ตอนที่ 10 : คนที่อยากสนิทด้วย
-ข้าวหอม-
“เอ่อ...หนูว่าพี่องศาไปรอที่รถดีกว่านะคะ”
“ใช่ค่ะ พี่องศาอุตส่าห์เลี้ยงข้าวพวกหนูแล้ว จะให้มาเดินเลือกหนังสือด้วยอีกหนูคงเกรงใจแย่” ฝนกับควีนพูดขึ้นมาตอนที่พวกเรากำลังจะเดินเข้าร้านหนังสือ
“ไม่เป็นไรครับ อยู่ในรถเฉยๆ น่าเบื่อจะตาย และปกติพี่ก็ชอบเข้าร้านหนังสืออยู่แล้วด้วย”
“พี่องศา...ชอบอ่านหนังสือเหรอคะ” ฝนมองคนตัวสูงอย่างไม่เชื่อสายตา ผมเข้าใจนะ เพราะถ้าดูเผินๆ พี่องศากับหนังสือไม่ใช่อะไรที่ไปด้วยกันได้เลย
“เห็นแบบนี้แต่พี่เป็นเด็กเรียนนะครับ อย่ามัวแต่ยืนคุยกันเลย รีบเข้าไปดูหนังสือดีกว่า” คนที่ผมเพิ่งรู้ว่าเป็นเด็กเรียนเดินนำเข้าร้านไปก่อนแล้ว ทิ้งให้พวกผมมองตามด้วยความงุนงง
“เด็กเรียนอะไรวะ ฝากเพื่อนจดเลกเชอร์ให้แทบทุกคาบ”
“ไม่เป็นไร พี่เขาหล่อ กูให้อภัย” ควีนยิ้มกริ่ม รีบจูงมือฝนตามพี่องศาไปโดยไม่ลืมหันมาเรียก ผมถอนหายใจบางเบาก่อนจะเดินตามไป หันซ้ายหันขวามองหนังสือในร้านไปด้วย
ตอนแรกผมนึกว่าพี่องศาจะขับรถมาส่งอย่างเดียว แต่เขากลับขอเลี้ยงอาหารกลางวันพวกผมด้วยเหตุผลสั้นๆ ว่าเขาไม่อยากกินข้าวคนเดียว แน่นอนว่าฝนกับควีนไม่มีปัญหาอยู่แล้ว จะมีก็แต่ผมนี่แหละที่ไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่
ร้านหนังสือแห่งนี้มักจะมีกลิ่นอายของหนังสือลอยฟุ้งไปทั่วร้าน นี่คือจุดเด่นที่ทำให้ผมชอบมาร้านนี้บ่อยๆ พอได้อยู่ท่ามกลางชั้นหนังสือแบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
แต่...คงไม่ใช่กับวันนี้แน่นอน ต้องมากับคนที่ผมพยายามตีตัวออกห่างมาตลอด ใครจะไปสบายใจได้กันล่ะ
ถึงจะบอกว่าชอบดูหนังสือ แต่พอเข้ามาในร้านพี่องศากลับเอาแต่ยืนคุมเชิงเหมือนเป็นบอดี้การ์ดพวกผมอย่างนั้นแหละ ผมพยายามไม่สนใจ แต่พอหันไปมองทีไรเป็นต้องสบตาด้วยกันตลอด ไม่รู้จะมองอะไรนักหนา
“กูอยากเอาประเทศอเมริกาอ่ะ ผู้ชายประเทศเขางานดีทุกคนเลย”
“แต่กูไม่ชอบอ่ะ ถ้าจะให้เลือกกูว่าจีนดีกว่า หนุ่มตี๋ๆ ดูดีกว่าเยอะ”
“ทำไมมึงชอบขัดใจกูจังวะ”
“มึงนั่นแหละขัดใจกู”
ผมยืนฟังเพื่อนเถียงกันแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ สงสัยฝนกับควีนคงลืมไปแล้วว่าอาจารย์ให้ทำรายงานหัวข้อวัฒนธรรมการท่องเที่ยวในต่างประเทศ ไม่ใช่สิบอันดับผู้ชายต่างประเทศที่หล่อที่สุด
“แต่กูว่าเกาหลีก็ดีนะ กูดูซีรีส์เกาหลีมาเยอะ วัฒนธรรมประเทศเขากูรู้หมดทุกซอกทุกมุม”
“คนอย่างมึงเนี่ยนะเรียนรู้วัฒนธรรมประเทศเกาหลีผ่านซีรีส์ เวลาดูมึงเคยสนใจอย่างอื่นนอกจากพระเอกด้วยเหรอ”
“แหม พูดอย่างกับมึงไม่เป็นอ่ะฝน”
“ไม่ค่ะ กูไม่ได้สนใจแค่พระเอก แต่พระรองกูก็สน”
“กูคิดถูกหรือผิดวะที่มาจับคู่ทำรายงานกับมึง”
“อีควีน กลุ่มเราก็มีกันอยู่แค่นี้ มึงคิดว่าพวกเรามีคนคบเยอะนักเหรอ” ฝนเหน็บแนมเพื่อนแบบไม่จริงจังเสร็จก็หันมาถามผมที่กำลังยืนเหม่อลอยอยู่ “แล้วมึงอ่ะข้าว เลือกได้ยังว่าจะเอาประเทศอะไร”
“…”
“ข้าว”
“…”
“ไอ้ข้าว!!”
