าวหอมมีความสุขมากที่สุด ข้าวหอมจะได้ลืมเรื่องที่ไม่สมควรจำ

     “อร่อยไหม” ผมถามทั้งที่พอจะรู้คำตอบอยู่แล้ว ข้าวหอมพยักหน้ารัวๆ ตอนนี้ไอศกรีมหายไปครึ่งถ้วยแล้ว เจ้าตัวเล็กคงกำลังเพลิดเพลินกับของหวานตรงหน้าจนลืมไปแล้วว่าผมอยู่ด้วย

     ผมยกมือมาเท้าคาง มองคนที่กำลังตักไอศกรีมเข้าปากแล้วก็ได้แต่สงสัยในใจ พวกคนที่มาว่าข้าวหอมนี่ไม่รู้ว่าลืมตัดแว่นหรือยังไง จะมองมุมไหนข้าวหอมก็น่ารักไปหมดสำหรับผม เจ้าตัวอาจจะไม่เคยคิดว่าตัวเองน่ารักเพราะเจอคำพูดบั่นทอนจิตใจมาเยอะ แต่ไม่เป็นไร วันนี้ผมจะทำให้ข้าวหอมรู้เองว่าเขาน่ารักแค่ไหน

     “พี่องศาไม่กินเหรอครับ” คนตัวเล็กเอ่ยถามเมื่อเห็นผมเอาแต่นั่งเฉยๆ

     “พี่อิ่มแล้ว”

     “แต่พี่กินไปนิดเดียวเองนะ”

     “แค่ดูข้าวกินพี่ก็อิ่มแล้วครับ”

     พอได้ยินอย่างนั้นข้าวหอมก็ชะงักไปนิดหนึ่ง “เอ่อ...ผมกินมูมมามมากไปเหรอครับ”

     เวรกรรม ทำไมถึงคิดว่าผมจะด่าได้ล่ะเนี่ย

     “เปล่าครับ พี่หมายถึงตอนกินไอติมข้าวดูมีความสุขมาก พี่เห็นแล้วก็รู้สึกดีใจที่พามา”

     ข้าวหอมชะงักไปอีกรอบ คราวนี้หลบตาไปมองทางอื่น แก้มเนียนใสพองออกเล็กน้อยอย่างที่ชอบทำประจำเวลาเขิน ผมอมยิ้ม ตักไอศกรีมไปจ่อปากอีกฝ่าย ข้าวหอมเลยหันมาทำหน้างง

     “อะไรครับ”

     “จะป้อน”

     ตากลมๆ เบิกกว้างทันที ข้าวหอมมองไอศกรีมในช้อนอย่างลังเล ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น

     “พี่อยากให้ข้าวลองชิม ไอติมรสนี้อร่อยมากเลยนะ” ผมพูดเมื่อเห็นว่าข้าวหอมไม่ยอมให้ป้อนเสียที

     “มะ...ไม่เป็นไรครับ”

     “ชิมหน่อยเถอะ มาร้านไอติมทั้งที กินอยู่รสเดียวเดี๋ยวไม่คุ้มนะ”

     “...ก็ได้ครับ” ข้าวหอมทำท่าจะเอื้อมมือมาหยิบช้อน แต่ผมชักมือหลบมาก่อน

     “พี่ป้อนครับ”

     “ผมกินเองได้ครับ อีกอย่างในร้านมีคนเยอะ” ข้าวหอมหันไปมองรอบตัวอย่างระแวง

     “แล้วไงครับ ไม่เห็นเกี่ยวเลยว่าจะมีคนอื่นเห็นไหม พี่แค่อยากป้อนข้าว”

     “…”

     “อย่าดื้อสิครับ อ้าปากเร็ว เดี๋ยวมันละลายก่อนนะ”

     พอโดนเร่งมากๆ ข้าวหอมก็ยอมแพ้ในที่สุด ผมยิ้มกริ่ม แอบซ่อนใบหน้าดีใจไว้เมื่อข้าวหอมยอมกินไอศกรีมที่ผมป้อน

     “อร่อยไหมครับ”

     คนตัวเล็กพยักหน้า แก้มทั้งสองข้างแดงอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งทำให้น่ามองเข้าไปอีก

     “เห็นไหม มีคนคอยป้อนอร่อยกว่ากินเองตั้งเยอะ”

     “เพราะร้านเขาทำไอติมอร่อยหรอกครับ ไม่เกี่ยวกับที่พี่ป้อนซะหน่อย”

     “ใจร้าย คนเขาอุตส่าห์ป้อนยังมาพูดหักน้ำใจกันได้ลงคอ”

     ข้าวหอมทำหน้าเหลอหลาเมื่อจู่ๆ ก็โดนผมตัดพ้อ ผมแสร้งทำหน้าเศร้า บุ้ยปากไปยังไอศกรีมอีกถ้วยที่ใกล้จะหมดแล้ว

     “ป้อนพี่บ้างเลย โทษฐานที่ทำให้พี่น้อยใจ”

     “เดี๋ยวนะครับ มันเกี่ยวกันเหรอ”

     “เกี่ยวสิครับ” ไม่รู้ว่าเกี่ยวจริงไหม แต่นาทีนี้อะไรเอามาอ้างได้ผมทำหมด “ป้อนพี่หน่อย พี่อยากชิมไอติมของข้าวบ้าง”

     “ถ้าอยากชิมก็ตักกินเองเลยครับ” ข้าวหอมเลื่อนถ้วยตัวเองมาตรงหน้าผม

     “ข้าวววว ป้อนพี่หน่อยสิครับ”

     “ไม่เอาครับ บอกแล้วไงว่ามีคนเยอะ”

     “พี่ยังป้อนข้าวได้เลย”

     “ก็พี่ไม่แคร์คนอื่นแต่ผมแคร์”

     “ข้าวแคร์คนอื่น แล้วพี่ล่ะครับ ข้าวเคยแคร์บ้างไหม”

     “…”

     “ตอนนี้ข้าวนั่งอยู่กับพี่ ข้าวสนแค่พี่ไม่ได้เหรอครับ ทำไมต้องสนคนอื่นด้วย”

     ข้าวหอมทำหน้าอึกอัก มองมาเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง ผมไม่รู้ว่าข้าวหอมคิดอะไรอยู่ แต่ผมคิดตามที่พูดไปจริงๆ ผมไม่อยากให้ข้าวหอมสนใจคนอื่น คนเดียวที่อยากให้ข้าวหอมสนใจคือผมเท่านั้น

     “พี่องศา...ไม่อายเหรอครับถ้าจะให้ผมป้อน” คนถามหลุบตามองต่ำ ท่าทางเหมือนไม่แน่ใจว่าควรถามดีไหม ผมเลยดึงมือบนโต๊ะมาจับเพื่อปลอบประโลม

     “ทำไมถึงคิดว่าพี่จะอายล่ะครับ”

     “ก็ผมมันขี้เหร่ ถ้าคนอื่นเห็นว่าพี่ถูกคนอย่างผมป้อนไอติม...”

     “คนอื่นจะคิดยังไงก็เรื่องของเขาสิครับ สำหรับพี่ข้าวสำคัญกว่าคนอื่น ทำไมพี่ต้องแคร์สายตาคนอื่นด้วยล่ะจริงไหม”

     ข้าวหอมไม่ชักมือกลับ ยอมให้ผมจับอยู่อย่างนั้น ผมเลยใช้โอกาสนี้ดึงมือเล็กมาทาบแก้มตัวเองพลางพูดอ้อนอย่างที่อีกฝ่ายแพ้ทาง

     “ข้าวครับ...ป้อนไอติมพี่หน่อยนะ พี่อยากให้ข้าวป้อนจริงๆ”

     คนตัวเล็กกัดปากตัวเอง ทำหน้าลังเลสักพักก่อนจะค่อยๆ ตักไอศกรีมมาจ่อปาก ผมยิ้มกว้างด้วยความดีใจ ยื่นหน้าไปกินไอศกรีมที่ผมคิดว่าอร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา

     “อร่อยจัง” ผมพูดยิ้มๆ ทั้งที่ของหวานยังเต็มปาก ข้าวหอมเสมองไปทางอื่น แก้มที่ขึ้นสีระเรื่อพองออกอีกครั้ง

     ผมเริ่มไม่อยากให้ข้าวหอมเขินบ่อยๆ แล้วสิ ไม่ใช่ว่าไม่อยากเห็น แต่กลัวเห็นแล้วอดใจไม่ไหวเผลอยื่นหน้าไปฟัดแก้มนุ่มๆ