“วะ...ว่าไง” ผมหันไปทำหน้าเหลอหลา ฝนที่เห็นว่าผมไม่ได้ฟังเลยถามอีกครั้ง
“กูถามว่ามึงเลือกได้ยังว่าจะเอาประเทศอะไร”
“อ๋อ ยังเลย ที่จริงก็มีที่สนใจอยู่เหมือนกัน แต่ไลน์ไปถามเดือนแล้วเดือนยังไม่ตอบเลย”
ฝนเอียงคอมองผมพลางขมวดคิ้ว เหมือนกำลังสงสัยอะไรบางอย่าง
“มึงเป็นอะไรวะ ท่าทางทะแม่งๆ ตั้งแต่บนรถพี่องศาแล้วนะ”
“เปล่า ข้าวไม่ได้เป็นอะไร”
“ไม่จริงอ่ะ วันนี้มึงทำตัวแปลกๆ มาสักพักแล้ว” ควีนยื่นหน้ามาใกล้ กระซิบแบบพอให้ได้ยินกันแค่สามคน “ตอนพี่คลื่นกับพี่องศามาหาที่หน้าคณะก็เหมือนกัน อย่าคิดว่ากูไม่เห็นนะว่ามึงทำหน้าประหลาด”
“ข้าวยังไม่ได้ทำหน้าประหลาดซะหน่อย”
“ทำสิ ยิ่งตอนมองพี่องศานะ หน้ามึงยิ่งประหลาด”
“ประหลาดยังไงวะ”
“ก็หน้ามันเหมือนคนกำลังเขินพี่องศาอยู่เลยอ่ะ”
“มะ...ไม่ใช่นะ! ข้าวไม่ได้ทำหน้าแบบนั้น!” ผมรีบเถียงเพื่อนทันที ผมเนี่ยนะทำหน้าเขินพี่องศาต่อหน้าคนอื่น ไม่มีทางเด็ดขาด ผมมั่นใจว่าตัวเองเก็บอาการเก่ง
“มึงทำค่ะ กูเห็นเต็มสองตาเลย และไม่ใช่แค่นั้นนะ เวลาอยู่ใกล้พี่องศามึงชอบเหม่อลอยตลอดเลย”
“ทำอะไรกันเหรอครับ”
“ก็ข้าวมันทำ...ว้าย! พี่องศา” ควีนสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆ พี่องศาก็ยื่นหน้ามากลางวง คนตัวสูงยิ้มอารมณ์ดี ยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงมองพวกผม
“พี่เห็นพวกเรากำลังคุยกันสนุกเลย ขอพี่คุยด้วยสิ”
“เอ่อ...มันเป็นเรื่องไร้สาระน่ะค่ะ พี่องศาไม่ต้องสนใจหรอก” ฝนยิ้มแห้ง พยายามเปลี่ยนเรื่องคุย “ว่าแต่พี่องศาไม่ไปดูหนังสือเหรอคะ หนูเห็นพี่เอาแต่ยืนเฉยๆ มาตั้งนานแล้ว”
“พอดีไม่มีหนังสือที่ถูกใจเลยน่ะครับ”
โกหก ตั้งแต่เข้ามาในร้านผมเห็นเขาเอาแต่เดินตามพวกผม ยังไม่เห็นไปดูหนังสือสักเล่มเลย แล้วรู้ได้ไงว่าไม่มีหนังสือที่ถูกใจ
“น้องฝนถามแบบนี้คืออึดอัดเหรอครับ ถ้างั้นพี่ไปรอในรถก็ได้นะครับ”
“ว้าย! ฝนไม่ได้หมายความแบบนั้นค่ะ ใครจะไปอึดอัดเวลาอยู่กับพี่ล่ะ มีแต่อยากอยู่ใกล้นานๆ ล่ะสิไม่ว่า” ฝนหัวเราะเสียงแห้ง ก่อนจะหันไปสั่งควีนที่ยืนยิ้มแห้งไม่ต่างกัน “มัวยืนนิ่งทำไมล่ะ มึงจะเอาประเทศเกาหลีไม่ใช่เหรอ รีบไปหยิบหนังสือมาสิ”
“เมื่อกี้มึงยังเถียงกูอยู่เลย”
“ก็ตอนนี้กูเห็นด้วยกับมึงแล้วไง ไม่ต้องพูดมาก รีบไปหยิบหนังสือมาได้แล้ว”