     อีกหนึ่งเหตุผลที่มาห้างวันนี้นอกจากจะพาข้าวหอมมากินไอศกรีม คือผมตั้งใจจะมาซื้อนาฬิกาเรือนใหม่แทนเรือนเก่าที่พังไป ผมตระเวนไปดูตามห้างอื่นมาแล้ว แต่ไม่ว่าร้านไหนก็ไม่มีแบบที่ผมถูกใจเลย ในเมื่อไม่รู้จะเลือกยังไง วันนี้ผมเลยนึกสนุกให้เจ้าตัวเล็กมาเลือกให้แทน

     “พี่มาจับมือผมทำไมครับ” ข้าวหอมท้วงตอนที่เดินออกมาจากร้านไอศกรีม ผมยกมือที่จับกันอยู่ขึ้นมาดูก่อนจะแกล้งทำหน้าใสซื่อ

     “ทำไมจะจับไม่ได้ล่ะครับ”

     “ก็มันไม่มีเหตุผลให้จับไงครับ”

     “รู้ได้ไงว่าไม่มีเหตุผล”

     “กลัวผมหลงทางเหรอครับ ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะ”

     “ไม่ใช่อย่างนั้นครับ พี่แค่อยากจับเฉยๆ” ผมพูดจบก็กระชับมือของเราสองคนให้แน่นขึ้น “มือข้าวนุ่มดี อยากจับทั้งวันทั้งคืนเลย”

     เจ้าตัวเล็กทำหน้าไม่ถูกเมื่อโดนผมพูดตรงๆ มือบางพยายามดึงออกจากมือของผม “พี่องศา ปล่อยก่อนครับ”

     “ไม่ครับ”

     “เดี๋ยวคนอื่นเขามอง”

     “พี่บอกแล้วไงว่าไม่ต้องไปสนคนอื่น”

     “แต่ผู้ชายสองคนมาเดินจับมือในห้างมันจะดูแปลกๆ นะครับ อีกอย่างห้างนี้ก็อยู่ใกล้มหา’ลัย ถ้ามีคนรู้จักมาเห็นเข้าพี่จะโดนนินทาเอาได้”

     สองขาที่กำลังเดินอยู่หยุดกะทันหัน ข้าวหอมที่กำลังเดินตามผมเลยต้องหยุดเหมือนกัน ผมหันไปมองคนที่ขยันคิดมากได้ตลอดเวลา คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างไม่พอใจ

     “พี่จะพูดอีกแค่รอบเดียว คนที่ข้าวควรแคร์และสนใจคือพี่คนเดียว คนอื่นจะคิดยังไงก็ช่างหัวเขา”

     “ผมช่างหัวไม่ได้ครับ ผมไม่อยากให้พี่โดนด่าเหมือนผม ยิ่งถ้าผมเป็นต้นเหตุด้วยผมคง...”

     “ข้าวหอม” ผมเรียกอีกฝ่ายด้วยเสียงดุ “ถ้าการที่พี่จะโดนนินทาเพราะพี่ป้อนไอติมเราหรือเดินจับมือกับเรา รู้ไว้นะครับว่าพี่ไม่เคยเสียใจเลย พี่สนแค่ว่าตอนเราอยู่ด้วยกันพี่ทำให้ข้าวมีความสุขได้ก็พอใจแล้ว เพราะงั้นอย่ามาคิดแทนพี่ อะไรที่พี่บอกว่าอยากทำก็คืออยากทำจริงๆ เข้าใจไหมครับ”

     คนรอบข้างหันมามองเราสองคน คงนึกว่าผมกับข้าวหอมยืนทะเลาะกันอยู่ แต่ตอนนี้ผมไม่สนอะไรทั้งนั้น สิ่งเดียวที่ผมสนคือคำตอบของคนตรงหน้า

     ผมตั้งใจว่าจะคุยเรื่องนี้ตอนกลับ แต่ดูเหมือนถ้าไม่รีบเคลียร์กันให้รู้เรื่องวันนี้คงไม่เป็นอันเที่ยวกันพอดี

     “ตอบครับ เข้าใจที่พี่พูดไหม”

     เมื่อโดนถามอีกครั้งเจ้าตัวเล็กก็เม้มปากแน่นพลางพยักหน้าเล็กน้อย ผมเอ่ยถามย้ำเพราะอยากมั่นใจว่าข้าวหอมเข้าใจจริงๆ

     “เข้าใจว่าอะไรครับ”

     “ขะ...เข้าใจว่าพี่ไม่แคร์คนอื่น”

     “อะไรอีกครับ”

     “พี่แคร์แค่ผมคนเดียว”

     “ถูกต้องครับ” ผมยกยิ้ม เอื้อมมือไปลูบหัวอีกคน “แต่แค่นั้นยังไม่พอ พี่อยากให้ข้าวแคร์พี่คนเดียวด้วย ข้าวทำให้พี่ได้ไหมครับ”

     คราวนี้คนตัวเล็กหลบสายตา ปากบางยื่นออกมาจนน่าเอ็นดู “ขอมากเกินไปแล้วนะครับ ผมก็ให้จับมือแล้วไงยังจะเอาอะไรอีก”

     ผมหลุดขำกับน้ำเสียงของอีกคน อารมณ์ขุ่นมัวก่อนหน้านี้หายไปในพริบตา เอาเถอะ ยังไม่ต้องรีบร้อนก็ได้ ผมยังมีเวลาทำความเข้าใจกับข้าวหอมอีกเยอะ แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ ระหว่างนี้ผมไม่ยอมให้เจ้าตัวเล็กไปทำความเข้าใจกับคนอื่นแน่นอน

     ผมจับมือข้าวหอมเดินนำไปยังร้านนาฬิกา ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่รู้สึกเหมือนรอบนี้ข้าวหอมจะจับมือผมกลับมาด้วย



     ตอนนี้เราสองคนอยู่ในร้านขายนาฬิกา ข้าวหอมกำลังยืนมองนาฬิกาข้อมือที่ตั้งโชว์อยู่ในตู้กระจกโดยมีผมยืนอยู่ข้างๆ เจ้าตัวเล็กหันมามองผม ทำหน้าแปลกๆ แบบที่ผมเห็นแล้วเกือบหลุดขำ

     “พี่แน่ใจเหรอครับว่าจะให้ผมเลือกจริงๆ”

     “ทำไมถามอย่างนั้นล่ะครับ”

     ข้าวหอมเขย่งเท้ามากระซิบใกล้ๆ เพราะเกรงใจคุณลุงเจ้าของร้านที่ยืนมองอยู่ “มันมีแต่เรือนแพงๆ ทั้งนั้นเลยนะครับ ถ้าผมเลือกให้แล้วไม่ถูกใจเดี๋ยวจะกลายเป็นว่าพี่เสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์”

     “อะไรที่ข้าวเลือกให้พี่ถูกใจหมดนั่นแหละครับ ไม่ต้องคิดมากหรอก คิดซะว่าเลือกให้ตัวเองก็ได้”

     “จะดีเหรอครับ”

     ผมพยักหน้าเล็กน้อย ข้าวหอมมองหน้าผมสักพักก่อนจะหันไปเลือกนาฬิกาต่อ ใบหน้าขะมักเขม้นที่กำลังเลือกนาฬิกาอย่างตั้งใจทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้ ยิ่งรู้จักผู้ชายคนนี้มากเท่าไหร่ผมยิ่งตกหลุมรักมากเท่านั้น

     ยอมรับว่าตอนเข้าหาข้าวหอมครั้งแรกผมคิดแค่ว่าเด็กคนนี้หน้าตาน่ารัก แต่พอได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นผมก็รู้ว่าสิ่งที่น่ารักไม่ได้มีเพียงแค่หน้าตา ภายใต้บุคลิกนิ่งๆ เหมือนเด็กเรียนนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและความหวังดี บ่อยครั้งที่ผมเห็นข้าวหอมห่วงคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ จากที่อยากได้มาควงเฉยๆ ผมก็เริ่มรู้สึกมากกว่านั้น ยิ่งวันเวลาผ่านไปความรู้สึกข้างในก็ยิ่งเด่นชัดว่าผมคงหลงรักผู้ชายคนนี้เข้าแล้ว

     ผมเคยถามตัวเองว่าจริงจังกับข้าวหอมมากแค่ไหน แต่จากการที่ผมยอมขับรถไปรับข้าวหอมทุกเช้าทั้งที่ตัวเองเกลียดการตื่นเช้ามากๆ ยอมขับรถไปส่งข้าวหอมที่บ้านไม่ว่าจะดึกแค่ไหนก็ตาม ยอมตามจีบเขาอยู่เป็นสัปดาห์ทั้งที่ปกติผมเกลียดการถูกตามจีบ การกระทำเหล่านี้มันบ่งบอกได้ชัดเจนกว่าคำพูดว่าผมจริงจังกับข้าวหอมขนาดที่ตัวผมเองยังคาดไม่ถึงเลย

     เป็นเพราะคิดอะไรเพลินไปหน่อย พอรู้สึกตัวอีกทีก็เห็นข้าวหอมกำลังโบกมือไปมาตรงหน้า เจ้าตัวเล็กมองผมพลางทำหน้าเป็นห่วง

     “พี่องศาเป็นอะไรครับ”

     “...เปล่าครับ พี่แค่เหม่อไปหน่อย”

     “ไม่ใช่ว่าไม่ชอบนาฬิกาที่ผมเลือกให้เหรอครับ”

     “หืม? ข้าวเลือกได้แล้วเหรอ”

     คนถูกถามบุ้ยปากไปยังนาฬิกาสีเงินที่อยู่ในมือเจ้าของร้าน ข้าวหอมคงชอบเรือนนี้เลยขอให้คุณลุงหยิบออกมาให้ดู

     “ผมถามว่าชอบไหมพี่องศาก็ไม่ตอบเลย ผมเกือบคิดว่าพี่หลับกลางอากาศไปแล้ว”

     ผมรับนาฬิกามาจากคุณลุง พลิกไปมาอย่างพิจารณา ปากก็เอ่ยถามอีกคนไปด้วย “ทำไมถึงเลือกสีนี้ให้พี่ล่ะครับ ข้าวชอบเหรอ”

     “ไม่ใช่ครับ ผมเลือกให้เพราะคิดว่ามันน่าจะเข้ากับพี่”

     “ยังไงครับ”

     “เอ่อ...ผมแค่รู้สึกว่าพี่องศาเป็นคนร่าเริง อารมณ์ดีตลอดเวลา หันไปมองทีไรก็มักจะมีรอยยิ้มติดใบหน้าเสมอ ผมเลยคิดว่าถ้าใส่นาฬิกาสีเงินที่ข้อมือน่าจะเข้ากับลุคหนุ่มสดใสมากๆ”

     ผมไม่รู้ว่าริมฝีปากตัวเองยกยิ้มเมื่อไหร่ รู้แค่ว่าคำพูดของเจ้าตัวเล็กมันน่ารักเสียจนผมอยากอุ้มไปฟัดในรถให้หนำใจซะตอนนี้เลย ข้าวหอมที่เห็นผมเอาแต่ยิ้มเอียงคอมองอย่างสงสัย ผมโน้มใบหน้าไปใกล้โดยทำเป็นไม่เห็นสายตาของเจ้าของร้าน

     “เพิ่งรู้ว่าข้าวคอยสังเกตพี่อยู่ตลอดเวลานะเนี่ย”

     คนที่รู้ข้อมูลผมอย่างดีทำหน้าเลิ่กลั่ก คงกำลังคิดหาคำแก้ตัวอยู่ในหัว

     “คะ...คนอื่นเขาก็รู้เรื่องนี้กันหมดนั่นแหละครับ พี่องศาดังจะตาย ไม่รู้ตัวหรือไงครับ”

     “รู้ครับว่าตัวเองดังจนมีคนสนใจเยอะ แต่ที่ไม่รู้คือข้าวก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย”

     ใบหน้าข้าวหอมแดงซ่านจนเห็นได้ชัด ผมยกยิ้ม ใช้เวลาที่อีกฝ่ายคิดคำเถียงไม่ออกหันไปคุยเรื่องราคากับเจ้าของร้าน หลังจ่ายเงินเรียบร้อยแล้วผมก็จูงมือคนตัวเล็กออกมาจากร้าน ยกข้อมือข้างที่ใส่นาฬิกาขึ้นมาอย่างต้องการจะอวด

     “อืม...เข้ากับพี่จริงๆ ด้วย คิดไม่ผิดเลยที่ให้เรามาช่วยเลือก ขอบคุณนะครับ” ผมหันไปยิ้มให้คนที่เดินข้างกัน ข้าวหอมไม่ยอมมองตาผม เอาแต่หลบหน้าพลางพูดไปถึงเรื่องอื่น

     “อย่าเข้าใจผิดนะครับ ผมไม่ได้สนใจพี่ แค่บุคลิกของพี่มันชัดเจนเท่านั้นเอง”

     “ที่ผ่านมาข้าวอาจจะไม่เคยสนใจพี่ แต่หลังจากนี้มันจะไม่เหมือนเดิมแน่นอน พี่มั่นใจ”

     ผมสอดมือหนาของตัวเองเข้ากับมือเล็กของข้าวหอม กระชับให้แน่นขึ้นเพื่อบอกทางอ้อมว่าผมจะไม่ยอมให้มือของเราสองคนปล่อยออกจากกันเด็ดขาด



     หลังจากเดินเล่นไปทั่วห้างจนไม่มีที่ไหนให้เดินแล้ว ผมก็พาข้าวหอมไปเลี้ยงอาหารเกาหลีเพื่อตอบแทนที่เลือกนาฬิกาให้ เป็นเพราะตอนกลางวันกินไปแค่ไอศกรีม เราสองคนจึงสั่งอาหารมาเยอะจนแทบจะล้นโต๊ะ กว่าจะกินเสร็จเวลาก็ล่วงเลยมาถึงสองทุ่ม

     “อิ่มไหมครับ” ผมถามคนข้างๆ ขณะที่กำลังขับรถ ข้าวหอมหันมามองเหมือนผมถามอะไรที่ไม่ควรถาม

     “กินไปตั้งขนาดนั้น ถ้ายังไม่อิ่มก็ไม่ใช่คนแล้วครับ”

     “ที่จริงเราควรกินข้าวเยอะๆ แบบนี้ทุกวันนะ ผอมจนแทบจะเห็นกระดูกแล้วนั่น” ผมเหลือบไปมองเรือนร่างที่อยู่ภายใต้ชุดนักศึกษา ข้าวหอมตัวเล็กจนผมกลัวว่าจะถูกพัดไปตามลม

     “เกินไปครับ ขืนกินเหมือนวันนี้บ่อยๆ ผมได้กลิ้งไปเรียนกันพอดี”

     “จะกลิ้งไปเรียนทำไม มีคนคอยขับรถไปรับส่งให้ทั้งที”

     ผมคิดว่าข้าวหอมน่าจะเขินจนต้องตอบอะไรกลับมาบ้าง แต่น่าแปลกที่คราวนี้เจ้าตัวเล็กไม่ส่งเสียงอะไรเลย ผมอาศัยจังหวะที่ถนนโล่งหันไปมองคนด้านข้าง ใบหน้ากลมหม่นลงเหมือนกำลังกังวลอะไรบางอย่าง

     “ข้าวเป็นอะไรครับ”

     เจ้าของชื่อค่อยๆ หันมามองผม สายตาของข้าวหอมเต็มไปด้วยความสับสนและไม่มั่นใจ เพียงแต่ผมไม่รู้ว่าเรื่องอะไร

     “พี่จริงจังหรือแค่เล่นๆ ครับ”

     “เรื่องอะไรครับ”

     “ที่พี่บอกว่าชอบผมไงครับ”

     คำถามที่ไม่คาดคิดทำให้ผมผงะไปเล็กน้อย ข้าวหอมมองผมตาไม่กะพริบราวกับกำลังรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ

     “พี่ตามจีบขนาดนี้ ข้าวยังคิดว่าพี่ไม่จริงจังอีกเหรอ”

     “พี่อาจจะเพิ่งเคยสนใจผู้ชายครั้งแรก เลยเข้าใจผิดว่าความแปลกใหม่ในการจีบผู้ชายด้วยกันคือความชอบก็ได้ครับ”

     “ข้าวหอม” ผมเอ่ยเสียงแข็งก่อนที่ปากเล็กๆ นั่นจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ “อย่ามาดูถูกความรู้สึกของพี่ครับ พี่บอกว่าชอบก็คือชอบจริงๆ ไม่ได้เข้าใจผิดอะไรเลย”

     “ผมไม่ได้ดูถูก ผมแค่ไม่อยากให้เราสองคนถลำลึกเกินไปจนสุดท้ายต้องมาเสียใจกันทั้งคู่”

     “มันจะเสียใจยังไงครับ ข้าวลองบอกพี่มาหน่อย” ผมใจเย็นลง เปลี่ยนเป็นค่อยๆ ตะล่อมถามเหตุผลแทน

     “เราสองคนต่างกันเกินไป”

     “ต่างยังไงครับ”

     “พี่หน้าตาดี มีคนชอบเยอะแยะ ส่วนผมหน้าตาขี้เหร่ มีแต่คนบอกว่าไม่น่ารัก ต่อให้พี่ได้คบกับผมจริงๆ วันนึงเราก็ต้องทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้อยู่ดี เราอยู่ในสังคมที่มีผู้คนมากมาย จะให้เมินคำพูดของคนอื่นแล้วทำตามใจตัวเองอย่างเดียวมันไม่ได้หรอกครับ”