ควีนทำหน้างงที่จู่ๆ ก็โดนใช้ แต่ก็ยอมเดินไปหยิบหนังสือแต่โดยดี คราวนี้ฝนเลยหันมาหาผมบ้าง
“ส่วนมึง ไอ้เดือนตอบยังว่าตกลงจะเอาประเทศอะไร”
“ยังเลย”
“งั้นกูเลือกให้ จะได้ไม่เสียเวลา” ฝนยกมือมาลูบคาง ไล่สายตาไปตามสันหนังสือบนชั้น “อืม...เอาเป็นประเทศญี่ปุ่นแล้วกัน มึงกับเดือนชอบกินอาหารญี่ปุ่นทั้งคู่เลยนี่”
พอสรุปกับตัวเองเสร็จโดยไม่ถามอะไรผมเลย ฝนก็เขย่งเท้าเอื้อมมือไปหยิบหนังสือวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่อยู่ชั้นบนสุด แต่เพราะมันอยู่สูงเกินไปเลยหยิบไม่ถึงสักที
“เดี๋ยวข้าวหยิบเองก็ได้” ผมบอกเพื่อนก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบหนังสือแทน แต่เพราะส่วนสูงของผมกับฝนแทบไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะยืดแขนเท่าไหร่ก็เลยหยิบไม่ถึงเหมือนกัน “ฝนรออยู่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวข้าวไปบอกพนักงานให้มาหยิบ...!!!”
แผ่นหลังของผมถูกดันไปข้างหน้าเล็กน้อย ตัวผมเลยแนบชิดไปกับชั้นหนังสือ พี่องศายกมือไปหยิบหนังสือที่ผมต้องการโดยไม่ต้องเขย่งเท้าเลยแม้แต่น้อย พอได้หนังสือมาไว้ในมือแล้วคนตัวสูงก็ใช้มืออีกข้างพลิกตัวผมให้หันมาเผชิญหน้า ตอนนี้พี่องศากำลังใช้แขนข้างหนึ่งยันชั้นหนังสือไว้ ก้มมองผมพลางทำหน้านิ่ง ไม่ยิ้มแย้มเหมือนตอนคุยกับเพื่อนผม
“พี่อยู่ตรงนี้ทั้งคน...ทำไมไม่ขอให้พี่ช่วย”
ผมลอบกลืนน้ำลาย มองใบหน้าคมคายด้วยความตกใจ ควีนที่เดินถือหนังสือมากำลังจะอ้าปากเรียกฝน แต่พอเห็นภาพตรงหน้าก็ชะงักไป ไม่ต่างกับฝนที่มองมาอย่างตกใจเช่นกัน
อะไรของเขาเนี่ย...จู่ๆ ท่าทางก็เปลี่ยนไป เหมือนไม่พอใจอยู่งั้นแหละ แล้วจะเอาหน้ามาใกล้ทำไม กลัวไม่ได้ยินหรือไงกัน
“ผมก็แค่เกรงใจเฉยๆ”
“พี่ขับรถไปรับส่งเราทุกวัน เพิ่งจะมาเกรงใจเอาป่านนี้หรือไง”
“เรื่องนั้นผมไม่ได้ขอสักหน่อย พี่อาสามารับส่งผมเองไม่ใช่เหรอครับ”
“ข้าวควรขอบคุณพี่สิ ไม่ใช่มาพูดกับพี่แบบนี้”
“เอ่อ...” ก่อนที่เราสองคนจะลากบทสนทนาให้ยาวไปกว่านี้ ฝนก็ทักขึ้นมาพลางค่อยๆ หยิบหนังสือในมือพี่องศาไป “ถ้าข้าวมันไม่พูดหนูพูดเองก็ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะที่หยิบหนังสือให้ พี่องศานี่ใจดีตลอดเลย”