     ผมชะลอความเร็วของรถลง เพราะกลัวว่าถ้าขับเร็วกว่านี้ผมอาจหุนหันพลันแล่นจนเผลอไปชนคันอื่นเอาได้ แค่ฟังน้ำเสียงของข้าวหอมผมก็รับรู้ได้ว่าเขากำลังเจ็บปวดไม่น้อย ยิ่งรู้ว่าข้าวหอมคิดแง่ลบกับตัวเองมาทั้งชีวิตเพราะโดนคนรอบข้างบีบบังคับให้เป็นแบบนี้ ผมก็ยิ่งรู้สึกโมโหจนอยากจอดรถแล้วหากำแพงต่อยสักหมัดสองหมัด

     ข้าวหอมไม่ควรมาเจออะไรแบบนี้ จริงอยู่ที่ต่างคนต่างความคิด ทุกคนมีสิทธิ์คิดว่าคนอื่นไม่น่ารัก แต่การไปดูถูกหรือด่าทอเขาแค่เพราะไม่ชอบรูปร่างหน้าตามันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเลย

     “ข้าวหอมครับ ฟังพี่นะ” ผมดึงมือเจ้าตัวเล็กมาวางบนตัก บีบกุมเบาๆ เผื่อมันจะช่วยสร้างความมั่นใจให้เจ้าของได้ “เราไม่ควรเมินคนในสังคมเดียวกันก็จริง แต่นั่นมันในกรณีที่เราทำให้คนอื่นเดือดร้อน การที่พี่กับข้าวจะคบกันมันไม่ทำให้ใครเดือดร้อนสักหน่อย หรือถ้ามีคนเดือดร้อนจริงๆ นั่นเป็นปัญหาที่เขาต้องแก้เอง ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องเก็บมาใส่ใจ”

     ข้าวหอมมองตรงไปข้างหน้า ผมเลยไม่รู้ว่าเจ้าตัวกำลังคิดหรือรู้สึกอย่างไร เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่มีท่าทางจะโต้แย้งผมเลยพูดต่อไปอีก

     “ส่วนที่ข้าวบอกว่าตัวเองไม่น่ารัก พี่เถียงหัวชนฝาเลยครับว่าไม่จริง ข้าวไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปเทียบกับน้องเดือนหรือคนอื่นเพราะข้าวมีความน่ารักในแบบของตัวเองอยู่แล้ว คนอื่นจะคิดยังไงพี่ไม่รู้ แต่สำหรับพี่ข้าวน่ารักที่สุดและจะน่ารักตลอดไป”

     คนน่ารักหันมามองทันที ผมเลยหันไปสบตาเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่ผมพูดไปทั้งหมดเป็นความจริง คำว่าน่ารักของผมไม่ได้หมายถึงแค่หน้าตา แต่ทุกอย่างที่หลอมรวมมาเป็นเด็กผู้ชายที่ชื่อข้าวหอมนั้นน่ารักไปหมดในสายตาผม

     “ที่ข้าวบอกว่าเราคบกันไม่ได้ พี่ไม่รู้นะครับว่าทำไมเราถึงคิดแบบนั้น ถ้าสาเหตุมันมาจากพี่ พี่ยินดีพิสูจน์ตัวเองให้ข้าวเห็น ต่อให้ต้องใช้เวลาทั้งชีวิตพี่ก็ยอม แต่ถ้าสาเหตุมาจากตัวข้าวเอง อยากให้รู้ไว้นะครับว่าข้าวเป็นเด็กน่ารักที่ใครได้ไปเป็นแฟนคงโชคดีมากๆ และพี่ก็อยากเป็นคนที่โชคดีคนนั้น”

     ที่ผมพาข้าวหอมมาห้างวันนี้ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าผมไม่เคยอายเลยถ้าเราสองคนจะคบกัน จะให้เดินจับมือ ป้อนข้าว หอมแก้ม หรือให้ทำอะไรต่อหน้าคนหมู่มากผมก็ยินดีเสมอถ้าเป็นข้าวหอม ผมคิดว่าคนอื่นต้องอิจฉาผมด้วยซ้ำ มันน่าภูมิใจจะตายที่มีแฟนน่ารักขนาดนี้

     ผมจอดรถเมื่อขับมาถึงหน้าบ้านของข้าวหอม ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่ผมก็ยังไม่ปล่อยมือ ผมขยับเข้าหาคนตัวเล็ก เอื้อมมือไปประคองแก้มให้หันมาสบตา แววตาของข้าวหอมดูดีใจและลังเลในเวลาเดียวกัน ผมยกยิ้มก่อนจะเอ่ยอ้อนวอนด้วยใบหน้าจริงจัง

     “ก่อนหน้านี้ข้าวอาจจะเสียใจมาเยอะ แต่หลังจากนี้มันจะไม่มีอีกแล้ว ให้โอกาสพี่นะครับ...พี่สัญญาว่าจะทำให้ข้าวมีแต่ความสุข”





     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-10-2022 03:00:17 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ RedQueen

  • Memois Of A Calamity Queen
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 24 : เราเป็นแฟนกันแล้วนะ





     “การยอมรับวัฒนธรรมที่แตกต่างเป็นเงื่อนไขหนึ่งในการอยู่ร่วมกันของสังคม สิ่งที่จะทำให้มนุษย์เป็นระเบียบมากขึ้นคือกฎระเบียบที่เรียกว่าประเพณี หากพูดกันตามตรงแล้วประเพณีที่บรรพบุรุษของเราสืบทอดกันมา...”

     “มึง ไอ้ข้าวเป็นอะไรวะ” ฝนที่นั่งด้านหลังยื่นหน้ามากระซิบ ผมเลยละความสนใจจากอาจารย์ที่กำลังอธิบายเนื้อหาแล้วหันไปมองคนด้านข้าง

     ข้าวหอมยกมือมาเท้าคาง แววตาที่กำลังมองไปยังหน้าต่างดูเหม่อลอย ปกติข้าวหอมจะตั้งใจเรียนทุกคาบ ยิ่งช่วงไหนใกล้สอบอย่าได้ชวนคุยระหว่างเรียนเชียวไม่งั้นมีโกรธ แต่ข้าวหอมที่ไม่ตั้งใจฟังอาจารย์สอนอย่างในตอนนี้พวกผมไม่เคยเห็นมาก่อน

     “ทะเลาะกับพี่องศาเหรอวะ กูเห็นตั้งแต่เช้ามันไม่พูดอะไรกับใครเลย” ควีนตั้งข้อสงสัย ผมเหลือบมองว่าอาจารย์ทำอะไรอยู่ เมื่อเห็นแกกำลังพูดเนื้อหาบนสไลด์อย่างติดลมผมเลยหันไปถามข้าวหอม

     “ข้าวเป็นอะไรหรือเปล่า เครียดอะไรอยู่บอกเราได้นะ”

     ข้าวหอมหันมามองพวกผม ใบหน้าหม่นหมองทำให้ผมมั่นใจว่าเจ้าตัวกำลังมีเรื่องคิดมากอยู่แน่นอน

     “ไม่มีอะไรหรอก เดือนอย่าสนใจเลย”

     “ไม่จริงค่ะ ท่าทางมึงมันฟ้องว่ากำลังคิดมาก พี่องศาทำอะไรมึงหรือเปล่า เมื่อวานมึงไปกับเขาไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมกลับมาถึงเอาแต่ซึมแบบนี้” ฝนพูดยาวเป็นหางว่าว ผมเดาว่ามันคงเป็นห่วงกับอยากเสือกเท่าๆ กัน

     คนถูกถามถอนหายใจเล็กน้อย ลองไอ้ฝนถามอย่างนี้ผมว่าข้าวหอมคงปิดไม่มิดแล้วล่ะ “ข้าวแค่มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะ”

     “เรื่องอะไร”

     “เอาไว้เรียนเสร็จก่อนดีกว่า ตอนนี้ฝนกับควีนหันไปฟังอาจารย์ก่อนเถอะ” ข้าวหอมว่าเมื่อเห็นอาจารย์มองมาทางนี้ ฝนกับควีนที่กลัวอาจารย์คนนี้ยิ่งกว่าแม่แท้ๆ เลยรีบนั่งหลังตรงตั้งใจเรียนขึ้นมาทันที ระหว่างนั้นผมก็ลอบมองข้าวหอมเป็นระยะ ถึงจะบอกว่าไม่ต้องสนใจแต่ผมก็อดห่วงไม่ได้

     เมื่อวันก่อนผมอุตส่าห์บอกข้อมูลของข้าวหอมให้พี่องศารู้ ผมนึกว่าทุกอย่างจะไปได้สวยซะอีก ไม่คิดเลยว่าข้าวหอมจะมีท่าทางอย่างนี้



     “มึงทะเลาะกับพี่องศาเหรอ” ฝนถามเกริ่นนำเมื่อเห็นว่านั่งกินข้าวกันมานานแล้วข้าวหอมยังไม่ยอมพูดอะไรสักที คนถูกถามเขี่ยน้ำแข็งไสในถ้วยไปมา ไม่แน่ใจว่าไม่ได้ยินหรือไม่ยอมตอบ “ไอ้ข้าว”

     “หือ?”

     “กูถามว่าทะเลาะกับพี่องศาเหรอ”

     “เปล่า”

     “แล้วมึงเป็นอะไร”

     ข้าวหอมหลุบตามองต่ำ กัดปากตัวเองเหมือนกำลังคิดอะไรในหัว ผมเลยลองช่วยไอ้ฝนพูดอีกแรงเผื่อข้าวหอมจะยอมบอก

     “ตอนอยู่ในห้องเรียนข้าวบอกว่ามีเรื่องคิดมากใช่ไหม ข้าวคิดอะไรอยู่ บอกได้ไหมเผื่อเราช่วยได้”

     ปกติถ้าผมพูดดีๆ แบบนี้ข้าวหอมจะยอมบอก หรืออย่างน้อยถ้าเป็นเรื่องที่บอกไม่ได้จริงๆ ข้าวหอมก็จะบอกมาตรงๆ แต่คราวนี้ข้าวหอมกลับมองผมนิ่งๆ ก่อนจะเข้ามาสวมกอดโดยไม่พูดอะไร

     “ข้าว...เป็นอะไรไป”

     ฝนกับควีนต่างมองมาอย่างตกใจ ผมเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าข้าวหอมจะทำอะไรแบบนี้ สองมือผมเอื้อมไปกอดหลังก่อนจะลูบขึ้นลงตามสัญชาตญาณ ไม่รู้หรอกว่าข้าวหอมเป็นอะไร แต่ผมคิดว่าทำแบบนี้แล้วน่าจะช่วยให้ข้าวหอมรู้สึกดีขึ้น

     “ข้าว มึงโดนรังแกมาใช่ไหม บอกมานะว่าใครทำ เดี๋ยวกูไปตบมันให้” ควีนเห็นสีหน้าข้าวหอมเลยคิดว่าโดนหาเรื่องมา มันทำหน้าจริงจังจนฝนต้องบอกให้ใจเย็นๆ

     “มึงเป็นอะไรก็พูดมาสิวะ พวกกูอยากช่วยมึงนะเว้ย ไหนสัญญาว่าถ้าเกินกำลังมึงจะมาปรึกษาพวกกูไง”

     ผมยังคงลูบหลังข้าวหอมต่อไป บริเวณปกเสื้อสัมผัสได้ถึงความชื้น ผมเลยรู้ว่าข้าวหอมกำลังร้องไห้ ผมหันไปมองหน้าฝนกับควีนอย่างไม่รู้จะทำยังไง นี่มันยิ่งกว่าผิดปกติแล้ว เมื่อวานต้องเกิดอะไรขึ้นกับข้าวหอมแน่ๆ

     “ข้าว ใจเย็นๆ แล้วตั้งสติก่อน บอกมาว่ากำลังคิดมากเรื่องอะไร ถ้าข้าวไม่บอกเราก็ช่วยอะไรไม่ได้นะ”

     โต๊ะข้างๆ เริ่มหันมามอง คงเห็นว่าข้าวหอมกำลังร้องไห้จนไหล่สั่น ฝนกับควีนที่ทำอะไรไม่ถูกเลยยื่นมือมาลูบหลังด้วย สีหน้าพวกมันทั้งเป็นห่วงเพื่อนและงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น

     “เดือน...” เสียงอู้อี้ของคนที่กอดผมอยู่ดังขึ้นมา

     “ว่าไง”

     “เดือนรักข้าวไหม”

     ฝนกับควีนทำตาปริบๆ คงไม่นึกว่าข้าวหอมจะถามอะไรแบบนี้ ผมเองก็งงเหมือนกัน แต่เพราะไม่อยากขัดจึงต้องตามน้ำไปก่อน

     “ก็ต้องรักสิ ข้าวเป็นเพื่อนเรานะ”

     “แล้วฝนกับควีนล่ะรักข้าวไหม”

     “ถามอะไรแปลกๆ ถ้าไม่รักจะคบมาจนถึงตอนนี้เหรอวะ”

     “ใช่ อีฝนพูดถูก ถึงกูจะปากหมา หยาบคาย เอาแต่ใจ ชอบด่ามึงทุกเช้าเย็น แถมยังขยันจับมึงใส่พานให้พี่องศา แต่กูก็รักมึงมากเลยนะเว้ย”

     “แค่บอกว่ารักก็พอไหม ไม่ต้องพ่วงสรรพคุณมาด้วยก็ได้”

     “กูกลัวไอ้ข้าวไม่เชื่อไง คนอย่างอีควีนพูดอะไรจริงจังเสมอค่ะ”

     “ทำไมจู่ๆ ข้าวถึงถามอย่างนี้ล่ะ” ผมรีบวกกลับมาเรื่องเดิมก่อนที่พวกมันสองคนจะพาออกนอกทะเล

     “ข้าวแค่อยากรู้น่ะว่ายังมีคนรักข้าวอยู่หรือเปล่า”

     พวกผมสามคนมองตากันโดยไม่ได้นัดหมาย ผมว่ามันต้องมีคนมาพูดจาแย่ๆ ให้ข้าวหอมคิดมากแน่นอน อย่าให้รู้นะว่าใคร ผมจะไปขโมยรองเท้าส้นสูงของไอ้ฝนมาปาใส่หน้าแม่งเลย

     “แล้วทุกคนคิดว่าข้าวน่ารักไหม”

     “เอ่อ...” ฝนกับควีนถึงกับพูดไม่ถูกเมื่อเจอคำถามไม่คาดคิดข้อที่สอง

     “ตอบมาตามตรงนะ ห้ามโกหก”

     “น่ารักที่ข้าวถามหมายถึงหน้าตาหรือนิสัย” ผมถามข้าวหอม

     “ทั้งหมดเลย”

     “งั้นข้าวฟังเรานะ” ผมจับข้าวหอมให้นั่งดีๆ เพื่อจะได้คุยกันถนัด ยื่นมือไปเช็ดน้ำตาบนแก้มอย่างแผ่วเบา “ถ้าพูดถึงหน้าตาเราคิดว่าข้าวน่ารัก แต่คนอื่นอาจจะไม่คิดเหมือนเราก็ได้ ข้าวก็ไม่ต้องไปสนใจเพราะมันไม่ใช่เรื่องที่ควรเก็บมาคิดมากเลย ส่วนเรื่องนิสัย เรากล้าพูดว่าข้าวนิสัยน่ารักมากๆ ข้าวพูดเพราะ เป็นห่วงคนรอบข้างเสมอ ไม่เคยคิดร้ายกับใคร แสนดีขนาดนี้ถ้าไม่น่ารักก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว”

     ฝนกับควีนพยักหน้าเห็นด้วย ผมไม่รู้ว่าพูดตรงประเด็นหรือเปล่า แต่ผมเดาว่าที่ข้าวหอมกำลังคิดมากคือเรื่องไม่มั่นใจในตัวเอง

     “เดือนคิดว่าข้าวน่ารักเหรอ”

     “อืม ไม่ใช่แค่เรานะ พวกมันสองคนก็คิดเหมือนกัน”

     “ถูกค่ะ มึงต้องมีความมั่นใจให้มากๆ ใครจะว่าอะไรก็โนสนโนแคร์เข้าไว้ เราน่ารักซะอย่าง อย่าให้ลมปากเหม็นๆ มาพัดความมั่นของเราลอยหายไปได้”

     ถึงคำพูดไอ้ควีนจะทุเรศไปหน่อย แต่อย่างน้อยก็ทำให้ข้าวหอมหลุดยิ้มได้ ผมเอื้อมมือไปจับไหล่ข้าวหอม ยิ้มบางๆ ให้กำลังใจ

     “เราถามจริงๆ นะ ข้าวกำลังคิดมากเรื่องพี่องศาใช่ไหม”