คนตัวสูงหันไปมองเพื่อนผมก่อนจะผละออกไป ไหวไหล่เบาๆ แล้วยิ้มมุมปาก “ใช่ครับ...พี่เป็นคนใจดี แต่น่าเสียดายที่คนบางคนไม่เห็นความใจดีของพี่เลย”
ถ้าพี่จะใจดีจริงๆ ก็ช่วยออกไปจากชีวิตผมสักทีเถอะครับ พี่ไม่รู้หรอกว่าทุกครั้งที่เราอยู่ใกล้กัน มันทำให้ผมทั้งสุขและทุกข์ในเวลาเดียวกันมากแค่ไหน...
“มึงว่ามันมีอะไรแหม่งๆ ป่ะวะ”
“ไม่ใช่แค่แหม่งๆ หรอก อาการอย่างนี้กูว่าใช่แน่นอน”
“มึงมั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอวะฝน”
“สายตากูซะอย่าง ไม่มีทางมองพลาดแน่นอน”
“ฝนกับควีนคุยอะไรกันอยู่เหรอ”
“ไม่เห็นต้องถาม ก็เรื่องที่มึงกับ...”
“อีฝน!” ควีนตีขาฝนดังเพียะ ฝนสะดุ้งเล็กน้อย หันมามองผมที่นั่งอยู่เบาะหน้าพลางยิ้มแห้งให้
“คือ...พวกกูกำลังปรึกษากันเรื่องรายงานน่ะ ไม่ได้นินทามึงหรอก สบายใจได้”
ผมคบกับฝนมานาน ทำไมจะไม่รู้ว่าที่พูดมานั่นน่ะโกหกทั้งหมด แต่เพราะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรผมเลยไม่ใส่ใจ ได้แต่พยักหน้ารับแล้วหันมามองถนนด้านหน้าเหมือนเดิม
หลังจากซื้อหนังสือเสร็จแล้วฝนก็นึกขึ้นได้ว่ามีของที่ต้องซื้ออีก จากที่ควรจะได้กลับเร็ว ดันลากยาวมาจนถึงหกโมงเย็นอย่างช่วยไม่ได้ โชคดีที่วันนี้พี่องศาไม่มีธุระที่ไหน ไม่อย่างนั้นพวกผมคงรู้สึกผิดแย่
พี่องศาหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าซอยหอของฝนกับควีน ในตอนที่รถกำลังเคลื่อนไปข้างหน้า ควีนที่นั่งอยู่เบาะหลังก็ถามขึ้นมา
“จริงสิ ทำไมพี่องศาถึงมารับส่งข้าวแทนพ่อมันเหรอคะ”
“ทำไมจู่ๆ น้องควีนถึงถามแบบนี้ล่ะครับ”
“หนูเคยได้ยินว่าพี่เกลียดการตื่นเช้า แต่กลับมาส่งเพื่อนหนูตอนเช้าได้ทุกวัน พวกหนูสองคนเลยสงสัยน่ะค่ะ”
ผมเหลือบมองคนถูกถามนิดหนึ่ง ที่จริงผมก็อยากรู้เหตุผลเหมือนกัน แต่พอสบโอกาสทีไรผมมักจะลืมถามทุกที
คนตัวสูงยิ้มมุมปาก เท้าแขนกับกระจกรถแล้วยกมือข้างหนึ่งมาลูบคาง “อีกเดี๋ยวน้องควีนกับน้องฝนก็จะรู้เองครับ ตอนนี้รู้แค่ว่าพี่เต็มใจมารับส่งเพื่อนน้องก็พอแล้ว”
พอได้ยินคำตอบแล้วควีนก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ แต่หันไปมองหน้าฝนเหมือนกำลังสื่ออะไรกันสักอย่าง จนกระทั่งพี่องศาขับรถมาถึงหอ เพื่อนผมทั้งสองคนก็ทยอยลงไปจากรถโดยไม่ลืมหันมาบอกลา
“กูไปก่อนนะมึง ขับรถดีๆ นะคะพี่องศา”