     คนคิดมากสะดุ้งเล็กน้อย ใบหน้าดูตกใจกับคำถามของผม เห็นแค่นี้ก็รู้แล้วว่าสิ่งที่ผมสงสัยเป็นความจริง บอกแล้วไงว่าข้าวหอมปิดบังอะไรพวกผมไม่ได้หรอก คบกันมาตั้งนานเรื่องแค่นี้ทำไมจะดูไม่ออก

     “เมื่อก่อนพี่องศาเป็นยังไงเราไม่รู้ แต่ตอนนี้เรามั่นใจว่าเขาชอบข้าวมากๆ ข้าวก็ชอบเขาเหมือนกันไม่ใช่เหรอ ในเมื่อใจตรงกันขนาดนี้แล้วจะเอาแต่คิดมากทำไม ทำตามเสียงหัวใจไปเลย”

     ฝนพยักหน้ารับ ช่วยพูดเกลี้ยกล่อมอีกคน “มึงเชื่อกูสิ ที่พี่องศาชอบมึงเพราะเขาเห็นความน่ารักในตัวมึงแน่นอน กูไม่รู้นะว่ามึงเจออะไรมา แต่มึงอย่าให้คำพูดของใครก็ไม่รู้มาสำคัญกว่าความรู้สึกของตัวเองสิวะ”

     ข้าวหอมเม้มปากแน่น คงกำลังเก็บคำพูดของพวกผมไปคิด ผมเลยดึงมืออีกฝ่ายมากุมแล้วบีบเบาๆ

     “ค่อยๆ คิดก็ได้ พี่องศาไม่หนีไปไหนหรอก เทียวรับเทียวส่งทุกวันขนาดนี้ยังไงข้าวก็หนีเขาไม่พ้นอยู่แล้ว”

     ข้าวหอมหน้าแดงเมื่อโดนผมเอ่ยแซว ฝนกับควีนที่ถนัดเรื่องแบบนี้อยู่แล้วเลยเข้ามาร่วมวงด้วยทันที พอได้เห็นข้าวหอมที่กำลังถกเถียงกับเพื่อนผมก็ลอบถอนหายใจ ไม่รู้ว่าหายคิดมากหรือยัง แต่อย่างน้อยสีหน้าก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กลับมาเป็นข้าวหอมคนเดิมของผมแล้ว

     ข้าวหอมคอยให้กำลังใจผมตอนเข้าใจผิดเรื่องพี่คลื่น ผมเองก็อยากเป็นกำลังใจให้ข้าวหอมเหมือนกัน



     “เป็นอะไรครับ คิ้วผูกกันเป็นโบว์เชียว”

     ร่างสูงที่กำลังลวกเส้นสปาเกตตีเอ่ยถามขึ้นมา ผมเลยละสายตาจากการแกะเปลือกกุ้งหันไปทำหน้างง

     “คิ้วผูกกันอะไรครับ”

     “ไม่รู้เหรอว่าตัวเองกำลังทำหน้าเครียด คิ้วย่นไปหมดแล้วครับ” พี่คลื่นยื่นมือมานวดหว่างคิ้วผมเบาๆ ผมได้แต่ยิ้มแหะๆ กลับไปให้

     “สงสัยผมคงเครียดว่าจะทำครัวพี่พังหรือเปล่า”

     “พูดอะไรอย่างนั้น ข้าวต้มเราก็ทำให้พี่กินมาแล้ว แค่ช่วยพี่ทำอาหารแค่นี้ไม่เกินความสามารถเดือนหรอก พี่รู้”

     พี่คลื่นโยกหัวผมไปมาก่อนจะหันไปสนใจเส้นสปาเกตตีในหม้อต่อ ผมแอบถอนหายใจเบาๆ หันมาแกะเปลือกกุ้งที่ทำค้างไว้โดยที่เรื่องเครียดในหัวยังไม่จางหายไป

     ผมไม่ได้เครียดเรื่องทำอาหารหรอก แต่กำลังเป็นห่วงเพื่อนสนิท ถึงแม้จะพูดปลอบข้าวหอมไปแล้วแต่ผมก็อดกังวลไม่ได้อยู่ดีว่าป่านนี้ข้าวหอมกับพี่องศาจะเปิดอกคุยกันหรือยัง ท่าทางของข้าวหอมเมื่อตอนกลางวันมันเหมือนคนที่คิดมากเรื่องนี้มานานแล้ว พอคิดว่าเพื่อนเก็บความรู้สึกแย่ๆ ไว้กับตัวเองมาตลอดโดยที่ผมไม่เคยช่วยอะไรเลย ผมก็รู้สึกว่ามันเป็นความผิดของผมที่ไม่สังเกตอาการของเพื่อนให้ดี

     ผมอยากช่วยข้าวหอมมากกว่านี้ แต่ผมเป็นคนนอก ทำได้มากสุดแค่คอยให้กำลังใจกับคำปรึกษา ผมถึงได้หงุดหงิดอยู่ในตอนนี้ที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้เลย

     “พี่คลื่นครับ ผมแกะเสร็จแล้ว” ผมเอาเนื้อกุ้งไปล้างน้ำอีกรอบก่อนจะเอามาใส่ถ้วยเล็กพร้อมกับที่เส้นสุกพอดี คนตัวสูงตักเส้นขึ้นมาวางพักไว้ รับกุ้งไปเทลงในหม้อ หยิบไส้กรอกมาหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ

     “เดือนไปหยิบนมสดกับวิปครีมในตู้เย็นให้พี่หน่อย”

     ผมทำตามที่พี่คลื่นสั่ง พอมีวัตถุดิบครบแล้วพี่คลื่นก็จัดการเอาเส้นและเนื้อสัตว์ลงไปในกระทะ เทวิปครีมที่ผสมกับไข่แดงแล้วตามลงไปแล้วค่อยๆ คนให้ทุกอย่างเข้ากัน กลิ่นหอมลอยฟุ้งไปทั่วห้องครัว ผมมองสปาเกตตีคาโบนาร่าในกระทะแล้วอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเพื่อนๆ มากินด้วยก็คงจะดี

     วันนี้ตอนเลิกเรียนพี่คลื่นชวนผมมาค้างที่คอนโดฯ โดยบอกว่าอยากทำคาโบนาร่าให้กิน ตอนแรกพี่คลื่นจะให้ผมไปนั่งรอที่โต๊ะเหมือนทุกที แต่วันนี้ผมมีเรื่องเครียดเยอะเลยอยากหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่าน ผมเลยอาสาเป็นลูกมือในครัวโดยให้พี่คลื่นคอยบอกว่าต้องทำอะไรบ้าง ซึ่งเจ้าของห้องก็รีบตอบรับด้วยรอยยิ้มพร้อมกับพูดประโยคที่ทำให้ผมเป็นใบ้ไปชั่วขณะ

     ‘ช่วยกันทำอาหารก็ดีเหมือนกัน จะได้เหมือนสามีภรรยาที่แต่งงานกันแล้ว’

     สาบานว่านี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ผมจะช่วยพี่คลื่นทำอาหาร ผมเกรงใจพี่คลื่นก็จริง แต่ก็กลัวตัวเองจะเขินตายก่อนวัยอันควรเหมือนกัน

     พักหลังมานี้ผมมาค้างห้องพี่คลื่นบ่อยจนเริ่มเสียดายค่าหอที่จ่ายไป ยิ่งนานวันเข้าห้องพี่คลื่นก็มีข้าวของของผมมากขึ้นเรื่อยๆ จนมันแทบจะเป็นห้องของเราสองคนไปแล้ว ทุกครั้งที่พี่คลื่นชวนมาค้างผมปฏิเสธไม่เคยได้เลย คนตัวสูงชอบเอาลักยิ้มกับน้ำเสียงออดอ้อนมาใช้ ผมเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมตกลงถึงจะรู้อยู่เต็มอกว่าไม่เคยได้หลับสนิทสักคืนก็เถอะ

     เอ่อ...ผมหมายถึงพี่คลื่นชอบขโมยหอมแก้มบ่อยๆ นะครับ ส่วนเรื่องอย่างว่าเรายังไม่เคยทำกันเลย มากสุดก็แค่จูบ ผมเคยพูดไปว่ายังไม่พร้อมและพี่คลื่นก็ไม่เคยเร่งรัด ผมเลยคิดว่าให้มันค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า

     ที่จริงวันนี้พี่คลื่นชวนเพื่อนกลุ่มผมและกลุ่มตัวเองมาเที่ยวคอนโดฯ ด้วย คงตั้งใจจะทำคาโบนาร่าเลี้ยงทุกคน แต่ข้าวหอมต้องรีบกลับบ้าน พี่องศาที่เป็นสารถีขับรถให้ข้าวหอมเลยพลอยมาไม่ได้ไปด้วย ฝนถูกน้องบาสลากไปเดินซื้อของเป็นเพื่อน พี่ทิวชวนควีนไปบ้านตัวเองโดยอ้างว่าอยากให้ควีนไปช่วยทำอาหาร (คู่นี้ผมคงต้องนัดสอบสวนทีหลังซะแล้ว) ส่วนพี่ยี่หวาที่ว่างอยู่คนเดียวก็บอกว่าไม่อยากมาดูผมกับพี่คลื่นสวีทกันให้ช้ำใจคนโสด ทั้งห้องตอนนี้จึงมีแค่ผมกับเจ้าของห้องอย่างที่เห็น

     “ชิมให้พี่หน่อยครับ”

     พี่คลื่นตักเส้นสปาเกตตีใส่ช้อนแล้วยื่นมาป้อน ผมพยักหน้ายิ้มๆ ให้เมื่อเห็นว่ารสชาติโอเคแล้ว คนตัวสูงปิดไฟก่อนจะหยิบจานมาสองใบ ระหว่างที่ตักคาโบนาร่าใส่จานปากก็พูดกับผมไปด้วย

     “อยากปรึกษาพี่ไหม”

     “ปรึกษาอะไรครับ”

     “เรื่องที่เดือนกำลังเครียดอยู่ไง”

     ผมตกใจนิดหน่อยเมื่อพี่คลื่นทำท่าเหมือนดูออกว่าผมกำลังเครียดเรื่องอื่น คนตัวสูงยังคงพูดกับผมขณะที่กำลังโรยผงพาร์สลีย์ลงไปบนอาหาร

     “ถ้าไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไรครับ แต่อยากให้รู้ไว้ว่าพี่อยู่ข้างเดือนเสมอนะ ปัญหาของเดือนก็คือปัญหาของพี่ เดือนรู้ใช่ไหม”

     “รู้ครับ” ผมพูดไปยิ้มไป รู้สึกอุ่นวาบในอกเมื่อได้ยินคำพูดของพี่คลื่น

     “ยิ้มแล้ว” ร่างสูงเอื้อมมือมาลูบแก้มผม “พี่ชอบเดือนตอนยิ้ม ไม่อยากเห็นเดือนทำหน้าเครียดเลย”

     “แค่พี่อยู่ข้างๆ ผมก็ยิ้มออกแล้วครับ” ผมพูดออกไปตามความรู้สึก เสียงนุ่มทุ้มของพี่คลื่นทำให้ผมลืมไปแล้วว่ากำลังคิดมากเรื่องอะไร

     “ถ้าอย่างนั้นเดือนคงต้องเมื่อยแก้มหน่อยนะ”

     “ทำไมครับ”

     “พี่จะอยู่ข้างเดือนไปตลอด ต่อให้เอาช้างมาฉุดก็จะไม่ไปไหน จะตัวติดกับเดือนไปทั้งชีวิตเลย”

     ละลายสิครับ พี่คลื่นเล่นพูดขนาดนี้ ถ้าระเหยกลายเป็นไอน้ำได้ผมคงทำไปแล้ว คนตัวสูงเห็นผมเขินก็มองมาใหญ่ จนผมต้องแกล้งโวยวายเพื่อกลบเกลื่อน

     “ตักเสร็จหรือยังครับ ผมหิวแล้ว ถ้าพี่มัวแต่ชักช้าเดี๋ยวผมทำเองซะเลย”

     “ฮ่าๆๆ หิวขนาดนั้นเลยเหรอ” สายตาแพรวพราวที่มองมาทำให้ผมเริ่มระแวง “ถ้าหิวมากกินพี่รองท้องก่อนได้นะครับ เผลอๆ เดือนจะอิ่มจนไม่อยากกินอะไรต่อเลย”

     “พี่คลื่น!” ผมตีแขนอีกฝ่ายไปเต็มแรง รีบเดินออกมานั่งรอที่โต๊ะทันที รู้หรอกว่าเขาพูดเล่นแต่ผมอดเขินไม่ได้นี่นา ใครใช้ให้พูดพร้อมกับทำหน้าน่ากลัวแบบนั้นล่ะ

     สงสัยผมคงต้องหัดปฏิเสธที่จะมาค้างห้องพี่คลื่นอย่างจริงจังแล้ว ยิ่งมาค้างบ่อยเท่าไหร่ผมยิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัยเท่านั้น



     “เดือน” จู่ๆ คนที่นอนตักผมอยู่ก็เอ่ยเรียก ผมเลยขานรับขณะที่ตามองโทรทัศน์

     “ว่าไงครับ”

     “ย้ายมาอยู่กับพี่ไหม”

     ผมที่กำลังตั้งใจดูสารคดีสัตว์โลกถึงกับต้องก้มหน้ามามองคนพูดทันที พี่คลื่นมองผมอยู่ก่อนแล้ว ริมฝีปากยกยิ้มจนเห็นลักยิ้มทั้งสองข้าง

     “พี่คลื่น...ว่ายังไงนะครับ”

     “ย้ายมาอยู่กับพี่ไหม” คำถามเดิมถูกถามรอบที่สองพร้อมกับมือของผมที่ถูกคนตัวสูงดึงไปทาบแก้มตัวเอง

     “พูดจริงหรือพูดเล่นครับ”

     “จริงสิ เดือนจะได้ไม่ต้องไปๆ มาๆ ให้เหนื่อย อีกอย่างพี่ไม่อยากวิดีโอคอลแล้ว ได้นอนกอดกันแบบนี้ดีกว่าเยอะ” พูดจบก็วาดมือมากอดรอบเอว เหมือนกลัวผมไม่รู้ว่าการนอนกอดมันเป็นยังไง

     ช่วงนี้ผมกับพี่คลื่นไม่ค่อยได้วิดีโอคอลกันแล้ว ไม่ใช่ว่าเบื่อนะครับ แต่เพราะเราสองคนนอนด้วยกันแทบทุกคืนเลยไม่มีความจำเป็น แต่วันไหนที่ผมมาค้างห้องพี่คลื่นไม่ได้เราก็ยังวิดีโอคอลกันเหมือนเดิม มันเหมือนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันไปแล้ว ที่จริงพี่คลื่นเคยขอมาค้างห้องผมเหมือนกัน แต่เพราะมันแคบเกินไปสำหรับสองคนผมเลยกลัวว่าจะอึดอัดกันเปล่าๆ

     “มันจะไม่เร็วไปเหรอครับ”

     “ไม่หรอก จะช้าหรือเร็วเราก็ต้องอยู่ด้วยกันอยู่ดี พี่ไม่ให้เดือนหนีไปไหนหรอกนะ” สายตาที่คนด้านล่างมองมาทำให้ผมรู้สึกดีและเขินอายพร้อมกัน ผมยกยิ้มพลางบีบจมูกคนตัวสูงเบาๆ

     “แต่ผมยังติดสัญญาเช่าหออยู่เลย”

     “เรื่องนั้นเดี๋ยวพี่จัดการให้”

     “บ้านผมไม่ได้รวย คงจ่ายค่าเช่าห้องให้พี่ไม่ไหวหรอกครับ ไหนจะค่าน้ำค่าไฟอีก”

     “แล้วใครบอกให้จ่ายล่ะครับ บ้านพี่รวย แค่เดือนคนเดียวพี่ดูแลได้อยู่แล้ว และพี่ก็ชวนเดือนมาเป็นคนรักไม่ได้ชวนมาเป็นรูมเมทซะหน่อย”

     ผมตีแขนคนขี้โมเมไปหนึ่งที ไม่เขินบ้างหรือไงตอนพูดออกมา ขนาดผมเป็นคนฟังยังเขินจนอยากจะมุดผ้าห่มหนีเลย

     “พี่คลื่นลืมอะไรไปหรือเปล่าครับ” ผมยิ้มเย็น “เรายังไม่ได้เป็นแฟนกันเลยนะ”

     อีกฝ่ายรีบหุบยิ้มทันทีเมื่อผมพูดจบ เปลี่ยนมาทำหน้ากระเง้ากระงอดเหมือนเด็กอนุบาลไม่มีผิด

     “ถ้างั้นก็เป็นกันตอนนี้เลย”

     “ไม่เอาครับ ผมชอบโดนขอเป็นแฟนแบบโรแมนติก แบบนี้มันธรรมดาเกินไป”

     “เอาไว้คบกันแล้วค่อยโรแมนติกก็ได้ครับ เดือนอยากโรแมนติกบนเตียง ระเบียง หรือในห้องน้ำพี่ให้เลือกตามใจชอบเลย โอ๊ย! เดือน พี่เจ็บนะ พอแล้วครับแขนพี่แดงไปหมดแล้ว”