“ครับผม”
พอพี่องศาขับรถออกมาแล้ว หลังจากนั้นไม่นานโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงผมก็สั่นแจ้งเตือนว่ามีคนไลน์มา แต่ผมขี้เกียจหยิบมาดูเลยไม่ได้สนใจ ได้แต่มองวิวนอกกระจกพลางคิดย้อนไปถึงคำถามของควีนเมื่อครู่
ผมมั่นใจว่าพี่องศาไม่มีทางรู้จักผมมาก่อนแน่นอน และผมก็ไม่เคยไปสร้างบุญคุณอะไรไว้ด้วย ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงยอมลำบากขับรถมารับส่งผมทุกวันแบบนี้
“หืม?” ผมส่งเสียงอุทานเมื่อเริ่มสังเกตถึงความผิดปกติบางอย่าง หันไปมองคนขับรถที่กำลังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “นี่ไม่ใช่ทางกลับบ้านผมนะครับ”
“พี่รู้ครับ”
ตอบแค่นี้เนี่ยนะ?
“พี่องศาจะพาผมไปไหนครับ”
“นั่นสิ พี่ก็กำลังคิดอยู่เหมือนกัน”
ผมขมวดคิ้วมุ่น ไม่เข้าใจคำตอบเลยแม้แต่น้อย พี่องศาเหลือบมามองผม มุมปากกระตุกยิ้มอีกครั้ง
“พี่หิวครับ เลยว่าจะแวะกินข้าว แต่ขับมาสักพักแล้วยังไม่เจอร้านที่ถูกใจเลย”
“ไปส่งผมก่อนไม่ได้เหรอครับ แล้วพี่จะไปกินข้าวหรือทำอะไรต่อผมจะไม่ว่าเลย”
“ใจคอคิดจะทิ้งให้พี่นั่งกินข้าวคนเดียวหรือไง” คนตัวสูงพูดเหมือนกำลังน้อยใจ แต่รอยยิ้มกลับไปกันคนละทางเลย “ข้าวหอมไม่เห็นใจพี่บ้างเลยเหรอครับ”
หัวใจผมเริ่มเต้นแรง มันแรงขึ้นเรื่อยๆ จนผมทนมองใบหน้าคมคายนั้นไม่ไหว ต้องรีบเบือนหน้าหนีก่อนจะเผลอแสดงพิรุธออกไป
“ผมไม่หิวครับ”
“แค่ไปนั่งเป็นเพื่อนอย่างเดียวก็ได้”
“ไม่เอาครับ ผมต้องรีบกลับไปทำรายงาน”
“ไม่เกินหนึ่งทุ่มแน่นอน พี่สัญญา”
“ไม่เอาครับ”
“ดื้ออีกแล้ว” ปากว่าผม แต่ตายังมองถนนตรงหน้า “คราวที่แล้วกว่าจะยอมให้พี่มารับส่งก็ดื้ออยู่ตั้งนาน คราวนี้ยังไม่หายดื้อกับพี่อีกเหรอ”
“ผมไม่ได้ดื้อครับ ผมแค่ไม่อยากไปกินข้าวกับพี่”
“…”
“ถ้าพี่หิวมากแวะจอดให้ผมลงข้างทางก็ได้ครับ เดี๋ยวผมหาทางกลับบ้านเอง”
พี่องศาไม่พูดอะไรต่อ ผมเลยไม่รู้ว่าเขาจะเอายังไงกันแน่ สักพักเขาก็ค่อยๆ ลดความเร็วก่อนจะเลี้ยวรถจอดข้างทางในที่สุด ผมเข้าใจว่าพี่องศาทำตามคำพูดผมเลยตั้งใจจะถอดเข็มขัดนิรภัยแล้วลงจากรถ แต่จู่ๆ คนตัวสูงก็ยื่นหน้ามาใกล้พลางจับมือผมไว้แน่นทำให้ไม่สามารถถอดเข็มขัดได้
“แค่ไปกินข้าวกับพี่มันยากมากเหรอครับ”
ผมกะพริบตาปริบๆ อย่างตามอารมณ์ไม่ทัน รอยยิ้มพี่องศาหายไปแล้ว ใบหน้านิ่งเรียบเหมือนกำลังโกรธใครสักคน
“พี่แค่จะพาไปกินข้าว ไม่ได้จะพาไปทำอะไรไม่ดี ทำไมข้าวต้องปฏิเสธพี่ขนาดนี้ด้วย”
“…”
“ที่บอกว่าไม่อยากกินข้าวกับพี่หมายถึงเกลียดพี่ใช่ไหมครับ ถ้าข้าวหอมเกลียด...พี่จะได้ไม่มายุ่งกับเราอีก”
ที่เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเพราะผมพูดว่าไม่อยากไปกินข้าวด้วยแค่นั้นเหรอ ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่าพี่องศาจะอ่อนไหวขนาดนี้
“ตอบครับ อย่าเงียบอย่างเดียว”
ผมเม้มปากแน่น ยิ่งสบตากับพี่องศาผมก็ยิ่งลำบากใจ ที่จริงผมอยากตอบว่าใช่ เพื่อที่เขาจะได้ไม่มาให้ผมเห็นหน้าอีก แต่ผมกลับพูดแบบนั้นออกไปไม่ได้ เพราะผมรู้อยู่แก่ใจว่าคำตอบที่แท้จริงมันตรงกันข้ามเลย...
“ผม...ไม่ได้เกลียดพี่ครับ”
เกลียดตัวเองชะมัด ทำไมผมถึงโกหกไม่เก่งเอาซะเลยนะ
“แน่ใจนะครับ”
“…ครับ”
“งั้นพี่จะถามอีกครั้ง” น้ำเสียงพี่องศาอ่อนลง พร้อมกับที่มือของเขาสอดเข้ามาในมือของผม “ข้าวหอมครับ...ไปกินข้าวกับพี่หน่อยได้ไหม”
พี่องศาไม่ได้มองผมด้วยความโกรธอีกแล้ว แต่มองด้วยสายตาวิงวอนที่ทำให้หัวใจผมเต้นแรงกว่าเดิม
ผมค่อยๆ ดึงมือออกมาก่อนจะหันหน้าหนี ทำแก้มพองลมแล้วพยายามพูดเสียงแข็งให้มากที่สุด “ให้เวลาถึงแค่หนึ่งทุ่มนะครับ”
ถ้าผมกำลังฝันอยู่ ผมก็อยากให้ใครสักคนเขย่าตัวผมแรงๆ ผมจะได้ตื่นจากความฝันนี้เสียที
ความฝันที่ทำให้ผมไม่รู้ว่าควรจะยิ้มหรือร้องไห้ดี
“ได้มากินข้าวกับคนหล่อทั้งที จะเอาแต่ทำหน้านิ่งตลอดเลยเหรอครับ”
ผมเบือนหน้าหนีแทนการตอบคำถาม พี่องศาที่รู้ตัวว่าโดนเมินยิ้มมุมปาก ตักข้าวเข้าปากอย่างอารมณ์ดี ท่าทางผิดกับบนรถลิบลับ
“นั่งมองพี่กินอย่างเดียวไม่หิวเหรอครับ”
“ไม่ครับ”
“เสียใจนะเนี่ย คนเขาอุตส่าห์อยากเลี้ยงข้าวแท้ๆ”
“พี่ก็เลี้ยงไปเมื่อตอนกลางวันแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“ตอนนี้ก็เลี้ยงอีกได้”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเกรงใจ”
คนตัวสูงยกแก้วน้ำมาดูด ก่อนจะกระตุกยิ้มส่งเสียงหึในลำคอ “นอกจากดื้อเงียบแล้วยังขี้เกรงใจอีกแฮะ”
คราวนี้ผมหันไปมองคนพูดเต็มสองตา แต่พี่องศาก็ยังไม่สะทกสะท้าน เอาแต่ยิ้มระรื่นจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าจะอารมณ์ดีอะไรนักหนา
“ไม่กินต่อเหรอครับ” ผมถามเมื่อเห็นเขามองหน้าผมนานเกินไปแล้ว พี่องศาหันไปตักข้าวเข้าปากหนึ่งคำ แล้วก็เงยหน้ามามองผมต่อ
แค่ต้องมานั่งกินข้าวด้วยกันผมก็ทำตัวไม่ถูกอยู่แล้ว นี่เล่นจ้องกันไม่กะพริบตาเลย พี่องศาคิดจะแกล้งผมหรือไงเนี่ย
“มะ...มองอะไรครับ” ในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว ต้องถามออกไปจนได้
“มองคนใจร้ายครับ”
ผมขมวดคิ้วด้วยความงง พี่องศาว่าผมใจร้ายเหรอ ผมยังไม่ได้ทำอะไรเขาเลยนะ
“พี่สังเกตมาสักพักแล้วนะ เราชอบแทนตัวเองว่าข้าวกับคนอื่น แต่กลับแทนตัวเองว่าผมกับพี่ตลอด”
“ก็ผมกับพี่ยังไม่สนิทกัน แล้วผมก็แทนตัวเองว่าข้าวแค่กับเพื่อนเท่านั้น กับคนอื่นผมก็พูดว่าผมเหมือนกันนั่นแหละครับ”
“หมายความว่าถ้าเราสองคนสนิทกันมากกว่านี้ เราจะแทนตัวเองว่าข้าวกับพี่ใช่ไหม”
รอยยิ้มกับคำถามของคนตรงหน้าทำให้ผมลืมไปสนิทว่าจะพูดอะไรต่อ พี่องศายกมือมาเท้าคาง มองมาด้วยสายตาที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน
จู่ๆ ก็มาถามอะไรแบบนี้ พี่องศาตั้งใจจะพูดอะไรกันแน่ ผมงงไปหมดแล้วนะ
“เอาแต่เงียบแบบนี้ พี่จะถือว่าข้าวหอมอนุญาตให้พี่ตีสนิทนะครับ”
ผมกะพริบตาปริบๆ เพื่อเรียกสติกลับมา แต่ให้ตายเถอะ ยิ่งมองรอยยิ้มพี่องศาเท่าไหร่ผมก็ยิ่งคิดคำพูดไม่ออกเท่านั้น
“พะ...พี่พูดอะไร ผมไม่เห็นรู้เรื่อง”
“พี่อยากได้ยินเราแทนตัวเองว่าข้าวกับพี่” คำพูดที่ตรงไปตรงมาทำให้ผมนิ่งงันไป คนตัวสูงเอื้อมมือมากุมมือผมบนโต๊ะ แต่พอเห็นผมรีบชักมือออกเขาก็ส่งเสียงหัวเราะในลำคอ
“มันไม่ใช่เรื่องสำคัญถึงขนาดที่พี่ต้องมาตีสนิทกับผมหรอกครับ อย่าไปใส่ใจเลย” ผมหันหน้าไปทางอื่นเพราะไม่อยากให้พี่องศารู้ว่าตอนนี้ข้างในอกมันปั่นป่วนแค่ไหน วันนี้เขาเป็นอะไรนะ ชอบทำอะไรที่ผมคาดไม่ถึงบ่อยเหลือเกิน
“อย่าคิดแทนพี่สิครับ พี่บอกว่าอยากได้ยินก็คืออยากได้ยินจริงๆ” พี่องศาเปลี่ยนเอาสองมือมารองคาง มองผมด้วยสายตาแบบเดิมอีกครั้ง “หลังจากนี้พี่จะทำให้ข้าวหอมมองพี่เป็น ‘คนสนิท’ ให้ได้ เพราะงั้นเตรียมตัวไว้ดีๆ นะครับ”
“ตะ...เตรียมตัวอะไรครับ”
คนโดนถามกระตุกยิ้ม ยื่นหน้ามากระซิบข้างหูเบาๆ ทว่าชัดเจนทุกคำ “เดี๋ยวเราก็รู้เอง”
TBC
Tag : #คลื่นอิงเดือน
Twitter : @earthxxide
Facebook : Earthxxide