     ผมไม่สนท่าทางสำออยของคนตัวสูง แรงมีเท่าไหร่ผมฟาดลงไปไม่ยั้ง เดี๋ยวนี้คำพูดคำจาชักจะหื่นขึ้นทุกวัน ไม่เหมือนพี่คลื่นที่ผมรู้จักตอนแรกเลย

     “เดือน พี่ถามจริงๆ นะ ยังไม่หายงอนพี่อีกเหรอ” พี่คลื่นรวบสองมือผมไว้ด้วยมือเดียว ใบหน้าจริงจังไม่มีแววล้อเล่นแล้ว

     “ตอนแรกว่าจะหาย แต่เห็นพี่คลื่นหื่นแบบนี้แล้วผมเลยเปลี่ยนใจ”

     “เอาดีๆ สิครับ เดือนไม่อยากเป็นแฟนพี่เหรอ”

     สายตาตัดพ้อของคนถามทำให้ผมไม่กล้าแกล้งต่อ ความจริงคือผมไม่ได้งอนพี่คลื่นแล้ว เพียงแต่หลังจากวันที่สารภาพรักพี่คลื่นก็ไม่เคยขอผมเป็นแฟนอีกเลย ส่วนผมก็รู้สึกดีกับการกระทำที่พี่คลื่นแสดงออกจนหลงลืมไปว่าเรายังไม่ได้คบกันอย่างเป็นทางการ

     “ถ้าคบกันแล้วจะต่างจากตอนนี้ยังไงครับ” ผมลองถามหยั่งเชิง

     “ต่างสิครับ ถ้าเราเป็นแฟนกันพี่จะได้มีสิทธิ์หึงหวงเดือน”

     “พูดอย่างกับผมมีคนมาชอบเยอะงั้นแหละ”

     “น้อยไปสิครับ รู้ไหมว่าตอนซื้อของที่ซูเปอร์ฯ พวกผู้ชายในร้านมองเราตาเป็นมันขนาดไหน ดีเท่าไหร่แล้วที่พี่ไม่เดินไปควักลูกตามันมาเตะแทนฟุตบอล”

     ผมเริ่มไม่กล้าขัดใจพี่คลื่นแล้วสิ รู้สึกอยากขอโทษที่กระหน่ำตีไปเมื่อครู่ขึ้นมาทันที

     “เขามองพี่คลื่นหรือเปล่าครับ”

     “จะมองใครก็ช่าง พี่อยากเป็นแฟนกับเดือนจะได้ประกาศความเป็นเจ้าของได้อย่างเต็มตัวซะที”

     “อยากคบกับผมเพราะเรื่องแค่นั้นเหรอครับ” ผมแสร้งทำหน้าน้อยใจ

     “อยากกอด อยากเดินจับมือ อยากหอมแก้ม อยากทำสิ่งเหล่านี้โดยไม่ต้องกังวลเวลามีใครถามว่าเป็นอะไรกัน และที่สำคัญคืออยากให้โลกรู้ว่าเจ้าของรอยยิ้มน่ารักนี้คือใคร” พี่คลื่นเอื้อมมือมาลูบแก้มเหมือนต้องการบอกว่าเขากำลังพูดถึงรอยยิ้มของผม คำพูดของคนตัวสูงทำให้ผมร้อนไปทั้งหน้า แต่ผมต้องทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรเพราะอยากได้ยินอย่างอื่นอีก

     “พี่คลื่นเห็นผู้ชายมองผมเลยอยากมีสิทธิ์หึง แล้วทีตัวเองล่ะครับ”

     “พี่ทำไมครับ”

     “พี่เป็นถึงเดือนมหา’ลัย เดินไปไหนก็มีแต่สาวๆ มองตาม” ผมหยุดพูดเพื่อรอดูปฏิกิริยา คนตัวสูงกระตุกยิ้ม ลุกออกไปจากตักก่อนจะเคลื่อนตัวมาคร่อมผมไว้

     “แล้วยังไงต่อครับ”

     ปัดโธ่ เห็นหน้าก็รู้ว่าพี่คลื่นรู้แล้วว่าผมต้องการอะไร แต่ที่ไม่ยอมพูดออกมาคงเพราะอยากให้ผมเป็นฝ่ายพูดล่ะสิ เรื่องอะไรจะยอม

     “ไม่มีอะไรครับ ผมแค่หมั่นไส้ที่พี่คลื่นเสน่ห์แรง” ผมว่าอย่างง้องอน กำลังจะลงไปจากเตียงแต่อีกฝ่ายก็เอาแขนมาขวางไว้

     “ถ้าอยากหึงหวงพี่ก็มาเป็นแฟนกันสิครับ แล้วพี่จะให้เดือนหึงตามสบายเลย”

     ผมแอบยิ้มในใจเมื่ออีกฝ่ายพูดสิ่งที่ผมต้องการออกมาแล้ว แต่ยังทำเป็นลังเลต่อไปเพราะกำลังสนุก “เอ...ถ้าเป็นแฟนพี่คลื่นแล้วผมจะมีสิทธิ์อะไรบ้างเหรอครับ”

     “ทุกอย่างครับ” ใบหน้าคมคายโน้มลงมาหอมแก้มเร็วๆ หนึ่งฟอด “เดือนอยากแสดงความเป็นเจ้าของพี่แค่ไหนก็เชิญเลย ทั้งร่างกายและหัวใจพี่เป็นของเดือนคนเดียวและจะเป็นตลอดไป”

     หัวใจผมเต้นไม่เป็นส่ำ จากที่คิดว่าจะแกล้งอีกฝ่ายเล่นๆ ดันเขินขึ้นมาจริงซะอย่างนั้น พี่คลื่นไม่เปิดโอกาสให้ผมตอบอะไร ก้มหน้าลงมามอบจูบอันวาบหวามโดยไม่ให้ตั้งตัว นานทีเดียวกว่าจะผละออกไป ตอนพี่คลื่นถอนใบหน้าออกราวกับเอาสติของผมไปด้วย

     “เป็นแฟนกันนะครับ” คนด้านบนเอ่ยวิงวอนด้วยเสียงแหบพร่า

     “ผม...คือผม...”

     “ไม่ยอมเหรอ สงสัยต้องจูบนานกว่านี้ถึงจะยอมตกลงสินะ”

     “ดะ...เดี๋ยวครับ ให้ผมตั้งสติก่อน...” ผมรีบยกมือมาปิดปากร่างสูงไว้ ในใจก็อดเหน็บแนมไม่ได้ ถ้าอยากได้คำตอบก็เปิดโอกาสให้ตอบด้วยสิครับ เล่นเอาปากมาปิดกันแบบนี้จะให้ตอบยังไงได้

     “เป็นแฟนกับพี่นะ พี่สัญญาว่าจะดูแลเราให้ดีที่สุด พี่รักเดือนนะครับ”

     ต่อให้ใจแข็งแค่ไหน แต่ถ้าโดนเข้าไปขนาดนี้เป็นใครก็ต้องปฏิเสธไม่ลง หลังจากทนมองใบหน้าออดอ้อนไม่ไหวผมก็พยักหน้าช้าๆ พี่คลื่นที่ได้คำตอบพอใจแล้วยิ้มกว้างจนตาแทบปิด คนตัวสูงก้มลงมาจูบอีกครั้ง แต่รอบนี้อ่อนโยนกว่าเดิม เนิ่นนานกว่าเดิม และชวนมวนท้องมากกว่าเดิม

     “คราวนี้คบจริงๆ แล้ว ไม่ได้แกล้งคบเหมือนตอนไปบ้านผีสิง” ร่างสูงพูดยิ้มๆ หลังจากถอนจูบออกไป ผมเอื้อมมือไปลูบสันกรามพลางยกยิ้มเช่นกัน “เราเป็นแฟนกันแล้วนะ หลังจากนี้ขอฝากตัวด้วยนะครับคุณแฟน”

     ผมกำลังจะตอบกลับไปว่าขอฝากตัวด้วยเหมือนกัน แต่ริมฝีปากร้อนที่ทาบทับลงมาอีกครั้งทำให้ผมไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำพูดใดออกไปได้ พี่คลื่นจูบลงมาซ้ำๆ จนผมคิดว่าพรุ่งนี้ปากต้องช้ำแน่ แต่ช่างเรื่องพรุ่งนี้ก่อนเถอะ เอาตัวรอดจากคืนนี้ไปให้ได้ก่อนดีกว่า

     ผมโดนแฟนหมาดๆ รุกรานจนลืมเรื่องย้ายมาอยู่ด้วยไปสนิท สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวผมตอนนี้คือรสจูบของพี่คลื่นที่ผมไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังเสพติดมันอย่างถอนตัวไม่ขึ้น





     TBC

     Tag : #คลื่นอิงเดือน

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-09-2022 18:49:43 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด